--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2554

เทียบประเด็นต่อประเด็น หนุน-ต้านนิติราษฎร์. จับตาบานปลายเป็นศึก ทนายแดง-ทนาย คมช. !!?


กลายเป็นข้อถกเถียงในแวดวงนักกฎหมายอย่างกว้างขวางที่สุดอีกครั้งหนึ่ง สำหรับข้อเสนอสุดร้อนของ "คณะนิติราษฎร์" ซึ่งเป็นอาจารย์จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กลุ่มหนึ่ง นำโดย นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ กระทั่งล่าสุดบานปลายกลายสร้างวาทกรรม ตอบโต้กัน "หมัดต่อหมัด-ประโยคต่อประโยค-วาทกรรมต่อวาทกรรม" ของกลุ่มที่เป็นต้นตอและผู้สนับสนุน

หนำซ้ำหลายประเด็นยิ่งชวนมึนงงและลากเป็นประเด็นการเมืองจนประชาชนที่เฝ้ามองอย่างเราๆ ท่านๆ คิดว่าเป็นศึก "นิติเรด" กับ "ทนาย คมช." กันไปแล้ว

 ขอลำดับเหตุการณ์และสรุปประเด็นทางความคิดของแต่ละฝ่าย โดยยังมองหาทางออกไม่เห็น ดังนี้

เริ่มจากข้อเสนอ 4 ข้อของ "นิติราษฎร์" เมื่อวันที่ 18 ก.ย.ที่ให้ล้างผลพวงจากการรัฐประหารเมื่อปี 2549 ทุกด้าน ได้แก่

1.ให้มีการการลบล้างผลพวงของรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 โดยประกาศให้รัฐประหารและการกระทำใดๆ ที่มุ่งต่อผลในทางกฎหมายของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ตั้งแต่วันที่ 19-30 ก.ย.2549 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 มาตรา 36 และมาตรา 37 ถือว่าไม่เคยเกิดขึ้นและไม่เคยมีผลในทางกฎหมาย

และประกาศให้คำวินิจฉัยของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่อาศัยอำนาจตามประกาศ คปค. และที่เป็นผลต่อเนื่องจากรัฐประหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาคำวินิจฉัยและคำพิพากษาที่เกิดจากการเริ่มกระบวนการโดยคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดย คปค. ถือว่าไม่เคยเกิดขึ้นและไม่เคยมีผลในทางกฎหมาย แต่ไม่ใช่การนิรโทษกรรมหรืออภัยโทษหรือล้างมลทิน โดยสามารถเริ่มดำเนินคดีกับบุคคลที่ถูกกล่าวหาได้ทันทีตามกระบวนการทางกฎหมายปกติ

2.การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ในประเด็นเรื่องความสมดุลระหว่างความร้ายแรงของการกระทำอันเป็นความผิด กับโทษที่ผู้กระทำความผิดนั้นควรได้รับ

3.ไม่เห็นด้วยกับการออกกฎหมายนิรโทษกรรมที่มีเป้าหมายแอบแฝงเพื่อยุติกระบวนการพิสูจน์ความจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ความรุนแรงครั้งต่างๆ ที่เกิดขึ้นหลังการรัฐประหาร แต่ให้สิทธิการประกันตัวของผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดโดยมีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองต้องได้รับการประกันตามกระบวนการที่ถูกต้องและเป็นธรรม ไม่แตกต่างจากผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดในกรณีทั่วไป พร้อมทั้งให้รัฐบาลเดินหน้าเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายอย่างไม่เลือกปฏิบัติ

4.ยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 และการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ พร้อมจัดทำ “คำประกาศว่าด้วยคุณค่าอันเป็นรากฐานของระบอบเสรีประชาธิปไตย”

พท.เฮลั่น-ปชป.ต้านหนัก-ทหารชี้ทำแตกแยก

หันไปดูฝ่ายการเมือง ข้างพรรคเพื่อไทยออกมาขานรับคึกคักอย่างไม่ต้องสงสัย โดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พูดในฐานะคนเรียนกฎหมาย อาจารย์กลุ่มนี้ก็เป็นอาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถ โดยความเป็นจริงไม่มีครูบาอาจารย์ที่ไหนเห็นด้วยกับการปฏิวัติ และการปฏิวัติเป็นผลพวงให้เกิดความยุ่งยากของบ้านเมือง ถ้าพูดในนามส่วนตัวมองว่าอาจารย์มีเหตุผล แต่ยอมรับว่าเกิดขึ้นจริงยาก เพราะเรื่องมันแล้วไปแล้ว อาจจะเป็นความคิดเห็นเชิงวิชาการ แต่ทุกอย่างมันเกิดขึ้นได้ทั้งนั้นถ้าพี่น้องประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเห็นด้วย

นางฐิติมา ฉายแสง โฆษกรัฐบาล บอกว่า ข้อเสนอของนิติราษฎร์ถือเป็นงานวิชาการที่มีมุมมองที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ข้อเสนอทั้งหมดมุ่งสู่การวางรากฐานของการเป็นประชาธิปไตยให้กับบ้านเมือง คือการไม่ยอมรับการทำปฏิวัติรัฐประหาร ซึ่งงานทางวิชาการชิ้นนี้ควรได้รับการเผยแพร่ให้คนได้รู้และเข้าใจ โดยควรจะมีการแลกเปลี่ยนความคิดของคนในสังคมอย่างกว้างขวางต่อไป มุมมองของคณะนิติราษฎร์ตรงกับรัฐบาลชุดนี้ คือเราคัดค้านการทำรัฐประหารและเสนอให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ขณะที่ นายถาวร เสนเนียม ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเงา กล่าวว่า พื้นฐานของอาจารย์บางคนในคณะนิติราษฎร์เอื้อต่อระบอบทักษิณมาโดยตลอด และไม่เห็นด้วยกับการกวาดล้างการทุจริตในเชิงนโยบาย มีการเคลื่อนไหวโดยไม่คำนึงถึงความจริงของบ้านเมือง ซึ่งมองเห็นได้ชัดว่าการเคลื่อนไหวในครั้งนี้รัฐบาลหรือคนของรัฐบาลอยู่เบื้องหลังเพื่อช่วยเหลือ "นายใหญ่" ไม่ให้ถูกยึดทรัพย์และไม่ต้องติดคุก

ขอร้องว่าโปรดยุติการอ้างเอาหลักวิชาการบริสุทธิ์มาใช้เพื่อช่วยเหลือคนคนเดียว และขอเรียกร้องประชาชนทุกภาคส่วนถ้าต้องการเห็นบ้านเมืองเดินไปข้างหน้า อะไรที่จบไปแล้วและทุกฝ่ายยอมรับ ก็ขอให้ออกมาเคลื่อนไหว แต่ไม่ได้เห็นด้วยกับการรัฐประหาร"

ส่วนความเห็นของหัวขบวนกองทัพอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) หลายคนคงเดาได้ไม่ยาก เขากล่าวว่า เป็นแนวคิดของบรรดานักวิชาการ เพราะท่านมีเสรีในการคิด แต่เวลาจะพูดหรือทำอะไรก็ตามต้องระวังว่าจะทำให้เกิดความแตกแยกขึ้นมาหรือไม่

"นิติราษฎร์"แจงทุกประเด็น


หลังถูกวิจารณ์หนักมาตลอดสัปดาห์ คณะนิติราษฎร์ได้เปิดแถลงข่าวเรื่อง "กรณีข้อเสนอให้ลบล้างผลพวงจากการรัฐประหาร” ที่ห้องจี๊ดเศรษฐบุตร คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยตั้งประเด็นว่าสื่อมวลชนจำนวนมากเสนอข่าวในลักษณะผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปจากข้อเสนอ จนสร้างความเข้าใจผิดต่อสาธารณชน และมีผู้ตั้งคำาถาม วิพากษ์วิจารณ์โดยไม่ได้ศึกษารายละเอียดของข้อเสนอดังกล่าวให้เข้าใจอย่างเพียงพอ

ประเด็นชี้แจงมีดังนี้ 1.นิติราษฎร์เสนอ 4 ประเด็น แต่สื่อมวลชน นักการเมือง และบุคคลทั่วไปกลับมุ่งความสนใจไปในประเด็นแรกเรื่องการลบล้างผลพวงของรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 เป็นพิเศษ ทั้งเจตนาและไม่เจตนา

2.คณะนิติราษฎร์ขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่าข้อเสนอเรื่องการลบล้างผลพวงของรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 ไม่ใช่เป็นการนิรโทษกรรม หรือการอภัยโทษ หรือการล้างมลทินแก่บุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด และไม่ใช่เป็นการลบล้างการกระทำทั้งหลายทั้งปวงของผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด ดังนั้นหากจะเริ่มดำเนินคดีกับบุคคลดังกล่าวใหม่ก็สามารถกระทำไปตามกระบวนการทางกฎหมายปกติได้

3.เหตุที่คณะนิติราษฎร์เสนอให้ประกาศลบล้างคำวินิจฉัยคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญและคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็เนื่องจากคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญ และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำารงตำาแหน่งทางการเมือง ได้นำเอาประกาศ คปค.มาใช้บังคับแก่คดี จึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าคำวินิจฉัยและคำพิพากษาเหล่านั้นเป็นผลจากรัฐประหาร

ยก"นาซี"ย้ำล้างผลพวงเผด็จการทำได้

4.คณะนิติราษฎร์ยืนยันว่าผลพวงของรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 ต้องถูกลบล้าง แต่เนื่องจากการกระทำที่เป็นผลต่อเนื่องจากรัฐประหารมีหลายรูปแบบ ก่อตั้งสิทธิและหน้าที่และส่งผลกระทบต่อบุคคลจำนวนมาก เพื่อรักษาความมั่นคงแน่นอนแห่งนิติฐานะและคุ้มครองความเชื่อถือไว้วางใจการลบล้างผลพวงของรัฐประหารดังกล่าว จึงต้องกระทำาโดยคำนึงถึงบุคคลผู้สุจริตด้วย

ด้วยเหตุนี้ ในหลักการคณะนิติราษฎร์จึงไม่ได้เสนอให้ลบล้างรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2549 และรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 เป็นการทั่วไป แต่เสนอให้ลบล้างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2549 เฉพาะมาตรา 36 และ 37 เนื่องจากบทบัญญัติทั้งสองมาตราดังกล่าวเป็นการนิรโทษกรรมการรัฐประหารและรับรองการกระทำใดๆ ของคณะรัฐประหารให้ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ

5.การลบล้างผลพวงของรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 สามารถทำได้ในทางกฎหมาย ดังตัวอย่างที่ปรากฏให้เห็นในนานาอารยประเทศ ได้แก่ การประกาศความเสียเปล่าของคำพิพากษาสมัยนาซีในเยอรมนี, การประกาศความเสียเปล่าของการกระทำใดๆ สมัยระบอบวิชี่ในฝรั่งเศส, การประกาศความเสียเปล่าของคำพิพากษาที่ลงโทษบุคคลที่ให้ความช่วยเหลือผู้หลบหนีลี้ภัยจากนาซีในสวิตเซอร์แลนด์, การประกาศความเสียเปล่าของการกระทำาใดๆ ของรัฐบาลเผด็จการทหารตั้งแต่รัฐประหาร 21 เม.ย.1967 ถึง 25 พ.ย.1973 ในกรีซ ฯลฯ

6.ต่อข้อสงสัยที่ว่าเหตุใดคณะนิติราษฎร์จึงเสนอให้ลบล้างผลพวงของรัฐประหารเฉพาะ 19 ก.ย.2549 เท่านั้น ทั้งๆ ที่จริงๆ ปฏิเสธการรัฐประหารทุกครั้ง ก็เพราะว่าผลพวงของรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 ยังคงดำรงอยู่ และเป็นต้นตอของความขัดแย้งทางการเมืองซึ่งฝังรากลึกอยู่ในสังคมไทยในขณะนี้

7.ข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์นี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการไม่ยอมรับรัฐประหาร เมื่อระบบกฎหมาย-การเมืองเข้าสู่ปกติ อำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ (Pouvoir constituant) เป็นของประชาชน ประชาชนในฐานะรัฏฐาธิปัตย์ในระบอบประชาธิปไตยย่อมมีความชอบธรรมอย่างเต็มที่ในการลบล้างผลพวงของรัฐประหาร

“สภาทนาย”ออกแถลงการณ์ค้าน

นายสัก กอแสงเรือง นายกสภาทนายความ พร้อมคณะ ได้ออกแถลงการณ์สภาทนายความ กรณีคณะนิติราษฎร์ที่ประกอบด้วยอาจารย์สาขากฎหมายมหาชน 7 คนจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 18 ก.ย. หัวข้อ “การลบล้างผลพวงของรัฐประหาร 19 กันยายน 49”

แถลงการณ์ของสภาทนายความตั้งข้อสังเกตว่า กลุ่มนิติราษฎร์เสนอให้ส่วนที่เป็นผลร้ายต่อนักการเมืองในอดีตเป็นอันสูญเปล่าเสียไป แต่กลับเป็นประโยชน์ต่ออดีตนักการเมืองมากกว่าการแสวงหาความยุติธรรมให้แก่สังคม การฉ้อราษฎร์บังหลวงเป็นอาชญากรรมระหว่างประเทศซึ่งไม่มีนักการเมืองคนใดที่จะทำให้สังคมไทยรับรู้ว่าโกงบ้านโกงเมืองนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าการรัฐประหารที่มุ่งทำลายความเลวของนักการเมืองบางคนและกระทำเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริงที่ประชาชนให้การรับรอง ซึ่งประชาชนควรต้องติดตามตรวจสอบพฤติการณ์ของกลุ่มนิติราษฎร์อย่างใกล้ชิดต่อไป

นายสัก กล่าวเสริมว่า สภาทนายความไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารที่ล้มล้างรัฐบาลที่ใช้อำนาจบริหารโดยชอบธรรม เนื่องจากเป็นการทำให้ระบบการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยต้องสะดุดและต้องเริ่มต้นใหม่ถึง 17 ครั้ง แต่สภาทนายความไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลที่ใช้อำนาจเงินครอบงำพรรคการเมืองอื่นจนเป็นพรรคการเมืองที่มีอำนาจเด็ดขาดในรัฐสภา และใช้อำนาจบริหาร อำนาจเงินครอบงำสื่อสารมวลชนและองค์กรอิสระจนสามารถรวมเป็นพรรคการเมืองที่มีอำนาจเด็ดขาดในรัฐสภา ทำให้การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐไม่บรรลุผล มีการทุจริตประพฤติมิชอบเพื่อหาประโยชน์แก่ตนเองและพวกพ้อง จนกระทั่งเป็นเหตุให้มีการรัฐประหาร

ขณะที่การใช้อำนาจตุลาการที่ดำเนินการหลังรัฐประหารมีส่วนสร้างสรรค์ความสงบสุขแก่สังคมและการตรากฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน จึงไม่ควรให้ตกเป็นการเสียเปล่าหรือไม่มีผลทางกฎหมาย ซึ่งรวมถึงรัฐบาลและรัฐสภาในปัจจุบันต่างมีที่มาจากกระบวนการที่ต่อเนื่องจากการรัฐประหารทั้งสิ้น อันไม่สมควรให้สิ้นผลตามข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์

นักกฎหมายนิติฯมธ.วิวาทะ-สมคิดถาม 15 ข้อ

หลังจากนั้นได้มีความเห็นของนักกฎหมายทั้งต่อต้านและสนับสนุนนิติราษฎร์ทะยอยกันออกมาเป็นจำนวนมาก เริ่มจาก ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ตั้งคำถาม 15 ข้อต่อข้อเรียกร้องของกลุ่มนิติราษฎร์ ทางเฟซบุ๊ค ระบุว่า “ในฐานะนักกฎหมายช่วยตอบคำถามเหล่านี้ด้วย

1.เราสามารถยกเลิกกฎหมายที่ถูกยกเลิกไปแล้วได้หรือไม่ เช่นการยกเลิก รธน. 2549

2.ถ้าตำรวจจับคนร้ายที่ทำผิดจริงมาแต่ไม่ได้สอบสวนโดยละเอียด ต่อมาคนร้ายถูกฟ้องศาล มีการโต้แย้งว่ากระบวนการของตำรวจไม่ค่อยถูกต้อง แต่ศาลเห็นว่าไม่เป็นไร ศาลก็พิพากษาไป ตกลงคำพิพากษาของศาลใช้ได้หรือไม่

3.ถ้ามีคนเห็นว่ากระบวนการยุติธรรมในช่วง คมช.ไม่ถูกต้อง ก็ให้ดำเนินการใหม่ คนอีกกลุ่มเห็นว่าการตัดสินคดีซุกหุ้น ศาลตัดสินผิดโดยสิ้นเชิง คนกลุ่มหลังจะขอให้ยกเลิกรธน. ๒๕๔๐ ตั้งศาลรธน.ใหม่ แล้วพิพากษาคดีซุกหุ้นใหม่ จะได้หรือไม่

4.ประชาชนจะลงมติแก้ รธน.ที่ถูกยกเลิกไปแล้วได้หรือไม่

5.รธน.2550 ได้รับการลงประชามติโดยประชาชน ในทางกฎหมายเราจะพูดได้หรือไม่ว่าประชาชนลงมติโดยไม่ถูกต้อง หรือรธน.2550 ไม่ได้ผ่านความเห็นชอบของประชาชน?

6.คตส.ตั้งโดยคมช. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองก็ตั้งโดย คมช. ใช่หรือไม่

7.การดำเนินการตามแนวคิดของนิติราษฎร์ไม่มีผลทางกฎหมายต่อนายกทักษิณเลยใช่หรือไม่

8.มาตรา 112 ขัดแย้งกับ รธน .จริงหรือ และขัดกับรธน.2550 ที่จะถูกยกเลิกใช่หรือไม่

9.ประเทศทั้งหลายในโลกรวมทั้งเยอรมัน เขาไม่คุ้มครองประมุขของประเทศเป็นพิเศษแตกต่างไปจากประชาชนใช่หรือไม่

10.ถ้ามีคนไปโต้แย้งนิติราษฎร์ในที่สาธารณะเขาจะไม่ถูกขว้างปาและโห่ฮาเหมือนกับหมอตุลย์ใช่หรือไม่

11.ถ้าเรายกเลิกกฎหมายที่ถูกยกเลิกไปแล้วได้ เราจะล้มเลิกการกระทำทั้งหลายและลงโทษคณะรัฐประหารกี่ชุด สุจินดา ถนอม ประภาศ สฤษฎ์ จอมพล ป. อ.ปรีดี หรือจะลงโทษเฉพาะคณะรัฐประหารที่กระทำต่อนายกทักษิณ

12.ความเห็นของนักกฎหมายที่เห็นไม่ตรงกับนิติราษฎร์แต่ดีกว่านิติราษฎร์ รัฐบาลนี้จะรับไปใช่หรือไม่

13.ศาลรธน.ช่วยนายกทักษิณคดีซุกหุ้นถือว่าใช้ได้ แต่ไม่ช่วยคดียึดทรัพย์ถือว่าใช้ไม่ได้ เป็นตุลาการภิวัตน์ใช่หรือไม่

14.บทบัญญัติว่าด้วยสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามรธน.2550 แย่กว่า รธน.2540, 2475 ที่นิติราษฎร์จะนำมาใช้ใช่หรือไม่

15.คมช. เลว สสร.ที่มาจาก คมช.ก็เลว รธน.2550 ที่มาจาก สสร.ก็เลว แต่รัฐบาลที่มาจาก รธน.เลว เป็นรัฐบาลดีใช่หรือไม่ สสร.ที่มาจากรัฐบาลชุดนี้และที่ อ.วรเจตน์จะเข้าร่วม ก็เป็น สสร.ที่ดีใช่หรือไม่”

พนัสชี้ คตส.-ศาลฎีกานักการเมืองไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ต่อมา นายพนัส ทัศนียานนท์ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ฉบับปี 2540 ได้เขียนข้อความในเฟซบุ๊คส่วนตัวตอบคำถาม 15 ประเด็นที่ ศ.สมคิด ตั้งคำถามถึงคณะนิติราษฎร์เอาไว้

ทั้งนี้ ในประเด็นที่ ศ.สมคิด ถามว่า สามารถยกเลิกกฎหมายที่ถูกยกเลิกไปแล้ว คือรัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับปี 2549 ได้หรือไม่ และประชาชนลงมติให้แก้รัฐธรรมนูญที่ถูกยกเลิกไปแล้วได้หรือไม่ นายพนัส ตอบว่า นิติราษฎร์ไม่ได้เสนอให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญปี 2549 แต่ให้ถือว่าการนิรโทษกรรมให้แก่ผู้ทำรัฐประหารตามมาตรา 37 ไม่เกิดผลตามกฎหมาย ส่วนการลงประชามติรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 นายพนัส เห็นว่าสามารถพูดได้ว่าเป็นประชามติที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะมีการหลอกลวงขู่เข็ญบังคับให้ประชาชนลงมติ

ส่วนประเด็นที่ ศ.สมคิด ถามว่า คตส. (คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ) ตั้งโดย คมช. (คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ) ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตั้งโดย คมช.ใช่หรือไม่ นายพนัส ตอบว่า คตส.นั้นตั้งโดย คมช.แน่นอน ส่วนศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองก็เกิดจากรัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่ง คมช.เป็นผู้ให้กำเนิดเช่นกัน ดังนั้นทั้งคตส.และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯจึงเป็นองค์กรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

อีกประเด็นหนึ่ง ศ.สมคิด ถามว่าศาลรัฐธรรมนูญช่วยนายกฯทักษิณคดีซุกหุ้นถือว่าใช้ได้ แต่ไม่ช่วยคดียึดทรัพย์ถือว่าใช้ไม่ได้ เป็นตุลาการภิวัตน์ใช่หรือไม่ นายพนัส ระบุว่า ตุลาการภิวัตน์คือตุลาการที่ยอมตนเป็นเครื่องมือและอาวุธให้แก่ผู้มีอำนาจกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้ใช้เพื่อประหัตประหารและทำลายล้างศัตรูของตน ตุลาการศาลทั้งในคดีซุกหุ้นและคดียึดทรัพย์ทักษิณจึงเป็นตุลาการภิวัฒน์ด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าในคดีซุกหุ้นตุลาการภิวัตน์เป็นฝ่ายแพ้

ส่วนในประเด็นที่ว่าถ้าตำรวจจับคนร้ายที่ทำผิดจริงมา แต่ไม่ได้สอบสวนโดยละเอียด ต่อมาคนร้ายถูกฟ้องศาล มีการโต้แย้งว่ากระบวนการของตำรวจไม่ค่อยถูกต้อง แต่ศาลเห็นว่าไม่เป็นไร ศาลก็พิพากษาไป ตกลงคำพิพากษาของศาลใช้ได้หรือไม่ นายพนัส ตอบว่า โดยหลักถ้าการสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมาย ย่อมมีผลทำให้การฟ้องคดีของอัยการไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วย การพิจารณาคดีก็ต้องถือว่าไม่ชอบทั้งหมด แต่ศาลไทยบอกไม่เป็นไร หากพิจารณาว่าจำเลยกระทำผิดจริง ก็ลงโทษจำเลยได้ ซึ่งก็เหมือนกับการยอมรับว่าการรัฐประหาร (การกระทำความผิดฐานกบฎ) เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายหากทำสำเร็จนั่นเอง

