ละครแฉกลางสภาที่ “เสี่ยอ่าง” ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ เล่นบทพระเอกเดินหน้าชนตำรวจนครบาลระหว่างการแถลงนโยบายรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรในช่วงแรก กำลังถึงจุดไคลแม็กซ์ที่ความจรืงเริ่มเปิดเผยตัวตนของ “เสี่ยอ่าง”แล้วว่า
แท้จริงแล้วเขาหาใช่พระเอกของเรื่องไม่ แต่เขาคือหนึ่งในขบวนการล้ม ผบ.ตร. ร่วมตีเมืองขึ้น ใช้บ่อนเป็นที่ฟอกเงินเก็บไว้เป็นทุนทางการเมือง
“เสี่ยอ่าง”บอกว่าไม่ได้รับใบสั่งทำงานให้รัฐบาลเพื่อเลื่อยขาเก้าอี้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ออกจากตำแหน่ง ผบ.ตร. ก็ต้องบอกว่า น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะจอมแหลร้อยเหลี่ยมอย่าง “เสี่ยอ่าง”ที่คร่ำหวอดในแวดวงน้ำกามและธุรกิจด้านมืดมาเป็นเวลาหลายสิบปี ย่อมมองทะลุว่า จะวางบทบาทตัวเองอย่างไร เนื่องจากเล่นบทว่าเป็นฝ่ายค้านอิสระตรวจสอบตามสไตล์ของตัวเองมาโดยตลอด
ดังนั้นงานนี้จึงไม่ใช่การทำตาม “ใบสั่ง” เหมือนว่าเป็นลูกจ้างประจำ แต่เป็นการรับงานเป็นจ๊อบในประเด็นที่สมประโยชน์ร่วมกันทั้งคู่ แฉกลางสภา “เสี่ยอ่าง”ได้เป็นฮีโร่ชั่วข้ามคืน
ยังไม่นับว่าจะมีการแบ่งปันผลประโยชน์อื่นใด หลังการตีเมืองขึ้นกวาดล้างบ่อนการพนันกลางกรุงให้ต้องเปลี่ยนเส้นทางจ่ายส่วยไปที่ฝ่ายการเมืองโดยตรง แทนที่จะอยู่ในวงแคบ ๆ เฉพาะคนในสีกากีเท่านั้น
ที่สำคัญคือ หลังกวาดล้างคราวนี้ทำให้บ่อนชายแดนคึกคักขึ้นมาทันตาเห็น มีเจ้าของบ่อนรายใดแบ่งค่าคอมมิสชั่นในฐานะช่วยเรียกแขกให้กับนักการเมืองบางคนหรือไม่เป็นเรื่องที่น่าคิด
แต่ที่เขาพูดกันให้แซ่ดกลางวงไพ่ คือ มีนักการเมืองใหญ่กำลังใช้บ่อนการพนันเป็นที่ผ่องถ่ายฟอกเงินทุจริตให้เป็นเงินที่มีที่มาที่ไป เพื่อนำมาใช้ในกิจกรรมทางการเมือง
เหล่านี้้เป็นประเด็นที่ต้องตรวจสอบในระยะยาว เพื่อไมให้มีการหลอกลวงสังคมว่า บ่อนการพนันหมดไปพร้อมการจากไปของ พล.ต.อ.วิเชียร แต่ความจริงบ่อนกลับมาเปิดเหมือนเดิมเพียงแต่เปลี่ยนเส้นทางจ่ายส่วยไปที่นักการเมืองแทนหรือไม่
สำหรับสิ่งที่ต้องชี้ให้สังคมเห็นในขณะนี้จากเหตุการณ์เดียวกัน คือ การสยบยอมต่อฝ่ายการเมืองของ พล.ต.อ.วิเชียร ที่กำลังทำลายศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของข้าราชการไทยให้มีค่าเพียงธุลีดินใต้อุ้งเท้านักการเมืองอย่างร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุงเท่านั้น
กล่าวเช่นนี้เพราะ พล.ต.อ.วิเชียร ไม่ได้คิดที่จะยืนหยัดต่อสู้กับการใช้อำนาจที่ไร้ความเป็นธรรมของฝ่ายการเมืองมาตั้งแต่ต้น หากมีการเกี้ยเซี๊ยะร่วมกันวางแผนตั้งแต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ยังไม่มีอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน
คงต้องท้าวความก่อนว่าในสื่อแฉถึงการเดินทางไปดูไบของ พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง เมื่อวันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมาโดยสายการบินเอมิเรทส์ เที่ยวบินที่ EK375 และกลับประเทศไทยในวันที่ 24 ก.ค. ด้วยเที่ยวบิน EK 374 จากนั้น 16 ส.ค.พล.ต.อ.วิเชียร มีคำสั่งแต่งตั้งให้ พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ไปรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ย่อมเป็นการส่งสัญญาณแล้วว่า พล.ต.อ.วิเชียร ยินดีที่จะทำตามใบสั่งจากดูไบ
นอกจากจะเป็นการประเคนตำแหน่งให้ นายพลเสื้อแดงแล้ว ยังมีการเจรจาลับต่อรองให้ พล.ต.อ.วิเชียร ลุกจากเก้าอี้เปิดทางให้พี่ชายคุณหญิง พจมาน ณ ป้อมเพชร มาเป็น ผบ.ตร.แทน
การเจรจาเป็นไปด้วยดีจบที่ยกตำแหน่ง เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. ชดเชยให้ พล.ต.อ.วิเชียร แต่ที่เกิดปัญหาในภายหลัง เพราะพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีสั่งการไม่ค่อยมั่นใจในตัวพล.ต.อ.วิเชียร ที่จะให้คุม สมช. จึงพยายามเสนอตำแหน่งปลัดกระทรวงอื่นแทน
การฮั้วจึงไม่ลงตัวเมื่อพล.ต.อ.วิเชียรทำท่าแข็งข้อ การตีกระหนาบเพื่อให้หลาบจำจึงเกิดขึ้น ผ่านการแฉบ่อนกลางสภา เพิ่อส่งสัญญาณให้ยอมลุกจากเก้าอี้ดี ๆ ไม่เช่นนั้นจะต้องไปนั่งตบยุงอยู่ที่สำนักนายกฯ
พล.ต.อ.วิเชียร ก็ทำท่าขึงขังเหมือนจะต่อสู้กับการใช้อำนาจเกินขอบเขตของฝ่ายการเมือง อ้างถึงการทำหน้าที่เพื่อชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์ จนผู้คนในสังคมหลงเชียร์กันทั้งประเทศ แต่หม้อข้าวไม่ทันดำท่านผบ.ตร.ก็ออกมาตีหน้าเศร้ายอมจำนนพร้อมออกจากเก้าอี้หากได้ตำแหน่งที่เหมาะสม
วันนี้ก็ชัดเจนแล้วว่า กลับไปที่ข้อตกลงเดิม คือ พล.ต.อ.วิเชียรโยกไปนั่งเลขาฯสมช.
จะเอากันอย่างนี้ใช่ไหมบ้านเมืองนี้ ตำแหน่งราชการยกให้กันได้ง่าย ๆ อย่างนี้เอง บรรดาตำรวจแก่ทั้งหลายที่เคยเคลื่อนไหวหนักในช่วงก่อนหน้านี้หายหัวไปไหนหมด ศักดิ์ศรีข้าราชการไทยย่ำยีกันได้กระนั้นหรือ
คนที่สมควรถูตำหนิมากที่สุด คือ พล.ต.อ.วิเชียร โดยขอย้ำอีกครั้งวพล.ต.อ.วิเชียร ถือเป็นนายตำรวจที่เติบโตได้ดิบได้ดีจากการรับใช้สถาบันเบื้องสูง จนทำให้ได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งรวดเร็วกว่าเพื่อนร่วมรุ่น กระทั่งชะตาพลิกผันทำให้ต้องออกจากในรั้วในวังกลับสู่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
จึงส่งผลให้ พล.ต.อ.วิเชียรกลายเป็นนายตำรวจที่มีอาวุโสสูงสุดในองค์กรนี้ เพราะได้ติดยศนายพลก่อน พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ เสียอีก
ถ้า พล.ต.อ.วิเชียร แยกแยะไม่ได้ว่า ความเจริญก้าวหน้าในชีวิตราชการเกิดจากใครและควรทดแทนบุญคุณกับใคร ก็ต้องถือว่าแย่มาก และตำแหน่งไหนก็ไม่ควรได้
ที่มา: ผู้จัดการ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น