--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เมื่อ กรุงเทพฯ ถูกปิด !!?

โดย. วีรพงษ์ รามางกูร

เมื่อ กลุ่มผู้ชุมนุมหรือม็อบประชาธิปัตย์ประกาศปิดกรุงเทพฯหรือใช้ศัพท์เพื่อ สร้างกระแสว่า Shut Down Bangkok ในวันที่ 13 มกราคม 2557 โดยจะปิดสี่แยกที่เป็นย่านธุรกิจสำคัญ 20 แห่ง ต่อมาลดลงเหลือ 8 แห่ง จะเป็นเพราะประเมินแล้วว่ามีกำลังไม่เพียงพอก็ได้ แต่ที่แปลกก็คือผู้ที่ทำการประชาสัมพันธ์ให้ผู้คนตกอกตกใจ กลับไม่ใช่ฝ่ายผู้ชุมนุม แต่กลับเป็นฝ่ายรัฐบาลเป็นผู้ทำเสียเอง จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ไม่ทราบ

กรุงเทพ มหานครอมรรัตนโกสินทร์นั้น สถาปนาขึ้นมาเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2325 เวลา 06.54 น. โดยถือเอาวันเวลาที่ลงเสาหลักเมืองตามฤกษ์ยามที่ได้เตรียมมาก่อนล่วงหน้า แล้ว

หลังจากตั้งกรุงเทพฯ พระเจ้ากรุงอังวะพม่า ก็พยายามยกมาตีกรุงเทพฯ แต่ก็เข้ามาไม่ถึง เพราะกองทัพสยามเปลี่ยนยุทธวิธีจากการตั้งรับในพระนคร ออกไปตั้งรับอยู่ชายแดน ยุทธการที่สำคัญคือ "ศึกลาดหญ้า" ที่กาญจนบุรีอันเลื่องลือ ในอีก 20 ปีต่อมา นโปเลียน โบนาปาร์ต จึงเอาไปใช้ที่ยุโรป

ในช่วงการล่าอาณานิคม ตั้งแต่รัชกาลที่ 4เรื่อยมาถึงรัชกาลที่ 6 กรุงเทพฯก็รอดพ้นจากการถูกยึดหรือ "ถูกปิด" หรือถูก Shut Down โดยเจ้าอาณานิคมอย่างอังกฤษหรือฝรั่งเศส แบบเดียวกับที่ทำกับประเทศเพื่อนบ้านของเรา

ตั้งแต่นั้นมาเป็นเวลากว่า 230 ปีแล้ว ยังไม่เคยมีผู้ใดสามารถปิดหรือยึดกรุงเทพฯได้เลย ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่น ยื่นคำขาด ขอให้กองทัพลูกพระอาทิตย์ผ่าน จอมพล ป.พิบูลสงคราม สู้อยู่ไม่กี่วันก็ประกาศเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น ประกาศสงครามกับพันธมิตร ญี่ปุ่นจึงมิได้ยึดกรุงเทพฯ

สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง ญี่ปุ่นและฝ่ายอักษะแพ้สงคราม เมืองหลวงของญี่ปุ่น เยอรมัน อิตาลีถูกพันธมิตรยึดครองหมด แต่กรุงเทพฯเมืองหลวงของไทยก็ไม่ได้ถูกยึดหรือถูกปิด ยังเป็นกรุงเทพฯเมืองฟ้าอมรไม่มีวันตายอยู่เหมือนเดิม จะเป็นเพราะดวงชะตาบ้านเมืองที่ทรงวางไว้อย่างนั้นหรือไม่ก็ไม่ทราบ

เมื่อมาถึง พ.ศ.2557 ก็นึกไม่ออกว่ากรุงเทพฯจะถูกปิดโดยผู้ชุมนุมโพกผ้าเหลืองพันแขนด้วยแถบธงชาติ คล้องคอด้วย
นกหวีดได้อย่างไร ดวงชะตาบ้านเมืองจะคอดกิ่วถึงขนาดนั้นเชียวหรือ เพราะรัฐบาลทำการประชาสัมพันธ์ใหญ่โตว่ากรุงเทพฯจะถูกปิด ให้ผู้คนเตรียมข้าวสาร อาหารแห้ง ไฟฟ้า เตรียมเครื่องคอมพิวเตอร์ ชาร์จถ่านโทรศัพท์มือถือไว้ให้พร้อม เพื่อจะได้ทำงานที่บ้านได้ บริษัทห้างร้านที่ตกอกตกใจก็เตรียมการ กลัวจะเกิดวิกฤตการณ์กรุงเทพฯถูกปิด สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมืองก็เตรียมพร้อม

