--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2553

ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ คือการเจรจา

ไตรรงค์ สุวรรณคีรี ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับ”ความมั่นคง” จึงไม่มีหน้าที่ในการปราบปราม หรือเจรจากับ”คนเสื้อแดง”คุณไตรรงค์ เป็นดอกเตอร์ทางเศรษฐศาสตร์ ถือเป็นปรมาจารย์คนหนึ่งที่”ครบเครื่อง”คำพูดของ ดร.ไตรรงค์ เจ้าของฉายา “สามสี ภูเขาทอง” ที่แสดงความเห็นในสงครามประชาชนที่

กำลังรบพุ่งเพื่อทำลายล้างเผ่าพันธ์กันเอง เป็น “คำเตือน” ที่คนรุ่นน้องอย่าง อภิสิทธิ์ กับ สุเทพ น่าจะนำมาคิดและครองกันให้ดีไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกฯ ด้าน เศรษฐกิจ บอกว่า การชุมนุมส่งผลในทางลบ ยิ่งยืดเยื้อมากยิ่งเสียหายมาก ส่วนจีดีพีจะลดลงมากน้อยแค่ไหน ขึ้นกับตั้งสมมติฐานและการคาดการณ์ ต้องยอมรับว่าการชุมนุมส่งผลเสียต่อการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวไม่กล้าเข้ามาเพราะกลัวลูกหลง ขณะที่บางส่วนยังมีภาพหลอนจากการยึดสนามบินที่

ผมเห็นว่าน่าสนใจ เห็นจะเป็นความเห็นของคุณไตรรงค์ที่บอกชัยชนะที่ยิ่งใหญ่คือการเจรจา!!ดร.ไตรรงค์ เน้นความเชื่อมั่นของตัวเอง ด้วยการยืนยันว่า ท่านเป็นคนที่เชื่อทฤษฎีของซุนวู ผู้เชี่ยวชาญด้านการสงคราม ซึ่งมีอยู่ 2 ข้อ คือ 1. ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือชัยชนะที่ไม่ต้องทำสงครามคือให้พูดจากัน 2. สงครามยิ่งยืดเยื้อ ยิ่งเจ๊งทุกฝ่าย ไม่มีใครได้ประโยชน์ และเมื่อถูกถามว่าสงครามครั้งนี้ใครจะได้ชัยชนะ?? คุณไตรรงค์ก็ตอบโดยไม่ต้องรอคิดให้เสียเวลา

ว่า "ไม่มี!! ฉิบหายทุกคน"!!ผมไม่รู้ว่า...ในความสัมพันธ์ หรือความเชื่อถือส่วนตัวของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ สุเทพ เทือกสุบรรณ ทั้งสองคนนี้จะให้ความเชื่อถือ หรือให้ความสำคัญกับ ไตรรงค์ สุวรรณคีรี แค่ไหน? แต่รู้อยู่อย่างเดียวว่า....สำหรับคนในประชาธิปัตย์แล้ว วันนี้ ความเห็นของไตรรงค์ต่อสถานการณ์การทำสงครามระหว่างรัฐบาลกับคนเสื้อแดงถูกต้องและน่ารับฟังที่สุด....แต่ มาร์ค-เทือก ก็มิได้นำพา!!
Tags: ปัญหาโลกแตกสองคม
ที่มา.บางกอกทูเดย์
****************************************************

ผลงานบิ๊กจิ๋วสุดชัดเจน รักชาติรักสถาบันยิ่งชีพ

จะถือว่าเป็นการเล่นเกมการเมืองสกปรก ผ่านกลไกของ ศอฉ.หรือไม่ วินาทีนี้ เป็นสิ่งที่สังคมไทย โดยเฉพาะสังคมในส่วนที่มองสถานการณ์ทุกด้านด้วยสติ
และให้ความเป็นธรรมล้วนต่างจับจ้องมองกันเป็นอย่างมากสำหรับ กรณี “แผนผังล้มสถาบัน” ของศอฉ.คำถามที่อึงอลไปหมดทั้งสังคมไทยก็คือจริงหรือ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตผู้บัญชาการทหารบก และอดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด จะมีส่วนในการล้มสถาบันฯ อย่างที่ ศอฉ.กล่าวหาบรรดาคนที่พยายามกล่าวหา พล.อ.ชวลิตหากไม่ใช่เป็นเพราะเคยชินกับการได้รับตำแหน่งโดยไม่เคยมีผลงานที่ควรค่าแก่การยกย่อง ก็อาจจะลืมไปจริงๆ ว่า พล.อ.ชวลิต

