--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2553

มหกรรมตบเท้า

ที่มา:คอลัมน์ เหล็กใน

ขุนทหารใหญ่น้อยตบเท้าพึ่บพั่บยิ่งกว่ามหกรรม

เพื่อแสดงพลังให้กำลังใจพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.

พร้อมๆ กับกดดันพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิ ทบ. ยุติการดูหมิ่นผู้บังคับบัญชา

พล.ต.คนเดียว ตำแหน่งเพียงผู้ทรงคุณวุฒิ ทำเอาปั่นป่วนไปทั้งกองทัพ!

มหกรรมตบเท้าห่างหายจากกองทัพนานแล้ว

และที่ผ่านมาการแสดงพลัง มักเป็นปัญหาระหว่าง "นาย" กับฝ่ายการเมือง

ไม่ใช่ "นาย" กับลูกน้อง หรือกับทหารด้วยกันเองเหมือนตอนนี้?

ยุคเก่าก่อนพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ สมัยนั่งผบ.ทบ.ควบเก้าอี้นายกฯ

อบอุ่น อิ่มเอิบอย่างยิ่ง

บรรดา "ลูกป๋า" พากันตบเท้าเป็นประจำ เพราะนักการเมืองมักจุกจิกกวนใจ

ความอบอุ่นของลูกๆ มีส่วนช่วย "ป๋า" ครองตำแหน่งยาวนานถึง 8 ปี

จากนั้นมีมหกรรมตบเท้าครั้งใหญ่ในยุคพล.อ.สุจินดา คราประยูร

เมื่อผบ.ทบ.ขัดแย้งอย่างรุนแรงกับนายกฯ

กองทัพเปิดโรงแรมหรูกลางกรุง จัดงาน "ร้อยกรมแดนไกล รวมใจที่นายเดียว"

เสียงท็อปบู๊ตคอมแบตกระทบกันดังกระหึ่ม

ผู้นำแสดงพลังวันนั้น คือ ผบ.ร.11 รอ. ตำแหน่งเดียวกับพ.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์

ทายาท "บิ๊กจ๊อด" ผู้นำตบเท้าวันนี้

อีกไม่กี่วันต่อมา "บิ๊กสุ" จัดการปฏิวัติ "น้าชาติ" เรียบโร้ยย รสช.

แต่แล้ว "บิ๊กสุ" ก็ต้องเสียผู้เสียคนเพราะตบเท้า?

เมื่อเปิดทบ.รับกำลังใจก่อนไปรับตำแหน่งนายกฯ

ชายชาติทหารใหญ่น้ำตาคลอ คร่ำครวญเรียกร้องความเห็นใจ!

"ขอเสียสัตย์เพื่อชาติ"

ทว่าประชาชนไม่เล่นด้วย รวมตัวเดินขบวนขับไล่ บานปลายกลายเป็น "พฤษภาทมิฬ" เลือดนองราชดำเนิน

จากนั้นมาแทบไม่มีมหกรรมตบเท้ากระทบท็อปบู๊ตของเหล่าขุนทหาร

เพราะโลกยุคใหม่ การตบเท้า ยกป้าย ชูคำขวัญ มันออกแนวเชยๆ

คนแสดงก็เหมือนเชลียร์ คนรับก็เหมือนขาดความอบอุ่น

ถ้ามีก็มักเป็นการจัดฉากเอาใจนักการเมือง หรือข้าราชการผู้ใหญ่ที่มีปัญหา

เมื่อจู่ๆ ขุนทหารออกมาตบเท้าให้กำลังใจ "นาย" เป็นมหกรรมต่อเนื่อง

สายตาจากสังคมจึงรู้สึกพิศวง??

เพราะคู่กรณีผบ.ทบ.ไม่ใช่ฝ่ายการเมืองเหมือนอดีต

แต่เป็นพล.ต.คนเดียวโด่เด่

และเป็นลูกน้องใต้บังคับบัญชา!?

"เสธ.แดง"อ้างสินบนคดี"ยึดทรัพย์" ทำคนไม่พอใจจนคิด"ลอบฆ่า"

ที่มา:มติชนออนไลน์

"เสธ.แดง"อ้างสินบนคดี"ยึดทรัพย์" ทำคนไม่พอใจจนคิด"ลอบฆ่า" กมธ.สภาฯ แฉ พล.อ."ว." ร่างทรงนำรัฐประหาร

"เสธ.แดง"อ้างเหตุสินบนนำจับคดียึดทรัพย์ ทำคนมีอุดมการณ์ไม่พอใจ อาจยิงทิ้งได้ทุกวัน ติง"สุเทพ"สำนึกบุญคุณ เป็นรองนายกฯ ได้เพราะ"เอ็ม79" กมธ.สภาฯ เล็งเรียกฝ่ายมั่นคงชี้แจง แฉ พล.อ."ว."ร่างทรงนำรัฐประหาร

เสธ.แดงอ้างเหตุสินบนนำจับ

พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 30 มกราคม ถึงความเป็นได้ที่จะเกิดเหตุลอบสังหารองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่พิจารณาคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และอดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เมื่อวันที่ 30 มกราคมว่า อยากถามไปยังผู้พิพากษาว่า คดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท ของพ.ต.ท.ทักษิณ หากไม่มีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งเป็นศาลที่ตัดสินครั้งเดียวจบ คดีนี้จะเสร็จภายใน 2 – 3 ปีหรือไม่ ถ้าให้ตนตอบ รับรองได้ว่าไม่จบ อย่างน้อยต้อง 7 – 8 ปี นี่ประเทศไทยเป็นอะไร ถึงมีกระบวนการยุติธรรมแบบที่ไม่เคยมีประเทศไหนเขามีกัน เล่นมาตัดสินกันวันสองวันแล้วเลิก มันไม่ได้

"อยากให้ศาล ป.ป.ช. และคตส. รู้ไว้ว่าการที่พวกคุณได้เงินสินบนนำจับจากการตัดสินคดีนี้ 25% คิดเป็นเงิน 19,000 ล้านบาท คนที่มีอุดมการณ์เขาไม่พอใจและทนเห็นประเทศไทยอยู่ภายใต้ความอยุติธรรมไม่ได้ เขาอาจจะยิงคุณทิ้งเสียวันนี้วันพรุ่งนี้หรือหลังวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ได้ทุกวัน และอย่าลืมว่าข้าราชการและตำรวจที่ทำงานอยู่หน่วยงานต่างๆ มีเลือดเป็นคนเสื้อแดงก็เยอะ คลิ๊กคอมพิวเตอร์เข้าไปดูในทะเบียนราษฎร์ก็รู้แล้วว่าบ้านของคุณอยู่แห่งหนไหน สืบได้ไม่ยากหรอก พอเจอข้อมูล รุ่งขึ้นเขาอาจจะไปรื้อบ้านคุณเลยก็ได้ ที่ผ่านมามีคนมาถามผมเรื่องนี้มาก ผมก็ทำได้แค่เตือน หากเตือนแล้วไม่ฟัง ก็คิดกันเอาเองว่าอะไรจะเกิดขึ้น” พ.ต.ขัตติยะ กล่าว

ให้"สุเทพ"สำนึกบุญคุณ"เอ็ม79"

พล.ต.ขัตติยะ กล่าวว่า การที่นายสุเทพบอกว่าตนมีโอกาสสูงที่จะติดคุกหากทำผิดอีก หลังตำรวจเข้าตรวจค้นที่บ้านพัก แล้วเจอระเบิดเอ็ม 79 และอาวุธต่างๆ ตนขอถามหน่ายว่านายสุเทพเป็นผู้พิพากษาตั้งแต่เมื่อไหร่ นายสุเทพต้องไม่ลืมว่าตัวเองติดหนี้บุญคุณระเบิดเอ็ม 79 เพราะหากไม่มีระเบิดเอ็ม 79 ผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่เข้ามายึดทำเนียบช่วงรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ เขาไม่ยอมออกจากทำเนียบเด็ดขาด

"พี่เทพไม่ควรมาดูถูกระเบิดเอ็ม 79 พี่เทพควรขอบคุณเคารพและเทิดทูนด้วยการกราบ หรือไม่ให้นำไปใส่ในน้ำมนต์แล้วนำมาพรมหัว อย่าเนรคุณระเบิดเอ็ม 79 เลย เพราะถ้ากลุ่มพันธมิตรไม่ออกจากทำเนียบพี่เทพจะได้มานั่งเป็นรองนายกฯที่ตึกบัญชาการหรือ และพี่เทพอย่ามาจับผมเลยเพราะผมไม่ได้สู้กับพี่เทพ ผมสู้กับระบบอำมาตย์ ผมสู้กับทหารตุ๊ด" พล.ต.ขัตติยะ กล่าว

กมธ.สภาฯ เล็งเรียกฝ่ายมั่นคงแจง

นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย และประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ กมธ.จะทำหนังสือเชิญสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) หน่วยข่าวกรอง รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รวมทั้งพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล (เสธ.แดง) ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก มาชี้แจงต่อกมธ.เพราะการที่เสธ.แดงออกมาเตือนว่าจะมีการลอบฆ่าคตส. และป.ป.ช.ในคดียึดทรัพย์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ นั้น ก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่เสียหาย และควรตั้งเป็นข้อสังเกตเพื่อระวังไว้ดีกว่าจะเพิกเฉยไม่ระมัดระวัง เพราะขนาดห้องทำงานของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ยังถูก ยิงด้วยเอ็ม 79 ดังนั้น กมธ.การยุติธรรมฯ จะเข้ามาดูว่ากรณีดังกล่าวเป็นจริงหรือไม่อย่างไร

"ที่นายกล้านรง จันทิก กรรมการ ป.ป.ช.บอกว่าไม่กลัวตายนั้น หากคนที่ตายเป็นตายทำในสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรมและมีคุณธรรมก็คงไม่ตายหรอก หากทำคดียึดทรัพย์อดีตนายกฯทักษิณ แล้วตายก็คงไม่ใช่ เว้นแต่การตัดสินนั้นไม่ได้กระทำเพื่อสนองตัณหากลุ่มอำมาตย์ที่ไปชี้นำบงการอยู่ ผมเชื่อว่าหากทำเช่นนี้กฎแห่งกรรมจะตามทันแน่ " นายประชา กล่าว

แขวะ"อภิสิทธิ์" จะชงทหารให้ยึดอำนาจ

นายประชา กล่าวว่า วันนี้สิ่งที่พรรคร่วมรัฐบาล และพรรคประชาธิปัตย์ออกมาฟาดหัวฟาดหางนั้นเป็นการเล่นละครจัดฉากหรือไม่ที่จะแตกคอเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะขณะนี้ทหารก็ออกมาเคลื่อนไหวแล้ว ดังนั้นฝากถามนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่าคิดจะรัฐประหารตัวเองเหมือนสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร อดีตนายกฯ เพื่อให้นายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯต่อหรืออาจจะสลับคนอื่นขึ้นมาเป็นนายกฯภายใต้แกนนำทางลับของกลุ่มอำมาตย์กลุ่มเดิมนี่คือแผนการล่าสุดที่ตนได้เปิดเผยออกมา เพราะขณะนี้ตนได้รับรายงานว่ามีความพยายามรัฐประหารตัวเองแล้วกลับเข้ามาใหม่ แต่ก็มีทหารกลุ่มหนึ่งไม่ยอมผนวกกับกองทัพภาคประชาชนด้วย เมื่อได้เห็นกองทัพออกมาตบเท้ากันมากจึงทำให้การรัฐประหารตัวเองชะงัก

"นายอภิสิทธิ์ได้เข้าไปพบผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ขอให้นายอภิสิทธิ์ออกมาพูดความจริงว่าที่เข้าไปนั้นมีสิ่งใดที่พูดไม่ออกหรือไม่ เพราะมีประโยคที่ส่งสัญญาณให้นายอภิสิทธิ์ปลด ผบ.ทบ. (พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา) ออก เรื่องนี้ท่านจะกล้ายืนยันต่อสังคมหรือไม่ เพราะนายกฯ เข้าไปพบผู้ใหญ่เพื่อรับคำสั่งให้ปลดผบ.ทบ.ที่กำลังจะเกษียณอายุราชการ เพราะไม่สามารถแก้ปัญหาความแตกแยกของสังคมได้ มีการจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงไม่หยุด นักการเมืองทุจริต ผบ.ตร.แต่งตั้งไม่ได้ การทุจริตเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด เหล่านี้คือเงื่อนไขที่ทำให้ต้องปลดผบ.ทบ." นายประชา กล่าวและว่า วันนี้ผู้มีอำนาจทางที่มืดเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์กำลังเพลี่ยงพล้ำ และเกรงว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะปันใจตีตัวออกห่าง ดังนั้น ผู้ที่อยู่ในที่มืดเกรงว่าภัยอันตรายจะมาถึงตัวด้วยการเปิดโปงเพราะเขายายเที่ยงก็ถูกเปิดโปงแล้วตามมาด้วยเขาสอยดาว

แฉ พล.อ."ว."ร่างทรงนำรัฐประหาร

เมื่อถามว่า ข้อมูลดังกล่าวสอบรับกับที่กลุ่มคนเสื้อแดงออกมาปูดว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง.ผบ.ทบ.มีแผนการรัฐประหารหรือไม่ นายประชา กล่าวว่า เรื่องนี้มี พล.อ. ชื่อย่อ "ว." เป็นเตรียมทหารรุ่น 11 อายุ 54 ปี อีก 6 ปีจะเกษียณอายุราชการ เป็นคนคุมกำลังหลักในการจะกระทำการรัฐประหาร เพราะคนนี้จะเป็นร่างทรงนอมินีที่จะเคลื่อนไหวเพื่อทำรัฐประหาร ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นเพียงตัวละครชูโรง เป็นร่างทรงตัวหนึ่ง ที่เป็นตัวยิงลูกโทษหลอกแต่ไม่ได้ยิง แต่คนอยู่ด้านหลังคือ พล.อ. "ว." จะยิงเข้าประตูแทน อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้หากตนได้เอกสารแผนปฏิบัติการรัฐประหารดังกล่าวตนจะเปิดเผยต่อสื่อมวลชน

"ทหารควรปกป้องชาติ ราชบัลลังก์ มากกว่าแสดงพลังออกมาปกป้อง ผบ.ทบ.เพราะพล.อ.อนุพงษ์มีส่วนเกี่ยวข้องการรัฐประหารในอดีตด้วย ทั้งนี้ขณะนี้มีกระแสหนาหูว่าจะมีสหบาทาเพื่อปลด พล.อ.อนุพงษ์ และการที่ทหารตบเท้าแสดงพลังแสดงว่ากองทัพเหล่านี้รู้ใช่ไหมว่า ผบ.ทบ.กำลังจะถูกกดันและถูกปลด ซึ่งการตบเท้าของกองทัพขณะนี้เป็นตัวล่อเป้าให้เห็นว่าพล.อ.อนุพงษ์ก็มีกำลังเหมือนกัน และขณะนี้มีเค้าจะรัฐประหารแล้วเพราะได้เคยมีการประชุมที่มณฑลทหารบกที่ 2มาแล้ว" นายประชา กล่าวและว่า การที่ทหารตอนนี้บอกว่าไม่มีการรัฐประหารถามว่าที่ผ่านมาทำไมถึงมีรถถังมายึดอำนาจได้อย่างเช่นปี 2549 ดังนั้นอย่าคิดที่จะรัฐประหารตัวเองเพราะจะไปไม่รอดแน่

เสื้อแดงคนไทยยูเคเปิดโปง นักวิชาการเหลืองที่ลอนดอน

เสื้อแดงคนไทยยูเคเปิดโปง นักวิชาการเหลืองที่ลอนดอน

เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2553 สถานทูตไทยในอังกฤษได้จัดงาน “แก้ตัวแทนอำมาตย์สร้างภาพความบริสุทธิ์” เพื่อหลอกลวงนักศึกษาไทยและนักวิชาการต่างประเทศ โดยเชิญ สุจิต บุญบงการ และ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ มาเป่าหูประชาชน ที่ SOAS มหาวิทยาลัยลอนดอน โดยที่ก่อนเข้าห้องสัมมนาสถานทูตมีการแจกโฆษณาชวนเชื่อเรื่อง “เศรษฐกิจพอเพียง” และบทความของ บวรศักดิ์ ที่สร้างความชอบธรรมให้กับกฎหมายหมิ่นเดชานุภาพ

อย่างไรก็ตามชาวไทยที่รักประชาธิปไตยในอังกฤษได้รวมตัวกันเพื่อเปิดโปงสองโฆษกของอำมาตย์ มีการแจกใบปลิว และมีการตั้งคำถามคมๆจากผู้เข้าฟังหลายคน (แต่ขอไม่แจ้งนามเพื่อปกป้องความปลอดภัย) ในช่วงแรกเจ้าหน้าที่สถานทูตพยายามใช้ยามของมหาวิทยาลัยเพื่อห้ามไม่ให้มีการแจกใบปลิวและเพื่อสกัดกั้นไม่ให้ ใจ อึ๊งภากรณ์ เข้าไปในที่ประชุมแต่ไม่ประสบความสำเร็จ

ทูตไทยประจำอังกฤษเปิดการประชุมโดยสร้างภาพลวงตาว่าขบวนการเสื้อแดง ไม่ได้เป็นตัวแทนของคนส่วนใหญ่ และพูดต่อไปว่ากษัตริย์ไทยอยู่เหนือการเมืองมาตลอด

สุจิต บุญบงการ นำการอภิปรายโดยอ้างเช่นเดียวกับทูตว่าคนเสื้อแดงเป็นตัวแทนของคนส่วนน้อยในสังคม ในขณะที่คนส่วนใหญ่เป็น “พลังเงียบ” การวาดภาพสังคมการเมืองไทยทั้งในอดีตและปัจจุบันของ สุจิต มีลักษณะ “ประหยัดในความจริง” เพราะไม่กล่าวถึงรายละเอียดการยุบพรรค การมีสองมาตรฐานทางกฎหมาย หรือ บรรยากาศการเซ็นเซอร์สื่อ นอกจากนี้ สุจิต ดูเหมือนความจำเสื่อมเพราะเสนอว่าความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ไม่เคยมีในสังคมไทยก่อนหน้านี้ เขาคงลืม ๒๔๗๕ หรือ ยุค ๒๕๑๖-๒๕๒๓

เมื่อถูกตั้งคำถามว่าเห็นด้วยกับกฎหมายหมิ่นฯและกระบวนการของศาลหรือไม่? สุจิต ตอบว่า กระบวนการยุติธรรมในกรณีกฎหมายหมิ่นฯ ดีอยู่แล้ว “เป็นธรรมและจำเป็นต้องปิดศาลในการพิจารณาคดี” (ซึ่งเรามองว่าเป็นการกระทำที่ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานความโปร่งใสสากล) มีการพูดถึงคณะกรรมการใหม่ที่อภิสิทธิ์ตั้งขึ้นเพื่อทบทวนการใช้กฎหมายหมิ่นฯ เหมือนกับว่าจะสร้างความยุติธรรม แต่นักสิทธิมนุษยชน

หลายคนสงสัยว่าวัตถุประสงค์จริงคือการทำให้กฎหมายหมิ่นฯ มีประสิทธิภาพสูงขึ้นต่างหาก สุจิต พูดอีกว่าคนที่ถูกลงโทษในคดีหมิ่นฯสามารถร้องเรียนไปถึงกษัตริย์ได้แต่ลืมบอกว่าในกรณี สุวิชา ท่าค้อ ยังไม่มีคำตอบมาทั้งๆที่ติดคุกมาหนึ่งปีแล้ว และในกรณีที่ผู้ถูกคุมขังยืนยันว่าไม่ได้ทำอะไรผิดจะไปขอขมาทำไม สุจิต จบลงด้วยการเสนอว่าในประเทศไทยเรามีเสรีภาพในการแสดงออกไม่ได้ เพราะเรามีวัฒนธรรมในการรักกษัตริย์ อย่างไรก็ตามคนไทยผู้รักประชาธิปไตยขอมองต่างมุม วัฒนธรรมไทยมีหลายประเภท วัฒนธรรมไทยของสุจิต คือวัฒนธรรมทาสแต่วัฒนธรรมไทยของเราคือวัฒนธรรมของเสรีชน

บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ผู้เปลี่ยนเจ้านายตามกระแสลมเพื่อเอาตัวรอดอย่างสม่ำเสมอ พยายามอ้างว่าปัญหาของสังคมมาจากความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจนซึ่งต้องเร่งแก้ไข แต่เมื่อถูกถามว่าเขาจะคัดค้านเศรษฐกิจพอเพียงหรือไม่ เพราะเป็นลัทธิที่ไม่เห็นด้วยกับการกระจายรายได้ และเป็นลัทธิของคนที่รวยที่สุดในประเทศไทย บวรศักดิ์ ไม่มีคำตอบ ได้แต่โกหกว่าตนเองสนับสนุนให้ไทยเป็นรัฐสวัสดิการ แต่ในประโยคเดียวกันเจ้าพ่อแห่งความเจ้าเล่ห์คนนี้ ได้โจมตีนโยบายสวัสดิการที่เป็นประโยชน์สำหรับคนจนของไทยรักไทย ว่าเป็นการสร้าง “ประเพณีการพึ่งพาในระบบอุปถัมภ์” ในประเด็นระบบอุปถัมภ์นี้มีนักวิชาการชาวอังกฤษคนหนึ่งเถียงว่านโยบายของไทยรักไทยไม่ถือว่าสร้างระบบอุปถัมภ์ เมื่อ บวรศักดิ์ ถูกตั้งคำถามว่าทำไมในประเทศไทยถึงมีการใช้สองมาตรฐานทางกฎหมาย เขาตอบว่า “ไม่จริง” และถ้ามีปัญหานี้ก็เป็นเพราะตำรวจไม่ทำตามหน้าที่ บวรศักดิ์ ชื่นชมระบบผู้พิพากษาและศาลจนน้ำลายหยด

เมื่อ บวรศักดิ์ ถูกตั้งคำถามในเรื่องคดีหมิ่นฯ และเสรีภาพในการพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับกองทัพ โดยที ใจ อึ๊งภากรณ์ เสนอความเห็นส่วนตัวว่ากษัตริย์ ภูมิพล อ่อนแอ ไม่มีคุณสมบัติที่จะนำการทำรัฐประหารได้ ในขณะที่ไม่เคยปกป้องประชาธิปไตยเลย แต่ถูกทหารอ้างถึงเพื่ออาศัยความชอบธรรมจากกษัตริย์ในการทำรัฐประหาร บวรศักดิ์ เริ่มแสดงออกอาการฉุนเฉียวพร้อมกล่าวหาเท็จว่า ใจ อึ๊งภากรณ์ เขียนและพูดว่ากษัตริย์เป็นผู้สั่งให้มีรัฐประหาร อย่างไรก็ตามเมื่อมีการพิสูจน์ว่าคำพูดของ บวรศักดิ์ เป็นคำพูดเท็จ และมีการตั้งข้อสงสัยในเรื่องความสามารถทางภาษาของเขา เขาฟิวส์ขาดในทันทีและท้าให้ ใจ มาดีเบทกับเขาเป็นภาษาไทย ใจ อึ๊งภากรณ์ ยินดีรับคำท้านี้ และคนไทยรักประชาธิปไตยในอังกฤษพร้อมจะจัดเวที ให้มีการถกเถียงดังกล่าวกับ บวรศักดิ์ ขอให้เขาเพียงแต่แจ้งมาว่าเขาพร้อมจะร่วมเวทีนี้ที่อังกฤษเมื่อไหร่

ในหนังสือ “ความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ของบวรศักดิ์ ที่แจกให้คนเข้าฟัง บวรศักดิ์ พยายามสร้างภาพเท็จว่าประเทศอื่นมีกฎหมายคล้ายๆกัน แต่ผู้แทนจากองค์กรสิทธิมนุษยชนของนักเขียน (PEN) ชี้แจงก่อนหน้านี้ว่ากฎหมายนี้ถูกยกเลิกไปแล้วในอังกฤษโดยที่ ราชินีอังกฤษเช็นยกเลิกเอง บวรศักดิ์ พยายามอ้างว่าประเทศไทยมี “วัฒนธรรมพิเศษ” ที่ทำให้ไทยเป็นทาสและหมอบคลานต่อ “พระพุทธเจ้าหลวง” หรือ “พ่อที่ปกครองลูก” และยังมีการพูดถึงธรรมราชาซึ่งหมายถึงกษัตริย์ที่ปกครองด้วยธรรมะ (การปกครองด้วยธรรมะ คงหมายถึงการเซ็นรับรองการทำรัฐประหาร?)

