
มีคนเล่าให้ฟังว่า พอเห็นภาพอดีตประธานสภา ยงยุทธ ติยะไพรัช นั่งข้างนายกทักษิณอย่างสง่าผ่าเผยที่ดูไบในวันอวยพรปีใหม่พรรคเพื่อไทย หลายคนรู้สึกแปลกใจขึ้นมาทันทีทันควัน เพราะคนส่วนมากไม่รู้ว่าท่าน ส.ส.จากเชียงฮาย (อ.แม่จัน) มีบทบาทขนาดไหนในการต่อสู้ของท่านทักษิณ
ก็คงต้องสาธยายให้ฟังกันมั่ง เดี๋ยวจะเชยกันไปใหญ่โตมโหระทึก
ถึงวันนี้แล้ว ใครร่วมขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและไม่รู้บทบาทของเสี่ยยงยุทธ เปรียบได้กับกินน้ำพริกที่ไม่เผ็ด ไม่มีทางแซ่บอีหลี เลียพื้นซีเมนต์เล่นยังอร่อยกว่าเลยคุณ
คนชื่อยงยุทธวันนี้ สำคัญและมีความหมายหลาย ๆ เอาว่ามากกว่างูเห่าปากห้อยสมัยก่อนหลายเท่าตัว
สมัยก่อนก็เหมือนกัน คนไม่ค่อยรู้ว่านายเนรคุณน่ะเขามาสาย “นายหญิง” ไม่ใช่สาย “นายใหญ่” แต่อยู่ไปอยู่มาก็เริ่มเบียดคนที่ “นายใหญ่” เขาใช้ใกล้ชิดชนิดแนบแน่นคือ “ยงยุทธ ติยะไพรัช” คนนี้ก็รักนายมาก พอทำท่าจะเป็นศึกสายเลือดขึ้นมาแกก็ไม่แข่งด้วย ยกความดีให้นายปากห้อยแกไปหมด จนผู้คนนึกว่านายห้อยนี่เป็นตัวกุมยุทธศาสตร์หลัก
เอาแต่ตัวอย่างเดียวก็พอมั้ง เวทีต่อต้านพวกพันธมิตรที่สวนจตุจักรน่ะ ใคร ๆ ก็นึกว่าเนรวินเป็นคนทำ
ความจริงคนทำชื่อ ยงยุทธ
ยาวมาจนถึงช่วงปี 2549 ที่ฝีเกือบจะแตกแล้ว คนชื่อยงยุทธคือรัฐมนตรีเดียวที่เตรียมการต่อสู้อย่างเป็นน้ำเป็นเนื้อ (ขนาดเตรียมกองกำลัง) ในขณะที่คนอื่นๆ พากันเสวยสุขหรือขอเกาะขากางเกงนายลูกเดียว แต่ก็โดน “เตะตัดขา” จากนายพลฝ่ายเราเอง นัยว่ากลัวจะมาแย่งบทบาทเด่นดังไป ก็ไอ้นายพลประเภทดาวหนักบ่า หาผลงานอะไรเป็นสับปะรดขลุ่ยไม่ได้นี่แหละ พอเขายึดอำนาจก็เดี้ยง ใบ้รับประทานไปตาม ๆ กัน ถ้าปล่อยให้ท่านยงยุทธเดินได้ตามที่วางหมากไว้ คงไม่ต้องมานั่งน้ำตาเช็ดหัวเข่ากันเดี๋ยวนี้หรอ
คนวงในรู้ดีเหลือเกินว่า นายกทักษิณท่านมีของท่านหลายวง แต่วงที่ใกล้ตัวที่สุดและเป็นวงในที่สุดของที่สุด ต้องมียงยุทธ
ติยะไพรัชอยู่ด้วยทุกครั้ง เหตุผลก็เพราะเขาผู้นี้สร้างผลงานจนนายใหญ่ยอมรับและไว้ใจอย่างไม่มีเงื่อนไข
ไม่ต้องแปลกใจที่มาจากพรรคประชาธิปัตย์แท้ ๆ (สำคัญขนาดเทพเทือกมากล่อมให้กลับรังเดิมตั้งหลายหน) แต่นายกทักษิณไว้ใจให้เป็นโฆษกรัฐบาล เลขาธิการนายก รัฐมนตรีทรัพยากร และที่สุดให้ขึ้นแท่นในฐานะประมุขสูงสุดของฝ่ายนิติบัญญัติคือประธานรัฐสภา
ตอนไทยรักไทยถูกยุบแล้วมาตั้งพรรคพลังประชาชน ก็ให้มานั่งแป้นรองหัวหน้าพรรคอันดับหนึ่ง โดย “ลุงหมัก” (ผู้ล่วงลับ) ประกาศในฐานะหัวหน้าพรรคว่าจะไม่บริหารงานใด ๆ ในพรรคเลย ก็แปลว่ารองยงยุทธในวันนั้นก็คือหัวหน้าพรรคพลังประชาชนตัวจริงนั่นแล การขึ้นแป้นเป็นประธานรัฐสภาบอกเป็นสัญญาณทางการเมืองอยู่แล้วว่าเขามีความสำคัญใน
ทางการเมืองขนาดไหน
ไอ้พวกลูกอีดอกทั้งหลายในฝ่ายอำมาตย์มันก็รู้อย่างนี้แหละ มันถึงได้วางแผน “ซิว” จนต้องออกจากตำแหน่งประธานสภา แถมยังเอาเรื่องตอหลดตอแหลมากล่าวหาจนยุบพรรคพลังประชาชนได้อีกต่อหนึ่ง