นั้นมีผลงานที่ทำ เพื่อชาติและราชบัลลังก์มาโดยตลอดคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 66/2523 ซึ่งการเปลี่ยนความคิดทางการเมืองในสังคม จากการปราบปราม มาเป็นการต่อสู้คอมมิวนิสต์เนื่องจากที่ผ่านมารัฐบาลต่างๆ ในอดีตมุ่งแต่การปราบปรามเป็นหลัก แต่ก็ไม่เคยได้รับชัยชนะแต่ไม่ใช่วิธีคิดของ พล.อ.ชวลิตผลงานชัดเจนที่สุด คือการมีคำสั่งที่66/2523 ซึ่งมี พล.ต.หาญ ลีนานนท์เจ้ากรมยุทธการทหารบกในขณะนั้น กับพล.ต.ชวลิต ยงใจยุทธ และคณะ เป็นกลไกสำคัญ

ในการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ทางความคิดครั้งสำคัญยิ่งหยุดการปราบปราม แต่มาใช้การต่อสู้โดยยึดกระบวนการทางความคิดเป็นสำคัญพล.อ.ชวลิต ตลอดมาสะท้อนชัดถึงภาพของการยึดมั่นในการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์เป็นอุดมการณ์ที่มุ่งมั่นและเป็นอุดมคติที่แท้จริง ไม่ใช่การเสแสร้งปั้นแต่งซึ่งการกำเนิดของอาสามัครทหารพรานซึ่ง พล.อ.ประยุทธ จารุมณี ทั้งในฐานะเสนาธิการทหารบก และ ผบ.ทบ.ในขณะนั้นรู้และยอมรับมาตลอดว่าเป็นการริเริ่มจากพล.อ.

ชวลิต ซึ่งถือเป็นกลไกที่สำคัญยิ่งกลไกหนึ่งในการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์จนสุดท้ายด้วยความมุ่งมั่นทุ่มเทพยายามทำ ให้สงครามเอาชนะคอมมิวนิสต์ของพล.อ.ชวลิต สามารถยุติลงโดยพื้นฐานนับแต่ปี 2524 เป็นต้นมาทั้งหมดสะท้อนชัดเจนว่า นี่คือการทุ่มเทเพื่อปกป้องประเทศชาติ และราชบัลลังก์อย่างแท้จริงดังนั้นในภายหลังที่ พล.อ.ชวลิต ได้เป็นผบ.ทบ. ได้เป็น ผบ.สส. จึงไร้ซึ่งข้อกังขากล่าวได้ว่าไม่มีการที่จะไม่ยอมรับจากภาคส่วนใดๆ เลยของสังคม

ไทยสำคัญที่สุดคือนอกจากตำแหน่งแล้วต้องไม่ลืมว่าการได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี และเข้าสู่พิธีดื่มนํ้าพระพิพัฒน์สัตยาเป็นเกียรติยศที่ พล.อ.ชวลิต ปลาบปลื้มที่สุดเพราะเป็นเกียรติยศอันสูงยิ่งที่ทหารคนหนึ่งซึ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณยํ้าอีกครั้งว่า เกียรติยศที่ พล.อ.ชวลิตได้รับ ไม่ใช่สิ่งที่พยายามดิ้นรนแสวงหา หรือไขว่คว้าเหมือนกับคนการเมืองบางคนในขณะนี้แต่เป็นการได้มาในฐานะที่มุ่งมั่นทำงานเพื่อชาติและราชบัลลังก์ด้วย

ความซื่อสัตย์นั่นเองดังนั้น การที่ ศอฉ.โดย พ.อ.สรรเสริญแก้วกำเนิด ออกมาเผยแผนผังล้มสถาบันโดยที่มี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณรองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง และผอ.ศอฉ. ออกมาขานรับเป็นปี่เป็นขลุ่ยรวมกระทั่ง นายเนวิน ชิดชอบ นักการเมืองที่ถูกตัดสินให้เว้นวรรคทางการเมือง5 ปี แต่นายอภิสิทธิ์ กลับเอามาใช้งานการเมืองเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณในการได้เป็นนายกรัฐมนตรีจึงทำให้นายเนวิน ในวันนี้สามารถ

ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองได้ทุกเรื่อง โดยที่คำตัดสินของศาลไม่สามารถจะกันนายเนวินได้ จึงถึงขั้นเหิมเกริมว่า ณ วันนี้คือผู้ยิ่งใหญ่ที่ใครต่อใครหากอยากจะอยู่ในอำนาจการเมือง ก็ต้องเรียกใช้บริการจึงทำให้ออกมากล่าวหา พล.อ.ชวลิตตาม ศอฉ.ตามนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพไปด้วยทั้งๆ ที่หากนายเนวิน ยังมีมโนสำนึกอยู่บ้าง ย่อมควรจะต้องจดจำได้เป็นอย่างดี ว่า พล.อ.ชวลิตเคยช่วย เคยเอื้อเอ็นดู และเคยเป็นฝ่ายให้นายเนวินมามากมายสารพัดเพียงใดสมควรแล้ว

หรือ ที่จะมากล่าวร้ายเช่นนี้ยิ่งหากเปรียบเทียบกันด้วยใจที่เป็นธรรม ต้องถามว่าทั้ง 4 คน ที่กล่าวหา พล.อ.ชวลิตนั้นมีผลงานอะไรที่เป็นเกียรติยศบ้างพ.อ.สรรเสริญแก้วกำเนิด มีผลงานในอาชีพราชการทหารอะไรที่ชัดเจนบ้าง ก่อนที่จะมาเป็นโฆษกมาเป็นกระบอกเสียง แล้วก็มาทำหน้าที่ใน ศอฉ.ครงั้ นี้เคยรู้หรือไม่ว่า เพื่อนร่วมรุ่น หรือแม้กระทั่งรุ่นพี่ รุ่นน้อง หลายคนรู้สึกอย่างไรเช่นเดียวกับนายอภิสิทธิ์ ที่วันนี้เสียงครหาในเรื่องของการรับราชการทหาร ก็ยังไม่เคยจบ

สิ้น เพราะแม้ว่าอาจจะเป็นการไม่ผิดกฎหมายอย่างที่นายอภิสิทธิ์ เชื่อมั่นจริงๆแต่ไม่ว่าอย่างไรก็มีร่องรอยให้มีการตั้งข้อสังเกตได้ว่าไม่สง่างามหลายคนบอกว่า ไอ้เณรทหารเกณฑ์นักศึกษา รด. หรือแม้แต่คนที่ครบเกณฑ์ แล้วใช้การจับใบดำ-ใบแดงตรงๆไปเลย ยังมีความสง่างามและชัดเจนในขณะที่บนเส้นทางการเมืองของนายอภิสิทธิ์ ซึ่งแม้จะถือว่าเป็นเด็กสร้างประชาธิปัตย์ ที่บรรดาอดีตผู้ใหญ่หลายคนภายในพรรคเคยภูมิอกภูมิใจ แต่มาในวันนี้นายอภิสิทธิ์ คงรู้ได้ด้วย

ตัวเองว่า ท่าทีและความรู้สึกของบรรดาผู้ใหญ่ภายในพรรคเปลี่ยนไปหรือไม่สายตาที่เคยเอื้อเอ็นดู แปรเปลี่ยนไปหรือไม่... เป็นสิ่งที่อยากให้นายอภิสิทธิ์กลับไปคิดให้จงหนักส่วนนายสุเทพ คงต้องให้คนในแวดวงการเมืองร่วมสมัยนั่นแหละ ที่เป็นคนพูดว่า อะไรคือผลงานที่น่าภาคภูมิใจของนายสุเทพบ้างอะไรคือผลงานที่กระทำเพื่อชาติและราชบัลลังก์บ้างแล้วไฉนวันนี้จึงจะมาเอ่ยอ้าง ผูกขาดความจงรักภักดีต่อสถาบัน จนไปกล่าวหาพล.อ.ชวลิตส่วนนายเนวิน ไม่ต้องพูด

