จากกรณีนายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม เลขาธิการสำนักงานศาลปกครอง ได้ทำบันทึกข้อความไม่เป็นทางการไปถึง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.ขอการสนับสนุนให้ พ.ต.ท.ชูธเรศ ยิ่งยงดำรงสกุล รอง ผกก.ป. สน.หัวหมาก เป็นผู้กำกับการ (ผกก.) โดยให้เหตุผลว่าเป็นเพื่อนสนิทของหลานชายนายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล ประธานศาลปกครองสูงสุด และได้เข้ามาช่วยดูแลการปฏิบัติภารกิจของศาลปกครองสูงสุดในหลายโอกาส
ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องความเหมาะสม และมองว่าเป็นการแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจประจำปี 2556 จนมีการชี้แจงจากศาลปกครองว่าได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบแล้ว ซึ่งศาลปกครองจะเร่งรีบสอบสวนข้อเท็จจริงให้เกิดความชัดเจนอย่างเร่งด่วนในช่วงสัปดาห์นี้
เนื่องจากขณะนี้ปัญหาดังกล่าว มีผลต่อภาพลักษณ์ และความเชื่อมั่นขององค์กรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมทั้งมีการตั้งคำถามว่า ศาลปกครองซึ่งเป็นองค์กรอิสระพยายามใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวเข้ามาแทรกแซงการบริหารของตำรวจหรือไม่ ทั้งที่ศาลปกครองมีหน้าที่ในการตัดสินคดีของการบริหารงานบุคคล ซึ่งกรณีดังกล่าวนี้ถือว่าไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง
ขณะเดียวกัน ในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มีอำนาจในการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ก็ต้องเร่งรีบตรวจสอบหาข้อเท็จจริงเฉกเช่นเดียวกัน ว่าหากมีการแต่งตั้งตามที่แนะนำมาให้ตำแหน่งสูงขึ้น ต้องมีเหตุผลชี้แจงให้ชัดเจนเช่นเดียวกันในการกระทำดังกล่าว
ทั้งนี้ การเร่งรีบตรวจสอบทำความกระจ่างอธิบายกับสาธารณะได้รวดเร็ว ชัดเจน โปร่งใสมากเท่าไร จากทั้งสองหน่วยงานอย่างศาลปกครอง และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะนำมาซึ่งความจริงต่อสังคม และลดสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมือง อันเกิดจากบางกลุ่มหยิบกรณีนี้ไปใช้เป็นช่องทางโจมตีทางการเมืองกับฝ่ายตรงข้าม
เนื่องจากทั้งสององค์กร ถือเป็นแกนหลักของสังคมในกระบวนการยุติธรรม ยิ่งคลี่คลายเรื่องนี้ได้รวดเร็ว กระจ่าง ไร้ข้อกังขาต่อสังคมเท่าไร นั่นหมายถึงสังคมไทยจะยิ่งได้รับคุณูปการที่สำคัญ ในความเชื่อมั่นต่อการแสวงหาความจริงเพื่อไปสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างแท้จริง และยังเป็นไม้หลักสำคัญที่ค้ำยันสังคมอยู่ ทั้งศาลปกครอง-สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือแม้กระทั่ง ศอ.รส.เอง ต้องยุติการหาเศษหาเลยใช้เป็นช่องทางโจมตีองค์กรอิสระ แต่ทุกองค์กรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ต้องมุ่งเข็มทิศหาความจริงให้กระจ่าง ให้สังคมได้รับรู้ให้ได้ และเดินหน้าสู่หนทางแห่งการตรวจสอบไปพร้อมๆ กัน
เพื่อไปสู่เป้าหมายเดียวกัน นั่นคือทำให้ความจริงปรากฏ ไขข้อข้องใจในพฤติกรรมข้างต้น เพราะไม่ว่าจะเป็นศาลปกครอง หรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หากคิดหรือจงใจที่จะปล่อยให้เรื่องนี้เงียบหายไปเงียบๆ หรือมุ่งมั่นตั้งเป้าโจมตีทางการเมือง ก็หาได้ส่งผลดีแต่อย่างใดไม่ ยิ่งรังแต่จะสร้างความสั่นคลอนขององค์กร ภาพลักษณ์ และบั่นทอนความน่าเชื่อถือ เชื่อมั่นในองค์กรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทั้งนี้ ไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะหลุดพ้นจากการถูกโจมตีเป็นเหยื่อทางการเมือง หรือถูกดิสเครดิตในการทำหน้าที่ หากถอยหลังไปสู่หนทางแห่งความเสื่อมไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน และอย่าให้เหตุการณ์นี้ได้ชื่อว่า องค์กรยุติธรรมสร้างหลุมพรางความยุติธรรมเสียเอง ด้วยการปกปิด นิ่งเฉย เงียบงัน ซ่อนตัวอยู่ในวัฒนธรรมอุปถัมภ์ค้ำชูกันไม่จบสิ้น