ผู้คนที่ไม่เคยใช้ระบบขนส่งมวลชนทั้งรถไฟใต้ดินและบนดินก็เตรียมตัว ไปหาแผนที่ระบบขนส่งมวลชนมาศึกษาทางหนีทีไล่ การขนส่งทางเรือในแม่น้ำเจ้าพระยา คลองแสนแสบ คลองพระโขนงก็ถูกนำกลับมาศึกษาว่าถ้าหากกรุงเทพฯถูกปิด ถนนหนทางทางผ่านใช้ไม่ได้จะทำอย่างไร

ข้อที่น่าสังเกตก็คือคน กรุงเทพฯไม่โกรธ ไม่โมโหที่กรุงเทพฯจะถูกปิด อาจจะเป็นเพราะมีใจเข้าข้างผู้ชุมนุมก็ได้ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ให้ความร่วมมือกับฝ่ายผู้ชุมนุมโดยไม่ออกจากบ้าน ตั้งมั่นอยู่กับที่ หยุดทำงานทำการ เพื่อให้กรุงเทพฯเป็น "เมืองร้าง"

เหมือน ถูกปิดตามที่แกนนำผู้ชุมนุมอยากให้เกิดขึ้น กลับกันต่างก็หาทางเดินทางไปทำงานด้วยวิธีต่าง ๆ จนได้ระบบขนส่งมวลชนก็ดี รถเมล์ก็ดี เรือเมล์ก็ดี กลับแน่นขนัดในขณะที่ถนนหนทาง ทางด่วนโล่ง รถยนต์ก็วิ่งได้อย่างสะดวก คล้าย ๆ กับวันหยุดยาว เช่น วันขึ้นปีใหม่ วันสงกรานต์ ตลอดสัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 13-19 การจราจรทางถนน ทางหลวง ทางด่วนจึงโล่ง แต่ขนส่งมวลชนรถเมล์กลับแน่น

เมื่อเริ่มสัปดาห์ใหม่ วันจันทร์ที่ 20 มกราคม ถนนหนทางในกรุงเทพฯ รถก็ติดเหมือนเดิม ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ประกาศ "เปิดกรุงเทพฯ" หรือ "Open Up Bangkok" จนถึงเทศกาล "ตรุษจีน" แล้ว กรุงเทพฯก็ยังเป็นเมืองฟ้าอมร ยังไม่ตาย ยังเหมือนเดิม

เมื่อมีการประชาสัมพันธ์การปิดกรุงเทพฯ หรือ Bangkok Shut Down ก็ตกใจว่า กรุงเทพฯที่รอดพ้นจากปากเหยี่ยวปากกามาโดยตลอดกว่า 230 ปี จะมาอับจนถูกปิดคราวนี้ ดวงชะตาบ้านเมืองที่วางเอาไว้ตั้งแต่วัน อาทิตย์ที่ 21 เมษายน 2325 จะมาอับจนเสียแล้วหรือ เมื่อกรุงเทพฯถูกยึดถูกปิด เมื่อจะเปิดกรุงเทพฯใหม่ก็คงต้องหาฤกษ์ หายามลงเสาหลักเมืองใหม่ แล้วจะมีฤกษ์ยามวิเศษ ที่อาทิตย์เป็นอุจจ์ กุมลัคน์ มีอังคารนำหน้าลัคน์ พฤหัสฯเป็นเกษตร อย่างเดิมได้อย่างไร ฤกษ์เช่นนี้ไม่ได้หาได้ง่าย ๆ

คนไทยนี่แปลก เป็นคนที่มีอารมณ์สนุก มีอารมณ์ขัน ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่กำลังทำเป็นสิ่งตึงเครียด เพราะกำลังทำเพื่อล้มทั้งรัฐบาลและล้ม "ระบอบทักษิณ" ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องคอขาดบาดตาย เป็นความผิดอาญาต่อแผ่นดิน ข้อหากบฏในราชอาณาจักร" มีโทษถึงประหารชีวิต

แต่บรรดาผู้ที่มาชุมนุมก็เปลี่ยนบรรยากาศ การชุมนุมที่ควรจะตึงเครียดให้เป็น "งานคาร์นิวัล" หรือเป็นเทศกาลงานวัดสมัยใหม่ มีวงดนตรี มีศิลปินมาขับกล่อม มีเต้นรำทำเพลง พร้อม ๆ กับมีอาหารอันโอชะมาจากที่ต่าง ๆ ไว้รับรอง กล้องทีวีก็จะแพนไปจับภาพผู้ชุมนุม สาวสวยขนาดขึ้นประกวดนางงามได้ สลับกับการ์ดหน้าดำถมึงทึงไว้หนวดเฟิ้ม มีนกหวีดคล้องคอ พร้อมแถบธงชาติพันแขน แม้จะนั่งดูอยู่ที่บ้านก็ไม่ตึงเครียด สนุกสนาน กระชุ่มกระชวยไปกับผู้ชุมนุมด้วย แม้จะมีหมายจับก็ไม่ เป็นไร ไปถึงศาลศาลก็ปล่อยตัว เพราะศาลก็คงสนุกไปด้วย ต่อเมื่อแกนนำขึ้นเวทีจึงค่อยเปลี่ยนไปช่องอื่น ทำเช่นนี้ก็จะทำให้ชีวิตมีรสชาติมากกว่าดูข่าวในประเทศ ข่าวต่างประเทศ และละครน้ำเน่าเป็นไหน ๆ กรุงเทพฯจึง "สมเป็นนครมหาธานี" จริง ๆ