ถึง ยังจำภาพในอดีตที่สะพายย่ามเดินตามหลังพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อขอโอกาสทางการเมืองได้หรือไม่ยังจำภาพของตนเองที่ทรุดตัวลงกอดพ.ต.ท.ทักษิณ ได้หรือไม่รู้หรือไม่ว่าสังคม จินตนาการ ชื่อตัดมาสั้นๆ ของนายเนวิน ที่ว่า “เน” นั้น ไปไกลถึงคำว่าอะไรแล้วการที่ออกมากล่าวหา พล.อ.ชวลิต เพื่อหวังจะสร้างภาพทางการเมืองนั้น คิดหรือว่าจะดูดีขึ้นมาได้โดยเฉพาะมุกที่พยายามอ้างความจงรักภักดี ผูกขาดการเทิดทูนสถาบัน รวมไปถึงการที่ทำเป็นนํ้าหู

นํ้าตาไหลนั้น... เชื่อมั่นจริงๆ หรือว่า คนไทยจะไม่รู้ทันเข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่???... อยากให้นายเนวินถามตัวเองให้ชัดๆเพราะ ณ วันนี้ พล.อ.ชวลิต คนที่ถูกกล่าวหา สามารถที่จะเดินไปไหนมาไหนก็ได้ โดยไม่ต้องหวาดระแวง ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาจ้องปองร้ายแต่ถามว่า นายเนวิน กล้าหรือไม่ที่จะออกจากที่ซ่องสุมแล้วมาเดินถนนอย่างเปิดเผย โดยไม่มีการ์ดห้อมล้อมเกือบ 20 คนถ้าไม่กล้า นั่นก็คือคำตอบที่ชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือว่า นายเนวินสร้างผลงานอะไรเอา

ไว้เช่นเดียวกับ นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพซึ่งยืนยันมาตลอดว่ามาตามกฎหมายมาตามรัฐธรรมนูญปี 50 และทำหน้าที่อย่างถูกต้องมาตลอดถามว่าทำไมวันนี้จึงต้องหมกตัวอยู่ในราบ 11 แม้แต่บ้านช่องก็ยังไม่ได้กลับ...กลัวอะไรหรือศอฉ.ทั้งหลายเคยฉุกใจคิดหรือไม่ว่าทำไม พล.อ.ชวลิต จึงบริสุทธิ์ใจพอที่จะเดินทางไปที่ไหนก็ได้แม้แต่ราบ 11 ก็ยังกล้าไป... เพื่อเข้าไปพบทั้งนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพวันนี้อยากให้ ผู้กุมอำนาจและกลไกศอฉ. หันมาทบทวนว่า สิ่งที่ทำลง

ไปนั้นเป็นเพราะเมาหมัด หรือจนแต้ม จนนึกไม่รอบคอบไม่รอบด้าน จึงทำสิ่งผิดพลาดลงไปด้วยการกล่าวหา พล.อ.ชวลิตหากเพราะเมาหมัด หรือเพราะหลงเชื่อคำยุยงของนายเนวินแล้ว คิดเสียใหม่เถิด...บ้านเมืองในวันนี้ ควรที่หยุดเกมใส่ร้ายหยุดเกมการเมืองสกปรก ภายใต้บริการของคนๆ นั้นหรือยัง แล้วกลับลำมาเจรจาอย่างสันติ เลิกทิฐิทำเพื่อประเทศชาติสักครั้งไม่ดีกว่าหรือ???
ที่มา.บางกอกทูเดย์
**************************************************************

รายงาน : สองมาตรฐานทางศีลธรรมและจริยธรรมในกระแสความขัดแย้ง

การสลายการชุมนุม นปช. เมื่อวันที่ 10 เม.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้มีผู้ชุมนุมเสียชีวิตไม่น้อยกว่า 20 คน บาดเจ็บกว่า 800 คน ทำให้รัฐบาลอภิสิทธิ์สูญเสียความชอบธรรมทางการเมืองในทันที ทว่าหลังเหตุการณ์ผ่านไปเพียง 2-3 วัน รัฐบาลได้พลิกเกมกลับมาเป็นฝ่ายรุก ด้วยข้ออ้างว่า การตายและบาดเจ็บของทั้งฝ่ายทหารและผู้ชุมนุมเกิดจากการกระทำของผู้ก่อการร้ายที่แต่งกายด้วยชุดดำ ต่อมารัฐบาลอ้างว่า ชายชุดดำแฝงและคนเสื้อแดงเป็นพวกเดียวกัน การแก้เกมทางการเมืองของรัฐบาลเพื่อให้พ้นจากข้อหาทรราชย์มือเปื้อนเลือด สร้างความวิตกให้แก่ผู้คนจำนวนหนึ่งในสังคมว่า รัฐบาลกำลังจะสร้างมาตรฐานใหม่ทางศีลธรรมและจริยธรรมในสังคม