"กิตติศักดิ์ ปรกติ"สางปมศาลนาซี

อีกด้านหนึ่ง ดร.กิตติศักดิ์ ปรกติ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขียนบทความชื่อ "สิ่งที่คล้ายกันพึงได้รับการปฏิบัติอย่างเดียวกัน แต่ไม่พึงปฏิบัติอย่างเดียวกันกับสิ่งที่ต่างกัน" สรุปประเด็นได้ดังนี้

- ใช่ว่าวงการตุลาการไทยเป็นสถาบันที่แตะต้องวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ แต่กระนั้น เราก็ยังต้องถือเป็นหลักว่า คำพิพากษาที่ไม่เป็นธรรมย่อมต้องได้รับการแก้ไขจากอำนาจตุลาการด้วยกัน การปล่อยให้อำนาจนิติบัญญัติอ้างอำนาจประชาชนเข้าแทรกแซง ถึงขั้นเปลี่ยนแปลงหรือลบล้างคำพิพากษานั้น ย่อมขัดต่อหลักความเป็นอิสระของอำนาจตุลาการ เว้นแต่สิ่งที่อ้างว่าควรลบล้างไปนั้น แท้จริงมิได้มีฐานะหรือมีค่าเป็นคำพิพากษาแต่อย่างใด เมื่อไม่มีค่าพอที่จะนับถือเป็นคำพิพากษาแล้ว การจะลบล้างโดยใช้อำนาจนิติบัญญัติย่อมพอจะฟังได้ ไม่ต่างอะไรกับการแก้ไขกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมนั่นเอง

- กรณีคำพิพากษาของ "ศาลประชาชนในยุคนาซี" ที่รัฐสภาเยอรมันได้ตรากฎหมายลบล้างไปเมื่อปี 2002 นั้น เป็นคนละเรื่องกับศาลไทย เพราะ "ศาลประชาชนยุคนาซี" ไม่ใช่่ศาลยุติธรรมตามความหมายที่เข้าใจกันในประเทศไทย แต่เป็นศาลพิเศษที่ฮิตเลอร์ตรากฎหมายตั้งขึ้น ผู้ใช้อำนาจตัดสินนอกจากเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเมืองของนาซีเป็นเสียงข้างมากแล้ว ศาลประชาชนนาซียังไม่อนุญาตให้ผู้ต้องหาเลือกทนายความได้อย่างอิสระอีกด้วย ผู้ต้องหามีสิทธิแค่เสนอชื่อผู้ที่ตนเห็นควรเป็นทนาย และบุคคลดังกล่าวจะเป็นทนายให้ได้ก็ต่อเมื่อได้รับความยินยอมจากศาลนาซีเสียก่อนเท่านั้น

จากตัวเลขทางการเยอรมัน ในปี 1944 ศาลประชาชนของฮิตเลอร์มีผูู้พิพากษาอาชีพราว 1 ใน 4 ของผู้พิพากษาที่ได้รับแต่งตั้งมาจากเจ้าหน้าที่พรรคนาซี และนับแต่มีการตั้งศาลแห่งนี้ขึ้นจนสิ้นสุดสงครามโลกนั้น ศาลนี้ได้พิพากษาตัดสินประหารชีวิตคนไปราว 7,000 คน

ดร.กิตติศักดิ์ ตั้งคำถามทิ้งท้ายว่า คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองของไทยเรา ซึ่งมีผู้พิพากษาเป็นผู้พิพากษาอาชีพทั้งหมด และมีกระบวนการพิจารณาที่เปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาต่อสู้ได้เต็มที่ตามกฎหมาย เลือกทนายความของตนเองได้อย่างอิสระ จะไปเทียบกับการตัดสินขององค์การก่อการร้ายที่แฝงอยู่ในรูปของศาลนาซีได้อย่างไร?

ถามกลับ คมช.ชอบธรรมในทาง ปชต.หรือ

ต่อมาได้มีผู้เขียนบทความคัดค้านบทความของ ดร.กิตติศักดิ์ หลายคน โดยมีสาระสำคัญเช่น อำนาจในการสถาปนารัฐธรรมนูญ กับอำนาจนิติบัญญัติ เป็นคนละเรื่องกัน แต่ ดร.กิตติศักดิ์ นำมาปนกัน

ส่วนประเด็นเรื่องศาลที่ประกอบด้วยผู้พิพากษาอาชีพหรือไม่ หาได้เกี่ยวข้องกับ legitimacy (ความชอบด้วยกฎหมาย) ของคำพิพากษาแต่อย่างใด เพราะขึ้นอยู่กับ "มาตร" ว่าคุณยืนอยู่บนฐานของหลักคิดนิติรัฐแบบเสรีประชาธิปไตย หรือ นิติรัฐแบบนาซี

บทความยังตั้งคำถามว่า การที่ คตส.ทำหน้าที่ตามความเข้าใจว่ามีสถานะอย่าง "ศาลไต่สวน" เท่ากับ คตส.ไปเป็นหน่วยหนึ่งของกระบวนการชั้นศาลใช่หรือไม่ แล้วจะย้อนกลับไปยังตรรกะฮิตเลอร์ของ ดร.กิตติศักดิ์ ว่าใช้อำนาจแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมหรือไม่ ซึ่งจะหมายรวมต่อไปว่า คมช. รัฐประหาร เป็นการใช้อำนาจเผด็จการแต่งตั้งบุคคลดำรงตำแหน่งในกระบวนการชั้นศาลใช่หรือไม่? หรือ คมช. มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยในมุมมองกิตติศักดิ์?

----------------

คณะนิติราษฎร์ แถลงครั้งสองเมื่อ 25ก.ย. http://bit.ly/n21cIy
ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมธ.ตั้งคำถาม 15ข้อ http://bit.ly/odGLJv
กิตติศักดิ์ ปรกติ เขียนบทความวิพากษ์คณะนิติราษฎร์ http://bit.ly/mUXtC2
ท่าทีสภาทนายความ http://bit.ly/nHDAIW
นิติราษฎร์ส่งสารน้อมรับทุกความเห็น ยัน'ไม่ก้มหัวต่อรัฐประหาร' http://bit.ly/qg3har

ที่มา:กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
***********************************************************

อุตุฯเตือนจับตาพายุ ไต้ฝุ่นเนสาด. เข้าเวียดนามตอนบนในวันนี้ !!?

ลักษณะอากาศทั่วไปเมื่อเวลา 04:00 น. เมื่อเวลา 04.00 น. วันนี้ (30 ก.ย. 54) พายุไต้ฝุ่น“เนสาด” (NESAT) บริเวณตอนเหนือของเกาะไหหลำเคลื่อนลงอ่าวตังเกี๋ยแล้วและได้อ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อน มีศูนย์กลางอยู่ทางตะวันออกของกรุงฮานอย ประเทศเวียดนามประมาณ 300 กม. หรือที่ละติจูด 20.5 องศาเหนือ ลองจิจูด 108.5 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 100 กม./ชม. และเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกค่อนทางเหนือเล็กน้อย ด้วยความเร็วประมาณ 18 กม./ชม. คาดว่าพายุนี้จะเคลื่อนตัวขึ้นชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนบนในวันนี้ ขอให้ติดตามข่าวจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิดต่อไป

ส่วนมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยมีกำลังแรง ทำให้บริเวณ ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดนครนายก จันทบุรี ตราด ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล ยังคงมีฝนตกหนักในบางพื้นที่ จึงขอให้ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณดังกล่าว ระมัดระวังอันตรายจากน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากที่อาจเกิดขึ้น สำหรับคลื่นลมในทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังแรง โดยมีคลื่นสูง 2-4 เมตร ชาวเรือควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือและเรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง

พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้.
ภาคเหนือ มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ และตาก
อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศา
ลมแปรปรวน ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดเลย หนองคาย บึงกาฬ สกลนคร นครพนม หนองบัวลำภู อุดรธานี ขอนแก่น นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี
อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศา อุณหภูมิสูงสุด 29-32 องศา
ลมตะวันตก ความเร็ว 20-35 กม./ชม.

ภาคกลาง มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ บริเวณจังหวัดนครสวรรค์ ลพบุรี ชัยนาท สิงห์บุรี สระบุรี และพระนครศรีอยุธยา
อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 33-34 องศา
ลมตะวันตก ความเร็ว 15-35 กม./ชม.

ภาคตะวันออก มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่งกับมีลมแรง บริเวณจังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ระยอง จันทบุรี และตราด
อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 28-32 องศา
ลมตะวันตก ความเร็ว 20-40 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก) มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีลมแรงส่วนมากบริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส
อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศา อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศา
ลมตะวันตก ความเร็ว 20-35 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูง ประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูง 2-3 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก) มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 80 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่งกับมีลมแรง บริเวณจังหวัดระนอง พังงา และภูเก็ต
อุณหภูมิต่ำสุด 22-23 องศา อุณหภูมิสูงสุด 28-31 องศา
ลมตะวันตก ความเร็ว 20-45 กม./ชม.
ทะเลมีคลื่นสูง 2-4 เมตร

กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่
อุณหภูมิต่ำสุด 26-27 องศา อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศา
ลมตะวันตก ความเร็ว 15-35 กม./ชม.

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

//////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2554

คนโขน : ทำลายอารยะ ทำลายวัฒนธรรม !!?

โดย : ชญานิน เตียงพิทยากร

คนโขน

ถ้าจะลองคิดไปพลางๆ แบบไม่ได้นึกจะหาสาเหตุจริงจังว่าทำไม ‘คนโขน’ ถึงได้เป็นตัวเลือกสุดท้ายของผู้ชมชาวไทยที่คิดจะเข้าไปชมภาพยนตร์ในช่วงที่หนังลงโรงฉาย (ซึ่งไม่ได้ชนกับหนังฮอลลีวูดหุ่นยนต์ยอดมนุษย์ฟอร์มยักษ์ใดๆ) เราไม่อาจทิ้ง ‘โหมโรง’ จากหนึ่งในโมเดล “หนังวัฒนธรรม” ที่ประสบความสำเร็จเพราะแรงเชียร์ที่ช่วยขุดขึ้นมาจากปลักตม ที่อาจทำให้เห็นว่าสำหรับผู้ชมชาวไทยที่ไปดูหนังในโรงภาพยนตร์ (ต้องชี้เฉพาะว่าในกรุงเทพและปริมณฑล เพราะตัวเลขที่ใช้ตัดสินการอยู่รอดนั้นไม่นับการฉายหนังในต่างจังหวัดที่ขายสิทธิ์ขาดต่อให้สายหนังของแต่ละภูมิภาคเอาไปจัดการโรงฉายกันเอง) คำว่า “วัฒนธรรม” แบบใดที่พวกเขาโปรดปรานและยอมรับได้ ทั้งยังยอมรับว่าเป็นหนังดีควรค่าแก่การรับชม
ถึงแม้ผู้คนส่วนใหญ่จะตั้งป้อมรังเกียจกระทรวงวัฒนธรรม และสิ่งที่กระทรวงนี้สั่งให้ทำ/มีอิทธิพลบีบบังคับกลายๆ ให้ต้องทำก็เป็นที่รังเกียจ ไม่ว่าจะเป็นการเซ็นเซอร์อย่างบ้าคลั่งในรายการโทรทัศน์ การแบนภาพยนตร์ หรือการสนับสนุนวัฒนธรรมแบบแบนราบไร้มิติ ทั้งเรื่องสาวสีลม ดอกส้มเรยา หรือบทความ ‘เลี้ยงลูกอย่างไรให้มีวัฒนธรรม’ ก็ถูกประณามหยามเหยียดแทบไม่มีชิ้นดี ไม่ว่าจะจากกลุ่มคนที่มีความคิดแบบใด

อย่างไรก็ดี เมื่อพูดถึง ‘วัฒนธรรม’ แล้ว เราพบว่าคำนี้สำหรับคนหมู่มากก็คือสิ่งที่มาคู่กับคุณค่า ความงาม ความสูงส่ง ควรค่าแก่การอนุรักษ์ – หนังอย่าง ‘โหมโรง’ จึงได้รับการต่อยอดลมหายใจช่วยเหลือทั้งจากสังคมออนไลน์และสื่อมวลชนกระแสหลักอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง (รวมถึงในเวทีรางวัลต่างๆ หลังจากนั้น) แม้จะมีการประชันขันแข่ง ก็เป็นไปรูปแบบของศิษย์อาจารย์ที่เคารพซึ่งกันและกัน ไม่ได้คิดหักหาญทำร้ายทำลายกันแบบ ‘คนโขน’ ที่ก่อให้เกิดด้านมืดและเรื่องราวที่สกปรกเปื้อนเปรอะวัฒนธรรมอันสูงส่งของคนไทยไปอย่างช่วยไม่ได้ เพราะนอกจากการมุ่งทำร้ายกันถึงขั้นทำลายอาชีพและเอาชีวิต ยังมีพล็อตส่วนที่ว่าด้วยหญิงสาวที่ต้องการขืนใจชายหนุ่ม (ทั้งที่ตัวเองมีผัวแล้ว) อีกต่างหาก

ความสกปรก ชั่วร้าย วิปริต ในวงการโขนไทยที่ปรากฏใน ‘คนโขน’ นั้นซับซ้อนเหลือประมาณ และยิ่งใหญ่เหลือประมาณ (เคสนี้ละครช่อง 7 แพ้ยับเยิน) แน่นอนว่าเมื่อมีสิ่งนี้ปรากฏ นั่นย่อมไม่ใช่สิ่งส่งเสริมวัฒนธรรมในความรับรู้ของสังคมไทยโดยรวม นั่นทำให้จวบจนลมหายใจสุดท้าย โขนคณะนี้จึงไม่มีใครเข้ามาช่วยบรรเลงเพลงโหมโรงให้

เรียกได้ว่าศรัณยูคิดผิดอย่างแรง ถ้าคิดจะสร้างสถานะให้หนังเรื่องนี้ออกมาเป็น ‘หนังส่งเสริมวัฒนธรรม’

คนโขน นิรุตติ์ ศิริจรรยา

อย่างไรก็ดี ก็ต้องขอแสดงความยินดีอย่างหาที่สุดมิได้ ที่ทางผู้ใหญ่ผู้ทรงคุณวุฒิและทรงเกียรติแห่งสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ ได้ลงมติเลือก ‘คนโขน’ เป็นตัวแทนหนังไทยไปประกวดในสาขา
ภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศของรางวัลออสการ์ครั้งที่จะถึงนี้

ด้วยเหตุผลกำกับจากสมาพันธ์ฯ ผ่านผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย (ที่กำลังจะได้เป็นอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรมในอีกไม่ช้าไม่นาน) มาให้สัมภาษณ์ว่า ‘คนโขน’ “เป็นภาพยนตร์ตลาดแล้วยังมีเอกลักษณ์ความเป็นไทย ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมไทย มีเนื้อหาสอดแทรกด้วยละครชีวิต และเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับการอุดหนุนจากโครงการไทยเข้มแข็งของรัฐบาลด้วย” พร้อมบอกสำทับว่าคราวก่อนส่งหนังปาล์มทองคำไปก็ไม่ถูก taste ออสการ์ คราวนี้เลยขอเปลี่ยนวิธีการดูสักหน่อย เลือกหนังตลาดขึ้น ไม่เอาหนังอาร์ต หนังเทศกาล

จากข่าวที่ทราบมา ได้ยินว่า ‘คนโขน’ แทบจะเป็นตัวเลือกเพียงหนึ่งเดียวในการคัดเลือกตัวแทนคราวนี้ ได้ยินว่าไม่มีภาพยนตร์เรื่องอื่นได้รับการพูดถึงในที่ประชุมมากเท่ากับ ‘คนโขน’ ท่านว่า ‘คนโขน’ นี้เท่านั้นคือตัวแทนที่เหมาะสมในการพรีเซนต์ความเป็นไทยต่อสายตาชาวโลก และโดดเด่นพอที่จะไปแข่งขันกับภาพยนตร์ระดับโลกเรื่องอื่นๆ

ต้องประชันทั้งกับ Nader and Simin: A Separation (อัชกาห์ร ฟาร์ฮาดี) หนังอิหร่านเจ้าของรางวัลหมีทองคำ จากเทศกาลภาพยนตร์เบอร์ลิน / Le Havre ของปรมาจารย์ชาวฟินแลนด์ อากิ เคาริสมากิ / The Turin Horse ของ เบล่า ทาร์ อันเป็นตัวแทนของประเทศฮังการี / จางอี้โหมว กับ War of Flowers ในฐานะตัวแทนจากจีนแผ่นดินใหญ่ / ตัวแทนญี่ปุ่น ชินโด คาเนะโตะ ผู้กำกับคลาสสิกรุ่นลายครามอายุเหยียบร้อยกับหนังเรื่องใหม่ชื่อ Postcard / แอนน์ ฮุย เจ้าแม่หนังชีวิตแห่งวงการหนังฮ่องกง กับ A Simple Life หรือ วิม เวนเดอร์ส กับ Pina หนังสามมิติสุดบรรเจิดที่แหวกม่านของขอบเขตแห่งภาษาภาพยนตร์ออกไปอีกขั้นหนึ่ง

คงจะพอลดความอัดอั้นตันใจของศรัณยูที่หนังขาดทุนย่อยยับในประเทศบ้านเกิดไปได้พอสมควร เพราะจากนี้ไปคงนับได้ว่า ศรัณยู วงษ์กระจ่าง จะได้จารึกชื่อเป็นผู้กำกับชาวไทยที่ได้ร่วมออกรบประชันกับผู้กำกับแนวหน้าของโลกอย่างเต็มภาคภูมิ! ประชาคมภาพยนตร์โลกจะต้องจดจำเขาไปอีกนานแสนนาน!
น่าสนใจดีที่ ‘คนโขน’ ฝ่าด่าน ‘ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช’ ภาค 3 และ 4 ขึ้นมาเป็นตัวแทนได้ เล่นเอาปากกาเซียนหักกันไปเป็นลัง เพราะเหล่าผู้ติดตามวงการหนังไทยพากันเดาให้หนาหูว่าภาคสามหรือสี่จะได้ไปออสการ์กันแน่หนอ หลังจากที่สมาพันธ์ฯ ฝากความหวังไว้กับ ‘สุริโยไท’ และ ‘ภาค 2’ ไว้ก่อนหน้านี้

บางทีสมาพันธ์ฯ คงตระหนักได้แล้วว่าเรื่องประวัติศาสตร์สมัย prehistoric ที่เพิ่งสร้างของชาติเล็กๆ รูปขวานบิ่นในเซาท์อีสเอเชีย ไม่ได้ exotic พอจะให้ใครต่อใครในออสการ์หันมาชื่นชมยกย่อง คราวนี้เลยหวังว่าเขาจะ exotic กับศิลปวัฒนธรรมอันงดงาม สูงส่ง ทรงคุณค่า น่าปลาบปลื้ม ของประเทศนี้แทน
อารมณ์ว่าไหนๆ เขาก็เคยชอบงิ้วจีนใน Farewell My Concubine กันมาทั้งโลกแล้ว ทำไมจะชอบโขนไทยไม่ได้ – ดิส อิส ไทย โอเปร่า!

เรื่องราวความสัมพันธ์เชือดเฉือนใน ‘คนโขน’ ก็น่าจะดราม่าถูกใจออสการ์ไม่น้อย มีทั้งเรื่องของศิลปวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าแสน exotic และชีวิตความเป็นมนุษย์ ความดี ความเลว ที่ปะทะสังสรรค์กันอย่างเปี่ยมมิติลึกซึ้งทางศิลป์ ผ่านตัวละครที่ว่ายเวียนอยู่ในแวดวงแห่งนาฏมายาที่กำลังจะสูญพันธ์ลงช้าๆ อย่างโขน – ออสการ์คงจะชอบจนถอนตัวไม่ขึ้นทีเดียว

คนโขน พิมลรัตน์ พิศลยบุตร

ทำไมออสการ์ถึงจะชอบ? ก็เพราะมีทั้งการปะทะสังสรรค์อย่างหฤหรรษ์ของสองคณะโขน คณะโขนรวยๆ ใหญ่ๆ ของครูเสก (นิรุตติ์ ศิริจรรยา) กับคณะโขนจนๆ เล็กๆ ของครูหยด (สรพงษ์ ชาตรี) ที่ถูกฝ่ายแรกหาเรื่องท้าตีท้าต่อยตลอดมา แถมยังมีมิติซับซ้อนขึ้นไปอีกเมื่อสองคนนี้เคยเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกัน (โอ้! ดราม่า) ที่คนหนึ่งเชื่อมั่นในความจงรักภักดี ส่วนอีกคนเชื่อในชื่อเสียงลาภยศ ไม่อยากติดอยู่กับคณะโขนบ้านนอก เลยแยกตัวไป รับไม่ได้! ไอ้ศิษย์คิดล้างครู! – พล็อตแบบนี้หนังอเมริกันรักมาหลายทศวรรษแล้ว ทำไมจะไม่ชอบล่ะครับ แค่เปลี่ยนจากคณะโขนตีกันเป็นบริษัทอะไรสักอย่างมุ่งมาดจะทำลายร้านเล็กๆ เพื่อขยายกิจการตัวเองก็แทบจะสอดรับกันได้พอดี

ไม่ใช่แค่เรื่องใหญ่โตอย่างคนเขาจะแย่งชิงอำนาจในวงการกัน เหล่าลูกศิษย์ลูกหาเองก็มีเรื่องบาดหมางกันมาตั้งแต่สมัยเด็กที่ไปชกมวยตับจาก พระเอกไปผลักเจ้าตัวร้าย(ในอนาคต)จนหน้าบากเป็นแผลอัปลักษณ์ ความแค้นนี้ฝังลึกอยู่ในจิตใจมานานนับทศวรรษ และเมื่อพระเอกของเราได้ไปที่โรงละครแห่งชาติ ก็ประสบพบเหมาะที่แค้นนี้จะได้ชำระเสียที ว่าที่ตัวพระจึงถูกดักทำร้าย รุมซ้อม ทุบตีต่างๆ นานา แถมผู้หญิงที่เหมือนจะมีเพียงคนเดียวในเรื่องก็ถูกจ้องจะแย่งไปอีก (แถมการณ์กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงนางนี้จะทำให้พระเอกของเราต้องบาดหมางกับเพื่อนซี้จิตรกรไปด้วย มันซับซ้อนและมีมิติมากๆ!)

