มีทั้งข่าวร้ายและข่าวดีในงานสัมมนา "ต่อต้านคอร์รัปชั่น จุดเปลี่ยนประเทศไทย" จัดโดยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ร่วมกับองค์กรเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น 21 องค์กร
ข่าวร้ายคือจากผลวิจัยสถานการณ์คอร์รัปชั่นไทยปลายปี 2553 พบว่าสถานการณ์มีแนวโน้มรุน แรงขึ้น
โดยกลุ่มที่เป็นแชมป์การเรียกรับสินบนหรือเงินใต้โต๊ะ ได้แก่ นักการเมือง
ที่น่าตื่นตะลึง เห็นจะเป็นตัวเลขการจ่ายเงินใต้โต๊ะในโครงการของรัฐที่เอกชนร่วมประมูล ร้อยละ 25-40 หรือคิดเป็นเงิน 1.65 ถึงกว่า 2 แสนล้าน จากวงเงินลงทุนทั้งหมดราว 6 แสนล้าน
ยังไม่นับเม็ดเงินอีกจำนวนหนึ่ง ที่ต้องจ่ายให้ข้าราชการเพื่ออำนวยความสะดวกเรื่องใบอนุญาตประกอบการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจการนำเข้า-ส่งออกสินค้า
โดยร้อยละ 71 ของผู้ประกอบการพร้อมควักจ่ายให้ทันทีแม้เจ้าหน้าที่รัฐจะไม่เรียกร้อง ขณะที่ร้อยละ 29 พร้อมจ่ายให้เมื่อถูกเจ้าหน้าที่เรียกร้อง
ส่วนข่าวดีในการสัมมนาครั้งนี้คือการที่ทางหอการค้าไทยและภาคี 21 องค์กร ประกาศจะหยุดการจ่ายเงินให้รัฐเพื่อยุติข้ออ้างที่ว่า
การทุจริตคอร์รัปชั่นเกิดจากมี "ผู้ให้"จึงมี"ผู้รับ"
ทั้งนี้ทั้งนั้นปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นได้ฝังรากลึกและแผ่กระจายไปทั่วทุกวงการ
รากพิษนี้ไม่เพียงทำลายระบบเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นตัวการทำลายสังคมและการเมืองของประเทศ
การกำจัดให้หมดสิ้นไปถึงจะเป็นเรื่องยาก เนื่องจากที่ผ่านมาเป็นการสมยอมกันระหว่างผู้ให้กับผู้รับ แต่ถ้าผู้ให้ไม่หยุดให้เสียตั้งแต่ตอนนี้ ผู้รับก็คงไม่เลิกรับเช่นกัน
การแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นก็เหมือนการรักษาโรคมะเร็ง
ถ้าเริ่มรักษาเร็วโอกาสหายขาดจากโรคก็มีมาก แต่ถ้าเริ่มช้า โอกาสหายก็จะเหลือน้อยตามไปด้วย
ถึงได้บอกว่าเป็นข่าวดีที่ภาคธุรกิจเอกชนประ กาศร่วมมือร่วมใจ หยุดจ่ายเงินคอร์รัปชั่นให้นักการเมือง เพื่อนำเงินในส่วนนี้ปีละกว่า 2 แสนล้านกลับมาให้ประชาชน
เมื่อภาคธุรกิจเอกชนประกาศแบบนี้แล้วที่เหลือก็ต้องรอฟังฝ่ายการเมืองจะว่าอย่างไร
โดยเฉพาะในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง
เป็นโอกาสดีที่ประชาชนจะถามหาคำตอบเรื่องนี้จากนักการเมืองแต่ละพรรค
ที่มา.คอลัมน์ เหล็กใน.ข่าวสดรายวัน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น