ไชยันต์ รัชชกูล นักสังคมศาสตร์และนักวิชาการด้านสันติวิธี แห่งมหาวิทยาลัยพายัพ ตั้งข้อสังเกตว่า “ย้อนกลับไปในปี 2535 หลังจากพลเอกสุจินดา คราประยูร สั่งฆ่าคนแล้ว จะมีเสียงสะท้อนจากสังคม (public opinion) ที่ชัดว่าการฆ่าคนทำไม่ได้ สมมติมีอาชญากรที่ทำผิด คุณจะลงโทษประหารชีวิตเขาหรือไม่ ยังเป็นประเด็นถกเถียง ทั้งๆ ที่เขาทำผิดแน่ๆ และเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงมาก แต่จะลงโทษด้วยการประหารชีวิตหรือไม่ ยังเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันได้ในทางศีลธรรมและจริยธรรมในหลายๆ ประเทศ แต่การสลายการชุมนุมครั้ง 10 เม.ย. ปีนี้ มันหนักหนากว่าครั้งพฤษภา 2535 เสียอีก ผิดไม่ผิดไม่รู้ แต่เอากันถึงตาย ถ้าเรายอมรับการกระทำแบบนี้ได้ จะเป็นการสร้างมาตรฐานในสังคมข้างหน้า ที่ผมเสียใจมากคือ พวกป่าวประกาศสันติวิธีทั้งหลาย หลังจากเหตุการณ์นี้มีใครออกมาแสดงจุดยืนบ้าง แสดงว่าที่เขาพูดเรื่องสองมาตรฐานมันกระจายไปหมดทุกวงการแล้วทั้งประเทศ อันนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก ตอนที่สุจินดาสั่งยิง ผมอยู่ที่กรุงเทพ หลังจากยิง มันไปมีการประท้วงที่รามคำแหงในวันรุ่งขึ้น ผมคิดในใจว่าสุจินดาเสร็จแล้วล่ะ คือถ้าใช้มาตรการฆ่าคนขนาดนี้ ก็ไม่มี legitimacy หรือความชอบธรรมที่จะอยู่ต่อไปได้ แต่เมื่อเทียบกับเหตุการณ์ 10 เม.ย. ที่ผ่านมา อะไรกันนี่ ฆ่าคนขนาดนี้ก็ยังเชิดหน้าชูตาต่อไป แล้วสังคมก็นิ่งเฉย มันอะไรกันเนี่ย ผมเพิ่งกลับจากอินเดีย เขาพูดถึงเหตุการณ์ในประเทศไทย เขาพูดเรื่องการปะทะกันระหว่างคนที่มีความเห็นแตกต่างกัน คนเขาตีกัน มีคนตาย ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล แต่รัฐบาลจัดการไม่ได้ ป้องกันไม่ได้ รัฐบาลเขายังลาออก ของเรานี่รัฐบาลเป็นคู่กรณีเองเลย”

ภาวะนิ่งเงียบของภาคประชาสังคม ภายหลังรัฐบาลอภิสิทธิ์สั่งสลายการชุมนุมในวันที่ 10 เม.ย. ที่มีคนตายและบาดเจ็บ ได้ถูกนำไปเปรียบเทียบกับการแสดงออกของภาคประชาสังคมเมื่อครั้งที่รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ สั่งสลายการชุมนุมของ พธม. เมื่อวันที่ 7 ต.ค. นำไปสู่คำถามว่า “ใช่หรือไม่ว่า มาตรฐานทางศีลธรรมและจริยธรรมของสังคมไทยได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว?” เพราะการนิ่งเฉยของภาคประชาสังคมต่อการตายของคนเสื้อแดง ไม่อาจแปลความเป็นอย่างอื่น นอกจากการส่งสารว่า “สังคมไทยยอมรับการใช้กำลังเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง และยอมให้มีการใช้ความรุนแรงเข้าปราบประชาชนจนเสียชีวิต” คำถามที่ตามมาคือ “อะไรทำให้เส้นมาตรฐานทางศีลธรรมและจริยธรรมมันตกต่ำไปถึงเพียงนี้?”