ที่เป็นประโยชน์จริง ๆ เห็นจะเป็นรายการสนทนาของนักวิชาการรุ่นใหม่ที่แจ้งเกิดมากมาย ทำให้ประเทืองสติปัญญา ตั้งแต่นักวิชาการสายกฎหมายรุ่นใหม่ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน เช่น นักวิชาการสายกฎหมายมหาชน "นิติราษฎร์" หรือนักวิชาการ "ผังเมือง" ที่ออกมาอธิบายความเป็นกรุงเทพมหาธานี มาอภิปรายต่อสู้กับนักวิชาการวิชาเกินฝ่ายมวลมหา ประชาชนได้เห็นถึงจริยธรรม อคติ และวาทศิลป์ของฝ่ายต่าง ๆ ที่ผู้ฟังสามารถเลือกที่จะสนุกสนานได้ตามจริตของตน ซึ่งมีไม่บ่อยนักสำหรับประเทศของเรา เป็นการเปิดสมองทดสอบความอดทนของตัวเราได้เป็นอย่างดี ถ้ารู้จักคิด รู้จักฟัง รู้จักแยกแยะด้วยสติปัญญา

แทนที่กรุงเทพฯจะถูกปิดด้วยสิ่ง กีดขวางทางจราจร กลับกลายเป็นว่ากรุงเทพฯกลับถูกเปิดอย่างที่สุด ถูกเปิดด้วยสติปัญญา ถูกเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง หลักการกับหลักกู ระบอบรัฐสภากับระบอบข้างถนน คนกรุงเทพฯเลือกแบบไหน

กรุงเทพฯถูกปลด ปล่อยอย่างถึงที่สุด ไม่ถูกจำกัดด้วยกฎหมาย ไม่ถูกจำกัดด้วยจารีตประเพณี ไม่ถูกจำกัดด้วยมารยาท ไม่ต้องดัดจริต ทุกอย่างเป็นไปตามสภาพธรรมชาติ สุดแท้แต่มนุษย์จะเลือกเอา เพราะ "อำนาจรัฐ" อ่อนแอลงจนเกือบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่า "รัฐไทย" ยังคงดำรงอยู่ แต่ "รัฐไทย" ก็ยังดำรงอยู่ด้วยตัวของมันเอง เพราะกรุงเทพฯก็ยังมีชีวิตอยู่ ยังไม่ได้ตายอย่างที่กลัวกัน

ในช่วงที่มีการประกาศปิดกรุงเทพฯจึงมีผลตรงกันข้าม กล่าวคือ กรุงเทพฯกลายเป็นเมืองเปิดที่สุด มีชีวิตชีวา "สวยงามหนักหนา

ยามราตรี" ที่สุด สภาวะการจราจรแทนที่จะติด ถนนกลับโล่ง ใครอยากจะทำอะไรก็ทำ อยากจะแต่งตัวอย่างไรก็แต่งอยากจะพูดอะไรก็พูด ปลดปล่อยอารมณ์ได้อย่างเต็มที่

เหตุการณ์ ประกาศปิดกรุงเทพฯครั้งนี้เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่า กรุงเทพฯเมืองฟ้าอมรแห่งนี้ นอกจากมีร่างกายแล้วยังมีชีวิตและยังมีจิตวิญญาณด้วย

ทางด้านกายภาพ มีระบบร่างกายสลับ ซับซ้อน เจริญเติบโตโดยธรรมชาติ ไม่มีการวางแผน มีสภาพการตื่นตลอดเวลา ไม่เคยหลับ ไม่เคยนอน ดำรงอยู่เป็นศูนย์กลางในหลาย ๆ ด้านของประเทศ ในขณะเดียวกันก็มีจิตวิญญาณด้วย ไม่ใช่มีเพียงร่างกายและชีวิต แต่จิตวิญญาณของการเป็นกรุงเทพฯนั้น ยากที่จะอธิบาย

แต่รับรองได้ว่าจะไม่มีใครมายึดครองได้ เป็นชีวิตที่ยากจะทำลายได้ โอ้เมืองแก้วเลิศแล้วราตรี ทุกสิ่งล้วนมีชีวิตชีวา !

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
-----------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น