ในงานเสวนาครั้งนี้ มีวิทยากรที่เป็นนักวิชาการอังกฤษสองคนมาร่วมเสนอ และทั้งสองคนมองว่ากฎหมายหมิ่นฯ มีปัญหา คนที่น่าสนใจที่สุดคือ Duncan McCargo ซึ่งอธิบายว่าปัญหาความขัดแย้งในภาคใต้ เป็นปัญหาของการรวมศูนย์การปกครองโดยไม่คำนึงถึงวัฒนธรรมและประเพณีที่หลากหลาย ประเด็นที่น่าคิดคือหลายๆฝ่ายในประเทศไทยรวมทั้งทหารและนักการเมือง ยอมรับว่านี่คือปัญหาจริง แต่ไม่มีใครกล้าเปลี่ยนรูปแบบการปกครองเป็นรูปธรรม และDuncan ยังพูดถึงบรรยากาศโดยทั่วไปในไทยว่าประชาชนตกอยู่ในความกลัวและไม่มีเสรีภาพที่จะแสดงความคิดเห็น

ในใบปลิว ของ ใจ อึ๊งภากรณ์ ที่แจกไปในงานเสวนาครั้งนี้ มีการเรียกร้องให้มีการปล่อยนักโทษการเมืองในประเทศไทย และอธิบายว่า ปัจจุบันนี้การเรียกร้องประชาธิปไตยและการพูดความจริงกลายเป็นอาชญากรรม มีการใช้กฎหมายหมิ่นฯกระจายไปทั่วและการพยายามเซ็นเซอร์สื่ออย่างเบ็ดเสร็จ นอกจากนี้มีการพูดถึงระบบสองมาตรฐานในศาลที่ยุบพรรคการเมืองที่ได้คะแนนเสียงมากที่สุด มีการร่างรัฐธรรมนูญของทหารที่ให้ความชอบธรรมกับรัฐประหารและระบุว่าจะต้องมีการเพิ่มงบประมาณทหารในการขณะที่ต้องจำกัดงบประมาณทางสังคม ใบปลิวนี้เสนอว่าพวกที่สนับสนุนรัฐประหาร ๑๙ กันยา ดูถูกปัญญาของคนจนและต้องการหมุนนาฬิกากลับไปสู่ยุคอดีตที่มีแต่การซื้อขายเสียงของพรรคการเมือง โดยไม่สนใจประชาชน ทางออกที่จะแก้ปัญหาสำหรับสังคมไทยคือ เราต้องเอาประชาธิปไตยกลับมา เราต้องยกเลิกกฎหมายหมิ่นฯและกฎหมายคอมพิวเตอร์ ต้องตัดกำลังกองทัพ และนำผู้ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนมาลงโทษ ประเทศไทยควรจะเป็นรัฐสวัสดิการและสาธารณรัฐประชาธิปไตย

โดย...นักข่าวคนป่า

** รู้อะไรไหมฮิลลารี่: ฮิวแมนไรท์วอชท์เพิ่งยำใหญ่อภิสิทธิ์ “ซี้แสนดี” นี่! **

By Tammy, this blog humanity journalist
ที่มา – Thai Intelligence News
แปลและเรียบเรียง – แชพเตอร์ ๑๑ Liberal Thai 30-1-2010


ฮิลลารีที่น่ารัก และเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ แถมยังเป็นคู่หูกับ อภิสิทธิ์ด้วย

เห็นไหม ในการประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศแห่งอาเซียนครั้งที่แล้วที่ภูเก็ต ประเทศไทยน่ะ รัฐมนตรีจากหลายประเทศเดินทาง
มาประเทศไทย แต่สนใจกับแค่การประชุมที่ภูเก็ตเท่านั้น

อภิสิทธิ์นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย เป็นบุคคลที่คนไทยจำนวนเป็นล้านๆ เกลียดชังมากที่สุด แน่นอน แต่เพราะเป็นคนหล่อและ
ชอบเสนอหน้า อภิสิทธิ์บินจากภูเก็ตไปกรุงเทพอ้างว่า จะไปทำธุระอะไรบางอย่าง จากกรุงเทพ แน่นอน อภิสิทธิ์เรียกฮิลลารี
ให้ออกจากภูเก็ต เพื่อไปพบกันที่ทำเนียบรัฐบาลในกรุงเทพ

ฮิลลารีจะแยกออกหรือเปล่า ระหว่างซาตานหน้าหล่อ และคนดีน่ะ และแน่นอน ฮิลลารีก็บินไปกรุงเทพ และอภิสิทธิ์กลับกลายเป็น
ได้หน้าได้ตาจากสาธารณะชน

เป็นเรื่องโชคร้ายสำหรับใครก็ตามทั้งโลกนี้ ซึ่งรักในเสรีภาพ และอิสรภาพ ฮิลลารีมองไม่เห็นเนื้อในของความเจ้าเล่ห์ของอภิสิทธิ์
แม้แต่น้อย – โดยทำเป็นสนใจเฉพาะการค้า และความมั่นคงของชาติ

จากนั้น ที่อภิสิทธิ์ทำตาบอดตาใสกับการกระทำของกองทัพไทยต่อผู้อพยพ – ตั้งแต่ชาวม้ง พระเจ้าเท่านั้นที่จะรู้ว่ายังมีผู้อพยพ
อีกกี่พันคนที่รับเคราะห์แบบนี้ – แต่ฮิลลารีกลับยืนอยู่เฉยๆ ตรงนั้น

เริ่มแรกจากองค์กรนิรโทษกรรมสากล ซึ่งวิจารณ์อภิสิทธิ์อย่างไม่เลี้ยง ตามติดมาด้วยฮิวแมนไรท์วอชท์ที่เพิ่งสับอภิสิทธิ์อย่างยับเยิน

ขณะนี้ ข่าวลือในกรุงเทพเกี่ยวกับการทำรัฐประหาร และทุกคนเห็นพ้องกันว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์ในเวลานี้ ได้รับการหนุนหลังจากกองทัพ
และละเมิดสิทธิมนุษยชน และเสรีภาพในการแสดงออก

เฮ้อ เราจะพูดอะไรได้อีก ฮิลลารีถูกดึงดูดด้วยความหล่อ และความสุภาพ

คำแนะนำจากเรา ทำไมไม่บินตรงจากวอชิงตัน ดีซี เข้ากรุงเทพ และมาช่วยอนุเคราะห์ภาพพจน์เผด็จการอภิสิทธิ์ที่ไม่มีน้ำยาอะไรเลย
อีกครั้งล่ะ

เป็นการช่วยลดปัญหาให้กับคนไทย – เพื่อว่าพวกเขาจะได้ประท้วงทั้งอภิสิทธิ์ และฮิลลารีไปพร้อมๆกันในเวลาเดียวกันเลย

วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2553

'กองทัพ'ร้าว-แบ่งฝ่าย!พัลลภจวกทหารตบเท้า 'ลิ้ม-พธม.'หยามไม่ออก ซัดทำตัว2มาตรฐาน


"พัลลภ" จวกทหารแสดงพลังกดดัน เสธ.แดง ทำ 2 มาตรฐาน
ถามใจโดน "พธม.-สนธิ" หยาม ทำไมไม่ตบเท้ากดดัน แนะคุยกันแบบพี่น้อง
นักวิชาการชี้กองทัพร้าวหนัก เข้ายุ่งการเมืองจนเลือกข้าง

พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย กล่าวถึง กรณีที่ผู้บังคับหน่วยคุมกำลังในส่วนของกองทัพบกออกมาตอบโต้การกระทำของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก
ดูหมิ่น พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบกว่า

ขอถามว่า หากเคารพ หรือไม่ต้องการให้หมิ่นศักดิ์ศรีกองทัพหรือ ผบ.ทบ. ทำไมไม่ออกมากัน ตั้งแต่ยุค พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์
ที่ปรึกษากองทัพไทย ออกมาว่า ผบ.ทบ. หรือกรณีที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.)
ออกมาด่า ผบ.ทบ.ไม่รู้กี่ครั้ง

การที่ให้พลเรือนมาด่าทหารนี่มันหนักกว่าพี่น้องด่ากันเอง หรือกระทั่งนำผ้าอนามัยไปวางที่พระบรมรูปรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นเหมือน
พระราชบิดาของเรา ที่เรา จปร.ให้ความเคารพและกราบไหว้ทุกคน ทำไมไม่ออกมากันบ้าง การกระทำอย่างนี้เรียกว่า
ยิ่งกว่าหมิ่นศักดิ์ศรีของ ผบ.ทบ.เสียอีก เพราะเป็นสิ่งที่เราเคารพเหนือหัว

"การกระทำของนายสนธิ ที่ทำลายพวกเรา ทำลายสถาบันทหารจาบจ้วงพระราชบิดา เหมือนกับเอาเท้ามาตบหน้าพวกเรา
มาหยามเกียรติยศ เกียรติภูมิของทหารของลูก จปร. ทำไมเขาทำรุนแรงแบบนี้ ไม่เห็นจะมีใครออกมาตอบโต้ เพื่อปกป้อง
ศักดิ์ศรีของทหารของลูก จปร.กันบ้าง หรือการนำผ้าอนามัยมาวางที่พระบรมรูป ร.5 เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ ไม่ได้เป็นการ
หยามเกียรติ จปร.เท่ากับที่ เสธ.แดง ออกมาต่อว่า ผบ.ทบ. ผมเพิ่งรู้ว่า การหยามเกียรติ ผบ.ทบ.เป็นการกระทำที่หนักกว่า
การหยามเกียรติเสด็จพ่อ ร.5 พวก จปร. ยอมปล่อยให้นายสนธิหยามเกียรติเสด็จพ่อ ร.5 ได้อย่างสบาย แต่กลับไม่ยอม
ให้เสธ.แดง ออกมาต่อว่า ผบ.ทบ." พล.อ.พัลลภ กล่าว

พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า การกระทำแบบนี้ ไม่เข้าใจว่าทำเพื่ออะไร หรือเพื่อตอบแทนบุญคุณ ซึ่งการตอบแทนบุญคุณมันสามารถ
ทำได้หลายอย่าง แต่ไม่ใช่มาตบเท้าตอบแทนบุญคุณ การออกมาแบบนั้น จะเป็นการสร้าง 2 มาตรฐาน และสร้างความแตกแยก
ในกองทัพมากกว่า ทหาร 1 กรม มี 5 พันกว่าคน ออกมา 1 พันคนแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้นเอง แต่การกระทำแบบนี้เหมือนนำ
กองทัพมาช่วยในเรื่องส่วนตัว ถือว่าไม่เหมาะสม

"การที่บอกว่าต้องออกมา เพราะ พล.ต.ขัตติยะไม่ควรนำกองทัพไปยุ่งกับการเมือง แล้วที่ไปตั้งรัฐบาลในค่ายทหารจะอธิบาย
ได้อย่างไรว่า ทหารไม่ยุ่งการเมือง หรือตอนนี้ไม่แค่ยุ่งแต่โอบอุ้มด้วย หรือหากทหารไม่ควรจะทำตัวไร้วินัยออกมาต่อว่า
ผู้บังคับบัญชา แล้วการที่ ผบ.เหล่าทัพ รวมตัวไปกดดันผู้บังคับบัญชาอย่างนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ให้ออกจากตำแหน่ง
นายกรัฐมนตรี หมายความว่าอย่างไร ถ้าผู้นำเหล่าทัพออกมากดดันผู้บังคับบัญชาได้ แต่เสธ.แดงทำไม่ได้งั้นหรือ" พล.อ.พัลลภ กล่าว

พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า หากอยากจะแก้ไขจริง พวกน้องในฐานะรุ่นน้องควรเชิญเสธ.แดงในฐานะรุ่นพี่ไปพูดคุยกัน จะเหมาะสมมากกว่า
ออกมาตบเท้าแบบนี้ น้องเห็นว่าพี่ทำอะไรไม่เหมาะสม เรียกมาคุยกันได้แบบพี่ๆ น้องๆ การทำแบบนี้ ประชาชนก็จะตกอกตกใจว่า
ทหารมาฮึมใส่กัน จะเกิดความแตกแยกกันไปใหญ่ ตอนนี้ประชาชนไม่โง่แล้ว เขาดูออกว่าอะไรคืออะไร ตอนนี้บ้านเมืองวุ่นวาย
มาทำแบบนี้จะยิ่งแย่ไปใหญ่

ชี้ทหารตบเท้าสะท้อนกองทัพร้าว

นายสมชาย ปรีชาศิลปกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน และอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
กล่าวถึง ปรากฏการณ์ที่กองทัพออกมาแสดงพลังทั่วประเทศ ว่า

ตนคิดว่า คงไม่ใช่แค่เรื่องเฉพาะเรื่อง พล.อ.อนุพงษ์ และ พล.ต.ขัตติยะ เท่านั้น แต่ปัญหาที่สำคัญ คือมันเป็นเรื่องการแสดงจุดยืน
ทางการเมืองของทหารสองฝ่าย เพราะในแง่ที่สนับสนุน ผบ.ทบ. ในแง่นี้เป็นการเลือกจุดยืนทางการเมือง ซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญ
มากกว่า ผบ.ทบ. กับ เสธ.แดง

ดังนั้น เรื่องนี้เป็นการปกป้องจุดยืนทางการเมืองที่มีต่อ พล.อ.อนุพงษ์ มากกว่าแสดงจุดยืนปกป้องกองทัพแต่เพียงอย่างเดียว

"ส่วนที่ในอดีตกองทัพปกป้องกองทัพ เพราะคนภายนอกมาย่ำยี แต่ขณะนี้ กลับเป็นคนในกองทัพเองย้ำยีคนในกองทัพ
ด้วยกันเองนั้น ทำให้เห็นชัดเจนว่า คนในกองทัพกับความเป็นเอกภาพ ขณะนี้มีไม่มากเหมือนในอดีต เพราะได้ถูกการเมือง
เข้าไปสัมผัสกองทัพ และกองทัพก็ออกมาเล่นการเมืองด้วย" นายสมชาย กล่าวและว่า

สถานการณ์ข้างหน้าของกองทัพ จะเกิดอะไรขึ้นหรือไม่นั้น ผมคิดว่า กองทัพจะหาตัวกฎหมายมาลงโทษเสธ.แดงคงไม่ยาก
แต่สิ่งที่กองทัพต้องการทำ ไม่ใช่แค่สื่อให้เสธ.แดงเห็นเพียงคนเดียว แต่ต้องการสื่อไปถึงกลุ่มพลังการเมืองต่างๆ
โดยเฉพาะกลุ่มคนเสื้อแดงด้วย

ดังนั้น ถ้ากองทัพถลำเข้ามาในการเมืองแล้ว ในอนาคตจะเป็นปัญหาต่อตัวสถาบันกองทัพในระยะยาวด้วย

ที่มา:เวบคนไทยูเค

สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล "หัวมังกร-ตัวปลาไหล-ใจปฏิรูป" มัด 5 พรรคเลื้อย-ล้างคราบเผด็จการ


สัมภาษณ์พิเศษ

เมื่ออายุรัฐบาลเริ่มนับถอยหลัง เมื่ออายุตัวของ "บรรหาร ศิลปอาชา" ย่าง 78 ปี

เมื่ออายุพรรคชาติไทยพัฒนาที่แปลงร่างมาจากพรรคชาติไทย อายุครบ 2 ปี

เมื่ออายุของการถูกตัดสิทธิทางการเมืองของ "บรรหาร" เหลืออีกประมาณ 3 ปี

พรรคชาติไทยพัฒนาจึงดิ้นเพื่อการกลับสู่สนามเลือกตั้ง สืบพันธุ์ "พรรคปลาไหล"

จึงต้องริเริ่ม-เร่งรัด-ปูพรมเพื่อกลับสู่สนามการเมืองด้วยการ "แก้ไขรัฐธรรมนูญ"

ถึงกับลั่นวาจาชูธง "ถอยไม่ได้ แม้แต่ก้าวเดียว"

เมื่อ "มังกรเติ้ง" ออกโรงบรรดาเซียนการเมือง-เสือ-สิงห์จึงต้องสดับรับฟัง

เมื่อสิงห์ "สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล" ร่างทรงและหัวใจ ลมใต้ปีกของ "มังกรเติ้ง" ร่วมขับเคลื่อน

บรรทัดจากนี้ไปเป็นวาจา-สมศักดิ์-ทรรศนะบรรหาร-แนวคิดพรรคชาติไทยพัฒนา

- มีการวิจารณ์ว่า พรรคชาติไทยพัฒนาได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญ 2550 น้อยที่สุด จึงเป็นหัวหอกในการแก้ไข

ผมไม่มองประโยชน์ของพรรค หรือนักการเมืองว่าได้หรือไม่ได้ พวกเรามาวิเคราะห์กันแล้วว่า อย่ามาแตะในส่วนที่พวกเราจะได้รับประโยชน์ แต่ถ้าเราสุจริตใจในการที่จะทำ วันนี้ไม่มีทางหรอกที่จะเอารัฐธรรมนูญ 2540 มาใช้ทั้งฉบับ มันเป็นไปไม่ได้ หรือแม้แต่กระทั่งบทสรุปของคณะกรรมการสมานฉันท์ สรุป 6 ประเด็น เราก็วิเคราะห์กันว่าถ้าเอา 6 ประเด็นก็ได้รับการปฏิเสธแล้ว

เพราะมันมีหลายประเด็น เช่น 237 เราได้รับผลประโยชน์เต็ม ๆ หรือ 265, 266 หรือเขตเลือกตั้งแบบระบบสัดส่วน สิ่งเหล่านี้เราบอกว่า...อย่าเลย

- พลังของ 5 พรรคร่วม จะทำให้ประชาธิปัตย์ยอมรับได้หรือไม่ในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ผมไม่ได้หวังในการที่จะให้พรรคประชาธิปัตย์ยอมรับ แต่ผมหวังให้สังคมและประชาชนได้รู้ว่า เราเป็นพรรคการเมืองที่ไม่เคยพูดว่า เรามีหัวใจเป็นประชาธิปไตย แต่การกระทำของเราชัดเจนตั้งแต่ผลักดันเรื่องการปฏิรูปทางการเมืองซึ่งไม่เหมือนกับ บางพรรคที่บอกว่าเชื่อมั่นในระบอบ ทำเพื่อประชาธิปไตย แต่ถึงเวลาตัวเอง ถ้าตัวเองได้ประโยชน์ก็รี ๆ รอ ๆ ไม่กล้า...ผมไม่เอา

- การเคลื่อนไหวของพรรคชาติไทยฯรอบนี้จะทำให้คุณบรรหารได้กลับมาเป็นนายกฯอีกรอบหรือเปล่า

ผมบอกเลยว่า เราเจียมเนื้อเจียมตัว และเรารู้จักตัวเราดี ท่านบรรหาร ท่านเป็นคนที่รู้ว่าการเมืองปัจจุบันควรทำอะไร การเมืองทุกอย่างถ้ายืนอยู่บนขาตัวเองไม่ได้ ท้ายที่สุดเมื่อขึ้นไปบริหารประเทศไม่มีทางที่จะเป็นอิสระ ท่านบรรหารจึงยอมที่จะยืนอยู่อย่างนี้

เรายอมเป็นพรรคเล็ก สักวันหนึ่งถ้าเรามีโอกาสเป็นรัฐบาล ไม่ต้องไปกระทบหรือเกรงใจใคร จะออกกฎหมายโดยต้องเป็นห่วงว่าใครมีบุญคุณกับพรรค เราถึงบอกว่าเรายอมที่จะอดทน สร้างศรัทธา สร้างความจริงให้เห็นว่าเราเป็นนักการเมืองแบบนี้

- พรรคชาติไทยฯอยากให้เกิดการเลือกตั้งเร็ว ๆ หรือเปล่า

เร็วหรือช้าเราคิดว่าไม่มีผลสำหรับพรรค ถ้าเร็วเราก็พร้อม ช้าต่อไปเราก็รอคอยได้ ผมก็บอกเลยว่า ถ้าวันนี้กติกาไม่ได้รับการแก้ไข เกิดอุบัติเหตุทางการเมือง ยุบสภา ลงสู่สนามเลือกตั้งใหม่ ถามว่าความรู้สึกประชาชนเขาจะคิดยังไง บ้านเมืองไม่มีการแก้ไข แล้วอย่างนั้นจะไปเลือกตั้งทำไมในเมื่อทุกอย่างเลือกไปแล้วไปสู่สภาวะเดิม

- หากมีการเลือกตั้งครั้งใหม่ ทุกพรรค ร่วมรัฐบาลจะได้ปลดพันธนาการจากเงื่อนไขพิเศษ และไม่มีผู้สนับสนุนอยู่ เบื้องหลัง

ผมตอบไม่ได้ว่า ถ้าผลการเลือกตั้งออกมาแล้วจะเป็นยังไง ยกตัวอย่าง ถ้าแก้ได้ 2 ประเด็นหลังเลือกตั้งเสร็จกลับมา เราก็ยังไม่รู้อีกว่าพรรคไหนจะได้รับเสียงข้างมาก จะมาเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล

สมมติเกิดจับพลัดจับผลูประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ ก็หนีไม่พ้นอีกต่อคำครหาของผู้คนว่า วันนี้ยังต้องอาศัยกลุ่มผู้มีอำนาจนอกสภา แต่ถ้าเกิดสะวิงข้างไปเป็นเพื่อไทย เราก็ไม่รู้ว่าจะเป็นใคร ซึ่งคนก็จะมองอีกว่า การเมืองเมืองไทยวันนี้ บนสถานการณ์ ที่ไม่ปกติอย่างนี้ ถามว่าจะหนีกลุ่มทหารได้มั้ย

ทหารก็ยังต้องเข้ามาดูเรื่องความ สงบเรียบร้อย สร้างเสถียรภาพที่มั่นคงให้กับการเมือง

แต่เมื่อใดก็แล้วแต่ที่ทางกองทัพเริ่มมีความรู้สึกขัดแย้งกับรัฐบาล และไม่เห็นด้วยกับการทำงานของรัฐบาล แม้แต่กระทั่ง ปี 2549 ที่ใคร ๆ ก็คิดว่าต่อไปนี้ปฏิวัติไม่มีแล้วมันยังเกิดขึ้น