ไม่พอ ยังไม่พอ ครูหยดซึ่งเป็นครูของพระเอก มีเมียเด็กอยู่คนหนึ่งชื่อรำไพ (พิมลรัตน์ พิศลยบุตร) นางรำไพนี้ก็อยากได้พระเอกมากๆ ถึงขั้นจะปลุกปล้ำขืนใจอยู่ที่ชายหาด กลับมาที่บ้านโขนก็ยังไม่เว้น ยิ่งทำให้ชะตาชีวิตของพระเอกเราต้องประสบเคราะห์กรรมจากความเข้าใจผิดไปอีกเป็นเท่าทวี แถมยังทำให้ครูหยดช็อคสิ้นสติกลายเป็นอัมพาต ซ้ำเติมเคราะห์จากเดิมที่คณะโขนล่มสลายไปแล้วก่อนหน้า – ตัวละครรำไพนี้ซับซ้อนอย่างยิ่ง เพราะนอกจากเธอจะเต็มไปด้วยประเด็นทางจิตวิทยาแบบตัวละครหญิงในหนังฝรั่งเศส (เธอเป็นหญิงร่านแต่ยังจงรักภักดีต่อผัว ซับซ้อนขนาดนี้จะหาที่ไหนได้อีก) เธอยังมีญาณวิเศษรับรู้เหตุเภทภัยล่วงหน้าได้อีกด้วย เมื่อเกิดอภิมหาเพลิงโหมลุกไหม้บ้านครูหยดจนวอดวาย เพราะนกซีจีสองตัวบินมาชนเทียนร่วงลงจากโต๊ะ

ไม่เพียงเท่านั้น การเล่าเรื่องโดยให้หญิงสาวสูงวัยนางหนึ่ง เป็นผู้เล่าเรื่อง (narrator) สาธยายเหตุวิปลาสนาฏกรรมทั้งหมดของเรื่องกลางงานนิทานในสวน (ไม่รู้สวนรถไฟ สวนเบญจสิริ หรือที่ไหน ต้องขออภัยในความอ่อนด้อยด้านภูมิศาสตร์กรุงเทพมหานครของผู้เขียน) และมีส่วนร่วมกับเรื่องมากกว่าการเป็นเพียง narrator ด้วยการที่อยู่ดีๆ เธอก็ร้องเพลงประกอบด้วยท่วงท่าลีลาแบบมิวสิคัลออกมาประกอบเหตุการณ์ชวนตื่นเต้นของอดีต ก็เป็นเทคนิคชั้นเชิงทางภาษาศิลป์ที่หาได้ยากยิ่งในประวัติศาสตร์ร่วมสมัยของโลกภาพยนตร์ เท่าที่จำความได้ ไม่มีผู้กำกับคนไหนไม่ว่าจะแมสจะอาร์ตกล้าใช้เทคนิคนี้ ซึ่งทำให้ฉากดังกล่าวเล่าเรื่องอย่างเวรี่ทะเยอทะยาน เพราะมันข้ามมิติของสังคม วัฒนธรรม ทัศนคติ และเวลาไปพร้อมๆ กันได้อย่างน่าตกตะลึง

แถมประเด็นอันเป็นแก่นเป็นธีมของเรื่องก็สดใหม่ น่าทึ่ง ทะเยอทะยาน ชนิดที่ไม่มีศิลปินผู้สรรค์สร้างศิลปะภาพยนตร์ร่วมสมัยที่ใดบนโลกจะนึกถึงแน่นอน นั่นคือ “ศิลปะต้องรับใช้และจรรโลงคุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม” หาใช่รับใช้หรือสร้างขึ้นเพื่อสนอง “ลาภยศ ชื่อเสียง เงินทอง การสรรเสริญแซ่ซ้อง” จากมวลประชา – ไม่เรียกว่าเป็นการก้าวกระโดดของวงการแล้วจะให้เรียกว่าอะไรได้อีก

สมแล้วที่เป็นหนังระดับส่งไปให้ออสการ์ดู แต่เหมือนว่ารอบแรกของออสการ์เขาไม่ได้ดูหนังทุกเรื่องอย่างพินิจ บางเรื่องไม่ได้ผ่านสายตาใครก็ถูกเขี่ยตกรอบไปก่อนแล้วด้วยโปรไฟล์ต่างๆ ที่แนบไปให้พร้อมกับตัวหนัง

คนโขน ฉากจบ

เมื่อ ‘คนโขน’ ได้รับใช้คุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม (คนชั่วต้องได้รับผลกรรมตามสนองทันท่วงทีในชาตินี้ ไม่ว่าจะครูหยด ครูเสก อีรำไพ ไอ้คม ไอ้นู่น ไอ้นี่ ไอ้นั่น) รายได้ที่ไม่เข้าเป้านั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญใดๆ เลย เพราะหนังเรื่องนี้มิได้สร้างขึ้นเพื่อลาภยศ ชื่อเสียง เงินทอง และการสรรเสริญแซ่ซ้องจากผู้ใด เพราะเมื่อหนังได้ทำหน้าที่ส่งเสริม ธำรงรักษาไว้ซึ่งวัฒนธรรมและประเพณีอันดีงามของไทยที่กำลังจะล่มสลายไปตามกาลเวลา เพียงเท่านี้ศรัณยูก็ตายตาหลับ

น่าเสียดายที่ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่กลับไม่เห็นคุณงามความดีของภาพยนตร์เรื่อง ‘คนโขน’ และคุณูปการของสิ่งที่ศรัณยู วงษ์กระจ่าง ได้เพียรสร้างขึ้นตลอดระยะเวลาสองปีที่ปลุกปั้นภาพยนตร์จนออกมาสำเร็จเป็นรูปร่าง (และยังถ่ายด้วยฟิล์ม 35 ม.ม. ในยุคที่อำนาจและอิทธิพลของกล้องดิจิตอลแทบจะครอบงำวงการภาพยนตร์ไปแล้ว) จนทำให้ภาพยนตร์ต้องขาดทุนย่อยยับอย่างน่าอดสูใจ เพราะไม่มีใครดู ไม่มีใครชื่นชม ไม่มีการสรรเสริญแซ่ซ้องใดๆ

แต่แหม… ก็ “ปาฏิหาริย์ไม่มีจริง ทุกสรรพสิ่งมีผลมาจากเหตุและปัจจัย” น่ะครับ ไม่ใช่อะไรที่จะโวยวายแค่ว่า “กาลเวลาทำลายทุกสิ่ง ทำลายอารยะ ทำลายวัฒนธรรม” แล้วต้องตาลีตาเหลือกช่วยกันปกป้องแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ

ที่มา:Siam Intelligence Unit *************************************************************************

วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2554

ลวงโลก CCTV ดีแต่ด่า-แล้วทำมันซะเอง ปชป.ยิ่งนานยิ่งไกลทำเนียบ !!?

ผ่านพ้นไปแล้วกับการแข่งขันบอลกระชับมิตรระหว่างคณะรัฐมนตรีกัมพูชา และแกนนำ นปช. เมื่อวันที่ 24 ก.ย. ที่สนามโอลิมปิก กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา โดยที่สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีไทย ร่วมทำพิธีเปิดการแข่งขัน
เป็นการแข่งขันเพื่อมุ่งกระชับความสัมพันธ์จริงๆ จึงได้ใช้การแบ่งทีมผสมผู้เล่นทั้งไทยและกัมพูชาลงไปในทั้งสองทีม โดยทีมเอ สวมเสื้อสีแดง มีสมเด็จฮุน เซน เล่นตำแหน่งกองหน้าหมายเลข 9 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายจตุพร พรหมพันธ์ุ สอง ส.ส.เพื่อไทย ร่วมทีม
และทีมบี สวมเสื้อสีน้ำเงิน มีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ใส่หมายเลข 9 พร้อมปลอกแขนกัปตันทีม
ผลการแข่งขันปรากฏว่า ทีมเอเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ด้วยสกอร์ 10-7 ประตู ท่ามกลางบรรยากาศการเชียร์ที่สนุกสนาม เพราะมีผู้ชมเต็มสนามทั้งกลุ่มแนวร่วมเสื้อแดงที่เดินทางไปกว่า 5,000 คน และชาวกัมพูชา
นั่นเป็นบรรยากาศที่สร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพื่อลบภาพเก่าเดิมๆ ที่เคยไม่เข้าใจกันในช่วงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ปล่อยนโยบายต่างประเทศให้กับนายกษิต ภิรมย์ เอาประเทศชาติไปเสี่ยงกับการมีปัญหากับมิตรประเทศเพื่อนบ้านอย่างน่าหวาดเสียว
ซ้ำเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น คือคนไทยโดนจับฐานเข้าไปในพื้นที่กัมพูชาโดยไม่ถูกกฏหมาย มีคลิปที่ถ่ายกันเอาไว้เองเป็นเครื่องยืนยัน ทำให้คนไทยต้องโดนจับขังคุก แต่ปรากฏว่ารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ก็เลือกที่จะช่วยเฉพาะคนของพรรค คือ นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ เพียงคนเดียว
ปล่อยให้นายวีระ สมความคิด และนางสาวราตรี พิพัฒนาไพบูลย์ ติดคุกเปรซอว์ ยาวนานจนล่วงมาถึงรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ต้องมาสานสัมพันธ์กับรัฐบาลกัมพูชาใหม่
และทำให้มีฟุตบอลกระชับมิตรเกิดขึ้น ซึ่งเชื่อว่าสุดท้ายแล้วข่าวดีในเรื่องการปล่อยตัวนายวีระ และนางสาวราตรี น่าจะไม่เป็นปัญหาสำหรับรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์แน่ เพราะท่าทีของสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ดูอ่อนลงมาไม่น้อย
นี่คือข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนของการทำงานระหว่างรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ และรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์
และเป็นสิ่งที่สะท้อนได้ดีถึงวิธีคิดในการทำงานของทั้ง 2 พรรคการเมืองใหญ่
พรรคเพื่อไทย พยายามเร่งสร้างผลงานใหม่ๆออกมา ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์แบบไม่สนใจฟังข้อเท็จจริงของขั้วการเมือง และขั้วอำนาจฝั่งตรงข้าม
ในขณะที่พรรประชาธิปัตย์ อาศัยขั้วอำนาจพิงหลัง แล้วเล่นการเมืองแบบเอาดีเข้าตัวเพียงอย่างเดียว คนอื่นหรือพรรคการเมืองอื่นๆ ไม่ใช่เฉพาะแค่พรรคเพื่อไทยเท่านั้น แม้แต่กระทั่งพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันพรรคประชาธิปัตย์ยังพร้อมโยนภาพลักษณ์ที่ติดลบเข้าใส่ให้ได้เสมอ
ขอเพียงให้ตนเองมีภาพลักษณ์ที่ดีเป็นพอ
นี่คือสิ่งที่ทำให้แม้แต่บรรดาคนในพรรคประชาธิปัตย์ด้วยกันเองยังอดเป็นห่วงลึกๆไม่ได้ กับสไตล์การบริหารพรคในยุคปัจจุบันที่มีนายอภิสิทธิ์ แอนด์ เดอะ แก๊งส์ ทำอยู่ในเวลานี้
อย่างกรณีของกล้องวงจรปิดหลอกลวงของ กทม. ที่เป็นข่าวฉาวโฉ่ขึ้นมา ก็เป็นผลงานในยุคที่มีนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน นั่งเป็นผู้ว่าฯ กทม.อยู่ในขณะนั้น ซึ่งนายอภิรักษ์ ก็เป็นหนึ่งในแก็งส์ของนายอภิสิทธิ์ ที่นายอภิสิทธิ์ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่นั่นเอง
แม้ว่าจะมีชะนักปักหลังในเรื่องของทุจริตรถดับเพลิง – เรือดับเพลิง คาอยู่ก็ตาม
ล่าสุดเมื่อมาเจอประเด็นเรื่องผลงานกล้องวงจรปิดลวงโลกฉาวซ้ำขึ้นมาอีกเรื่อง ว่าเกิดในยุคเดียวกัน ยิ่งทำให้นายอภิสิทธิ์ ในฐานะหัวหน้าแก็งส์ยิ่งต้องโอบอุ้มนายอภิรักษ์จนหนักบ่ามากขึ้นไปอีก
เพราะล่าสุด ทางสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. มีการออกแฉซ้ำเรื่องกล้อง CCTV กทม. ด้วย โดยนายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน รักษาราชการผู้ตรวจเงินแผ่นดิน เปิดเผยถึงการตรวจสอบกล้องซีซีทีวี ของ กทม. ที่มีการติดตั้งกล้องปลอม หรือ "กล้องดัมมี่" ว่า เมื่อปรากฏเป็นข่าว ก็ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่เรียกข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาดูทั้งหมด เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ
โดยในการตรวจสอบขั้นแรก คือต้องดูว่า สัญญาเขียนอย่างไร ถูกต้องหรือไม่ จากนั้น ก็ต้องตรวจว่าจำนวนกล้องจริงที่ซื้อมา มีครบตามที่ระบุเอาไว้หรือไม่ โดย สตง.จะตรวจสอบให้เสร็จในไม่ช้า เพราะรู้ว่า ประชาชนตั้งข้อสงสัย และอยากรู้ว่า งบประมาณที่จัดซื้อไปนั้นมีความถูกต้องหรือไม่
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ต้องมีความรอบคอบ เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน อีกทั้งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาเป็นเวลานานแล้ว จึงอาจจะใช้เวลาสักเล็กน้อย
“เรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นประชาชนร้องมา หรือพรรคเพื่อไทยร้องมา หรือไม่มีใครร้องเรา ก็ต้องตรวจสอบ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศ” นายพิสิษฐ์กล่าว
นายพิศิษฐ์ ยังเปิดเผยด้วยว่าก่อนที่จะมีข่าวเรื่องนี้ สตง. ก็ได้ไปตรวจสัญญาการจ้างเหมา ซื้อกล้องซีซีทีวี ของ กทม. ใน ปี 2553 ที่เริ่มสัญญาเมื่อเดือน มิ.ย. 2553 และ เสร็จสิ้นสัญญาในเดือนธันวาคมของปีเดียวกัน ในวงเงิน 126 ล้านบาท ซึ่งเมื่อไปสุ่มตรวจกลับพบว่า บางส่วนกลับไม่ได้บรรจบไฟ ทำให้กล้องที่ซื้อมานั้น แม้จะติดตั้งแล้ว แต่ก็ใช้งานไม่ได้ จึงยังไม่สามารถเซ็นมอบงานได้
ซึ่งเมื่อทราบเรื่องแล้ว สตง. ได้สอบถามไปยัง กทม. ก็ได้รับคำตอบว่า ยังไม่สามารถเจรจากับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) จึงไม่มีการปล่อยสัญญานไฟมา ซึ่งเราก็ได้สอบถามกลับไปอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบ
ในขณะที่ทางด้านของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ นายกล้าณรงค์ จันทิก กรรมการ ป.ป.ช. เปิดเผยว่า ขณะนี้ เจ้าหน้าที่ด้านฝ่ายข่าว ของ ป.ป.ช. กำลังรวบรวมข้อมูลข่าวสารของสื่อมวชน โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ที่นำเสนอข่าวการติดตั้งกล้องวงจรปิดของกทม. ที่พบว่า บางจุดมีการติดตั้งกล้องหลอก
คาดว่า เจ้าหน้าที่จะประมวลข้อมูลเสร็จภายในวันที่ 22 ก.ย.54 และเสนอให้คณะกรรมการ ปปช. พิจารณาในวันที่ 27 ก.ย.นี้ โดยเบื้องต้นคาดว่า จะรับเรื่องนี้ไว้พิจารณา
ซึ่งทางพรรคเพื่อไทยก็ได้มีการจี้ด้วยว่า ในกรณีคณะทำงานตรวจสอบการทุจริต 172 โครงการของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พบว่าโครงการจัดซื้อจัดจ้างกล้องซีซีทีวีของ กทม.น่าจะมีประสิทธิภาพที่ต่ำกว่าทีโออาร์ ตั้งข้อสังเกตมีการฮั้วประมูล โดยได้ยื่นเรื่องนี้ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ดำเนินการต่อไปแล้วนั้น เรื่องนี้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) น่าจะเข้าดำเนินการโดยด่วน เพื่อทำให้เป็นคดีตัวอย่าง
และได้มีการฝากไปถึงฝ่ายค้านอื่นๆให้ช่วยกันตรวจสอบเรื่องดังกล่าว อยากจะให้ฝ่ายค้านได้เข้ามาทำงานร่วมกันกับรัฐบาลเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน
โดนเข้าเต็มๆ ประชาธิปัตย์ก็เลยควันออกหู และพยามพลิกเกมตามสไตล์ โดยนายอภิสิทธิ์ ซึ่งถูกถามถึงกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รับสอบในเรื่อง การจัดซื้อกล้องวงจรปิด (CCTV) ของกรุงเทพมหานคร ว่าคงไม่เป็นปัญหา เมื่อมีหน้าที่ที่จะตรวจสอบก็ตรวจสอบกันไป ในส่วนของผู้ว่าฯ กทม.ทั้งอดีตและคนปัจจุบัน ก็ไม่มีปัญหา การทำงานในสถานะอะไรก็ตามผู้ทำงานต้องรับผิดชอบ ไม่อยากให้สังคมสับสน
แถมยังอ้างกลับด้วยว่า เรื่องกล้องวงจรปิด อย่างเช่นกล้องพรางนั้นเป็นสิ่งที่ใช้และทำมาตั้งแต่เริ่มทำโครงการ CCTV ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เริ่มไว้ที่ภาคใต้ โดยแยกเป็นกล้องจริงประมาณ 3,000 ตัว และกล้องดัมมี่ประมาณ 7,000 ตัว เป็นเรื่องที่ทำกันมาแบบนี้ ต่างประเทศก็ทำเช่นนี้
แนวทางเดิมๆ ด้วยการออกตัวว่าสิ่งเหล่านี้คนอื่นๆก็ทำกัน
แต่ปัญหาก็คือ 2 ปี 7 เดือนที่เป็นรัฐบาล ทางนายอภิสิทธิ์ ไม่ได้มีการออกมาให้ข้อมูลประชาชน หรือว่ามีการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวเลย แต่พอพวกตนเองโดนตรวจสอบ กลับเอามาใช้เป็นข้ออ้างในทันที
กับอีกปัญหาหนึ่งที่ประชาชนคนกรุงเทพฯคาใจ นั่นก็คือ ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ และนายอภิรักษ์ รู้ดีอยู่แก่ใจว่าอะไรเป็นอะไร ทำไมจึงปล่อยให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้ว่าฯกทม.คนปัจจุบัน รณรงค์ในเรื่องการติดตั้งกล้องวงจรปิดครบ 10,000 ตัว
จนถึงขั้นมีการทำประชาสัมพันธ์ถ่ายรูปเฉลิมฉลองอย่างเอิกเกริกเป็นข่าวไปทั่ว
แต่ทำไมนายอภิสิทธิ์ และนายอภิรักษ์ ไม่มีการกระซิบบอก ม.ร.ว.สุขุมพันธ์เลยสักคำ อย่างน้อยถ้าบอก ใน 10,000 ตัวก็จะได้รีบเอาไปติดตั้งแทนกล้องลวงโลกได้ทัน
ไม่ต้องให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ต้องหน้าแตก เอาในช่วงเวลาที่เหลืออีกเพียงปีเศษก็จะครบวาระ จะต้องเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.คนใหม่แล้ว
หรือนี่คือแผนเตะตัดขากันเองภายในพรรค ที่จะไม่ให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ได้รีเทิร์นกลับมาเป็นผู้ว่าฯ กทม. เป็นสมัยที่ 2... อย่างที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันในสังคมโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คในเวลานี้
เพราะในพรรคประชาธิปัตย์เอง นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ มีการออกมาให้ข้อมูลว่า สัญญาจัดซื้อจัดจ้าง ในการติดตั้งกล้องวงจรปิดที่ผ่านมาของ กทม. มีจำนวน 4 ฉบับ
โดยอ้างว่าในสมัยนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน มีการทำสัญญาเพียงหนึ่งฉบับ คือติดตั้งกล้องจริง 347 ตัว ดัมมี่ 242 ตัว ราคาตัวละ 2,900 บาท เป็นเงิน 7 แสนบาท
ส่วนสัญญาฉบับที่สองถึงฉบับที่สี่เกิดขึ้นในสมัย ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ุ บริพัตร
โดยฉบับที่ 2 มีการติดตั้งกล้องจริง 533 ตัว กล้องดัมมี่ 373 ตัว ฉบับที่สามมีการติดตั้งกล้องจริง 490 ตัว กล้องดัมมี่ 343 ตัว และฉบับที่สี่ ติดตั้งกล้องจริง 676 ตัว กล้องดัมมี่ 367 ตัว รวมทั้งหมดมีการติดตั้งกล้องจริง 2,046 ตัว และกล้องดัมมี่ 1,325 ตัว วงเงินทั้งหมดรวม 330 ล้านบาท
เป็นการให้ข้อมูลที่เหมือนจะบอกว่า นายอภิรักษ์ ที่ใช้เงินซื้อกล้องลวงโลกไปเพียงแค่ 7 แสนกว่าบาทเท่านั้น ส่วน ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ใช้เงินถึง 330 ล้านบาทในการซื้อกล้องลวงโลก

เพราะนายอภิสิทธิ์ เองเมื่อถูกถามว่า จะมีผลกับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ที่กำลังจะมีขึ้นหรือไม่นั้น ก็ตอบสั้นๆแค่ว่าไม่ทราบ แต่ก็ให้ตรวจสอบทำความเข้าใจกันไป และอ้างว่ายังอีกนานกว่ามีจะมีการเลือกตั้ง
งานนี้น่าเห็นใจ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์เป็นที่สุด

และก็อดห่วงพรรคประชาธิปัตย์ เช่นเดียวกับที่บรรดาผู้อาวุโสของพรรคหลายคนที่มีความอึดอัดใจกับสไตล์ของ อภิสิทธิ์ แอนด์ เดอะ แก๊งส์ ไม่ได้

เพราะหากยังขืนเล่นการเมืองสไตล์นี้ โอกาสที่พรรคประชาธิปัตย์ จะกลับมาเลือกตั้งชนะพรรคเพื่อไทยด้วยลำพังตัวเอง ด้วยผลงานของพรรคเอง โดยที่ไม่ต้องอาศัยพึ่งพิงขั้วอำนาจต่างๆนั้น
เป็นเรื่องที่ถือว่ายากมากจริงๆ
เพราะล่าสุด เอแบคโพล มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ได้รายงานผลสำรวจเรื่องเปรียบเทียบความนิยมศรัทธาของสาธารณชน ต่อ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พบว่ากลุ่มตัวอย่างร้อยละ 48.5 ไม่นิยมใครเลย
ในขณะที่ร้อยละ 38.6 นิยมศรัทธาต่อ นางสาวยิ่งลักษณ์
และร้อยละ 12.9 นิยมศรัทธาต่อนายอภิสิทธิ์
โดยที่พบว่ากลุ่มเกษตรกรร้อยละ 43.0 พ่อบ้านแม่บ้านร้อยละ 42.2 และกลุ่มคนว่างงานไม่มีอาชีพร้อยละ 43.1 เป็นกลุ่มที่นิยมศรัทธานางสาวยิ่งลักษณ์มากที่สุด
และกลุ่มนักเรียน นักศึกษา เป็นกลุ่มที่มีคนนิยมศรัทธาต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ร้อยละ 28.7
ขณะที่ในกลุ่มข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจร้อยละ 39.2 นิยมนางสาวยิ่งลักษณ์ โดยที่ร้อยละ 16.7 นิยมนายอภิสิทธิ์

เรียกว่าความนิยมต่างกันเกินกว่าเท่าตัวเช่นนี้ จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์หันมาทบทวนสไตล์ของตนเองบ้างดีหรือไม่???
หรือจะปล่อยให้พรรคเสี่ยงต่อไปเรื่อยๆเช่นนี้

ที่มา:บางกอกทูเดย์
/////////////////////////////////////////////////////////////

ไม่มีควัน.ไม่มีไฟ !!?

