--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

การเมืองไม่เสถียร ความเจริญเท่ากับศูนย์

ไทยแลนด์ไม่ได้ก้าวถอยหลัง...แต่ก็ไม่มีแรงก้าวไปข้างหน้าเวลานี้เศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงต้องกอบโกย...แต่ไทยแลนด์ไม่มีเวลาไขว่คว้า...เพราะประเทศกำลังเจอปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองที่ไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไร? มาเลเซีย เป็นประเทศ “ตัวอย่าง” ที่เราหยิบยกขึ้นมาเพื่อกระตุ้นอะไรบางอย่างมาเลเซียกำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและแซงหน้าไทยไปเกือบจะทุกภาคส่วน นายกรัฐมนตรีนาจิ๊บ ราซัค ประกาศโมเดลเศรษฐกิจใหม่ภายใต้วิสัยทัศน์ 2020 ที่จะนำ

มาเลเซียไปสู่สถานะของประเทศที่พัฒนาแล้วในปี 2563 หรืออีก 10 ปีข้างหน้า หากจะเทียบก็คงเทียบได้กับเกาหลีใต้ นาจิ๊บ ราซัคเปิดเผยแผนการเศรษฐกิจใหม่ที่จะเพิ่มรายได้ต่อหัวของประชากรในประเทศอีกเท่าตัว จาก 7,000 เหรียญสหรัฐต่อคน เป็น 15,000 เหรียญสหรัฐ และทำให้มาเลเซียเป็นประเทศที่ดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่น่าสนใจ คือ รัฐบาลนาจิ๊บ มีมาตรการลดอภิสิทธิ์แก่คนมาเลเซีย หลังจากที่เพิกเฉยละเลยปัญหาจนนำไปสู่ความ

รุนแรงเช่นปี 2512 ได้การลดอภิสิทธิ์แก่คนมาเลย์นั้น นอกจากเพื่อลดความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติในประเทศแล้ว ยังสามารถดึงนักลงทุนเข้าลงทุนจากต่างประเทศได้เป็นอย่างดี เพราะก่อนหน้านี้ รัฐบาลกำหนดว่า นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในมาเลเซียต้องจัดสรรหุ้นร้อยละ 30 ให้กับคนมาเลย์ ซึ่งต่อไปนี้รัฐบาลจะยกเลิกมาตรการนี้ เพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในมาเลเซีย และเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจที่ก่อให้เกิดการจ้างงานมากที่สุด นอก

จากนั้นยังมีแผนจะลดการอุดหนุน โดยเฉพาะการอุดหนุนราคาน้ำมันในประเทศ และเก็บภาษีสินค้าและบริการเพิ่ม เพื่อลดการขาดดุลงบประมาณที่สูงที่สุดในรอบ 20 ปี หรือคิดเป็นร้อยละ 7.4 ของ จีดีพี และอ้างว่าจะเอาเงินส่วนนี้ไปช่วยเหลือคนยากจนที่สุดของประเทศที่มีอยู่ร้อยละ 40ถ้ามาเลเซียทำได้ตามที่พูด!...เศรษฐกิจของมาเลเซียอาจจะขยายตัวถึงร้อยละ 6.5 จากที่ผ่านมาระหว่างปี 2541-2551 เศรษฐกิจมาเลเซียโตเฉลี่ยปีละ 5.5 แต่เศรษฐกิจของ

มาเลเซียก็พึ่งพาการค้าสูงเป็นอันดับ 3 ของเอเชีย ดังนั้น การเติบโตทางเศรษฐกิจของมาเลเซียจึงผูกพันกับเศรษฐกิจโลกอย่างช่วยไม่ได้ ถ้าเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวและพัฒนาไปด้วยดี เศรษฐกิจของมาเลเซียก็มีโอกาสจะขยายตัวตาม หากสามารถบริหารจัดการปัญหาภายในประเทศได้ การที่มาเลเซียพัฒนาเศรษฐกิจก้าวหน้าจนแซงไทยไปในหลายด้าน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมาเลเซียมีเสถียรภาพทางการเมือง มีการต่อเนื่องในการดำเนินนโยบาย มีการทุจริต

คอร์รัปชั่นน้อย มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ทำให้นักลงทุนต่างประเทศสนใจที่จะเข้าไปลงทุน จุดอ่อนของมาเลเซียมีเพียงประการเดียว คือ ปัญหาเชื้อชาติภายในประเทศ หากรัฐบาลสามารถควบคุมปัญหานี้ได้ โมเดลเศรษฐกิจใหม่ของนาจิ๊บมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จแค่เอื้อมเพื่อนบ้านก้าวไกลแต่ไทยแลนด์ได้แค่ก้าวตามหากเสถียรภาพการเมืองยังไม่เสถียรสักที
ที่มา.บางกอกทูเดย์
......................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น