- การใช้ต้นทุนของพรรคชาติไทยฯและคุณบรรหาร จะเหนื่อยฟรีหรือไม่

พวกเราถูกสอนไม่ให้เป็นคนที่ยอมจำนน แม้แต่เป็นแสงจากปลายเข็มเราก็ต้องทำ อย่ายอมแพ้ อย่าคิดว่าทำไม่ได้โดยที่ไม่ได้เริ่มต้น สำเร็จหรือไม่สำเร็จสังคมรู้เอง

ผมอยากให้มาร่วมกันระดมความเห็นเหมือนปี 2540 ที่เป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ดีที่สุด แต่มันมีคนไม่ดีแฝงอยู่ในระบอบประชาธิปไตย จนนำไปสู่การปฏิวัติ นักการเมืองที่ขาดจิตวิญญาณของความเป็นนักประชาธิปไตย สร้างผลประโยชน์ให้ตัวเองจนผู้คนเริ่มชิงชัง

พรรคชาติไทยฯเป็นพรรคที่ชอบปฏิบัติ ไม่ใช่พรรคที่ชอบประชาสัมพันธ์ เราไม่ชอบทวงบุญคุณ ทำเสร็จแล้วเหมือนปิดทองหลังพระ แต่มีความภาคภูมิใจลึก ๆ จะมีคนพูดถึงหรือไม่พูดถึง ไม่สำคัญ เราไม่ใช่นักประชาสัมพันธ์ เราไม่ใช่นักการตลาด

- เป็นเพราะบารมีของคุณบรรหาร การเป็นหัวขบวนจึงได้รับการยอมรับจากพรรคร่วม

ท่านบรรหารในฐานะผู้ใหญ่ทางการเมืองคนหนึ่ง ทุกคน...ไม่มีใครปฏิเสธหรอก แต่อย่างที่บอกเราไม่ชอบทวงบุญคุณกับคน ทุกอย่างเมื่อเราทำจบแล้ว อานิสงส์ที่ได้รับคือความภาคภูมิใจ ใครจะพูดถึงเราในทางที่ดีหรือไม่ดีอย่างไร เรามีหน้าที่อย่างเดียวคือน้อมรับคำวิจารณ์

ในทางการเมือง พรรคชาติไทยฯสร้างนักการเมืองดี ๆ แล้วท้ายที่สุด เขาก็ไปที่อื่น เมื่อเห็นว่าอยู่กับเราไม่โต เป็นพรรคเล็ก ๆ โอกาสเป็นแกนนำรัฐบาลเพื่อที่จะมาสร้างประโยชน์ให้ตัวเองมันน้อยเต็มทน เขาก็เลือกไปพรรคที่ใหญ่

- หากการแก้รัฐธรรมนูญไม่สำเร็จ มีโอกาสที่พรรคชาติไทยฯจะพลิกขั้วอีกหรือไม่

ไม่มี...เราไม่คุยเรื่องพลิกขั้ว เรามีมารยาท การอยู่ร่วมรัฐบาลความมีมารยาทนั้น และที่สำคัญที่สุดที่จะเป็นตัวชี้วัดอนาคตทางการเมืองของแต่ละพรรคก็คือ ความสุจริตใจที่มีต่อพรรคร่วม ท่านบรรหารเป็นตัวอย่าง คุยกันจบก็คือจบ ท่านไม่เคยทรยศใคร รับปากก็คือรับปาก ็ร่วมหัวจมท้ายกันถึงที่สุด ตายก็ตายด้วยกัน เรือล่มก็ต้อง กอดคอกันสู้ เราไม่เคยที่เรืออัปปางแล้ว เราถีบหัวเรือส่ง เราไม่เคยมีประวัติ

- มีข้อตกลงก่อนการร่วมรัฐบาลอย่างไร พรรคชาติไทยฯจึงได้รับฉันทานุมัติในการทวงสัญญาจากพรรคประชาธิปัตย์

พวกเรามีการคุยกันกับพรรคประชาธิปัตย์เองว่า ข้อจำกัดของรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 มันก่อให้เกิดความยุ่งยากมาก ทั้งเรื่องความสมานฉันท์ เรื่องการบริหารราชการแผ่นดิน ในเรื่องกระบวนการเลือกตั้งที่ทำให้คนในพรรคเดียวกันกลายเป็นคนละขั้ว

ครั้งหนึ่งไปคุยที่บ้าน ท่านนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ นัดหมายกันครบทุกพรรค ท่านอภิสิทธิ์ก็บอกว่าให้แต่ละพรรคการเมืองไปทำความต้องการที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญของแต่ละพรรค แล้วสรุปโดยเร็ว ก็จะได้นำไปสู่กระบวนการยื่นขอแก้ไข

หลังจากนั้น เราก็ทำเสร็จสรรพแล้วเสนอส่งไปที่ท่านนายกฯ

ท่านอภิสิทธิ์ผมเข้าใจท่านนะ ว่าท่านต้องการให้ทุกอย่างผ่านกลไกของระบบรัฐสภา ซึ่งขณะนั้นมีประเด็นการเรียกร้องความสามัคคี ความสมานฉันท์ ท่านก็ให้เปิดรัฐสภา

เพราะทุกคนรู้ว่านี่คือคราบไคลที่เหลืออยู่จากการปฏิวัติ ก็เลยตั้งกรรมการสมานฉันท์ กระทั่งได้มา 6 ประเด็น ก็มีการพูดเรื่องการทำประชามติเสียก่อน ก็พูดกันไป เวลาก็ยื้อออกไปอีก แล้วก็ผ่านมาแบบไม่มีอะไรเลย

นั่งคุยกันอีกครั้งเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2552 มีคุณสุเทพ (เทือกสุบรรณ) อยู่ด้วย ที่โรงแรมโอเรียนเต็ล ก็ถามท่านสุเทพว่า พรรคประชาธิปัตย์จะเอาอย่างไร พวกผมเนี่ย...ปีกว่าแล้วนะ เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเราจะแก้ 2 ประเด็น

พี่สุเทพก็รับ บอกว่าเอาละ ผมจะเอาเรื่องที่ทุกพรรคการเมืองมาบอกผม กลับไปบอกที่ประชุมพรรคในวันที่ 27 ธันวาคม 2552 แล้วก็จะส่งข่าวว่าจะเอายังไง แต่หลังจากนั้นก็เงียบหายไปอีก

จนกระทั่งพวกเรา 5 พรรคการเมืองก็บอกว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ขอให้ท่านบรรหาร ในฐานะผู้อาวุโส เป็นอดีตนายกฯช่วยประสานแต่ละพรรคว่าเราจะขับเคลื่อนกันยังไง

- ทำไมการเดินสายหาแนวร่วม ถึงไม่มีพรรคประชาธิปัตย์รวมอยู่ด้วย

ที่ไม่มี...เพราะผมเข้าใจเขาว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็น พรรคการเมืองเก่าแก่ที่มีระบบ ทำอะไรก็แล้วแต่ท่านสุเทพ ท่านอภิสิทธิ์ ตัดสินใจเองไม่ได้ ทุกอย่างต้องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของพรรค คุยกับนายกฯ กับท่านสุเทพ ทุกอย่างไม่คืบหน้าเพราะต้องกลับไปถามพรรคก่อน

ฉะนั้น เขาไปประชุมพรรคอย่างไร จะเอาหรือไม่เอา เขาก็มาบอก ตรงนี้ถึงบอกว่า การทำงานในการแก้ไขรัฐธรรมนูญกับการทำงานในฐานะที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล เราต้องแยกประเด็นการทำงานในฐานะรัฐบาล เรายินดีที่จะร่วมจับมือทำงานร่วมกัน แต่เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญขอให้เป็นเรื่องรัฐสภา

- คิดว่าเป็นเพราะพรรคประชาธิปัตย์ได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญฉบับนี้หรือไม่ ถึงไม่ยอมแก้ไขง่าย ๆ

เราไม่อยากมองเขาในแง่ร้าย แต่เรามองในแง่ดีเพราะเขามีความเป็นระบบพรรค เขามีประธานที่ปรึกษาท่านอดีตนายกฯชวน (หลีกภัย) มีพี่บัญญัติ (บรรทัดฐาน) ทำให้เราชั่งใจและประเมินตัวเองว่า พรรคเราเวลามีอะไรแกนนำเรียกสมาชิกพรรคมาประชุมหารือ จะได้ข้อสรุปเร็วมาก เอาก็เอา ไม่เอาก็คือไม่เอา...จบ แต่ของประชาธิปัตย์มีความหลากหลายด้วยระบบพรรคและกลไกการทำงานของพรรค ไม่เหมือนกับพรรคพวกเรา ซึ่งเราเข้าใจ

- หากพรรคประชาธิปัตย์ไม่เห็นด้วยกับพรรคร่วมในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะส่งผลกับการร่วมรัฐบาลหรือไม่

เราแยกขาดจากกัน เรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องรัฐสภา ซึ่งท่านนายกฯอภิสิทธิ์ก็พูดย้ำชัดเจนว่าให้เป็นเรื่องของสภา ความจริงถ้ารัฐบาลจะทำเสนอในนามรัฐบาลก็ทำได้ ไม่ต้องมีเสียงรับรอง แต่ในเมื่อท่านปรารถนาจะให้เรื่องนี้เป็นเรื่องความหลากหลายในสภา ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชน ให้มาร่วมกันคิด ร่วมกันทำ ท่านก็มองในมุมนี้ เราก็เคารพในความเห็นท่าน

ฉะนั้น เราก็อาศัยกลไกของสภาในการดำเนินการ ส่วนพรรคประชาธิปัตย์จะร่วมหรือไม่ ไม่ใช่สาระสำคัญ และเราไม่ได้ จับมาเป็นประเด็นในการที่จะ อยู่ร่วมกันในการทำงานของรัฐบาล

- กลายเป็นว่าหากจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ต้องพึ่งบริการของพรรคชาติไทยพัฒนา

ต้องยอมรับว่าพรรคชาติไทยฯเริ่มต้นจากการปฏิรูปทางการเมืองเมื่อปี 2538 เรารู้ว่าบ้านเมืองจะไปได้ ประชาธิปไตยต้องมั่นคง ซึ่งประชาธิปไตยที่ดีที่สุดคือประชาธิปไตยที่มีกระบวนการส่วนร่วมของภาคพลเมือง เราบอกว่าเราเป็นประชาธิปไตย แต่กฎหมายแม่บทคือ รัฐธรรมนูญ ยังมีคราบไคลของความเป็นเผด็จการที่สร้างความไม่เป็นธรรมให้เกิดขึ้น แล้วเราจะยอมรับได้มั้ย

พรรคชาติไทยฯถึงประกาศเป็นนโยบายตั้งแต่ลงสนามเลือกตั้งครั้งที่แล้วว่า ถ้าเราเข้ามาเป็นรัฐบาล สิ่งแรกที่จะทำคือ แก้ไขรัฐธรรมนูญ เราก็ต้องเคลื่อนไหวผลักดันให้เกิดสิ่งเหล่านี้ พรรคร่วมอื่น ๆ อย่างพรรคเพื่อแผ่นดิน ลึก ๆ แล้วแกนนำของเขาเรามีการพูดคุยและผลักดันเรื่องนี้ตลอด แล้วเขาก็เห็นด้วยกับเราทุกแนวทาง จึงร่วมแถลงแสดงจุดยืนกับเรา

- พรรคร่วมรัฐบาลมาเคลื่อนไหวกดดันประชาธิปัตย์ในช่วงที่นายกฯเรตติ้งสูง จะสำเร็จหรือไม่

ผมไม่ได้มามองว่าท่านนายกฯอภิสิทธิ์กำลังมีคะแนนดี พรรคไหนมีคะแนนดี แต่ผมคิดว่ามันเป็นภาระเป็นพันธะที่ฝ่ายการเมืองต้องทำ ในเมื่อรัฐธรรมนูญที่มันไม่เป็นประชาธิปไตย แล้วเราก็มองเห็นถึงปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้น ไม่ใช่อยู่ไปแบบ เช้าชาม เย็นชามอย่างนั้น ไม่ใช่พรรคชาติไทยฯแน่

ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ

วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553

ต่อให้รบแพ้สักร้อยครั้ง ก็ยังเป็นแดง

ยิ่งใกล้วันดีเดย์ล้างบาง ระบอบอำมาตย์เข้าไปทุกที บรรดาสมุนน้อยใหญ่ของฝ่ายนั้น ต่างก็ออกอาการสะบัดร้อนสะบัดหนาว สวิงสวายหัวใจสั่น เมื่อถูกฝ่ายประชาชนโน้มคอลงมาตีเข่า อัดเข้าลิ้นปี่เนื้อๆเน้นๆ เสียผู้เสียคนกันไปอย่างไม่น่าเชื่อ

เหมือนมวยกำลังได้ใจ กลับจากไล่โจรฮุบป่าที่เขายายเที่ยง ก็ยกพลกันไปที่เขาสอยดาว สาวเดือนลงมากระทืบโชว์ ให้เห็นกันจะๆว่า คุณธรรมจริยธรรม มันเป็นอย่างนี้นี่เอง

ถ้าขืนอำมาตย์แก้เกมไม่ตก เห็นทีว่า ไม่ช้าก็เร็วเป็นได้รากเลือด ช้ำในตายกันเป็นแถว แต่ครั้นจะใช้ยาแรง ทำรัฐประหารให้รู้แล้วรู้รอด ก็กลัวว่ามันจะบานไม่รู้หุบ จึงได้แต่ขู่ฟ่อๆไม่ให้เข้าใกล้ ด้วยการลากรถถังออกมาโชว์พาวดึกๆดื่นๆ เรียงแถวกันมา 20-30 คัน ตระเวณหาอู่ซ่อมให้ควั่ก ยังดีที่ยังไม่อ้างว่า ออกมาหาปั๊มป์ปะยาง 24 ชั่วโมง

แต่แค่นี้ก็เกินพอ ที่จะทำให้ประชาชนเจ้าของประเทศ ขี้หดตดหายกันไปทั้งบาง

หมาเห่ามันไม่กัด แต่ถ้าลงว่าหมาจะกัด จ้างให้มันก็ไม่เห่า คำพังเพยของคนโบราณ จะยังขลังอยู่หรือไม่ คงได้รับการพิสูจน์กันในไม่ช้า

ทางฝั่งประชาชนโดยคนเสื้อแดงเป็นโต้โผใหญ่ ก็ไม่มีลดราวาศอกซักกะนิด เพราะว่าเลยขีดอดทน ทะลักจุดเดือดไปตั้งนานแล้ว หมูไม่กลัวน้ำร้อน ต่อให้ข่มขู่ยังไงก็ไม่เสียว อะไรไม่อะไร ยังท้าตีท้าต่อยว่า ถ้าแน่จริงก็รีบออกมากันให้ว่อง เลยกลายเป็นหน้าที่ของนักธุรกิจน้อยใหญ่ ที่ต้องรับหน้าเสื่อ นั่งเสียวดากกันเป็นแถว

ก็โถ..ไม่ต้องให้ถึงกับ ทำรัฐประหารจริงๆหรอก เอาแค่ที่ซิ่งรถถึงออกมากึงกัง เที่ยวเร่หาปะยางกลางค่ำกลางคืนไม่ยอมหลับยอมนอน หุ้นก็ร่วงพรู ตกรูดมหาราด จนไม่รู้จะว่ายังไงกันแล้ว

พลพรรคอำมาตย์นี่ ก็บ้าดีเดือดกันทุกคน กล้าแลกกล้าชน แรงดีไม่มีตกกันจริงๆ สงสัยว่าน่าจะใกล้วันฝีแตกเข้าไปเต็มที มันถึงได้ใจกล้าหน้าด้านกันขนาดนั้น กะแค่นายทหารคนหนึ่งจาบจ้วงใส่ผู้บังคับบัญชา โทษฐานที่ทำยึกยักชักเข้าชักออก ก็มีลูกอดีตนายทหารเสื้อคับจอมงาบ ลากเอาสถาบันทหารออกมาไล่บี้กัน เป็นว่าเล่น

โชว์ 2 มาตรฐานในวงการสีเขียวกันเห็นๆ แล้วอย่างนี้ใครจะไปทนไหว ทีเครื่องGT200ทำให้เสียศักดิ์ศรีกว่านี้เยอะ ยังไม่เห็นมีหน้าไหนออกมาว่าอะไรสักแอะ ขนาดตอนที่ผบ.ทบ.ออกมาไล่รมต.กลาโหมกลางอากาศ มันยังนั่งอมสากกันหน้าตาเฉย ขืนเล่นกันอย่างนี้ ก็จงระวังตัวกันให้ดีเถอะ มีคนเขาฝากเตือนมาว่า

ถ้าสถาบันประชาชนเหลืออดเมื่อไหร่ แล้วจะหนาวกันไปทั้งกองทัพ

ต้องนับว่าเป็นความซวยของฝ่ายอำมาตย์โดยแท้ ที่ลูกน้องแต่ละตัวไม่เคยเป็นผู้เป็นคนกับใครเขา ขนาดลงทุนปล้นอำนาจมาให้ ดันก้นจนเป็นนายกฯสมใจอยาก มันยังกล้าโหลยโท่ยเละเทะ เหลือกำลังลาก เพราะนอกจากเอาแต่เกาะโพเดียมแอ๊คท์ท่าแล้ว ที่เหลือก็มีแต่รายการโชว์โง่ไม่เว้นแต่ละวัน

มาถึงวันนี้ ที่เคยด่าว่าคนอื่นเอาไว้เสียๆหายๆ ล้วนแต่เข้าตัวเองหมด หาว่าเขาโกงทั้งโคตร ทั้งๆที่ยึดอำนาจมาแล้ว ยังหาหลักฐานเอาผิดเจ๋งๆไม่ได้ แม้แต่คดีเดียว แต่ที่ประจานอยู่ทนโท่คือพวกตัวเอง ที่งาบกันจนพุงปลิ้น กินกันจนพุงกาง ฟาดกันเนื้อๆเน้นๆ ไม่มีเกรงใจประชาชน

มาถึงขั้นนี้แล้ว ถึงจะเอาช้างมาฉุดก็คงไม่อยู่ เพราะไม่ใช่แค่ฝ่ายอำมาตย์เท่านั้นที่หลังพิงฝา แม้แต่ฝ่ายประชาชนที่เคยพยายามหลีกเลี่ยงความรุนแรงมาโดยตลอด ก็ชักจะเลือดเข้าตา ออกมาฮึ่มฮั่มใส่อำมาตย์ อย่างชนิดที่ว่า ไม่มีใครกลัวใครกันแล้ว

ไม่เคยมีครั้งไหนในประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่ประชาชนส่วนใหญ่รู้สึกได้ถึงความไม่เป็นธรรมโดยพร้อมเพรียงกันขนาดนี้ ยิ่งไม่มีครั้งไหนที่ประชาชน สามารถมีประชามติโดยไม่ต้องนัดหมายว่า มีแต่สองมือของเราเท่านั้น ที่จะพลิกแผ่นดินไทย ให้เป็นธรรมและเป็นทอง อย่างแท้จริง

เอาเถอะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ในเมื่อเห็นว่าสมควรรบ ก็จงรบเถิดอรชุน เพียงแต่ว่าต้องประเมินสถานการณ์ให้เป๊ะๆ ให้ถูกต้องตามความเป็นจริง รบให้ถูกคน ถูกที่ ถูกเวลา วางแผนให้ดี มีก๊อกหนึ่ง สอง สาม เอาไว้เผื่อเหลือเผื่อขาด ที่พูดมานี้ ไม่ใช่ว่ากลัวแพ้ เพียงแต่ว่ายังเสียวไม่หายจากคราวสงกรานต์ทมิฬ

ธรรมชาติของเสื้อแดงนั้น แดงแล้วแดงเลย ต่อให้รบแพ้สักร้อยครั้ง ก็ยังเป็นแดง แม้กระนั้น ก็ยังไม่อยากให้ไปเสียเลือดเนื้อกันโดยใช่เหตุ ชีวิตนักรบประชาธิปไตย 1 ชีวิตนั้น ประเมินค่าไม่ถูก ต่อให้แลกชีวิตสุนัขได้เป็นร้อยก็งั้นๆ คิดสะระตะยังไง ก็ยังขาดทุนบักโกรกอยู่ดี

จึงต้องทำใจให้เป็นกลาง ไม่รักใครจนเลยเถิด หรือชังใครจนน่าเกลียด แล้วใช้หมองนั่ง'มาธิ พินิจพิเคราะห์ดูให้ดี ทบไปทวนมาจนเห็นภาพได้ชัดเจน ว่าใครกันแน่ที่เป็นแม่ทัพตัวจริงของฝ่ายศัตรู ต้องรู้เขารู้เรา จึงจะรบได้ถึงกึ๋น ถ้าขืนสุ่มสี่สุ่มห้าชี้เป้าแบบเครื่อง GT200 ต่อให้รบชนะยึดเมืองได้ ก็ยังแพ้อยู่ดี เพราะถ้าถึงเวลานั้น...