มาอีกแล้วครับท่าน?..ขบวนการทำลายประเทศ จ้องปฏิวัติล้มกระดาน “รัฐบาลปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิง แห่งเมืองไทย??
ไม่ใช่ “คุณปูจ๋า” มีผลงานฟอนเฟอะ ทุจริตฟุ้งเฟ้อ โกงกินกันฟูมฟาย.. แต่ทว่าทำงานเข้าตาประชาชนสุดขีด...
“มือที่มองไม่เห็น”?.. เริ่มเชื่อว่า “รัฐบาลปู” จะอยู่ยาวถึง ๘ ปี จะพากันหงุดหงิด
ทางเดียว, ที่จะล้มรัฐบาลประชาธิปไตย เสียงสวรรค์จากประชาชน ๑๕ ล้านเสียงด้วย..ก็คืองัดวงจรอุบาทว์ “ปฏิวัติ” ขึ้นมาล้มล้าง!!
ปฏิวัติ ๑๙ กันยาฯ... คนประณามกันนักหนา?...ยังมีน้ำหน้า คิดจะทำกันอีกครั้ง??

++++++++++++++++++++++++++++++

ตบมือข้างเดียวไม่ดัง!!
“ปฏิวัติ” ล้มเหลวไม่เป็นท่า...หากนักการเมือง ไม่เข้าไปมีเอี่ยว “ปฏิวัติ” ก็พัง??
วันนี้ประเทศไทย เดินบนถนนประชาธิปไตย มายาวไกล ที่จะถอยหลังลงคลอง
อยากเห็น “ประชาธิปัตย์” พลพวก “อดีตนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ร่วมกันปกป้อง
อย่าให้อำนาจนอกระบบ เป็นถ่วงขาประเทศไทย..เข้ามายึดอำนาจปฏิวัติ ด้วยความขี้อิจฉา!
ถ้านักการเมืองไม่เอา..กลุ่มความคิดไดโนเสาร์?...เต่าล้านปี มันก็ไม่กล้า??

+++++++++++++++++++++++++++++

รอยเกวียนย่อมทับรอยเท้าโค!!
ประวัติที่สร้างเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องโม้??
หาก “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อยากเป็น “นายกรัฐมนตรี”..เหมือนที่ “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ประธานองคมนตรี รัฐบุรุษ เป็นนายกฯยาว ๘ ปี.. บนเส้นทาง แห่งความสำเร็จ
ต้องคัด “ผู้บัญชาการทหารบก” มาจาก “สายเสนาธิการทหาร” นี่ถือเป็นสุดยอดกลเม็ด
๘ ปีที่ “ป๋า” เป็นนายกฯ ระหว่างวันที่ ๓ มีนาคม ๒๓ ถึงวันที่ ๔ สิงหาคม ๓๑ ผู้บัญชาการทหารบก ล้วนมาจากสายพิราบ สายเสธฯ มี “พล.อ.ประยุทธ จารุมณี”, “พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก”, “พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ”, พล.อ.สุจินดา คราประยูร”, ฯลฯ..เมื่อ “สายบุ๋น” มีอำนาจมักทำอะไรไม่โฉงฉ่าง ..ผิดกับ “ผบ.ทบ.” ที่มาจาก “สายบู๊” มักทำอะไรเอาแต่ได้ ทันทีทันใด
ที่ท่านเป็นใหญ่ได้สุดเท่ห์...เพราะเอาทหารสายเสธฯ”?...ไม่มีเล่ห์เพทุบาย ขึ้นมาเป็นใหญ่

++++++++++++++++++++++++++

ทำงานขยันฟิตเต็มพิกัด!!
สมาคมช่างภาพสื่อมวลชน ของ “นายกวิชัย วลาพล” มอบรางวัล “ขวัญใจช่างภาพ” ให้แก่ “นายกฯปู” คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
พร้อมมอบรางวัลบุคคลดีเด่น “ยงยุทธ์ วิชัยดิษฐ์” รองนายกฯ และ มท. ๑ฐานะบูรณาการแก้ไขอุทุกภัย, “กิตติรัตน์ ณ .ระนอง” รองนายกฯและรมว.พาณิชย์ ผู้เป็น “มิสเตอร์ลดค่าครองชีพ” แก้ปัญหาท้องปาก “วิทยา บูรณศิริ” รมว.สาธารณสุข ผู้สานต่อนโยบาย ๓๐ บาท, “พิชัย นริพทะพันธ์ุ” รมว.พลังงาน ผู้ลดกระฉูดราคาน้ำมัน, “เลอศักดิ์ จุลเทศ” ผอ.ธนาคารออมสิน นักบริหารมือทองสมองเพชร
นอกนี้ยังมี “สส.อนุชา บูรพชัยศรี”, “พล.ต.ต.พิทักษณ์ จารุสมบัติ” สส.ฉะเชิงเทรา, “สุทธิชัย วีรกุลสุนทร” ประธานสภาฯกทม. “พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธ์ุ” ผู้บัญชาการสืบสวนกลาง, “จิรายุทธ รุ่งศรีทอง” กรรมการใหญ่กสท. และ “วรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี” ..ใจดี คนกล้า ใจเด็ด
โดยแจกรางวัลอย่างยิ่งใหญ่ ..ในงานประกาศผลรางวัลภาพข่าวสื่อมวลชนยอดเยี่ยมครั้งที่ ๑๕ ณ. โรงแรมเซ็นทรัล ลาดพร้าว “ช่อง ๗สี” เจ้าเก่าถ่ายทอดสด ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๙ กันยาฯนี้
“นายกฯปู”สวยเลือกได้...อีกทั้งทำงานถูกใจ?.. “ช่างภาพ”ทั้งหลาย จึงเทใจให้ทันที??

+++++++++++++++++++++++++++

ปัญหาเล็ก ๆ แก้ได้..ไม่เสียชื่อ!!
เรื่องของ “พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี” แก้เกมได้.. เพียงแค่ พลิกฝ่ามือ??
ในเมื่อขั้วอำนาจประเทศไทย ขัดขวาง ไม่ให้ “บิ๊กพัลลภ” เข้าไปคุม “กอ.รมน.”
ตั้งข้อรังเกลียดเดียดฉันท์ ว่าเป็น “ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี” จึงมีอำนาจ ไม่เพียงพอ
ฉะนั้น, “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็แก้คำสั่งนายกฯ ให้ “พล.อ.พัลลภ” เป็นประธานที่ปรึกษา..เมื่อนั้นอำนาจก็จะล้นฟ้า เทียบเท่ากับ “รองนายกรัฐมนตรี”!!
ที่เขาค้านไม่ให้มาคุม กอ.รมน.....กลัวบิ๊กพัลลภจะเป็น “กอขอคอ”?..ต่อต้านปฏิวัตินะซี่

คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
///////////////////////////////////////////////

มติป.ป.ช.รับสอบร้องทุจริต CCTV พท.ยกรายงาน สตง.โต้จัดซื้อกล้องวงจรปิด 5 จว.ใต้ยุค รบ.สุรยุทธ์ !!?

นายกล้านรงค์ จันทิก โฆษกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แถลงที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สนามบินน้ำ เมื่อวันที่ 27 กันยายน ถึงเรื่องกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (ซีซีทีวี) ของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ว่า ป.ป.ช.ให้สำนักการข่าวและกิจการพิเศษไปรวบรวมข้อมูลจากสื่อมวลชนและข้อมูลเบื้องต้นที่มีผู้ส่งมาให้ โดยได้สรุปเรื่องส่งให้ ป.ป.ช.พิจารณาแล้วเห็นว่ากรณีนี้มีเหตุอันควรสงสัย ว่าการจัดซื้อกล้องโทรทัศน์วงจรปิดของ กทม.จะมีการทุจริตหรือไม่ และจะเป็นกล้องจริงหรือเป็นกล่องเปล่าจริงหรือไม่ ราคาจะแพงจริงหรือไม่

ดังนั้น จึงมีมติรับไว้พิจารณาและมอบหมายให้พนักงานเจ้าหน้าที่ไปดำเนินการหาข้อเท็จจริงและรวบรวมเอกสารหลักฐานทั้งหลายให้ชัดเจนว่ามีบุคคลใดบ้างที่มีส่วนเกี่ยวพันกับเรื่องนี้และมีส่วนเกี่ยวพันอย่างไร เพื่อนำมาเสนอคณะกรรมการ ป.ป.ช.ดำเนินการต่อไป" โฆษก ป.ป.ช.ระบุ

นายกล้านรงค์ยังแถลงถึงพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 2 พ.ศ.2554 ในมาตรา 103/9 ได้บัญญัติให้ ป.ป.ช.เปิดเผยกระบวนการและขั้นตอนการไต่สวนข้อเท็จจริงของคดีที่อยู่ระหว่างการไต่สวนเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าตรวจดูได้โดยได้จัดทำข้อมูลดังกล่าวในลักษณะระบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ของสำนักงาน ป.ป.ช. ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงความคุ้มครองสิทธิของบุคคลและผลกระทบต่อรูปคดีด้วย ซึ่งขณะนี้ ป.ป.ช.ได้จัดทำเว็บไซต์ขึ้นแล้ว โดยได้นำข้อมูลขึ้นในเว็บไซต์ www.nacc.go.th ไปในวันที่ 27 กันยายนไปแล้วประมาณ 200-300 เรื่อง จาก 1,000 กว่าเรื่องและจะทยอยนำขึ้นเว็บไซต์ไปเรื่อยๆ เพื่อให้รู้ว่าการไต่สวนที่อยู่ใน ป.ป.ช.นั้นอยู่ในขั้นตอนใด

นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยหลังจาก ป.ป.ช.มีมติรับคดีโครงการติดตั้งกล้องวงจรปิดของ กทม.ว่า การรับคดีไว้พิจารณาของ ป.ป.ช.ยังไม่กระทบการสืบสวนรวบรวมหลักฐานและข้อเท็จจริงเบื้องต้น เพราะขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนมีการกระทำผิดหรือไม่ หากมีการกระทำผิดจะเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐหรือเป็นความผิดของภาคเอกชน ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจสอบสวนของ ป.ป.ช. ดังนั้น ดีเอสไอจะตรวจสอบกรณีดังกล่าวต่อไป หากพบมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงเข้าไปเกี่ยวข้องกระทำความผิดจะส่งสำนวนพร้อมหลักฐานให้ ป.ป.ช.ดำเนินการต่อไป

ดีเอสไอส่งเจ้าหน้าที่ที่มีความชำนาญเรื่องคดีฮั้วประมูล ตรวจสอบอย่างละเอียด ตรงไปตรงมา ไม่มีการกลั่นแกล้งแน่นอน คาดใช้เวลาสอบข้อเท็จจริงไม่นาน อยากให้ กทม.ส่งเอกสารที่ดีเอสไอขอตรวจสอบให้ครบ จะทำให้การตรวจสอบชัดเจนขึ้น" อธิบดีดีเอสไอระบุ

ขณะที่ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีพิเศษ ดีเอสไอ กล่าวถึงการขอข้อมูลโครงการติดตั้งกล้องวงจรปิด (ซีซีทีวี) ของ กทม.ว่า ให้เวลา กทม. 3 วัน ในการส่งเอกสารให้ตรวจสอบ ข้อมูลที่ขอเกี่ยวข้องกับการจัดทำโครงการตั้งแต่เริ่มต้นถึงการติดตั้งกล้องทั้งหมด มีเอกสารที่เกี่ยวข้องจำนวนมากทั้งใบวางเงิน หนังสือขอความเห็นชอบ ใบประกวดราคา ใบตรวจรับ การติดตั้ง การเบิกครุภัณฑ์ ทั้งนี้ ได้ขอข้อมูลระหว่างปี 2550-2554 ซึ่งในปี 2554 พบว่ามีโครงการติดตั้งกล้องซีซีทีวี 20,000 ชุด จึงขอให้ส่งมาตรวจสอบพร้อมกัน

ดีเอสไออาจจำเป็นต้องขอสำเนาข้อมูลเรื่องดังกล่าวที่ กทม.ได้ส่งให้กับสำนักงานตรวจการเงินแผ่นดิน (สตง.) มาตรวจสอบ ในกรณีที่อาจมีข้อมูลบางส่วนขาดหาย เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับข้อมูลที่ได้จาก กทม. ซึ่ง กทม.ให้ความร่วมมือจัดหาเอกสารอย่างดี" พ.ต.ท.พงศ์พรกล่าว

วันเดียวกัน ที่รัฐสภา นายโสภณ ศรีมาเหล็ก ส.ว.น่าน ประธานคณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษาและติดตามระบบเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศการสื่อสารเพื่อความปลอดภัยของบ้านเมือง ใน กมธ.วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีการสื่อสารและโทรคมนาคม วุฒิสภา ได้ประชุมพิจารณาข้อมูลข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีการติดกล้องซีซีทีวีในพื้นที่ กทม. มีนายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าฯ กทม.และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจง

ทั้งนี้ นายธีระชนยืนยันว่าการจัดซื้อกล้องซีซีทีวีของ กทม.โปร่งใส ส่วนประเด็นที่เป็นข่าวเข้าใจว่ามีความพยายามโยงเป็นเรื่องการเมือง เพราะใกล้ถึงการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.แล้ว ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. ได้กำชับให้ฝ่ายข้าราชการประจำ และ กทม.งดตอบโต้ เพียงแต่ให้ชี้แจงในข้อเท็จจริงเท่านั้น ส่วนสาเหตุที่ กทม.ต้องมีกล้องดัมมี่ เพราะก่อนหน้านี้มีข้อจำกัดเรื่องงบประมาณจัดซื้อ จึงต้องจัดซื้อกล้องดัมมี่ในราคาตัวละ 1,000 บาทเพื่อป้องปราม อีกทั้งในการชุมนุมทางการเมืองช่วงที่ผ่านมา มีการทำลายกล้องซีซีทีวีจำนวนมาก มูลค่าเสียหายกว่า 33 ล้านบาท

นายธีระชนกล่าวว่า แต่ในช่วงทำโครงการกล้องซีซีทีวี 10,000 ตัวนั้น ยืนยันไม่มีการจัดซื้อกล้องหลอก แต่ที่ยังคงค้างอยู่เป็นของเก่าที่ติดตั้งไว้เพื่อป้องปราม ที่จริงแล้วในหลักสากลหน่วยงานไม่ควรเปิดเผย แต่เมื่อเรื่องถูกยกมาเป็นประเด็นจึงจำเป็นต้องเปิดเผย

หลังที่ปรากฏเป็นประเด็นในเว็บไซต์พันทิป ทาง กทม.เชิญกลุ่มที่โพสต์ข้อความมารับฟังข้อเท็จจริง อีกทั้ง กทม.ได้ติดตามบุคคลที่เป็นผู้ถ่ายรูปกล้องซีซีทีวีดัมมี่มาด้วย โดยการติดตามจากกล้องซีซีทีวีที่ใช้งานได้จริงในพื้นที่ใกล้เคียง ดังนั้นจึงพิสูจน์ได้ว่าในพื้นที่ที่ติดตั้งกล้องดัมมี่ ยังมีกล้องสามารถทำงานได้จริง สำหรับการตั้งข้อสังเกตจากบุคคลภายนอกซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายกับองค์กรของ กทม. เป็นเรื่องที่ข้าราชการประจำมีสิทธิจะปกป้องศักดิ์ศรีขององค์กร ด้วยการชี้แจงหรือหากกลายเป็นประเด็นโจมตีเพื่อหวังผลการเมือง เป็นสิทธิ กทม.ดำเนินการใดๆ เพื่อรักษาชื่อเสียงด้วย"รองผู้ว่าฯ กทม.ระบุ

ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) เวลา 15.00 น. นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พท. ในฐานะคณะกรรมการตรวจสอบความไม่โปร่งใส 172 โครงการที่พรรคได้รับการร้องเรียน นำเอกสารการทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้างในโครงการติดตั้งกล้องทีวีวงจรปิด (ซีซีทีวี) ในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รายงานการตรวจสอบของสำนักงานตรวจการเงินแผ่นเดิน (สตง.) และรายงานผลการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายเจะอามิง โตะตาหยง ส.ส.นราธิวาส พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เป็นประธาน มาประกอบการแถลงข่าว โดยยืนยันว่าโครงการติดตั้งกล้องทีวีวงจรปิดใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ได้ริเริ่มในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตามที่ ปชป.บิดเบือนข้อมูลและสาดโคลน

เพราะจากหลักฐานโครงการติดตั้งกล้องทีวีวงจรปิดเริ่มในรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี โดยมีมติ ครม.เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2550 อนุมัติโครงการจัดซื้อ พร้อมติดตั้งระบบกล้องทีวีวงจรปิดในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ทำสัญญากับบริษัท ดิจิตอล รีเสิร์ชแอนด์คอนซัลติ้ง จำกัด ผู้ชนะการประมูล ตามสัญญาเลขที่ 101/2550 ภายใต้งบประมาณ 969 ล้านบาท" นายยุทธพงศ์ระบุ

นายยุทธพงศ์กล่าวว่า แต่หลักฐานชิ้นสำคัญและเพิ่งได้รับมาล่าสุดคือ รายงานของ สตง. เลขที่ ตผ0016/290 ลงวันที่ 5 กันยายน 2554 ซึ่งส่งถึงนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยแนบสำเนาการสืบสวนสอบสวน จำนวน 58 แผ่น พบว่าการจัดซื้อจัดจ้างติดตั้งกล้องทีวีวงจรปิดโดยวิธีพิเศษนั้น เกิดความไม่โปร่งใสในขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างของบริษัทผู้ได้รับงาน และ สตง.เห็นควรให้ดำเนินคดีอาญากับข้าราชการหลายราย รวมถึงอดีตปลัดกระทรวงมหาดไทยรายหนึ่ง ลงชื่อนายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส รองผู้ว่าการ สตง. รักษาราชการแทนผู้ว่าการ สตง.

หลังจากนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จะตั้งกรรมการสอบทั้งความผิดทางอาญาและทางวินัย แม้บางคนเกษียณราชการไปแล้วก็สามารถดำเนินการเอาผิดได้ นอกจากนี้ยังมีข้าราชการบางรายมีความผิดฐานละเมิด สร้างความเสียหายต่อรัฐ คิดเป็นเงิน 87.5 ล้านบาท ซึ่งกระทรวงมหาดไทยต้องฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากข้าราชการกระทรวงมหาดไทยรายดังกล่าว แต่ทั้งนี้รายงาน สตง.ไม่พบว่ามีนักการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย" นายยุทธพงศ์กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เอกสารของ สตง.ระบุว่า ควรดำเนินการทางอาญาและทางวินัยกับนายพงศธร สัจจชลพันธ์ พ.อ.ชาญวิทย์ ภัสสรโยธิน นายเสฎฐสิร สินธุวงศานนท์ นายชัยวัฒน์ วงษ์วานิช และนายสมนึก สองเมือง ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 และความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ กรณีกำหนดคุณสมบัติสายใยแก้วนำแสงไม่ตรงตามสเปก 2.ควรดำเนินการทางอาญา แพ่ง และวินัยกับนายพงศ์โพยม วาศภูติ นายประจักษ์ สุวรรณภักดี นายพงศธร สัจจชลพันธ์ นายชัยวัฒน์ วงษ์วานิช และนายสมนึก สองเมือง พ.อ.ประจิตร อ่ำพันธุ์ และนายกฤษฎิ์พงษ์ หริ่มเจริญ ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2542 มาตรา 46 กรณีกระทำการแก้ไขทีโออาร์ โดยปรับลดรายการก่อสร้างอาคาร และการปรับลดรายการ/ราคาอุปกรณ์ติดตั้งแต่คงราคามาตรฐานรวมไว้ตามเดิม

เอกสารของ สตง.ระบุอีกว่า 3.ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการทางละเมิดตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2529 กับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการปรับลดเนื้องาน และราคามาตรฐานเป็นเหตุให้ทางราชการเสียหายเป็นเงิน 87,548,000 บาท ทั้งนี้ ให้แจ้งผลการดำเนินการดังกล่าวกลับไปให้ สตง.ทราบภายใน 90 วัน

ที่มา: มติชนออนไลน์
***********************************

วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2554

อัยการไม่ยอมฎีกาคดีอ้อ-บรรณพจน์ !!?