ในการตอบคำถามดังกล่าว จำเป็นอยู่เองที่จะต้องย้อนไปพิจารณาถึงจุดเปลี่ยนในความขัดแย้ง ดร.ไชยันต์ได้ตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า ภาพด้านลบของรัฐบาลเริ่มเปลี่ยนไป เมื่อมีความพยายามของรัฐบาลที่จะเบี่ยงประเด็นข้อโต้แย้งใหม่ “ตอนนี้เป็นการ shift debate ตกลงใครยิงไม่รู้ ทั้งที่แทบจะไม่มีข้อสงสัย ทหารยิงผู้ชุมนุมมันไม่รู้จะชัดยังไงแล้ว แต่กลายเป็นการตั้งวาระขึ้นมาใหม่ว่า อาจจะเป็นพวกเดียวกันยิงเสื้อแดง หรือคนชุดดำยิงเสื้อแดง ก็นับว่าเป็นความเก่งมากของฝ่ายรัฐบาลและทหารที่เบี่ยงวาระการถกเถียงไปเพื่อ minimize อาชญากรรมครั้งนี้ให้เหลือน้อยที่สุด เป็นไปตามศัพท์คำว่า blaming the victim คือทำให้เหยื่อกลายเป็นผู้ถูกกล่าวหา เหมือนกับคนทำผิดใส่ร้ายคนถูกทำร้าย เหมือนคนถูกกระทืบ แต่คนที่กระทืบยังมาด่าซ้ำว่า ทำไมไม่อยู่เฉยๆ ให้กระทืบล่ะ ประเด็นนี้ทำให้คิดว่า ในอนาคตมาตรฐานทางศีลธรรมของเราจะมีไหม แรงกดดันทางศีลธรรม (moral force) ที่มีต่อปฏิบัติการทางการเมืองจะยังมีไหม ในสังคมทั่วๆ ไปเขามี แล้วของเราล่ะตอนนี้มีไหม หรือไม่มีแล้ว จะตลบแตลงยังไงก็ได้ เรื่องสองมาตรฐานเกือบจะไม่ต้องพูดแล้ว มันเห็นชัด จนไม่รู้จะชัดยังไงแล้ว เมื่อก่อนเราพูดถึงสองมาตรฐานทางกฎหมาย แต่เดี๋ยวนี้มาถึงเรื่องสองมาตรฐานทางศีลธรรมด้วย”

ธเนศวร์ เจริญเมือง อาจารย์จากคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้มุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับปรากฏการณ์นิ่งเงียบของสังคมที่มีการตายของคนเสื้อแดงว่า “ทำไมจึงเกิดบรรยากาศที่ไม่แคร์ว่าใครเป็นใครตาย เป็นไปได้ไหมว่า ตั้งแต่ปี 2548 กลุ่มสีเหลืองได้ปลุกระดมความคิดว่าทักษิณเลว ฝั่งสีเหลืองโดยมากเป็นปัญญาชนที่เก่งด้านศีลธรรมจริยธรรม สุดท้ายเขาสรุปมาสั้นๆ ด้วยคำว่า “กู้ชาติ” ซึ่งทำให้เกิดความชอบธรรมที่จะฆ่า “ศัตรูของชาติ” พอเลือกตั้งใหม่ สมัครกลับมา เขาก็คิดคำว่า “นอมินีของทักษิณ” ขึ้นมา เพื่อบอกว่าการเลือกตั้งไม่สามารถวัดความถูกต้อง อานันท์ ปันยารชุน ซึ่งเป็นตัวแทนของคนที่กุมความคิดของสังคมและเอ็นจีโอ เป็นคนที่ไม่ได้มองว่าการเลือกตั้งสำคัญ