อำมาตย์หงายโจ๊กเกอร์ออกมา มันจะรับมุกกันไม่ทัน

บทความ:วโรทาห์

ชีพนี้พลีเพื่อใคร (ฤ.สละชีพเพื่อชาติ)

สุดเส้นทางเดินของมนุษย์มันก็สุดแค่เถ้าธุลี การอ่านสดุดีในวันที่มีญาติๆ เอาร่างกายที่ปราศจากวิญญาณขึ้นสู่เชิงตะกอน เรื่องราวที่ดีๆ ครั้งสุดท้ายของคนที่สิ้นไปแล้ว เปรียบเสมือนสายลมที่พัดผ่านหู ไม่มีใครจดจำเอามารำลึกถึง หรือถ้าได้เขียนหนังสือประวัติแจกในงานศพ จะมีถึงหนึ่งในสิบหรือไม่ ที่คนรับไปจะอ่าน แล้วชื่นชม

พูดกันมานาน พูดกันมามาก พูดกันจนเป็นท่องจำกันไปแล้ว “สละชีพเพื่อชาติศาสนาและพระมหากษัตริย์”

พวกที่ท่องจำกันมากกว่าใคร คือ พวกที่เกิดมาไม่เคยทำอะไรเลย นอกจากเช้าแต่งเครื่องแบบไปที่ทำงาน กลางวันตีกอล์ฟ สิ้นปีวิ่งหาตำแหน่ง เมียวิ่งเข้าหลังบ้าน ประจบหาของกำนัลไปให้คุณนายท่านๆ ทั้งหลาย ถ้าสิ้นปีได้ตำแหน่งก็ดีไป แต่ถ้าไม่ได้ก็อดทนเลียแข้งเลียขาไปอีกปี ตั้งแต่หนุ่มยันแก่ ก็ยังวิ่งไม่เลิก หน้าหนาหน้าทนไปกราบกรานนักการเมืองอายุแค่รุ่นลูก พ่อค้าเจ๊กจีนที่มีสายสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจ เพียงว่าเขามีบารมีพอที่จะช่วยเหลือได้ กราบไหว้ได้ทุกแห่งหน ไม่ว่า ศาลา หรือ ต้นไม้ ขอให้มีช่องทาง กราบได้ทั้งนั้น เหตุเพราะถ้าได้ตำแหน่งที่ตนเองต้องการแล้ว จะรวย จะใหญ่คับประเทศ ทำอะไรในประเทศนี้ก็ไม่ผิด ถ้ามันจะผิดก็อ้างเหตุได้เพราะไม่ได้ตั้งใจ

พวกนี้ไม่เคยเห็นมีใครตายบนสนามรบซักครั้ง ตายครั้งไร ก็ตายในเตียงนอนโรงพยาบาลทุกที ตายแล้วมีเบื้องหลังโผล่ออกมาแทบจะถ้วนทุกตัวคน ลูกเมียที่ไม่รู้ว่าไปสมสู่ที่ไหนกัน มาโผล่กันเต็มงานศพ เงินทองงอกเงยออกมา กองท่วมหัว เกินกว่าฐานะของตนที่จะมีได้ คล้ายกับว่า มันเป็นโบนัสจากสรรค์ ใช้กันอีก10 ชาติก็ไม่หมด ลูกเมียแบ่งกันไปสนุกสนาน ใครได้มากได้น้อย เมื่อตกลงกันไม่ได้ก็ฟ้องร้องกันไป แบ่งเงินไปให้ทนายใช้กันบ้าง

พวกท่องจำพวกนี้ สละชีพกันแบบไหน นั่งทำงานอยู่ในห้องห้องแอร์ เงินเดือนเหยียบแสน บ้านไม่ต้องเช่า น้ำมันไม่ต้องซื้อ ไฟฟ้า ประปา หลวงจ่ายให้ เครียดกับการจะต้องจัดหารถถังให้ได้ 100คัน เครื่องบินหนึ่งฝูง เรือดำน้ำ 1ลำ ถ้าไม่ได้ จะต้องหาทางบีบรัฐบาล วางแผนจนปวดสมอง ทำอย่างไรดีจึงจะสัมฤทธิ์ผล ทำอย่างไรจึงจะงัดเอางบประมาณจากรัฐบาลที่เป็นภาษีจากเหล่าไพร่อย่างพวกเรา ออกมาใช้ให้ได้ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล

ทั้งหมดนี่แหละ เมื่อวันที่ต้องเข้าไปนอนโรงพยาบาล แล้วก็เสียชีวิตลง คนเหล่านี้ได้สละชีพเพื่อชาติไปแล้วทั้งนั้น เกียรติยศเต็มบ่า สายสะพายเต็มหน้าอก มีโกศสีทองเหลืองอร่ามตั้งไว้ เปรียบได้กับศพเทวดา ไม่ใช่ศพคน

วันดีคืนดี มนุษย์พันธุ์พิเศษพวกนี้บางคนที่ยังไม่ทันได้ตาย ก็ขนรถถังที่พวกเขาจัดหาซื้อกันเอาไว้ ออกมาวิ่งบนท้องถนน บังคับให้ประชาชนที่ดูทีวีเสรี เปิดแต่เพลงโบรานที่พวกเขาเคยชอบฟังกันมาสมัยยังหนุ่ม เปิดให้ฟังกันทุกช่อง และ ประกาศ “โปรดฟังอีกครั้ง” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

หลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้นกับคนในประเทศไม่สนใจ หุ้นจะตกกราวรูด สินค้าส่งออกถูกระงับ สถานทูตบางแห่งปิด เศรษฐกิจภายในทรุดตัว คนยากจนลงทันตาเห็น อาชญากรรมขยายตัวราวกับดอกเห็ด ยาเสพติดมีดาษดื่น การพนันทุกชนิดเติบโตอย่างรวดเร็ว ไม่รับรู้ทั้งสิ้น เพียงแต่พวกเขาป่าวประกาศว่า ที่ทำครั้งนี้ก็ “เพื่อชาติศาสนาและพระมหากษัตริย์” เท่านั้นพอแล้ว

ลูกชาวบ้านที่ไปเกณฑ์เขามาฝึก อายุยังน้อยนิด จับปืนก็แทบจะเป็นลม พ่อแม่น้ำหูน้ำตาไหล เมื่อลูกต้องจับใบแดง ฝึกเสร็จ มิทันได้รู้ตัว ก็ส่งพวกเขาลงไปภาคใต้ สละชีพเพื่ออะไร ยังท่องจำได้ไม่หมด รู้แต่ว่า ต้องออกไปล่อเป้าให้คนไทยอีกกลุ่มหนึ่งคอยซุ่มยิง ซุ่มกดระเบิด เท่านั้น ถ้าโดนก็ถือว่าแจ็กพ็อต ได้รับใช้ชาติไปแล้ว พ่อแม่ทางบ้านได้ฟังข่าว หัวใจแทบแตกสลาย ล้มทั้งยืนเมื่อทราบข่าว “ลูกรับใช้ชาติไปแล้ว”

เมื่อภาพและเสียงออกทีวี คำเดียวที่พูดออกมาได้ “ภูมิใจจริงๆ ที่ได้รับใช้ชาติ” ทั้งที่ในใจคิดว่า ถ้าวันนั้น กูมีเงินจ่ายให้สัสดีสามหมื่นบาท ลูกกูก็ไม่ต้องมาตายแล้วได้รับพวงหรีดจากเจ้านายเต็มศาลาวัด เงินอันน้อยนิดใส่ซองมาให้ ส่วนเงินก้อนใหญ่ ผู้อยู่ในห้องแอร์กำลังตั้งงบประมาณเบิกจ่าย ยังไม่รู้เลยว่า เมื่อหักแล้วจะเหลือถึงมือพ่อและแม่เท่าไร และ เมื่อไรจะได้อีก

พวกหนึ่ง ไม่ได้ไปรบที่ภาคใต้ แต่ได้รับหน้าที่ เป็นเกียรติกับวงศ์ตระกูลอย่างสูงส่ง คอยรับใช้คุณนายอยู่ที่บ้านพัก ขัดรองเท้าให้บรรดาลูกๆ ที่จะต้องตื่นเช้าไปโรงเรียน ว่างไม่ได้ ถูกเจ้านายทั้งบ้านตะโกนเรียกใช้ ชุดชั้นในกี่ตัวต่อกี่ตัว สารพัดกลิ่น ต้องนำมาซัก ขยี้แล้วขยี้อีก มีคราบหลงเหลือแม้แต่น้อยก็โดนด่า จะกลับไปเยี่ยมบ้านแต่ละครั้ง ก็ต้องนั่งลุ้นว่า จะได้ไปหรือไม่ เหมือนถูกหวยก็ไม่ปาน ถ้าใครบังเอิญต้องเสียชีวิตลง ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ตายเพราะอะไร ลื่นล้มในห้องน้ำแน่นอน ทั้งที่หมอก็พิสูจน์แล้วว่า เป็นโรคภูมิแพ้ พันท้ายปืนเอ็ม16

แต่การตายในครั้งนี้ ไม่มีพวงหรีดมาให้จากเจ้านาย ได้แค่เงินประมาณหนึ่งหมื่นเศษ แล้วให้รีบเผาไปเสีย กลุ่มนี้ยังนึกไม่ออกว่า เขาสละชีพเพื่อชาติหรือยัง

อีกกลุ่มที่ทุกลมหายใจเข้าออกก็ “เพื่อชาติศาสนาพระมหากษัตริย์” เป็นอาชีพ หางเครื่องของพวกเขา ก็ออกมาเสริม ช่วยแต่งเติมสร้างจินตนาการ สร้างนิยายกันขึ้นมา ใครไม่เห็นด้วย ก็ด่าทอพวกตรงข้าม

ไอ้แก่ตัณหากลับ ที่เป็นหัวหน้า ได้รวมกับพวก สส.สอบตกบ้าง พวกนักวิชาการที่ใช้ปากแทนก้นบ้าง ออกมาปลุกระดม ออกมาขยายความกันถ้วนทั่ว ใส่ความผู้นำประเทศที่ประชาชนเลือกมาว่า ไม่รักชาติทำลายศาสนา ล้มล้างสถาบันฯ

การต่อสู้ของคนกลุ่มนี้ ถ่อยแบบสุดๆ เอาชื่อสถาบันฯออกมาใช้อย่างโต้งๆ ขนอาวุธกันมาเพียบ อาชญากรรมทุกอย่าง ถูกนำเอามาใช้ ยาเสพติด ถุงยางอนามัย เป็นสิ่งจำเป็นของพวกเขา สู้ไปมั่วโลกีย์กันไป แต่เวลามันออกมาพูด ดำเป็นขาวอย่างหน้าด้าน “สันติวิธี อารยะขัดขืน”

สื่อที่ออกข่าวเป็นกลาง ถูกไอ้แก่ตัณหากลับสาดโคลนใส่เข้าไป ไม่ให้กระดิก หยาบช้าจนถึงขนาดด่าพวกวิชาชีพเดียวกันแต่คนละเพศ กล่าวหาว่า พวกเขาเป็นพวกคอยจ้องที่จะร้องเรียกหาผัว โชว์หน้าอก ออกทีวี และด่ามันทุกคน ทุกช่องไม่เว้น

ดาราแก่ๆ บางคน อย่างเช่น นางสิ้นใจ หอนตาย มีลูกเป็นโขยงแล้ว สามีเกิดวิปริตผิดเพศขึ้นมา แต่ตนเองความต้องการยังไม่สิ้น เพื่อสนองในตัณหาที่ตนเองยังคงอยู่ ยอมทุกอย่างที่จะสนองชายที่ตนเองมั่วด้วย อุตส่าห์เอาใจ ลงทุนออกมาเป็นพวกคลั่งชาติ ปกป้องสถาบันฯกับเขาบ้าง โพสท์ข้อความด่าผู้นำรัฐบาลในอดีต ด้วยข้อความที่ดูเหมือนเท่ ดูเหมือนทันสมัย โดยไม่ได้มองตนเองบ้าง แค่ความต่ำทรามในชีวิตของตนเอง ก็ถูกคนเอามาวิพากษ์รับไม่ไหวแล้ว ยังอุตส่าห์ไปแกว่งปากหาส้นเท้ามาให้กับครอบครัวอีก

ทั้งฝูงนี้ ก็เป็นอีกพวกหนึ่งที่สละชีพเพื่อชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ แล้วรวย จนหัวหน้าขบวนอู้ฟู่

“นวมทอง ไพรวัลย์” นามนี้ เป็นที่คุ้นหูของเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ที่พลีชีพของตนเอง ไม่ใช่เพื่อชาติ ไม่ใช่เพื่ออย่างที่ท่องจำกันมา จดหมายเขียนไว้ก่อนตาย ท่านนั้นพลีชีพเพื่อประชาธิปไตยเท่านั้น ในสิ่งแวดล้อมที่เขียน จม.ฝากเอาไว้ เหตุเพราะได้รับการเย้ยหยันจากพวกท่องจำว่า “ไม่มีใครในโลก จะยอมตายเพื่ออุดมการณ์” เลยแสดงให้ดูซะเลย ใจวัดใจ อาชีพแค่คนขับรถแท็กซี่ หาเช้ากินค่ำเลี้ยงครอบครัว ไม่เคยแอบอ้างว่า ตนเองจะสละชีวิตเพื่อสิ่งไดได้ ไม่เคยท่องจนขึ้นใจว่า จะสละชีพเพื่อชาติศาสนาและพระมหากษัตริย์ เหมือนคนที่กล่าวเหยียดหยามตัวท่านเอง แต่ท่านก็ได้กระทำให้เห็นกับตา

ส่วนคนที่เหยียดหยามท่าน มียศมีตำแหน่งใหญ่โตในกองทัพ แม้ศักดิ์ศรีตัวเองยังรักษาไว้ไม่ได้ อย่าว่าแต่สละชีพเลย แค่กราบศพขอขมาที่กล่าวล่วงเกินไป ยังไม่กล้าที่จะกระทำ จากท่านนวมทอง ไพรวัลย์

ณ วันนั้น จนถึงปัจจุบัน มีอะไรหลายอย่างที่เกิดขึ้น ประชาธิปไตยที่ท่านถวิลหา มันยังไม่ได้มา มันกำลังถูกแปรูปไปแล้ว เพื่อนๆ ของท่านหลายคน เอาชีวิตเข้าแลกเพื่อที่จะให้ประชาธิปไตยกลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง มีหลายท่านพิการ มีหลายท่านยังหาศพไม่พบ มีหลายท่านต้องคดี มีหลายท่านต้องโทษจำคุก ไม่พอแค่นั้น ทุกคนต่างถูกตราหน้าจากคนที่เข้ามายึดครองประเทศ ว่าเป็นคนเลว คนไม่จงรักภักดี หัวใจทุกดวงที่เดินตามท่านนวมทอง ตามที่ท่านได้แผ่วถากถางทางเอาไว้ล่วงหน้ามาสามปีกว่า รู้สึกคล้ายกันทั้งหมด

ทนไม่ไหวแล้ว มันอึดอัด มันอยากจะระเบิด มันอยากจะเอาประชาธิปไตยกลับคืนมาซักที มันนานมากเกินไป

ยิ่งนานวันเข้า มันก็รังแกเราเพิ่มขึ้นทุกวัน มันก็เอาเปรียบเรามากขึ้นทุกวัน สิ่งที่พวกมันทำผิดชัดๆ มันแกล้งไม่เห็น แต่สิ่งเดียวกัน เรากระทำบ้าง มันฉวยโอกาสจัดการกับพวกเราทันที

แค่ที่ดินที่เป็นป่าสงวน พวกมันแอบเอาเข้าพกเข้าห่อไปเป็นของส่วนตัว พวกเราทวงถาม มันยังหน้าด้านไม่คืน เมื่อเราจะพึ่งกระบวนการยุติธรรม มันก็สั่งระงับเอาไว้ ทำเป็นหน้ามึนอยู่อย่างนั้น ทั้งที่พวกเราทำเพื่อส่วนรวมแท้ๆ ไม่ได้ทำเพื่อคนใดคนหนึ่งเลย
ความอายมันไม่ปรากฏให้เห็น แต่ความอาฆาตแค้นของพวกมัน เริ่มแสดงให้ประจักษ์ หรืออาจเพราะมันกลัวจะเสียสิ่งที่พวกมันปล้นเอามาแล้วต้องคืน ปฏิกิริยาเริ่มแสดงออก

อีกแล้วเสียงคล้ายรถถังกำลังติดเครื่อง มาอีกแล้ว หนึ่งล้านคน ที่หมายมั่นปั้นมือจะปิดบัญชีซักทีหลังตรุษจีนที่จะมาถึง จะทันการหรือไม่ยังไม่รู้ กับระบบมั่วซั่วในการปกครองแบบนี้

กระดาษที่ว่าเป็นรัฐธรรมนูญ ก็ใช้ไม่ได้

ศาลที่ให้ความเที่ยงธรรม ก็รู้ผลล่วงหน้ากันก่อนทั้งหมด

องค์กรอิสระก็แค่เครื่องมือของการฟอกพวกเขาให้สะอาด เติมปฏิกูลให้ประชาชนต้องสกปรก สร้างหลักฐานเท็จกันเข้าไป
เหล่าพวกที่ยกหางตัวเองว่า คุณธรรมสูงส่งนักหนา ก็หลับตาตัดสินกันออกมา ไอ้ที่ผิดมันบอกว่าถูก ไอ้ที่ถูกมันดันไปเชื่อหลักฐานเท็จตัดสินให้ผิดเฉย

พวกเราเลยต้องออกมาล้างกันใหม่ให้หมดทุกกระบวนการ ไม่หมด ไม่เลิก ไม่ยุติ โดยใช้คนไม่ต่ำกว่าล้านคน เอาคืนมาให้ได้กับประชาธิปไตยประเทศนี้

อหิงสา คำนี้ฟังกันมานานแล้ว สู้กันแบบนี้มาสามปีกว่าแล้ว อดทน เข้มแข็ง ไม่ท้อ จนสะบักสะบอมกันถ้วนหน้า โดนทั้งสร้างฉากมาใส่ร้าย โดนทั้งอำนาจในที่มืด อำนาจในที่สว่างและอำนาจที่แฝงมากับทาสรับใช้ของพวกมัน ที่เราเรียกกันว่า รัฐบาล เจ็บตายไปแล้วยังไม่พอ ตามมารังควานอย่างต่อเนื่อง ตั้งข้อหากันเข้าไป อาทิตย์เดียว สั่งฟ้องกันได้แล้ว จนพวกคนที่ยืนอยู่ตรงกลาง ทำมาหากินอย่างเดียว เห็นแล้ว สงสาร เวทนา เศร้าใจ เห็นใจ ทนไม่ได้ ออกมาร่วมหอลงโลง ร่วมด้วยช่วยกันกับเรามากมาย แม้ต่างชาติยังไม่เว้น นักรบกล้าในเครื่องแบบ ประกาศชัดหลายคน “ครั้งนี้กูไม่ยอมแน่ ถ้ามึงฆ่าประชาชนอีก”

นักรบดำในอดีต ออกมาช่วยนานแล้ว แต่เขาไม่มีหัว ครั้งนี้มีทั้งหัวมีทั้งตัว ประกาศชัด “ตายเป็นตาย”

ทันการหรือไม่ ก็ไม่น่ามีปัญหา หลายท่านประกาศออกมาแล้ว ยอมตายถวายชีวิต ถ้าแม้ได้ยินประกาศว่า มันปฏิวัติกันอีกแล้ว จะออกมาสู้ แม้รู้ว่าสู้ไม่ได้ ไม่หลบไม่หนี จะเอาหน้าอกแลกกับลูกปืน มันยิงได้ยิงไป ไม่ยี่หระ

เสียงถามไถ่ไล่ตามออกมา “ตายแล้วได้อะไร”

หลายคนตอบคำถามนี้ “ตายแล้วได้อะไรกูไม่รู้ และไม่สนใจด้วย แต่มันทนไม่ไหวอีกแล้วกับการที่กูไม่ใช่คน พวกมันเป็นคนอยู่ฝ่ายเดียว พวกกูทำอะไรก็ผิด ส่วนพวกมันทำอะไรก็ถูก อยู่อย่างนี้ อย่าอยู่เป็นคนมันเสียเลยดีกว่า”

เรื่องราวแบบนี้ แกนนำได้รับการบอกเล่ามาตลอด มีอาสาสมัครเข้ามาขอตายไม่เว้นแต่ละวัน ยิ่งมีกระแสการปฏิวัติทวีความเข้มมากขึ้น ก็ยิ่งมีอาสาสมัครมากตามไปด้วย อะไรกันนักกันหนา สังเกตดูการส่งข้อความมาที่ “สถานีประชาชน” มากกว่าครึ่งหนึ่งของข้อความ ล้วนต้องการไปร่วมรบกับ เสธ.แดงทั้งสิ้น

นั่นหมายความว่า “สุดทนกันแล้ว ครั้งนี้ขอสู้ดีกว่า ไหนๆ พวกมันก็ไม่เอาเราไว้แล้ว แลกกันเลย”

เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นครั้งนี้ ผมมั่นใจว่า พวกที่ครอบครองประเทศนี้อยู่ จะใช้ทุกกระบวนท่า มาจัดการกับพวกเราให้สิ้นซากจนสลายสิ้นให้ได้ แม้ว่าจะแลกด้วยอะไร พวกมันก็ยอมทำ สุดท้ายจะไม่เหลือศักดิ์ศรีก็ไม่เป็นไร เพื่อสืบทอดอำนาจของพวกมันไว้ให้ยาวนานที่สุด

ซึ่งเหมือนกับพวกเราที่ก็จะไม่ยอมถอยแน่ แม้คนสุดท้ายก็จะยอมตายด้วยการต่อสู้ที่มีอาวุธแค่มือเปล่า เพื่อแลกกับอิสรภาพและการเสมอภาคเท่านั้น

ก่อนวันนั้นจะมาถึง ผมถามทุกท่านก่อนว่า “ชีพนี้พลีเพื่อใคร?”

ส่วนของผมขอตอบ ว่า แม้ผมไม่ได้เป็นลูกหลานทหาร เติบโตมาในค่ายฯ ผมไม่ได้เคยท่องจำ แต่คำนี้ มันฝังอยู่ในหัวมานานแล้ว ยอมสละชีพเพื่อชาติศาสนาพระมหากษัตริย์อย่างแน่วแน่

ผมไม่ยอมอีกแล้ว ที่จะให้กลุ่มอำนาจจากขันที ทำให้ชาติที่ผมเกิด ต้องย่อยยับไปอีกครั้ง ไม่ยอมอีกแล้ว ที่จะให้กษัตริย์ของผมจะต้องถูกแอบอ้างจากขันที เอาไปใช้ในเรื่องส่วนตัวหาผลประโยชน์

สิ่งไหนที่มันก้ำกึ่งระหว่างถูกกับผิด พวกขันทีมันจะนิ่งเงียบ จะทำคลุมเครือ ให้ประชาชนเข้าใจผิดคิดว่าพระองค์ท่านประสงค์เช่นนั้น ส่วนสิ่งไหนที่ทำแล้วประชาชนยกย่อง พวกขันทีจะแสดงท่าว่า เป็นการกระทำของตนเอง

ผมคงไม่ยอมต่อไปอีกแน่นอน เหมือนเช่นในประวัติศาสตร์ของการเสียกรุงฯครั้งที่สอง พระมหากษัตริย์ถูกตำหนิมากที่สุดในทุกข้อกล่าวหา แม้คำสั่งต่างๆ ที่ออกมา ไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าจริงหรือไม่ ก็ยังเอามาเล่าขานกันไม่เลิก กล่าวหาว่าพระองค์ท่านเป็นผู้ลุ่มหลงสุรานารี แม้ข้าศึกมาประชิดเมือง ก็ยังคงไม่ใส่ใจ ห้ามยิงปืนใหญ่เพราะกลัวนางสนมแตกตื่น ใส่ร้ายกระทั่งพระองค์ท่านเป็นโรคเรื้อนแท้จริง มันมีอะไรลึกๆ กว่านั้นหรือไม่ เหล่าเสนาบดีเองที่เป็นอำมาตย์แอบหวังครองอำนาจเองหรือเปล่า อ้างโองการจากกษัตริย์แล้วประกาศเองว่า ไม่ให้ยิงปืนใหญ่ เมื่อแพ้สงคราม บ้านเมืองโดนเผา หรืออาจจะร่วมมือกับศัตรูเผาเองเลยก็ได้ ร่วมกันผสมโรงเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่พระมหากษัตริย์ เพราะถ้าใช้ตรรกะแบบง่ายๆ คิดดูเอง มันสุดวิสัยของกษัตริย์หรือไม่ แม้แต่ราชบัลลังของตนเองยังไม่คิดปกป้อง สุรานารีมีให้สนองตอบมากมาย เวลาไหนก็ได้ เพราะในขณะนั้น กษัตริย์คือกฎหมาย กษัตริย์คือจ้าวชีวิตของทุกคน มีด้วยหรือ เมื่อข้าศึกมาบุกพระนคร ยังไม่ใส่ใจ แถมยังห้ามไม่ให้เอาปืนใหญ่ออกมายิงต่อสู้ด้วย มันมีส่วนจริงมากน้อยเพียงไหน

วันนี้เช่นเดียวกัน ข่าวที่เราได้ฟังกันมาทั้ง เอเอสทีวี เรื่องราวที่เล่าต่อๆ กันมาจากคนเสื้อเหลือง แท้จริงมันใช่หรือไม่ มีเรื่องจริงมากน้อยเพียงไหน เป็นเรื่องที่เหล่าอำมาตย์ปล่อยข่าวสร้างข่าวมาหรือเปล่า คนไทยรักภักดีในหลวงและราชวงศ์เท่านั้น คนอื่นที่ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ เราไม่หลงประเด็น

