--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

"มาร์ค"หาเสียงย่านสายไหมเจอถือป้าย"เรยา ทางการเมือง"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อ 06.30 น. ที่ตลาดวงศกร ถ.สุขาภิบาล 5 เขตสายไหม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผอ.การเลือกตั้ง กทม. ได้มาช่วยนายก้องศักดิ์ ยอดมณี ผู้สมัคร ส.ส.เขตสายไหม หาเสียง โดยทันทีที่มาถึงนายอภิสิทธิ์ก็ได้รับดอกกุหลาบให้กำลังใจจากกลุ่มผู้ค้าในตลาด ขณะที่นายอภิสิทธิ์ ก็ได้เดินหาเสียงรอบตลาดเพื่อรับฟังปัญหาสินค้าราคาแพงและซักถามถึงแนวทางแก้ไข รวมทั้งพูดคุยถึงนโยบายพรรค อย่างไรก็ตามในช่วงหนึ่งมีหญิงกลางคน ทราบชื่อว่า นางสิริมา นวลแจ่ม สวมเสื้อสีแดงได้ยืนถือป้ายเขียนข้อความว่า "ไร้ฝีมือ ข้าวยากหมากแพง" ดักรอนายอภิสิทธิ์ แต่ก่อนที่นายอภิสิทธิ์จะเดินไปถึงบริเวณดังกล่าวก็มีตำรวจเข้ามาไกล่เกลี่ย ซึ่งนายสิริมาก็ยินยอมที่จะออกไปแต่โดยดี


อย่างไรก็ตามในภายหลัง นางสิริมา ให้สัมภาษณ์ว่า ต้องการมาแสดงออกถึงประชาธิปไตย เพราะไม่พอใจนโยบายการแก้ปัญหาของนายกรัฐมนตรีโดยเฉพาะเรื่องไข่ชั่งกิโล และการบริหารประเทศที่ทำให้สินค้าราคาแพง ทั้งนี้แสดงความน้อยใจว่าเมื่อครั้งผู้สมัครเพื่อไทยมาหาเสียง เหตุใดตำรวจใน สน.นี้จึงไม่มาบ้างเลย แต่พอนายอภิสิทธิ์มาก็ยกกันมาแทบทั้งโรงพัก


ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ก่อนหน้าที่นางสิริมาจะมาถือป้าย ก็มีชายกลางคนดักถือป้ายประท้วงนายอภิสิทธิ์ เช่นกัน โดยเขียนข้อความว่า "เรยาทางการเมือง ปากจัดทำไม่เป็น" แต่ตำรวจก็ได้เข้ามาไกล่เกลี่ย ซึ่งชายคนดังกล่าวก็ยินยอมที่จะออกไปเช่นเดียวกัน


ที่มา.เนชั่น
+++++++++++++

วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

นับถอยหลังเลือกตั้ง ทำให้-ไม่ทำกิน เลือก ‘ชูวิทย์’ เป็นฝ่ายค้าน..ต้านคอร์รัปชั่น!

“นับถอยหลังการเลือกตั้ง” ไม่มีเลือกปฏิบัติ เปิดทุกมิติการ เมือง ทุกแง่มุมบนสนามเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นพรรคเล็กหรือพรรคใหญ่ ฉบับนี้ขอนำเสนอป้อมค่ายการ เมืองที่ถือเป็นสีสันอันดับหนึ่งในวันกำหนดอนาคตประเทศ นั่นคือ พรรค เบอร์ 5 ในนามรักประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” ที่แสดงตัวล่วงหน้าอย่างชัดเจนว่าไม่พึงประสงค์จะร่วมรัฐบาล แต่จะขอดำรงตน ในฐานะฝ่ายค้าน เพื่อเป็นกระบอกเสียงในวาระแฉแหลกที่เจ้าตัวถนัดให้ประชาชนรับรู้

เหตุผลที่รีเทิร์นสู่การเมืองในนามพรรครักประเทศไทย
“ผมทนไม่ไหว เพราะเห็นพรรคการ เมืองแต่ละพรรค หัวหน้าก็ไม่ใช่ตัวจริง เป็นนอมินีบ้าง เป็นคนอยู่หลังฉากบ้าง ส่วนที่เหลือก็ไม่ได้ตั้งใจจริงอยากจะมาเป็น รัฐบาล เพียงแต่อยากจะเซ้งรัฐบาล อยากจะสัมปทานประเทศไทยในช่วงเลือกตั้ง ลักษณะอย่างนี้ผมบอกว่าผมทนไม่ไหว ผมออกมา ผมขอเป็นฝ่ายค้าน”
“คนเป็นฝ่ายค้านก็ไม่ได้ตั้งใจเป็น ไม่มีประสิทธิภาพ เป็นเพราะอยากไปเป็นรัฐบาล แล้วถ้าผมยืนเป็นฝ่ายค้านได้ และบางคนถามว่าถ้าผมเป็นคนเดียวแล้วมันได้ อะไร สมมติเลือกชูวิทย์เป็นคนเดียวแล้วมันได้อะไร ผมบอกว่าคนเดียวมันก็มากเกิน พอ เพราะอีก 150 คนมันรีโมตคอนโทรล กดแล้วมันยกมือได้ ถูกต้องหรือเปล่า มันปกป้องผลประโยชน์พรรคมากกว่าผลประโยชน์ประเทศ”
“ลองคิดดู สมมติผมคนเดียว แต่ผม พูด เช้า สาย บ่าย เย็น แล้วสังคมฟังและ เห็นด้วยกับผม รัฐบาลก็จะอยู่ไม่ได้ คุณว่า จริงหรือไม่จริง เพราะฉะนั้น ฝ่ายค้านไม่จำเป็นต้องมีตัวเลข ไม่มีขั้นต่ำ ไม่ใช่รัฐบาล ที่ต้องมี 251 เสียง”

แนวทางการทำหน้าที่ฝ่ายค้าน
“ไม่เห็นจะยาก อะไรดีผมก็ส่งเสริม อะไรไม่ดีผมก็มาพูดให้สังคมฟัง ผมไม่พูดให้ประธานฟังหรอก ประธานฟังเขาก็ไม่เชื่อผมหรอก เขาก็เอาแต่เออๆๆ เหมือนหุ่นยนต์ ผมก็มาพูดให้สังคมฟังว่ารัฐบาลทำแบบนี้มันเหมาะสมหรือไม่ ทีนี้ผมจะรู้ได้ อย่างไร สื่อจะรู้ได้อย่างไร แต่เดี๋ยวนี้ผมมีวิธีสื่อสารกับประชาชนได้หลายวิธีอินเตอร์เน็ตก็มี การสื่อสารช่องทางอื่นก็มี ผมก็อาศัยช่องทางเหล่านี้มาสื่อสารให้ประชาชนและสังคมรับทราบ”
“ยกตัวอย่างเช่น เรียนฟรี 15 ปี แล้วมันจริงตรงไหน ชาวบ้านเขายังจ่ายเงินอยู่ เลย ค่าภาษาอังกฤษ ค่าคอมพิวเตอร์ และก็แอร์พอร์ต ลิงค์ พอทำไปแล้วมีคนนั่งอยู่ 6 คนต่อวัน คุณทำไป 364 ปีถึงจะคืนทุน แล้วจะอย่างไร คุณจะให้การรถไฟทำต่อเหรอ คุณไม่เปลี่ยนเหรอ อย่างนี้ก็เป็นหน้าที่ของ ผมที่ต้องมาบอก”
“อีกอย่างแอร์พอร์ต ลิงค์ มันเป็นแค่นโยบายขายฝัน ผมก็เคยจับผิดให้แล้ว เมื่อไม่นานมานี้ ผมไปมิวนิค ไปเยอรมันมา ผมไปคุยกับซีเมนส์ ผมไปคุยกับคนทำมา ซีเมนส์บอกว่า รถไฟฟ้าบ้านเรามีอยู่ 3 ประเภท ประเภทแรก คือ ระบบราง แบบเมืองไปเมือง อย่างเช่น กรุงเทพฯ-ฉะเชิง เทรา แบบที่ 2 ในเมืองออกชานเมือง เช่น แอร์พอร์ต ลิงค์ ประเภทที่ 3 คือในเมืองเช่น MRT และ BTS”
“ส่วนในเมืองออกไปชานเมืองคือแอร์พอร์ต ลิงค์ นั้นขยายได้ไม่เกิน 25-30 กิโลเมตรเท่านั้น แล้วเขาออกนโยบายว่าผมจะทำแอร์พอร์ต ลิงค์ ไปถึงพัทยาเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว มันจะเป็นไปได้อย่างไร ก็ซีเมนส์บอกว่าทำไม่ได้ แล้วจะให้ใครทำ ให้การรถไฟทำเหรอ แล้วจะเป็นไปได้อย่าง ไร เมื่อบริษัทเขาบอกว่าทำไม่ได้ ถ้าผมเป็น ฝ่ายค้าน และออกมาพูดสิ่งเหล่านี้ แล้วมัน เป็นประโยชน์หรือเปล่า คุณลองไปคิดดูใช่ หรือไม่”

นโยบายหาเสียงในฐานฝ่ายค้าน
“นโยบายคือฝ่ายค้านนี่แหละ จุดขาย คือผมนี่แหละชัดเจนที่สุด ฝ่ายค้านต้านคอร์รัปชั่น
ผมเป็นฝ่ายค้านให้คุณ คนอื่นอยากเป็นรัฐบาลก็ให้เขาเป็นไป ผมเป็นฝ่ายค้าน อย่ากลัวผมแล้วกัน เพราะผมพูดแล้วมีคน ฟัง เช้า สาย บ่าย เย็น ผมก็พูดให้ประชาชนฟัง สังคมเชื่อผม รัฐบาลอยู่ไม่ได้ แล้วอย่างนี้ไม่ใช่จุดแข็งได้อย่างไร ถามหน่อยเถอะว่า ในสภามีฝ่ายรัฐบาลข้างเดียวหรือไม่ มันต้องมีฝ่ายค้านด้วย และในเมื่อฝ่ายค้านเข้มแข็ง รัฐบาลระวังตัว แล้วมันไม่ดีตรงไหน
“ที่นี้มีคนไปคิดถึงแต่เรื่องนโยบายที่ ไม่จริง นโยบายสร้างภาพ นโยบายขายฝัน นโยบายที่อยู่ภายใต้ผลประโยชน์ทับซ้อน นโยบายคอร์รัปชั่น ผมเขียนติดเต็มไปหมด นโยบาย+คอร์รัปชั่น นโยบาย+ผลประโยชน์ ทับซ้อน รัฐบาล+ผลประโยชน์ ผมสื่อสาร กับประชาชนอยู่ ผมมีหน้าที่ให้ข้อมูล ให้ การศึกษา และพูดความจริง”

ที่ผ่านมารัฐบาลไม่เคยล้มในสภา เพราะปรากฏการณ์ฝักถั่ว
“ปัญหาของมันคือว่า คนที่เป็นฝ่าย ค้านไม่ได้ทำหน้าที่ฝ่ายค้านจริงๆ ฝ่ายค้าน ก็ค้านแหลก ฝ่ายรัฐบาลก็สนับสนุนแหลก และคะแนนมันก็เท่าเดิม ตั้งแต่ 2475 มันก็ไม่มีครั้งไหนที่ฝ่ายค้านล้มรัฐบาลได้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถามว่าจุดไคลแมกซ์จุดไฮไลต์ผมอยู่ที่ไหน มันอยู่นอกสภา เพราะการล้มของสภาทุกครั้งมันไม่ได้อยู่ในสภา”
“แต่ถามว่าอยู่นอกสภาคุณจะเอาเสื้อเหลืองเสื้อแดงใช่หรือไม่ ถ้าคุณชอบแบบนั้น ก็ไม่ต้องไปเลือกผม เพราะคุณมีเสื้อเหลืองเสื้อแดงอยู่แล้ว แต่ผมไม่เคยขึ้น เวทีทั้งเหลืองทั้งแดง ผมเล่นการเมืองผมเข้า ตามตรอกออกตามประตู ดังนั้นผมใช้วิธีสภา ผมมีสิทธิ์มีเสียงผมพูดได้ ผมก็ออกไป พูดนอกสภา แต่ผมไม่จำเป็นต้องใช้วิธีพูด ในสภา ตั้งโต๊ะพูดกับผู้สื่อข่าวก็ได้ มันมีวิธี อื่นอีกตั้งมากมายในการสื่อสารกับประชาชน”

ฐานเสียงของ “ชูวิทย์” และ “รักประเทศไทย”
“ฐานเสียงของผมคือคนที่เบื่อการ เมือง คนที่เซ็งนักการเมือง ปวดหัวไง ผมสื่อสารกับประชาชนว่าผมเบื่อการเมือง เบื่อนักการเมือง แต่ต้องไปเลือกตั้ง คนที่ไม่เลือกใคร ไม่ซ้ายไม่ขวา ก็เลือกผม เพราะผมเบอร์ 5 คนหนึ่งเบอร์ 1 คนหนึ่งเบอร์ 10 ก็ผมเบอร์ 5 อยู่ตรงกลาง คนไม่ชอบซ้าย ไม่ชอบขวา ไม่ชอบเหลือง ไม่ชอบแดง ไม่ชอบประชาธิปัตย์ ไม่ชอบเพื่อไทย ก็เลือกเบอร์ 5 เลือกชูวิทย์ เลือกรักประ เทศไทย”
“ผมก็เป็นตัวเลือกให้กับประชาชน อีกทาง การเมืองไม่ใช่ห้างสรรพสินค้าที่จะ มีสินค้ามีทางเลือกให้คุณเลือกมากมาย มัน ไม่มี ในทางการเมืองมีสินค้าอยู่เพียงไม่กี่ชนิด ถูกไหม ถ้ามีปลาก็มีปลาอยู่ไม่กี่ประ เภท เช่นพวกปลาดูด ปลาไหล และก็ปลาหมอ มีอยู่ 3 ประเภทเท่านั้นเอง”

มุมมองการปฏิรูปประเทศไทย
“ผมไม่เชื่อว่ามันจะทำได้ เราเปลี่ยน รัฐธรรมนูญมากี่ฉบับยังทำไม่ได้เลย อเมริกา ใช้รัฐธรรมนูญฉบับเดียวมา 200 ปี ทำไมเขาทำได้ แต่ประเทศไทยเปลี่ยนทุก 2 ปี ทำไมยังทำไม่ได้ เรื่องนี้ผมจึงไม่เชื่อ จุดยืนผมคือเป็นฝ่ายค้าน ผมตัวคนเดียวคงไปทำ เรื่องอย่างนั้นไม่ได้ ที่ผมทำได้ในฐานะฝ่าย ค้าน คือทำให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูล ก็ผม ทำได้แค่นี้ ผมทำให้ผมไม่ได้ทำกิน ถ้าทำกินนั่นคนอื่น ผมทำได้แค่นี้ ทำได้แค่เป็นกระบอกเสียงของประชาชน”

มิติปัญหาคอร์รัปชั่นในประเทศไทย
“จริงๆ ปัญหาคอร์รัปชั่นเป็นปัญหา ใหญ่ แต่คนไทยมักจะมองข้าม ถามว่ามอง ข้ามอะไร ก็มองข้ามเพราะมัวแต่ไปฟังเรื่องนโยบายแจกนั่นแจกนี่ เรียนฟรีบ้าง เบี้ยนู่น เบี้ยนี่บ้าง ผมว่าไม่จริงสักอย่าง เพราะรัฐบาลหาเสียงแบบโฆษณาชวนเชื่อ จุดยืนผมคือจะไปทำให้เรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่อง จริง จะตามทวงถามให้กลายเป็นเรื่องจริง ผมไม่ใช่พรรคประชาธิปัตย์ ผมไม่ใช่พรรค เพื่อไทย ผมไม่ใช่รัฐบาลที่จะมาบริหารประเทศด้วยซ้ำ แต่ผมตามทวงสิทธิ์ที่ประ ชาชนควรได้ให้กับเขา ผมทำหน้าที่เท่านี้ ผมถือว่ามากแล้ว ตรงนี้สำคัญแล้ว ก็อย่าง ที่ผมเขียนไว้ในโปสเตอร์หาเสียง เลือกชูวิทย์ เป็นฝ่ายค้าน ต้านคอร์รัปชั่น คือการต้านคอร์รัปชั่นจะเป็นนโยบายเดียวที่ผมจะทำ ทุกอย่างมันเกี่ยวกับการต้านคอร์รัปชั่นเท่านั้น”

กลยุทธ์การหาเสียง
“คะแนนเสียงเนื่องจากเราหาในกระแส ไม่ใช่กระสุน ไม่ใช่กระสาย แต่เป็น กระแส เพราะฉะนั้น ผมต้องเล่นกระดาน โต้คลื่นกับคลื่นกระแส ผมก็จะต้องทำอย่างไรให้ประชาชนเลือกผม ไม่สามารถที่จะไปแจกบัตร ไปยกมือไหว้ ไปหาเสียง ผมทำไม่ได้ ถ้าทำอย่างนั้นทุกคนก็ทำเป็น
“กลยุทธ์ที่สอง ผมต้องนำเสนอความแตกต่างจากนักการเมืองคนอื่นๆ ถ้าคุณไม่เสนอ คุณก็จะเป็นเหมือนนักการเมืองคนอื่นๆ แล้วผมจะเลือกคุณทำไม ข้อที่สาม ผมต้องแสดงตัวตนปรากฏให้สื่อเข้าใจในระยะเวลาที่สั้น เพราะผมพรรคเล็ก เพราะพรรคใหญ่ได้เวลาเยอะ แต่ผมพรรค เล็กทีวีให้เวลาผม 5-10 วินาที หนังสือพิมพ์ก็ไม่ลงให้ แล้วจะเหลืออะไรให้ผม แต่ทำไม วันนี้โพลผมขึ้นมาอยู่อันดับ 5 ผมอยากรู้ว่าเพราะอะไร ก็เพราะคนอาจเบื่อก็ได้ เขาเห็นนักการเมืองโกหกมากๆ เขาก็อาจจะเบื่อมันก็เป็นไปได้ทั้งนั้น”

สุดท้าย “ชูวิทย์” และ “รักประเทศไทย” อยากฝากอะไรถึงประชาชน
“ผมอยากจะบอกประชาชนว่า มันถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนจริงๆ ไม่ใช่นัก การเมืองมาบอกว่าให้เปลี่ยน ไม่ใช่เพราะ ประชานิยม ประชาภิวัฒน์ ประชาวิบัติ เขาเอาเงินจากกระเป๋าคุณ ประชาชนทำ งานได้รับเงินเดือนถูกหักประกันสังคม แต่ประกันสังคมรัฐบาลเอาไปใช้ ไม่ได้เอามา บำรุงสุขภาพคุณเพราะคุณกินยาเม็ด คุณอุจจาระเป็นมิตร เพราะฉะนั้น คุณต้องการ ให้เขามาทำให้คุณมีชีวิตที่ดีขึ้น นี่แหละครับ ตัวสำคัญ ถ้าเขาทำไม่ได้ เขาก็ไม่ควรเป็น รัฐบาลอีกต่อไป”
คนคนเดียวเปลี่ยนโลกไม่ได้ (เพราะไม่ใช่ประชาธิปไตย) แต่หลายคนเชื่อว่า “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” คนเดียวสามารถเป็น กระบอกเสียงให้กับอีกหลายๆ คนได้ แต่สุดท้าย “รักประเทศไทย” จะชนะใจประ ชาชนจนสามารถเข้าไปยืนซีกฝ่ายค้านในสภาอย่างที่หวังใจได้หรือไม่???
ดีเดย์ 3 กรกฎาคม..จะมีคำตอบสุดท้ายแห่งฉันทามติ!!!

