“นับถอยหลังการเลือกตั้ง” ไม่มีเลือกปฏิบัติ เปิดทุกมิติการ เมือง ทุกแง่มุมบนสนามเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นพรรคเล็กหรือพรรคใหญ่ ฉบับนี้ขอนำเสนอป้อมค่ายการ เมืองที่ถือเป็นสีสันอันดับหนึ่งในวันกำหนดอนาคตประเทศ นั่นคือ พรรค เบอร์ 5 ในนามรักประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” ที่แสดงตัวล่วงหน้าอย่างชัดเจนว่าไม่พึงประสงค์จะร่วมรัฐบาล แต่จะขอดำรงตน ในฐานะฝ่ายค้าน เพื่อเป็นกระบอกเสียงในวาระแฉแหลกที่เจ้าตัวถนัดให้ประชาชนรับรู้
เหตุผลที่รีเทิร์นสู่การเมืองในนามพรรครักประเทศไทย
“ผมทนไม่ไหว เพราะเห็นพรรคการ เมืองแต่ละพรรค หัวหน้าก็ไม่ใช่ตัวจริง เป็นนอมินีบ้าง เป็นคนอยู่หลังฉากบ้าง ส่วนที่เหลือก็ไม่ได้ตั้งใจจริงอยากจะมาเป็น รัฐบาล เพียงแต่อยากจะเซ้งรัฐบาล อยากจะสัมปทานประเทศไทยในช่วงเลือกตั้ง ลักษณะอย่างนี้ผมบอกว่าผมทนไม่ไหว ผมออกมา ผมขอเป็นฝ่ายค้าน”
“คนเป็นฝ่ายค้านก็ไม่ได้ตั้งใจเป็น ไม่มีประสิทธิภาพ เป็นเพราะอยากไปเป็นรัฐบาล แล้วถ้าผมยืนเป็นฝ่ายค้านได้ และบางคนถามว่าถ้าผมเป็นคนเดียวแล้วมันได้ อะไร สมมติเลือกชูวิทย์เป็นคนเดียวแล้วมันได้อะไร ผมบอกว่าคนเดียวมันก็มากเกิน พอ เพราะอีก 150 คนมันรีโมตคอนโทรล กดแล้วมันยกมือได้ ถูกต้องหรือเปล่า มันปกป้องผลประโยชน์พรรคมากกว่าผลประโยชน์ประเทศ”
“ลองคิดดู สมมติผมคนเดียว แต่ผม พูด เช้า สาย บ่าย เย็น แล้วสังคมฟังและ เห็นด้วยกับผม รัฐบาลก็จะอยู่ไม่ได้ คุณว่า จริงหรือไม่จริง เพราะฉะนั้น ฝ่ายค้านไม่จำเป็นต้องมีตัวเลข ไม่มีขั้นต่ำ ไม่ใช่รัฐบาล ที่ต้องมี 251 เสียง”
แนวทางการทำหน้าที่ฝ่ายค้าน
“ไม่เห็นจะยาก อะไรดีผมก็ส่งเสริม อะไรไม่ดีผมก็มาพูดให้สังคมฟัง ผมไม่พูดให้ประธานฟังหรอก ประธานฟังเขาก็ไม่เชื่อผมหรอก เขาก็เอาแต่เออๆๆ เหมือนหุ่นยนต์ ผมก็มาพูดให้สังคมฟังว่ารัฐบาลทำแบบนี้มันเหมาะสมหรือไม่ ทีนี้ผมจะรู้ได้ อย่างไร สื่อจะรู้ได้อย่างไร แต่เดี๋ยวนี้ผมมีวิธีสื่อสารกับประชาชนได้หลายวิธีอินเตอร์เน็ตก็มี การสื่อสารช่องทางอื่นก็มี ผมก็อาศัยช่องทางเหล่านี้มาสื่อสารให้ประชาชนและสังคมรับทราบ”
“ยกตัวอย่างเช่น เรียนฟรี 15 ปี แล้วมันจริงตรงไหน ชาวบ้านเขายังจ่ายเงินอยู่ เลย ค่าภาษาอังกฤษ ค่าคอมพิวเตอร์ และก็แอร์พอร์ต ลิงค์ พอทำไปแล้วมีคนนั่งอยู่ 6 คนต่อวัน คุณทำไป 364 ปีถึงจะคืนทุน แล้วจะอย่างไร คุณจะให้การรถไฟทำต่อเหรอ คุณไม่เปลี่ยนเหรอ อย่างนี้ก็เป็นหน้าที่ของ ผมที่ต้องมาบอก”