ต้องขอบพระคุณแกนนำคนเสื้อแดงทุกท่าน ที่นำเอาความจริงนั้นมาเปิดเผย

วันนี้เราสู้กับขันที สู้กับอำมาตย์ สู้กับทาสผู้ซื่อสัตย์ที่เป็นทั้งนักการเมือง นักวิชาการและทหาร เราไม่ได้ต่อสู้กับองค์เหนือหัว ตรงกันข้ามเรากลับปกป้ององค์เหนือหัวของพวกเราด้วยในการต่อสู้ในครั้งนี้

จงภูมิใจในตัวเองครับ ที่เราได้เป็นส่วนหนึ่งของนักรบเสื้อแดง สู้เพื่อพระเกียรติยศของพระองค์ท่านให้กลับมาละบือไกลไปทั่วโลกอีกครั้ง เฉกเช่น อดีตนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร เคยได้กระทำเอาไว้

เมื่อวันนั้นมาถึง อะไรจะเกิดขึ้นก็ช่างมัน การกล่าวสดุดีในงานศพจะมีหรือไม่ คงไม่อยากรู้ เพราะมันก็แค่ลมพัดผ่านหู แต่ถ้าพวกเราชนะ สามารถเอาประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขกลับคืนมาได้ การตายก็ไม่สูญเปล่า การสดุดีไม่ต้องพูดถึงว่าจะมีหรือไม่

อีก 100 ปีข้างหน้า แม้โลกเปลี่ยนแปลงไปไกลแล้ว แต่ประวัติศาสตร์ของประเทศไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ การต่อสู้ของพวกเรา จะถูกบันทึกเอาไว้ ด้วยภาพ ด้วยข้อเขียนและความทรงจำที่เล่าต่อๆ กันมา นามสกุลของท่าน จะถูกจารึกไว้ในหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์นั้นด้วย หลาน เหลนโหลนของท่าน จะภูมิใจมากซักเพียงใด ที่ครั้งหนึ่งต้นตระกูลของพวกเขา เป็นผู้กอบกู้แผ่นดินนี้ขึ้นมา และต้องแลกมาด้วยชีวิตของเขาเอง

ตั้งปณิธานเอาไว้อย่างมั่นคง ขอให้หัวใจอันแน่วแน่อย่าแกว่ง ความคิดดี จะทำให้ผมและพวกพี่น้องร่วมอุดมการณ์ ประสพผลสำเร็จได้รับชัยชนะต่อขันทีชั่วผู้นี้ครับ

โดย คุณอ่างขาง
ที่มา เวบไซต์ redthais

** โยน "รถถัง" ถามทาง !!! **


พักนี้มีข่าวปฏิวัติหรือรัฐประหารในสื่อต่างๆ อยู่บ่อยๆ

แถมรถถังก็ดันจำเพาะต้องมาเสีย วิ่งเพ่นพ่านหาอู่ซ่อมอยู่ตามถนนในกรุงเข้าอีก

เลยยิ่งลือกันสนุก

กลุ่มที่พูดเรื่องปฏิวัติอยู่บ่อยๆ ในเชิงดักคอก็คือชาวเสื้อแดง

สีอื่นก็บ่อยไม่แพ้กัน แต่เป็นการกล่าวถึงในแบบถวิลหา

ก็เลยมีคำถามว่า ในสถานการณ์บ้านเมืองอย่างทุกวันนี้ ใครกันหนอจะอยากให้มีการปฏิวัติ

ถามทหารว่าอยากปฏิวัติหรือไม่ เชื่อว่า 2 หนหลัง ทั้ง 23 ก.พ.2534 และ 19 ก.ย.2549 เป็นบทเรียนที่ทำให้เข็ดเขี้ยวไปตามๆ กัน

อาจจะอยาก เพราะรำคาญสภาพการเมือง แต่ก็รู้ดีว่า ยึดอำนาจไม่ยาก แต่การจัดการบ้านเมือง หลังจากนั้นก็คือนรกเราดีๆ นี่เอง

ถ้าไม่ใช่ทหาร คนที่อยากให้ปฏิวัติ น่าจะเป็นระดับ"ชนชั้นนำ"ทั้งหลาย

ชนชั้นนำมีหลายกลุ่ม แต่ที่วุ่นวายเจ้ากี้เจ้าการกับการบ้านการเมืองมีไม่กี่คน

บางทีก็เรียกกันว่า"ผู้มีบารมี"

ชนชั้นนำมักจะวางตัวเป็นคนดีที่สูงส่ง หวังดีต่อบ้านเมืองแบบสุดลิ่ม

ไม่ยุ่งการเมือง แต่เล่นการเมืองเต็มๆ ผ่าน "ตัวแทน"

เห็นเขาว่ากันว่ารัฐบาลประชาธิปัตย์ ก็เป็นตัวแทนกับเขาด้วยเหมือนกัน

ไม่งั้นคงไม่ได้ดั้นเมฆเข้ามาเป็นรัฐบาล

ปัญหาก็คือ รัฐบาลประชาธิปัตย์บริหารงานไม่ได้ดั่งใจ เสื้อแดงยังเต็มบ้านเต็มเมือง คุมพรรคร่วมรัฐบาลไม่ได้ ตั้งผบ.ตร.ก็ไม่ได้
เรื่องอื่นๆ ก็หนักไปทางล้มเหลว

ถ้าปล่อยไป อาจล่มสลายกันทั้งขบวน ก็เลยคิดแบบเก่าๆ จะใช้อำนาจเบ็ดเสร็จมาล้มกระดาน

ยิกๆ ดันหลังทหาร ชักใยสร้างบรรยากาศขวาจัดทางโทรทัศน์ ทางสื่อของรัฐ กรอกหูชาวบ้านทุกวัน เพื่อหยั่งเสียงเช็กกระแส

ดูจากอาการของสังคม ข้อเสนอ "ปฏิวัติ" คงขายไม่ออก

เกมโยนรถถังถามทาง เที่ยวนี้ก็เลยเหี่ยวๆ ไป

แต่อย่าประมาทพวก"บ้าจี้"

*****************************************************************************
คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม

วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553

ชูวิทย์โผล่หน้าสภายื่นจดหมายเปิดผนึกถึงตือ


นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคชาติไทย ได้แถลงข่าวบริเวณนอกรั้วด้านหน้ารัฐสภาว่า จากกรณีที่นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล กรรมการที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ทำจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯ กรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า นายสมศักดิ์หรือนายบรรหาร ศิลปอาชา และพวก ถูกพิพากษาให้เว้นวรรคทางการเมืองไม่ควรที่จะออกมาเรียกร้องหรือดิ้นรนอยู่ หลังฉากพรรคการเมือง

โดยเนื้อหาในจดหมายมีใจความ 8 ข้อ สรุปว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือการทำประชามติมีค่าใช้จ่ายมหาศาล ขณะที่เศรษฐกิจของประเทศยังไม่ฟื้นและมีปัญหามากมาย แต่ไม่เคยเห็นนายสมศักดิ์เขียนจดหมายเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ และการพูดคุยหรือตกลงกันของนักการเมืองโดยอ้างอิงให้สังคมสงบสุข ไม่เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งสองมาตรา แต่นักการเมืองอ้างผลประโยชน์ของประชาชนบังหน้า และที่สังคมไทยแตกแยกเกิดจากนักการเมืองทั้งสิ้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ได้ทำให้สังคมสมานฉันท์หรือแตกแยก การที่พรรคประชาธิปัตย์เห็นว่าหากร่วมมือแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะตอบประชาชนได้ จะให้ตอบเพียงว่าได้ตกลงไว้กับพรรคร่วมรัฐบาลคงไม่เพียงพอนั้นถือว่าพรรคประ ชาธิปัตย์มีจุดยืน

ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญหนึ่งในสองมาตรานั้นเป็นการแก้ไขการเลือกตั้งเขตเล็ก ซึ่งจะส่งผลให้ได้ส.ส.จำนวนมากขึ้น เพื่อรวมตัวกันต่อรองในการบริหารรัฐบาล แสดงให้เห็นว่าทุกครั้งของการเลือกตั้งพรรคเล็กจะพยายามรวมตัวกัน เพื่อให้ได้จำนวนต่อรองในการสัมปทานประเทศ และเขตเล็กสามารถใช้เงินซื้อเสียงได้ง่าย ส่วนเรื่องที่ว่าสถานการณ์เปลี่ยน อุดมการณ์นักการเมืองก็เปลี่ยนหรือไม่ นายสมศักดิ์และนายบรรหารน่าจะรู้เรื่องนี้ดีที่สุด หากเป็นนักการเมืองที่ต้องการให้การเมืองดีขึ้นกับการทำให้พรรคการเมืองได้ รับเลือกตั้งมากขึ้นมีความแตกต่างกัน ดังนั้นอย่านำผลประโยชน์ของชาติมาปะปนกับผลประโยชน์ของพรรคการเมือง อย่างไรก็ตามตนคิดว่านายสมศักดิ์คงไม่พูดด้วยปากใช้เท้าเช็ด และยืนยันว่าการออกมาครั้งนี้ไม่มีเบื้องหลังใดๆ

ที่มา:ข่าวสดออนไลน์

เงื่อนไขและเวลาตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น


แล้ววลี “กงล้อแห่งประวัติศาสตร์” ก็มีน้ำหนักขึ้นในทันทีที่ ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย ประกาศคำว่า “รัฐบาลพลัดถิ่น” ออกมาอย่างเต็มภาคภูมิ ระหว่างการปราศรัยผ่านดาวเทียมกับมวลมหาประชาชนที่กำลังชุมนุมทวงแผ่นดินคืนจากอำมาตย์ ณ เขาสอยดาว จันทบุรี เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๕๓

ผมทราบว่าหลายท่านน้ำตาไหล และหลายท่านหายใจอย่างโล่งอกว่า นี่แหละเกียรติภูมิที่ควรเป็นของขบวนการประชาธิปไตย

ตัวผมนั่งอยู่อีกมุมโลกหนึ่ง รู้สึกประหนึ่งว่าเราชนะแล้วด้วยซ้ำไป

รัฐบาลพลัดถิ่นคืออะไร ทำไมสำคัญถึงขนาดนี้ เราจะจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้จริงหรือ ทั่วโลกเขาจะเอากับเราหรือ?

ผมได้ยินคำถามดังออกมาจากหัวใจของพวกเราที่ร่วมต่อสู้และปรารถนาจะเห็นชัยชนะอย่างไม่มีเงื่อนไขของฝ่ายประชาชน วันนี้ต้องตอบคำถามเหล่านั้นให้ชัดเจนหรืออย่างน้อยต้องลดความสงสัยลงบ้าง

รัฐบาลพลัดถิ่น หรือ government-in-exile เป็นวิถีทางต่อสู้อย่างหนึ่งของขบวนการการเมืองในแต่ละประเทศ เมื่อการต่อสู้ในประเทศตนไม่อาจเป็นไปได้แล้ว โลกหรือประชาคมระหว่างประเทศ โดยองค์การสหประชาชาติคือผู้ประกันสิทธิตามธรรมชาติในข้อนี้ของขบวนการการเมืองใดๆ ที่ได้รับการสนับสนุนอย่างบริสุทธิ์ใจจากมวลชนจำนวนมากในประเทศนั้นๆ จึงเรียกได้ว่าเป็นกลไกการต่อสู้ที่โลกยอมรับ และถือเป็นการรณรงค์ทางการเมืองโดยสันติวิธีอย่างหนึ่ง

รัฐบาลพลัดถิ่นจึงไม่ใช่รัฐบาลเถื่อน

มิหนำซ้ำ หากรัฐบาลนั้นๆ ตั้งขึ้นบนความยอมรับนับถือของประชาคมระหว่างประเทศและได้รับการสนับสนุนอย่างเพียงพอในประเทศของตนแล้ว ยังเกิดผลอีกอย่างหนึ่งคือทำให้รัฐบาลที่มีอยู่เดิม ซึ่งเป็นรัฐบาลฝ่ายตรงข้ามในขณะนั้น หมดสิ้นความชอบธรรมลงไปทันที มหาประชาชนจะฉุดกระชากลากลงมาจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเสียเมื่อไหร่ก็ได้

ครับ ถ้า ดร.ทักษิณ ชินวัตร ตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นมาได้สำเร็จ รัฐบาลอภิสิทธิ์ รัฐบาลสุรยุทธ์ รัฐบาลปีย์ รัฐบาลเปรม และรัฐบาลเขายายเที่ยงบวกกับตาเที่ยง หรือรัฐบาลเวรกรรมใดๆ ที่มาจากการปล้นอำนาจรัฐจากประชาชนด้วยกำลังกองทัพ ตุลาการวิบัติ หรือองค์กรอิสระ (แต่เป็นทาสอำมาตย์) จะกลายสภาพเป็นรัฐบาลเถื่อนในทันที

การจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นจึงเป็นคำประกาศว่าใครคือรัฐบาลตัวจริง

รัฐบาลตัวจริงหมายถึงรัฐบาลที่มีความชอบธรรมอย่างแท้จริง และรัฐบาลมีฐานประชาชนหนุนอย่างเพียงพอ ไม่ใช่รัฐบาลที่มีคนเรียกฝ่ายตุลาการออกมาวางแผนปล้นให้ ไม่ใช่รัฐบาลที่คอยแก้ไขปัญหาปากคอกอย่างเพลี้ยสีน้ำตาล หรือทะเลกัดเซาะชายฝั่งที่ปักษ์ใต้ โดยไม่ได้แก้ไขปัญหาจากเหตุปัจจัยหลัก เพราะทำเพียงเพื่อจะหาทางผันงบประมาณออกมาใช้กันให้อ้วนท้วนไปตามๆ กันเท่านั้น

ที่มาของรัฐบาลก็ต้องชอบธรรม การทำงานในขณะเป็นรัฐบาลหรือขณะที่ถืออำนาจรัฐอยู่ก็ต้องชอบธรรม เรียกว่าชอบธรรมตั้งแต่หัวจรดเท้าและยาวนานตลอดวาระการดำรงตำแหน่ง

รัฐบาลเฮียดึงหรือเจ๊ดันอย่างรัฐบาลของพลเอกสุรยุทธ์ และนายอภิสิทธิ์จึงขาดชอบธรรมอย่างเด็ดขาด จะดูที่มาของรัฐบาลหรือวิธีการใช้อำนาจรัฐ ก็ขาดด้วนหมด

ไม่ต่างอะไรจากคนเป็นสมีปาราชิก แต่ไปหลอกสาธุชนว่าเป็นพระ ให้ศีลให้พรคนจนยุ่งไปหมด เผลอๆ ยังหน้าด้านไปทำหน้าที่อุปัชฌาย์หรือเป็นพระพี่เลี้ยงนวกะสร้างพระใหม่อีกต่างหาก

แล้วจะตั้งได้หรือ รัฐบาลพลัดถิ่นที่ว่านี้?

เจ้าของประเทศไทยคือประชาชนส่วนมากอาจจะยังไม่ทราบว่า วันที่เราถูกปล้นอำนาจรัฐในวันอังคารที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เราเกือบจะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นกันแล้ว ในวันนั้นนายกรัฐมนตรีของเราก็อยู่ที่องค์การสหประชาชาติ พร้อมกับผู้นำทั่วโลกอีกมากมาย ต่างฝ่ายต่างมาร่วมประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติประจำปีกันในโอกาสนั้นทั้งสิ้น

เลขาธิการสหประชาชาติในเวลานั้นคือนายโคฟี่ อันนัน ก็ย้ำคำเชิญให้นายกรัฐมนตรีทักษิณขึ้นกล่าวปราศรัยตามกำหนดการเดิม โดยไม่คำนึงถึงการรัฐประหาร เป็นการประกาศด้วยเสียงดังฟังชัดว่า องค์การสหประชาชาติยอมรับรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ไม่รับรัฐบาลที่ซากเดนศักดินาร่วมกันตั้งขึ้นในเมืองไทย

เราสามารถตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้อย่างง่ายดายราวดีดนิ้ว

เหตุที่ไม่ได้ตั้ง เพราะเจตนาในขณะนั้นคือความสมานฉันท์ ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ในขณะที่ “สติ” ยังตามไม่ทัน “จิต” ไม่รู้ว่าเขาพูดคำว่าสมานฉันท์แบบย้ำๆ ยานๆ เพื่อให้มีเวลาบรรจุกระสุนปืน หรือไม่ก็มีเวลาผสมยาพิษให้เต็มแก้ว

เรียนปริญญาตรีก็ใช้เวลาในราว ๔ ปี ปีแรกอาจไร้เดียงสา ทำตัวเหมือนอยู่ชั้นมัธยม ปีสองและปีสามแก่กล้าขึ้นบ้าง ทั้งในทางปัญญาและอารมณ์ จนถึงปีสี่ ซึ่งเป็นปีสุดท้ายก่อนจบ ถึงขั้นจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้ก็ถือว่าประเสริฐ ไม่มีอะไรสูญเปล่า

สามปีที่ผ่านมาคือช่วงเวลาบ่มเพาะ ทั้งความพร้อมเพรียง และความมั่นใจในตัวเองของขบวนการประชาธิปไตย เรารักกัน เราทะเลาะกัน เราเห็นด้วย เราเห็นแย้ง เราขาดความเชื่อมั่น เราเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา ในที่สุดเราก็เดินมาถึงยุทธศาสตร์เดียวกัน

ถึงวันนี้ใครที่ถือยุทธศาสตร์คนละเล่มก็ถือว่าอยู่กันคนละสนามแล้ว ถ้าสามปียังคิดไม่ได้ ก็คงไม่ต้องคิด เป็นสิทธิ์ของทุกคนที่จะเป็นไพร่และเป็นทาสต่อไปเหมือนนกติดยาในกรงเหล็กที่เขาขังไว้ขายคนชอบปล่อยนก

แต่เราจะไม่ยอมให้คนเหล่านั้นเข้ามาทำลายยุทธศาสตร์หลักของเราเป็นอันขาด

รัฐบาลพลัดถิ่นเป็นสิ่งที่ทำได้ และต้องทำเมื่อเกิดเงื่อนไขที่เหมาะสมในทางการเมือง

การยึดอำนาจรัฐประหารเป็นเพียงเหตุผลหนึ่งเท่านั้น

ตุลาการภิวัฒน์ ซึ่งแปลว่าสังคมขาดความยุติธรรมอย่างร้ายแรง มนุษย์ทุกคนมิได้เสมอภาคกันตามกฎหมายอย่างที่เขาโฆษณาชวนเชื่อ ก็เป็นเหตุได้

การใช้ความรุนแรงกับมวลมหาประชาชนที่ใช้สิทธิ์ในการประท้วงอย่างสงบ สันติ และปราศจากอาวุธ ก็เป็นเหตุได้

การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง อย่างคำกล่าวของผู้บริหารองค์การตรวจสอบสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ หรือ Human Rights Watch ที่ว่า “...ถึงบางครั้ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะกล่าวถึงสิ่งที่ถูกต้องเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน แต่การกระทำของนายอภิสิทธิ์กลับกลายเป็นเรื่องตรงกันข้าม รัฐบาลชุดนี้ได้บั่นทอนการเคารพสิทธิมนุษยชนและนิติธรรมในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง...” หรือ “...ประชาธิปไตยในประเทศไทยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และกฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ บรรยากาศแห่งความหวาดกลัวได้ปกคลุมสังคมอินเตอร์เน็ต เนื่องจากการที่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์เพิ่มระดับการจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น...”

สภาพความพิการล่าสุดของเมืองไทยภายใต้อำมาตย์อย่างนี้ ก็เป็นเหตุได้

รัฐบาลพลัดถิ่นจึงเป็นสมบัติสาธารณะ และเป็นกลไกของเราในฝ่ายประชาธิปไตย ไม่ต้องไปฟังความเห็นของเหล่าขี้ข้าอำมาตย์ในรัฐบาลหรอกครับ เพราะเราไม่ได้ต้องพึ่งอะไรเขาในการจัดตั้ง

ถึงเวลาอันเหมาะสม เราตั้งได้แน่ครับ.

โดย จักรภพ เพ็ญแข
ที่มา: คอลัมน์ผมเป็นข้าราษฎร นสพ.วิวาทะ ไทยเรดนิวส์ ฉบับที่ 35

ธงที่ตั้งไว้! ของการ ‘ปฏิวัติ’


กลิ่นการปฏิวัติโชยมาเป็นระยะๆทำเอา “บิ๊กทหาร” ออกมาปฏิเสธภาคเสธ เป็นแถวเป็นแนวแต่การที่ทำให้ประชาชนได้เห็นรถหุ้มเกราะออกมาวิ่งเพ่นพ่านมันก็เป็นอะไรที่น่าจับตาดูมิใช่น้อยคล้ายๆ กับทหารกำลังตีกลองเรียงแถวอย่างไรชอบกลโพลล์สำรวจออกมา...ประชาชนไม่ปรารถนาที่จะให้ประเทศไทยมีการ

ปฏิวัติในช่วงนี้แต่ประการใดเพราะนั่นย่อมไม่ใช่ทางออกที่ดีอย่างแน่นอน...ประเทศจะเสียหายเสียโอกาส เพราะอย่าลืมว่า...การปฏิวัติในแต่ละครั้งนั้นจะต้องมีองค์ประกอบหลายอย่างเป็นรูปแบบและปัจจัยแต่ก็ไม่แน่เพราะการปฏิวัติ เมื่อ 19 ก.ย. 49 ยังมีองค์ประกอบที่เปลี่ยนไปได้สมัยก่อนปฏิวัติครั้งหนึ่งเขาจะมีเหตุผลซึ่งเหมือนเป็นธรรมเนียมบางอย่างในการกล่าวอ้างเพื่อความชอบธรรมในการปฏิวัติ และมีการปฏิบัติที่ชัดเจนนั้นก็คืออ้างว่า...การบริหารงานของรัฐบาล

ทุจริตคอร์รัปชั่นมากยกเลิกกฎหมายเก่า จัดทำกฎหมายใหม่ ที่เราเรียกว่ารัฐธรรมนูญยุบพรรคการเมืองทุกพรรคพร้อมยึดทรัพย์สินของพรรคการเมืองเป็นของแผ่นดินและห้ามนั่งคุยเรื่องการเมืองโดยเกิน 5 คนขึ้นไป สิ่งนี้คือธรรมเนียมของนักปฏิวัติที่เขาทำกันมาตั้งแต่หลัง พ.ศ.2475 แต่เมื่อมีการปฏิวัติเมื่อ 19 ก.ย. 49 ที่ผ่านมานั้น...มีแค่เพียงสองข้อที่ได้กระทำและในที่สุดก็มีการ ยุบพรรคไทยรักไทยโดยใช้กฎหมายที่เพิ่งเขียนขึ้นมาดำเนินการนั่นคือ ธงที่ตั้งไว้เมื่อคราว

ก่อนกลิ่นโชยถึงการปฏิวัติวันนี้...อาจจะมีธงที่แปลกใหม่ที่ตั้งเอาไว้ และก็ไม่รู้ว่าจะมีการเปลี่ยนธรรมเนียมข้อแรกของการปฏิวัติหรือไม่?เพราะรัฐบาลพันธุ์ผสมชุด นี้ได้ปฏิสนธิในค่ายทหาร คงจะไม่มีการกล่าวหารัฐบาลในข้อกล่าวหาว่าคอร์รัปชั่นก็อาจเป็นไปได้ทั้ง ๆ ที่มี ใหเห็นอยู่ทั่วไป แต่มีอีกมุมหนึ่งที่ตั้งข้อสงสัยกันว่า ขงเบ้งเมืองไทย อย่าง“บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เงียบหายไปไหน ดูสงบเงียบผิดสังเกตซึ่งโบราณเขาก็สอนเอาไว้ว่า...ทะเลเงียบจากคลื่นลมเมื่อไหร่ประเดี๋ยวคลื่นใหญ่จะมา

หรือว่า “บิ๊กจิ๋ว” กำลังใช้วิชากำลังภายในแบบขงเบ้งจริงๆเปิดเมืองนั่งตีขิมล่อศัตรู ให้เข้ามาติดกับดักวิชาค่ายกลอะไรบางอย่างมาถึงวันนี้ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน ประกาศชัดว่า...รัฐประหารเมื่อไหร่ได้เจอกัน... ใครที่คิดห้าวจะทำการปฏิวัติในวันนี้จะร้อนๆหนาวๆ ในทรวงพอสมควรมิเช่นนั้นคงจะทำไปนานแล้ว...เพราะถ้าหากได้เห็นพลังบริสุทธิ์ของประชาชนแท้ๆ ที่ไม่ฝักฝ่ายใดออกมาเดินบนถนน แล้วต่อต้านแทนการเอาดอกไม้

มาให้ คงจะต้องคิดหนักพอสมควรเพราะหากมีการปฏิวัติจริงๆ เท่ากับว่า...ทหารถอดหมวกเปิดหน้าเดินเข้าหาประชาชนอย่างแน่นอน และเป็นการเปิดหน้าที่ต้องพบกับการต่อต้านหลายฝ่ายอย่างแน่นอนซึ่งอย่าลืมกันว่า...อะไรก็ตามที่จะทำกันมักจะปฏิเสธก่อนเสมอว่า ไม่มี...ไม่มีการปฏิวัติแน่นอน แต่ท้ายสุดก็ “กลืนนํ้าลายตัวเอง” เป็นอย่างนี้มากี่ครั้งแล้วและมาถึงวินาทีนี้...หากให้อ่านเกมก็ต้องบอกว่าต้องอ่านกันแบบ เสี้ยววินาทีต่อวินาทีแต่ในใจลึกๆ ไม่อยากให้มี

การปฏิวัติแน่นอน...แต่ที่สุดแล้วเชื่อเหลือเกินว่าโอกาสที่น่าจะเป็นไปได้ “มีสูง”แต่จะด้วยวิธีไหนรูปแบบใด เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แล้วใครจะเป็นผู้นำ คงไม่ต้องบอกน่าจะพอๆ เดากันได้ในโลกแห่งความเป็นจริง...ไม่เคยเห็นปฏิวัติของชาติไหนๆในโลกจะสามารถแก้ไขวิถีแห่งการเมืองได้เลย เพราะอย่างที่บิ๊กทหารท่านหนึ่งพูดมานานแล้วนั้นแหละคือสัจธรรมของจริงปัญหาการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง! 
ที่มา:บางกอกทูเดย์

วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553

อำนาจศาลปกครองที่มีต่อคำวินิจฉัยของ ป.ป.ช.


