--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

กรมศุลฯเรียก โตโยต้า แจงปม เลี่ยงภาษี หมื่นล้าน..!!

กรมศุลฯ เรียกบริษัท โตโยต้า ชี้แจงขอเก็บย้อนหลังภาษีนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์ โตโยต้า พรีอุส เลี่ยงภาษีกว่า 10,000 ล้านบาท หลังตรวจสอบการนำเข้าชิ้นส่วนสำเร็จรูปตามข้อตกลงเจเทปา ไม่ได้ขออนุญาตนำเข้าอย่างเป็นทางการเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี ซ้ำรอยเก่า 5 ปีที่แล้ว โดยเรียกภาษีเพิ่ม 800 ล้านบาท
( http://www.thairath.co.th/content/eco/404785 )

นายราฆพ ศรีศุภอรรถ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมศุลกากรอยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กรณีที่บริษัท โตโยต้านำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นพรีอุส (Prius) ระหว่างปี 2554-2555 เสียภาษีไม่ถูกต้องตามกฎหมายศุลกากรซึ่งมีมูลค่าที่เสียภาษีไว้ไม่ครบถ้วนถึง 10,000 ล้านบาทโดยคดีนี้กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการอุทธรณ์ของกรมศุลกากร เนื่องจากบริษัท โตโยต้ามีข้อโต้แย้งและอ้างว่า ได้ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายศุลกากรแล้ว

ที่ผ่านมา กรมศุลกากรมีประเด็นที่ต้องการตรวจสอบผู้ประกอบการตลอดเวลาอยู่แล้ว เนื่องจากมีการสำแดงภาษีไม่ถูกต้องตามกฎหมายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประเด็นเหล่านี้อาจพิจารณาได้ว่า ผู้ประกอบการไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีเพราะเกิดจากความเข้าใจผิดในข้อกฎหมายจึงทำให้เสียภาษีไว้ไม่ถูกต้อง หรืออีกกรณีหนึ่งคือรู้ว่า สิ่งดำเนินการอยู่นั้นผิดแต่มีเจตนาที่จะเสียภาษีไม่ถูกต้อง เพราะต้องการหลีกเลี่ยงภาษีเพื่อทำให้ราคาสินค้าที่ผลิตหรือจำหน่ายถูกกว่าคู่แข่งหรือต้องการเพิ่มกำไรจากการดำเนินธุรกิจ”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อปี 2551 บริษัท โตโยต้า ถูกกรมศุลกากรดำเนินคดีทางภาษีมาแล้ว โดยบริษัทโตโยต้าต้องเสียภาษีเพิ่มให้แก่กรมศุลกากรเพื่อนำส่งเข้าคลังมากกว่า 800 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงนั้น บริษัท โตโยต้า ได้แจ้งการนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์จากต่างประเทศไม่ถูกต้อง โดยอ้างว่า การเปิดเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ไทยกับอินเดีย กรณีที่มีการนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์ที่ผลิตจากอินเดียจะเสียภาษีในอัตราต่ำ แต่บริษัท โตโยต้า กลับนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์จากประเทศสิงคโปร์ โดยอ้างว่า ชิ้นส่วนรถยนต์เหล่านี้มาจากอินเดีย ซึ่งมีเจตนาที่จะหลีกเลี่ยงภาษีอย่างชัดเจน โดยเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้บริษัท โตโยต้า ต้องเสียภาษีและบวกเงินค่าปรับให้แก่กรมศุลกากรเป็นเงินมากกว่า 800 ล้านบาท



ส่วนกรณีล่าสุด เมื่อวันที่ 29 มิ.ย.55 สำนัก งานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง ได้ทำหนังสือแจ้ง บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ใบขนสินค้าเลขที่ A001 05402 07638 โดยตรวจพบผู้นำเข้าสำแดง TOYOTA CKD COMPOMENT PARTS โดยแยกสำแดงชนิดสินค้าและประเภทพิกัดขั้นตอน และใช้สิทธิยกเว้นอากรและอัตราอากรตามาตรา 12 และยกเว้นอากรและลดอัตราอากรสำหรับของที่มีถิ่นกำเนิดจากญี่ปุ่นนั้น ไม่ถูกต้อง

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่า สินค้าที่นำเข้าเป็นชิ้นส่วนรถยนต์ นำเข้าโดยแยกเป็นชิ้นส่วนต่างๆ ในลักษณะ CKD (COMPLETE KNOCK DOWN) และปริมาณสอดคล้องต้องกัน เมื่อประกอบเข้าด้วยกันแล้ว สามารถประกอบเป็นรถยนต์สำเร็จรูปได้ จำนวน 160 คัน กรณีดังกล่าว ไม่สามารถแยกชำระอากรตามรายชนิดสินค้าได้ เมื่อตรวจสอบข้อมูลในส่วนของเครื่องยนต์พบว่า รหัสของเครื่องยนต์ขึ้นต้นด้วย 2ZR นั้น เป็นรหัสเครื่องยนต์ที่มีความจุของกระบอกสูบ 1,797 ลบ.ซม.ของรถยนต์ TOYOTA รุ่น พรีอุส

ดังนั้น จึงเห็นควรให้สินค้าตามรายการดังกล่าว จัดเข้าเป็นประเภทพิกัด 8703.23.41 เสียภาษีในอัตรา 80% ในฐานะรถยนต์ที่เป็นชิ้นส่วนครบชุดสมบูรณ์ที่ความจุกระบอกสูบไม่เกิน 1,800 ลบ.ซม. ตามหลักเกณฑ์การตีความพิกัดอัตราศุลกากรข้อ 2 (ก) ประเภทที่ระบุถึงของใดให้หมายรวมถึงของนั้นที่ยังไม่สมบูรณ์ หรือยังไม่สำเร็จ หากว่า ในขณะนำเข้ามีลักษณะอันเป็นสาระสำคัญของของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้ว ให้หมายรวมถึงของที่ครบสมบูรณ์หรือสำเร็จแล้ว ที่นำเข้ามาโดยถอดแยกออกจากกันหรือยังไม่ได้ประกอบเข้าด้วยกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้กรมศุลกากรได้หารือกับบริษัท โตโยต้าอย่างใกล้ชิด เพราะการแจ้งการนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์ของในครั้งนี้ เมื่อรวมค่าภาษีที่ขาดหายไป เช่น อากรขาเข้า ภาษีสรรพสามิต ภาษีเพื่อมหาดไทย ภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว รวมเป็นเม็ดเงินที่เสียไว้ไม่ครบถ้วนสูงถึง 10,000 ล้านบาท

สำหรับการนำเข้าชิ้นส่วนของ TOYOTA รุ่น Prius ในครั้งนี้ ทางบริษัทโตโยต้า ได้ดำเนินการภายใต้ข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (เจเทปา) ซึ่งในกรณีนี้ หากนำเข้าชิ้นส่วนสำเร็จรูป (CKD) ที่สามารถนำชิ้นส่วนเข้ามาประกอบเป็นรถยนต์ได้ทั้งคันนั้น หากขออนุญาตจากกรมศุลกากรก่อนนำเข้า จะเสียภาษีในอัตราภาษีเพียง 30% ขณะที่โตโยต้านำเข้ารถรุ่น Prius โดยไม่ได้ขออนุญาตทำให้ต้องถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 80%

ที่มา.พระนครสาส์น
-------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น