--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

หุ่นเชิดอำมาตย์ VS โคลนนิ่งทักษิณ

“ผมบอกเลยว่าไม่ใช่นอมินี แต่เรียกได้เลยว่าเป็นโคลนนิ่งของทักษิณ ผมโคลนนิ่งการบริหารให้ตั้งแต่เรียนจบใหม่ๆ สไตล์การทำงานเหมือนผม รับการบริหารจากผมได้ดีที่สุด อีกข้อสำคัญหนึ่งก็คือ การที่คุณยิ่งลักษณ์ซึ่งเป็นน้องสาวผมมานั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรค สถานะนั้นสามารถตัดสินใจแทนผมได้เลย เยสออร์โนนี่พูดแทนผมได้เลย”

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กับ “โพสต์ทูเดย์” ที่ประเทศบรูไนถึง เหตุผลที่เลือก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวแท้ๆ เป็นผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 ของพรรคเพื่อไทย เพื่อชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และยังสอดคล้องกับสโลแกน พรรคเพื่อไทยในการหาเสียงครั้งนี้ว่า “คิดใหม่ ทำใหม่อีกครั้ง” และ “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ”
“สุเทพ” เย้ยเหมือนหนังตะลุง

ทันทีที่พรรคเพื่อไทยเปิดตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์อย่างเป็นทางการ พรรคประชาธิปัตย์ก็ใช้เรื่องส่วนตัวโจมตีทันที โดยเฉพาะนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ถากถางและเย้ยหยันว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นเหมือนหนังตะลุงที่จะทำอะไรก็ต้องรอคำสั่งทางโทรศัพท์จาก พ.ต.ท.ทักษิณ

“คุณยิ่งลักษณ์ ประชาชนคงหลับตาแล้วนึกไม่ค่อยออกว่าถ้าเป็นนายกฯแล้วจะแก้ปัญหาประเทศอย่างไร หรือต้องทำงานไปคอยฟังเสียงโทรศัพท์ทางไกลตลอดเวลาว่าจะวิพากษ์ว่าอย่าง ไร มันเหมือนหนังตะลุง ทำงานยาก ทำให้เสียเปรียบมาก มีส่วนที่ได้เปรียบอย่างเดียวคือ พรรคนั้นเงินเยอะ มีวิชาเทพ วิชามาร ชำนาญศึก ขนาดถูกยุบพรรคมาแล้ว 2 หนที่เขาจับได้ ยังมีที่จับไม่ได้อีกนะ ที่จับไม่ได้ก็มีเยอะ ถือเป็นความช่ำชองที่ได้เปรียบ ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญของประเทศ ประชาชนที่เลือกตั้งต้องชั่งใจอย่างหนัก”
จี้ถามนิรโทษกรรม

โดยเฉพาะกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณประกาศจะกลับประเทศไทยปลายปีนี้ทั้งที่ยังมีคดีติดตัวนั้น นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ถือโอกาสถาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ถึงขั้นตอนการเข้าสู่การล้างความผิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณว่าจะมีขั้นตอนอย่างไรโดยไม่ต้องรับผิด และมีแนวทางในการป้องกันไม่ให้สังคมเกิดความวุ่นวายอย่างไร เพราะ น.ส.ยิ่งลักษณ์แถลงในการเปิดตัวว่าจะอาศัยหลักนิติธรรมให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า ซึ่งขัดแย้งกับที่นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พูดว่าจะออกกฎหมายนิรโทษกรรม เพราะการจะออกกฎหมาย ล้างความผิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณจะทำให้ประชาชนไม่เห็นด้วย และบ้านเมืองจะเกิดความวุ่นวาย

เช่นเดียวกับนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า สิ่งที่เป็นห่วงมากที่สุดคือกระบวนการที่จะล้างความผิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะพรรคเพื่อไทยพยายามทำมาถึง 2 ปีแล้ว โดยให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ปราศรัยหรืออธิบายกระบวนการล้างความผิดที่จะไม่ให้เกิดความวุ่นวายได้อย่างไร

ด้านนายบุญยอด สุขถิ่นไทย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โจมตี น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่ประกาศว่าจะมุ่งแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ไม่ใช่คิดแก้แค้นว่า เป็นเพียงการสร้างภาพเหมือนเป็นผู้ถูกกระทำ น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ควรใช้คำพูดนี้ แต่ควรไปถามผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์เผาเมือง เช่น ญาติของทหารที่เสียชีวิต และผู้ค้าย่านราชประสงค์ว่าจะไม่แก้แค้นหรือไม่ การออกมาพูดอย่าง นี้ถือว่าดูถูกคนไทยเกินไป คนไทยไม่ใช่คนลืมง่าย
ไม่คิดแก้แค้น แต่คิดแก้ไข