"กฎหมาย ป.ป.ช.ระบุไว้ว่ากระบวนการอุทธรณ์ทำได้เฉพาะเรื่องการลงโทษของผู้บังคับบัญชา แต่ไม่สามารถที่จะไปอุทธรณ์มติที่ ป.ป.ช. ผมทราบดีว่าทาง ก.ตร.หรือผู้เกี่ยวข้อง อาจจะมีความไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ ป.ป.ช.ชี้ แต่ข้อเท็จจริงคือว่าระบบที่จะไปคานอำนาจกับ ป.ป.ช.นั้น บุคคลเหล่านี้ไปฟ้องร้องต่อศาลปกครอง ซึ่งในอดีตนั้นก็มีหลายครั้งที่ศาลปกครองนั้นกลับมติของ ป.ป.ช. "

จากคำกล่าวนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ข้างต้นที่กล่าวย้ำในรายการ "เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์"เมื่อ 17 มกราคมที่ผ่านมาทำให้ผมเห็นว่าคุณอภิสิทธิ์และอีกหลายๆคนน่าจะเข้าใจคลาดเคลื่อนในอำนาจศาลปกครองที่มีต่อคำวินิจฉัยของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติหรือ ป.ป.ช. รวมถึงคณะกรรมการกฤษฎีกาเองก็ยังมีความเห็นเช่นเดียวกันว่าถ้าผู้ถูกลงโทษนั้นเห็นว่าการดำเนินการนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายก็มีสิทธิที่จะนำคดีไปสู่ศาลปกครองได้ (บันทึกเรื่องเสร็จ ที่ 642-644/2552 ลว. 9 ต.ค.52)

จากบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้กำหนดบทบาทและอำนาจหน้าที่ของศาลปกครองและ ป.ป.ช.ไว้ ดังนี้

มาตรา 223 วรรคสอง “อำนาจศาลปกครองตามวรรคหนึ่งไม่รวมถึงการวินิจฉัยชี้ขาดขององค์กรตามรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นอำนาจโดยตรงตามรัฐธรรมนูญขององค์กรตามรัฐธรรมนูญนั้น”

มาตรา 250 “คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้

...(3) ไต่สวนและวินิจฉัยว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐตั้งแต่ผู้บริหารระดับสูงหรือข้าราชการซึ่งดำรงตำแหน่งตั้งแต่ผู้อำนวยการกองหรือเทียบเท่าขึ้นไปร่ำรวยผิดปกติ กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม รวมทั้งดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือข้าราชการในระดับที่ต่ำกว่าที่ร่วมกระทำความผิดกับผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวหรือกับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือกระทำความผิดในลักษณะที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเห็นสมควรดำเนินการด้วย ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต....”

เมื่อเราพิจารณาจากบทบัญญัติข้างต้นดังกล่าวแล้วย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าการใดที่ ป.ป.ช.ซึ่งเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญไต่สวนและวินิจฉัยโดยใช้อำนาจโดยตรงตามรัฐธรรมนูญแล้วศาลปกครองย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี ซึ่งก็ได้ยึดถือเป็นแนวปฏิบัติเช่นเดียวกับกรณีของการวินิจฉัยให้ใบแดงใบเหลืองของ ก.ก.ต.ว่าไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครองเช่นกัน

แต่เมื่อไม่นานมานี้ศาลปกครองชั้นต้นได้เปลี่ยนแนวมารับพิจารณาคดีที่มีผู้มายื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองในกรณีที่หน่วยงานต้นสังกัดพิจารณาออกคำสั่งลงโทษทางวินัยร้ายแรงตามคำวินิจฉัยของ ป.ป.ช.โดยได้ตัด ป.ป.ช.ซึ่งเป็นผู้ฟ้องคดีออกไปยังคงเหลือแต่เพียงหน่วยงานต้นสังกัดของข้าราชการผู้นั้นและได้มีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งลงโทษทางวินัยนั้น ดังกรณีของ”โอ๋ สืบ 6” พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เทพจันดา อดีต ผบก.สส.บก.น.6 ที่ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองเชียงใหม่กรณีถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดทางวินัยร้ายแรงที่ปล่อยอันธพาลทำร้ายม็อบพันธมิตรหน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์เมื่อปี 2549เป็นผลให้ ก.ตร.ได้มีคำสั่งปลดออกและศาลปกครองเชียงใหม่ได้พิพากษาเพิกถอนคำสั่งของ ก.ตร.นั้นเสีย ซึ่งต่อมา ป.ป.ช.ได้มีคำขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่และศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งให้พิจารณาคดีใหม่อีกครั้งหนึ่ง

จากที่กล่าวมานี้ก็หมายความการที่ศาลปกครองชั้นต้นรับพิจารณานั้นเป็นพิจารณาเฉพาะคำสั่งของหน่วยงานต้นสังกัดมิใช่การพิจารณาคดีต่อ ป.ป.ช.ซึ่งใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญถึงแม้ว่าในคำพิพากษาจะกล่าวถึงการสอบสวนที่มิชอบก็ตาม กอปรกับคดีนี้ได้มีการพิจารณาคดีขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่งตามมาตรา 75 ของ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 ซึ่งยังไม่มีคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดเป็นบรรทัดฐานว่าศาลปกครองชั้นต้นจะสามารถพิจารณาพิพากษาคดีที่เกี่ยวเนื่องกับคำวินิจฉัยของ ป.ป.ช.ไว้ได้หรือไม่

อย่างไรก็ตามแม้ว่าคดีนี้จะเข้าสู่การพิจารณาของศาลชั้นต้นใหม่และมีโอกาสที่จะขึ้นไปสู่ศาลปกครองสูงสุดก็ตาม ป.ป.ช.เองย่อมสามารถที่จะนำข้อขัดแย้งระหว่างอำนาจหน้าที่กับศาลปกครองขึ้นสู่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 211ของรัฐธรรมนูญได้อีกเช่นกัน ดังเคยมีกรณีตัวอย่างที่ ก.ก.ต.เคยนำคดีที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญปี 40 ที่ศาลปกครองรับไว้พิจารณาให้ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าเป็นอำนาจเด็ดขาดของ ก.ก.ต.โดยศาลปกครองไม่อำนาจพิจารณาพิพากษา จนเป็นเหตุให้มีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญปี 50 อย่างชัดเจนในมาตรา 223 วรรคสอง ทีได้ยกมาข้างต้นนั่นเอง

จริงอยู่โดยส่วนตัวผมเองไม่เห็นด้วยที่ให้อำนาจเด็ดขาดแก่องค์กรอิสระโดยไม่ถูกตรวจสอบ แต่เมื่อเป็นบทบัญญัติที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญแล้วตราบใดที่ไม่มีการแก้ไข เราก็ย่อมที่จะต้องปฏิบัติตาม หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ก็ย่อมที่จะร้องต่อองค์กรที่มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดซึ่งในที่นี้ก็คือศาลรัฐธรรมนูญนั่นเอง มิใช่เลี่ยงไปว่าการดำเนินการของ ป.ป.ช.เป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายในระดับพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542)มิใช่การใช้อำนาจโดยตรงตามรัฐธรรมนูญ ทั้งที่ รัฐธรรมนูญก็บัญญัติไว้อย่างชัดแจ้งว่าการดำเนินการของ ป.ป.ช.ให้เป็นไปตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญฯ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ตัวรัฐธรรมนูญเองจะลงลึกไปในรายละเอียดได้ทั้งหมด

ส่วนผู้เสียหายจากคำวินิจฉัยของ ป.ป.ช.หากเห็นว่าเป็นการไต่สวนที่มิชอบหรือเกิดจากการกลั่นแกล้ง กระทำโดยสองมาตรฐานก็ชอบที่จะดำเนินคดีอาญาต่อ ป.ป.ช.เฉกเช่นกับที่ ก.ก.ต.ชุดพล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ เคยถูกดำเนินคดีจนต้องติดคุกติดตารางคดียังคาโรงคาศาลมาจวบจนบัดนี้

ส่วน ป.ป.ช.เองก็ต้องแก้ข้อกล่าวหาของการเลือกปฏิบัติให้ได้ว่าเหตุคดีเสื้อสีหนึ่งเร็วเป็นพิเศษ คดีของอีกเสื้อสีหนึ่งยังอืดเป็นเรือเกลือไปไม่ถึงไหนสักที ซึ่งก็ยังไม่รวมถึงที่มาที่ไปของ ป.ป.ช.เองว่ามีความถูกต้องชอบธรรมหรือไม่ ได้ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯว่าด้วยการถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนปฏิบัติหน้าที่แล้วหรือยัง เพราะแม้แต่พลเอกสนธิ บุณยรัตนกลิน หัวหน้าคณะรัฐประหารซึ่งเป็นผู้แต่งตั้ง ป.ป.ช.ชุดนี้ยังต้องรับการโปรดเกล้าฯทั้งที่ไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกำหนดให้ต้องปฏิบัติ แต่ ป.ป.ช.แห่งกลับไม่ปฏิบัติทั้งๆที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องปฏิบัติโดยไปอ้างเหตุผลว่าได้รับการแต่งตั้งจากหัวหน้าคณะรัฐประหารเป็นรัฎฐาธิปัตย์ แต่ตัวรัฎฐาธิปัตย์เองกลับยังต้องรับการโปรดเกล้าฯ

อย่าลืมว่าการที่ตนเองจะวินิจฉัยลงโทษผู้อื่น ตนเองก็ต้องไม่มีแผลให้ถูกขุดคุ้ย การเมืองมาแล้วก็ไปโอกาสที่การเมืองจะพลิกผันเปลี่ยนขั้วมีได้ตลอดเวลา หากมัวแต่ให้ทุกข์แก่ท่าน ก็ระวังให้ดีว่าทุกข์นั้นจะถึงตัวเข้าสักวันเช่นกัน

ที่มา:ประชาไท
ชำนาญ จันทร์เรือง

รัฐประหารคือ ฟางเส้นสุดท้ายที่ล่มสหภาพโซเวียต ศักดินาอำมาตยาธิปไตยของไทยก็เหมือนกัน

หากใครติดตามสถานการณ์ทางการเมืองในช่วงปี 1991 ก็จะมีเหตุการณ์สะท้านโลกที่เปลี่ยนแปลงโลกให้เหมือนปัจจุบันนี้ หากไม่มีการ "รัฐประหารสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์หัวเก่า" โซเวียตก็อาจยังไม่ล่มสลาย แต่ก็คงอ่อนแอไปมาก แต่โซเวียต วันนั้นก็อ่อนล้าลงมากแล้ว เหมือน "ศักดินาอำมาตย์" ไทยในวันนี้ นายกอบาร์เชฟ พยายามจะปะผุด้วยนโยบายกราสนอต และเปเรสทอยก้าคือการเปิดกว้างรับการเปลี่ยนแปลงทั้งแนวคิดและระบบเศรษฐกิจของโซเวียต


เมื่อมีนโยบายเปิดกว้างของกอร์บาเชฟ ก็เหมือนน้ำในเขื่อนที่ไหลทะลักลงมา การ วิพาร์กวิจารณ์ถึงความล้าหลังของระบอบคอมมิวนิสต์ ความไร้ประสิทธิภาพต่างๆ และประชาชนที่อดอยาก โซเวียตในวันนั้น ก็เหมือนกับ "คนจนนุ่งกางเกงในตูดขาด" ตัวเดียว ผอมโซแต่มือถืออาวุธร้ายแรง


ระบบที่ไปไม่ไหว แม้จะพยายามปรับปรุง แก้ไขตัวเองบ้าง ใช้บารมีบ้าง ก็เอาไม่อยู่


สุดท้ายสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียตหัวเก่า ก็กลัวว่าจะสูญเสียอำนาจ ก็เลยเอากำลังทหารที่ตัวเองมีอยู่ไม่มากนัก ออกมาทำรัฐประหาร ยึดจุดสำคัญของพรรค และสมาชิกพรรคคนสำคัญเอาไว้ และต้องการดึงระบบกลับไปสู่ระบบเดิม


เท่านั้นเองมันก็เหมือน "ฟางเส้นสุดท้าย" ที่ทำให้อูฐหลังหักทันที

ประชาชนที่ทนไม่ไว้ก็ออกมาต่อต้าน นายบอริส เยลต์ซิน ประธานาธิบดีสาธารณรัฐรัสเซีย (หนึ่งในสาธารณรัฐของโซเวียต) ก็ออกมาปลุกระดมคนให้ออกมาต่อต้าน มีการชุมนุมประชาชนจำนวนมากในกรุงมอสโคว์ ประชาชนหลายกลุ่มเริ่มเข้าทำร้ายทหารฝ่ายรัฐประหาร เข้ายึดและทำลายรถถัง ห้อมล้อมรถถัง และยึดรถถังต่างๆ ไปได้ ทหารที่ออกมาร่วมรัฐประหารที่เป็นชั้นผู้น้อยต่างก็วางปืนเข้าร่วมกับประชาชนหมด


สุดท้ายที่ผมเห็นจากภาพในทีวีคือ กลุ่มทหารที่ภักดีต่อแกนนำคณะรัฐประหารหยิบมือสุดท้าย ก็ได้ยึดที่ทำการพรรคในกรุงมอสโคว์ เป็นที่มั่นสุดท้าย เพื่อสู้ตาย ประชาชนที่ลุกขึ้นปฏิวัติต่อต้านรัฐประหาร ร่วมกับกำลังทหารที่หันมาเข้าข้างประชาชน ก็ระดมยิงปืนใหญ่เข้าไปยังที่มั่นสุดท้ายของฝ่ายรัฐประหารที่กลายเป็นกบฏ และยอมแพ้ในที่สุด ผมยังเห็นภาพควันไฟที่ไหม้ตึกนั้นออก ซีเอ็นเอ็นอยู่เลย

และนั่นก็คือ ฟางเส้นสุดท้ายที่ "ล่มสหภาพโซเวียตอันยิ่งใหญ่" ไปจนได้

หลังจากนั้น จากรัฐประหารเพื่อรักษาสถานภาพเดิมของสหภาพโซเวียตเอาไว้ ก็เกิดการปฏิวัติประชาชนขึ้น มีเยลต์ซินเป็นผู้นำและมีการตั้งรัฐบาลของประชาชนขึ้น รัฐต่างๆ ในสหภาพโซเวียตก็แยกตัวออกไป เยลต์ซิน ที่เป็นหัวหน้ารัฐบาลชั่วคราว ก็ได้ประกาศยุบพรรคคอมมิวนิสต์

ยึดทรัพย์สินของพรรคคอมมิวนิสต์ เป็นของรัฐบาลกลางทั้งหมด

ศักดินาอำมาตยาธิปไตยของไทย ยังมีระบบการเมืองที่ล้าหลังมากกว่าคอมมิวนิสต์อีก มีทั้งความสองมาตรฐาน และความอยุติธรรมในสังคม รวมทั้งการสร้างความโง่เขลาบูชาเทพทั้งหลาย

วันนี้กลุ่มอำมาตยาธิปไตย ถูกรุกทางการเมืองกรณีเขายายเที่ยง และการรุกป่าสงวนเขาสอยดาว เปิดโปงให้เห็นธาตุแท้ของพวกที่อ้างคุณธรรม จริยธรรม ความดีงามบริสุทธิ์ผุดผ่อง วันนี้โดนเปิดให้เห็นถึงความน่าขยะแขยงและเลวทรามภายใน พวกเขาไม่มีอาวุธหรือ ข้ออ้างอะไรที่จะคุ้มหัวได้อีกแล้ว

พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจาก คิดแบบ “คอมมิวนิสต์หัวเก่า” ที่หมดทางไปแบบที่ผมว่า คือ “ยึดอำนาจทำรัฐประหาร” ใช้ความรุนแรงและอำนาจสยบการเปลี่ยนแปลงเอาไว้ วันนี้ พวกเขาเหลือทางแค่นี้จริงๆ

จาการวิเคราะห์และข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้รอบข้าง ผมคิดว่าพวกเขาต้องทำรัฐประหารแน่นอน และเราก็ได้เห็นถึงสองครั้งในสัปดาห์เดียวแล้วว่า พวกเขาได้ลงมือแล้วจริงๆ แต่เกิดการกระด้างกระเดื่องของทหารชั้นผู้น้อย ไม่ยอมรับอำนาจที่ไม่ถูกทำนองคลองธรรมเท่านั้น

มันจึงยังคงกลายเป็น รัฐประหารคุดอยู่

แต่พวกเขาก็คงต้องพยายามกันอีก ซึ่งผมก็ไม่สนใจแล้วว่าพวกเขาจะพยายามหรือไม่ อย่างไร เพราะหากจะทำ ผมและคนเสื้อแดงทั้งหลายที่ผมรู้จักต่างก็ท้าทายให้พวกนี้ก้าวเข้าสู่ “หลุมขวาก” เสียโดยไวแบบที่ รัฐประหารของพรรคคอมมิวนิสต์ ที่กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายโค่นล้มสหภาพโซเวียต

วันนี้ประชาชน “เหนื่อยและเหลืออด” เต็มทีแล้ว เหนื่อยที่จะยอมทนต่อไปอีก ไม่ว่าจะหาข้ออ้างเพื่อปกป้องอะไรก็ตาม วันนี้สิ่งเหล่านั้นประชาชนรู้สึก “หนักเกินไปแล้วที่จะต้องรับภาระ” เอาฟางเส้นนี้ขึ้นมาใส่ วันนี้หลังหัก แตกหักแน่นอน

วันนี้ไม่เหมือนปี 2549 ประชาชนได้ผ่านการเคี่ยวกรำ จัดตั้งกันมาอย่างยาวนานกว่าสามปีแล้ว มีการ เตรียมความคิดทางการเมืองกันอย่าง “ดีเยี่ยม” มายาวนานแล้ว

วันนี้หากใครรับรัฐประหารอีก อูฐจะหลังหักทันที

เครื่องมือที่จะต่อต้านรัฐประหาร จุดกระแสปฏิวัติประชาชนมีพร้อมอย่างสมบูรณ์แล้ว

อย่าคิดว่าประชาชนวันนี้ไม่รู้ความจริงว่าใครอยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะทำเนียนอย่างไรก็ตาม ไม่มีใครอยากอุ้มอยากแบกให้หนักต่อไปอีกแล้ว

หากต้องการทำรัฐประหาร และมั่นใจว่าพวกตนจะคุมได้ จะหลอกประชาชนต่อไปได้ ก็ยินดีด้วยครับ

พวกเราชาวเสื้อแดงยินดีต้อนรับ

ฟ้าสีทอง ผ่องอำไพแน่นอน หากอยากลองดีกับประชาชน


-----------------------------------------------------
ที่มา thaifreenews
บทความโดย...ลูกชาวนาไทย

วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2553

"จตุพร"ปูดซ้ำ"ประยุทธ"นั่งหัวโต๊ะประชุมผบ.เหล่าทัพ–ตร. เสนอ"อานันท์"นายกฯ


เมื่อเวลา 14.30 น. ที่พรรคเพื่อไทย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่ม นปช. แถลงว่า ตนได้รับรายงานว่ามีบุคคลกลุ่มหนึ่งเคลื่อนไหว เตรียมพร้อมก่อการปฏิวัติรัฐประหารจริง โดยเมื่อวันที่ 23 มกราคม ที่ผ่านมา ได้มีการประชุมลับของนายทหารระดับผู้บัญชาการทุกเหล่าทัพ พร้อมด้วยฝ่ายตำรวจ รวมถึงนักการเมืองซึ่งเป็นรัฐมนตรีจากพรรคใหญ่ มีบทบาทสูงในรัฐบาลเข้าร่วมด้วย 1 คน ที่กองทัพอากาศ ดอนเมือง โดยมี พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา รองผบ.ทบ.นั่งหัวโต๊ะประชุม เพื่อเช็คกำลัง ซึ่งในการประชุมได้สอบถามบรรดาผู้นำเหล่าทัพทั้งหมดว่าจะให้ความร่วมมือหรือไม่ แต่ผบ.ทร.และฝ่ายตำรวจปฏิเสธ รวมถึงการมอบหมายให้กรมทหารราบที่ 21 ใช้กำลังจัดการแกนนำเสื้อแดงในเบื้องต้น แต่ก็ได้รับการปฏิเสธเช่นเดียวกัน


