--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2553

นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เขายายเที่ยง และการสังหารคนจนไร้ที่ดินสุราษฎร์ธานี

นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้กล่าวว่า ...

“ถูกต้องครับ เพราะผมมองไม่เห็นว่าทำไมสังคมต้องมาขัดแย้งกันในเรื่องที่ดินแปลงเดียว เมื่อมีการวินิจฉัยข้อกฎหมายก็ควรจะดำเนินการไป ปมที่มันเป็นความขัดแย้งอยู่มันเป็นข้อยุติก็ดำเนินการ"

ได้สะท้อนให้เห็นอาการไม่มีความรู้ และสะท้อนการคิดแบบการเมืองที่ไม่สร้างสรรค์ เพราะกรณีเขายายเที่ยงไม่ได้มีเฉพาะที่เขายายเที่ยง แต่มันเป็นปัญหาการจัดการทรัพยากรป่า-ที่ดินในสังคมไทย

ไม่มีประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและความยุติธรรม ไม่มีครั้งไหนจะยิ่งใหญ่ มีมวลชนไพศาลเข้าร่วม และเป็นประเด็นทางสังคมไทยที่สำคัญ เท่ากับการนำการต่อสู้ของคนเสื้อแดง

การต่อสู้ของ”คนเสื้อแดง”ได้เปิดโปงให้สังคมไทยได้รับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากลต่อการยึดครองพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติของอดีตนายกรัฐมนตรีสุรยุทธ์ องคมนตรี และชี้ให้เห็นถึงความอยุติธรรม ในการใช้กฎหมายแบบสองมาตราฐาน

แต่ในทางกลับกัน เมื่อคนจนผู้ยากไร้ใช้ทั้งๆ ที่อยู่มาก่อนการประกาศพื้นที่ป่าของกรมป่าไม้หรือแม้แต่ใช้แรงงานเข้าบุกเบิกทำกินเพื่อมีชีวิตอยู่รอดภายหลังก็ตาม กลับถูกกฎหมายที่หมายกดและไม่สอดคล้องกับสภาพความจริง จับกุมคุมขังผู้ยากไร้ในแผ่นดิน

ขณะที่เหล่าอำมาตย์ กลุ่มอภิสิทธิชนอิทธิพลนายทุนกลับลอยนวลไม่มีการจัดการตามกฎหมายแต่อย่างใด กลไกรัฐกระบวนการยุติธรรมทั้งอัยการ ตำรวจ ศาล เจ้าหน้าที่ป่าไม้ (รวมทั้งองค์กรสิทธิ์มนุษยชนที่ทำหน้าที่รับใช้เนื้อเดียวกับรัฐอำมาตย์) กลับทำหน้าที่รับใช้ระบอบอำมาตยาธิปไตย

และคงต้องติดตามกรณี เขาสอยดาว จ.จันทบุรี ตอนต่อไป เมื่อคนเสื้อแดงจะมีการเคลื่อนไหวใหญ่อีกครั้งหนึ่งเพื่อเปิดโปงอำมาตย์ใหญ่

อย่างใดก็ตามท่ามกลางการเคลื่อนไหวกรณีเขายายเที่ยงของคนเสื้อแดง ณ ดินแดนด้ามขวานทอง ตอนหัวค่ำของวันที่11 มกราคม 2553 มือปืนไม่ต่ำกว่า 2 คน ได้กาดกระสุนจากปากกระบอกปืน M 16 ใส่นายสมพร พัฒนภูมิ อายุ 53 ปี สิ้นใจคาที่พักพิง

นายสมพร พัฒนภูมิ เดิมเป็นคนบ้านตำบลชะเมา อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่เดินทางดิ้นรนมาเป็นช่างทาสีในอู่รถ เป็นแรงงานรับจ้างหากินเป็นวันๆ เพื่อยังชีพ อยู่แถวบ้านซ้อง อำเภอเวียงสระ จังหวัดสุราษฎรธานี

เมื่อปี พ.ศ. 2546 ได้มีการเคลื่อนไหวเรียกร้องให้มีการจัดสรรที่ดินทำกินให้กับผู้ต้องการทำการผลิตเพื่อเกษตรกรรม นายสมพร ก็เป็นหนึ่งในหลายพันคนของผู้ไร้ที่ดิน มีความปรารถนา ต้องการมีที่ดินในการทำการผลิตทำมาหากิน จึงได้เข้าร่วมเคลื่อนไหวในครั้งนั้นด้วย