การนำเรื่องนิรโทษกรรมให้กับ พ.ต.ท. ทักษิณมาใช้โจมตีนั้น ความจริง น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้แถลงข่าวตั้งแต่วันที่ปรากฏตัวครั้งแรกแล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณต้องได้รับการปฏิบัติเหมือนประชาชนทั่วไป โดยยึดหลักนิติธรรม อีกทั้งพรรคเพื่อไทยคงไม่ให้ตนทำเพื่อคนคนเดียวเช่นกัน แต่ต้องคำนึงถึงทุกคนและประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง ทั้งยืนยันว่าการเข้าสู่การ เมืองครั้งนี้เพราะต้องการรับใช้ประชาชน แก้ความทุกข์ยากของประชาชน สร้างความปรองดองและมองข้ามความขัดแย้ง

“ไม่คิดแก้แค้น แต่คิดแก้ไข ดิฉันพร้อมที่จะรับการพิสูจน์ต่อสาธารณชนภายใต้กติกาและมารยาทที่เป็นธรรม”
เป็นคำแถลงของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่น่าจะตอบคำถามและสอนมวยให้กับพรรคประชาธิปัตย์ที่มุ่ง แต่โจมตีเรื่องส่วนตัว และพยายามตอกย้ำให้กลุ่มเกลียด พ.ต.ท.ทักษิณออกมาเป็นแนวร่วม ซึ่งนายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ประชาชนก็เซ็ง เพราะในอดีตนายบรรหาร ศิลปอาชา ก็เคยโดนมาแล
ประชาธิปัตย์ไม่ใช่สุภาพบุรุษ

ขณะที่นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล กรรมการที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ย้อนถามพรรคประชาธิปัตย์ที่พยายามดิสเครดิตโดยขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวว่า คนที่ขุดคุ้ยก็ตายตั้งแต่ยังไม่เกิด เพราะสังคมไทยรู้ดี เมื่อออกมาก็ถูกเบรกกันเป็นแถว คิดว่ามันไม่ใช่สุภาพบุรุษด้วย อยากเห็นทุกฝ่ายเคารพในความเป็นคน และเคารพที่มาที่ไปของแต่ละคน ควรปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ ให้ประชาชนตัดสินใจ ถ้า น.ส.ยิ่งลักษณ์ชนะเลือกตั้งแล้วจะทำอะไรตามอำเภอใจคงทำได้ยาก เพราะวันนี้การเมืองเปลี่ยนไปแล้ว การเมืองภาคประชาชนแข็งแรง ในอดีตที่ผ่านมาเห็นแล้วว่ารัฐบาลทำอะไรไม่ถูกต้องและประชาชนไม่เอาด้วย รัฐบาลก็ไม่สามารถไปต่อได้

นายสมศักดิ์ย้ำว่า ไม่มีใครทำลายสถาบันการเมืองได้ดีเท่ากับคนในสถาบันการเมืองทำกันเอง อย่าดูถูกประชาชน อย่าคิดว่าประชาชนไม่รู้ เขาแยกแยะได้ ถ้าฝ่ายการเมืองมาสาวไส้ตอแยกันเองจะเป็นอันตรายต่อระบอบ “อย่าไปกลัวเงาของ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่าไปกลัวกับเหตุการณ์ที่ไม่เกิดขึ้น ขอให้เชื่อในพลังของประชาชนที่จะชี้นำประเทศได้ดีกว่าพรรคการเมือง”
จุดอ่อน “ยิ่งลักษณ์”?

ด้าน พ.ต.ท.ทักษิณยอมรับว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังมีจุดอ่อนหรือข้อด้อย คืออาจขาดการปรับตัวให้เข้ากับการเมือง โดยเฉพาะการเมืองไทยที่มีลักษณะเฉพาะ คือเป็นการเมืองที่ทำลายผู้นำ มีผู้นำคนแล้วคนเล่าถูกทำลายให้ล้มลง แต่เชื่อว่าหากความปรองดองเกิดขึ้นปัญหานี้จะเบาบางลง เพราะทุกฝ่ายอยากเห็นความปรองดองจริง มีการแก้รัฐธรรมนูญแล้วความปรองดองน่า จะเกิดขึ้นได้ และการเมืองจะปรกติ ยิ่งเป็นผู้หญิง และไม่มีพื้นฐานด้านการเมือง ไม่เคยมีความแค้น ส่วนตัวกับใคร ไม่มีความชอบส่วนตัวกับการเมือง ฝ่ายไหน ยิ่งช่วยให้สะดวกที่จะเข้าไปพูดคุยหารือ กับทุกฝ่ายเพื่อให้เกิดความปรองดอง ซึ่งความเป็นผู้หญิงจะเป็นจุดแข็ง และตอนนี้ได้เดินสายพูดคุย คือเริ่มทำงานปรองดองแล้วด้วยซ้ำไป
“เมื่อไม่มีใจเขาก็เป็นกลางที่จะเข้าไปพูดคุยกับทุกฝ่ายให้เกิดความปรองดอง สถานะความเป็นผู้หญิงจะไปขอความปรองดองจากทุกฝ่าย ไปพูดจา ไปพบปะคนได้โดยไม่มีการแบกอคติทางการเมืองไว้”
“อภิสิทธิ์” ท้าดีเบต “ยิ่งลักษณ์”

อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งครั้งนี้หนีไม่พ้นการต่อสู้ระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทย โดยนายอภิสิทธิ์กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์หนีไม่พ้นที่จะต้องถูกนำมาเปรียบเทียบและถูกโจมตีทั้งเรื่องส่วนตัวและความรู้ความสามารถ ซึ่งไม่อาจปฏิเสธว่านายอภิสิทธิ์มีประสบการณ์ทางการเมืองมากกว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยเฉพาะการเป็นนักพูดที่ยากจะหาผู้ต่อกรได้ จึงไม่แปลกที่ทั้งนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ต่างออกมาเรียกร้องให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ “ดีเบต” หรือแสดงวิสัยทัศน์กับนายอภิสิทธิ์

แต่พรรคเพื่อไทยออกมาคัดค้านและประณามพรรคประชาธิปัตย์ว่ายังมีพฤติกรรมแบบการเมืองรุ่นเก่าเต่าล้านปี ต้องการใช้สำนวนโวหารเป็นอาวุธประหัตประหารผู้อื่นในทางการเมือง แทนที่จะเอาผลงานมาแข่ง ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์สามารถเอาผลงานกว่า 2 ปีที่ผ่านมามาหาเสียงหากคิดว่าประชาชนยอมรับ ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย เห็นว่าสิ่งที่นายอภิสิทธิ์พูดนั้นเหมือนมวยออกอาการ พอจะแพ้ก็วิ่งเข้าใส่เพื่อแลกหมัด หวังจะแลกเพื่อน็อก น.ส.ยิ่งลักษณ์

นอมินีอำมาตย์ “ดีแต่พูด”

ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มแนว ร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการท้าดีเบตว่า เพราะพรรคประชาธิปัตย์มั่นใจว่านายอภิสิทธิ์ได้เปรียบอย่างมากหากเทียบกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ แต่กลับไม่สงสารคนไทยที่กว่า 2 ปี นายอภิสิทธิ์ดีแต่พูด เมื่อพ้นจากตำแหน่งแล้วยังจะหาเวทีพูดอีก ซึ่งคนไทยเห็นตัวตนของนายอภิสิทธิ์หมดแล้ว

ส่วนที่นายสุเทพบอกว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นหุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณนั้นเพราะไม่ยอมรับความจริงว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์มีความรู้ความสามารถ และประสบความสำเร็จในการบริหารองค์กรระดับ หมื่นล้าน ซึ่งมีสติปัญญาเป็นของตัวเอง หรือถ้ามองในมิติบริหารถือเป็นอาจารย์นายอภิสิทธิ์ ยิ่งบวกกับความรู้ความสามารถและประสบการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณมาผสมยิ่งมีความลงตัวที่จะนำประเทศออกจากวิกฤตเศรษฐกิจและสังคม

“ดีกว่านายอภิสิทธิ์ที่เป็นหุ่นเชิดของอำนาจนอกระบบ แต่ไม่มีต้นทุนความสามารถเลย เมื่อเข้าสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีก็มีสภาพและข่าวทุจริตอย่างที่เห็น ผมจึงขอให้สโลแกนใหม่ว่าเลือก น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้นโยบาย พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ถ้ารักนายสุเทพ นายเนวิน ให้เลือกนายอภิสิทธิ์ ผมเชื่อว่าประชาชนจะพิจารณาได้”

นายณัฐวุฒิยังท้าพรรคประชาธิปัตย์ว่า ถ้าเห็นว่านายอภิสิทธิ์เก่งกาจสามารถ เป็นที่รักของประชาชนเหลือเกิน มั่นใจและแน่จริงก็อย่าโกงผู้หญิงแล้วกัน อย่าใช้อำนาจนอกระบบโกงคะแนนเลือกตั้งและแทรกแซงการจัดตั้งรัฐบาล ทำลายเจตนารมณ์ของประชาชน

“ไฮแจ๊ค” จนชาติป่นปี้

การไล่ถล่ม น.ส.ยิ่งลักษณ์ว่าเป็น “นอมินี” ของ พ.ต.ท.ทักษิณจึงน่าจะเป็นหอกที่กลับมาทิ่มแทงนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์มากกว่า เพราะไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหารจนได้ฉายา “รัฐบาลเทพประทาน” สะท้อนให้เห็นชัดเจนถึงการเป็น “นอมินี” หรือ “หุ่นเชิด” ให้กลุ่มอำนาจนอกระบบหรือกลุ่มอำมาตย์