นายจตุพร กล่าวว่า ในการวางแผนเตรียมการยึดอำนาจครั้งนี้ได้วางตัวพล.อ.ประยุทธ เป็นผู้นำ เนื่องจากพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ต้องการเกษียณอายุราชการในตำแหน่งผบ.ทบ. ไม่ใช่ทรราชย์ แต่ขณะเดียวกันตัวเองก็สะสมทุกอย่างเพื่อรองรับบั้นปลายชีวิต อีกทั้งยังเป็นที่ชัดเจนว่าพล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ได้วางตัวพล.อ.ประยุทธ โดยดูได้จากกรณีที่นายทหารตบเท้าเข้าอวยพรครั้งล่าสุด แต่พล.อ.เปรม เลือกที่จะทักทาย พูดคุยกับพล.อ.ประยุทธ คนเดียว สำหรับกรณีที่ปรากฏว่ามีรถหุ้มเกราะถูกนำมาจอดทิ้งไว้ในจุดต่างๆ สร้างความแตกตื่นให้กับประชาชนเมื่อช่วงคืนวันที่ 25 มกราคม โดยกองทัพชี้แจงว่าเนื่องจากรถถังที่จะขนส่งไปปฏิบัติภารกิจเกิดเสียจึงจอดเพื่อรอซ่อมนั้น เป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น


“ดังนั้นแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงจึงได้นัดหมายประชุมในวันที่ 27 มกราคมนี้เพื่อกำหนดวันไปชุมนุมหน้ากองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) เพื่อถามพล.อ.ประยุทธ อย่างลูกผู้ชายว่าท่านจะปฏิวัติหรือไม่ ก็คาดหมายว่าพล.อ.ประยุทธ จะตอบคำถามตรงไปตรงมา แต่พวกผมก็อยากท้าทายให้ปฏิวัติเลยด้วยซ้ำเพราะว่าจะได้จัดการในคราวเดียวกันให้จบไปเลย ซึ่งพวกผมพร้อมพลีชีพแลกประชาธิปไตย ทันทีที่มีการยึดอำนาจศาลากลางทุกจังหวัดจะเต็มไปด้วยคนเสื้อแดงและถนนทุกสายจะมุ่งสู่สนามหลวง ” นายจตุพร กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่ามีปัจจัยอะไรบ่งชี้ให้มั่นใจว่าทหารเตรียมการยึดอำนาจ นายจตุพร กล่าวว่า ขณะนี้อำมาตย์จวนตัวกันหมด อย่างเช่นพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรีและอดีตนายกรัฐมนตรี ถึงกับแอบไปทุบบ้านที่เขายายเที่ยงตอนกลางคืนเพื่อทำลายหลักฐาน ซึ่งจะปล่อยให้เสื้อแดงเคลื่อนไหวต่อไปไม่ได้ เพราะเขาไม่มั่นใจว่าจะกุมสภาพได้ จึงต้องปฏิวัติก่อนที่คนเสื้อแดงจะชุมนุมใหญ่ ทั้งนี้ตามรายงานข่าวที่ตนได้รับมาในที่ประชุมวันที่ 23 กราคม.มีคนหนึ่งเสนอกว่าปฏิวัติแล้วให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป แต่เสียงส่วนใหญ่เสนอชื่อนายอานันท์ ปันยารชุน โดยจะแอบอ้างสถาบันเบื้องสูงเพื่อประโยชน์ตัวเอง เหมือนกรณี 19 กันยายน 2549 จึงจะไปถามพล.อ.ประยุทธว่า “มึงจะยึดอำนาจหรือเปล่า” แต่คาดว่าจะไม่มีการชุมนุมข้ามคืนเหมือนที่อื่นๆ

ที่มา:มติชนออนไลน์

ล่มปากอ่าวอีกแล้วนะตัวเอง




คำสั่งให้ทำปฏิวัติมีมาตั้งแต่ บ่ายโมงของวันที่ 25 มกราคม 53 ดีเดย์ ตีหนึ่ง .....แล้ว

จากเหตุการณ์เมื่อคืนนี้มีการเคลื่อนยานพาหนะ รถหุ้มเกราะ V150 จำนวนกว่า20คัน

(จริงๆมีมากกว่านั้นจอดที่ม.พัน4สนามเป้า)

เป็นแผนผสมรอย เพื่อทำการปฏิวัติ โดยอ้างว่าจะส่งซ่อม จริงแล้วนำจากภาคใต้มาแค่8คัน

ขันน็อคไม่กี่ตัวก็เสร็จแล้ว ส่วนอีก 10กว่านั้น จาก ม.พัน3 รอ,ม.พัน4 รอ สนามเป้า แท้จริงแล้วรถหุ้มเกราะ

ทั้งหมดนี้ซ่อนอยู่ที่ สนามเป้าตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว เพื่อปฏิวัติเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา

การไปจอดอยู่ที่ บริเวณวัดเสมียนนารี เพราะใช้เป็นจุดรวมพล รับผิดชอบ บล็อคกรุงเทพฝั่งเหนือ ตามจุดต่างๆ

เพื่อสะกัดกำลังฝ่ายตรงข้ามเช่น บล็อคสะพาน พระราม7,สะพานที่ปากเกร็ดจำชื่อไม่ได้,สะพานปทุมธานี2,

หน้ากองทัพอากาศดอนเมือง,ส่วนรามอินทรา ร.11รับผิดชอบ เพื่อเปิดทางให้ พล.ร2จากปราจีนและสระแก้ว

มาพักกำลังที่ ร.11(ใช้ราบ11รวมพล,ใช้สนามเป้ารวมรถ)

เมื่อรถหุ้มเกราะไปบล็อคตามจุด แล้วจะมีรถบรรทุกทหารราบพร้อมอาวุธประจำกาย นำกำลังไปส่งยัง

จุดนัดต่างๆเหล่านี้

.สาเหตุที่ล่ม..เพราะกำลังทหารระดับ ผบ.ร้อย,จ่า,ไอ้เณร ไม่ยอมไปเบิกอาวุธที่คลัง ซึ่งเขาเปิดคอยอยู่..แปลกไหมท่าน?

คำสั่งให้จ่ายอาวุธ มีมาตั้งแต่เที่ยงวันแล้ว แต่ไม่ยักกะมีทหารไปเบิกเลย ซึ่งอาวุธเหล่านี้ มันขนมารวมกันที่ สนามเป้า!!!!!

....มันจึงล่มปากอ่าวเป็นครั้งที่ 2 ของอำมาตย์ รวมกำลังกันไม่ได้ บารมีของอำมาตย์กำลังจะหมดน้ำยาน้ำกามแล้ว

แล้วมาแถออกข่าว ว่านำไปซ่อม เอี้ยจริงๆๆๆๆ

....คนเสื้อแดงจงดีใจเถิดว่ายังมีมหารชั้นผู้น้อย ยืนอยู่เคียงประชาชนเป็นส่วนใหญ่ มีบางตัวเท่านั้นที่ยังขาดน้ำกาม

ของอำมาตย์ไม่ได้

การปฏิบัติตัวของทหารชั้นผู้น้อยใน 2 ครั้งที่ผ่านมา แม้จะไม่ได้ออกมาชุมนุมหรือแสดงตัว

แต่ก็เป็นการช่วยในทางอ้อมครับ

....................ขอปรบมือดังๆๆๆๆๆๆๆๆให้กับพวกท่าน และเราจะรำลึกนึกถึงเสมอครับ......................

จริงแล้วมีข้อมูลมากกว่านี้อีกมาก วันนี้รีบเขียนไปหน่อยเพื่อให้รู้ว่า เกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนนี้ 25 มกราคม 53

คราวต่อไป จะนำรายชื่อเหล่าผบ.พันและหน่วยกำลังต่างๆที่ร่วมมือกับอำมาตย์ และแผนการบล๊อค

จุดใดเพื่อสะกัดใครมาตีแผ่ให้ประชาชนรับทราบ

งานนี้ยังไม่จบครับมองไว้อย่ากระพริบเชียวนา และโปรดเตรียมตัวเตรียมใจพร้อมรับสถานะการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้

และ เมื่อมันเดินถึงทางตันแล้ว เหล่าแกนนำคนเสื้อแดงรักษาตัวอย่างยิ่งยวดด้วย

........ด้วยรักและห่วงใยทุกท่านครับ...

ที่มา:ไทยฟรีนิวส์

การปฏิวัติของประชาชน ในประเทศไทย


โดย รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์

บัดนี้ ฝ่ายเผด็จการอำมาตยาธิปไตยได้ส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่า พร้อมแล้วที่จะแตกหักกับฝ่ายประชาธิปไตย

เพราะพวกเขาหมดเวลารอคอย และหมดทางเลือกที่จะเดิน การปราบปรามผู้รักประชาธิปไตยที่กำลังจะมาถึง จะนำไปสู่ “การปฏิวัติของประชาชน” ที่มวลชนผู้รักสันติไม่ได้ต้องการ แต่ฝ่ายเผด็จการนั่นแหละที่จะเป็นผู้ก่อขึ้น

ผลลัพธ์จะไม่ขึ้นอยู่กับเจตจำนงส่วนตัวของผู้ใด แต่จะกำหนดโดยพลวัตของประวัติศาสตร์ที่การเปลี่ยนแปลงอย่างถึงรากจะต้องมาถึงไม่ช้าก็เร็ว

1. รัฐประหาร 19 กันยายน ที่ยังไม่เสร็จสิ้น

ในตลอดกว่าสามปีมานี้ ความผิดพลาดสำคัญที่สุดของฝ่ายอำมาตยาธิปไตยคือ การก่อรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 อันนำมาซึ่งผลที่พวกเขาไม่สามารถควบคุมได้ถึงปัจจุบัน

นับแต่รัฐประหารปี 2500 เป็นต้นมา พวกเขาได้สถาปนาระบอบเผด็จการจารีตนิยมขึ้นมาอย่างมั่นคง โดยมีเปลือกนอกที่สลับกันระหว่างเผด็จการทหารที่เปิดเผย กับระบอบรัฐสภาที่มีรัฐบาลเลือกตั้งเป็นหุ่นเชิด

พวกเขาเผยโฉมหน้าที่แท้จริงที่เป็นเผด็จการ และก่อรัฐประหารแต่ละครั้ง เมื่อพวกเขาต้องใช้กำลังรุนแรงเพื่อแก้ไขความขัดแย้งกันเองในกลุ่มปกครอง หรือเพื่อปราบปรามประชาชน (เช่น รัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519)

หรือเพื่อโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่บังเอิญมีนายกรัฐมนตรีที่พวกเขาไม่พึงประสงค์ (รัฐประหาร 2534 และ 2549) หลังจากนั้น พวกเขาก็จะยอมให้มีระบอบรัฐธรรมนูญและรัฐสภา ใช้เป็นหน้ากากปกปิดใบหน้าปีศาจที่แท้จริงของพวกเขา เพื่อหลอกลวงทั้งประชาชนไทยและชาวโลก โดยเนื้อในอำนาจรัฐก็ยังคงเป็นการใช้อำนาจแฝงเร้นของเผด็จการอำมาตยาธิปไตยอยู่เหมือนเดิม

ในอดีต พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างเด็ดขาดทุกครั้งในการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลในระบอบรัฐสภา ภายหลังรัฐประหารแต่ละครั้ง พวกเขาก็ร่างรัฐธรรมนูญที่มีเนื้อในเป็นเผด็จการ ให้มีการเลือกตั้งและได้รัฐบาลหุ่นเชิดของตน ในขณะที่อดีตผู้นำรัฐบาลที่ถูกโค่นล้มไปแล้ว ล้วนหมดอำนาจและสถานะทางการเมือง โดยไม่สามารถย้อนกลับมาท้าทายอำนาจเผด็จการแฝงเร้นได้อีก พวกเขาจึงเชื่อมั่นว่า รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จะเป็นเหมือนทุกครั้งในอดีต

แต่การณ์กลับไม่เป็นไปตามคาด เนื่องจากผู้นำรัฐบาลพรรคไทยรักไทยยังคงได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากประชาชนชั้นล่างทั้งในเมืองและชนบท อีกทั้งผลสะเทือนของรัฐธรรมนูญ 2540 และผลสำเร็จของรัฐบาลช่วงปี 2544-2548 ทำให้เกิดการตื่นตัวทางประชาธิปไตยอย่างกว้างขวางในหมู่ประชาชนชั้นล่างจำนวนมาก ก่อตัวเป็นการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐประหารขึ้นมาอย่างช้า ๆ

ฝ่ายเผด็จการอำมาตยาธิปไตยไม่เข้าใจว่า โครงสร้างเศรษฐกิจและดุลกำลังทางชนชั้นของไทยได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมายตั้งแต่เหตุการณ์พฤษภาคม 2535 เป็นต้นมา

พวกเขาจึงประเมินศักยภาพของอดีตผู้นำพรรคไทยรักไทยและการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐประหารต่ำเกินไป หลังจากยัดเยียดรัฐธรรมนูญเผด็จการฉบับ 2550 แล้ว ก็ให้มีการเลือกตั้ง โดยเชื่อมั่นว่า ด้วยการหนุนช่วยอย่างทั่วด้านจากกองทัพ หน่วยราชการ และองค์กรหุ่นตามรัฐธรรมนูญ พรรคประชาธิปัตย์อันเป็นตัวแทนเผด็จการจารีตนิยมจะชนะเลือกตั้งเข้ามาจัดตั้งรัฐบาลได้ตามประสงค์ แต่การณ์กลับเป็นว่า พรรคพลังประชาชนภายใต้การสนับสนุนของฝ่ายประชาธิปไตยชนะเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลขึ้นมาได้

พวกเขาจึงต้องส่งกลุ่มอันธพาลการเมืองเสื้อเหลืองออกมาสร้างสถานการณ์จลาจลบนท้องถนน ยึดทำเนียบรัฐบาลและสนามบิน สร้างสถานการณ์วุ่นวายเพื่อบั่นทอนรัฐบาล ประสานกับพรรคประชาธิปัตย์ และองค์กรตามรัฐธรรมนูญทำลายพรรคพลังประชาชนและคณะรัฐบาล แล้วให้กองทัพก่อรัฐประหารเงียบ จัดตั้งรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นเป็นหุ่นเชิดได้สำเร็จในที่สุด อันเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของรัฐประหาร 19 กันยายน

การเคลื่อนไหวของเผด็จการอำมาตยาธิปไตยโดยใช้เครือข่าย “สี่ขาหยั่ง” อันได้แก่ กลุ่มอันธพาลการเมืองเสื้อเหลือง พรรคประชาธิปัตย์ องค์กรรัฐธรรมนูญ และคณะนายทหาร ประสานร่วมมือกันทำลายรัฐบาลพรรคพลังประชาชน บรรลุเป็นรัฐประหารเงียบเมื่อเดือนธันวาคม 2551 จึงเป็นการต่อเนื่องของรัฐประหาร 19 กันยายนที่ยังไม่เสร็จสิ้นนั่นเอง


2. รัฐบาลเลือกตั้งที่อ่อนแอและทุจริตคือความจงใจของอำมาตยาธิปไตย

ระบอบรัฐธรรมนูญ 2550 และรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เป็นกรณีตัวอย่างรวบยอดที่แสดงถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงในการใช้ประโยชน์จากระบอบรัฐสภา โดยพวกเผด็จการอำมาตยาธิปไตย

สิ่งที่พวกเขาต้องการคือ รัฐสภาที่ประกอบด้วยพรรคการเมืองขนาดเล็กที่อ่อนแอ ให้มีรัฐบาลหุ่นเชิดไร้อำนาจที่แท้จริงในการบริหารแผ่นดิน แต่ต้องอยู่ภายใต้อำนาจแฝงเร้นของเผด็จการอำมาตยาธิปไตย เป็นรัฐบาลที่ไร้ความสามารถและไม่อาจแก้ปัญหาของประชาชนได้ เต็มไปด้วยการทุจริตคอรัปชั่น ทั้งหมดนี้ก็เพื่อแสดงให้ประชาชนเห็นว่า ระบอบประชาธิปไตยและการเลือกตั้งนั้นเป็นสิ่งชั่วร้าย นักการเมืองคือต้นเหตุแห่งปัญหาและความเลวร้ายทั้งปวง ประชาชนไม่อาจหวังพึ่งตนเองด้วยการใช้สิทธิทางประชาธิปไตยไปเลือกนักการเมืองที่มีความสามารถเข้ามาแก้ปัญหาของพวกเขา

สิ่งที่เผด็จการอำมาตยาธิปไตยต้องการคือประชาชนไทยที่เอาแต่ชูสองมือ เงยหน้าชะเง้อรอคอยความเมตตา “หยาดฝนจากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน” จากพวกเขาที่เป็นผู้ปกครองอันเปี่ยมไปด้วยความกรุณา คุณธรรม จริยธรรม สุจริตขาวสะอาด และสูงส่งตลอดไปเท่านั้น

เราจึงได้รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นหุ่นเชิดของเผด็จการ เป็นรัฐบาลที่ไร้ความสามารถทางบริหาร เต็มไปด้วยวาทศิลป์ที่เป็นเท็จ การกอบโกยผลประโยชน์ และทุจริตคอรัปชั่น

ทั้งหมดนี้ นอกจากจะแสดงให้ประชาชนเห็นถึงความล้มเหลวของระบอบประชาธิปไตยและรัฐสภานั้นล้มเหลวดังกล่าวแล้ว จุดประสงค์อีกประการหนึ่งของพวกเขาก็คือ ในเงื่อนไขที่เหมาะสม พวกเขาก็จะใช้ความล้มเหลวในการบริหารและทุจริตคอรัปชั่นของรัฐบาลเป็นข้ออ้างก่อรัฐประหารได้อีกครั้ง

พวกเผด็จการอำมาตยาธิปไตยนั่นแหละที่เป็นต้นเหตุที่แท้จริงของความล้มเหลวของประชาธิปไตยและระบอบรัฐสภาในประเทศไทย เป็นที่มาของรัฐบาลเลือกตั้งที่ล้มเหลวและทุจริต นักการเมืองทรยศขายตัว และความเลวร้ายทั้งปวงที่ผู้คนหลงเข้าใจว่า เกิดจากระบอบประชาธิปไตยเสรีนิยม และในท้ายสุด พวกเขานั่นแหละที่เป็นรากเหง้าของรัฐประหารทุกครั้งที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2500

3. อำมาตยาธิปไตยมาถึงทางตัน

หนึ่งปีของรัฐบาลประชาธิปัตย์ที่เต็มไปด้วยความล้มเหลวและทุจริตคอรัปชั่น ตลอดจนความอยุติธรรมเลือกข้างของกระบวนการยุติธรรมที่กระทำกันอย่างโจ่งแจ้งไร้ยางอาย ทำให้ประชาชนที่มีธรรมชาติที่รักความยุติธรรมไม่อาจทนนิ่งเฉยอยู่ได้ และกระตุ้นให้การเรียกร้องประชาธิปไตยและความเป็นธรรมแผ่ขยายออกไปทั่วประเทศในหมู่ชนชั้นล่างทั้งในเมืองและชนบท

กรณี “สงกรานต์นองเลือด” มีผลเพียงทำให้ขบวนประชาธิปไตยชะงักงันไปช่วงสั้น ๆ แต่ก็สามารถฟื้นกลับมาได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังเป็นการตอกย้ำความอยุติธรรมที่รัฐบาล กองทัพ และกระบวนการยุติธรรมรวมหัวกันภายใต้การบงการของเผด็จการอำมาตยาธิปไตยทำการกดขี่ประชาชน เปิดเผยเนื้อแท้ของระบอบอำมาตยาธิปไตยว่า พวกชนชั้นปกครองและสมุนของพวกเขานั้นคือผู้บัญญัติและใช้กฎหมายที่แท้จริง

กฎหมายสำหรับพวกเขาจึงมิได้มีไว้เพื่อทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม ในขณะที่กองทัพก็มิใช่กองทัพของชาติและประชาชน หากแต่เป็นเพียง “กองกำลังอาวุธส่วนตัว” ของกลุ่มเผด็จการอำมาตยาธิปไตย


ทั้งหมดนี้ได้ยกระดับความตื่นตัวรับรู้และสร้างความโกรธแค้นในมู่ประชาชนอย่างกว้างขวาง ขบวนการประชาธิปไตยยิ่งขยายตัว ประชาชนได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญว่า ประชาธิปไตยและความเป็นธรรมไม่อาจได้มาด้วยการวิงวอนร้องขอ แต่ต้องได้มาด้วยการต่อสู้ของประชาชนเอง

แม้กระทั่งกรณี “การถวายฎีกา” ก็เป็นการแสดงเจตจำนงของประชาชนว่า ต้องการประชาธิปไตยและความเป็นธรรม


รัฐบาลประชาธิปัตย์ประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการแย่งชิงมวลชนไปจากฝ่ายประชาธิปไตย ทุกวันนี้ รัฐบาลประชาธิปัตย์และนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดเป็นที่ดูถูก เยาะเย้ย เกลียดชังอยู่ทั่วไป ในขณะที่ความเรียกร้องต้องการรัฐธรรมนูญ 2540 และอดีตผู้นำไทยรักไทยให้กลับคืนมากลับดังก้อง

จึงเป็นที่แน่ชัดแก่พวกเผด็จการอำมาตยาธิปไตยว่า จะให้มีการเลือกตั้งในขณะนี้ไม่ได้เป็นอันขาด พวกเขาจะต้องไม่ยุบสภา และหากจำต้องยุบสภา ก็จะต้องไม่ให้มีการเลือกตั้ง

บัดนี้ ฝ่ายเผด็จการอำมาตยาธิปไตยได้มาถึงทางตันแล้ว พวกเขาได้ใช้เครื่องมือในการปราบปรามฝ่ายประชาธิปไตยมาจนเกือบหมดสิ้น

ทั้งอันธพาลการเมืองเสื้อเหลือง กลไกตำรวจ ราชการ นักการเมืองทรยศขายตัว ในขณะที่การใช้กลไกกระบวนการยุติธรรมที่ผ่านมาก็มีข้อจำกัดคือ มีลักษณะจำกัดขอบเขต เชื่องช้า และไม่แม่นยำ

ในขณะที่รัฐบาลประชาธิปัตย์ที่เป็นหุ่นเชิดก็อ่อนแอ ไร้ความสามารถ และขาดเอกภาพที่จะต่อกรกับอดีตผู้นำไทยรักไทยและขบวนประชาธิปไตยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประการสำคัญคือ พวกเขาตระหนักว่า “เวลาใกล้หมดแล้ว” ขณะที่ “เวลา” เป็นของฝ่ายประชาธิปไตย หากพวกเขาปล่อยให้สถานการณ์ประชาธิปไตยคลี่คลายไปดังเช่นหนึ่งปีที่ผ่านมา พวกเขาก็จะมีโอกาสน้อยลงเรื่อย ๆ ที่จะขจัดขบวนการประชาธิปไตยให้หมดไป

ที่ผ่านมา ได้มีสัญญาณบ่งชี้มาเป็นลำดับว่า ฝ่ายเผด็จการอำมาตยาธิปไตยกำลังเตรียมแผนการกันอย่างขมักเขม้นเพื่อปราบปรามประชาชนในขั้นเด็ดขาด พวกเขาให้บรรดานักการเมืองและนักวิชาการขายตัวที่เป็นสมุนรับใช้ของพวกเขา เรียงหน้ากันออกมาป่าวร้องกันอย่างเปิดเผยว่า “ประเทศไทยกำลังอยู่ในภาวะสงครามกลางเมือง”

ให้สื่อสารมวลชนกระแสหลักทั้งวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ที่เป็นสมุนเผด็จการปลุกปั่นโฆษณาชวนเชื่อ ใส่ร้ายป้ายสีอันเป็นเท็จว่า ขบวนการประชาธิปไตยเสื้อแดงเป็น “พวกโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์” และ “ขบวนการสาธารณรัฐ”

การรื้อฟื้นกลุ่มอันธพาลเสื้อเหลือง การเคลื่อนไหวนอกสภาของนักการเมืองบางคนในพรรคประชาธิปัตย์ รวมทั้งการเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยขององคมนตรีบางคนและคณะนายทหาร เป็นต้น

พวกเขาพลาดโอกาสที่จะขุดรากถอนโคนขบวนการประชาธิปไตยไปแล้วครั้งหนึ่งเมื่อสงกรานต์ปี 2552 แต่คราวนี้ พวกเขาจะไม่พลาดโอกาสนั้นอีกแล้ว!

