เชื่ออย่างยิ่งว่าคนไทยส่วนใหญ่จะไม่คาดฝันว่าเหตุการณ์เมื่อค่ำๆ ของวันที่ 10 เม.ย. 2553 จะเกิดการปะทะที่นำไปสู่การสูญเสียมากมายถึงเพียงนี้ มีผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บร่วมพันคน
แต่หากย้อนกลับไปสแกนสถานการณ์ก่อนหน้านี้ตั้งแต่กลุ่มเสื้อแดงเริ่มชุมนุมเมื่อวันที่ 12 มี.ค. บวกกับดูสมการอำนาจในกองทัพไทยที่ประสบกับภาวะเสียดุลครั้งใหญ่ก็จะเห็นว่าการนองเลือดเที่ยวนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมายแต่อย่างใด
ภาพของชายชุดดำถืออาวุธครบมือ เล็งเป้ายิงฝ่ายทหารตั้งแต่ระดับผู้บัญชาการ สถานการณ์ปาระเบิด ยิงคนเสื้อแดง อาจเป็นภาพที่ไม่คุ้นตาผู้คนในสังคมไทย แต่ถ้าจับอาการกองทัพที่มีความแตกแยก ถึงขั้นมี "ไส้ศึก" คอยให้ข้อมูลแก่กลุ่มคนเสื้อแดงหรือที่เรียกว่า "ทหารแตงโม"
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ จตุพร พรหมพันธุ์ และวีระ มุสิกพงศ์ 3 แกนนำ นปช. รู้ทุกครั้งว่าในที่ประชุม ศอ.รส. มีการพูดคุยเรื่องอะไรบ้าง มีการแจกเอกสารกี่แผ่นไม่ว่าจะลับแค่ไหนก็หลุดรอดมาถึงมือ 3 เกลอ นปช. ได้ทุกที ขณะที่ฝ่ายเสื้อแดงจะเคลื่อนไหวอะไรรัฐบาลไม่เคยรู้ จึงถูกชักจูงให้หลงเกมแทบจะตลอดต้องตามแก้เกมกันพัลวัน
พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ อดีตที่ปรึกษากองทัพไทย นายทหารที่ใกล้ชิดกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยังเคยยอมรับเองว่าสภาพของกองทัพตอนนี้ถูกจับตามองอย่างมาก เพราะว่านายทหารจากกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.) หรือที่เรียกติดปากว่า "บูรพาพยัคฆ์" ขึ้นเป็นใหญ่ทั้งแผงไล่ตั้งแต่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.ท.คณิต สาพิทักษ์
เป็นไปได้ที่จะถูกต่อต้านจาก "ภายใน"
อาการ "อั้น" ของทหารกลุ่มอื่นที่ไต่ระดับขึ้นไม่ได้และคาดว่าจะไม่ได้อีกนาน เพราะ "บูรพาพยัคฆ์" จัดโผล่วงหน้าหลายปี ทำให้เกิดสภาพ "แตงโม" ขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นชัดเจนในยุทธการลาดหลุมแก้ว เมื่อวันที่ 9 เม.ย. กลุ่มเสื้อแดงไปล้อมสถานีดาวเทียมไทยคม ทั้งที่ขณะนั้นอยู่ในภาวะการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่กลุ่มเสื้อแดงก็สามารถบุกเข้าไปภายในบริเวณอาคารได้อย่างง่ายดาย
ขณะที่ทหาร ซึ่งมีอำนาจมหาศาลตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน "แตกพ่าย" ไม่เป็นท่า ไม่สามารถปกป้องสถานที่อันเป็นหัวใจของระบบการสื่อสารของชาติเอาไว้ได้
ณัฐวุฒิ รู้ขนาดว่ามีกำลังพิเศษจู่โจมตามมาจัดการเสื้อแดง จึงดักรออย่างรู้เท่าทัน และค้นจนยึดอาวุธปืนเอาไปเก็บไว้ได้ สุดท้ายกลุ่มเสื้อแดงบังคับให้ต่อสัญญาณพีเพิลแชนแนลได้สำเร็จ เท่ากับว่าการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นแค่เศษกระดาษที่ไร้ความหมาย ขณะที่เสื้อแดงที่ราชประสงค์ ซึ่งมีจำนวนแค่หยิบมือไม่ถูกแตะต้องแม้แต่ปลายเล็บ
เหตุการณ์วันนั้น ทำให้สามเกลอยิ่งมั่นใจในพลัง "แตงโม" ว่ามีมากพอที่จะทำให้อำนาจรัฐง่อยเปลี้ยเสียขา สามารถชุมนุมยืดเยื้อโดยไม่ถูกสลาย และถ้าเสี้ยมหนักเข้าก็จะมีของแถมอย่าง "ชายชุดดำ"