ด้านนายเสนาะ เทียนทอง ที่เข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า มั่นใจว่าคนไทยไม่ได้โง่ ตอนนี้พรรคเพื่อไทยกำลังจะทำงานใหญ่และจะได้เป็นรัฐบาล แต่สงสาร น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่ต้องเข้าไปแก้ไขปัญหาในจุดนี้ เพราะรัฐบาลนี้ทำอะไรไม่เป็น นอกจากกู้อย่างเดียว

“ผมเป็นผู้จัดการรัฐบาลมาหลายสมัย แต่ไม่เคยเห็น ครม. ไหนอนุมัติโครงการวันเดียวเป็นแสนล้านบาท ผมยังมีฤทธิ์อยู่ และเชื่อว่าจะพาลูกหลานไปสู่จุดหมายที่ตั้งเอาไว้ได้ เพราะขณะนี้ได้ประสานกับหลายฝ่ายเอาไว้พอสมควร ที่มีคนบอกว่าพรรคเพื่อไทยมีอุปสรรค ไม่ว่าจะได้เสียงเท่าไรก็ไม่ได้เป็นรัฐบาลนั้น ต่อไปนี้ไม่ใช่แล้ว เพราะตั้งแต่มีการไฮแจ๊คปล้นกันกลางแดดจนทำให้ประเทศชาติเสียหายป่นปี้ ทำให้มั่นใจได้ว่าพรรคเพื่อไทยจะเข้ามาบริหารประเทศอีกสมัย และคิดว่าอาจจะเป็นพรรคเดียวก็ได้”

หุ่นเชิดอำมาตย์ VS โคลนนิ่งทักษิณ

อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่เฉพาะคนไทยที่ถือเป็นประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญว่าจะทำให้การเมืองไทยเดินหน้าสู่ระบอบประชาธิปไตยต่อไปได้หรือไม่เท่านั้น แต่ประชาคมโลกก็ติดตามและเฝ้ามองว่าในที่สุดประเทศไทยจะสามารถหลุดพ้นจาก “วงจรอุบาทว์” การปฏิวัติรัฐประหารได้หรือไม่

เพราะความขัดแย้งไม่ได้อยู่แค่การแย่งชิงอำนาจในระบบของพรรคการเมืองว่าใครจะได้เป็น รัฐบาล แต่ยังเป็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยที่วันนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ “โคลนนิ่งทักษิณ” เป็นตัวแทน ส่วนกลุ่มอำนาจเดิมหรือกลุ่มอำมาตย์ มีนายอภิสิทธิ์เป็น “นอมินี” หรือ “หุ่นเชิด”

อย่างที่นายแอนดรูว์ วอล์คเกอร์ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย ให้ความเห็นว่า การเลือก น.ส.ยิ่งลักษณ์ถือว่าเป็นย่างก้าวที่กล้าหาญและเป็นทางเลือกที่ดีมากๆ แม้เสี่ยงอย่างยิ่งที่จะถูกมองว่าเป็นการส่งมอบอำนาจของตระกูลชินวัตร แต่สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์และพวกพ้องกลัวที่สุดคือการลงแข่งขันกับ พ.ต.ท.ทักษิณในสนามเลือกตั้ง
ดังนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่ พ.ต.ท.ทักษิณยืน ยันว่าเป็น “โคลนนิ่ง” ไม่ใช่ “หุ่นเชิด” จึงเป็นคนที่มีความสามารถและตัดสินใจได้เองทุกอย่าง ไม่เหมือนนายอภิสิทธิ์ที่ถูกมองว่าเป็น “นอมินี” หรือ “หุ่นเชิด” ของกลุ่มอำมาตย์ที่ “ดีแต่พูด” ไม่มีผลงานชัดเจนเป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากนี้ยังไม่กล้าแตะต้องแม้แต่รัฐมนตรีร่วมรัฐบาลที่ถูกกล่าวหาสารพัดว่าทุจริตคอร์รัปชัน
การเลือกตั้งครั้งนี้จึงถือเป็นการตัดสินใจของคนไทยทั้งประเทศว่าจะกล้าเปลี่ยนแปลงประเทศโดยเลือกพรรคใดพรรคหนึ่งให้ได้เสียงแบบถล่มทลายไปเลยหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทยหรือพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว ไม่ว่าจะเป็น “หุ่นเชิดอำมาตย์” หรือ “โคลนนิ่งทักษิณ” ความขัดแย้งในบ้านเมืองก็จะยุติไปเอง
เพราะในสังคมประชาธิปไตยที่เป็นของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชนอย่างแท้จริงนั้น ประชาชนย่อมมีสิทธิเลือกผู้ปกครองของตัวเอง
ไม่จำเป็นต้องพึ่งเสียงสวรรค์จากที่ไหน!

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น