ที่มา.สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลั่นรอผลเลือกตั้ง รับทุกพรรคตั้งรัฐบาล !!?


"ยิ่งลักษณ์"ลั่นรอผลเลือกตั้ง รับทุกพรรคที่มีอุดมการณ์เดียวกันทำงานร่วมกัน ด้าน"สุรพงษ์"โวพท.ชนะเลือกตั้งถล่ม เตรียมจับมือ"ชทพ.-ชพน."
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัครส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า พรรคขนาดกลาง 3 พรรค คือพรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน เตรียมจับขั้วเพื่อต่อรองทางการเมืองว่า ขอให้ใจเย็นๆ รอให้ผลการเลือกตั้งออกมาก่อนว่าพรรคไหนจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลจะดีกว่า แต่ส่วนตัวแล้วพร้อมเปิดกว้างรับทุกพรรคที่มีอุดมการณ์เหมือนกันในการทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีพรรคไหนบ้างที่อุดมการณ์ไม่ตรงกับพรรคเพื่อไทย น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า เร็วเกินไปที่จะพูดตอนนี้ เอาไว้ถึงเวลานั้นก่อน ส่วนพรรคภูมิใจไทยสามารถร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยได้หรือไม่นั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า วันนี้ยังเร็วไปที่จะพูด สำหรับกรณีที่พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา เสนอเรื่องนายกรัฐมนตรีปรองดองนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า วันนี้เราเข้าสู่โหมดเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญปี 2550 ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้ว่านายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้งและผ่านกลไกของรัฐสภา ดังนั้นควรจะให้เป็นไปในรูปแบบนั้น

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังกล่าวถึงการเปิดตัวนโยบายปรองดองด้วยว่า คงต้องคุยกันในรายละเอียดก่อน ซึ่งตนไม่ต้องการให้เปิดเป็นขั้นๆ และไม่อยากให้ออกมาในรูปแบบที่เราคิดคนเดียว เพราะอยากทำงานกับทุกภาคส่วนที่จะหาแนวทางร่วมกัน โดยประเด็นหลักที่สำคัญคือ อยากให้มองว่าทำอย่างไรที่จะให้เกิดความสามัคคีปรองดองของคนในชาติมากกว่า

โวพท.ชนะเลือกตั้งถล่ม เตรียมจับมือ "ชทพ.-ชพน."ตั้งรัฐบาล

ด้านนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ผู้สมัครส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าพรรคขนาดกลางเริ่มจะจับขั้วกันตั้งรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยหลังการเลือกตั้งว่า แสดงให้เห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์น่าจะรู้สภาพตัวเองว่ากระแสแรงสู้พรรคเพื่อไทยไม่ได้เพราะ นโยบายของพรรคที่เปิดออกไปและการเปิดตัวน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้รับการตอบรับจากประชาชนทั่วประเทศ ดังนั้นเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะถล่มทลายอย่างแน่นอน โดยมีพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดินและพรรคชาติไทยพัฒนาร่วมรัฐบาลด้วยทั้งนี้ เพราะตามหลักโหรแล้วมีพรรคที่ได้เบอร์ 2 และเบอร์ 21 นั้นถือว่าถูกโฉลกกับพรรคเพื่อไทยที่ได้เบอร์ 1

ด้านนายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข ผู้สมัครส.ส.เลย พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขณะนี้พรรคขนาดกลางเริ่มรู้แล้วว่าพรรคประชาธิปัตย์กระแสสู้พรรคเพื่อไทยไม่ได้ เพราะนโยบายของพรรคเพื่อไทยถูกใจประชาชนจนทำให้มีกระแสตอบรับที่ดี สำหรับกรณีที่นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ระบุว่า จะมีนายกรัฐมนตรีมาจากพรรคเล็กนั้น ขอให้เลิกฝันค้างได้เลยว่าพรรคเล็กจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี คงต้องเป็นชาติหน้าตอนบ่ายๆ

เสียงแหบ ตุนน้ำจับเลี้ยง แก้เจ็บคอ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังสักการะพระแก้วมรกตและศาลหลักเมืองแล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์ พร้อมทั้งบุตรชาย ได้เดินทางไปยังตลาดสามย่านเพื่อจับจ่ายซื้อของใช้ส่วนตัว โดยใช้เวลาเลือกซื้ออยู่ประมาณ 30 นาที

ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ซื้อน้ำจับเลี้ยง "เจ๊หงส์" ซึ่งเป็นร้านดังของตลาดสามย่านด้วย โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า เจ็บคอและเสียงแหบจึงซื้อน้ำจับเลี้ยงดื่มเพื่อให้ชุ่มคอ และจะซื้อตุนไว้ดื่ม 2-3 วันด้วย เนื่องจากของร้านดังกล่าวน้ำจับเลี้ยงมีสรรพคุณดี

จากนั้นน.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ตรงไปยังร้านค้าขายไข่ เพื่อสอบถามว่ามีไข่ชั่งกิโลขายหรือไม่ ซึ่งเจ้าของร้านกล่าวว่า ขายเป็นฟองและแผง เพราะขายเป็นกิโลกรัมนั้นไม่สะดวก ก่อนที่น.ส.ยิ่งลักษณ์จะซื้อไข่กลับบ้านประมาณ 10 ฟอง เพื่อนำไปประกอบอาหาร

นอกจากนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังซื้อกุ้ยช่ายกลับบ้านอีกจำนวนหนึ่งด้วย อย่างไรก็ตาม การเดินตลาดสามย่านของน.ส.ยิ่งลักษณ์นั้น สร้างสีสันให้กับพ่อค้าแม่ค้าและนักศึกษาที่กำลังเลิกเรียน โดยมีส่วนหนึ่งได้เข้ามาขอถ่ายรูปด้วย


ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
*************************************

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

จาก ชินคอร์ป.สู่ อินทัช การเมืองหรือเรื่องธุรกิจ !!?

พอปี่กลองการเมืองเริ่มโหมโรง ก็เริ่มมีข่าวคราวว่า "ชิน คอร์ปอเรชั่น" เปลี่ยนชื่อเรียกขานเสียใหม่ ออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน
9 ใน 10 คนทั่วไปที่ผมพูดคุยด้วย ยกเรื่องการเปลี่ยนแปลงนี้ให้เป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับการเมือง ทั้งๆ ที่ฟังแล้วก็ดูแปลกๆ อยู่ไม่น้อย อีกคนที่เหลือส่ายหน้า ไม่รู้ว่าไม่ขอออกความเห็นหรือไม่รู้เรื่องราวเอาจริงๆ

เมื่อมีโอกาสได้เจอะเจอ คุณสมประสงค์ บุญยะชัย ประธานกรรมการบริหาร อินทัช กรุ๊ป ก็ต้องถามกันให้กระจ่าง

คำตอบเรื่องนี้เป็นที่คาดหมายกันได้ ว่า ยังไงๆ คำตอบก็ต้องเป็น "ไม่เกี่ยวข้องกับการ เมือง" ประเด็นสำคัญของคำถามนี้จึงอยู่ที่ "เหตุผล" ประกอบคำตอบที่ว่านั้น ว่าชวนให้รับฟังได้มากน้อยแค่ไหน

คุณสมประสงค์บอกเหตุผลแรกของการเปลี่ยนไว้ง่ายๆ ว่า เปลี่ยนเพราะต้องการความเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นวิธีการที่บริษัทธุรกิจใช้กันอยู่เป็นปกติ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนก็คือชื่อ "ชิน คอร์ปอเรชั่น" ที่ใช้มาร่วมๆ 20 ปี ก็ไม่ได้เป็นชื่อแรกและดั้งเดิมของบริษัท ตรงกันข้ามกลับเป็นชื่อที่ผ่านการปรับเปลี่ยนมาแล้วถึง 2 ครั้ง

"ชื่อแรกสุดที่ใช้คือ เอสซี เมื่อมีการปรับเปลี่ยนธุรกิจเพิ่มเติมก็เปลี่ยนใหม่ กลายเป็น เอสซีแอนด์ซี เพิ่มคำว่า คอมพิวเตอร์เข้าไปด้วย แล้วก็มีการเปลี่ยนอีกครั้งกลายเป็น ชิน คอร์ป.อย่างที่คุ้นกัน"

เหตุผลถัดมา คุณสมประสงค์บอกว่า เปลี่ยนหนนี้ เป็นการเปลี่ยนเพื่อแสดงความเป็น "สากล" มากยิ่งขึ้น เข้าใจง่ายและสัมผัสได้มากขึ้นในมุมมองของคนต่างชาติ สะท้อนถึงความต้องการสร้างความหลากหลายในการลงทุนทำธุรกิจมากขึ้น ไม่จำกัดอยู่เฉพาะในประเทศไทย และเไม่จำกัดอยู่แต่เฉพาะในด้าน โทรคมนาคมและมีเดีย ที่เคยเป็นธุรกิจหลัก ของบริษัทมาก่อนหน้านี้

"อินทัช" จะเพิ่มธุรกิจอะไรขึ้นมาอีก? ซีอีโออินทัช ตอบอย่างกว้างๆ ด้วยเหตุผลทางธุรกิจไว้ว่า ส่วนแรกเป็นธุรกิจใหม่ที่เพิ่มเติมขึ้นมาแต่ยังคงเกี่ยวข้องเชื่อมโยงอยู่กับธุรกิจหลักเดิมของบริษัท กับอีกส่วนเป็น "ของใหม่" อย่างแท้จริง
นอกจากจะเปลี่ยนเพื่อขยายขอบเขตธุรกิจแล้ว การปรับเปลี่ยนหนนี้ยังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการแสดงภาพลักษณ์ใหม่ที่ "อินทัช" ต้อง การแสดงออกมาให้เห็น

"เราต้องการสื่อถึงภาพลักษณ์ใหม่ที่ให้ความรู้สึกเชิงนามธรรมมากขึ้น นามธรรมที่ว่านั้นห่อหุ้มความสุภาพ อ่อนน้อม ความใกล้ชิด เข้าถึงได้ง่ายอยู่ด้วยในตัว" คุณสมประสงค์บอก

พร้อมกับชี้ให้เห็นว่า "สัญลักษณ์" ใหม่ของบริษัทจึงมีความพลิ้วไหวอยู่ในตัว มองไปครั้งหนึ่งอาจนึกถึงรอยยิ้มแย้ม แต่มองไปอีกคราวอาจได้ความรู้สึกถึงสายน้ำ ที่ไหลริน นุ่มนวล แต่รุดหน้าอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยไหลกลับ

"เราเลือกสีเขียว เพราะนอกจากจะสดใส สดชื่นแล้วยังสะท้อนถึงการเติบโต ผลิใบเติบใหญ่อยู่ตลอดเวลา"

ความหมายล่ะ "อินทัช" หมายความว่าอะไร? ตามความเข้าใจของผมมันหมายถึงการติดต่อ การเชื่อมโยงใกล้ชิดอยู่ตลอดเวลา แต่ดูเหมือนคุณสมประสงค์จะมีอีกความหมายหนึ่ง "มันหมายถึงการเกิดมายิ่งใหญ่ครับ"

ทั้งหมดนี่ไม่เกี่ยวกับการเมืองเลย

"ไม่เกี่ยวเลย ถ้าจะเปลี่ยนชื่อเพื่อล้างการเข้าไปเกี่ยวพันกับการเมือง เราคงเปลี่ยนตั้งแต่ตอนโน้นแล้ว คงไม่รอมาเปลี่ยนตอนนี้ จริงมั้ย?" ยิ่งกว่านั้น คุณสมประสงค์บอกว่า เรื่องการเปลี่ยนชื่อนี้เริ่มคิดและทำกันมาตั้งแต่ 1 ปีก่อนหน้านี้ มีการว่าจ้างบริษัทผู้ชำนาญการให้เสนอรูปแบบสัญลักษณ์และชื่อมาให้เลือก มีการจัดตั้งคณะกรรมการรับผิดชอบในการคัดเลือก ลงเอยด้วยการที่ คณะกรรมการบริหารของบริษัทลงมติตคัด 1 ใน 3 ชื่อในรอบสุดท้าย ก่อนที่จะประกาศเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นทาง การเมือง 1 เมษายนที่ผ่านมา

แม้จะยืนยันว่าบริษัทไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการ เมืองในหลายๆ ด้านอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่คุณสมประสงค์ก็ยอมรับว่า การเมืองเข้ามาพัวพันกับบริษัทตั้งแต่แรกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

"เรา หรือบริษัทอื่นๆ ในธุรกิจนี้อดไม่ได้หรอกครับที่จะถูกมอง ถูกวิพากษ์วิจารณ์ หรือลงความเห็นว่ายุ่งเกี่ยวกับการเมือง เพราะนี่เป็นธุรกิจที่รับสัมปทานจากรัฐ แต่เราไม่ได้นำการเมืองมาเป็นปัจจัยในการดำเนินงานแน่นอน"

แต่การถูกมองหรือวิพากษ์วิจารณ์ว่า "มีเอี่ยว" ในทางการเมือง ทำให้ต้อง "ระมัด ระวัง" เป็นพิเศษด้วยเช่นกัน

คุณสมประสงค์บอกว่า นั่นทำให้ที่นี่มี "หลักการ" ในการทำงานทุกเรื่องที่ชัดเจน ตรวจสอบได้ และไม่เอาอารมณ์ ความรู้สึกมาเป็นที่ตั้ง เอาข้อมูลหลักฐานมากองกันไว้ แยก แยะให้ออกว่าอันไหนคืออารมณ์

อันไหนเป็นความรู้สึก อันไหนเป็นข้อเท็จจริง แล้วใช้ข้อเท็จจริงนั้นเป็นฐานในการทำงานอย่างมืออาชีพ ทำตามหน้าที่ ตามตำแหน่งและภาระรับผิดชอบที่ได้รับมอบหมายจากพื้นฐานข้อเท็จจริงเหล่านั้น

ที่สำคัญคือต้องเป็นไปตาม "มาตรฐานของธรรมาภิบาล" ที่จับต้องได้แน่นอน เพราะเคยได้รับรางวัลบริษัทดีเด่นมาแล้วหลายครั้งจากหลายสถาบันรวมทั้ง "เดอะ เบสต์ เอมพลอย เยอร์" ในครั้งล่าสุดนี้ด้วย

การเมืองสำหรับที่นี่ เป็นเรื่องส่วนบุคคล เป็นสิทธิและหน้าที่ของแต่ละคนในฐานะคนไทย คุณสมประสงค์บอกอย่างนั้น แต่ต้องไม่นำมาเกี่ยวข้องกับบริษัท ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายกับบริษัท

"ใครจะเอาโน้ตบุ๊กที่นี่ไปช่วยหาเสียง-ทำไม่ได้ครับ" ซีอีโออินทัชสรุปพร้อมรอยยิ้ม

(เรื่อง ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์ pairat@matichon.co.th )


ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
**************************************

แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์

จันทราภา จินดาทอง
นักสังคมสงเคราะห์ รพ.อุ้มผาง
บทความสำหรับ Stateless Watch Review (www.statelesswatch.org)

ลองจินตนาการถึงภาพตัวเองนั่งอยู่เบื้องหน้านายแพทย์ซักคน แล้วหมอก็พูดขึ้นว่า “ทำใจดี ๆ นะครับ คุณเป็นโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย หนทางรักษาให้หายขาดนั้นไม่มี ทำได้เพียงประคับประคองอาการไว้ให้นานที่สุด” แม้คุณจะเป็นคนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ที่มีสิทธิในการรักษาพยาบาลในประเทศนี้อย่างสมบูรณ์ แต่กระบวนการที่จะได้สิทธินั้นต้องมีขั้นตอนดังนี้

- ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายยื่นบัตรทอง พร้อมกับบัตรประจำตัวประชาชน แจ้งความจำนงเพื่อขอใช้สิทธิรับบริการทดแทนไต ที่โรงพยาบาลที่ระบุในบัตรทอง

- รายชื่อของผู้ป่วย ไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย จะถูกส่งไปยังโรงพยาบาลที่ร่วมบริการทดแทนไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย เพื่อเสนอข้อบ่งชี้ในการบริการต่อคณะกรรมการพิจารณาบริการทดแทนไตฯ ระดับจังหวัด

- ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการพิจารณา บริการทดแทนไตฯ ระดับจังหวัด จะได้รับการลงทะเบียนเป็นผู้ป่วยในระบบ

- ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย จะได้รับการแจ้งกลับจากโรงพยาบาลที่ระบุในบัตรทอง เพื่อเตรียมตัวเข้ารับการบริการ ณ โรงพยาบาลที่ร่วมโครงการรักษาโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย

จากนั้นคุณจะได้รับการบริการจากโรงพยาบาลที่ร่วมโครงการ จนกว่าจะถึงวันสุดท้ายของชีวิต

แต่หากคุณเป็นบุคคลที่ไม่ใช่คนสัญชาติไทย โอกาสการเข้าถึงบริการดังกล่าวคงเป็นไปได้ยาก เช่นเดียวกับกรณีของนางชิชะพอ ชาวปกาเกอญอ (กะเหรี่ยง) อายุ 48 ปี เป็นบุคคลอยู่ระหว่างการสำรวจเพื่อจัดทำเบียนบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน เกิดที่บ้านกะลิคี ประเทศพม่า เข้ามาประเทศไทยทางด่านเปิ่งเคลิ่ง ตำบลแม่จัน อำเภออุ้มผาง ตอนอายุ 17 ปี ปัจจุบันอาศัยอยู่บ้านสามัคคี ตำบลอุ้มผาง อำเภออุ้มผาง

นางชิชะพอเริ่มเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลอุ้มผางเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2552 ด้วยอาการซีด เข้ารับการเจาะเลือด แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรค Anemia จึงรับยาและเจาะเลือดซ้ำเรื่อยมา จนเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2553 แพทย์ได้วินิจฉัยเพิ่มเติมว่าเป็นโรคไตระยะสุดท้าย End-stage renal disease (ESRD) เข้ารับการรักษาทั้งที่เป็นผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในเป็นระยะระยะ