“อีกอย่างแอร์พอร์ต ลิงค์ มันเป็นแค่นโยบายขายฝัน ผมก็เคยจับผิดให้แล้ว เมื่อไม่นานมานี้ ผมไปมิวนิค ไปเยอรมันมา ผมไปคุยกับซีเมนส์ ผมไปคุยกับคนทำมา ซีเมนส์บอกว่า รถไฟฟ้าบ้านเรามีอยู่ 3 ประเภท ประเภทแรก คือ ระบบราง แบบเมืองไปเมือง อย่างเช่น กรุงเทพฯ-ฉะเชิง เทรา แบบที่ 2 ในเมืองออกชานเมือง เช่น แอร์พอร์ต ลิงค์ ประเภทที่ 3 คือในเมืองเช่น MRT และ BTS”
“ส่วนในเมืองออกไปชานเมืองคือแอร์พอร์ต ลิงค์ นั้นขยายได้ไม่เกิน 25-30 กิโลเมตรเท่านั้น แล้วเขาออกนโยบายว่าผมจะทำแอร์พอร์ต ลิงค์ ไปถึงพัทยาเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว มันจะเป็นไปได้อย่างไร ก็ซีเมนส์บอกว่าทำไม่ได้ แล้วจะให้ใครทำ ให้การรถไฟทำเหรอ แล้วจะเป็นไปได้อย่าง ไร เมื่อบริษัทเขาบอกว่าทำไม่ได้ ถ้าผมเป็น ฝ่ายค้าน และออกมาพูดสิ่งเหล่านี้ แล้วมัน เป็นประโยชน์หรือเปล่า คุณลองไปคิดดูใช่ หรือไม่”
นโยบายหาเสียงในฐานฝ่ายค้าน
“นโยบายคือฝ่ายค้านนี่แหละ จุดขาย คือผมนี่แหละชัดเจนที่สุด ฝ่ายค้านต้านคอร์รัปชั่น
ผมเป็นฝ่ายค้านให้คุณ คนอื่นอยากเป็นรัฐบาลก็ให้เขาเป็นไป ผมเป็นฝ่ายค้าน อย่ากลัวผมแล้วกัน เพราะผมพูดแล้วมีคน ฟัง เช้า สาย บ่าย เย็น ผมก็พูดให้ประชาชนฟัง สังคมเชื่อผม รัฐบาลอยู่ไม่ได้ แล้วอย่างนี้ไม่ใช่จุดแข็งได้อย่างไร ถามหน่อยเถอะว่า ในสภามีฝ่ายรัฐบาลข้างเดียวหรือไม่ มันต้องมีฝ่ายค้านด้วย และในเมื่อฝ่ายค้านเข้มแข็ง รัฐบาลระวังตัว แล้วมันไม่ดีตรงไหน
“ที่นี้มีคนไปคิดถึงแต่เรื่องนโยบายที่ ไม่จริง นโยบายสร้างภาพ นโยบายขายฝัน นโยบายที่อยู่ภายใต้ผลประโยชน์ทับซ้อน นโยบายคอร์รัปชั่น ผมเขียนติดเต็มไปหมด นโยบาย+คอร์รัปชั่น นโยบาย+ผลประโยชน์ ทับซ้อน รัฐบาล+ผลประโยชน์ ผมสื่อสาร กับประชาชนอยู่ ผมมีหน้าที่ให้ข้อมูล ให้ การศึกษา และพูดความจริง”
ที่ผ่านมารัฐบาลไม่เคยล้มในสภา เพราะปรากฏการณ์ฝักถั่ว
“ปัญหาของมันคือว่า คนที่เป็นฝ่าย ค้านไม่ได้ทำหน้าที่ฝ่ายค้านจริงๆ ฝ่ายค้าน ก็ค้านแหลก ฝ่ายรัฐบาลก็สนับสนุนแหลก และคะแนนมันก็เท่าเดิม ตั้งแต่ 2475 มันก็ไม่มีครั้งไหนที่ฝ่ายค้านล้มรัฐบาลได้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถามว่าจุดไคลแมกซ์จุดไฮไลต์ผมอยู่ที่ไหน มันอยู่นอกสภา เพราะการล้มของสภาทุกครั้งมันไม่ได้อยู่ในสภา”
