--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2553

ในภาวะฉุกเฉิน

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีตั้งแต่เย็นวันที่ 7 เมษายน

ด้วยเหตุผลว่าเพื่อควบคุมให้การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ขยายวงกว้างและยกระดับ ความกดดัน ให้อยู่ในความสงบเรียบร้อย โดยการเพิ่มอำนาจให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐมากขึ้น

ไม่ว่ารัฐบาลจะตัดสินใจใช้อำนาจนั้นหรือไม่ก็ตามที แต่ลำพังเพียงการประกาศภาวะ ฉุกเฉิน ก็ทำให้บรรยากาศของการเผชิญหน้าที่ตึง เครียดอยู่แล้วเพิ่มสูงขึ้นไปอีก

คำถามของคนทั่วไปก็คือจะทำอย่างไรให้สถานการณ์ในวันนี้จบลงโดยไม่เสียเลือดเนื้อ

ประการสำคัญก็คือ ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายผู้ชุมนุมจะต้องระลึกเอาไว้เสมอว่า การประกาศภาวะฉุกเฉินก็ดี หรือการระดมพลังเข้ามาชุมนุมกดดันเรียกร้องทางการเมืองก็ดี

ไม่ใช่เครื่องมือในการเอาชนะคะคาน หรือบรรลุวัตถุประสงค์ของตนเพียงฝ่ายเดียว

แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการนำไปสู่การเจรจาเพื่อยุติปัญหา เพื่อให้สามารถแก้ไขรากเหง้าหรือต้นตอของความขัดแย้งได้อย่างแท้ จริง

วิธีการอื่นนอกเหนือไปจากการเจรจาไม่สามารถแก้ไขยุติความแตกแยกที่เกิดขึ้นได้ มีแต่จะยิ่งทำให้รอยร้าวในสังคมถ่างกว้างยิ่งขึ้น

เพราะอำนาจไม่สามารถครองใจคน ขณะที่ความรุนแรงก็ไม่เคยสร้างความสมานฉันท์ได้

แต่การเจรจาจะเกิดขึ้นได้ ก็เมื่อต่างฝ่ายต่างตระหนักว่าการเดินหน้าเข้าห้ำหั่นกันนั้น สุดท้ายแล้วไม่มีใครจะเป็นผู้ชนะได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

และจะสร้างบรรยากาศของการเจรจาเกิดขึ้นได้ ก็ต้องเลิกหรือลดการใส่ร้ายป้ายสีและใช้วาจาและท่าทีมุ่งร้ายต่อกัน

ไม่ว่าจะแสดงด้วยตนเองหรือผ่านกระบอกเสียงอย่างสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 และทีวีของคนเสื้อแดง

ประโยชน์ที่สุดของการประกาศภาวะฉุกเฉิน ก็คือการเป็นสัญญาณเตือนให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องฉุกคิด ว่าขณะนี้สถานการณ์มาถึงขีดขั้นใกล้จุดระเบิดเต็มทีแล้ว

ถ้ายังไม่รู้ตัว ภาวะฉุกเฉินก็จะเป็นตัวเร่งสถานการณ์ให้เลวร้ายขึ้นเสียเอง


ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ บทบรรณาธิการ
************************************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น