19 มีนาคม 2554 นางชิชะพอเข้ารับการรักษาเป็นผู้ป่วยใน และอายุรแพทย์ประจำโรงพยาบาลอุ้มผาง ให้ความเห็นว่าควรได้รับการฟอกล้างไตเพื่อขับของเสียออกจากร่างกาย แต่เมื่อทำการเช็คสิทธิในการรักษา ปรากฏว่า นางชิชะพอไม่มีสิทธิในการรักษาพยาบาลจากกองทุนใด ๆ แพทย์จึงทำได้เพียงให้การรักษาทางยาเท่านั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2554 นางชิชะพอ ถูกรับตัวเข้ารักษาเป็นผู้ป่วยในของโรงพยาบาลอุ้มผางอีกครั้งด้วยอาการเหนื่อยง่าย ครั้งนี้อาการของนางชิชะพอไม่ทุเลาลง แพทย์ตัดสินใจส่งตัวไปรักษาต่อกับนายแพทย์พิสิฐ ลิมปธนโชติ แพทย์เฉพาะทางประจำหน่วยไตเทียมของโรงพยาบาลแม่สอด ในวันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม 2554 และได้ทำการเจาะหน้าท้องเพื่อทำการล้างไตทางช่องท้องอย่างต่อเนื่อง

การล้างไตทางช่องท้องอย่างต่อเนื่อง (Continuous Ambulatory Peritoneal Dialysis หรือ CAPD) เป็นวิธีการดูแลรักษาผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ได้รับการยอมรับวิธีหนึ่ง ซึ่งผู้ป่วยไตวายเรื้อรังสามารถทำได้ด้วยตนเอง และในช่วงเวลาที่น้ำยาอยู่ในช่องท้องสามารถทำงานได้ตามปกติ โดยผู้ป่วยปกติใช้เวลาปล่อยน้ำยาเข้าออกรอบละ 30-45 นาที และต้องดำเนินการวันละ 4 รอบ รอบละ 4-8 ชั่วโมง ซึ่งวิธีการนี้ ผู้ป่วยไม่ต้องระวังเรื่องการรับประทานอาหารมากจนหมดความสุข อีกทั้ง ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีความสดชื่น เนื่องจากการล้างไตทางช่องท้องเป็นการถ่ายของเสียออกจากร่างกายทุกวัน วันละประมาณ 4 ครั้ง ของเสียจึงไม่ตกค้างในร่างกายนาน

หลังจากอาการของนางชิชะพอคงที่แล้ว แพทย์วางแผนจะเจาะเส้นเลือดบริเวณต้นคอเพื่อฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (Hemodialysis-HD) ซึ่งต้องเดินทางมารับ บริการฟอกเลือดที่หน่วยบริการที่มีเครื่องไตเทียมและแพทย์โรคไต สัปดาห์ละ 2-3 ครั้งๆ ละ 4-5 ชั่วโมง

ในส่วนของค่าใช้จ่ายการเจาะหน้าท้องและเส้นเลือด ทางโรงพยาบาลแม่สอดแจ้งว่า ไม่สามารถให้การอนุเคราะห์ผู้ป่วยกรณีนางชิชะพอได้ ทางโรงพยาบาลอุ้มผาง จึงยินยอมรับภาระค่าใช้จ่ายดังกล่าว โดยให้เป็นหนี้สิ้นเรียกเก็บมายังโรงพยาบาลแต่ด้วยภาระปัจจุบันของโรงพยาบาลอุ้มผางจึงยังไม่สามารถชดใช้ค่าใช้จ่ายดังกล่าว รวมถึงค่าใช้จ่ายที่กำลังจะเกิดขึ้น ราวสามแสนบาทต่อปี

หนทางรอดของนางชิชะพอจึงเลือนรางเหมือนแสงสว่างที่รออยู่ปลายอุโมงค์ที่มืดมิด แต่กว่าจะถึงวันนั้น แสงจากคบเพลิงที่ผู้คนจะยื่นมือมาช่วยนับเป็นกำลังใจอันสำคัญที่จะทำให้เธอก้าวไปจนถึงแสงนั้นได้

ที่มา.ประชาไท
**************************************

วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

5 พรรคประชัน นโยบายปากท้อง ใครของจริง ใครขายฝัน !!!?

ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ จัดสัมมนาเรื่อง "ท้าความคิด...ประชันนโยบายปากท้องกับ 5 พรรคการเมือง" ที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โดยตั้งประเด็นว่า "หากพรรคได้รับเลือกเข้ามาบริหารประเทศ 90 วันแรกของการเป็นรัฐบาล จะแก้ไขปัญหาปากท้องอย่างไร"

 พิชัย นริพทะพันธุ์ ทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย

สิ่งแรกที่พรรคจะทำใน 90 วัน คือโครงการบัตรสินเชื่อเกษตรกร หรือเครดิตการ์ดชาวนา ควบคู่กับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกตันละ 15,000 บาท และข้าวหอมมะลิตันละ 20,000 บาท โดยชาวนาจะต้องลงทะเบียนข้อมูลพื้นฐาน เช่น จำนวนพื้นที่เพาะปลูก จากนั้นสามารถมากู้เงินจากสถาบันการเงินของรัฐ อัตราดอกเบี้ย 0% เพื่อนำไปลงทุนด้านการผลิตก่อน เช่น ซื้อปุ๋ย ไม่ต้องเสียดอกเบี้ยเเพงเหมือนสินเชื่อนอกระบบ ช่วยลดต้นทุนได้ 20-40% และเมื่อชาวนาได้ผลผลิตมาจำหน่าย ก็จะได้ส่วนต่างที่เหลือจากการกู้กลับไป ทำให้ไม่เกิดปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล)

 "พรรคจะต้องทำให้เศรษฐกิจประเทศโตไม่ต่ำกว่า 5% ต่อปี เพราะมีเป้าหมายต้องเติบโตให้ทันตามประเทศจีนและอินเดียที่โตเฉลี่ย 8-10% ต่อปี ขณะเดียวกัน ไทยต้องไม่มีภาวะการตกงาน พร้อมทั้งยกระดับคนระดับล่างให้มีรายได้เพิ่มขึ้น โดยจะต้องจัดการต้นทุนภาคการขนส่งให้ต่ำลง พัฒนากิจการรถไฟและรถไฟฟ้าทั้ง 10 สาย เพราะปัจจุบันระบบรางของไทยยังมีปัญหา

พร้อมทั้งสร้างเมืองเศรษฐกิจใหม่ ให้เป็นศูนย์กลางในด้านต่างๆ เเทนพื้นที่กรุงเทพฯ ที่ในอนาคตมองว่ามีปัญหาน้ำท่วม และรถติดรุนเเรงมากขึ้น โดยรัฐจะเปิดประมูลขายที่ดิน เป็นช่องทางรายได้ให้รัฐ เพื่อนำไปสร้างเขื่อนป้องกันปัญหาน้ำท่วม รวมถึงใช้ในระบบชลประทาน ทำท่อเชื่อมต่อทั้ง 25 ลุ่มเเม่น้ำ ทำให้ชาวนาสามารถปลูกข้าวได้มากขึ้นเป็น 3-4 ฤดูกาล จากปัจจุบัน 2-3 ฤดูกาล นอกจากนี้ พรรคยังขึ้นค่าเเรงขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวัน โดยการลดเก็บภาษีนิติบุคคล เหลือ 20% ในปี 2556 เพื่อให้ผู้ประกอบการปรับเพิ่มรายได้ให้เเรงงาน รวมทั้งผู้ที่จบวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป ต้องได้เงินเดือนขั้นต่ำ 15,000 บาท

นอกจากนี้ ยังมีนโยบายกองทุนมหาวิทยาลัย โดยให้มหาวิทยาลัยละ 1,000 ล้านบาท ปล่อยกู้ให้นักศึกษาไปสร้างรายได้ระหว่างเรียน รวมถึงโครงการพักชำระหนี้ โดยประชาชนที่มีหนี้ต่ำกว่า 5 แสนบาท จะได้รับการพักชำระหนี้ 3 ปี ส่วนรายใดที่มีหนี้เกิน 5 แสนบาท จะเข้าสู่การปรับโครงสร้างหนี้

"กรณ์ จาติกวณิช" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทีมเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์

ทันทีที่ได้เป็นรัฐบาลมาบริหารประเทศ พรรคจะมุ่งเน้นเรื่องรายได้ประชาชนเป็นหลัก โดยเฉพาะการดูแลค่าใช้จ่ายของเกษตรกร ด้วยการเพิ่มกำไรการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวสำหรับการทำข้าวนาปีเป็น 50% จากเดิมกำหนดไว้ที่ 40% เพื่อให้เกษตรกรมีกำไรจากการขายสินค้าเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ ยังขยายอัตราต้นทุนค่าขนส่งแบบเหมาจ่าย 200 บาทต่อตัน เหมือนกันทั่วประเทศ เป็นเหมาจ่ายตามระยะทางโดยนับจุดเริ่มต้นที่กรุงเทพฯ ศูนย์กลางการค้า ดังนี้ ระยะทาง 0-300 กิโลเมตร อยู่ที่ 200 บาทต่อตัน ระยะทาง 301-600 กิโลเมตร อยู่ที่ 400 บาทต่อตัน และ 601 กิโลเมตรขึ้นไป อยู่ที่ 600 บาทต่อตัน สานต่อเรื่องปัจจัยการผลิตในส่วนของการชดเชยปุ๋ยต้นทุนต่ำตันละ 1,500 บาท การเข้าไปดูแลระบบประกันภัยนาล่ม กรณีที่เกิดภัยธรรมชาติที่ไม่คาดคิด การปรับฐานค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มขึ้น 25% ภายใน 2 ปี

"กรพจน์ อัศวินวิจิตร" ทีมเศรษฐกิจพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน

พรรคจะดำเนินนโยบายเรื่องยกเว้นภาษีเงินได้ให้กับบัณฑิตจบใหม่ 5 ปี เพื่อให้มีเวลาสร้างรายได้ ความมั่นคงในอาชีพ ทำให้ความเป็นอยู่ดีขึ้น รวมถึงปรับเพิ่มเบี้ยยังชีพให้คนพิการและผู้สูงอายุ 1,000 บาทต่อเดือน จากปัจจุบันอยู่ที่ 500 บาทต่อเดือน ให้ประชาชนสามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลในทุกโรงพยาบาลทั่วประเทศ โดยไม่จำเป็นเฉพาะโรงพยาบาลที่มีชื่อสังกัดเท่านั้น รวมถึงดูแลปรับลดปลดหนี้ให้เกษตรกร

นอกจากนี้ พรรคจะเพิ่มวงเงินสินเชื่อให้ภาคการผลิตดอกเบี้ย 0% เป็นเวลา 3 ปี วงเงินสินเชื่อสูงสุด 1 ล้านบาทต่อราย ปรับระบบบัตรโดยสารใบเดียวใช้ได้ทั้งรถเมล์ รถไฟฟ้า หรือแม้แต่เรือ นอกจากนี้ พรรคยังมีนโยบายเรื่องอัตราค่าแรงขั้นต่ำอยู่ที่ 350 บาทต่อวัน ภายใน 3 ปี เพราะมองว่าหากเศรษฐกิจดี ระบบการทำงานดี การปรับค่าครองชีพให้สูงย่อมสามารถทำได้ อย่างไรก็ตาม สำหรับนโยบายด้านรับซื้อข้าว พรรคจะเปิดโอกาสให้เกษตรกรสามารถเลือกว่าจะเข้าระบบประกันรายได้เกษตรกรหรือระบบรับจำนำ เพราะไม่ว่าจะเป็นระบบใดก็ต้องใช้กลไกตลาดเป็นตัวชี้นำราคา เป็นการให้โอกาสประชาชนมากขึ้น

"สรยุทธ เพ็ชรตระกูล" ทีมเศรษฐกิจพรรคภูมิใจไทย

 ภายใน 90 วัน หลังได้รับเลือกเป็นรัฐบาล พรรคมีนโยบายจะประกันราคาข้าวหอมมะลิตันละ 20,000 บาท รวมถึงพัฒนาภาคการเกษตรอย่างยั่งยืน เพื่อให้สามารถแข่งขันระหว่างประเทศได้ รวมทั้งแจกพันธุ์ข้าว พัฒนาแหล่งท่องเที่ยว โดยมีระบบบริหารจัดการที่ดี รวมถึงบริหารด้านการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ โดยจัดสรรงบประมาณให้จังหวัดละ 100 ล้านบาท จัดโครงการทำดีมีรางวัล โดยเฉพาะกลุ่มอาสาสมัครกู้ชีพต่างๆ กรณีที่ประสบอุบัติเหตุ โดยชดเชยให้วันละ 600 บาทต่อคน กรณีที่ต้องเข้ารับการรักษาตัว

พรรคจะเน้นนโยบายเศรษฐกิจระดับรากหญ้า เพราะมองว่าเศรษฐกิจเดินหน้าได้ ต้องพัฒนาจากฐานระดับล่างให้แข็งแกร่งก่อน โดยเฉพาะด้านเกษตรกร เรื่องข้าวเป็นสินค้าที่ราคายังต่ำ เมื่อเทียบกับสินค้าเกษตรชนิดอื่นที่ราคาต่างปรับขึ้นสูง ขณะที่สัดส่วนชาวนาสูงถึง 60% นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นการพัฒนาระบบชลประทานให้มีศักยภาพมากขึ้น เพราะปัจจุบันมีอยู่ 2 ล้านไร่ จากระบบชลประทานทั่วประเทศ 28 ล้านไร่ มองว่ายังน้อยมาก ถ้าเทียบกับพื้นที่เกษตรกว่า 57 ล้านไร่"

"เกษมสันต์ วีระกุล" ทีมเศรษฐกิจพรรคชาติไทยพัฒนา

นโยบายเร่งด่วนของพรรคที่ต้องทำเลยก็คือประกาศนโยบายปรองดองแห่งชาติ เพราะมองว่าถ้าไม่เริ่มต้นด้วยการปรองดองจากทุกฝ่าย การต่อยอดพัฒนาด้านต่างๆ ก็จะไม่สามารถทำได้ โดยเฉพาะการขับเคลื่อนด้านเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ยังมุ่งให้บรรดาคณะรัฐมนตรีต้องซื่อสัตย์ในหน้าที่ หยุดการโกง ทุจริตในเรื่องต่างๆ ต้องตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อให้รู้ว่า ประเทศไทยในปัจจุบันเป็นอย่างไร และต้องปรับปรุงแก้ไขตรงไหน รวมถึงจัดตั้งคณะกรรมการระดับชาติ เพื่อรวบรวมข้อมูล แนวทาง และข้อได้เปรียบ ข้อเสียเปรียบ ทิศทางการกำหนดอัตราภาษีให้เป็นไปในทิศทางเดียวกับประเทศคู่ค้ารองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558

"ไทยต้องปรับภาษีบุคคลต้องไม่ต่างจากประเทศคู่แข่งเกิน 10% จึงจะสามารถสู้ได้ในเวทีเออีซี นอกจากนี้ พรรคยังมีนโยบายลงทุนระบบสาธารณูปโภควงเงิน 5.5 ล้านล้านบาท โดยวงเงินดังกล่าวเป็นการลงทุนพัฒนาแหล่งน้ำ 1.7 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีนโยบายประกันราคาข้าวเปลือกตันละ 15,000 บาท ข้าวหอมมะลิตันละ 20,000 บาท ช่วยเหลือค่าเช่านาไร่ละ 500 บาท มีการสนับสนุนลงทุนปัจจัยการผลิตภาคการเกษตร ฟรีดอกเบี้ย 1 ปี วงเงินสูงสุด 5 แสนบาท จัดตั้งกองทุนสวัสดิการเกษตรกร 2 หมื่นล้านบาท รวมทั้งมีการปรับโครงสร้างภาษีอย่างเป็นธรรม"

 ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
********************************************

ประพันธ์ ยันเลือกตั้งโปร่งใส !!?

นายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ด้านบริหารงานเลือกตั้ง กล่าวถึงความโปร่งใสในการจัดการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 3 ก.ค. ว่า การนำมาบัตรมาเปลี่ยนเพื่อเปลี่ยนแปลงผลการลงคะแนน หรือการเวียนเทียนบัตรเลือกตั้งนั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าการพิมพ์บัตรเลือกตั้ง กกต.จ้างให้โรงพิมพ์ของรัฐเป็นผู้จัดพิมพ์คือ บัตรเลือกตั้งส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ กกต.จ้างโรงพิมพ์กองสลากเป็นผู้จัดพิมพ์ ส่วนบัตรเลือกตั้งส.ส.แบบแบ่งเขต กกต.จ้างโรงพิมพ์ของกองอาสารักษาดินแดง ซึ่งทั้งสองโรงพิมพ์เป็นโรงพิมพ์ของรัฐ ที่ตลอดการดำเนินการพิมพ์ก็จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลควบคุมการผลิต 24 ชั่วโมง จึงไม่สามารถที่จะพิมพ์เกินกว่าที่กกต.สั่งไปได้ รวมถึงไม่มีผู้ใดสามารถนำบัตรออกจากโรงพิมพ์ได้อีกด้วย ส่วนหากมีการใช้บัตรเลือกตั้งปลอมก็ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากหลังจากที่กกต.จัดส่งบัตรเลือกตั้งไปยังกกต.จังหวัดต่างๆ แล้วก็จะต้องมีการประทับตราบัตรอีก 1 ครั้ง บัตรปลอมจะไม่มีตราประทับบัตรดังกล่าว หากนำที่ไม่มีตราประทับไปใช้ก็จะสามรถรู้ได้ทันทีว่าเป็นบัตรปลอม

กรณีที่กกต.จะต้องพิมพ์บัตรเลือกตั้งทั้งสองแบบสูงถึง 53.5 ล้านฉบับจากผู้มีสิทธิลงคะแนน 47.3ล้านคน นั้นก็เนื่องจาก กกต.คำนวณบัตรเลือกตั้งตามการเลือกตั้งในปี 2544 และปี 2548 ที่เป็นการเลือกตั้งแบบเขตเดียวเบอร์เดียว จะต้องพิมพ์บัตรเผื่อไว้ในทั้งกรณีที่มีผู้เพิ่มชื่อ กรณีการเลือกตั้งล่วงหน้าที่ต้องแยกบัตรเลือกตั้งไว้ต่างหาก ที่จะต้องจัดเตรียมให้พอกับผู้ที่จะมาใช้สิทธิ ป้องกันการเกิดปัญหา รวมถึงการจัดส่งบัตรเลือกตั้งที่ต้องส่งเป็นเล่ม ที่หากเลือกไม่ครบเล่มก็จะต้องมีการทำลายบัตรเลือกตั้งที่เหลืออยู่

“ผู้ที่ออกมาพูดเรื่องโกงการเลือกตั้ง ทำให้ประชาชนสับสน คนพูดอาจจะเคยได้ยินมาในการเลอืกตั้งแบบโบราณสมัยที่ยังไม่มีกกต.กำกับดูแลการเลือกตั้ง แต่ผู้ควบคุมการเลือกตั้งสมัยนั้นเป็นผู้มีอำนาจในพื้นที่ แต่หลังจากมีกกต.ที่เป็นหน่วยงานอิสระแล้ว ก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนนั้นขึ้นอีก” นายประพันธ์ กล่าว

นายประพันธ์ ยังกล่าวด้วยว่า เรื่องการเก็บรักษาหีบบัตรเลือกตั้งนั้น กกต.มีวิธีการกำกับดูแลไม่ให้มีการสับเปลี่ยน หรือเปิดหีบเปลี่ยนบัตรเลือกตั้งได้ โดยให้กรรมการเลือกตั้ง ประจำหน่วยปิดผนึกหีบด้วยกระดาษกาว พร้อมกับเซ็นชื่อกำกับ ใครจะมาเปลี่ยนหีบเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ส่วนกระบวนการนับคะแนนที่กำหนดให้นับคะแนนที่หน่วยนั้นก็เป็นเรื่องเปิดเผย หลังจากตรวจนับก็จะติดประกาศผลการเลือกตั้งไว้หน้าหน่วยเลือกตั้งทันที มีประชาชน และเจ้าหน้าที่เป็นพยาน หากมีการเปลี่ยนแปลงใบรวมคะแนนก็ไม่สามารถทำได้ เพราะสามารถตรวจสอบผลได้ที่หน้าหน่วย

"อยากให้ประชาชน หรือตัวแทนพรรคการเมืองต่างๆ มาร่วมกันช่วยสังเกตการณ์การเลือกตั้งในทุกหน่วย เพื่อสร้างความมั่นใจว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นโดยความบริสุทธิ์ยุติธรรม และไม่มีข้อครหาในภายหลังว่าการเลือกตั้งไม่โปร่งใส" นายประพันธ์ กล่าว

ที่มา.เนชั่น
++++++++++++++++++++++++++

วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

นักโทษชายคนนั้น(1)

ถ้าไม่มีอะไรพลิกผัน..หลังเที่ยงคืนวันที่ 3 กรกฎาคม..ปีนี้..การเมืองประเทศไทย จะก้าวไปสู่อีกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์..
เพราะนับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นต้นมา..มีแต่การเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงข้างหน้า..ที่ไม่เหมือนการเลือกตั้งครั้งใดๆ ในอดีต
เป็นการเลือกตั้ง..ที่แปลกแหวกแนว..เพราะหัวหน้าพรรคของพรรคที่ได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นพรรคที่ชนะเป็นอันดับหนึ่ง..คือพรรคที่ถูกปฏิวัติรัฐประหารไปเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 และจากวันนั้นจนบัดนี้..พรรคที่ถูกปฏิวัติ..ก็คือพรรคที่ได้รับการขานรับจากประชาชนมากที่สุด
ขานรับทั้งๆ ที่รู้ว่า..หัวหน้าพรรคตัวจริงนั้น..อยู่ต่างประเทศในฐานะผู้ต้องคดี..เป็นผู้ต้องหาหลบหนีคำพิพากษา..อันเป็นโทษจำคุก..2 ปี
ประชาชนส่วนใหญ่..ให้การสนับสนุนผู้ต้องคำพิพากษา..คู่ต่อสู้ทางการเมืองเรียกเขาว่า "นักโทษชาย"..แต่..ประชาชนส่วนใหญ่เลือกพรรคที่มี.."นักโทษชาย" ให้มาเป็นอันดับหนึ่งในการเลือกตั้ง..
นักโทษชายผู้นี้..แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 2 คน..และกำลังจะแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนที่ 3 หากว่าพรรคของเขาได้รับการชัยชนะในการเลือกตั้ง
ทำไม..ประชาชนส่วนใหญ่..จึงประพฤติปฏิบัติเช่นนั้น..
เพราะเขาผู้นั้น นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง..และฐานะนักโทษชายของเขานั้น..เป็นคำกล่าวหาและคำพิพากษาที่มิได้มาจากกระบวนการยุติธรรมอันเป็นปรกติ
และ..พฤติกรรมแห่งความผิดของเขา..ก็คือการเอาเงินจากครอบครัวของเขาไปซื้อที่ดินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยนำออกมาประมูลขาย..ในราคาที่แพงกว่าที่ดินที่ได้ถูกประมูลขายไปแล้วก่อนหน้า..และกฎหมายระบุไว้อย่างแจ่มแจ้งว่า..
ธนาคารแห่งประเทศไทยนั้นสามารถบริหารและดำเนินการไปเป็นอิสระและปลอดภัยจากการบังคับบัญชาของฝ่ายการเมือง
และที่สำคัญที่สุด..บัดนี้การซื้อขายนั้นได้รับการยืนยันจากกระบวนการยุติธรรมอันเป็นสากลว่า..ไม่ผิดและไม่ขัดต่อกฎหมาย..แถมยังให้จ่ายเงินคืนพร้อมดอกเบี้ยให้กับผู้ซื้อและเอาที่ดินกลับไปเป็นของธนาคารชาติ
เรื่องนี้ยังไม่จบ..

โดย.พญาไม้.บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++

ยิ่งลักษณ์.. หาเสียงทุ่งกุลาฯ อ้อนเป็นนายกฯ กุลาจะไม่ร้องไห้ !!?


"ยิ่งลักษณ์" หาเสียงทุ่งกุลาร้องไห้ อ้อนหากเป็นนายกฯ "กุลาจะไม่ร้องไห้" อีกต่อไป ชูนโยบาย ผันแม่น้ำ 25 สาย ไอเดียเก๋ แต่งเวทีแบบลูกทุ่ง
ผู้สมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อลำดับหนึ่ง พรรคเพื่อไทย ได้ขึ้นเวทีปราศรัย ที่ทุ่งกุลาร้องไห้ อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด ว่า วันนี้ตนได้มาพบพี่น้องหลายอำเภอ ก่อนอื่นขอแนะนำตนเองว่าชื่อ "ปู" เป็นน้องสาวคนเล็กของ พ.ต.ท.ทักษิณ และ พ.ต.ท.ทักษิณ
ฝากมาบอกว่าคิดฮอดพี่น้องทุกคน และจากการสอบถามพบว่า ถนนที่ตัดเข้ามายังสถานที่ปราศรัยนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนอนุมัติ และ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยเล่าให้ฟังว่าเคยมาหาเสียงที่ทุ่งกุลาร้องไห้ เหนื่อยสายตัวแทบขาด แต่มีผู้เฒ่ามาขอให้เป็นนายกของคนจน จึงเป็นแรงให้ พ.ต.ท.ทักษิณแก้ปัญหาความยากจน ตนเป็นน้องสาวจึงอยากสานต่อนโยบาย และทราบว่าทุ่งกุลาร้องไห้มีปัญหาภัยแล้งทำให้ทำนาได้น้อย ซึ่งนโยบายของพรรคเพื่อไทย จะเชื่อมแม่น้ำ 25 สาย ให้ผ่านทุ่งกุลาร้องไห้
"ข้าวหอมมะลิของทุ่งกุลาร้องไห้เป็นข้าวที่ดีที่สุดในโลก หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล กุลาจะไม่ร้องไห้ต่อไป" น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากปราศรัยจบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ลงจากเวที ซึ่งมีประชาชนได้เข้ามาห้อมล้อมขอถ่ายรูปและจับไม้จับมือ บางคนได้นำพวงมาลัยมาคล้อง ทั้งนี้ประชาชน ก็ต่างพูดชมน.ส.ยิ่งลักษณ์ ต่างๆนานา อิทิ "ตัวจริงสวยจังเลย" "เดี๋ยวจะเอาความสวยเข้าแข่ง" "ไม่เอาแล้วนายกฯคนหล่อ ไข่เป็นกิโลไม่เอาแล้ว" ซึ่งน.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ยิ้มแย้มตลอดเวลา และไม่แสดงอาการเหนื่อยแม้ว่าอากาศที่บริเวณนั้นจะค่อนข้างร้อนก็ตาม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับเวทีปราศรัยที่ทุ่งกุลาร้องไห้จะมีความแตกต่างจากเวทีอื่น เพราะที่อื่นจะมีเพียงป้ายผ้าและมีเก้าอี้ แต่เวทีแห่งนี้จะตบแต่งด้วยกองฟาง และ เครื่องมือทำมาหากินของเกษตรกร เช่น เอาแหมาขึงเป็นฉากหลัง นำไซดักปลามาตั้ง นำแคร่มาประดับ ทำให้เวทีดูเป็นเวทีเพื่อเกษตรกร โดยในวันนี้มีผู้สนใจมาร่วมรับฟังเป็นจำนวนมากประมาณ 2,000 คน
ทั้งนี้เมื่อเสร็จสิ้นการปราศรัย น.ส. ยิ่งลักษณ์ ก็ได้เดินทางโดยรถตู้ มายัง อ.เมืองร้อยเอ็ด เพื่อเตรียมตัวขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ ที่ บึงผลาญชัย ต่อไป

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
///////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

รีแบรนด์ความหวังใหม่ประชาชนช่วยคิด พล.อ.ชวลิตทำ

บุตรชายพล.อ.ชวลิต คุณจาตุรนต์ คชสีห์ อดีต ส.ส.ชุมพร และก็มีผม ส่วนลำดับอื่น ก็จะเป็นตัวแทนจากภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาค แรงงาน นิสิตนักศึกษา และเครือข่ายอื่นจะส่งตัวแทนเข้ามาลงสมัครรับเลือกตั้ง โดยเราจะไม่เน้นส่ง ส.ส.คนดังลงสมัครเพราะ เป็นการเมืองแบบเก่า แต่เราจะเดินหน้าด้วยการเมืองยุคใหม่ คือให้ตัวแทนจากทุก ภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม”
“อีกทั้งเราเป็นพรรคที่ไม่มีนายทุน สนับสนุน เป็นพรรคของเราจริงๆ เป็นพรรคของประชาชน ซึ่งจะเติบใหญ่มากมายเพียงใดก็อยู่ที่ประชาชนเป็นผู้ให้การสนับสนุน แต่เราจะเน้นในเรื่องการสร้างความเข้าใจเรื่องประชาธิปไตยที่แท้จริง เพราะหากการเมืองยังคงดำเนินไปในรูปแบบเก่าๆ มีการซื้อเสียงและเข้าไปถอนทุนด้วยการคอร์รัปชั่นสุดท้ายก็จะเข้าสู่วังวน เดิมๆ ของวงจรอุบาทว์ คือทหารออกมายึดอำนาจล้างไพ่ ที่สุดปัญหาก็จะไม่จบสิ้น เสียที เพราะทำมา 20 กว่าครั้ง เปลี่ยนรัฐธรรมนูญมา 18 ฉบับ ถามว่า ปัญหาบ้านเมืองมันจบหรือไม่ มันก็ยังมีอยู่เหมือน เดิม ฉะนั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นต้องให้ประชาชน มีส่วนร่วมในการแก้ไข คือให้อำนาจประ ชาธิปไตยเป็นของปวงชนอย่างแท้จริง แล้วเราจะแก้ปัญหาได้”


กรณีความหวังใหม่ถูกบริภาษ
ว่าเป็นนอมินีของเพื่อไทย
พล.อ.ชวลิต ท่านมีจุดยืนของท่าน การเข้าไปที่พรรคเพื่อไทย ก็เพื่อต้องการ ทำให้พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคของมหาชน แต่ทำๆ ไปแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ท่านก็คิดว่าท่านออกมาเพื่อมาทำข้างนอก ท่านน่าจะมีอิสระมากกว่า ส่วนด้านความสัมพันธ์ใครๆ ก็น่าจะทราบว่าท่านชวลิตมีความสัมพันธ์อันดีกับแทบทุกขั้ว เพราะไม่ ต้องการเป็นศัตรูกับใคร ในทางตรงกันข้าม ท่านยังมีจุดยืนชัดเจนในการเป็นโซ่ข้อกลาง เชื่อมทุกฝ่ายให้หันหน้าเข้าหากัน เพื่อประ สานให้เกิดความปรองดองของคนในชาติ


โมเดลสร้างความปรองดอง
เบื้องต้นคือ พล.อ.ชวลิตในฐานะที่ ปรึกษา จะใช้กลไกภายในพรรค เจรจากับ พรรคแกนนำที่เป็นคู่ขัดแย้ง ว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะให้มีตัวแทนจากพรรคและจาก ภาคส่วนอื่น เข้ามาร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาล หรือรัฐบาลแห่งชาติเพื่อสร้าง ความปรองดองสมานฉันท์ และบริหารจัดการทุกอย่างที่ไม่เป็นธรรมให้เกิดความ เท่าเทียม กฎหมายอะไรที่ไม่เป็นธรรมก็จัด การเสียใหม่ การตัดสินอะไรที่ไม่เป็นธรรม ก็เคลียร์ให้หมดในรอบนี้ เมื่อมีความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ประเทศชาติก็เดินไปข้างหน้าได้โดยปราศจากความขัดแย้ง


นโยบายดับไฟใต้
“พล.อ.ชวลิตมีจุดยืนในการแก้ปัญหาโดยใช้รูปแบบเขตปกครองพิเศษ เป็นมหานครปัตตานี ที่ประชาชนสามารถ เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหาร เอาหลักศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อสร้างจริยธรรมคุณธรรมในการปกครอง ซึ่งเราไม่จำกัดว่า จะมีเฉพาะในภาคใต้ ทางเหนือทางอีสานก็น่าจะมีการปกครองแบบมหานคร คนกรุงเทพฯ ยังสามารถเลือกผู้ว่าฯ ของเขา เอง แล้วคนจังหวัดอื่นทำไมจะไม่มีสิทธิ์เลือกผู้ว่าฯ ของเขาบ้าง”
“นอกจากนี้ การมีมหานครทั่วประ เทศ ยังถือเป็นการกระจายอำนาจออกสู่ท้องถิ่น เพราะปัจจุบันอำนาจยังคงกระจุก ตัวอยู่ในกรุงเทพฯ จีดีพี 50 เปอร์เซ็นต์ยังคงกระจุกตัวอยู่ในเมืองหลวง ถ้าสามารถกระจายอำนาจออกไปได้ ก็จะสามารถสร้างรายได้ให้กับคนทั่วประเทศ ส่วนหน้าที่ ของมหาดไทยเราก็จะยกระดับให้เป็นมณฑลที่ปรึกษาหรือเป็นผู้ตรวจการเหมือน ในประเทศฝรั่งเศส โดยให้อิสระกับท้องถิ่น และประชาชนในการบริหารและแก้ปัญหา ในพื้นที่”
“ย้อนกลับมาที่สโคปเฉพาะภาคใต้ เราก็จะเอาหลักศาสนาอิสลามเข้ามาเกี่ยวข้องในการบริหาร มีสภาผู้รู้ซึ่งมีตัวแทน จากทั้งพุทธและมุสลิม และมีอำนาจสามารถ ยื่นวีโต้คัดค้านกฎหมายที่หมิ่นเหม่และขัดต่อหลักการศาสนา เช่น การเปิดโรงเหล้า และอบายมุขสิ่งมอมเมาทั้งหลาย เพราะถ้าหากแก้ปัญหาพื้นฐานตรงนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็น เหล้า ยาเสพติด ของเถื่อน รวมไปถึง อาวุธปืน เราก็จะสามารถลดข้อขัดแย้งใน พื้นที่ให้ทุเลาเบาบางลงมาได้ และในอนาคต อาจจะมีการเจรจากับผู้ก่อความไม่สงบให้ เข้ามาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยเหมือนใน อดีตในการแก้ปัญหาคอมมิวนิสต์”


ความหวังใหม่มีประชานิยมหรือไม่
“เราไม่เห็นด้วยกับนโยบายประชานิยม เพราะมันไม่ทำให้ระบบเศรษฐกิจโตอย่างยั่งยืน เพราะฉะนั้น เราจะสร้างกลไก เศรษฐกิจที่มีการแบ่งปันกัน คือ วิน วิน และแชร์ ส่วนนายทุนเราก็ไม่ได้ไปกลั่นแกล้ง แต่จะสร้างกลไกทางเศรษฐกิจที่มีการแชร์ อย่างเช่น เรื่องผลผลิตทางด้านการเกษตร ให้เกษตรกรมีรายได้จากการขายผลผลิตมากขึ้น นายทุนก็สามารถซื้อสินค้าในราคา ที่พอสมควรมีกำไรและรับได้ ไม่ใช่สินค้าถูกกักตุนอยู่กับนายทุนเพื่อแสวงหาผลกำไร นอกจากนั้น เราจะเน้นในการสร้างผลผลิตให้มากขึ้น ด้วยการจัดสรรที่ดิน บริหารที่ดินให้ใช้ประโยชน์ได้สูงสุด ถ้าทำได้อย่างนี้ ก็จะสามารถสร้างเสถียรภาพ ให้กับสินค้าเกษตร และทุกฝ่ายก็จะ วิน วิน และแชร์ ทั้งนายทุนและเกษตรกร”
“ด้านแรงงานก็เช่นกัน เราเห็นว่าค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำต้องเท่ากันทั่วประเทศ สำหรับผู้ที่ลงทุนในต่างจังหวัดซึ่งต้องเสียค่าเดินทาง เราก็จะลดภาษีให้ ส่วนค่าจ้าง แรงงานรายปี ก็จะมีการปรับขึ้นให้ตามผลผลิตและผลิตภาพประสิทธิภาพที่เขาทำ นี่ก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราจะทำ แต่ทั้ง 2 อย่างจะต้องไม่ผูกโยงกันเหมือนในอดีต ค่าแรงขั้นต่ำอาจจะปรับให้ตามค่าครองชีพ ที่เปลี่ยนไป แต่ค่าจ้างแรงงานรายปีต้องปรับตามผลผลิตและผลิตภาพที่เปลี่ยนไป”