“เมื่อความคิดแบบ 2548 ยังครองความคิดของสังคมอยู่หมด เมื่อเกิดการยิงตุ้มตั้มๆๆ ขึ้นมาในวันที่ 10 เม.ย. พอฆ่าแล้วไม่เรียบหมด และมีทหารใหญ่ตายด้วย ก็เลยช็อคคนพวกนี้ ครั้งนี้ก็เหมือนกับเหตุการณ์ 14 ตุลา 6 ตุลา มีการสร้างภาพ “ศัตรูของชาติ” คือคนเสื้อแดง ที่ป่าเถื่อน บ้านนอก เป็นควาย เป็นสมุนทักษิณ รับเงินมา พูดให้ดูดีก็คือ ขอให้รัฐบาลจัดการกับเสื้อแดงอย่างเด็ดขาด ทันทีที่มีเสื้อดำโผล่ออกมา ก็มองเห็นว่า อันนี้แหละจะมาเป็นตัวช่วย เพื่อให้รัฐบาลบิดประเด็นไป ไม่ต้องพูดเรื่องความตายของคนเสื้อแดงอีกเลย เพราะเขาก็พูดเรื่องฆ่าเสื้อแดงให้หมดไปเลย ดีกว่าปล่อยไปให้เสียเวลา”

วรรณภา ลีระศิริ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มช. ให้ข้อสังเกตว่า “คนกรุงเทพเองที่อยู่แถวนั้น รู้สึกถูกกระทบกระเทือน เด็กก็โดนพ่อแม่คนชั้นกลางพูดใส่หูทุกวัน ก็เลยไปร่วมกลุ่มต่อต้านเสื้อแดง คนจำนวนหนึ่งเรียกร้องให้รัฐบาลจัดการอย่างราบคาบ เขาบอกว่ารัฐบาลเลี้ยงเสียข้าวสุก ถ้าทำอะไรไม่ได้ก็ออกไปเถอะ ข้อเรียกร้องแบบนี้บ่งบอกนัยว่า รัฐบาลไม่สามารถจัดการ ต้องเอาทหารเข้ามาแทนตำรวจ เพราะทหารถูกฝึกมาเพื่อจัดการศัตรูของชาติ เพื่อสร้างความเรียบร้อย ทหารเขามีกฎระเบียบของเขาเอง การใช้ความรุนแรงของทหารเป็นเรื่องที่สังคมยอมรับมานานแล้ว และเป็นการใช้ความรุนแรงที่ตรวจสอบไม่ได้ด้วย ถ้าใช้ตำรวจก็ไม่ได้แล้ว เพราะตำรวจจำนวนหนึ่งมีเมียเป็นเสื้อแดง เขาก็เอาคนที่มองคนเสื้อแดงเป็นศัตรู ไม่ใช่เพื่อน ไม่ใช่คนไทย เพราะเขาปฏิบัติภายใต้หน้าที่อีกชุดหนึ่ง มาตรฐานทางศีลธรรมของเขาเป็นคนละชุดกับเรา เหมือนกับเรื่องชายแดนใต้ เวลาคนกรุงเทพมองปัญหาชายแดนใต้ก็สงสารทหาร ตอนนี้ก็เอาเรื่องศัตรูของชาติมาใช้กับคนเสื้อแดงที่กรุงเทพ แต่ด้วยปริมาณคนเสื้อแดงมีมาก ทำให้รัฐไม่สามารถจัดการได้เหมือนที่ทำในบางพื้นที่

“ดังนั้นถ้าเราจะสะท้อนอะไรกลับไปกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก็คงต้องเรียกร้องไม่ให้ใช้ความรุนแรง หรือให้มองคนเสื้อแดงเป็นคน ซึ่งก็ทำได้ยากทุกที เพราะตอนนี้มีการใช้สื่อภายใต้กำกับของรัฐสร้างภาพทั้งวันทั้งคืน เราไม่มีทางปฏิเสธการรับรู้ความจริงผ่านสื่อเลย สื่อกระตุ้นให้คนทั่วไปรู้สึกว่าเรากำลังเผชิญกับกลียุค ตอนที่มีการใช้เครื่องบินพุ่งเข้าชนตึกในสหรัฐอเมริกา สื่อในสหรัฐก็มีการนำเสนอภาพคนตายซ้ำๆ ทั้งวัน ไม่นานรัฐสภาสหรัฐก็มีมติให้กองกำลังทหารเข้าไปบุกอีรัก ตอนนี้รัฐบาลไทยกำลังใช้วิธีการเดียวกันเลย เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการปราบ แต่เรามองว่าการปราบประชาชนเป็นอาชญากรรม รัฐกลับบอกว่านั่นคือการทำหน้าที่ เราจะสู้กับวาทกรรมของรัฐได้ยังไง ในเมื่อเราไม่มีช่องทางที่จะพูดแล้ว นี่คือปัญหาใหญ่ของสังคมไทยที่ต้องช่วยกันคิด”
รายงานโดย ประชา อภิวัฒน์
ที่มา.ประชาไท
***************************************************************