4. “การต่อสู้เพื่อเสรีภาพของประชาชน”

เบื้องหน้าภัยจากการปราบปรามของเผด็จการอำมาตยาธิปไตย ฝ่ายประชาธิปไตยจะต้องไม่ประมาท หากแต่ตระเตรียมรับมือกับการรุกของเผด็จการ

การทำงานมวลชนขั้นพื้นฐานยังคงเน้นขยายฐานมวลชน จัดตั้งมวลชน เพิ่มจำนวนสมาชิก ก่อรูปคณะแกนนำหลัก และตระเตรียมคณะแกนนำสำรองในสถานการณ์ฉุกเฉิน เชื่อมต่อและสร้างความเข้มแข็งให้กับเครือข่ายทั้งระดับชาติและท้องถิ่น ร่วมมือสามัคคี เน้นจุดร่วมที่มุ่งสร้างประชาธิปไตย สร้างแนวร่วมกับกลุ่มคนที่เห็นต่างที่ไม่ใช่สมุนอำมาตยาธิปไตย บริหารจัดการทรัพยากรคน วัสดุและการเงินที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ ให้มีโครงสร้างการจัดตั้งและแผนงานสำรองสำหรับสถานการณ์สู้รบที่กำลังมาถึง

แต่ในขณะที่ขบวนการประชาธิปไตยกำลังเคลื่อนเข้าสู่ “สถานการณ์สู้รบ” การเคลื่อนไหวของฝ่ายประชาธิปไตยต้องยึดเป้าหมายทางการเมืองเฉพาะหน้าให้ชัดเจนคือ โค่นล้มระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตย นำเอารัฐธรรมนูญ 2540 กลับคืนมา ขจัดอำนาจและกลไกรัฐธรรมนูญของอำมาตยาธิปไตย ที่เป็นอิทธิพลแฝงเร้นคุกคามรัฐบาลเลือกตั้ง และเป็นรากเหง้าของรัฐประหารมาทุกยุคสมัย

ในด้านยุทธวิธีการเคลื่อนไหว การรุกทางการเมืองจะต้องดำเนินไปพร้อมกับการตระเตรียม “รับ” ในสถานการณ์ที่ฝ่ายเผด็จการตัดสินใจใช้ความรุนแรง เพื่อจำกัดและลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นให้น้อยที่สุด และเพื่อ “การรุกตีโต้กลับ” เมื่อฝ่ายเผด็จการดำเนินจังหวะก้าวที่ผิดพลาด

คณะแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) “แดงทั้งแผ่นดิน” ที่นำโดยประธานวีระ มุสิกพงศ์ ได้พิสูจน์ตนเองท่ามกลางการต่อสู้ที่ยืดเยื้อและเสี่ยงอันตรายแล้วว่า พวกเขาเป็นแกนนำที่กล้าหาญเด็ดเดี่ยว อดทน ชาญฉลาด ยืดหยุ่นพลิกแพลง ไว้วางใจได้ และเสียสละอย่างสูง สมควรอย่างยิ่งที่ได้รับความรักและเชื่อมั่นศรัทธาอย่างเหนียวแน่นจากมวลชนประชาธิปไตยทั่วประเทศ

ประชาชนไม่ว่าในที่ใดในโลกล้วนต้องการสันติและประนีประนอม เพราะพวกเขามีแต่สองมือเปล่า ไม่มีอาวุธ ไม่มีกองทัพ กฎหมาย และกลไกยุติธรรมเป็นเครื่องมือ ประชาชนจึงปฏิเสธความรุนแรงเสมอมา ข้อเท็จจริงชี้ว่า ผลของความรุนแรงใด ๆ ที่เกิดขึ้นทุกครั้งในประวัติศาสตร์ในแต่ละประเทศทั่วโลกคือ การบาดเจ็บสูญเสียของฝ่ายประชาชนล้วน ๆ

แต่พวกเผด็จการอำมาตยาธิปไตยของไทยก็เหมือนกับพวกเผด็จการในประเทศอื่น ๆ คือ แม้จะเห็นประสบการณ์ซึ่งเผด็จการในที่ต่าง ๆ ทั่วโลกในท้ายสุดล้วนต้องพ่ายแพ้ต่อประชาธิปไตย แต่เผด็จการในทุกประเทศก็ล้วนเชื่อเหมือน ๆ กันว่า ประเทศตนเป็นข้อยกเว้นและจะสามารถฝืนกระแสประวัติศาสตร์ไปได้ พวกเขาจึงกระทำผิดพลาดซ้ำ ๆ เหมือนกันด้วยการปฏิเสธความต้องการของประชาชนและเชื่ออย่างผิด ๆ ว่า หากใช้กำลังเด็ดขาดเข้าปราบปรามฝ่ายประชาธิปไตยอีกสักครั้ง ใช้ความโหดเหี้ยมสยดสยองของอำนาจรัฐ ก็จะกำราบให้ประชาชนหวาดกลัวยอมจำนน และยืดอายุอำนาจเผด็จการของพวกตนออกไปได้อีก

เผด็จการอำมาตยาธิปไตยไทยจึงเชื่อว่า พวกเขาจะฝ่าวิกฤตคราวนี้ไปได้เช่นเดียวกับที่เขาทำสำเร็จมาแล้วจากการปฏิวัติ 2475 และกระแสประชาธิปไตยหลัง 14 ตุลาคม 2516 พวกเขาไม่ได้ตระหนักว่า ในเวลานี้ เงื่อนไขของสังคมไทยและสังคมโลกได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างสิ้นเชิง วันเวลาและ “สวรรค์” ของพวกเขาใกล้หมดแล้ว การลงมือปราบปรามประชาชนที่กำลังจะเกิดขึ้นจะเป็นความผิดพลาดของพวกเขา และอาจจะลุกลามออกไปเป็น “การปฏิวัติของประชาชน” ที่พวกเขาไม่อาจเอาชนะได้

การปฏิวัติของประชาชนที่จะเกิดขึ้น จะดำเนินไป “จนถึงที่สุด” เพียงใดนั้นมิใช่ฝ่ายประชาชนเป็นผู้กำหนด หากแต่ขึ้นอยู่กับการกระทำของฝ่ายเผด็จการเอง หากพวกเขาไม่ยินยอมที่จะถอยออกไปแต่โดยดีและยังใช้กำลังรุนแรงต่อประชาชน การต่อสู้ของประชาชนก็จะดำเนินไปจนถึงที่สุดโดยตัวมันเอง โดยไม่มีแกนนำคนใด หรือแม้แต่อดีตผู้นำไทยรักไทยจะคาดหมายและควบคุมได้


นักปรัชญาเมธีผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งกล่าวไว้เมื่อสองร้อยปีมาแล้วว่า “ประวัติศาสตร์ไม่ขึ้นอยู่กับเจตจำนงส่วนตนของปัจเจกชนคนใด” ไม่ว่าผู้นำจะคิดอย่างไร มีเจตจำนงทางอัตวิสัยอย่างไร มีความปรารถนาในทาง “สายกลางและประนีประนอม” สักเพียงใด หากไม่เป็นไปตามทิศทางของประวัติศาสตร์และความต้องการที่แท้จริงของมวลชนที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงอย่างถึงราก ผู้นำเหล่านั้นก็จะตกขบวนในที่สุด


การต่อสู้ของประชาชนเพื่อไปบรรลุประชาธิปไตยนั้น ไม่ว่าในยุคใดสมัยใดและถิ่นฐานใด ล้วนแต่ยืดเยื้อยาวนาน ยากลำบากทั้งสิ้น การเคลื่อนไหวคืบหน้าไปแล้วก็ถดถอย แล้วก็คืบหน้าอีก สู้แล้วแพ้ ก็กลับมาสู้ใหม่ เป็นกระแสขึ้นและลง การชะงักหรือถดถอยอาจเป็นเพียงชั่วครู่ไม่กี่เดือนกี่ปี ไปจนถึงยาวนานหลายสิบปีในระหว่างนั้น เแม้ประชาชนจะถูกสกัดกั้น ถูกกดขี่ ถูกใช้กำลังรุนแรงปราบปราม บาดเจ็บล้มตาย กระทั่งนองเลือดอย่างสาหัส แต่การต่อสู้ของประชาชนก็ฟื้นกลับมาเป็นกระแสใหญ่ได้อีกทุกครั้งจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย

การต่อสู้ของประชาชนในสังคมและยุคสมัยที่ต่างกันอาจมีสาเหตุเฉพาะหน้าที่ต่างกัน แต่เหตุผลสำคัญที่สุดมีเพียงประการเดียวคือ “ประชาชนต้องการเสรีภาพ”

เรื่องที่ยังไม่เกิด

อดีตก็คืออนาคตของปัจจุบันทันทีที่...แกนนำเสื้อแดงประกาศว่า...จะทำสงครามแตกหักกับอีกฟากของความขัดแย้ง...มุมนํ้าเงินก็วางนํ้าหนักทันที...ด้วยสัจธรรมที่ว่า...ที่ใดมีการต่อสู้ ที่นั่นย่อมมีแพ้มีชนะในบางมุมของผู้พยากรณ์...นำเอาเรื่องราวของการเมืองวันนี้...ไปเทียบเคียงกับ “วันมหาวิปโยค”แล้วด่วนสรุปว่า...เสื้อแดงจะเป็นผู้ชนะสำหรับ ณัฐวุฒิ กับ จตุพร นั้น...ด้วยความที่เกิดไม่ทันกับเหตุการณ์ดังกล่าว...จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ในเรื่องราวของ วันมหาวิปโยค...ในรูปแบบของพงศาวดารหรือไตรภูมิพระร่วงแต่สำหรับ วีระ มุสิกพงศ์ แล้ว...น่าจะรู้จัก วันมหาวิปโยค...ในภาคของ...ความเป็นจริง...ไม่ใช่ ความจริงวันนี้

แต่เป็นความจริงเมื่อวานนี้ต้องให้ จาตุรนต์ ฉายแสง...ถามไถ่ไปยัง อนันต์ฉายแสง...ผู้บิดา...ที่เป็นผู้ใกล้ชิดกับ พลตำรวจเอกประเสริฐ รุจิรวงศ์ แล้ว...ถึงจะรู้ว่า...กำเนิดของวันมหาวิปโยค นั้น...มันถูกประพันธ์ขึ้นก่อนจะเป็นเรื่องจริงมองผิวเผินแล้ว...สงครามระหว่างประชาชนกับกองทัพ หากจะเกิดขึ้นมาใหม่...กับที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว...อาจจะดีเหมือนกันแต่หากรู้จริงถึงเบื้องหลังการถ่ายทำ...ของวันมหาวิปโยคแล้วมันแตกต่างกันแบบฝ่ามือกับหลังเท้าครั้งก่อน...

อำมาตย์ กับ พลังนักศึกษา และประชาชนร่วมกันกับคนในแกนแห่งเผด็จการ...ร่วมกันกระทำการล้มล้าง...จอมพล ถนอม กิตติขจร-จอมพล ประภาสจารุเสถียร และครอบครัว...พลเอก กฤษณ์ สีวะรา พลตำรวจเอก ประเสริฐรุจิรวงศ์ พลอากาศเอก ทวี จุลละทรัพย์...เป็นตัวหลักในการเกิดขึ้นของวันมหาวิปโยค...และ พลเอก กฤษณ์ สีวะรา...ในวันพิชิตชัย...เขาดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารบก...ขบวนการนักศึกษาและปัญญาชน...ระดับผู้นำจำนวนหนึ่ง...ถูกสร้างขึ้นมาโดย

พลตำรวจเอก ประเสริฐ รุจิรวงศ์...และวันมหาวิปโยคจะไม่มีวันเกิดขึ้นหากว่า...ผู้บัญชาการทหารบก...ยังเป็น จอมพล ประภาสจารุเสถียร...พลเอก กฤษณ์ สีวะรา...บอกกับฝ่ายของเขาในสวนรื่นฤดีว่า...เดี๋ยวพอพวกมันขึ้นฮอไป พวกเด็กๆ ก็เลิกวันมหาวิปโยคในเนื้อหาแกนใน...ไม่ใช่สิ่งที่ถูกบันทึกไว้ทั้งหมด...จึงนำมาเปรียบเทียบกันไม่ได้กับ...เรื่องในปัจจุบัน...มันต่างกันที่...เหตุการณ์และตัวละครทันทีที่มันเริ่มขึ้น...จะไม่มีใครรู้คำตอบ.

โดยพญาไม้ทูเดย์

วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553

ยงยุทธ ติยะไพรัช...กับบทบาทเชิงลึก‏


มีคนเล่าให้ฟังว่า พอเห็นภาพอดีตประธานสภา ยงยุทธ ติยะไพรัช นั่งข้างนายกทักษิณอย่างสง่าผ่าเผยที่ดูไบในวันอวยพรปีใหม่พรรคเพื่อไทย หลายคนรู้สึกแปลกใจขึ้นมาทันทีทันควัน เพราะคนส่วนมากไม่รู้ว่าท่าน ส.ส.จากเชียงฮาย (อ.แม่จัน) มีบทบาทขนาดไหนในการต่อสู้ของท่านทักษิณ

ก็คงต้องสาธยายให้ฟังกันมั่ง เดี๋ยวจะเชยกันไปใหญ่โตมโหระทึก

ถึงวันนี้แล้ว ใครร่วมขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและไม่รู้บทบาทของเสี่ยยงยุทธ เปรียบได้กับกินน้ำพริกที่ไม่เผ็ด ไม่มีทางแซ่บอีหลี เลียพื้นซีเมนต์เล่นยังอร่อยกว่าเลยคุณ

คนชื่อยงยุทธวันนี้ สำคัญและมีความหมายหลาย ๆ เอาว่ามากกว่างูเห่าปากห้อยสมัยก่อนหลายเท่าตัว


สมัยก่อนก็เหมือนกัน คนไม่ค่อยรู้ว่านายเนรคุณน่ะเขามาสาย “นายหญิง” ไม่ใช่สาย “นายใหญ่” แต่อยู่ไปอยู่มาก็เริ่มเบียดคนที่ “นายใหญ่” เขาใช้ใกล้ชิดชนิดแนบแน่นคือ “ยงยุทธ ติยะไพรัช” คนนี้ก็รักนายมาก พอทำท่าจะเป็นศึกสายเลือดขึ้นมาแกก็ไม่แข่งด้วย ยกความดีให้นายปากห้อยแกไปหมด จนผู้คนนึกว่านายห้อยนี่เป็นตัวกุมยุทธศาสตร์หลัก

เอาแต่ตัวอย่างเดียวก็พอมั้ง เวทีต่อต้านพวกพันธมิตรที่สวนจตุจักรน่ะ ใคร ๆ ก็นึกว่าเนรวินเป็นคนทำ
ความจริงคนทำชื่อ ยงยุทธ

ยาวมาจนถึงช่วงปี 2549 ที่ฝีเกือบจะแตกแล้ว คนชื่อยงยุทธคือรัฐมนตรีเดียวที่เตรียมการต่อสู้อย่างเป็นน้ำเป็นเนื้อ (ขนาดเตรียมกองกำลัง) ในขณะที่คนอื่นๆ พากันเสวยสุขหรือขอเกาะขากางเกงนายลูกเดียว แต่ก็โดน “เตะตัดขา” จากนายพลฝ่ายเราเอง นัยว่ากลัวจะมาแย่งบทบาทเด่นดังไป ก็ไอ้นายพลประเภทดาวหนักบ่า หาผลงานอะไรเป็นสับปะรดขลุ่ยไม่ได้นี่แหละ พอเขายึดอำนาจก็เดี้ยง ใบ้รับประทานไปตาม ๆ กัน ถ้าปล่อยให้ท่านยงยุทธเดินได้ตามที่วางหมากไว้ คงไม่ต้องมานั่งน้ำตาเช็ดหัวเข่ากันเดี๋ยวนี้หรอ

คนวงในรู้ดีเหลือเกินว่า นายกทักษิณท่านมีของท่านหลายวง แต่วงที่ใกล้ตัวที่สุดและเป็นวงในที่สุดของที่สุด ต้องมียงยุทธ
ติยะไพรัชอยู่ด้วยทุกครั้ง เหตุผลก็เพราะเขาผู้นี้สร้างผลงานจนนายใหญ่ยอมรับและไว้ใจอย่างไม่มีเงื่อนไข

ไม่ต้องแปลกใจที่มาจากพรรคประชาธิปัตย์แท้ ๆ (สำคัญขนาดเทพเทือกมากล่อมให้กลับรังเดิมตั้งหลายหน) แต่นายกทักษิณไว้ใจให้เป็นโฆษกรัฐบาล เลขาธิการนายก รัฐมนตรีทรัพยากร และที่สุดให้ขึ้นแท่นในฐานะประมุขสูงสุดของฝ่ายนิติบัญญัติคือประธานรัฐสภา

ตอนไทยรักไทยถูกยุบแล้วมาตั้งพรรคพลังประชาชน ก็ให้มานั่งแป้นรองหัวหน้าพรรคอันดับหนึ่ง โดย “ลุงหมัก” (ผู้ล่วงลับ) ประกาศในฐานะหัวหน้าพรรคว่าจะไม่บริหารงานใด ๆ ในพรรคเลย ก็แปลว่ารองยงยุทธในวันนั้นก็คือหัวหน้าพรรคพลังประชาชนตัวจริงนั่นแล การขึ้นแป้นเป็นประธานรัฐสภาบอกเป็นสัญญาณทางการเมืองอยู่แล้วว่าเขามีความสำคัญใน
ทางการเมืองขนาดไหน

ไอ้พวกลูกอีดอกทั้งหลายในฝ่ายอำมาตย์มันก็รู้อย่างนี้แหละ มันถึงได้วางแผน “ซิว” จนต้องออกจากตำแหน่งประธานสภา แถมยังเอาเรื่องตอหลดตอแหลมากล่าวหาจนยุบพรรคพลังประชาชนได้อีกต่อหนึ่ง

สมุนอำมาตย์ชาติ “วรนุช” พวกนี้มันรู้ว่า ยงยุทธ ติยะไพรัช อยู่ในฐานะแม่ทัพของขบวนการใหญ่ ก็ต้องเชือดเสียก่อนจะได้สำแดงฤทธิ์

ทวนความหลังกันเบาะๆ ไม่ถึงกับเตียงๆ กันอย่างนี้ เพื่อให้รู้ว่าวันนี้คนชื่อยงยุทธกลับมากุมงานหลักของแม่ทัพทักษิณ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดมหัศจรรย์อันใดดอก แล้วถ้าจะมีบทบาทต่อไปชนิดที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึกไว้ ก็ไม่ต้องวี้ดว้าดกระตู้วู้กันหรอกท่านสาธุชนและพุทธบริษัททั้งหลายเอ๋ย

อำมาตย์มันไม่รู้หรอกว่า เอาคนชื่อยงยุทธออกจากตำแหน่ง และกดดันให้อยู่ห่างพรรคเพื่อไทยอย่างนี้
ก็เท่ากับปล่อยเสือเข้าป่า มันส์พ่ะย่ะค่ะเลยทีเดียวเจียว

น่าแปลกใจก็อีตรงที่ว่า ยงยุทธ ติยะไพรัช เป็นผลผลิตของระบบพรรคการเมืองแท้ ๆ ต่อสู้มาจนลูกชาวบ้านแม่จันได้เป็นผู้แทนราษฎรใหญ่โต แต่วันนี้เขาไม่ยี่หระเลยกับตำแหน่งและบทบาทสำคัญๆ ในพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่เพราะถูกตัดสิทธิ์การเมืองห้าปี มันมีทางเล็ดรอดได้อยู่แล้วถ้าจะเอาจริงๆ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเกิดประกายสว่างบางอย่างขึ้นในหัวว่า ของพรรค์นี้มันไม่สำคัญอะไรหรอก มาต่อสู้กันให้ถึงพริกถึงขิงกันดีกว่า ระหว่างประชาชนกับอำมาตย์

ไม่น่าแปลกใจที่พี่น้องจากนรกสองคน คือพลเอกสมเจตน์และพลตำรวจโทสมคิด โคตรเดียวกันคือบุญถนอม มันถึงได้ไล่ล่าอดีตประธานสภาคนนี้ชนิดพลิกแผ่นดิน เพราะ “แม่” มันรู้ว่าคนๆ นี้สำคัญและ “แม่” มันก็สั่งให้เอาตัวมาให้ได้

นายกทักษิณท่านก็รู้ว่าใผเป็นใผ ตอนแรกทำท่าจะไปไม่ถูก พอเนรวินมันหักหลังหักหน้าไป แต่พอนึกขึ้นได้ว่าไอ้ปากห้อยมันก็เด็กสร้างของคนชื่อยงยุทธ ก็เลยหยุดกลุ้มใจ ใช้คนชั้นนายพลอย่างยงยุทธไปเป็นแม่ทัพอย่างเหมาะสม ให้พลทหารเลว ๆ มันไปภูมิใจแมวไกล ๆ ที่อื่น

เมื่อชัดเจนแจ่มแจ๋วอย่างนั้น งานก็เดิน เดินปรู๊ดปร๊าดจนขบวนการประชาธิปไตยกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่จนเดี๋ยวนี้ผู้คนมีกำลังใจขึ้นเยอะ

บอกแล้วไงว่า ขบวนประชาธิปไตยมันเหมือนรถไฟขบวนใหม่ แล่น ๆ มันก็ติดขัดมั่งอะไรมั่ง ต้องเปลี่ยนเอาโบกี้นี้ออกหรือเอาอันโน้นเข้ามั่ง ถือว่าธรรมดา แต่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่า ใครเป็นเจ้าของมือที่เอื้อมมาช่วยสลับสับเปลี่ยนจนทุกอย่างลงเนื้อลงตัว จนเห็นมานั่งเอี้ยมเฟี้ยมอยู่ข้างนายกรัฐมนตรีชื่อทักษิณที่ดูไบวันนั้นถึงได้รู้

ฝ่ายเรามันก็มีคนหน้าด้าน คนสอพลอ คนนาโต้ (ไม่ทำ พูดอย่างเดียว) คนสองหน้าขาถ่างอะไรเทือกนี้เหมือนฝ่ายอื่น ๆ เขา แต่เมื่อตัวจริงเสียงจริงผุดขึ้นมาแล้ว ได้แต่อนุโมทนาว่า สุดท้ายปัญญาก็เกิด (จนได้)

เมื่อตัวจริงเข้ามา ตัวปลอมทั้งหลายก็ค่อย ๆ จางหายไปเป็นธรรมดา

คอลัมน์ คมความคิด
โดย.จิตร พลจันทร์