ปัญหาข้าวยากหมากแพง
“สินค้าเกษตรจะมีความผันผวนทาง ด้านราคา ฝนฟ้าดีมันก็ออกมาเยอะ ราคาถูก ชาวนาแย่ เกษตรกรแย่ ปีที่ฝนฟ้าแล้ง น้ำท่วม ผลผลิตน้อยข้าวยากหมากแพง แน่นอนเราต้องสร้างสมดุลตรงนี้ แต่ไม่ใช่ การประกัน หรือไม่ใช่การไปจำนำ เพราะว่า พอเราทำไปแล้ว เราก็เป็นเหยื่อพวกข้าราชการหรือเจ้าของโรงสี เช่นข้าวเป็นต้น หรือว่า เจ้าของยุ้งฉางทั้งหลาย เราอาจจะจัดการเรื่องที่จัดเก็บ ส่วนเรื่อง ราคาต้องคำนวณให้เป็นธรรมว่าควรได้ผล ตอบแทนเท่าไหร่ เราจะส่งเสริมเกษตรกรให้มีการรวมกลุ่มและมีการช่วยเหลือซึ่ง กันและกัน ให้องค์กรท้องถิ่นเข้ามามีบทบาท ในการผูกพัน ส่งเสริม พวกเกษตรกรท้องถิ่น พวกสหกรณ์การเกษตรทั้งหลาย ให้เขามีส่วนเสริมกัน นั่นก็คือสร้างอำนาจ ทางการเมือง และมีอำนาจทางเศรษฐกิจ จะได้มีอำนาจต่อรอง รัฐบาลอาจจะส่งเสริม เช่นเรื่องข้าว สร้างไซโลขนาดใหญ่ เก็บพวกธัญพืชพวกข้าว ข้าวโพดอะไรทำนองนี้ เพื่อรักษาคุณภาพ ไม่ใช่ไปฝากโรงสี”
“นอกจากนี้ อาจจะมีการเจรจากับต่างประเทศ เช่น ตะวันออกกลาง หรือแอฟริกา ซึ่งมีประชากรประมาณ 400 ล้าน เขาขาดแคลนเรื่องอาหารแต่เขามีทรัพ ยากรอื่นๆ 52 ประเทศ เราก็เลือกประเทศ ที่เราจะเจรจาต่อรอง แล้วไม่ต้องใช้เงินในการแข่งขันใช้การบาเตอร์ เพราะเขามี ทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ เยอะ เราก็แลก บางแห่งมีเหมืองทอง บางแห่งมีเหมืองเพชร บางแห่งมีพวกแร่ธาตุอื่น ก็แลกกันได้กับ พืชผลทางการเกษตร”
“ส่วนตะวันออกกลาง ซึ่งมีทั้งน้ำมัน และมีเงินก็เจรจาความต้องการของเขา คือเขามีความมั่นคงทางพลังงาน แต่ไม่มีความมั่นคงเรื่องอาหาร เราก็เจรจา ให้เขาสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้เรา เราสร้างความมั่นคงทางอาหารให้เขา พึ่งพากันได้ แต่เราไม่ต้องการพึ่งพา น้ำมันปิโตรเลียมต่อไป ในระยะสั้นเราอาจ ต้องการส่วนประกอบอื่นๆ ของปิโตรเลียม มาใช้ในเรื่องพลังงาน เราต้องสร้างเครือข่ายพลังงานทดแทนขึ้นมาจากพืช ซึ่งทุกวันนี้ยังไม่มีการจัดสรรให้เหมาะสม สมดุลนี่ต้องรู้ว่า ดีมานด์สำหรับบริโภคมีเท่าไหร่ ที่เหลือต้องจัดการให้ดี และส่งเสริมเรื่องพลังงานทดแทนชีวมวล แก๊สโซฮอล์ พวกไบโอดีเซล เราสามารถบริหารจัดการให้เป็นระบบได้ อันนี้ยกตัวอย่างบราซิล เขาบริหารจัดการเรื่องนี้ได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศ สำหรับเรื่องนิวเคลียร์ ลืมไปได้เลย จะไม่มีการทำแน่นอน”


ปัญหาการบังคับใช้กฎหมาย
“เนื่องจากบ้านเมืองจริงๆ ยังไม่เป็น ประชาธิปไตย ถ้ามันเป็นประชาธิปไตย การบังคับใช้กฎหมายมันต้องเท่าเทียมกัน แต่ทุกวันนี้มันมีเส้น มีสาย มีพวก มันก็เลยเกิดปัญหาขึ้นมา แต่ในต่างประเทศ ดูผู้อำนวยการใหญ่ไอเอ็มเอฟ ยังถูกการบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียม ถ้าเกิดในเมืองไทยเรื่องอย่างนี้ไม่ปรากฏหรอกครับ เพราะว่าของเขาเป็นประชาธิปไตย ประชาชามีความสำนึกในสิทธิและหน้าที่ แต่ของเรามันยังขาดสิ่งเหล่านี้ ประเด็นนี้จึงสำคัญ ถ้าเราไม่สามารถสร้างระบบประชาธิปไตยที่แท้จริงได้ ก็ยากที่จะเห็นการบังคับใช้กฎหมายที่เท่าเทียมกัน”


จุดยืนในการแก้รัฐธรรมนูญ
“ต้องให้เป็นประชาธิปไตย แต่รัฐ ธรรมนูญมันเป็นเครื่องมือ หลายคนคิดว่า มีรัฐธรรมนูญแล้วเป็นประชาธิปไตย มันไม่ใช่ รัฐธรรมนูญเป็นเพียงเครื่องมือของระบบประชาธิปไตย เราต้องพยายามสร้างจิตสำนึก และผลักดันให้อำนาจประชา ธิปไตยเป็นของประชาชนชาวไทยอย่างแท้จริง ตรงนั้นก็จะเกิดกระบวนการการพัฒนาสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริง ที่สำคัญเรายืนยันว่า เรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ในสภาพปัจจุบัน มีความจงรักภักดีเคารพนับถือกันอยู่ ประเทศไทยเราคงหนีไม่พ้นการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ ซึ่งบทบาทหน้าที่ ต้องยกท่านไว้เหนือการเมืองอย่างแท้จริง”
“ไม่ใช่ว่าการเมืองยืมเอามาเป็นเครื่องมือ หรือใช้ความจงรักภักดีหรือใช้กฎหมายอะไรต่างๆ มาเป็นเครื่องมือใน การทำลายคนอื่น ความจงรักภักดี ไม่ใช่ว่าทุกคนจะหันหน้าเข้าหาพระมหากษัตริย์ เป็นอย่างเดียว บางกลุ่มต้องหันหลังให้ เพื่อดูแลไม่ให้ใครมาทำร้ายท่าน แต่ทุกวันนี้มีแต่หันหน้าไป แล้วให้ข้อมูลที่อาจไม่ถูกต้อง ก็เลยทำให้บ้านเมืองมีปัญหา”


สุดท้ายอยากฝากอะไรถึงประชาชน
“อยากให้ประชาชน ช่วยพินิจพิจารณา ส่งเสริมและสนับสนุนพรรคความหวังใหม่ให้เข้าไปเป็นปากเสียงของพวกท่าน ให้ช่วยแก้ไขปัญหาบ้านเมืองในระยะยาว ถึงแม้ว่าตอนนี้เราอาจจะเป็นพรรคเล็กๆ เพราะว่าเราเริ่มต้นช้า แต่วัน ข้างหน้า เราอาจจะเติบโตเหมือนพรรคกรีนในเยอรมันก็ได้ เราก็จะพยายามเปลี่ยนแปลงการเมืองของไทย เราเรียกปฏิวัติระบบการเมืองของไทย ให้เป็นประชา ธิปไตยที่แท้จริงให้ได้ โดยให้ประชาชนช่วยคิด และ พล.อ.ชวลิตเป็นคนทำ”
นโยบายแสนประนีประนอม สุดคอมโพรไมซ์ สมราคาการรีเทิร์นสู่พรรค ความหวังใหม่ของ “โซ่ข้อกลาง พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ” ซึ่งในท้ายที่สุดคงต้อง ขึ้นอยู่กับเสียงประชาชนว่า..จะบันดาล ให้ดอกทานตะวันบานสะพรั่งทั่วทุ่งประเทศไทยอีกครั้งหรือไม่???


ที่มา.สยามธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++

ประกาศิต ทักษิณ จัดแถวเพื่อไทย จัดบัญชีดำ+บัญชีแดง+พรรคร่วม !!??


ผู้ทำบัญชีผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย กำหนดชะตากรรมคนทั้งพรรค

ต้นตำรับ 3 บัญชีของพรรคไทยรักไทย ที่มีทั้ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ-ส.ส. เขต และบัญชีชื่อรัฐมนตรี ถูกนำมาดัดแปลงปรับใช้

ในยุคเพื่อไทยยังคงใช้แนวทาง 3 บัญชี แต่จัดแบ่งประเภทใหม่

บัญชีแรก-ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ แบ่งเป็น 4 ระดับ ระดับแรกมาจากกลุ่ม ส.ส.ตัวจริงได้เข้าสภาผู้แทนฯแบบปลอดภัย อยู่ในลำดับที่ 1-60

ระดับที่ 2 อยู่ในลำดับที่ 61-70 ให้แต่งตัวเป็นว่าที่รัฐมนตรี

ระดับที่ 3 ถูกบรรจุอยู่ในลำดับที่ 71-80 เตรียมตัวเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี-เลขานุการรัฐมนตรี และตำแหน่งในฝ่ายบริหาร

ระดับสุดท้าย เป็นลำดับที่มีความเสี่ยงที่จะไม่ได้เข้าสภาผู้แทนฯ ถูกใส่ชื่ออยู่ในแถวที่ 81-125 แต่ได้รับการันตีพิเศษสายตรงจาก "ทักษิณ" ระบุถึงรูหูโทรศัพท์ว่า ลำดับที่ 120-125 มีสิทธิ์เป็น "รัฐมนตรี"

ทั้งนี้ แกนนำที่ได้รับ "สายตรง" จาก "ทักษิณ" มีทั้งชื่อ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ที่ได้เลื่อนมาอยู่ในลำดับที่ 6 นายบัณฑูรย์ สุภัควณิช อดีต ผอ. สำนักงานงบประมาณ ที่เดิมไม่มีรายชื่อขยับมาอยู่ลำดับที่ 13 ขณะที่ นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ อดีต รมช.พาณิชย์ จากเดิมลำดับเกิน 80 ได้ขยับขึ้นมา อยู่ลำดับที่ 18 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมช.คลัง สุดท้ายมีชื่ออยู่ลำดับที่ 124

บัญชีที่ 2-บัญชี "ส.ส.เสื้อแดง" มี การเสนอชื่อเพื่อพิจารณาไว้ 22 ชื่อ ได้รับการพิจารณาทั้งตัวจริง-ภรรยา-ลูกและตัวแทน ถูกบรรจุไว้ในลำดับที่ปลอดภัย

แม้มีบัญชีที่สลับ-ซุกซ้อนหลายชั้น ทำให้เกิดการต่อรองหลายรอบ แต่ในที่สุด "บัญชีแดง" จึงถูกจัดเต็มก่อนบัญชีอื่น ๆ

บุคคลในเวทีแดงและเครือญาติรวม 20 คน ได้อยู่ในระดับ "เซฟโซน"

ทั้งนี้ แกนนำคนเสื้อแดงนั้นมีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.พท. 15 คน ได้แก่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ลำดับที่ 8, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ลำดับที่ 9, น.พ.เหวง โตจิราการ ลำดับที่ 19, นางรพิพรรณ พงศ์เรืองรอง ภรรรยานาย อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง อยู่ในลำดับที่ 27, น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล ลูกสาว พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง อยู่ในลำดับที่ 42, นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท ลำดับ 46, นางเยาวนิตย์ เพียงเกษ ภรรยานายอดิศร เพียงเกษ ลำดับ 47

นายก่อแก้ว พิกุลทอง ลำดับที่ 54, น.ส.จารุพรรณ กุลดิลก นักวิชาการ คนเสื้อแดง บุตรสาว พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ลำดับที่ 56, นายวิเชียร ขาวขำ ลำดับ 60, นางอุดมรัตน์ อาภรณ์รัตน์ ภรรยา พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ ลำดับที่ 66, นายชินวัฒน์ หาบุญพาด ลำดับที่ 72, นายชนะศักดิ์ อัตถาวงศ์ น้องชายนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ลำดับ 77, นาย เพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล แกนนำเชียงใหม่ 51 ลำดับที่ 86, นายธนกฤติ ชะเอมน้อย หรือวันชนะ เกิดดี ลำดับ ที่ 105

ขณะที่ "บัญชีแดง" ได้รับการปูนบำเหน็จ แต่กลุ่มนักการเมืองบางสาย ถูกจับยัดไว้ใน "บัญชีดำ"

บัญชีที่ 3-บัญชี "ส.ส.สีดำ" เป็น รายชื่อ ส.ส.กบฏที่ถูกจดรายการไว้ มีบทลงโทษ แบ่งเป็น 2 ระดับ

ระดับแรก เป็นกลุ่ม ส.ส.ที่เคย

ลาออกจากกรรมการบริหารพรรค และเป็นกลุ่มที่มีความใกล้ชิด-ชัดเจนกับ กลุ่ม "มิ่งขวัญ-บิ๊กจิ๋ว"

บทลงโทษสำหรับพวก "บัญชีดำ" คือทุกคนต้องเขียนใบลาออก พร้อมลงนาม-เซ็นชื่อไว้ แต่ไม่ลงวันที่ พร้อม เขียนข้อความระบุไว้ด้วยว่า "ผม-ดิฉัน มีปัญหาการทำงานกับพรรค พร้อมที่จะลาออก โดยไม่ได้ถูกกดดัน หรือถูกขับออกจากพรรค"

บทลงโทษระดับที่ 2 ส.ส.กบฏต้องลงไปผจญภัยในการเลือกตั้งระดับเขต และไม่มีสิทธิ์เป็นรัฐมนตรี

"ถ้าใช้ฐานเสียง ระบบสัดส่วนเดิม 48% จาก ส.ส. ทั้งหมด เพื่อไทย จะได้ 60 คน รวมกับ ส.ส.ระบบเขตอีกประมาณ 187 คน คาดว่าจะได้ ส.ส.ไม่ต่ำกว่า 247 คน เท่ากับสมัยเลือกตั้งยุคไทยรักไทย" แกนนำเพื่อไทยกล่าว

ผลโพลลับของเพื่อไทยมียอดส่วนใหญ่มาจากความนิยมในนโยบายหัวหอก 2 ลำดับแรก คือ กองทุนหมู่บ้าน เครดิตชาวนา

และแม้แกนนำสายเสื้อแดงในพรรคจะพยายามเข้าไปมีบทบาทในพรรค ด้วยการเป็นผู้นำในการปราศรัยในเวทีหาเสียงเลือกตั้ง

แต่ "คน" กลับถูกลดบทบาท แต่จะเพิ่มพื้นที่ให้กับ "แผ่นซีดี" ที่เป็นเสียงของ "ทักษิณ" ที่บันทึกเสียง ไว้ในวันเปิดนโยบาย 23 เมษายน 54 แทน

คาดว่าจะมีการแจกจ่ายซีดี-เสียงทักษิณประมาณ 2 แสนแผ่นทั่วประเทศ

นอกจากนี้ แคมเปญนโยบายหาเสียงยังมีระดับการปราศรัย 3 ระดับ คือ ระดับประเทศ ระดับภาค และ ระดับเขต

ทั้งทักษิณและเพื่อไทยจึงไม่มีโจทย์อื่นนอกจากสมการคณะรัฐมนตรีที่มาจาก 2 พรรคร่วมรัฐบาลเท่านั้น

สูตรรัฐบาลที่บวก-ลบ-คูณ-หาร โดย "ทักษิณ" จึงมีทั้ง

สูตรแรกเพื่อไทย + ชาติไทยพัฒนาของบรรหาร ศิลปอาชา

สูตรที่ 2 เพื่อไทย + ชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน

และ สูตรที่ 3 เพื่อไทย + ชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน + ชาติไทยพัฒนา

โดยสรุปทุกสูตรมีเพื่อไทย + เสียงได้จากทุกพรรค ยกเว้นพรรคภูมิใจไทยของ "เนวิน ชิดชอบ" เท่านั้นที่ถูกกา ดอกจัน-ขีดเส้นใต้ไว้ล่วงหน้าให้อยู่ฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น

ยุทธศาสตร์แรกของเพื่อไทยจึงหมายตาพรรค "บรรหาร ศิลปอาชา" ไว้ล่วงหน้า และรวมกันตั้งรัฐบาลได้ ไม่น้อยกว่า 350 เสียง

แหล่งข่าวคนใกล้ชิด "ทักษิณ" สรุปว่า "หากเพื่อไทยได้เกิน 250 เสียง ทุกพรรคเป็นไปได้หมด แต่ยังยกเว้นพรรคเนวิน"

สอดคล้องกับแหล่งข่าวที่ใกล้ชิด "บรรหาร" บอกสูตรการจัดรัฐบาลว่า "หากเพื่อไทยชนะเกิน 10 เสียง พรรคชาติไทยพัฒนาจะไปร่วมจัดรัฐบาลด้วย แต่ถ้าหากเพื่อไทยชนะไม่ถึง 10 เสียง เราจะอยู่ในที่ตั้ง ใครมาติดต่อเราก็รับร่วมรัฐบาลด้วย"

ทั้งบัญชีแดง-บัญชีดำ-บัญชีรัฐมนตรี และบัญชีพรรคร่วมรัฐบาล ล้วนอยู่ในมือ "ทักษิณ ชินวัตร" แต่เพียงผู้เดียว

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

มัดมือมัดเท้า จนดิ้นไม่หลุด!!