“แต่ถามว่าอยู่นอกสภาคุณจะเอาเสื้อเหลืองเสื้อแดงใช่หรือไม่ ถ้าคุณชอบแบบนั้น ก็ไม่ต้องไปเลือกผม เพราะคุณมีเสื้อเหลืองเสื้อแดงอยู่แล้ว แต่ผมไม่เคยขึ้น เวทีทั้งเหลืองทั้งแดง ผมเล่นการเมืองผมเข้า ตามตรอกออกตามประตู ดังนั้นผมใช้วิธีสภา ผมมีสิทธิ์มีเสียงผมพูดได้ ผมก็ออกไป พูดนอกสภา แต่ผมไม่จำเป็นต้องใช้วิธีพูด ในสภา ตั้งโต๊ะพูดกับผู้สื่อข่าวก็ได้ มันมีวิธี อื่นอีกตั้งมากมายในการสื่อสารกับประชาชน”
ฐานเสียงของ “ชูวิทย์” และ “รักประเทศไทย”
“ฐานเสียงของผมคือคนที่เบื่อการ เมือง คนที่เซ็งนักการเมือง ปวดหัวไง ผมสื่อสารกับประชาชนว่าผมเบื่อการเมือง เบื่อนักการเมือง แต่ต้องไปเลือกตั้ง คนที่ไม่เลือกใคร ไม่ซ้ายไม่ขวา ก็เลือกผม เพราะผมเบอร์ 5 คนหนึ่งเบอร์ 1 คนหนึ่งเบอร์ 10 ก็ผมเบอร์ 5 อยู่ตรงกลาง คนไม่ชอบซ้าย ไม่ชอบขวา ไม่ชอบเหลือง ไม่ชอบแดง ไม่ชอบประชาธิปัตย์ ไม่ชอบเพื่อไทย ก็เลือกเบอร์ 5 เลือกชูวิทย์ เลือกรักประ เทศไทย”
“ผมก็เป็นตัวเลือกให้กับประชาชน อีกทาง การเมืองไม่ใช่ห้างสรรพสินค้าที่จะ มีสินค้ามีทางเลือกให้คุณเลือกมากมาย มัน ไม่มี ในทางการเมืองมีสินค้าอยู่เพียงไม่กี่ชนิด ถูกไหม ถ้ามีปลาก็มีปลาอยู่ไม่กี่ประ เภท เช่นพวกปลาดูด ปลาไหล และก็ปลาหมอ มีอยู่ 3 ประเภทเท่านั้นเอง”
มุมมองการปฏิรูปประเทศไทย
“ผมไม่เชื่อว่ามันจะทำได้ เราเปลี่ยน รัฐธรรมนูญมากี่ฉบับยังทำไม่ได้เลย อเมริกา ใช้รัฐธรรมนูญฉบับเดียวมา 200 ปี ทำไมเขาทำได้ แต่ประเทศไทยเปลี่ยนทุก 2 ปี ทำไมยังทำไม่ได้ เรื่องนี้ผมจึงไม่เชื่อ จุดยืนผมคือเป็นฝ่ายค้าน ผมตัวคนเดียวคงไปทำ เรื่องอย่างนั้นไม่ได้ ที่ผมทำได้ในฐานะฝ่าย ค้าน คือทำให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูล ก็ผม ทำได้แค่นี้ ผมทำให้ผมไม่ได้ทำกิน ถ้าทำกินนั่นคนอื่น ผมทำได้แค่นี้ ทำได้แค่เป็นกระบอกเสียงของประชาชน”
มิติปัญหาคอร์รัปชั่นในประเทศไทย
“จริงๆ ปัญหาคอร์รัปชั่นเป็นปัญหา ใหญ่ แต่คนไทยมักจะมองข้าม ถามว่ามอง ข้ามอะไร ก็มองข้ามเพราะมัวแต่ไปฟังเรื่องนโยบายแจกนั่นแจกนี่ เรียนฟรีบ้าง เบี้ยนู่น เบี้ยนี่บ้าง ผมว่าไม่จริงสักอย่าง เพราะรัฐบาลหาเสียงแบบโฆษณาชวนเชื่อ จุดยืนผมคือจะไปทำให้เรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่อง จริง จะตามทวงถามให้กลายเป็นเรื่องจริง ผมไม่ใช่พรรคประชาธิปัตย์ ผมไม่ใช่พรรค เพื่อไทย ผมไม่ใช่รัฐบาลที่จะมาบริหารประเทศด้วยซ้ำ แต่ผมตามทวงสิทธิ์ที่ประ ชาชนควรได้ให้กับเขา ผมทำหน้าที่เท่านี้ ผมถือว่ามากแล้ว ตรงนี้สำคัญแล้ว ก็อย่าง ที่ผมเขียนไว้ในโปสเตอร์หาเสียง เลือกชูวิทย์ เป็นฝ่ายค้าน ต้านคอร์รัปชั่น คือการต้านคอร์รัปชั่นจะเป็นนโยบายเดียวที่ผมจะทำ ทุกอย่างมันเกี่ยวกับการต้านคอร์รัปชั่นเท่านั้น”
กลยุทธ์การหาเสียง
“คะแนนเสียงเนื่องจากเราหาในกระแส ไม่ใช่กระสุน ไม่ใช่กระสาย แต่เป็น กระแส เพราะฉะนั้น ผมต้องเล่นกระดาน โต้คลื่นกับคลื่นกระแส ผมก็จะต้องทำอย่างไรให้ประชาชนเลือกผม ไม่สามารถที่จะไปแจกบัตร ไปยกมือไหว้ ไปหาเสียง ผมทำไม่ได้ ถ้าทำอย่างนั้นทุกคนก็ทำเป็น
“กลยุทธ์ที่สอง ผมต้องนำเสนอความแตกต่างจากนักการเมืองคนอื่นๆ ถ้าคุณไม่เสนอ คุณก็จะเป็นเหมือนนักการเมืองคนอื่นๆ แล้วผมจะเลือกคุณทำไม ข้อที่สาม ผมต้องแสดงตัวตนปรากฏให้สื่อเข้าใจในระยะเวลาที่สั้น เพราะผมพรรคเล็ก เพราะพรรคใหญ่ได้เวลาเยอะ แต่ผมพรรค เล็กทีวีให้เวลาผม 5-10 วินาที หนังสือพิมพ์ก็ไม่ลงให้ แล้วจะเหลืออะไรให้ผม แต่ทำไม วันนี้โพลผมขึ้นมาอยู่อันดับ 5 ผมอยากรู้ว่าเพราะอะไร ก็เพราะคนอาจเบื่อก็ได้ เขาเห็นนักการเมืองโกหกมากๆ เขาก็อาจจะเบื่อมันก็เป็นไปได้ทั้งนั้น”
สุดท้าย “ชูวิทย์” และ “รักประเทศไทย” อยากฝากอะไรถึงประชาชน
“ผมอยากจะบอกประชาชนว่า มันถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนจริงๆ ไม่ใช่นัก การเมืองมาบอกว่าให้เปลี่ยน ไม่ใช่เพราะ ประชานิยม ประชาภิวัฒน์ ประชาวิบัติ เขาเอาเงินจากกระเป๋าคุณ ประชาชนทำ งานได้รับเงินเดือนถูกหักประกันสังคม แต่ประกันสังคมรัฐบาลเอาไปใช้ ไม่ได้เอามา บำรุงสุขภาพคุณเพราะคุณกินยาเม็ด คุณอุจจาระเป็นมิตร เพราะฉะนั้น คุณต้องการ ให้เขามาทำให้คุณมีชีวิตที่ดีขึ้น นี่แหละครับ ตัวสำคัญ ถ้าเขาทำไม่ได้ เขาก็ไม่ควรเป็น รัฐบาลอีกต่อไป”
คนคนเดียวเปลี่ยนโลกไม่ได้ (เพราะไม่ใช่ประชาธิปไตย) แต่หลายคนเชื่อว่า “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” คนเดียวสามารถเป็น กระบอกเสียงให้กับอีกหลายๆ คนได้ แต่สุดท้าย “รักประเทศไทย” จะชนะใจประ ชาชนจนสามารถเข้าไปยืนซีกฝ่ายค้านในสภาอย่างที่หวังใจได้หรือไม่???
ดีเดย์ 3 กรกฎาคม..จะมีคำตอบสุดท้ายแห่งฉันทามติ!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++