การที่ความแตกแยกในกองทัพเป็น "ตัวแปร" ให้เกิดเหตุการณ์นองเลือดในการต่อสู้ทางการเมืองของภาคประชาชนไม่ใช่เพิ่งจะเกิดขึ้นครั้งนี้เป็นครั้งแรก
แต่ย้อนกลับไปเมื่อเหตุการณ์ 14 ต.ค. 2516 นักศึกษาประชาชนออกมาชุมนุมเรียกร้องรัฐธรรมนูญจาก จอมพลถนอม กิตติขจร ปรากฏว่าเกิดการปะทะกับทหารตำรวจในขณะที่กำลังสลายตัว ว่ากันว่าชนวนเหตุการณ์นองเลือดครั้งนั้นมาจากความไม่ลงรอยกันระหว่างอำนาจ 2 ขั้ว คือขั้ว จอมพลถนอม กิตติขจร จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และขั้ว พล.อ.กฤษณ์ สีวะรา ผบ.ทบ. ในขณะนั้นที่ถูกจอมพลถนอม "สตัฟฟ์" ให้นั่งอยู่ในเก้าอี้รองผบ.ทบ.มายาวนานถึง 8 ปีเต็ม ตั้งแต่ปี 2509-2516 จึง "วางยา" ปฏิบัติการแขวนป้าย "ทรราช" ให้แก่
จอมพลถนอม จอมพลสฤษดิ์ และ พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร ต้องหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศในที่สุด
ขณะที่หลังเหตุการณ์ พล.อ.กฤษณ์ ขึ้นเป็นผบ.สส. และก้าวขึ้นเป็น รมว.กลาโหม ในรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ปี 2519
หรือเหตุการณ์พฤกษาทมิฬ ปี 2535 ก็เป็นการเคลื่อนไหวของนักศึกษาประชาชน ควบคู่ไปกับความร้าวฉานในกองทัพระหว่างจปร.รุ่น 7 พล.ต.จำลอง ศรีเมือง พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ที่ซ่องสุมกำลัง "วัดรอยเท้า" จปร.รุ่น 5 นำโดย พล.อ.สุจินดา คราประยูร พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ชนิดหายใจรดต้นคอ
ว่ากันว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นชนวนความรุนแรงที่บานปลายเป็นการเข่นฆ่าประชาชน มาจากน้ำมือของนายทหาร จปร.7 นั่นเอง สุดท้ายพล.อ.สุจินดา เป็นนายกรัฐมนตรี "มือเปื้อนเลือด" ไปได้อีกหนึ่งราย
เมื่อย้อนไปดูประวัติศาสตร์เหตุการณ์นองเลือดครั้งสำคัญในการเมืองไทย ล้วนเกี่ยวพันกับปัญหา "ความแตกแยก" ขัดแย้งกันเองภายในกองทัพอย่างแยกไม่ออก "ชายชุดดำ" ที่สาดกระสุน ปาระเบิดในค่ำวันที่ 10 เม.ย. ก็เช่นกัน แต่ปัญหาคือกลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งยืนยันว่ายึดในแนวทางสันติวิธีกลับไม่เคยแสดงท่าทีรังเกียจหรือพยายามขจัดขบวนการ "คนเสื้อดำ" ให้ออกไปให้พ้นเส้นทางของคนเสื้อแดงเลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำยังกลับแสดงท่าทีตอบรับอย่างอบอุ่น นายจตุพร ยอมรับบนเวทีผ่านฟ้าฯ เมื่อวันที่ 13 เม.ย. ว่าถือว่าเป็น "โชคดี" ของกลุ่มเสื้อแดงที่มี "กลุ่มชุดดำ" มาช่วยไม่เช่นนั้นเสื้อแดงจะยิ่งตายมากกว่านี้
สถานการณ์หลังจากนี้จะดุเดือดมากขึ้นเพราะคู่ขัดแย้งเป็นทหารในกองทัพซึ่งมีอาวุธหนักกันทั้งสองฝ่าย
ขณะที่กลุ่มเสื้อแดงเองก็อาศัยความแตกแยกนี้เองเสี้ยมรอยร้าวให้หนักขึ้น ต้องการให้ทั้งสองฝ่ายรบกันให้เลือดนองอีกหนึ่งรอบเพื่อเป้าหมายเดียวคือ "ล้มรัฐบาล" โดยไม่ใส่ใจว่าจะมีประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องเซ่นสังเวยสงครามอำนาจของคนไม่กี่กลุ่มอีกกี่ชีวิต
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
โดย.เสถียร วิริยะพรรณพงศา
**********************************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น