มัดมือมัดเท้า จนดิ้นไม่หลุด!!
แต่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี ทำได้ดี..เอาแต่พูด??
“ตัวช่วย” หรือ “มือนอกรัฐธรรมนูญ” ไม่อยากไปผูกพัน อยู่กับคน “ขี้แพ้”
เศรษฐกิจแก้ไม่ได้ ความสามัคคีล้มละลาย...ฉะนั้น, “มาร์ค” จึงถูกลอยแพ
เมื่อไม่มี “พี่เลี้ยง” และ “โยมอุปัฏฐาก” ดันหลัง “อภิสิทธิ์” ก็แพ้ตั้งแต่อยู่ในมุ้ง!!
เขตเลือกตั้งภาคใต้..จะเสียพื้นที่ให้..แก่พรรคเพื่อไทย เพิ่มขึ้นสิลุง??
---------------------------------------------------
“ประชานิยม”..ตามดมตูด!!
แล้วนโยบาย เทกระจาดล้างครัว ให้ของแก่คนไทยฟรี ๆ..ก็เป็นเกม ที่ผิดกลยุทธ์
“นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” คิดอย่างเดียว ปรนเปรอ ขุนคนไทย ให้งอมืองอเท้า อยู่เฉยๆ
เป็นเรื่องผิดหลักการ แสนเห่ยและเช้ย..เชย
หนำซ้ำ, ไม่เข้าตากรรมการ?..เพราะฝึกนิสัยคนไทยให้ดี แต่แบมือรับ!!!
แย่งฐานคนแย่งฐานอำนาจ...เป็นเรื่องที่ไม่ฉลาด?..เป็นความผิดพลาด อย่างแรงเลยล่ะครับ
 ---------------------------------------------------
มองข้ามช็อต!!
“เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาฯพรรคปชป. อ่านเกมได้อย่างสุดยอด??
เมื่อ ๒ สส.สุราษฏร์ธานี พากันล้างมือในอ่างทองคำ ไม่ลงสมัคร ส.ส.
“ประพนธ์ นิลวัชรมณี” และ “นิภา พริ้งศุลกะ” อ้างอายุมาก..ขอโบกมือลาแค่นี้พอ
ซึ่ง “เทพเทือก” สนองตอบลงสมัคร “สส.เขต” โดดซิ่งหนีไม่ไปลง “สส.ปาร์ตี้ลิสต์” ..นัยว่าเพื่อเก็บเก้าอี้ผู้แทนตัวนี้ ไว้ให้ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน “แทนคุณ เทือกสุบรรณ”ลงสมัคร!!!
เป็นอีกจังหวัดที่ผูกขาด..ให้แก่มวลญาติ?..ชาติไทยเจริญยาก ด้วยประการฉะนี้ แหละที่รัก
-----------------------------------------------------
“ปลาไหล” ต้มเปรต!!!
ถูกยัดลงหม้อเมื่อไหร่....เมื่อนั้น “เติ้งหาร” บรรหาร ศิลปอาชา ถึงจะรู้สาเหตุ??
เอาตัวเข้าไถ เอาไหล่เข้าถู..เพื่อให้ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” กลับมาเป็น นายกฯอีกสมัย
คะแนนนิยม ที่จังหวัดสุพรรณบุรี จึงตกต่ำอย่ามากใคร
เป็นไปได้ ที่ “บรรหาร” จะได้รับบทเรียน จากพี่น้องชาวสุพรรณ ที่มาด้วยกัน ไปด้วยกัน จะแอนตี้ “พรรคชาติไทยพัฒนา”!!!!
นึกว่าเป็น “มังกรบิน”..ที่แท้ก็ไส้เดือนอยู่ในดิน?..หมดสิ้นอนาคต อย่างไร้ราคา??
 -----------------------------------------------------
“เกมสกปรกของใคร”?!?
เสียงโจมตี เรื่องส่วนตัวของ “น้องปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัคร สส.ปาร์ตี้ลิสต์ เบอร์ ๑ พรรคเพื่อไทย ทั้งบนดินและใต้ดินยังไม่หยุด
ทั้งๆที่ในยามนี้ บ้านเมืองวุ่นวายก็เพราะการไม่เคารพกติกานี่แหละ
ไม่รู้ว่าจะกลัวอะไรกันขนาดไหน กับผู้หญิงที่มีความสามารถจริงที่อาสาลงมาทำงานการเมือง
แค่เป็น “ปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ ๑” ก็มีเจอบททดสอบหนัก..หากได้เป็น “นายกฯ” จะมีแรงเสียดทานขนาดไหน ก็ได้แต่ขอให้อดทน!!!
แต่อยากถามหน่อย...วิธีถ่อย..ถ่อย...ที่ปล่อยออกมา คุณยังเป็นลูกผู้ชายอีกหรือเปล่า??

ที่มา.คอลัมน์ บางกอกทูเดย์
-----------------------------------------------------------------------

พรรคของประชาชน

กำลังจะมีการเลือกตั้ง..มาดูกันว่า..ประเทศของประชาชนที่น่าสงสารประเทศนี้..อยู่กันมาอย่างไร..กับคำว่า ประชาธิปไตยของประเทศ

เทียบกลับไป..จีงเปลี่ยนแปลงการปกครอง..ประเทศ..เมื่อปี 2492..หลังประเทศไทย 17 ปี..แต่จากวันนั้นจนวันนี้..จีนเพิ่งมี นายกรัฐมนตรี แค่ 6 คน..

เปลี่ยนการปกครองมาตั้งแต่ปี 2475..ประเทศที่น่าสงสารประเทศนี้..มีนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 27 คน..และใน 27 คนนั้น..เราเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีมาแล้ว 59 คณะรัฐมนตรี..หรือโดยเฉลี่ย 1 นายกรัฐมนตรี เท่ากับ 2 คณะรัฐมนตรี

ว่ากันตั้งแต่นายกรัฐมนตรีคนแรก พระยามโนปกรณ์ นิติธาดา..เป็นแค่ 2 ปี ก็เปลี่ยนคณะรัฐมนตรีไป 5 คณะ..แถมยังเป็นประถมประเพณีนิยมคือการอยู่ในประเทศไม่ได้ต้องไปลี้ภัยไปตายในต่างแดน..

จะไปว่าทหาร..เรื่องปฏิวัติรัฐประหาร..แต่ก่อนก็ว่ากันได้..ว่าอยากจะเข้ามาใหญ่อยากจะเข้ามาโตเป็นเจ้าของประเทศไทย

แต่ถ้าคนการเมืองนักเลือกตั้งทั้งหลาย..มีสำนึกในความเป็นประชาธิปไตย ตั้งใจจะรักษาระบบ ไว้..ก็แน่ใจได้ว่า ประชาธิปไตยจะสร้างประเทศไทยให้มั่นคงแข็งแกร่ง..

แต่เพราะ..เขาเหล่านั้น..เป็นนักการเมืองแต่เพียงชื่อ..เล่นการเมืองก็เพื่อหวังความมั่งคั่ง..ขาดจิตวิญญานทางการเมือง..ประชาธิปไตยมันถึงไปไม่รอด..

ประเทศนี้เคยหวังฝากความเป็นประชาธิปไตยไว้กับพรรคประชาธิปัตย์..แต่วันที่เขายินดีกับการปฏิวัติ..เรียกร้องให้ตั้งรัฐบาลจาก..อำนาจพิเศษ..แล้วไปเสพสมกับกากเดนแห่งรัฐสภา..สถาปนารัฐบาลขึ้นมาจากการข่มขู่แบล็กเมล์..ทำให้..ประชาชนสิ้นหวัง

นั่นคือการถือกำเนิดเกิดขึ้นของขบวนการประชาชนแห่งประชาธิปไตยที่น่าทึ่งใจที่สุดของประเทศไทยในปัจจุบัน..เป็นการรวมตัวกันของจิตใจที่ไม่วาดหวังถึงความยิ่งใหญ่..เพียงเพื่อจะทำให้เกิด..อำนาจที่ถูกต้องชอบธรรม

ประชาธิปัตย์อยู่ตรงกันข้ามกับขบวนการแห่งประชาชน..เขาเหล่านั้นนายและนางเหล่านี้..สร้างพรรคของเขาเองขึ้นมาพรรคที่ไม่มีใบทะเบียนจัดตั้ง..พรรคของประชาชนคนเสื้อแดง..


โดย.พญาไม้ทูเดย์.บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

หุ่นเชิดอำมาตย์ VS โคลนนิ่งทักษิณ

“ผมบอกเลยว่าไม่ใช่นอมินี แต่เรียกได้เลยว่าเป็นโคลนนิ่งของทักษิณ ผมโคลนนิ่งการบริหารให้ตั้งแต่เรียนจบใหม่ๆ สไตล์การทำงานเหมือนผม รับการบริหารจากผมได้ดีที่สุด อีกข้อสำคัญหนึ่งก็คือ การที่คุณยิ่งลักษณ์ซึ่งเป็นน้องสาวผมมานั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรค สถานะนั้นสามารถตัดสินใจแทนผมได้เลย เยสออร์โนนี่พูดแทนผมได้เลย”

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กับ “โพสต์ทูเดย์” ที่ประเทศบรูไนถึง เหตุผลที่เลือก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวแท้ๆ เป็นผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 ของพรรคเพื่อไทย เพื่อชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และยังสอดคล้องกับสโลแกน พรรคเพื่อไทยในการหาเสียงครั้งนี้ว่า “คิดใหม่ ทำใหม่อีกครั้ง” และ “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ”
“สุเทพ” เย้ยเหมือนหนังตะลุง

ทันทีที่พรรคเพื่อไทยเปิดตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์อย่างเป็นทางการ พรรคประชาธิปัตย์ก็ใช้เรื่องส่วนตัวโจมตีทันที โดยเฉพาะนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ถากถางและเย้ยหยันว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นเหมือนหนังตะลุงที่จะทำอะไรก็ต้องรอคำสั่งทางโทรศัพท์จาก พ.ต.ท.ทักษิณ

“คุณยิ่งลักษณ์ ประชาชนคงหลับตาแล้วนึกไม่ค่อยออกว่าถ้าเป็นนายกฯแล้วจะแก้ปัญหาประเทศอย่างไร หรือต้องทำงานไปคอยฟังเสียงโทรศัพท์ทางไกลตลอดเวลาว่าจะวิพากษ์ว่าอย่าง ไร มันเหมือนหนังตะลุง ทำงานยาก ทำให้เสียเปรียบมาก มีส่วนที่ได้เปรียบอย่างเดียวคือ พรรคนั้นเงินเยอะ มีวิชาเทพ วิชามาร ชำนาญศึก ขนาดถูกยุบพรรคมาแล้ว 2 หนที่เขาจับได้ ยังมีที่จับไม่ได้อีกนะ ที่จับไม่ได้ก็มีเยอะ ถือเป็นความช่ำชองที่ได้เปรียบ ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญของประเทศ ประชาชนที่เลือกตั้งต้องชั่งใจอย่างหนัก”
จี้ถามนิรโทษกรรม

โดยเฉพาะกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณประกาศจะกลับประเทศไทยปลายปีนี้ทั้งที่ยังมีคดีติดตัวนั้น นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ถือโอกาสถาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ถึงขั้นตอนการเข้าสู่การล้างความผิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณว่าจะมีขั้นตอนอย่างไรโดยไม่ต้องรับผิด และมีแนวทางในการป้องกันไม่ให้สังคมเกิดความวุ่นวายอย่างไร เพราะ น.ส.ยิ่งลักษณ์แถลงในการเปิดตัวว่าจะอาศัยหลักนิติธรรมให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า ซึ่งขัดแย้งกับที่นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พูดว่าจะออกกฎหมายนิรโทษกรรม เพราะการจะออกกฎหมาย ล้างความผิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณจะทำให้ประชาชนไม่เห็นด้วย และบ้านเมืองจะเกิดความวุ่นวาย

เช่นเดียวกับนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า สิ่งที่เป็นห่วงมากที่สุดคือกระบวนการที่จะล้างความผิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะพรรคเพื่อไทยพยายามทำมาถึง 2 ปีแล้ว โดยให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ปราศรัยหรืออธิบายกระบวนการล้างความผิดที่จะไม่ให้เกิดความวุ่นวายได้อย่างไร

ด้านนายบุญยอด สุขถิ่นไทย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โจมตี น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่ประกาศว่าจะมุ่งแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ไม่ใช่คิดแก้แค้นว่า เป็นเพียงการสร้างภาพเหมือนเป็นผู้ถูกกระทำ น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ควรใช้คำพูดนี้ แต่ควรไปถามผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์เผาเมือง เช่น ญาติของทหารที่เสียชีวิต และผู้ค้าย่านราชประสงค์ว่าจะไม่แก้แค้นหรือไม่ การออกมาพูดอย่าง นี้ถือว่าดูถูกคนไทยเกินไป คนไทยไม่ใช่คนลืมง่าย
ไม่คิดแก้แค้น แต่คิดแก้ไข

การนำเรื่องนิรโทษกรรมให้กับ พ.ต.ท. ทักษิณมาใช้โจมตีนั้น ความจริง น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้แถลงข่าวตั้งแต่วันที่ปรากฏตัวครั้งแรกแล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณต้องได้รับการปฏิบัติเหมือนประชาชนทั่วไป โดยยึดหลักนิติธรรม อีกทั้งพรรคเพื่อไทยคงไม่ให้ตนทำเพื่อคนคนเดียวเช่นกัน แต่ต้องคำนึงถึงทุกคนและประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง ทั้งยืนยันว่าการเข้าสู่การ เมืองครั้งนี้เพราะต้องการรับใช้ประชาชน แก้ความทุกข์ยากของประชาชน สร้างความปรองดองและมองข้ามความขัดแย้ง

“ไม่คิดแก้แค้น แต่คิดแก้ไข ดิฉันพร้อมที่จะรับการพิสูจน์ต่อสาธารณชนภายใต้กติกาและมารยาทที่เป็นธรรม”
เป็นคำแถลงของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่น่าจะตอบคำถามและสอนมวยให้กับพรรคประชาธิปัตย์ที่มุ่ง แต่โจมตีเรื่องส่วนตัว และพยายามตอกย้ำให้กลุ่มเกลียด พ.ต.ท.ทักษิณออกมาเป็นแนวร่วม ซึ่งนายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ประชาชนก็เซ็ง เพราะในอดีตนายบรรหาร ศิลปอาชา ก็เคยโดนมาแล
ประชาธิปัตย์ไม่ใช่สุภาพบุรุษ

ขณะที่นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล กรรมการที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ย้อนถามพรรคประชาธิปัตย์ที่พยายามดิสเครดิตโดยขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวว่า คนที่ขุดคุ้ยก็ตายตั้งแต่ยังไม่เกิด เพราะสังคมไทยรู้ดี เมื่อออกมาก็ถูกเบรกกันเป็นแถว คิดว่ามันไม่ใช่สุภาพบุรุษด้วย อยากเห็นทุกฝ่ายเคารพในความเป็นคน และเคารพที่มาที่ไปของแต่ละคน ควรปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ ให้ประชาชนตัดสินใจ ถ้า น.ส.ยิ่งลักษณ์ชนะเลือกตั้งแล้วจะทำอะไรตามอำเภอใจคงทำได้ยาก เพราะวันนี้การเมืองเปลี่ยนไปแล้ว การเมืองภาคประชาชนแข็งแรง ในอดีตที่ผ่านมาเห็นแล้วว่ารัฐบาลทำอะไรไม่ถูกต้องและประชาชนไม่เอาด้วย รัฐบาลก็ไม่สามารถไปต่อได้

นายสมศักดิ์ย้ำว่า ไม่มีใครทำลายสถาบันการเมืองได้ดีเท่ากับคนในสถาบันการเมืองทำกันเอง อย่าดูถูกประชาชน อย่าคิดว่าประชาชนไม่รู้ เขาแยกแยะได้ ถ้าฝ่ายการเมืองมาสาวไส้ตอแยกันเองจะเป็นอันตรายต่อระบอบ “อย่าไปกลัวเงาของ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่าไปกลัวกับเหตุการณ์ที่ไม่เกิดขึ้น ขอให้เชื่อในพลังของประชาชนที่จะชี้นำประเทศได้ดีกว่าพรรคการเมือง”
จุดอ่อน “ยิ่งลักษณ์”?

ด้าน พ.ต.ท.ทักษิณยอมรับว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังมีจุดอ่อนหรือข้อด้อย คืออาจขาดการปรับตัวให้เข้ากับการเมือง โดยเฉพาะการเมืองไทยที่มีลักษณะเฉพาะ คือเป็นการเมืองที่ทำลายผู้นำ มีผู้นำคนแล้วคนเล่าถูกทำลายให้ล้มลง แต่เชื่อว่าหากความปรองดองเกิดขึ้นปัญหานี้จะเบาบางลง เพราะทุกฝ่ายอยากเห็นความปรองดองจริง มีการแก้รัฐธรรมนูญแล้วความปรองดองน่า จะเกิดขึ้นได้ และการเมืองจะปรกติ ยิ่งเป็นผู้หญิง และไม่มีพื้นฐานด้านการเมือง ไม่เคยมีความแค้น ส่วนตัวกับใคร ไม่มีความชอบส่วนตัวกับการเมือง ฝ่ายไหน ยิ่งช่วยให้สะดวกที่จะเข้าไปพูดคุยหารือ กับทุกฝ่ายเพื่อให้เกิดความปรองดอง ซึ่งความเป็นผู้หญิงจะเป็นจุดแข็ง และตอนนี้ได้เดินสายพูดคุย คือเริ่มทำงานปรองดองแล้วด้วยซ้ำไป
“เมื่อไม่มีใจเขาก็เป็นกลางที่จะเข้าไปพูดคุยกับทุกฝ่ายให้เกิดความปรองดอง สถานะความเป็นผู้หญิงจะไปขอความปรองดองจากทุกฝ่าย ไปพูดจา ไปพบปะคนได้โดยไม่มีการแบกอคติทางการเมืองไว้”
“อภิสิทธิ์” ท้าดีเบต “ยิ่งลักษณ์”

อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งครั้งนี้หนีไม่พ้นการต่อสู้ระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทย โดยนายอภิสิทธิ์กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์หนีไม่พ้นที่จะต้องถูกนำมาเปรียบเทียบและถูกโจมตีทั้งเรื่องส่วนตัวและความรู้ความสามารถ ซึ่งไม่อาจปฏิเสธว่านายอภิสิทธิ์มีประสบการณ์ทางการเมืองมากกว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยเฉพาะการเป็นนักพูดที่ยากจะหาผู้ต่อกรได้ จึงไม่แปลกที่ทั้งนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ต่างออกมาเรียกร้องให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ “ดีเบต” หรือแสดงวิสัยทัศน์กับนายอภิสิทธิ์

แต่พรรคเพื่อไทยออกมาคัดค้านและประณามพรรคประชาธิปัตย์ว่ายังมีพฤติกรรมแบบการเมืองรุ่นเก่าเต่าล้านปี ต้องการใช้สำนวนโวหารเป็นอาวุธประหัตประหารผู้อื่นในทางการเมือง แทนที่จะเอาผลงานมาแข่ง ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์สามารถเอาผลงานกว่า 2 ปีที่ผ่านมามาหาเสียงหากคิดว่าประชาชนยอมรับ ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย เห็นว่าสิ่งที่นายอภิสิทธิ์พูดนั้นเหมือนมวยออกอาการ พอจะแพ้ก็วิ่งเข้าใส่เพื่อแลกหมัด หวังจะแลกเพื่อน็อก น.ส.ยิ่งลักษณ์

นอมินีอำมาตย์ “ดีแต่พูด”

ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มแนว ร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการท้าดีเบตว่า เพราะพรรคประชาธิปัตย์มั่นใจว่านายอภิสิทธิ์ได้เปรียบอย่างมากหากเทียบกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ แต่กลับไม่สงสารคนไทยที่กว่า 2 ปี นายอภิสิทธิ์ดีแต่พูด เมื่อพ้นจากตำแหน่งแล้วยังจะหาเวทีพูดอีก ซึ่งคนไทยเห็นตัวตนของนายอภิสิทธิ์หมดแล้ว