การเคลื่อนไหวได้มีการเปิดโปงถึงการนำ ส.ป.ก. 4-01 นับ 1,000 กว่าไร่ให้กับบริษัทจิวกังจุ้ย จำกัด ต.ไทรทอง อ.ชัยบุรี จ.สุราษฎร์ธานี อย่างผิดกฎหมาย เพราะเป็นนายทุน มิใช่เกษตรกร

จนกระทั่งทำให้สำนักงานปฏิรูปที่ดินต้องจำยอมดำเนินการฟ้องร้องบริษัทจิวกังจุ้ย จำกัด ทั้งแพ่งและอาญา ในที่สุดศาลตัดสินให้บริษัทแพ้คดี ปัจจุบันอยู่ระหว่างบริษัทยื่นอุทธรณ์ ท่ามกลางกระแสข่าวว่าทางตำรวจวางแผนจะดำเนินการสลายการยึดครองที่ดินของชุมชนเกษตรกรปักษ์ใต้

ที่ดินผืนนี้ที่นายสมพรและคนจนยากไร้ที่ดินภาคใต้ ได้เคยเสนอให้รัฐดำเนินการนำที่ดินมาให้คนจนผู้ไร้ที่ดินทำกิน แต่รัฐบาลไม่จริงจังในการดำเนินการแก้ไขปัญหา พวกเขาจึงต้องยึดครองที่ดินด้วยสองมืออันว่างเปล่า เพราะ “ที่ดินต้องเป็นของผู้ถือคันไถ”

นายสมพร ได้เข้าทำกินในพื้นที่เพียง 1 ไร่ ใช้แรงงานปลูกผัก ทำบ่อปลา ณ ชุมชนครองไทรพัฒนา และชุมชนยกย่องให้เป็นเกษตรกรตัวอย่างที่มีความมุ่งมั่นลงแรงพลิกผืนดินให้เป็นแหล่งอาหารเลี้ยงชีวิต

ที่ดินผืนนี้ เป็นของบริษัทไม่ธรรมดา ใกล้ชิดกับนักการเมืองใหญ่ ที่มีบทบาทหลักในรัฐบาลอำมาตอภิสิทธิ์ หรือไม่ ? ต้องตรวจสอบกัน บริษัทไม่ธรรมดานี้ เป็นกระเป๋าหนักในการสนับสนุนพรรคเก่าแก่อนุรักษ์นิยมภาคใต้หรือไม่? ต้องตรวจสอบกัน

แต่ที่แน่นอน ที่ดินผืนนี้ ได้เปิดโปงให้เห็นการทุจริต ที่ดินสปก กลับเป็นของนายทุนเข้าครอบครอง เหมือนเช่นกรณีสปก4-01 จังหวัดภูเก็ต แต่รัฐไม่จัดการตามกฎหมายและเมินเฉย ใช่หรือไม่?

สำนักงานปฏิรูปที่ดิน กรมที่ดิน วิธีคิดวิธีการทำงานไม่ต่างกับกรมป่าไม้ ล้วนรวมศูนย์อำนาจ ผูกขาดอำนาจ ใช้ระบบระเบียบแบบสั่งการจากเบื้องบน ไม่ฟังเสียงประชาชน เป็นวิธีคิดแบบอำมาตยาธิปไตยที่ครอบงำสังคมไทยมานับตั้งแต่มีรัฐชาติเกิดขึ้น

ความตายของนายสมพร ได้ตอกย้ำให้สังคมไทยเห็นถึงความสองมาตราฐานของระบบราชการซึ่งเป็นกลไกหลักสำคัญของอำมายตยาธิปไตย เป็นส่วนหนึ่งทั้งวิธีคิดและการปฏิบัติ และถึงเวลายกเครื่องกลไลรัฐ กรมที่ดิน กรมป่าไม้ สปก และอื่นๆ สร้างกลไกประชาธิปไตย ตรวจสอบถ่วงดุลย์ โปร่งใส กระจายอำนาจ ทั้งวิธีคิด จิตสำนึก เพื่อจัดการป่าไม้-ที่ดิน ให้เกิดความยุติธรรม เสมอภาคเท่าเทียมกัน

และแน่นอนว่าคงมิอาจเกิดขึ้นแน่ยุคที่อำมาตยาธิปไตยครองเมืองและการไม่มีความรู้การจัดการป่า-ที่ดินของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์

ที่มา:ประชาไท

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น