เลี่ยงภาษีโอนหุ้นชินเห็นพ้องศาลอุทธรณ์

อัยการแถลง ยืนยันไม่ยื่นฎีกา คดีพจมาน-บรรณพจน์ เลี่ยงภาษี ซุกหุ้นชินคอร์ป แจงเหตุผลศาลอุทธรณ์ลงโทษเหมาะสมแก่รูปคดีแล้ว ชี้ในการพิจารณาคดี ไม่พบพฤติกรรมที่ส่อเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี ส่วนข้อหาให้การเท็จ เจ้าหน้าที่สรรพากรเองก็ไม่ยืนยันว่าเป็นความเท็จ ปฏิเสธคดีใหญ่ ไม่มีใครกล้าวิ่งเต้น

ที่สำนักงานอัยการสูงสุด รัชดาฯ เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 26 ก.ย. นายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ และโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงข่าวความคืบหน้าการพิจารณาฎีกา คดีหลีกเลี่ยงภาษีหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ตามที่อัยการเป็นโจทก์ฟ้องนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ อดีตประธาน บมจ.ชินคอร์ปฯ คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานร่วมกันหลีกเลี่ยงภาษีอากร โดยความเท็จฯ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 คดีนี้ศาล ชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกนายบรรณพจน์ และคุณหญิงพจมาน เป็นเวลา 3 ปี จำคุกนางกาญจนภา เป็นเวลา 2 ปี จำเลยทั้ง 3 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า นายบรรณพจน์ มีความผิด ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 (2) ลงโทษจำคุก 2 ปี ปรับ 100,000 บาท โทษจำคุกรอการลงโทษเป็นเวลา 1 ปี ส่วนคุณหญิงพจมานและนางกาญจนาภาให้ยกฟ้อง

โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ระบุว่า สำนักงานอัยการสูงสุด พิจารณาแล้ว มีความเห็นดังนี้ 1.ประเด็นความผิดของนายบรรณพจน์ จำเลยที่ 1 ในข้อหาหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 (2) นั้น ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามฟ้องแล้ว เพียงแต่ใช้ดุลพินิจกำหนดโทษใหม่ และให้รอการลงโทษ เห็นว่าเป็นการใช้ดุลพินิจเหมาะสมแก่รูปคดีแล้ว เนื่องจากความรับผิดในทางอาญา ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร เป็นเพียงมาตรการที่ใช้เสริมการจัดเก็บภาษีให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไม่ได้มีเจตนารมณ์ที่จะลงโทษจำคุก ผู้ที่ไม่ยอมชำระภาษี หรือชำระไว้ไม่ถูกต้อง อันมีพื้นฐานมาจากความรับผิดทางแพ่งแต่อย่างใด จึงเห็นว่า กรณีไม่มีเหตุที่จะฎีกาในประเด็นนี้อีก

2.ประเด็นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง คุณหญิงพจมาน จำเลยที่ 2 และนางกาญจนาภา จำเลยที่ 3 ความผิดฐานร่วมกับจำเลยที่ 1 หลีกเลี่ยงการเสียภาษีตามประมวล รัษฎากร มาตรา 37 (2) นั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 2 ประสงค์จะยกหุ้นของตนในบริษัทชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีชื่อ น.ส.ดวงตา วงศ์ภักดี เป็นผู้ครอบครองอยู่ ให้แก่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพี่ชายจำนวน 4,500,000 หุ้น โดยทำเป็นการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ แม้ศาลชั้นต้นเห็นว่า เป็นการอำพรางเพื่อไม่ต้องชำระภาษี แต่ในชั้นพิจารณา พยานโจทก์ปากนายสุวิทย์ มาไพศาลสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทหลักทรัพย์ภัทร จำกัด ได้เบิกความว่า ในตลาดหลักทรัพย์มีตัวแทนถือหุ้นแทนเจ้าของที่แท้จริงเป็นจำนวนมาก เนื่องจากไม่มีกฎหมายห้าม และได้ให้คำแนะนำว่าหากต้องการโอนหุ้นที่ตัวแทนถืออยู่ให้แก่บุคคลอื่น ต้องทำเป็นการซื้อขายหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์

นอกจากนี้ ในชั้นพิจารณายังได้ความอีกว่า จำเลยที่ 1 และ น.ส.ดวงตาได้เปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ไว้ก่อนเกิดเหตุนานแล้ว และบัญชีดังกล่าวมีการเคลื่อนไหวซื้อขายหุ้นมาโดยตลอด เจือสมกับการนำสืบของจำเลยที่ 2 และ 3 ที่ต่อสู้ว่า ตนเข้าใจว่าการยกหุ้นให้ต้องทำเป็นการซื้อขาย เพราะหุ้นดังกล่าวเป็นหุ้นที่ดำเนินการซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เคยทำเช่นนั้นมาแล้ว และไม่มีฝ่ายใดทักท้วง อีกทั้งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงอื่นว่า จำเลยที่ 2 และ 3 มีพฤติการณ์ใดๆ ที่ส่อให้เห็นว่ามีเจตนาร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 ในการหลีกเลี่ยงภาษี การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าพยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้เป็นคุณแก่จำเลยที่ 2 และ 3 จึงชอบด้วยเหตุผลแล้ว

3.ประเด็นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องนายบรรณพจน์ จำเลยที่ 1 และคุณหญิงพจมาน จำเลยที่ 2 ในความผิดฐานร่วมกันแจ้งข้อความเท็จ หรือถ้อยคำเท็จตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 (1) นั้น เนื่องจากศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีนี้เจ้าพนักงานประเมินไม่ได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติและขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 และ 2 ได้ให้ถ้อยคำกับเจ้าพนักงานที่กระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าว จึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 (1)

นอกจากนั้น ศาลอุทธรณ์ยังวินิจฉัยในเนื้อหาคดีว่า การที่จำเลยที่ 1 และ 2 ได้ให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานประเมินว่า จำเลยที่ 2 โอนหุ้นให้จำเลยที่ 1 แต่ทำเป็นซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์นั้น เป็นการให้ถ้อยคำตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นและมีอยู่จริง เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นมายืนยันให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า ถ้อยคำที่จำเลยที่ 1 และ 2 ให้แก่เจ้าพนักงานประเมินนั้น เป็นความเท็จอย่างแน่ชัด เพราะไม่เคยมีอยู่จริง และไม่เคยเกิดขึ้นจริง แต่เป็นการเสกสรรปั้นแต่งข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ จึงยังไม่อาจฟังยุติว่าเป็นความเท็จ เพียงแต่มีน้ำหนักเชื่อถือได้น้อยเท่านั้น ประกอบกับพยานโจทก์ปาก นาย ช.นันท์ เพ็ชญไพศิษฐ์ และนางเบ็ญจา หลุยเจริญ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษีของกรมสรรพากร ผู้ที่จำเลยที่ 1 และ 2 เคยให้ถ้อยคำไว้ และศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นการให้ถ้อยคำเท็จนั้น ต่างก็ไม่ได้เบิกความยืนยันข้อเท็จจริงเลยว่า ถ้อยคำที่จำเลยที่ 1 และ 2 ให้ไว้แก่ตนนั้นเป็นเท็จ จึงเห็นว่าไม่มีเหตุอันควรฎีกา ทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในประเด็นนี้เช่นกัน สำนักงานอัยการสูงสุดจึงเห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด จึงมีคำสั่งไม่ฎีกาจำเลยทั้งสามในทุกประเด็น

นายธนพิชญ์ โฆษกอัยการสูงสุดกล่าวว่า ในการพิจารณาฎีกานั้นได้นำความเห็นแย้งของประธานศาลอุทธรณ์ ที่มีความเห็นว่าไม่สมควรรอลงอาญานายบรรณ–พจน์มาพิจารณาแล้ว โดยอัยการเห็นว่ามาตรการกฎหมายสรรพากรต้องการภาษี ซึ่งจำเลยได้เสียภาษีถูกต้องทุกอย่าง ขณะที่มาตรการลงโทษคดีอาญาเป็นมาตรการเสริม การพิจารณายื่นฎีกาหรือไม่นั้น อัยการมีหน้าที่ตรวจสอบคำพิพากษาของศาล ทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์อยู่แล้ว ถ้าถูกต้องเราก็เห็นด้วย หากไม่ถูกต้องก็ดำเนินการอุทธรณ์หรือฎีกาต่อไป เรื่องนี้เป็นการตรวจสอบตามดุลพินิจธรรมดาว่าทำไมศาลอุทธรณ์จึงพิพากษากลับจากศาลชั้นต้น หรือทำไมศาลฎีกากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เมื่อพิจารณาแล้วว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มีเหตุมีผล อัยการสูงสุดจึงเห็นด้วย ไม่ใช่ว่าอัยการต้องไม่ฎีกา หรือไม่อุทธรณ์ทุกเรื่อง มีหลายคดีที่อัยการเห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลชั้นต้น หรือศาลอุทธรณ์ ต่อข้อถามว่ามีกระแสข่าวเรื่องการวิ่งเต้นเพื่อไม่ให้อัยการยื่นฎีกาในคดีนี้ นายธนพิชญ์ตอบว่า เรื่องวิ่งเต้นนั้นถ้าเป็นเรื่องใหญ่ๆอย่างนี้ มันเป็นเรื่องยาก ขอยืนยันว่าไม่มีการวิ่งเต้น โดยตลอดเวลาการทำงานของอัยการ พิจารณาที่พยานหลักฐาน เหตุผล และข้อเท็จจริงต่างๆ ที่ปรากฏในสำนวน ไม่ใช่ปรากฏนอกสำนวน

ผู้สื่อข่าวถามถึงการติดตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ยังหลบหนีคดีอยู่นั้น โฆษกอัยการสูงสุดตอบว่า ต้องมีต้นเรื่องส่งมาที่สำนักงานอัยการสูงสุด จากหน่วยงานที่มีอำนาจจับกุม ออกหมายว่าผู้ที่จะติดตามมีที่อยู่ที่ไหน อย่างไร อัยการไม่ใช่ต้นเรื่อง เพราะอัยการสูงสุดเป็นแค่ผู้ประสานงานกลางเท่านั้น

ในวันเดียวกัน นายเมธา ธรรมวิหาร ทนายความของนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ กล่าวว่า ในส่วนของนายบรรณพจน์นั้น ที่ผ่านมาทนายความได้ยื่นคำร้องขอขยายเวลาการยื่นฎีกา ศาลอนุญาตให้ขยายเวลาจนถึง 25 ต.ค.นี้ แต่เมื่ออัยการสูงสุด มีความเห็นไม่ฎีกาคดี ก็ต้องแจ้งให้นายบรรณพจน์ และผู้ใหญ่ที่ร่วมดูแลคดีนี้ทราบ เพื่อพิจารณาต่อไปว่า ในส่วนของนายบรรณพจน์นั้นควรยื่นฎีกาต่อไปหรือไม่ เมื่ออัยการสูงสุดและโจทก์มีความเห็นไม่ฎีกาแล้ว คดีจึงมีผลเป็นที่สุดตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ดังนั้น ต่อจากนี้เป็นเรื่องที่นายบรรณพจน์ต้องพิจารณาว่าจะค้าความต่อไปหรือไม่ การต่อสู้คดีที่ผ่านมา นายบรรณพจน์ยืนยันไม่มีเจตนาตามฟ้อง ส่วนที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำคุกแต่ให้รอลงอาญานั้น นายบรรณพจน์จะยอมรับได้หรือไม่เป็นอีกเรื่อง ถ้ายอมรับผลคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ ประกอบกับอัยการไม่ฎีกาต่อทำให้คดีถึงที่สุด หากนายบรรณพจน์จะยื่นฎีกาคดี ต้องให้ศาลฎีกาชี้ขาดมีคำพิพากษาต่อไป

ต้นฉบับ: http://www.thairath.co.th/today/view/204805
ที่มา: ไทยรัฐ
******************************************

คลัง ดัน ครม.ยืนยันร่าง กม.บัตรเครดิต !!?

คลัง ดัน ครม.ยืนยันร่าง กม.บัตรเครดิต ธปท.ชิ่งแนะตั้งหน่วยงานเฉพาะดูแลผู้บริโภค...

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมครม.วันที่ 27 ก.ย. กระทรวงการคลัง ขอความเห็นชอบร่างพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจบัตรเครดิต พ.ศ. .... เพื่อให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา แล้วเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป และขอความเห็นชอบตามความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย และให้กระทรวงการคลังแก้ไขปรับปรุงร่างพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจบัตรเครดิต พ.ศ. .... ตามความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา แล้วเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป

ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พิจารณาแล้วเห็นว่า ปัจจุบัน ธปท. กำกับดูแลเฉพาะผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิต ซึ่งเป็น “ผู้ออกบัตร” (Issuers) เนื่องจากเป็นผู้มีบทบาทสำคัญต่อระบบการชำระเงิน แต่ในการกำกับดูแลผู้รับบัตรซึ่งเป็นสถานประกอบการร้านค้าต่าง ๆ โดยตรงนั้นจะไม่ตรงตามบทบาทของ ธปท. ที่เป็นผู้กำกับดูแลระบบสถาบันการเงิน ประกอบกับ ธปท. ไม่มีอัตรากำลังเพียงพอ ที่จะกำกับดูแลผู้รับบัตร ที่มีเป็นจำนวนมากทั่วทั้งประเทศ

ทั้งนี้ การดูแลร้านค้าผู้รับบัตรนั้น มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่ง ธปท. ได้เคยหารือประเด็นนี้กับกระทรวงการคลังแล้ว และได้ให้ความเห็นว่าน่าจะมีหน่วยงานเฉพาะที่กำกับดูแลและคุ้มครองผู้บริโภคทางด้านการเงิน (Financial Consumer Protection) ซึ่งในต่างประเทศมีการจัดตั้งหน่วยงานดังกล่าวแยกจากธนาคารกลาง เช่น Consumer Protection and Market Authority (CPMA) ของ Financial Services Authority (FSA) ประเทศอังกฤษ เป็นต้น

ดังนั้น จึงขอตัดคำว่า “ผู้รับบัตร” ออกจากร่างมาตรา 25 ของร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต พ.ศ. .... ซึ่ง กระทรวงการคลังได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ. ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ยืนยันให้ดำเนินการต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ กำหนดให้การประกอบธุรกิจบัตรเครดิตจะกระทำได้ต่อเมื่อได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรีโดยคำแนะนำของ ธปท. และการให้บริการแก่ผู้รับบัตรจะกระทำได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจาก ธปท. ตามหลักเกณฑ์ที่ ธปท. ประกาศกำหนด

นอกจากนี้ ยังกำหนดหลักเกณฑ์ในการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต เช่น การให้บริการแก่ผู้รับบัตร การกำกับดูแลการประกอบธุรกิจบัตรเครดิตและการให้บริการแก่ผู้รับบัตร และหน้าที่ของผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตและการคุ้มครองผู้ถือบัตร

ที่มา: ไทยรัฐ
//////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554

อริสมันต์. เปิดใจ ตอนหลบหนีสลายม็อบแดง !!?

นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้ายเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ให้สัมภาษณ์ระหว่างการแข่งขันฟุตบอลนัดพิเศษ ระหว่างแกนนำเสื้อแดง กับรัฐบาลกัมพูชา ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ซึ่ง นายอริสมันต์ ได้เล่าถึงการหลบหนีระหว่างสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ว่า เหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 พ.ค.2553 ที่มีการสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง ที่แยกราชประสงค์ พวกเราแกนนำได้ตัดสินใจยุติการชุมนุม เพราะเกรงว่าจะมีคนตายอีกเยอะ ที่ผ่านมา พวกเราไม่คิดว่ามันจะเลวร้ายขนาดนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรุนแรงเกินไป สำหรับผมเองเมื่อมีการตัดสินใจอย่างนี้ ก็รู้ว่าเราคงไม่อยู่ในประเทศ ผมตัดสินใจไม่ยอมอยู่แล้ว

“วันนั้นผมเดินออกจากที่ชุมนุมออกมาทางประตูน้ำ ซึ่งตรงนั้นทหารเยอะมาก แต่เชื่อมั้ยเรื่องมหัศจรรย์เกิดขึ้น ทั้งเรื่องที่ผมสามารถหลบหนีออกจากโรงแรมเอสซี ปาร์ค และหลังจากนั้น ก็มีคนนำพระมาให้ผม ในสร้อยคอหนึ่งเส้นมี 3 องค์ และผมไม่ชอบแขวนพระ ถ้าสังเกตแกนนำหลายคนแขวนพระกันเต็มคอหมดเลย แต่ผมไม่ชอบแขวนพระ 2 วันผ่านมา มีพระมาเข้าฝันเลยตกใจสะดุ้งตื่นเลย รีบนำพระมาแขวนคอ เพราะในฝันท่านมาบอกว่า “ทำไมมึงไม่แขวนกู” ซึ่งในจำนวนพระ 3 องค์นี้ ผมรู้จักแค่คนเดียว คือ หลวงพ่อฉุย เพราะมันติดตาในฝัน จากนั้นก็รอดแคล้วคลาดมาโดยตลอด ผมก็เล่าเรื่องหลวงพ่อมาเข้าฝันให้พี่แดง (พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล) ฟัง แต่พี่แดงแกไม่เชื่อ

มาถึงตอนที่ผมจะเดินออกจากม็อบ ผมไปนั่งอยู่ที่หน้าศาลพระพรหมอยู่นานมาก กระทั่งคนขายเสื้อผ้าแถวนั้น มาบอว่า พี่ยอมแพ้ เชื่อผมเถอะ ยังไงพี่ก็ไม่รอด ผมก็กอดคอคนขายเสื้อผ้า แล้วบอกว่า “วันนี้ถ้าชีวิตมันตาย มันก็ต้องตาย น้องก็ได้รู้ว่าพี่ต้องตายวันนี้” จากนั้นผมก็ถอดรองเท้า มันก็เอารองเท้ามาให้ใส่ เป็นรองแตะหูคีบ ถอดเสื้อเปลี่ยนเป็นเสื้อโทรมๆ แล้วเดินออกไป ระหว่างนั้นทหารก็วิ่งสวนมา แต่ก็ผ่านผมไป แล้วผมก็ซื้อฮอล์ล กับบุหรี่ 10 ม้วน แล้วก็สูบบุหรี่ไปเดินไป ก็สวนกับทหารเป็นระยะๆ

พอเลี้ยวขวาตรงห้างบิ๊กซี โอ้โฮ แม่ง คุณรู้ไหมตรงนั้น แม่ง หฤโหดขนาดไหน รถฮัมวี่จอดเป็น 10 คัน กระสุนปืนเป็นแสนนัดว่าอย่างนั้นดีกว่า คงกะว่าถล่มตายหมดน่ะ แล้วเสียงปืนมันดัง เปรี๊ยะๆๆ ตลอด เสียงร้องระงม ก็เดินไปจะเจอสะพานข้ามคลองแสนแสบ เป็นตึกสองข้าง ด้านบนมีสไนเปอร์เป็นร้อย ลูกน้องก็ตะโกนบอกว่าทหารยิงประชาชน พวกทหารมันก็หลบไป เพราะตอนนั้นมันเล็งแล้ว ดูว่าใครเป็นใคร ผมก็รีบวิ่งมาอยู่ใต้สะพาน แล้วรีบวิ่งไปชิดมุมตึกที่ทหารอยู่แบบแนบชิดเลย เพื่อไม่ให้มองเห็น แล้วก็เดินออกไปที่ประตูน้ำคอมเพล็กซ์” นายอริสมันต์ กล่าว

นายอริสมันต์ กล่าวต่อว่า จากนั้น ตนก็จะเดินสวนออกไปทางมักกะสัน “โอ้..โห้.. ทหารมหาศาล เสียงเปรี๊ยะ แป๊ะ ตลอด เชื่อมั้ยคนขายเสื้อที่ออกมาด้วยขาสั่นเลย ร้องไห้ แล้วบอกว่า “ไม่ไหวแล้วๆ ผมไปไม่ไหวแล้ว ผมขออยู่ตรงนี้ หันมาบอกผม พี่ยอมเถอะ บ้านเพื่อนผมอยู่ตรงนี้ พี่ไปแอบได้” ตนคิดว่า ไม่ไหวจริงๆ เพราะร้องไห้ตลอด แต่ก็ฮึดออกมาบอกว่า “ขอไปส่งวีรบุรุษให้ถึงจุดหมายปลายทาง” เขาพูดกับตนอย่างนี้ ในใจคิดคนนี้สุดยอด ไม่มีส่วนได้เสีย แต่มันไปกับเราขนาดนี้

“ขณะที่จะเดินออกจากประตูน้ำคอมเพล็กซ์ ก็มีเสียงปืนวิ่งไปวิ่งมา ดังตลอดเยอะมาก มันมีเสาต้นใหญ่ๆ อยู่ต้นหนึ่ง ผมก็ไปหลบตรงเสา เพราะเสียงปืนมันดัง เราก็ล้มลงนอน เพราะจะดูว่าทหารข้างบนเยอะแค่ไหน ทุกหน้าต่างมีปลายลำกล้องปืนโผล่ออกมาหมด เราถึงรู้ว่าโหดเหี้ยมมาก ทีนี้พอล้มลงนอนมันก็คิดว่าเราถูกยิง มวลชนก็ร้องดังขึ้นไปอีก ทหารก็วิ่งมา มวลชนก็วิ่งหนี ตอนนี้คิดเราจะทำยังไง แม่งเอ้ย..โดนแน่ ตัดสินใจกระโดดลงตรงนั้นจะมีศาลพระภูมิอยู่ ผมก็ไปปัดกวาดเช็ดถูศาล แล้วมือผมมันเลอะก็ใช้มือป้ายที่หน้า หน้าผมมันก็ดำๆ เชื่อมั้ยว่า ก่อนที่เดินออกมามีหลวงพ่อโทร.มาหาผม ไม่รู้ได้เบอร์มาได้ยังไง โทร.บอกว่า “ให้ท่องคาถาพลางตัว” ผมบอกหลวงพ่อไม่มีเวลาแล้วหลวงพ่อ ให้หลวงพ่อท่องเลย ผมจะตั้งสมาธิ เสร็จแล้วผมก็ยกมือไหว้

มาถึงตรงนี้มีมอเตอร์ไซค์รับจ้างจอดอยู่ เขาก็จอดรอคนที่ออกมาใครเรียกเขาก็ไปหมด แต่มอเตอร์ไซค์รับจ้างไม่รู้ว่าเราเป็นใคร ผมก็นั่งซ้อนท้ายออกไป มาเจอด่านที่มักกะสันเป็นด่านใหญ่ ด่านนี้ผ่านไปได้ ผมก็คิดว่าฟลุ๊กแล้ว และคิดว่า เราจะไปได้ไกลขนาดไหน เพราะด่านใหญ่มาก ตอนนั้นคิดว่าคงไปได้ไม่เกินรัชดา มาเจอด่านที่สองแถวพลาซ่า มักกะสัน ตรงนี้เหมือนเข้าซองม้าแข่งเลย เข้าคิวตรวจเลย ทหารตะโกนบอก “ไม่มีผู้โดยสารไปเร็วๆ ออกไป” แล้วนั่งอยู่ท้ายรถมอร์ไซค์รับจ้าง ซวยแล้วซิ แต่ก็ผ่านมาได้นั่งรถมอร์ไซค์รับจ้างมาถึงซอยพหลโยธิน 24 จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นรถยนต์ ออกมาทางปทุมธานี สุพรรณบุรี งานนี้เปลี่ยนรถยนต์เป็น 5-6 คัน แล้วก่อนจะขึ้นถนนมิตรภาพ หลวงพ่อโทร.มาอีกบอกว่า “ถูกยิงตายแล้วไม่ใช่รึ” ผมก็บอกว่ายังอยู่ๆ แล้วก็บอกว่าให้นึกถึงหลวงปู่นาค แล้วก็มาเจอด่านทหารใหญ่ที่ถนนมิตรภาพ ทหารบอกให้รถทุกคันเปิดกระจกทั้งหมด แล้วมันก็ชะโงกเข้ามาดูในรถเรา แต่ก็ผ่านมาได้อีก จากนั้นวิ่งเรื่อยมาถึงชายแดนที่จังหวัดหนองคาย แล้วก็ล่องเรือมาเรื่อยๆ ไหลมาตามน้ำมาแล้วก็มาขึ้นที่กัมพูชา” นายอริสมันต์ กล่าว

ที่มา:บางกอกทูเดย์
//////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2554

เอแบคโพลล์.. เผยความนิยมของ ยิ่งลักษณ์. ดีกว่า อภิสิทธิ์. ทุกกลุ่ม !!?

สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ได้เสนอผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง "เปรียบเทียบความนิยมศรัทธาของสาธารณชนต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี" พบว่า ประชาชนร้อยละ 48.5 ไม่นิยมใครเลย ในขณะที่ร้อยละ 38.6 นิยมศรัทธาต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และร้อยละ 12.9 นิยมศรัทธาต่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ที่น่าพิจารณาคือ ในกลุ่มคนที่อายุต่ำกว่า 40 ปีกว่า ร้อยละ 50 ไม่นิยมใครเลยกล่าวคือ ร้อยละ 51 ของคนที่อายุ 30 - 39 ปี ร้อยละ 50 ของคนที่อายุ 20 - 29 ปี และร้อยละ 52 ของกลุ่มคนที่อายุต่ำกว่า 20 ปี ไม่นิยมศรัทธาใครเลย
เมื่อจำแนกตามเพศ พบความแตกต่างเล็กน้อยโดยผู้ชายร้อยละ 39 ผู้หญิงร้อยละ 37 นิยม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในขณะที่ ผู้ชายร้อยละ 12 และผู้หญิงร้อยละ 13 นิยมนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ส่วนร้อยละ 47 ของผู้ชายและร้อยละ 49 ของผู้หญิง ไม่นิยมใครเลย

เมื่อจำแนกตามช่วงอายุ พบความแตกต่างอย่างชัดเจนในกลุ่มคนที่นิยมน.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยกลุ่มคนที่มีช่วงอายุ 40 - 49 ปี ร้อยละ 43 และกลุ่มคนที่อายุ 50 ปีขึ้นไปร้อยละ 43 นิยมน.ส.ยิ่งลักษณ์ มากกว่ากลุ่มคนอายุระหว่าง 20 - 29 ปีถึงร้อยละ 33 ที่นิยมน.ส.ยิ่งลักษณ์

เมื่อจำแนกตามระดับการศึกษา พบว่า คนที่มีการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี (ร้อยละ 39) นิยมชอบน.ส.ยิ่งลักษณ์มากกว่ากลุ่มคนที่มีการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี (ร้อยละ 32)แต่เกือบครึ่งของทุกกลุ่มการศึกษาไม่นิยมศรัทธาใครเลย

ขณะที่การจำแนกตามอาชีพ พบว่า กลุ่มเกษตรกร ร้อยละ 43 พ่อบ้าน/แม่บ้าน ร้อยละ 42 และกลุ่มคนว่างงานไม่มีอาชีพ ร้อยละ 43 เป็นกลุ่มที่นิยมศรัทธาน.ส.ยิ่งลักษณ์มากที่สุด ในขณะที่กลุ่มนักเรียน/นักศึกษากลายเป็นกลุ่มที่มีคนนิยมศรัทธาต่อน.ส.ยิ่งลักษณ์น้อยที่สุดคือร้อยละ 28 และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 57 ของกลุ่มนักเรียน/นักศึกษาไม่นิยมศรัทธาใครเลย

ที่น่าพิจารณาคือ ในกลุ่มข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจร้อยละ 39 นิยมน.ส.ยิ่งลักษณ์ ร้อยละ 16 นิยมนายอภิสิทธิ์ และร้อยละ 44 ไม่นิยมใครเลย เช่นเดียวกับกลุ่มอาชีพค้าขายและธุรกิจส่วนตัวเกินครึ่งหรือร้อยละ 52 ไม่นิยมศรัทธาใครเลย
หากจำแนกตามเขตที่พักอาศัยแล้ว พบความแตกต่างชัดเจนระหว่างคนในเขตเทศบาลกับนอกเขตเทศบาล โดยร้อยละ 43 ของคนนอกเขตเทศบาล และร้อยละ 32 ของคนในเขตเทศบาล นิยมศรัทธาน.ส.ยิ่งลักษณ์ ในขณะที่ร้อยละ 52 ของคนในเขตเทศบาล และร้อยละ 45 ของคนนอกเขตเทศบาลไม่นิยมศรัทธาใครเลย

สำหรับกลุ่มคนที่นิยมศรัทธา นายอภิสิทธิ์อยู่ในเขตเทศบาล ร้อยละ 14 และนอกเขตเทศบาลร้อยละ 11 เท่านั้น

ที่มา: มติชนออนไลน์

////////////////////////////////////////////////////

ยิ่งลักษณ์. ควง มาร์ค.รวมพลังต่อต้านคอร์รัปชั่น !!?

 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงานรวมพลังรณรงค์ "ต่อต้านคอร์รัปชั่น" ที่สวนลุมพินี กรุงเทพฯ ที่จัดขึ้นโดยภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น เพื่อให้ทุกภาคส่วนของสังคมทั่วประเทศ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการเมือง ภาคประชาชน เยาวชน และสื่อมวลชนทุกแขนง ได้ร่วมกันแสดงพลังต่อต้านคอร์รัปชั่นรวมถึงตระหนัก และเข้าใจถึงผลร้ายของการคอร์รัปชั่น โดยมีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นางฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พล.อ.ธีรเดช มีเพียร ประธานวุฒิสภา และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โดยบรรยากาศภายในงานประชาชนพร้อมใจกันสวมใส่เสื้อยืดต่อต้านคอร์รัปชั่น และได้ร่วมกันยืนไว้อาลัยให้กับนายดุสิต นนทะนาคร อดีตประธานภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น ผู้ริเริ่มโครงการด้วย
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวนำคำปฏิญาณต่อต้านคอร์รัปชั่น พร้อมกล่าวด้วยว่า วันนี้ทุจริตคอร์รัปชั่นเสมือนเป็นโรคร้าย รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น เพื่อให้เกิดพลังธรรมาภิบาลในการต่อต้านคอร์รัปชั่น ทั้งนี้รัฐบาล ประธานวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้าน และทุกภาคส่วนพร้อมแสดงพลัง และเจตนารมณ์ในการสร้างค่านิยมของความซื่อสัตย์สุจริต คุ้มกันจิตใจในการต่อต้านคอร์รัปชั่น
จากนั้นนายกรัฐมนตรีและคณะได้ร่วมเดินขบวนรณรงค์ต่อต้านคอรัปชั่นไปตามถนนสีลม พร้อมทั้งชูธงชาติไทยรณรงค์ต่อต้านคอร์รัปชั่นอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการร่วมงาน นายอภิสิทธิ์ ได้ใช้โอกาสนี้ฝากให้ นายกรัฐมนตรี ดูแลปัญหาน้ำท่วมให้กับประชาชนอย่างทั่วถึงโดยเฉพาะเรื่องเงินประกันรายได้ให้เกษตรกรที่ประสบภัยน้ำท่วมด้วย โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรที่ไม่มีผลผลิตเข้าร่วมโครงการจำนำข้าวของรัฐบาล อีกทั้งบางส่วนยังไม่ได้รับเงินชดเชยค่าเสียผลผลิตจำนวน 2,200 บาท/ไร่ ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ของเรียกร้องให้นายกฯ และรัฐบาลทบทวนการปฏิเสธการจ่ายเงินส่วนต่างในโครงการประกันรายได้ ให้แก่เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนไว้แล้ว โดยรัฐบาลอาจจะปรับเปลี่ยนการดำเนินการงานได้ตามความเหมาะสม เพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนสูงสุด
ที่มา:เนชั่น
*******************************************************

วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2554

จักรภพ. โผล่พนมเปญ แม่ยกเสื้อแดงห้อมล้อมให้กำลังใจพรึ่บ !!?

ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา บรรยากาศกองเชียร์เสื้อแดงเป็นไปอย่างคึกคัก ก่อนการแข่งขันฟุตบอลกระชับมิตรระหว่างทีมวีไอพีรัฐบาลกัมพูชากับทีมส.ส. และแกนนำเสื้อแดงจากรัฐบาลไทย หรือเรดพีซ จะเริ่มขึ้นในเวลา 15.00 น.ที่สนามกีฬาโอลิมปิก สเตเดียม กรุงพนมเปญเป็นเต็มไปด้วยบรรดาคนเสื้อแดงนับหมื่นคน พร้อมใจสวมเสื้อแดง ขนอุปกรณ์การเชียร์ยกขบวนมาร่วมและชมและเชียร์ฟุตบอลนัดสำคัญ โดยใช้ชื่อ “กองเชียร์หัวใจแดง” ซึ่งรัฐบาลกัมพูชาได้จัดเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยแกนนำและกลุ่มคนเสื้อแดงอย่างเต็มที่

รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า เมื่อเวลา 10.00 น. นายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำ นปช.ที่อยู่ระหว่างหลบหนีคดีในต่างประเทศ ได้เดินทางมายังโรงแรมคัมโบเดียนา กรุงพนมเปญ ท่ามกลางการต้อนรับของบรรดาแม่ยกเสื้อแดงที่ต่างเข้ามาสวมกอดพร้อมขอถ่ายรูปและขอลายเซ็น โดยนายจักรภพ กล่าวว่า ตนเพิ่งเดินทางมาจากเกาะมาเก๊า ประเทศจีน เพื่อมาที่กัมพูชาและช่วงที่ผ่านมาเดินทางไปหลายที่ไม่ได้อยู่ประเทศใดเป็นหลัก แต่ยังทำงานจัดตั้งทางความคิดเป็นหลักเพราะตนเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงทางความคิดจะต้องค่อยเป็นค่อยไปเพราะหากเปลี่ยนทันทีจะทำให้เกิดอาการที่เรียกว่าสำลักทางความคิด

เมื่อถามว่าคิดจะกลับไทยมาต่อสู้คดีหรือไม่ นายจักรภพ กล่าวว่า ตนเห็นว่าขณะนี้กระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยยังอยู่ในสภาพที่ไว้วางใจไม่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น แม้อยากจะมาต่อสู้แต่เราก็ต้องถามว่ากระบวนการยุติธรรมเป็นไปอย่างถูกต้องหรือไม่ ตอนนี้ทุกคนมีใจที่อยากจะปรองดองแต่ต้องดูว่า 5 ปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไร ตนเข้าใจความรู้สึกว่าทุกคนอยากปรองดองแต่การการปรองดองต้องอยู่บนพื้นฐานอนาคตและประชาธิปไตยที่ไม่ถดถอยด้วย เมื่อถามว่าเห็นด้วยกับการตั้ง คอ.นธ. ขึ้นมาดูแลกระบวนการยุติธรรมและกฎหมายหรือไม่ นายจักรภพ กล่าวว่า ก็ต้องรอดูต่อไป แต่โดยหลักการดีและเห็นด้วย

ที่มา:ข่าวสดออนไลน์
************************************************

ทหารอากาศขาดรัก !!?

แต่ “ทหารอากาศ” เสืออากาศ ยังมีคนเก่งมากส์??
“บิ๊กเฟื่อง” พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ แม่ทัพอากาศ เจ้าพ่อแห่งทุ่งดอนเมือง ผลงานโฉบเฉี่ยว เป็น “เอฟ.๑๖” บินเข้าตาในยุค “พรรคประชาธิปัตย์”เป็นคนตั้ง...
หากเป็นเครื่อง “ซี ๑๓๐ เฮอร์คิวลิส” บินไม่กระฉับ กระเฉง ก็ต้อง “ปลดระวาง”
เหมือนโบราณท่านว่า, แผ่นดินไม่ไร้ใบพุทรา “ผู้มีความสามารถ” ยังมีอีกเป็นตับ!!
ถึง “พล.อ.อ.อิทธิพร”จะเก่งเหมาะสม..แต่สมบัติต้องผลัดกันชม?..อุ้มสมด้วยประการฉะนี้แหละครับ??

++++++++++++++++++++++++++++

“คลอดยากแท้..แท้”!!
โผทหาร ณ. วันที่ ๒๐ กันยายน ยังไม่ผ่านการทำคลอด จากหมอตำแย??
“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ผู้เป็นจ่าฝูงกองทัพบก จะคัดสรรเพื่อนร่วมรุ่น “ตท. ๑๒” ยกแถวเข้ามายึดแนวหน้า เป็น “๕ เสือ” ช่างมันส์ยกร่อง
ฝ่ายการเมืองของ ขุนศึกหญิงตระกูลหยาง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อยากหนุน ตท.๑๑ รุ่นพี่ และ ตท.๑๓ รุ่นน้อง เข้ามาสู่ไลน์ ในฐานะ “มันสมอง”
อีกหลายถ้าโตพรวด โตพราด ใหญ่ผงาดเพียงลำพัง..ถือเป็นการ “กระชับพื้นที่”กันกลายๆ
แชร์เก้าอี้แม่ทัพและ๕เสือ ให้รุ่นพี่รุ่นน้อง..มีแต่คนยกย่อง?..ยิ่งมอง..ม้อง..มอง อุ้ย,สบายใจ

+++++++++++++++++++++++++++++

เตะ “ตัดขา” กันนัวเนีย!!
ผลงาน เป็นเครื่องหมายการค้า คุณภาพ “พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี” ไม่มีอะไรเสีย??
แต่ไฉน เต้าหยินบรมครูกฎหมาย “ มีชัย ฤชุพันธ์” จึงออกหน้าคัดค้านไม่เห็นด้วย
ประสิทธิภาพ เยี่ยมยอด ถ้า “บิ๊กพัลลภ” ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี จะมาคุม “กอ.รมน.” ทุกอย่างก็จะไปได้สวย
“ยาเสพติด” ที่ระบาด.. ปัญหา “๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้” ..ที่ระเบิดประชาชนตาย-เจ็บระนาว จะได้ถูกแก้ไข “ตรงจุด”!!
“อาจารย์มีชัย”เจ้าขา... “บิ๊กพัลลภ”ทำงานเข้าตา?..หนุนสักคนเถอะหนา คนนี้เก่งสุด ๆ

++++++++++++++++++++++++++++++

ไม่ต้องวิ่งผลัด ๔ คูณร้อย!!
ผลงาน “พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง” จเรตำรวจ ที่จะอัพเกรดไปเป็น “รอง ผบ.ตร.” มีเป็นกุรุส มิใช่น้อย??
หากอีก ๖ เดือนข้างหน้า “พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์” ว่าที่ ผบ.ตร. โหนเถาวัลย์ไปเป็นรัฐมนตรี
จ่อคิวเข้ามาเป็น “ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่” ส่องกล้อง ..ไม่น่าพ้น “ท่านนี้”
เพราะมีผลงานเป็นที่จับต้องได้ และ “ลูกน้อง” ใต้บังคับบัญชา ต่างรักใคร่ นับถือ!!
เก่งทั้งบู๊และบุ๋น....มีแต่คนหนุน?...ลุ้นกันเยอะ เพราะเชื่อในฝีมือ??

+++++++++++++++++++++++++++++

“กลัว” ประวัติศาสตร์ จะซ้อนรอย!!
ฉะนั้นเมื่อเป็นฉะนี้, อยากจะให้ “ป้องกัน” กันเอาไว้หน่อย??
ยุคแรก ๆ เริ่มต้นเดิมที ที่ “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร” ก้าวมาเป็นผู้นำประเทศ มีเหตุตูมตามกับเครื่องบินที่จะไปเชียงใหม่
พี่โดนมาแล้ว?.. หวั่นว่าวันเก่า ๆ จะกลับมาอีก โดนกับ “คุณปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯหญิงแห่งเมืองไทย
อะไรที่ป้องกัน “ความชัวร์ได้”ก็ต้องพร้อมทำกันเสร็จสรรพ!!
ควรป้องกันให้เต็มความสามารถ..อย่าได้ประมาท?..พลาดแล้ว ไม่คุ้มกัน นะครับ??

คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
************************************************

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2554

เช็คชื่อ.โผทหาร ล่าสุด "เสถียร. นั่งปลัด กห.!!?

เปิดเบื้องหลัง "เสถียร เพิ่มทองอินทร์" ผงาดจ่อเก้าอี้ปลัดกลาโหม ขณะที่โผทหารลงตัว "ธนะศักดิ์" นั่ง ผบ.สส. "ยุทธศ้ักดิ์" ยอมถอย

บัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับนายพลประจำปี 2554 ลงตัวแล้ว ภายหลังการประชุมคณะกรรมการพิจารณาแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพล ตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551 เมื่อวันที่ 22 ก.ย.ที่ผ่านมา

ประเด็นสำคัญที่คณะกรรมการ 6 คนซึ่งเปรียบเสมือนบอร์ดสูงสุดในการรแต่งตั้งโยกย้ายของทุกเหล่าทัพนั่งหารือกัน คือปัญหาที่รัฐบาลไม่อนุมัติเปิดตำแหน่งประธานที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม อัตราจอมพล ตามที่เสนอไป

ที่ประชุมจึงเห็นชอบให้คงตำแหน่งนี้ไว้ เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อตำแหน่งอื่น จึงให้ พล.อ.คณิต สาพิทักษ์ (ตท.13) ดำรงตำแหน่งประธานที่ปรึกษากระทรวงกลาโหมตามเดิม

ส่วนตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.กิตติพงษ์ เกษโกวิท ปลัดกระทรวงที่จะเกษียณอายุราชการวันที่ 30 ก.ย.นี้ ได้เสนอชื่อ พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ (ตท.11) ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพไทย ตามที่เคยเสนอในการประชุมคณะกรรมการฯเมื่อวันที่ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา โดย พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม ซึ่งนั่งหัวโต๊ะก็เห็นด้วยตามที่ พล.อ.กิตติพงษ์ เสนอ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ได้ขอใช้อำนาจ รมว.กลาโหม เสนอชื่อ พล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์ (ตท.11) รองปลัดกระทรวงกลาโหม ขึ้นเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม แต่ล่าสุดก็ยินยอมโดยดี

สาเหตุที่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ยอมง่ายๆ เพราะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เรียก พล.อ.ยุทธศักดิ์ เข้าไปพูดคุย และสั่งการให้สนับสนุน พล.อ.เสถียร เนื่องจาก พล.อ.เสถียร ได้รับการผลักดันจาก ส.ส.พรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะสายอีสาน ขณะที่ พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) ก็สนับสนุน พล.อ.เสถียร เนื่องจากไม่ต้องการให้กระทบต่อตำแหน่ง ผบ.สส.ที่ได้เสนอชื่อ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร (ตท.12) เสนาธิการทหาร (เสธ.ทหาร) ขึ้นเป็น ผบ.สส.ไว้แล้ว

และสาเหตุที่พรรคเพื่อไทยให้การสนับสนุน พล.อ.เสถียร ก็เนื่องจาก ดร.ณัฐณิชาช์ เพิ่มทองอินทร์ ภรรยาของ พล.อ.เสถียร เป็นนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลคำขวาง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นหนึ่งในฐานเสียงสำคัญของพรรคเพื่อไทยกระทั่งได้รับการเลือกตั้งเข้ามาถึง 7 ที่นั่ง

สำหรับบัญชีรายชื่อในตำแหน่งอื่นๆ เป็นไปตามเดิม คือ พล.อ.ธนะศักดิ์ ขึ้นมา ผบ.สส. พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ (ตท.13) ที่ปรึกษาพิเศษกองทัพเรือ ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.)

ในส่วนกองทัพบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้เสนอให้ขยับ พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เสนาธิการทหารบก (เสธ.ทบ.) ขึ้นดำรงตำแหน่งรอง ผบ.ทบ. และให้ พล.ท.ศิริชัย ดิษฐกุล รองเสธ.ทบ. ขึ้นมาดำรงตำแหน่ง เสธ.ทบ. โดยมี พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน (ตท.12) และ พล.อ.โปฎก บุนนาค (ตท.12) เข้าไลน์ 5 เสือ ดำรงตำแหน่งผู้ช่วย ผบ.ทบ.

ตำแหน่งอื่นๆ ที่น่าสนใจ อาทิ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ (ตท.11)ประธานคณะที่ปรึกษากองบัญชาการกองทัพไทย เป็น ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์ (ตท.11) รองปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ชาตรี ทัตติ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณกระทรวงกลาโหม เป็น รองปลัดกระทรวงกลาโหม พล.ร.อ.อภิวัฒน์ ศรีวรรธนะ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทร. เป็นรองปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.อ.ถไมตรี โอรสหงส์ รองเสธ.ทหาร เป็นรองปลัดกลาโหม พล.อ.ภุชงค์ รัตนวรรณ(ตท.10) ผบ.สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ (ผบ.สปท.) เป็นจเรทหารทั่วไป

กองบัญชาการกองทัพไทย (บก.ทท.) พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร (ตท.12) เสนาธิการทหาร (เสธ.ทหาร) เป็น ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) พล.อ.สกนธ์ สัจจานิตย์ (ตท.12) เจ้ากรมเสมียนตรา เป็น รองผบ.สส. พล.ร.อ.ยุทธนา ฟักผลงาม (ตท.12 ) ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพเรือ เป็น รองผบ.สส. พล.อ.อ.บุญยฤทธิ์ เกิดสุข (ตท.11)ผช.ผบ.ทอ.เป็น รอง ผบ.สส. พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร (ตท.12)รองเสธ.ทหาร เป็น เสธ.ทหาร พล.อ.อ.สุปรีชา กมลศาสน์ (ตท.10) หน.ฝสธ.ผบ.สส.เป็นประธานคณะที่ปรึกษา บก.ทท.

กองทัพบก พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ (ตท.12) เสธ.ทบ.เป็น รอง ผบ.ทบ. พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน (ตท.11)ที่ปรึกษาพิเศษ ทบ. เป็น ผช.ผบ.ทบ พล.อ.โปฎก บุญนาค(ตท.12) ผบ.หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ เป็น ผช.ผบ.ทบ. พล.ท.ศิริชัย ดิษฐกุล (ตท.13) รองเสธ.ทบ.เป็น เสธ.ทบ. พล.อ.ยุทธศิลป์ โดยชื่นงาม(ตท.11) ผช.ผบ.ทบ. เป็นประธานคณะที่ปรึกษา ทบ. พล.ท.ชลวิชญ์ เพิ่มทรัพย์ (ตท.12) ปลัดบัญชีทหารบก(ปช.ทบ.) เป็น หัวหน้าฝ่ายเสธ.ประจำ ผบช. พล.ท.สิงห์ศึก สิงห์ไพร (ตท.12) เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก (จก.ยศ.)เป็น ที่ปรึกษาพิเศษทบ. (อัตราพลเอก)

พล.ท.ยุวณัฐ สุริยกุล ณ อยุทธยา(ตท.12) ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทบ. เป็นที่ปรึกษาพิเศษกองทัพบก (อัตราพลเอก) พล.ท.อรุณ สมตน (ตท.14 ) ผช.เสธ.ทบ. ฝขว. เป็นผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทบ.(อัตราพลเอก) พล.ท.ฉัตรชัย สาริกัลยะ (ตท.12) ผช.เสธ.ทบ.ฝกบ.เป็น รองเสธ.ทบ. พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ (ตท.12 ) ผช.เสธ.ทบ.ฝกร. เป็นรองเสธ.ท บ. พล.ต.ศุภรัตน์ พัฒนาวิสุทธิ์ (ตท.12 )รอง ผบ.หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (รองผบ.นสศ.)เป็น ผบ.นสศ. พล.ต.อุทิศ สุนทร (ตท.14) รองแม่ทัพภาคที่ 1 เป็น แม่ทัพน้อยที่ 1 พล.ต.พิสิทธิ สิทธสาร ผบ.พล.ร.2 รอ.เป็น ผบ.พล.1 รอ. พล.ต.ภาณุวัชร์ นาควงศ์ ผบ.มทบ.11เป็น ผบ.พล.ร.9 พ.อ.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ รอง ผบ.พล.ร.2 รอ. เป็น ผบ.พล.ร.2 รอ.