ส่วนที่นายสุเทพบอกว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นหุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณนั้นเพราะไม่ยอมรับความจริงว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์มีความรู้ความสามารถ และประสบความสำเร็จในการบริหารองค์กรระดับ หมื่นล้าน ซึ่งมีสติปัญญาเป็นของตัวเอง หรือถ้ามองในมิติบริหารถือเป็นอาจารย์นายอภิสิทธิ์ ยิ่งบวกกับความรู้ความสามารถและประสบการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณมาผสมยิ่งมีความลงตัวที่จะนำประเทศออกจากวิกฤตเศรษฐกิจและสังคม

“ดีกว่านายอภิสิทธิ์ที่เป็นหุ่นเชิดของอำนาจนอกระบบ แต่ไม่มีต้นทุนความสามารถเลย เมื่อเข้าสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีก็มีสภาพและข่าวทุจริตอย่างที่เห็น ผมจึงขอให้สโลแกนใหม่ว่าเลือก น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้นโยบาย พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ถ้ารักนายสุเทพ นายเนวิน ให้เลือกนายอภิสิทธิ์ ผมเชื่อว่าประชาชนจะพิจารณาได้”

นายณัฐวุฒิยังท้าพรรคประชาธิปัตย์ว่า ถ้าเห็นว่านายอภิสิทธิ์เก่งกาจสามารถ เป็นที่รักของประชาชนเหลือเกิน มั่นใจและแน่จริงก็อย่าโกงผู้หญิงแล้วกัน อย่าใช้อำนาจนอกระบบโกงคะแนนเลือกตั้งและแทรกแซงการจัดตั้งรัฐบาล ทำลายเจตนารมณ์ของประชาชน

“ไฮแจ๊ค” จนชาติป่นปี้

การไล่ถล่ม น.ส.ยิ่งลักษณ์ว่าเป็น “นอมินี” ของ พ.ต.ท.ทักษิณจึงน่าจะเป็นหอกที่กลับมาทิ่มแทงนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์มากกว่า เพราะไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหารจนได้ฉายา “รัฐบาลเทพประทาน” สะท้อนให้เห็นชัดเจนถึงการเป็น “นอมินี” หรือ “หุ่นเชิด” ให้กลุ่มอำนาจนอกระบบหรือกลุ่มอำมาตย์

ด้านนายเสนาะ เทียนทอง ที่เข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า มั่นใจว่าคนไทยไม่ได้โง่ ตอนนี้พรรคเพื่อไทยกำลังจะทำงานใหญ่และจะได้เป็นรัฐบาล แต่สงสาร น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่ต้องเข้าไปแก้ไขปัญหาในจุดนี้ เพราะรัฐบาลนี้ทำอะไรไม่เป็น นอกจากกู้อย่างเดียว

“ผมเป็นผู้จัดการรัฐบาลมาหลายสมัย แต่ไม่เคยเห็น ครม. ไหนอนุมัติโครงการวันเดียวเป็นแสนล้านบาท ผมยังมีฤทธิ์อยู่ และเชื่อว่าจะพาลูกหลานไปสู่จุดหมายที่ตั้งเอาไว้ได้ เพราะขณะนี้ได้ประสานกับหลายฝ่ายเอาไว้พอสมควร ที่มีคนบอกว่าพรรคเพื่อไทยมีอุปสรรค ไม่ว่าจะได้เสียงเท่าไรก็ไม่ได้เป็นรัฐบาลนั้น ต่อไปนี้ไม่ใช่แล้ว เพราะตั้งแต่มีการไฮแจ๊คปล้นกันกลางแดดจนทำให้ประเทศชาติเสียหายป่นปี้ ทำให้มั่นใจได้ว่าพรรคเพื่อไทยจะเข้ามาบริหารประเทศอีกสมัย และคิดว่าอาจจะเป็นพรรคเดียวก็ได้”

หุ่นเชิดอำมาตย์ VS โคลนนิ่งทักษิณ

อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่เฉพาะคนไทยที่ถือเป็นประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญว่าจะทำให้การเมืองไทยเดินหน้าสู่ระบอบประชาธิปไตยต่อไปได้หรือไม่เท่านั้น แต่ประชาคมโลกก็ติดตามและเฝ้ามองว่าในที่สุดประเทศไทยจะสามารถหลุดพ้นจาก “วงจรอุบาทว์” การปฏิวัติรัฐประหารได้หรือไม่

เพราะความขัดแย้งไม่ได้อยู่แค่การแย่งชิงอำนาจในระบบของพรรคการเมืองว่าใครจะได้เป็น รัฐบาล แต่ยังเป็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยที่วันนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ “โคลนนิ่งทักษิณ” เป็นตัวแทน ส่วนกลุ่มอำนาจเดิมหรือกลุ่มอำมาตย์ มีนายอภิสิทธิ์เป็น “นอมินี” หรือ “หุ่นเชิด”

อย่างที่นายแอนดรูว์ วอล์คเกอร์ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย ให้ความเห็นว่า การเลือก น.ส.ยิ่งลักษณ์ถือว่าเป็นย่างก้าวที่กล้าหาญและเป็นทางเลือกที่ดีมากๆ แม้เสี่ยงอย่างยิ่งที่จะถูกมองว่าเป็นการส่งมอบอำนาจของตระกูลชินวัตร แต่สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์และพวกพ้องกลัวที่สุดคือการลงแข่งขันกับ พ.ต.ท.ทักษิณในสนามเลือกตั้ง
ดังนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่ พ.ต.ท.ทักษิณยืน ยันว่าเป็น “โคลนนิ่ง” ไม่ใช่ “หุ่นเชิด” จึงเป็นคนที่มีความสามารถและตัดสินใจได้เองทุกอย่าง ไม่เหมือนนายอภิสิทธิ์ที่ถูกมองว่าเป็น “นอมินี” หรือ “หุ่นเชิด” ของกลุ่มอำมาตย์ที่ “ดีแต่พูด” ไม่มีผลงานชัดเจนเป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากนี้ยังไม่กล้าแตะต้องแม้แต่รัฐมนตรีร่วมรัฐบาลที่ถูกกล่าวหาสารพัดว่าทุจริตคอร์รัปชัน
การเลือกตั้งครั้งนี้จึงถือเป็นการตัดสินใจของคนไทยทั้งประเทศว่าจะกล้าเปลี่ยนแปลงประเทศโดยเลือกพรรคใดพรรคหนึ่งให้ได้เสียงแบบถล่มทลายไปเลยหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทยหรือพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว ไม่ว่าจะเป็น “หุ่นเชิดอำมาตย์” หรือ “โคลนนิ่งทักษิณ” ความขัดแย้งในบ้านเมืองก็จะยุติไปเอง
เพราะในสังคมประชาธิปไตยที่เป็นของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชนอย่างแท้จริงนั้น ประชาชนย่อมมีสิทธิเลือกผู้ปกครองของตัวเอง
ไม่จำเป็นต้องพึ่งเสียงสวรรค์จากที่ไหน!

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข

ปากคำ วีระ-ราตรี สู้คดีศาลพนมเปญ..


โดย : ประชุม ประทีป



ถอดเสียง ศาลพนมเปญ อัยการกัมพูชา ซักถาม ”วีระ-ราตรี” บางส่วนที่มีนัยสำคัญ แสดงสิทธิความเจ้าของดินแดนประเทศไทย โดยเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ


ห้องพิจารณาคดีศาลชั้นต้น กรุงพนมเปญ คดีอาญา 3025
ศาลเปิดการพิพากษาคดี
ผู้ต้องหาที่ 1.วีระ สมความคิด อายุ 53 คนไทย 2.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ อายุ 50 คนไทย
ถูกกล่าวหา 1.เข้าแดนกัมพูชาโดยไม่ได้รับอนุญาต 2.เข้าพื้นที่ค่ายทหารโดยไม่ได้รับอนุญาต 3.แอบซ่อนข้อมูลทำให้อันตรายต่อการป้องกันชาติ จุดกระทำ 519-66 จุด 22271 หมู่บ้านโจกเจ็ย จ.เตียเมียนเจย 29 ธันวาคม 2010 เวลา 13.10 น.


นายซวส สำอาด รองหัวหน้าศาลชั้นต้น กรุงพนมเปญ ในฐานะประธาน
นาย เอือง เซียง และ นานเจ็ย สุวรรณ เป็นตุลาการชั้นต้น
นายซก เฮียน เป็นผู้แทนอัยการ
ทนาย รุ โอน เป็นทนายของราตรี ทนายปิ๊ก เป็นทนายของวีระ


พยาน 4 คน 1.นายพลโท ชัย ซินนาฤทธิ์ นายทหารด้านความมั่นคง 2.นายพล พอน พิสิฐ ผู้บัญชาการกองตรวจคนเข้าเมือง 3.นายพันเซง ทาบี หัวหน้าสำนักงานทหารชายแดน 4.นายซิน สุเพียนี เจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคของคณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC)


ศาล ถามราตรี : มีความคิดเห็นต่อศาลไหม
ราตรี : ขอเปลี่ยนล่ามเป็น นางวรรณรี เทพพนม ชาวกัมพูชา เนื่องจากล่ามคนเก่าสื่อสารไม่ชัดเจน ขอส่งหลักฐาน แผนที่ ขอนำส่งพยานบุคคล 2 ท่าน
ศาลถามวีระ : มีความคิดเห็นต่อศาลไหม
วีระ : เพื่อความยุติธรรม ยังไม่ยอมรับตราบใดที่เราไม่สามารถนำพยานเข้า
ศาล : จะพิจารณา และขอให้ฟังการพิจารณา ศาลไม่ต้องประกาศสิทธิอีกครั้ง ผู้เป็นล่ามก็ไม่ต้องเปลี่ยน เพราะได้ตั้งล่ามในกระบวนการ 3 คนไว้แล้ว ขอเบิกอัยการพยานรออยู่ข้างนอก และให้นำนางราตรีออกไปข้างนอก


ศาลถาม ผู้แทนอัยการคิดเห็นอย่างไร ที่ผู้ต้องหาขอเพิ่มพยานหลักฐาน
อัยการ : ศาลได้ดำเนินการเพียงพอ การขอร้องของผู้ต้องหา
ศาล : เรื่องล่าม ผู้พิพากษาบอกแล้วมีล่าม 3 คน ก็ให้ตั้งใจฟังผู้เป็นล่าม เรื่องขอนำพยาน เราได้ไต่สวน เป้าหมายร่วมของศาล ประธานมีสิทธิ์ตัดสิน และจะต้องมีมติรวมประธาน 100 เปอร์เซ็นต์
ศาล: เมื่อคุณเข้ามา คุณผ่านเจ้าหน้าที่ 2 ประเทศหรือไม่
วีระ: ไม่ผ่านเพราะผมอยู่ในแผ่นดินไทย ไม่ใช่แผ่นดินกัมพูชา
ศาล: มีวัตถุประสงค์อะไรที่นำคณะ
วีระ: ผมจะไปดูหลักเขตแดนไทย-กัมพูชา หลักที่ 46 ผมเข้าไปยังอยู่ในแผ่นดินไทย ไม่ใช่แผ่นดินกัมพูชา
ศาล: คุณเชี่ยวชาญ
วีระ: ผมเคยเห็นแผนที่ ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ และเห็นเอกสารสิทธิ์ของชาวบ้าน
ศาล : ที่ผ่านมาคุณเคยหลบหนีเข้ามาแล้วถูกจับตัวไหม
วีระ: ผมไม่เคยหลบหนีเข้ามา อยู่บนแผ่นดินไทยซึ่งมี น.ส.3 แล้วเจ้าหน้าที่กัมพูชามาจับผม
ศาล: คุณเคยทำข้อตกลง
วีระ: เคย และข้อตกลงนั้นก็ชัดเจนว่า ผมเข้าในดินแดนไทย
ศาล: ข้อตกลงนั้นมีเจ้าหน้าที่ร่วมไหม
วีระ: มีเจ้าหน้าที่ไทยอยู่
ศาล: ทำมากี่ครั้ง
วีระ: ครั้งเดียว
ศาล: เมื่อไร
วีระ: 20 สิงหาคม 2553
ศาล : เมื่อคุณเข้ามาประเทศกัมพูชา คุณทำอะไรบ้างเป็นส่วนตัว
วีระ: ผมไม่ได้เข้ากัมพูชานะ
ศาล: คุณว่าคุณไม่ได้เข้ากัมพูชา แต่ทำไมใน VDO คุณบอกอีกนิดเดียวจะถูกจับ
วีระ: เพราะผมเคยถูกจับในแดนไทย
ศาล: คุณหมายความว่า เจ้าหน้าที่กัมพูชาจับตัวในแดนไทยใช่ไหม
วีระ: ใช่ เพราะตอนนี้แดนไทยถูกกัมพูชามายึด
ศาล: คุณเคยเข้าป่าถ่าย VDO ตัดต้นไม้พยุง และถ่ายคลังอาวุธของเขมรในเดือนสิงหา 2010
วีระ: ผมเข้าไปถ่ายป่าเฉลิมพะเกียรติของประเทศไทย ไม่ใช่คลังอาวุธ
ศาล: ผมถามตามที่คุณวีระเขียนไว้ในสมุด
วีร: ในสมุดเป็นบันทึก ผมไปดูตัดไม้พยุง
ศาล; คุณเคยถอนหลักเขตตาเมือนโต๊ดหรือไม่
วีระ: เป็นหลักเขตในดินแดนไทย
ศาล: สมุดบันทึกที่เขียนเป็นของคุณ ผมได้ตรวจตัวหนังสือ
วีร: ผมขอให้เอาหน้านั้นมาดู มิฉะนั้นจะกล่าวหาผมฝ่ายเดียว
อัยการ : ผมถามตามที่คุณเขียนในสมุด คุณเข้าไปในป่าและเข้าไปดู
วีระ : ผมยืนยันแล้วว่าเป็นดินแดนไทย เป็นป่าไม้เฉลิมพระเกียรติ ใน VDO จะเห็น
อัยการ : คุณถอนหลักเขต
วีระ: ผมถอนหลักเขต แต่ก็ไม่มีใครอ้างเป็นเจ้าของ ปราสาทตาเมือนโต๊ด ก็เป็นของไทย
อัยการ: คุณเคยปลอมตัวเป็นคนเก็บเห็ด ที่ปราสาทตาควายไหม
วีระ: ปราสาทตาควาย ไปกับชาวบ้านที่เก็บเห็ด


ภาคบ่าย :
เชิญพยานฝ่ายโจทย์ นายพัน เซง ทาบี หัวหน้าสำนักงานทหารชายแดน
ศาล : สถานที่จับและคุมตัวไป มีระยะทางกี่เมตร
ทหาร : นับจากเส้นชายแดนถึงจุดจับ 800 เมตร
ศาล : ในที่ใด จะพูดว่าเป็นพื้นที่ทหาร
ทหาร: จุดถูกจับไปถึงค่ายทหาร ระยะทาง 4 กิโลเมตร เสาซีเมนต์เป็นจุดมิให้ประชาชนทั้ง 2 เข้ามาได้
อัยการ : (ชูแผนวาด) ทุ่งนานี้เป็นของชาวนาไทยหรือชาวนากัมพูชา หรือกองทหารครับ
ทหาร : เสาซีเมนต์นี้ ไทยเอามาปักเพื่อมิให้ไทย-กัมพูชา เข้า แต่ก่อนมีลวดหนาม ต่อมาตัด
ศาล : ให้ชี้แนวรบของคุณอยู่ตรงไหน
ทหาร: ขออนุญาตไม่อธิบายบังเกอร์กองทัพ เพราะเป็นความลับ
อัยการ : ท่านยอมรับเจบีซี คณะกรรมการปักปันพื้นที่ของรัฐบาลทั้งสองหรือไม่
วีระ : ไม่ยอมรับเจบีซี เอ็มโอยู43 และผมส่งภาพถ่ายทางอากาศ
อัยการ : ทำไมไม่ยอมรับ
วีระ : เพราะเจบีซีเถื่อน
ศาล : หากไม่รับเจบีซี ศาลขอปิดการพิจารณาไต่สวนวีระเท่านี้
ศาล: การพิจารณาครั้งนี้มีหลักฐานพยานมาชี้แจงเรียบร้อยแล้ว ขอให้อัยการสรุป (จากนั้นให้จำเลยกล่าว)
วีระ : ศาลที่เคารพ อัยการไม่ทราบความจริง พยามใช้จินตนาการปรักปรำผม อัยการไม่ทราบว่าผมเป็นองค์กรภาคประชาชน ทำหน้าที่ตรวจสอบทุจริตคอร์รัปชั่นของประเทศไทย ผมไม่มีเจตนาจะไปทำอันตรายให้ประเทศเพื่อนบ้าน การเข้ามา 2 ครั้งในแผ่นดินไทย ขอย้ำมันมีเอกสารสิทธิ์ของคนไทย และมีแผนที่ ไม่ใช่วาดเอง และหลักเขต 46, 47 ยังปรากฏอยู่ ถ้ากัมพูชาไม่ยอมรับก็เท่ากับปฏิเสธหลักเขต 46, 47


ข้อกล่าวหาทั้ง 3 ข้อ ประเด็นสำคัญที่สุด ต้องพิสูจน์ให้ชัดเจนเสียก่อนว่า แผ่นดินนั้นเป็นแผ่นดินไทย หรือกัมพูชา ถ้าศาลรับฟังเฉพาะเจ้าหน้าที่กัมพูชาฝ่ายเดียว ไม่ฟังเหตุผลของผม ก็ไม่เป็นธรรม


ประเด็นหัวใจคือความขัดแย้งเรื่องแผนที่ นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ได้ยืนยันกับคนไทยเมื่อ 8 สิงหาคม 2010 ว่าไทยใช้แผนที่สันปันน้ำเท่านั้น ผู้เชี่ยวชาญกัมพูชาจะอ้างแผนที่ 1: 200,000 ก็ไม่ตรงความจริง เพราะที่เอามาแสดงเป็นแผนที่วาดขึ้นเอง


แผนที่อีกชุดของผมเป็นภาพถ่ายดาวเทียม หากเป็นแผ่นดินกัมพูชา ผมจะยอมรับผิด แต่ถ้าเป็นแผ่นดินไทย โปรดเมตตาต่อผมด้วย...


