นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีตั้งแต่เย็นวันที่ 7 เมษายน
ด้วยเหตุผลว่าเพื่อควบคุมให้การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ขยายวงกว้างและยกระดับ ความกดดัน ให้อยู่ในความสงบเรียบร้อย โดยการเพิ่มอำนาจให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐมากขึ้น
ไม่ว่ารัฐบาลจะตัดสินใจใช้อำนาจนั้นหรือไม่ก็ตามที แต่ลำพังเพียงการประกาศภาวะ ฉุกเฉิน ก็ทำให้บรรยากาศของการเผชิญหน้าที่ตึง เครียดอยู่แล้วเพิ่มสูงขึ้นไปอีก
คำถามของคนทั่วไปก็คือจะทำอย่างไรให้สถานการณ์ในวันนี้จบลงโดยไม่เสียเลือดเนื้อ
ประการสำคัญก็คือ ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายผู้ชุมนุมจะต้องระลึกเอาไว้เสมอว่า การประกาศภาวะฉุกเฉินก็ดี หรือการระดมพลังเข้ามาชุมนุมกดดันเรียกร้องทางการเมืองก็ดี
ไม่ใช่เครื่องมือในการเอาชนะคะคาน หรือบรรลุวัตถุประสงค์ของตนเพียงฝ่ายเดียว
แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการนำไปสู่การเจรจาเพื่อยุติปัญหา เพื่อให้สามารถแก้ไขรากเหง้าหรือต้นตอของความขัดแย้งได้อย่างแท้ จริง
วิธีการอื่นนอกเหนือไปจากการเจรจาไม่สามารถแก้ไขยุติความแตกแยกที่เกิดขึ้นได้ มีแต่จะยิ่งทำให้รอยร้าวในสังคมถ่างกว้างยิ่งขึ้น
เพราะอำนาจไม่สามารถครองใจคน ขณะที่ความรุนแรงก็ไม่เคยสร้างความสมานฉันท์ได้
แต่การเจรจาจะเกิดขึ้นได้ ก็เมื่อต่างฝ่ายต่างตระหนักว่าการเดินหน้าเข้าห้ำหั่นกันนั้น สุดท้ายแล้วไม่มีใครจะเป็นผู้ชนะได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
และจะสร้างบรรยากาศของการเจรจาเกิดขึ้นได้ ก็ต้องเลิกหรือลดการใส่ร้ายป้ายสีและใช้วาจาและท่าทีมุ่งร้ายต่อกัน
ไม่ว่าจะแสดงด้วยตนเองหรือผ่านกระบอกเสียงอย่างสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 และทีวีของคนเสื้อแดง
ประโยชน์ที่สุดของการประกาศภาวะฉุกเฉิน ก็คือการเป็นสัญญาณเตือนให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องฉุกคิด ว่าขณะนี้สถานการณ์มาถึงขีดขั้นใกล้จุดระเบิดเต็มทีแล้ว
ถ้ายังไม่รู้ตัว ภาวะฉุกเฉินก็จะเป็นตัวเร่งสถานการณ์ให้เลวร้ายขึ้นเสียเอง
ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ บทบรรณาธิการ
************************************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น