กองทัพเรือ พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ (ตท.13 )ที่ปรึกษาพิเศษ ทร. ขึ้นเป็น ผบ.ทร. พล.ร.อ.ดำรงศักดิ์ ห้าวเจริญ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทร. เป็น รองผบ.ทร. พล.ร.อ.วีรพล กิจสมบัติ หน.คณะฝสธ.ประจำ ผบช. เป็น ประธานคณะที่ปรึกษา ทร.(อัตราจอมพล) พล.ร.อ.อมรเทพ ณ บางช้าง ผู้ทรงวุฒิพิเศษ เป็น ผช.ผบ.ทร. พล.ร.ท.พลวัฒน์ สิโรดม รอง เสธ.ทร. เป็น เสธ.ทร. พล.ร.ท.ฆนัท ทองพูล ผบ.กองทัพเรือภาค1 เป็น ผบ.กองเรือยุทธการ

กองทัพอากาศ พล.อ.อ.ศรีเชาวน์ จันทร์เรือง (ตท.12)ผช.ผบ.ทอ. เป็น รอง ผบ.ทอ. พล.อ.อ. ประจิน จั่นตอง เสธ.ทอ. (ตท.13)เป็น ผช.ผบ.ทอ. พล.อ.ท.วินัย เปล่งวิทยา (ตท.12) ผบ.ควบคุมการปฏิบัติทางอากาศ(คปอ.) เป็น ผช.ผบ.ทอ. และ พล.อ.ท.เพิ่มเกียรติ ลวณะมาลย์ (ตท.13) รองเสธ.ทอ. เป็น เสธ.ทอ.

ที่มา:กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////

ไขปริศนาคลิปนายกฯหลุดฮา !!?



คลิปนายกรัฐมนตรีหลุดขำที่มีหลายคนได้ชม และพลอยจะหัวเราะตามนายกฯไปด้วย เป็นคลิปที่ใครหลายคนได้ดู เกิดความคิดผุดขึ้นมาทันทีว่า นายกรัฐมนตรีหญิง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หัวเราะอะไรขนาดนั้น เธอขำอะไร??

มันมี "คำถาม" อะไรจากสื่อมวลชนที่ทำให้นายกฯปู "หลุดหัวเราะ" ขณะอยู่ในลิฟท์ได้แบบนั้น?

เหตุการณ์ในคลิปเกิดขึ้นเมื่อวันอังคารที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย ซึ่งก่อนจะเกิดเหตุการณ์ขำในลิฟท์ดังกล่าววันนั้นมีประชาชนผู้สนับสนุนนายกฯปูเดินทางมาปักหลักรอให้กำลังใจคราคร่ำกว่า 100 คน รวมไปถึงกองทัพสื่อมวลชนที่ปักหลักรอสัมภาษณ์ประจำวันก็รอกันอยู่ปะปนบริเวณโถงทางเดินข้างล่างของที่ทำการพรรคด้วยเช่นกัน

พลันที่นายกฯปูก้าวเท้าลงจากรถเข้ามาในพรรค บรรดาผู้สนับสนุนแห่แหนกันเข้ารุมล้อมเพื่อจะได้ใกล้ชิดสัมผัสมือพูดคุย แสดงความเป็นห่วงเป็นใยกรี๊ดกร๊าดตามประสา

ส่วนกองทัพสื่อมวลชนก็ยืนออเบียดเสียดปะปนกันไปด้วย นายกฯยิ่งลักษณ์ที่ถูกรุมล้อมยังคงยิ้มแย้มไปตามแบบที่เป็นทุกวัน ค่ะๆคะๆไปตามเรื่อง

ขณะที่ทีมรปภ.นายกฯยังคงทำงานหนักทั้งกันคนให้อยู่ในสเปซที่เหมาะสม เพื่อให้นายกฯเดินไปได้แบบทีละ "ครึ่งก้าว" ผ่านฝูงแฟนคลับมาได้ โดยระหว่างนั้นสื่อมวลชนจำนวนมากก็ไม่คอยท่า เตรียมปฏิบัติหน้าที่รอเสียบไมโครโฟนสัมภาษณ์ด้วยเช่นกัน

กระนั้นนายกฯก็ยังต้องเจอคุณป้าที่เอาทุเรียนทอดมามอบให้นายกฯอีกด่านหนึ่ง !?!

หลังผ่านด่านทุเรียนทอดมาแล้ว สื่อก็พยายามที่จะเข้าไปรุมตามรูปแบบการทำงานที่จะสัมภาษณ์ทั่นผู้นำให้ได้ ซึ่งก็เป็นลักษณะถามไปตอบไป เดินกันไปทีละครึ่งก้าว (เช่นเคย)

จากถามเรื่องน้ำท่วมไล่เรียงมาจนถึงการแต่งตั้งโยกย้าย นายกฯหญิงก็เดิน (ครึ่งก้าว) มาจนถึงหน้าลิฟท์ตัวประจำที่เป็นปราการด่านสุดท้าย คั่นกลางระหว่างนายกฯกับสื่อ ก้าวเข้าลิฟท์เมื่อไหร่เป็นอันจบสิ้น!

ก็ให้เผอิญว่าหลังผ่านการ "ดัน" กันตั้งแต่ทางเดินเข้ามาพรรค เจอแฟนคลับ เจอป้าทุเรียนทอด จนมาเจอนักข่าวหลายสิบชีวิตเข้ามารุมกรูกัน ฝ่ายทีมรปภ. นายกฯก็ยังปฏิบัติหน้าที่ "กัน" คนเพื่อไม่ให้เข้ามาในสเปซเล็กๆประชิดตัวนายกฯจนเกินไป

ขณะกระจอกข่าวปฏิบัติหน้าที่ดันเพื่อถามให้ได้ เพราะนายกฯก็ตอบให้ทีละเล็กละน้อย

ผลคือรปภ.กันไปกันมา จนถึงหน้าลิฟท์เกิดความอลวลอลเวง จนมีกระจอกข่าวสาวนางหนึ่งหลุดรอดวงแขน ทีมรปภ. จนเข้าไปประชิดนายกฯแบบที่กระจอกข่าวก็ยังงงว่าหลุดเข้าไปอยู่ร่วมวงวี.ไอ.พี.ด้วยได้ยังไง เมื่อนายกฯเองเห็นเช่นนั้นจึงขำขึ้นมา

นั่นเป็นที่มาของอาการ "หลุดขำ" ของนายกฯยิ่งลักษณ์

เป็นการหลุดขำใส่สถานการณ์อลเวงหน้าลิฟท์--ลิฟท์ที่เป็นด่านสุดท้ายก่อนจะเข้าสู่ความเป็นส่วนตัวในพรรคเพื่อไทย

 ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
********************************************************

เฉลิม. รับลูก นปช.ร้องเคลียร์ปมดับ 91 ศพ..!!?

"เฉลิม" รับลูก นปช. ร้องเคลียร์ปมดับ 91 ศพ เผยดีเอสไอชี้ดชัด 13 ศพเสื้อแดงฝีมือเจ้าหน้าที่ กางกฎหมายฟ้องเจ้าหน้าที่ได้รับการคุ้มครอง ขู่ฟ่อนักการเมืองคนสั่งการไม่รอด จ่อชง ป.ป.ช.เชือดต่อ ดักคอ "มาร์ค-เทือก" อย่าโวย รบ.ปูกลั่นแกล้ง ...

วันที่ 22 กันยายน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนได้รับเรื่องร้องเรียนจากกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)เกี่ยวกับกรณีที่ญาติพี่น้องเสียชีวิตจากการชุมนุม แต่การดำเนินคดีไม่คืบหน้า ตนจึงได้อธิบายให้ฟังว่า อีกไม่นานจะมีการไต่สวนการตายโดยศาล ซึ่งจะทำให้เรารู้ว่าผู้ตายเป็นใคร ตายที่ไหน อย่างไร และใครเป็นคนทำให้ตาย เมื่อศาลไต่สวนเสร็จเรียบร้อย จะส่งเรื่องกลับมาให้อัยการ ก็ต้องส่งเรื่องกลับมาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีหน้าที่ชันสูตรพลิกศพ หลังจากนั้นสำนวนไต่สวนชันสูตรพลิกศพจะต้องร่วมกับสำนวนการสอบสวนคดีอาญา ซึ่งจะทำให้การสอบสวนทำได้ง่ายขึ้น และเร็วขึ้น รวมทั้งใครก็ปกปิดไม่ได้

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวต่อว่า เวลาที่ประชาชนร้องทุกข์ ไม่ว่าจะร้องกับกองปราบปราม เจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือ ดีเอสไอ ที่ผ่านมารัฐบาลชุดที่แล้วไม่ทำความชัดเจน เพราะถ้าการสอบสวนปรากฏว่า มีนักการเมืองเกี่ยวข้อง ต้องส่งให้ ป.ป.ช.ดำเนินการภายใน 30 วัน เพราะตามขั้นตอนแล้ว เมื่อป.ป.ช.ได้สำนวนการไต่สวนชันสูตรพลิกศพจากศาลมา ก็จะทำงานได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ แต่ที่ผ่านมากลับมีการชันสูตรพลิกศพแบบธรรมดา โดยให้เหตุผลว่าไม่ได้เป็นการตายโดยเจ้าหน้าที่ แต่วันนี้ดีเอสไอยืนยันแล้วว่า กรณีที่ตาย 13 ศพ เป็นการกระทำของเจ้าพนักงาน ซึ่งเข้าข่าย ป.วิอาญา ม. 150 วรรคสาม ซึ่งเท่าที่ตนตรวจสอบในเบื้องต้น ข้าราชการผู้ปฏิบัติหน้าที่จะปลอดภัย เพราะจากประมวลกฎหมายอาญา ม. 62 และม. 70 คุ้มครองเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งตาม ม.70 นั้นหากเจ้าพนักงาน ผู้มีอำนาจสั่งการและผู้รับคำสั่ง เชื่อโดยสุจริตว่าคำสั่งที่เจ้าหนักงานสั่งนั้นเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย เขาก็พ้นผิด อย่างที่บอกว่ามีชายชุดดำ เผาบ้านเผาเมือง มีกองกำลังเจ้าหน้าที่เขาก็เชื่อ อย่างนั้นเจ้าหน้าที่เขาก็ไม่ผิด แต่คนสั่งต้องรับผิดชอบ

เมื่อถามว่า ภายในปีนี้คดี 91 ศพ และ 13 ศพ จะสามารถคลี่คลายและทำให้เกิดความชัดเจนได้หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ถ้าศาลไต่สวนเร็ว ความชัดเจนก็จะเกิดขึ้นเร็ว และเป็นการไต่สวนเปิดเผย เวลาไต่สวนตนเชื่อว่าห้องพิจารณาคงจะแน่นเอี๊ยด เพราะทุกคนอยากฟัง วันนี้รัฐบาลมาถูกทางแล้ว เมื่อถามว่า นักการเมืองที่สั่งการหากผิดจริงจะต้องรับโทษสถานใด ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ตนยังไม่กล้าพูด ต้องค่อยเป็นค่อยไป แต่ยืนยันว่าถ้ายังให้ตนดูแลงานตรงนี้การกลั่นแกล้ง ใส่ร้าย สร้างพยานหลักฐานเท็จไม่มีเด็ดขาด ตรงไปตรงมา เมื่อถามว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง จะอ้างว่าเป็นการกลั่นแกล้งล้างแค้นได้หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ยืนยันว่าไม่ใช่อย่างนั้น เพราะเมื่อไต่สวนในชั้นศาลแล้ว ใครจะไปสั่งศาลได้ ถ้าเป็นในชั้นของตำรวจ คนอาจมองว่าไปสั่งได้ ทั้ง ๆ ที่ความจริงก็สั่งไม่ได้เช่นเดียวกัน ตนกลัวว่า เมื่อพ้นหน้าที่ไปแล้วจะติดคุกตอนแก่ ตนไม่ทำ หลักฐานถึงแค่ไหนก็แค่นั้น

เมื่อถามถึง กรณีที่กระทรวงยุติธรรมเสนอของบประมาณ 8,000 ล้าน เพื่อใช้เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์รุนแรงทางการเมือง และความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า เป็นข้อเสนอของคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่ง ชาติ(คอป.) แต่ทาง พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม บอกว่า ยังไม่มีงบประมาณในส่วนนี้ เมื่อยังไม่มีก็ต้องมาคิดว่าจะต้องทำอย่างไร เพราะการเยียวยาไม่ใช่เฉพาะคนเสื้อแดงเท่านั้น แต่เยียวยาทั้งหมดในภาพรวมทั้งหมดที่ได้รับผลกระทบและไม่ได้รับความเป็นธรรม และได้รับมอบหมายให้นาย ยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯและ รมว.มหาดไทยเป็นประธาน และเท่าที่ทราบเขาก็เริ่มลงมือทำงานแล้ว ส่วนงบ 8,000 ล้านบาท จะเพียงพอหรือไม่ ตนก็ยังไม่รู้ว่าสุดท้ายจะเป็นอย่างไร ขณะเพียงแต่ตั้งกรอบเอาไว้ก่อน.

ที่มา:ไทยรัฐออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2554

การเมือง กินเมือง ทาส-พสุธา แดงทั้งแผ่นดิน..ขยับเข้าใกล้ปชต.เต็มใบ..!!?

กระแสการก่อตั้งหมู่บ้านแดง 80,000 หมู่บ้านทั่วประเทศเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา.. หลังจากการเมืองภาคประชาชนที่ฝักใฝ่ฝ่ายแดงได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นในการสนับสนุน “พรรคเพื่อไทย” ให้เข้ามาบริหารประเทศ..กระแสดังกล่าวนับว่าเป็นจุดเริ่มของการสร้างประชาธิปไตยอย่างแท้จริงให้เกิดขึ้นในผืนแผ่นดินแห่งนี้..เมื่อฝ่ายการเมืองจับมืออย่างเหนียวแน่นกับภาคประชาชนได้แล้ว..ในทางกลับกันความสัมพันธ์ดังกล่าวย่อมเป็นการทำลายระบบบางอย่างที่ฝังรากลึกมาอย่างยาว นานหลังมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อครั้ง พ.ศ.2475..

ระบบที่ผูกขาดอำนาจของประเทศไทยอย่าง “ระบบอุปถัมภ์” ผ่านตัวแทนกลุ่มอำมาตย์จะถูกเขี่ยให้พ้นไปจากเส้นทางประชาธิปไตยหลังจากนี้ ร่องรอยการ “ตัดหางปล่อยวัด” กลุ่มผู้มีอำนาจในเครือข่ายอำมาตย์ เริ่มต้นจากการที่ “กองทัพ” ได้กลับตัวกลับใจหันมายืนเคียงข้างประชาชนมากขึ้น..ปรากฏการณ์ที่ “ผบ.เหล่าทัพ” หันหลังให้กับ “บ้านหลายเสา” จึงเป็นบทสะท้อนให้สังคมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ควรจะเป็น..“มือที่มองไม่เห็น” จะเกิดขึ้นได้ยาก เมื่อประชาชนในยุค 3G สามารถเข้าถึงข้อมูล ข้อเท็จจริงแห่งวงจรอำนาจที่ผ่านมาและการอ่อนแรงลงของ “อำนาจนอกระบบ” ดังกล่าวก็เป็นผลพวงมาจากพลังของประชาชนที่เข้มแข็งขึ้น..

กรณีเหตุการณ์ 14 ตุลา วันมหาวิปโยคเมื่อปี 2516 หรือกรณีการล้อมปราบนิสิต นักศึกษาอย่างโหดเหี้ยมเมื่อ 6 ต.ค.2519 ล้วนถือกำเนิดมาจากการเรียกร้องประชาธิปไตย ทั้งสิ้น..แต่หากพินิจพิเคราะห์สัญลักษณ์ “สีแดง” ในยุคนี้ให้ถ่องแท้..ใช่ว่าสีดังกล่าวจะสื่อ ถึงพวก “ฝ่ายซ้าย” เหมือนเช่นในอดีต..ในทางกลับกัน “มวลชนคนเสื้อแดง” เลือกที่จะใช้สีแดงเพื่อแสดงออกถึงการ เรียกร้อง “ประชาธิปไตย” ที่แท้จริงให้กับบ้านนี้เมืองนี้..วันนี้ทุกคนคงปฏิเสธไม่ได้ว่าประชาธิปไตยบ้านเราเป็นดั่ง “พีระมิดกลับหัว” เพียงแต่ ปชต.เริ่มส่อเค้าที่จะหันหัวมาถูกทาง เพราะขบวนการประชาชนที่เข้มแข็งขึ้นและรู้เท่าทันกลุ่มอำนาจเก่า...

หลังจาก “สีเขียว” ซึ่งเป็นกลุ่มคนบางกลุ่มที่มีสิทธิ์ “ถือปืน” โดยชอบธรรม..เริ่มเข้าใจสภาพความเป็นจริงใน “พลังของประชาชน”ดังนั้น ภาพรวมของ “กองทัพ” หลังจากนี้เป็นต้นไปจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่..หากอำนาจแฝงจากกลุ่มอำมาตย์ล่มสลายลง..ประชาชนคนไทยจะได้สัมผัส “ทหารอาชีพ” อย่างแท้จริง.. เกียรติยศชายชาติทหารไทย..จะกลับมาเป็นที่พึ่งที่หวังให้กับผู้คนภายในชาติอีกครั้งหนึ่ง..หันกลับมามองความอัปยศครั้งล่าสุด..คือ..การทำรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 ซึ่ง เป็นการกระทำของกลุ่มอนุรักษนิยมเพียงไม่กี่คน แต่กลับนำพาคนไทยทั้งประเทศกว่า 65 ล้านคน ต้องตกนรกหมกไหม้ตามไปด้วย..

ถามต่อว่า “กองทัพ” เป็นต้นคิดในการยึดอำนาจรัฐด้วยหรือไม่???สำหรับคำตอบของการทำรัฐประหารแต่ละครั้ง..ทุกคนคงจะทราบเหตุผลที่มาที่ไป และผู้ที่อยู่เบื้องหลังการฉีกรัฐธรรมนูญครั้งล่าสุดว่าเกิดจากน้ำมือผู้ใด???การหยิบเอาประเด็น “ล้มล้างสถาบันฯ” ซึ่งเป็นข้ออ้างสุดฮิตเข้ามาสร้างความ ชอบธรรมในการยึดอำนาจ ยังคงจะมีต่อไปเรื่อยๆ หากภาคประชาชนอ่อนแอ และไม่รู้เท่าทันกลุ่มอำมาตย์ต้องมองด้วยตรรกะที่เป็นกลางและเป็นธรรม..รัฐประหารคือตัวบ่อนทำลายประชาธิปไตย..วันนี้สังคมไทยลุกขึ้นต่อต้านการทำรัฐประหารกันอย่างพร้อมเพรียง..และมีทีท่าว่า จะร่วมกันสังคายนาการทำรัฐประหารเมื่อ 19 ก.ย. 49 ที่เป็นผู้ทำคลอดรัฐธรรมนูญ ปี 2550 (รธน.ฉบับ คมช.)

หากเหตุการณ์อัปยศ 19 ก.ย. ไม่ชอบธรรม..“รธน.ปี 50” ผลพวงการยึดอำนาจ ย่อมไม่ชอบธรรมด้วยเช่นกัน..การปลุกกระแสให้มีการยกเลิกรัฐธรรมนูญ ปี 2550 โดยให้มีการร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับใหม่ที่ภาคประชาชนมีส่วนร่วม กลับเป็นสิ่งที่ “กลุ่มอำนาจดึกดำบรรพ์” ในประเทศแห่งนี้อึดอัดจนอกแทบจะระเบิด..กลุ่มอำมาตย์ที่ใช้ รธน.50 ในการรักษาฐานอำนาจตนเองไว้ในขณะนี้ คงดาหน้าออกมาปกป้อง “เครื่องมือ” ชิ้นนี้ไว้ดังไข่ในหิน..ดังนั้น การต่อกรระหว่างอำมาตย์กับประชาชนยังคงดำเนินต่อไป..แต่การเปลี่ยน แปลงครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นหรือไม่??? ขึ้นอยู่กับว่า..กลุ่มคนเสื้อแดงหรือสีเสื้ออื่นๆ ต้องการ ประชาธิปไตยครึ่งใบหรือว่าเต็มใบ?!?!

ที่มา.สยามธุรกิจ
******************************************************

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554

กู้กัน.. อย่างนรกแตก !!?

เงินกู้ ๑.๔ ล้านล้านบาท ยุครัฐบาล “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” งาบกันแหลก??
สงสาร,“อดีตนายกฯมาร์ค”เป็นหนังหน้าไฟ
บริษัทที่ปรึกษาการเงิน “ชักค่าต๋ง” ๑.๕ เปอร์เซ็นต์ จากเม็ดเงิน ๑.๔ ล้านล้าน ในการให้คำแนะนำ..และมีบางคน อยู่หลังฉาก?..รวยสะดือปลิ้น อย่าบอกใคร
เงินก้อนนี้, เห็นไปนอนแอ้งแม่ง อยู่ที่ “เกาะคีย์แมน”ดินแดนฟอกเงิน!!!
คน ปชป.รู้ว่าใครกินเงินนี้ไป...จึงสาปแช่งกันใหญ่?..อยากให้ท้องแตก เหลือเกิน??

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ใช้แผน “บันได ๒ ขั้น”!!
ยอมรับ “เสี่ยโย่ง-ยีราฟ” กรณ์ จาติกวณิช อดีตขุนคลัง หัวสมองไบร์ท อยู่เหมือนกัน??
มองข้ามช็อท, ผลักดัน “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” ฉายาพี่มีแต่ให้ ..ก้าวขึ้นเป็นเลขาธิการพรรค
อยู่ในช่วงพรรคเสียฟอร์มแพ้เลือกตั้ง ให้ “ปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จึงไม่อยากทำศึก แตกหัก
นั่นเป็นบันไดก้าวแรก..ที่ทำให้ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ไม่มี “สุเทพ เทือกสุบรรณ” เป็นตัวช่วย...หากบริหารพรรคผิดพลาด คราวนี้ “คุณมาร์ค” ก็ต้องถอนสมอ ออกไป!!!
ไม่มี “เทพเทือก” เป็นเลขาฯ...เก้าอี้หัวหน้า?..ก็ต้องตกลงมา ที่ “เสี่ยกรณ์”ใช่หรือไม่??

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วอร์รูมย่อย ๆ ใน “พรรคประชาธิปัตย์”!!
พากันตำหนิ..และบางรายถึงขั้นกัด “อดีตนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ถึงเลือดสาด??
ที่ออกมาตอแย ให้ “ข้าราชการ” ที่ถูกย้าย พากันแข็งข้อ..ทำให้พรรคหมดท่า
เปรียบไปแล้ว ช่วงนี้เหมือนช่วงเทศกาลเก็บผลไม้...เพราะเป็นช่วงโยกย้าย “ข้าราชการ” จึงเป็นสิทธิ์ชอบธรรม ที่ “รัฐบาลปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทำได้ ตามกติกา
ไม่สมควรที่ “อภิสิทธิ์” จะออกมาโวยมาวาย...ทั้งนี้เพราะ “บรรหาร ศิลปอาชา”, “เนวิน ชิดชอบ” เตือนแล้วอย่าเพิ่งยุบสภาฯ..ให้โยกย้ายเดือนตุลาฯผ่านไปก่อน ถึงชิงกันยุบเสร็จสรรพ
ฉะนั้น,”อภิสิทธิ์”ไม่ควรล้งเล้ง...ควรจะด่าตัวเอง?..เพราะเล็งการณ์ไกลผิดไงล่ะขอรับ??