ที่มา.ไทยโพสต์
--------------------------------
ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องความเหมาะสม และมองว่าเป็นการแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจประจำปี 2556 จนมีการชี้แจงจากศาลปกครองว่าได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบแล้ว ซึ่งศาลปกครองจะเร่งรีบสอบสวนข้อเท็จจริงให้เกิดความชัดเจนอย่างเร่งด่วนในช่วงสัปดาห์นี้
เนื่องจากขณะนี้ปัญหาดังกล่าว มีผลต่อภาพลักษณ์ และความเชื่อมั่นขององค์กรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมทั้งมีการตั้งคำถามว่า ศาลปกครองซึ่งเป็นองค์กรอิสระพยายามใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวเข้ามาแทรกแซงการบริหารของตำรวจหรือไม่ ทั้งที่ศาลปกครองมีหน้าที่ในการตัดสินคดีของการบริหารงานบุคคล ซึ่งกรณีดังกล่าวนี้ถือว่าไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง
ขณะเดียวกัน ในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มีอำนาจในการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ก็ต้องเร่งรีบตรวจสอบหาข้อเท็จจริงเฉกเช่นเดียวกัน ว่าหากมีการแต่งตั้งตามที่แนะนำมาให้ตำแหน่งสูงขึ้น ต้องมีเหตุผลชี้แจงให้ชัดเจนเช่นเดียวกันในการกระทำดังกล่าว
ทั้งนี้ การเร่งรีบตรวจสอบทำความกระจ่างอธิบายกับสาธารณะได้รวดเร็ว ชัดเจน โปร่งใสมากเท่าไร จากทั้งสองหน่วยงานอย่างศาลปกครอง และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะนำมาซึ่งความจริงต่อสังคม และลดสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมือง อันเกิดจากบางกลุ่มหยิบกรณีนี้ไปใช้เป็นช่องทางโจมตีทางการเมืองกับฝ่ายตรงข้าม
เนื่องจากทั้งสององค์กร ถือเป็นแกนหลักของสังคมในกระบวนการยุติธรรม ยิ่งคลี่คลายเรื่องนี้ได้รวดเร็ว กระจ่าง ไร้ข้อกังขาต่อสังคมเท่าไร นั่นหมายถึงสังคมไทยจะยิ่งได้รับคุณูปการที่สำคัญ ในความเชื่อมั่นต่อการแสวงหาความจริงเพื่อไปสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างแท้จริง และยังเป็นไม้หลักสำคัญที่ค้ำยันสังคมอยู่ ทั้งศาลปกครอง-สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือแม้กระทั่ง ศอ.รส.เอง ต้องยุติการหาเศษหาเลยใช้เป็นช่องทางโจมตีองค์กรอิสระ แต่ทุกองค์กรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ต้องมุ่งเข็มทิศหาความจริงให้กระจ่าง ให้สังคมได้รับรู้ให้ได้ และเดินหน้าสู่หนทางแห่งการตรวจสอบไปพร้อมๆ กัน
เพื่อไปสู่เป้าหมายเดียวกัน นั่นคือทำให้ความจริงปรากฏ ไขข้อข้องใจในพฤติกรรมข้างต้น เพราะไม่ว่าจะเป็นศาลปกครอง หรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หากคิดหรือจงใจที่จะปล่อยให้เรื่องนี้เงียบหายไปเงียบๆ หรือมุ่งมั่นตั้งเป้าโจมตีทางการเมือง ก็หาได้ส่งผลดีแต่อย่างใดไม่ ยิ่งรังแต่จะสร้างความสั่นคลอนขององค์กร ภาพลักษณ์ และบั่นทอนความน่าเชื่อถือ เชื่อมั่นในองค์กรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทั้งนี้ ไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะหลุดพ้นจากการถูกโจมตีเป็นเหยื่อทางการเมือง หรือถูกดิสเครดิตในการทำหน้าที่ หากถอยหลังไปสู่หนทางแห่งความเสื่อมไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน และอย่าให้เหตุการณ์นี้ได้ชื่อว่า องค์กรยุติธรรมสร้างหลุมพรางความยุติธรรมเสียเอง ด้วยการปกปิด นิ่งเฉย เงียบงัน ซ่อนตัวอยู่ในวัฒนธรรมอุปถัมภ์ค้ำชูกันไม่จบสิ้น
ที่มา.ไทยโพสต์
--------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น