สมุนอำมาตย์ชาติ “วรนุช” พวกนี้มันรู้ว่า ยงยุทธ ติยะไพรัช อยู่ในฐานะแม่ทัพของขบวนการใหญ่ ก็ต้องเชือดเสียก่อนจะได้สำแดงฤทธิ์
ทวนความหลังกันเบาะๆ ไม่ถึงกับเตียงๆ กันอย่างนี้ เพื่อให้รู้ว่าวันนี้คนชื่อยงยุทธกลับมากุมงานหลักของแม่ทัพทักษิณ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดมหัศจรรย์อันใดดอก แล้วถ้าจะมีบทบาทต่อไปชนิดที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึกไว้ ก็ไม่ต้องวี้ดว้าดกระตู้วู้กันหรอกท่านสาธุชนและพุทธบริษัททั้งหลายเอ๋ย
อำมาตย์มันไม่รู้หรอกว่า เอาคนชื่อยงยุทธออกจากตำแหน่ง และกดดันให้อยู่ห่างพรรคเพื่อไทยอย่างนี้
ก็เท่ากับปล่อยเสือเข้าป่า มันส์พ่ะย่ะค่ะเลยทีเดียวเจียว
น่าแปลกใจก็อีตรงที่ว่า ยงยุทธ ติยะไพรัช เป็นผลผลิตของระบบพรรคการเมืองแท้ ๆ ต่อสู้มาจนลูกชาวบ้านแม่จันได้เป็นผู้แทนราษฎรใหญ่โต แต่วันนี้เขาไม่ยี่หระเลยกับตำแหน่งและบทบาทสำคัญๆ ในพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่เพราะถูกตัดสิทธิ์การเมืองห้าปี มันมีทางเล็ดรอดได้อยู่แล้วถ้าจะเอาจริงๆ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเกิดประกายสว่างบางอย่างขึ้นในหัวว่า ของพรรค์นี้มันไม่สำคัญอะไรหรอก มาต่อสู้กันให้ถึงพริกถึงขิงกันดีกว่า ระหว่างประชาชนกับอำมาตย์
ไม่น่าแปลกใจที่พี่น้องจากนรกสองคน คือพลเอกสมเจตน์และพลตำรวจโทสมคิด โคตรเดียวกันคือบุญถนอม มันถึงได้ไล่ล่าอดีตประธานสภาคนนี้ชนิดพลิกแผ่นดิน เพราะ “แม่” มันรู้ว่าคนๆ นี้สำคัญและ “แม่” มันก็สั่งให้เอาตัวมาให้ได้
นายกทักษิณท่านก็รู้ว่าใผเป็นใผ ตอนแรกทำท่าจะไปไม่ถูก พอเนรวินมันหักหลังหักหน้าไป แต่พอนึกขึ้นได้ว่าไอ้ปากห้อยมันก็เด็กสร้างของคนชื่อยงยุทธ ก็เลยหยุดกลุ้มใจ ใช้คนชั้นนายพลอย่างยงยุทธไปเป็นแม่ทัพอย่างเหมาะสม ให้พลทหารเลว ๆ มันไปภูมิใจแมวไกล ๆ ที่อื่น
เมื่อชัดเจนแจ่มแจ๋วอย่างนั้น งานก็เดิน เดินปรู๊ดปร๊าดจนขบวนการประชาธิปไตยกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่จนเดี๋ยวนี้ผู้คนมีกำลังใจขึ้นเยอะ
บอกแล้วไงว่า ขบวนประชาธิปไตยมันเหมือนรถไฟขบวนใหม่ แล่น ๆ มันก็ติดขัดมั่งอะไรมั่ง ต้องเปลี่ยนเอาโบกี้นี้ออกหรือเอาอันโน้นเข้ามั่ง ถือว่าธรรมดา แต่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่า ใครเป็นเจ้าของมือที่เอื้อมมาช่วยสลับสับเปลี่ยนจนทุกอย่างลงเนื้อลงตัว จนเห็นมานั่งเอี้ยมเฟี้ยมอยู่ข้างนายกรัฐมนตรีชื่อทักษิณที่ดูไบวันนั้นถึงได้รู้
ฝ่ายเรามันก็มีคนหน้าด้าน คนสอพลอ คนนาโต้ (ไม่ทำ พูดอย่างเดียว) คนสองหน้าขาถ่างอะไรเทือกนี้เหมือนฝ่ายอื่น ๆ เขา แต่เมื่อตัวจริงเสียงจริงผุดขึ้นมาแล้ว ได้แต่อนุโมทนาว่า สุดท้ายปัญญาก็เกิด (จนได้)
เมื่อตัวจริงเข้ามา ตัวปลอมทั้งหลายก็ค่อย ๆ จางหายไปเป็นธรรมดา
คอลัมน์ คมความคิด
โดย.จิตร พลจันทร์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น