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ถ้าคิด “ก้าวข้าม”ความขัดแย้ง!!
เห็นที, “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องใช้ยาแรง??
ใครสั่งฆ่า สังหารประชาชน ๙๑ ศพ เจ็บระนาว ๒ พันกว่าคน ต้องลากตัวมาลงโทษ
ไป “ปรองดอง” กับคนใจทมิฬ ฆ่าประชาชนไม่ยั้ง..เป็นเรื่องไม่เกิดประโยชน์
ใครผิดก็ว่ากันตามผิด...ใครไม่ผิดก็ให้อิสระ ทำหน้าที่ได้อย่างเสรี!!
แต่นี่.ปล่อยให้ “ฆาตกร”...ที่สั่งราษฎร?..มาไล่ต้อนรัฐบาล คนเขาจึงไม่แฮปปี้??

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++

“รัฐบาลปู” ทำงานไม่ถึงเดือน!!
แต่ความมือไม่ถึง รัฐมนตรีสาวโสด “กฤษณา สีหลักษณ์” ผู้คุมสื่อ ทำให้รัฐบาลสะเทือน?
ปล่อยให้ “จอมเสี้ยม” พิธีกรข่าวหน้าจอ ล่อรัฐบาลจนเอียง
“นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” จะหลุดพ้นตำแหน่งไร้เก้าอี้ ก่อน ๓ เดือน ๖ เดือน..ก็เพราะฝีมือ “รัฐมนตรีหญิงกฤษณา”..ฉะนั้น, อย่าลอยหน้า มาเถียง
การให้อิสรเสรีภาพ แก่สื่อสารมวลชนทีวี โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ เป็นสิ่งที่ดี..แต่การให้ความเท็จ ให้ข้อมูลอันเป็นการโกหกประชาชน “รัฐมนตรีกฤษณา” นั่งอยู่ได้อย่างไร!!
ท่านอย่ามัวนั่งตัวลีบ...ถ้าไม่มีน้ำยา ก็คลุมปี๊บ?...รีบสละเก้าอี้ ลาออกไป??

คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
///////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554

รำลึก ๑๙ กันยา : ศาลไทยกับการประหารประชารัฐ !!?

รำลึก ๑๙ กันยา: ศาลไทยกับการประหารประชารัฐ โดย วีรพัฒน์ ปริยวงศ์

“จะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและกฎหมายทุกประการ”

ถ้อยคำตอนหนึ่งของคำถวายสัตย์ที่ตุลาการไทยต้องปฏิญาณต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เพลงชาติสอนให้เราเชื่อว่าประเทศไทยเป็นประชารัฐ แต่ประชารัฐกลับถูกประหารมาแล้วหลายครั้ง ล่าสุดก็เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ แม้วันนี้ผ่านมาได้ ๕ ปี แต่คราบเลือดและรอยแผลยังมีให้พบเห็นได้ทั่วไป ไม่เว้นแต่ในหน้าของรัฐธรรมนูญและอีกหลายหน้าของราชกิจจานุเบกษา

คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีหมายเลขแดงที่ อม. ๑/๒๕๕๐ (“คดีที่ดินรัชดาฯ”) ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕ ตอนที่ ๑๒๖ ก
ในหน้าที่ ๘-๙ ศาลฎีกา กล่าวว่า

“เห็นว่า ในการทำรัฐประหารเพื่อยึดอำนาจการปกครองประเทศในแต่ละครั้งนั้น ผู้ทำการรัฐประหารมีความประสงค์ที่จะยึดอำนาจอธิปไตยที่ใช้ในการปกครองประเทศ ซึ่งก็คือ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหารและอำนาจตุลาการ มารวมไว้โดยให้มีผู้ใช้อำนาจดังกล่าวแต่เพียงผู้เดียวหรือคณะบุคคลคณะเดียวเท่านั้น มิได้มีความประสงค์ที่จะล้มล้างระบบกฎหมายของประเทศทั้งระบบแต่อย่างใด”

“แม้แต่อำนาจตุลาการซึ่งเป็นอำนาจหนึ่งในอำนาจอธิปไตยก็ยังปรากฏเป็นข้อที่รับรู้กันทั่วไปว่าตามปกติผู้ทำการรัฐประหารจะยังคงให้อำนาจตุลาการโดยเฉพาะอย่างยิ่งศาลยุติธรรมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาอรรถคดีต่อไปได้ คงยึดอำนาจไว้แต่เฉพาะอำนาจนิตบัญญัติและอำนาจบริหารเท่านั้น”

“ในการทำปฏิวัติรัฐประหารโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ก็เช่นกัน เมื่อคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขยึดอำนาจในการปกครองประเทศได้เรียบร้อยแล้ว คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขก็ออกประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ ๓ มีใจความสำคัญว่า ให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ สิ้นสุดลง วุฒิสภา สภาผู้แทนราษฎร คณะรัฐมนตรีและศาลรัฐธรรมนูญ สิ้นสุดลงพร้อมกับรัฐธรรมนูญ”

“ส่วนศาลทั้งหลาย นอกจากศาลรัฐธรรมนูญคงมีอำนาจในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีตามบทกฎหมาย แสดงว่าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขยึดอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหารมารวมไว้ที่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ส่วนอำนาจตุลาการยังคงให้ศาลยุติธรรมใช้อำนาจพิจารณาพิพากษาอรรถคดีตามบทกฎหมายต่อไป”

(ลงชื่อ นายทองหล่อ โฉมงาม นายสมชาย พงษธา นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย นายสมศักดิ์ เนตรมัย นายวัฒนชัย โชติชูตระกูล นายประพันธ์ ทรัพย์แสง นายพิชิต คำแฝง นายธีระวัฒน์ ภัทรานวัช และนายเกรียงชัย จึงจตุรพิธ องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกา)

คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ ๕/๒๕๕๑ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕ ตอนที่ ๑๐๗ ก
หน้าที่ ๓๒ และ ๓๕ นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้แสดงความเห็นส่วนตน ตอนหนึ่งความว่า:
“เห็นว่า ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ ๓๐ เรื่อง การตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐลงวันที่ ๓๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ เป็นคำสั่งของคณะรัฐประหารที่ยึดอำนาจการปกครองประเทศได้เป็นผลสำเร็จ คณะรัฐประหารจึงเป็นรัฏฐาธิปัตย์ซึ่งมีอำนาจสูงสุด คำสั่งของคณะรัฐประหารดังกล่าว จึงเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับเพื่อประเทศชาติจะตั้งอยู่ได้ในความสงบต่อไป”

“โดยที่เหตุการณ์ก่อนการรัฐประหารบ้านเมืองอยู่ในสภาวะแบ่งแยกเป็นฝักเป็นฝ่าย ประกอบกับมีข้อเท็จจริงที่สนับสนุนให้เห็นถึงการกระทำที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ อันเป็นสาเหตุแห่งการรัฐประหาร คณะรัฐประหารจึงแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบขึ้นมาทำหน้าที่ตรวจสอบการกระทำอันเป็นเหตุการณ์ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติจึงจำต้องให้อำนาจแก่คณะกรรมการตรวจสอบเพื่อให้การดำเนินการตรวจสอบเป็นไปอย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ”

“แต่ประการสำคัญยังมีการตรวจสอบถ่วงดุลโดยอัยการสูงสุด และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรวจสอบถ่วงดุลและการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพโดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและศาลที่มีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแล้วแต่กรณี อันเป็นไปตามหลักการแห่งการปกครองโดยกฎหมาย หรือหลักนิติธรรม (Rule of Law) แล้ว”

(ลงชื่อ นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ)

ในหน้าที่ ๓๘-๓๙ นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้แสดงความเห็นส่วนตน ตอนหนึ่งความว่า:
“เห็นว่า ประเทศไทยถูกคุกคามและบ่อนทำลายให้เสื่อมโทรมด้วยปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐมาโดยตลอด เป็นต้นเหตุสำคัญของปัญหาความยากจนและคุณภาพชีวิตที่ตกต่ำของประชาชนส่วนใหญ่ ทั้งยังขัดขวางและเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศในทุกๆ ด้าน ปัญหาดังกล่าวนี้ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยระบบงานยุติธรรมปกติที่ออกแบบมาสำหรับอาชญากรรมสามัญทั่วไปได้ โดยเฉพาะในขั้นตอนสืบสวน สอบสวน ก่อนการพิจารณาคดีของฝ่ายตุลาการ ซึ่งเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ยังไม่มีอิสระและอำนาจเพียงพอที่จะตรวจสอบหรือดำเนินคดีต่อผู้มีฐานะและอำนาจระดับสูงเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

“สภาพปัญหาดังกล่าวทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงขนาดที่อาจกระทบต่อความมั่นคงและความอยู่รอดของประเทศ นับว่าเป็นปัญหาเฉพาะสำหรับประเทศไทยที่จำเป็นต้องมีมาตรการที่เหมาะสมเป็นพิเศษขึ้นเพื่อแก้ไข ซึ่งประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ ๓๐ เรื่อง การตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ลงวันที่ ๓๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ ก็เป็นมาตรการหนึ่งที่จำเป็นต้องมี ทั้งนี้เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมของประเทศสามารถทำหน้าที่ได้ตามวัตถุประสงค์ในการตรวจสอบและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของประเทศได้จริง”

“ประกาศคณะปฏิรูปฉบับดังกล่าวมุ่งเน้นที่การตรวจสอบในขั้นตอนก่อนการพิจารณาคดีของศาลเท่านั้น มิได้มีเนื้อหาส่วนใดก้าวก่ายหรือแทรกแซงการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลเลยผู้ที่ถูกตรวจสอบและดำเนินคดีตามกฎหมายฉบับนี้ยังคงมีสิทธิต่อสู้คดีในชั้นศาลได้อย่างเต็มที่ทั้งในการตรวจสอบการใช้อำนาจหรือการทุจริตประพฤติมิชอบของบุคคลตามประกาศนี้จะกระทำได้ในกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยเท่านั้น กระบวนการตรวจสอบในชั้นก่อนฟ้องตามประกาศดังกล่าวจึงมิได้ฝ่าฝืนหรือขัดแย้งต่อหลักนิติธรรม หรือสิทธิมนุษยชนแต่ประการใด…”
(ลงชื่อ นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ)

ในหน้าที่ ๔๔ นายจรูญ อินทจาร ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้แสดงความเห็นส่วนตน ตอนหนึ่งความว่า:
“…การใช้อำนาจอธิปไตยตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากการใช้อำนาจของคณะปฏิรูปฯ เช่นกัน ดังนั้น ประกาศคณะปฏิรูปฯ ฉบับที่ ๓๐ จึงมีฐานะ มีศักดิ์และมีผลใช้บังคับเป็นกฎหมาย”
“เมื่อคณะปฏิรูปฯ เป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยในขณะนั้น ใช้อำนาจออกประกาศฉบับนี้ ย่อมแสดงให้เห็นว่าคณะปฏิรูปฯ มีวัตถุประสงค์จะให้มีองค์กรทางบริหารที่มีอำนาจหน้าที่เสริมและผสานการใช้อำนาจซึ่งแบ่งแยกอยู่ใน ๓ องค์กรดังกล่าวมาบูรณาการให้คณะกรรมการตรวจสอบใช้อำนาจหน้าที่ทางบริหารของทั้ง ๓ องค์กรนี้ด้วย เพื่อตรวจสอบและสอบสวนเรื่องที่มีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการกระทำการทุจริตต่อประเทศชาติตามที่มีกฎหมายบัญญัติไว้ ซึ่งต้องกระทำโดยเร็วและภายในกรอบระยะเวลา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างเหมาะสมกับลักษณะของการกระทำผิดที่มีความร้ายแรงต่อประเทศชาติ”
(ลงชื่อ นายจรูญ อินทจาร ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ)

ในหน้าที่ ๔๘ นายเฉลิมพล เอกอุรุ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้แสดงความเห็นส่วนตน ตอนหนึ่งความว่า:
“เห็นว่าประกาศ คปค. ๓๐ มีสถานะเป็นกฎหมาย เพราะออกโดยผู้ที่เป็นรัฏฐาธิปัตย์อยู่ในขณะนั้น ดังที่ศาลฎีกาเคยพิพากษาไว้ ตามคำพิพากษาฎีกาที่ ๔๕/๒๔๙๖, ๑๖๖๓/๒๕๐๕ และ ๖๔๑๑/๒๕๓๔ และประกาศ คปค. ดังกล่าวย่อมมีสถานะเป็นกฎหมายอยู่ตราบเท่าที่ยังไม่มีกฎหมาย ที่มีศักดิ์เดียวกันมายกเลิก (เทียบเคียงคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๒๓๔/๒๕๒๓)”

(ลงชื่อ นายเฉลิมพล เอกอุรุ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ)



ในหน้าที่ ๕๓ นายนุรักษ์ มาประณีต ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้แสดงความเห็นส่วนตน ตอนหนึ่งความว่า:
“เห็นว่า ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ ๓๐ เรื่อง การตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ซึ่งประกาศ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ ประกาศดังกล่าวเป็นประกาศที่มีสถานะเป็น “กฎหมาย” ระดับพระราชบัญญัติ เพราะการปฏิวัติยึดอำนาจการปกครองประเทศหัวหน้าคณะปฏิวัติหรือหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ย่อมเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองประเทศ ข้อความใดที่หัวหน้าคณะปฏิรูปสั่งให้มีผลบังคับในทางนิติบัญญัติก็ต้องถือว่าเป็นกฎหมาย”

(ลงชื่อ นายนุรักษ์ มาประณีต ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ)

ในหน้าที่ ๕๖ นายบุญส่ง กุลบุปผา ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้แสดงความเห็นส่วนตน ตอนหนึ่งความว่า:
“เห็นว่า ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ ๓๐ เรื่องการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ลงวันที่ ๓๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ (ประกาศ คปค. ฉบับที่ ๓๐) เป็นคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่ได้ยึดและได้ควบคุมอำนาจการปกครองประเทศย่อมมีอำนาจสูงสุดในประเทศในฐานะเป็นองค์รัฏฐาธิปัตย์คือเป็นผู้มีอำนาจตรากฎหมาย บังคับให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย และลงโทษผู้ฝ่าฝืนกฎหมายได้หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือเป็นผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหารและอำนาจตุลาการแต่ผู้เดียว ดังนั้นคำสั่งคณะปฏิรูปการปกครองดังกล่าวจึงถือเป็นกฎหมายมีผลใช้บังคับ”

(ลงชื่อ นายบุญส่ง กุลบุปผา ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ)



ในหน้าที่ ๕๙-๖๐ นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้แสดงความเห็นส่วนตน ตอนหนึ่งความว่า:
“เห็นว่า เมื่อมีบุคคลหรือคณะบุคคลใดเข้ายึดอำนาจการปกครองประเทศได้สำเร็จ บุคคลนั้นหรือหัวหน้าคณะบุคคลเช่นว่านั้น ไม่ว่าจะเรียกตนเองว่าอะไรย่อมได้ไปซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ และมีอำนาจออกประกาศหรือออกคำสั่งอันมีผลเป็นกฎหมายใช้บังคับแก่ประชาชนได้ ทำนองเดียวกับพระบรมราชโองการของพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ย่อมมีผลเป็นกฎหมาย ดังนั้น การที่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ได้ยึดอำนาจการปกครองประเทศเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ คปค. ย่อมมีอำนาจในการปกครองประเทศและมีอำนาจออกประกาศ หรือคำสั่งต่าง ๆ ให้มีผลเป็นกฎหมาย หลักเกณฑ์เช่นนี้ยึดถือกันมาจนเป็นปกติประเพณีแล้ว”

(ลงชื่อ นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ)

ในหน้าที่ ๖๓-๖๔ นายสุพจน์ ไข่มุกด์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้แสดงความเห็นส่วนตน ตอนหนึ่งความว่า:

“ภายหลังจากการรัฐประหาร พ.ศ. ๒๔๙๐ เรื่อยมา ศาลและนักนิติศาสตร์ไทยให้การยอมรับการทำรัฐประหารที่สำเร็จ โดยวินิจฉัยเสมอมาจนปัจจุบันว่าคณะรัฐประหารเป็นรัฏฐาธิปัตย์ คำสั่งของคณะรัฐประหารจึงเป็นกฎหมายและเป็นได้แม้รัฐธรรมนูญ…”
“คณะปฏิรูป ฯ ได้เล็งเห็นปัญหาการทุจริตคอรัปชันในรัฐบาลชุดที่แล้ว จึงได้กระทำการยึดอำนาจ ฯ และเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีความต่อเนื่องและเพื่อดำรงสถานะของรัฐ อำนาจอธิปไตย ตลอดจนการบริหารราชการแผ่นดินมิให้สะดุดหยุดลง เพื่อกฎหมายฉบับเดิมที่อาจถูกยกเลิกตามกฎหมายใหม่ ยังมีผลใช้บังคับต่อไปได้ เป็นการกระทำ เท่าที่จำ เป็น ได้สัดส่วนและไม่กระทบกระเทือนสิทธิและเสรีภาพซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ในขณะนั้น ฉะนั้นจึงเห็นว่าไม่เป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพ และไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐”

(ลงชื่อ นายสุพจน์ ไข่มุกด์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ)

ในหน้าที่ ๖๗ นายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้แสดงความเห็นส่วนตน ตอนหนึ่งความว่า:
“…ถือว่าประกาศและคำสั่งทั้งหลายข้างต้นเป็นกฎหมายที่ออกโดยรัฏฐาธิปัตย์ ใช้บังคับได้ ตามประเพณีการปกครองและเป็นนิติประเพณีของการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่ประชาชนและประเทศไทยยึดถือเป็นหลักในการปกครองประเทศตลอดมา ซึ่งต้องสอดคล้องและอยู่บนพื้นฐานของหลักนิติธรรม ตามที่บัญญัติไว้เป็นหลักการและเหตุผลในคำปรารภของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๔๙ ว่า เหตุที่ทำ การยึดอำนาจและประกาศให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเสียนั้นก็โดยปรารถนาจะแก้ไขความเสื่อมศรัทธาในการบริหารราชการแผ่นดิน…”

(ลงชื่อ นายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ)
คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีหมายเลขแดงที่ อม. ๙/๒๕๕๒ (“คดีนายยงยุทธ ติยะไพรัช”) ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕ ตอนที่ ๙๐ ก
นายกีรติ กาญจนรินทร์ ผู้พิพากษาศาลฎีกา ได้แสดงความเห็นแย้ง ความบางส่วนปรากฏว่า
“เห็นว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ศาลเป็นหนึ่งในอำนาจอธิปไตย ซึ่งเป็นของประชาชน…นอกจากนี้ศาลควรมีบทบาทในการพิทักษ์ความชอบด้วยกฎหมายรวมถึงพันธกรณีในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนจากการใช้อำนาจโดยมิชอบและพันธกรณีในการปกปักรักษาประชาธิปไตยด้วย”
“การได้อำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางของระบอบประชาธิปไตย กล่าวคือการได้อำนาจในการปกครองประเทศโดยความไม่ยินยอมพร้อมใจจากประชาชนส่วนใหญ่ เท่ากับเป็นการล้มล้างระบอบประชาธิปไตย การปฏิวัติหรือรัฐประหารเป็นการล้มล้างรัฐธรรมนูญ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๓ ย่อมเป็นการได้อำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางของระบอบประชาธิปไตย”

“หากศาลรับรองอำนาจของบุคคลหรือคณะบุคคลที่ทำการปฏิวัติหรือรัฐประหารว่าเป็นรัฏฐาธิปัตย์แล้ว เท่ากับศาลไม่ได้รับใช้ประชาชน จากการใช้อำนาจโดยมิชอบและเพิกเฉยต่อการปกปักรักษาประชาธิปไตยดังกล่าวมาข้างต้น ทั้งเป็นการละเลยหลักยุติธรรมตามธรรมชาติที่ว่าบุคคลใดจะรับประโยชน์จากความฉ้อฉลหรือความผิดของตนเองหาได้ไม่ รวมทั้งเป็นการส่งเสริมให้เกิดการปฏิวัติหรือรัฐประหารเป็นวงจรอุบาทว์อยู่ร่ำไป ยิ่งกว่านั้นยังเป็นช่องทางให้บุคคลหรือคณะบุคคลดังกล่าวยืมมือกฎหมายเข้ามาจัดการสิ่งต่างๆ”

“ข้อเท็จจริงเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า ปัจจุบันอยู่ในกระแสโลกาภิวัตน์ นานาอารยะประเทศส่วนใหญ่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งไม่ยอมรับอำนาจที่ได้มาจากการปฏิวัติหรือรัฐประหาร ฉะนั้นเมื่อกาละและเทศะในปัจจุบันเปลี่ยนไปแล้วจากอดีต ศาลจึงไม่อาจที่จะรับรองอำนาจของบุคคลหรือคณะบุคคลที่ทำการปฏิวัติหรือรัฐประหารว่าเป็นรัฎฐาธิปัตย์”

“ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น เมื่อข้อเท็จจริงเป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไปเช่นกันว่า ผู้ร้องประกอบด้วยคณะกรรมการที่เป็นผลพวงของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (คปค.) แต่ คปค. เป็นคณะบุคคลที่ทำการปฏิวัติหรือรัฐประหาร เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๓ จึงเป็นการได้อำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางของระบอบประชาธิปไตยดังเหตุผลข้างต้น ย่อมไม่อาจถือได้ว่าเป็นรัฏฐาธิปัตย์ แม้จะได้รับการนิรโทษกรรมภายหลังก็ตาม หาก่อให้เกิดอำนาจที่จะสั่งการหรือกระทำการใดอย่างรัฏฐาธิปัตย์…”

(ลงชื่อ นายกีรติ กาญจนรินทร์ ผู้พิพากษาศาลฎีกา)

อ่านความเห็นได้ที่ http://www.supremecourt.or.th/file/criminal/keerati%209-52.pdf
ผู้พิพากษาตุลาการไทยทุกท่านก็ไม่ต่างไปจากท่านกีรติ กาญจนรินทร์ ที่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณว่า
“จะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและกฎหมายทุกประการ”
แต่ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า หากวันหนึ่งประชารัฐถูกประหารอีกครั้ง จะมีผู้พิพากษาและตุลาการไทยกี่ท่านที่พร้อมจะยึดมั่นในคำถวายสัตย์เฉกเช่นที่ท่านกีรติ กาญจนรินทร์ ได้ประกาศไว้?


ที่มา:Siam Intelligence Unit

////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////