ราตรี : ขอเมตตาจากศาล พิจารณาหลักฐานเอกสาร แผนที่ ที่ยื่นให้ศาล ให้ความเป็นธรรมต่อฉันและคุณวีระด้วย ขอบคุณ


ศาล : คำพิพากษาคดีอาญา ที่ 12 ร.2 พ. วันที่ 1 ก.พ.2011 หลังศาลฟังการไต่สวนผู้ต้องหา ประมวลกับข้อมูลหลักฐานต่าง ๆ จากตำรวจ และฟังอัยการ คำชี้แจงป้องกันคดีของทนาย ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่าการลักลอบเข้ามา การประมวลข้อมูล มีภัยต่อการป้องกันชาติ
...ศาลเห็นว่ามีหลักฐานลงโทษเพียงพอ ดังคำแถลงของผู้แทนอัยการ...แผนที่ที่อ้างว่าทำมาฝ่ายเดียว การอ้างของผู้ต้องหา การชี้แจงแผนที่นั้น ศาลไม่ยอมรับเลย เพราะพยานผู้ต้องหามิใช่ผู้เชี่ยวชาญ


การที่ผู้ต้องหาเป็นผู้แทนองค์กร มิใช่รัฐบาลนั้น ศาลก็ไม่ยอมรับพิจารณา ศาลมีหลักฐานลงโทษเพียงพอแล้ว และไม่มีเหตุผลใดๆ จะให้ศาลตรวจสอบพื้นที่ จึงลงโทษนายวีระ จำคุก 8 ปี ปรับ 1.8 ล้านเรียล นางสาวราตรี จำคุก 6 ปี ปรับ 1.2 ล้านเรียล
---------------------------------------------------------
*ข้อสังเกต
1.นับแต่วันถูกจับกุม 29 ธันวาคม 2553 จนถึงการตัดสินคดี 1 กุมภาพันธ์ 2554 รวม 35 วัน
2.ศาลชั้นต้นกัมพูชา ไม่ยอมรับพยานเอกสาร(แผนที่ภาพถ่ายดาวเทียม) และพยานบุคคล 2 คน แต่กลับยอมรับอัยการแสดงแผนผังวาดด้วยมือ
3.ทั้งสองคนไทยแสดงเจตนารมณ์จะต่อสู้คดีในศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา แต่ระหว่างนั้นเกิดความยุ่งยาก สับสน จนกระทั่งหมดระยะอุทธรณ์คดีภายใน 30 วัน อย่างไรก็ตาม เครือข่ายคนไทยฯ ระบุว่าได้ยื่นอุทธรณ์ทัน แต่ภายหลังทางการไทยโน้มน้าวให้ทั้งสองคนถอนการอุทธรณ์ และไม่ยอมรับการกระทำใดๆ ของเครือข่ายคนไทยฯ
4.รัฐบาล โดยกระทรวงการต่างประเทศ พยายามเดินเรื่องและโน้มน้าวให้ทั้งสองลงนามขอพระราชทานอภัยโทษ ทว่า เมื่อลงนามแล้ว นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ไม่นำขึ้นทูลเกล้าฯ ดังนั้น คนไทยทั้งสองต้องถูกจองจำเป็นเวลา 2 ใน 3 ของโทษ
5.มีข้อเสนอจาก นายอนุรักษ์ สง่าอารีย์กูล เลขานุการแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา ให้ใช้ช่องทางตามสนธิสัญญาโอนตัวนักโทษที่ไทยกับกัมพูชาลงนามไว้ แต่รัฐบาลก็ไม่เลือกจะทำ


สิ่งที่รัฐไทยและประชาชนไทยควรคำนึง คือ ใครและอะไรเป็นต้นสาเหตุ อะไรเป็นผลสะท้อนตามมา และรัฐบาลกัมพูชากระทำขัดต่อกฎบัตรระหว่างประเทศ กฎหมายอาญาระหว่างประเทศ รวมทั้งกฎหมายกัมพูชาเองหรือไม่ (โปรดดูภาพข้อความภาษาเขมร รัฐธรรมนูญ มาตรา 38)


ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ถ้าผมเป็น 'ยิ่งลักษณ์' จะรับท้าดีเบตกับ 'อภิสิทธิ์'

โดย.นักปรัชญาชายขอบ


ถ้ายอมรับการทำรัฐประหารและนิรโทษกรรมแก่ตนเองได้ ทำไมจึงยอมรับการที่รัฐบาลที่ประชาชนเลือกมาจะนิรโทษกรรมแก่นักการเมืองที่ถูกทำรัฐประหาร และถูกตัดสินความผิดโดยกระบวนการที่สืบเนื่องไม่ได้

เรื่อง “การล้างความผิดให้ทักษิณ” ผมจะถามอภิสิทธิ์ว่า ทำไมประชาธิปัตย์รับได้กับการที่พวกทำรัฐประหารและฆ่าประชาชนแล้วออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่ตนเอง เพราะในประวัติศาสตร์รัฐประหารที่ผ่านมา ไม่เคยเห็นอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ออกมาค้านเรื่องนี้อย่างจริงจัง


ถ้ายอมรับการที่พวกทำรัฐประหารนิรโทษกรรมแก่ตนเองได้ ทำไมจึงยอมรับการที่รัฐบาลที่ประชาชนเลือกมาจะนิรโทษกรรมแก่นักการเมืองที่ถูกทำรัฐประหาร และถูกตัดสินความผิดโดยกระบวนการที่สืบเนื่องจากรัฐประหารไม่ได้


ประชาธิปัตย์บอกว่า ถ้านิรโทษกรรมทักษิณเท่ากับไม่เคารพหลักนิติธรรม ถามว่าหลักนิติธรรมจะมีได้ก็ต่อเมื่อมี “หลักนิติรัฐ” ใช่หรือไม่?


การทำรัฐประหารเป็นการยกเลิกกติกาประชาธิปไตย ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง หลักนิติรัฐภายใต้ระบอบประชาธิปไตยยังเหลืออยู่ตรงไหน?


ฝ่ายทำรัฐประหารเป็นผู้กล่าวหาว่าทักษิณทำผิด (5 ข้อ) แล้วทำรัฐประหาร เสร็จแล้วก็เป็นโจทย์เอง ตั้ง คสต.ขึ้นมาเองเพื่อสืบสวนสอบสวนเอาผิด ส่งฟ้องศาลได้เอง กระทั่ง “ตุลาการภิวัตน์” ตามคอนเซ็บต์อำมาตย์ก็ตัดสินเอง อย่างนี้หรือครับที่ประชาธิปัตย์เรียกว่า เป็น “กระบวนการที่มีหลักนิติรัฐและมีหลักนิติธรรม”


กรณีเซ็นชื่อให้เมียซื้อที่ดิน และทำกับข้าวออกทีวี กับกรณีสั่งสลายการชุมนุม “ผิดหลักสากล” อย่างชัดแจ้ง จนทำให้คนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก แค่คิดตาม “สามัญสำนึก” ของชาวบ้านธรรมดาๆ ไม่ต้องใช้ “มโนธรรม” ของความเป็นมนุษย์ ไม่ต้องอ้างหลักนิติธรรมนิติรัฐใดๆ ถามว่า อย่างไหนควรจะติดคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญามากกว่ากัน !


ถ้าอภิสิทธิ์ตอบว่า มันเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมที่เป็นไปตามหลักกฎหมาย จะใช้ “สามัญสำนึก” มาตัดสินไม่ได้ ก็ต้องถามว่า กระบวนการยุติธรรมซังกะบ๊วยอะไร หลักกฎหมายซังกะบ๊วยอะไร มันจึงขัดกับหลักความยุติธรรมตามสามัญสำนึกของมนุษย์มนาเช่นนั้น


หลักความยุติธรรมพื้นฐานภายใต้ระบอบประชาธิปไตยคือ หลักสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค ถามว่า การทำรัฐประหารคือการปล้นสิทธิและเสรีภาพไหม? กระบวนการเอาผิดภายใต้อำนาจรัฐประหารเป็นกระบวนการที่มีหลักประกันความเสมอภาคตามกฎหมายไหม?


แม้ทักษิณจะทำผิดจริง เขาควรจะได้รับสิทธิ์ต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมในระบอบประชาธิปไตยไม่ใช่หรือ? ฉะนั้น การนิรโทษกรรมจากการเอาผิดของกระบวนการรัฐประหาร จึงเท่ากับเป็นการคืนสิทธิอันชอบธรรมที่คุณทักษิณมีอย่างเท่าเทียมกับคนไทยทุกคนในการพิสูจน์ข้อกล่าวหาของตนเองภายใต้ “กระบวนการยุติธรรมที่เป็นกลาง”ตามระบอบประชาธิปไตย


ที่สำคัญนี่คือการปฏิเสธ “ความชอบธรรม” ของรัฐประหาร การที่อภิสิทธิ์และประชาธิปัตย์ปฏิเสธการนิรโทษกรรมแก่นักการเมืองที่ถูกทำรัฐประหาร จึงเท่ากับเป็นการยืนยันความชอบธรรมของรัฐประหาร


ยิ่งกว่านั้น พฤติกรรมที่ยอมรับความชอบธรรมของรัฐประหารของอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์คือ การฉกเอา “กลุ่มยี้ห้อย” มาจากพรรคเพื่อไทยไปตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร แล้วพวกเขาก็กลายเป็น “รัฐบาลนอมินี” ของ “ระบบอำมาตย์”


และผนึกอำนาจทางการเมืองของพวกตนเองให้เป็นเนื้อเดียวกันกับอำนาจของระบบอำมาตย์ แล้วรักษา “อำนาจเถื่อน” นั้นไว้ด้วยชีวิตประชาชนเกือบ 100 ศพ


ที่อภิสิทธิ์และประชาธิปัตย์กล่าวหาว่า คนเสื้อแดงใช้วิธีรุนแรง ละเมิดกฎหมาย เผาบ้านเผาเมือง ฯลฯ แต่การที่อภิสิทธิ์และประชาธิปัตย์ยอมรับรัฐประหารและระบบอำมาตย์ เท่ากับเป็นนักการเมืองและพรรคการเมืองที่ค้ำยัน “โครงสร้างความรุนแรง” ที่กดทับสังคมไทยมาตลอด


และในยุครัฐบาลประชาธิปัตย์ก็มีการใช้ “สองมาตรฐาน” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เท่ากับเป็นการ “เผาผลาญ” ระบบความยุติธรรมจนเหลือแต่เถ้าถ่าน !


มีใครบ้างในประเทศนี้ที่ยังเชื่อถือว่ากระบวรการยุติธรรมมี “มาตรฐานเดียว” โดยเฉพาะเกี่ยวกับการดำเนินการเอาผิดเกี่ยวกับคดีทางการเมืองระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทย และระหว่างคนเสื้อเหลืองกับคนเสื้อแดง !


ส่วนเรื่องที่ประชาธิปัตย์อ้างว่า “การดีเบต” เป็นหลักสากล แต่พอเพื่อไทยเรียกร้องว่า ให้พรรคที่ได้เสียงข้างมากมีสิทธิ์จัดตั้งรัฐบาลก่อน กลับบอกว่าไม่ได้บัญญัติไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ อ้าว! ดีเบตก็ไม่ได้บัญญัติในรัฐธรรมนูญ แต่พวกจะเอาให้ได้ถ้าคิดว่าตนเองเป็นฝ่ายได้เปรียบ ถ้าอะไรที่ตัวเองจะเสียเปรียบพวกไม่เอาซะอย่าง ใครจะทำไม เป็นแบบนี้มาตลอด จะเรียกนี่เป็น “อัตลักษณ์” ของประชาธิปัตย์ก็ได้นะ


ฉะนั้น คุณยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยต้องชี้ให้สังคมเห็นว่า พรรคการเมืองพรรคนี้มี “อัตลักษณ์” เอาเปรียบทางการเมืองอย่าง “ไม่เป็นสุภาพบุรุษ” มาตลอด


ถ้าจะพิสูจน์ว่าคุณอภิสิทธิ์และประชาธิปัตย์มีสปิริตของ “สุภาพบุรุษ” จริง กล้ารับข้อตกลงไหมว่า หากยิ่งลักษณ์รับคำท้าดีเบตกับอภิสิทธิ์ ประชาธิปัตย์ต้องกล้าให้ “สัญญาประชาคม” ว่า ให้พรรคการเมืองที่ได้เสียงข้างมากมีสิทธิ์จัดตั้งรัฐบาลก่อน


ถ้าอภิสิทธิ์และประชาธิปัตย์ไม่กล้ารับคำท้าพรรคเพื่อไทย ก็อย่ามาสะเออะท้าดีเบต เพราะพวกคุณไม่ใช่สุภาพบุรุษ และ “ไม่แฟร์” กับสุภาพสตรีที่เป็น “น้องใหม่” ทางการเมืองเอาเสียเลย !


/////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลั่งน้ำตาอ้อนคนเหนือขอโอกาสบริหารประเทศ



    "ยิ่งลักษณ์"ขึ้นปราศัยที่เชียงใหม่ หลั่งน้ำตาระบุรู้สึกอบอุ่นที่ได้กลับมาเยี่ยมบ้าน ลั่นหากได้บริหารประเทศ จะคืนความสุขให้ประชาชน
ที่เวทีปราศัยใหญ่พรรคเพื่อไทย ภายในโรงยิมเนเซียม 2 สนามกีฬา 700 ปี จ. เชียงใหม่ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับ 1 พรรคเพื่อไทย ขึ้นกล่าวปราศัยบนเวทีท่วมกลางประชาชนผู้สนับสนุนที่เดินทางมาจากหลายจังหวัดในภาคเหนือกว่า 1 หมื่นคน

โดยนางสาวยิ่งลักษณ์ ได้กล่าวทักทายเป็นภาษาคำเมืองช่วงแรกว่า ไม่เคยกลับบ้านครั้งไหนซึ้งใจเท่าครั้งนี้มาก่อนเลย น้องสาวกลับยังขนาดนี้ถ้าพี่ชายกลับจะขนาดไหน แต่ไม่ว่าอย่างไรทุกครั้งที่กลับมาเยี่ยมบ้านจะรู้สึกอุ่นใจทุกครั้ง
เมื่อพูดถึงประโยคนี้นางสาวยิ่งลักษณ์ถึงกับน้ำตาคลอออกมาจนเรียกเสียงเชียร์จากประชาชนดังกึกก้องห้องประชุม ก่อนที่ะขอกลับไปพูดภาษากลาง เพื่อให้ประชาชนที่รับชมการถ่ายทอดสดเข้าใจ

นางสาวยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า การกลับบ้านครั้งนี้เป็นอีก 1 บทบาทของตนเอง จากเด็กต่างจังหวัดที่กลับมาเยี่ยมบ้าน แต่ครั้งนี้กลับมาเยี่ยมบ้านเพื่อขออาสารับใช้พี่น้องประชาชน แม้ว่าตนเองจะเป็นผู้หญิงแต่ก็ผ่านงานบริหารธุรกิจมาก่อน ซึ่งหลายคนมองว่าตนเองไม่เคยผ่านงานด้านการเมือง แต่การเมืองอยู่ในสายเลือดมานานแล้ว

"แต่วันนี้ที่กลับมาไม่ได้ต้องการมาเล่นการเมือง แต่กลับมาเพื่อบริหารบ้านเมือง ก่อนหน้านี้ในปี 2544 ผู้หญิงคนหนึ่งเคยเดินขอคะแนนเสียงให้พี่ชาย และย้อนกลับไปสมัยเด็กก็เคยเดินขอคะแนนให้คุณพ่อ จึงรับรู้และเข้าใจปัญหาความทุกข์ร้อนของประชาชนเป็นอย่างดี ยิ่งหลังเหตุการณ์ปฎิบวัติเมื่อวันที่ 19 กันยายน การเมืองก็เข้ามาอยู่ในชีวิตมากขึ้นทำให้เข้าใจการเมืองมากขึ้น"

เธอกล่าวว่า วันนี้ไม่ได้ต้องการเล่นการเมืองแต่ขออาสารับใช้พี่น้องประชาชน สาเหตุที่ตัดสินใจเล่นการเมืองเพราะหลังเหตุการณ์ปฎิวัติรัฐประหาร 19 กันยายน ครอบครัวของตนเองก็ยังได้รับการยอมรับจากพี่น้องประชาชน และทุกคนยังคิดถึงนโยบายที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำไว้ให้ จึงอยากนำนโยบายเก่าๆ เหล่านั้น กลับมาอีกครั้งเพื่อคืนความสุขให้พี่น้องประชาชน

"แม้เป็นผู้หญิงแต่จะอดทนและเข้มแข็ง และเชื่อมั่นว่าจะได้รับโอกาสจากประชาชนโดยเฉพาะพี่น้องชาวเหนือ เพื่อให้ตนเองได้รับใช้ประเทศชาติ ที่ผ่านมาดิฉันเรียนรู้งานจากท่านทักษิณตั้งแต่ตำแหน่งระดับล่างจนถึงระดับสูงในแวดวงธุรกิจ จึงเข้าใจวิสัยทักศน์ของท่าน ท่านจะมองหาโอกาสเพื่อประชาชนอยู่เสมอ ทำให้ดิฉันมีความรักและผูกพันกับประชาชน"

นางสาวยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า วันนี้มีโอกาสไปไหวสักการะพระบรมธาตุดอยสุเทพ ครูบาศรวิชัย เพื่อขอพรให้มีโอกาสเข้ามารับใช้พี่น้องประชาชนและนำความสุขกลับคืนมาสู่ประชาชนอีกครั้ง ช่วงเวลา 4 - 5 ปีที่ผ่านมาตระหนักดีว่าประชาชนไม่มีความสุข ความสุขขาดหายไป เงินในกระเป๋าหายไป เพราะข้าวของแพงขึ้น พรรคเพื่อไทยจึงขออาสากลับมารับใช้ประชาชนเพื่อนำความสุขกลับคืนมาอีกครั้ง โดยจะนำนโยบายที่ดีๆในอดีตกลับมาใชอีกครั้ง พรรคเพื่อไทยจะประกาศสงครามกับความยากจนให้หมดไปภายใน 4 ปี ประกาศสงครามกับยาเสพติดภาใน 12 เดือน นำนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคกลับมาใช้อีกครั้ง เพิ่มกองทุนหมู่บ้านเป็น 2 ล้านบาท เพิ่มวงเงินสำรองแก้ไขปัญหาให้เอสเอ็มแอล ทั้งหมดเป็นนโยบายที่จะนำมาสานต่อเพื่อให้ประชาชนมีความสุขอีกครั้ง

นางสาวยิ่งลักษณ์ กล่าวต่อว่า พรรคเพื่อไทยจะคิดใหม่ทำใหม่ โดยมีพ.ต.ทง ทักษิณช่วยคิด แต่ยิ่งลักษณ์เป็นคนขอทำ จึงขอให้พี่น้องประชาชนเลือกพรรคเพื่อไทยทั้งคนและพรรค จ.เชียงใหม่ขอให้ประชาชนเลือกเพื่อไทยยกทีม ซึ่งหวังว่าจะมีโอกาสเข้ามารับใช้พี่น้องประชาชนเหมือนที่พ.ต.ท.ทักษิณ เคยทำ

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
****************************************************************