"ปทีป"พร้อมสลายชุมนุม ชี้ต้องอาศัยเวลาเหมาะ

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รรท.ผบ.ตร.) กล่าวถึงการสืบสวนสอบสวนเครือข่ายล้มสถาบัน ตามที่ศอฉ. ออกแผนผัง ว่า เรื่องนี้ตรวจสอบร่วมกันกับ ดีเอสไอ ซึ่งทำงานเป็นทีมชุดใหญ่ ในสำนวนสอบสวนต้องลงลึก เพราะเรื่องละเอียดอ่อน แต่ขณะนี้ยังไม่มีการออกหมายจับหรือหมายเรียกแก่ผู้ใด กำลังเก็บรวบรวมพยานหลักฐาน ต้องค่อยๆเก็บรายละเอียดเป็นรายวัน

ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีมีกระแสข่าว ศอฉ. ไม่พอใจ พล.ต.อ.ปทีป โดยจะเปลี่ยนตัว รรท.ผบ.ตร.โดย เรียก พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย รองผบ.ตร.ไปช่วยทำงาน แทน พล.ต.อ.ปทีป กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่มีความเห็น ตนบอกไปแล้วว่าเรื่องเกี่ยวกับตนออกความเห็นไม่ได้ เมื่อถามว่า ศอฉ. ตำหนิ ตำรวจมะเขือเทศ ที่เป็นเหตุให้การข่าวข้อมูลของศอฉ.รั่ว พล.ต.อ.ปทีป กล่าวว่า ตำรวจที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ไม่เกี่ยวกับตำรวจทั้ง 2 แสนนาย เหมารวมไม่ได้ ทั้งนี้ตำรวจคนใดทำผิดตนยืนยันว่าดำเนินอาญาและวินัยควบคู่ไป

ถามว่ามีข่าวว่า ศอฉ.บอกว่าหากสั่งสลายชุมนุม ท่านจะไม่ทำ พล.ต.อ.ปทีป กล่าวว่า ตรงนี้ ไม่ได้พูดอะไรเลย ถามว่าไม่จริงใช่ไหม รรท.ผบ.ตร.กล่าวว่า ไม่ได้พูดอะไรเลยนะครับ ถามว่า หรือหากสั่งให้ทำท่านจะลาออกจากตำแหน่ง รรท.ผบ.ตร. กล่าวว่า ข่าวว่างั้นหรือ ผมไม่ทราบเหมือนกัน ไม่ได้ปฏิเสธนะ แต่บอกว่าผมไม่ทราบเหมือนกันและยังไม่ได้รับคำสั่งอะไร

ถามว่าถ้ามีคำสั่งสลายการชุมนุมท่านจะปฏิบัติตามหรือไม่ พล.ต.อ.ปทีป กล่าวว่า ถึงเวลานั้นคงตอบ

เมื่อถามถึงจุดยืน ต่อการสลายการชุมนุม รรท.ผบ.ตร. กล่าว่า ตนจะดูเรื่องบังคับใช้กฎหมายเป็นหลัก ทำผิดก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย

ถามว่ากลัวจะเป็นแบบพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผบ.ตร.ที่ต้องออกจากราชการเพราะสลายการชุมนุมหรือไม่ พล.ต.อ.ปทีป กล่าวว่า ตรงนี้ตนไม่ตอบ เพราะตอบไปแล้ว ถ้ามีคำสั่งมาแล้วจะตอบ

เมื่อถามว่าการบังคับใช้กฎหมาย หมายความว่าชุมนุมไม่ได้ แสดงว่าพร้อมจะใช้กำลังเข้าจัดการหากศอฉ.สั่ง พล.ต.อ.ปทีป กล่าวว่า ถ้ามีความผิดเกิดขึ้นต้องดำเนินการตามกฎหมาย แต่การดำเนินการตามกฎหมายต้องดูความเหมาะสมในการทำด้วย หากยังไม่เหมาะสม ไม่ทำ ต้องอาศัยเวลาด้วย

ถามว่า หากถึงเวลาเหมาะสมแล้วทหารเริ่มปฏิบัติการกำลังตำรวจพร้อมเข้าไปช่วยปฏิบัติการหรือไม่ พล.ต.อ.ปทีป กล่าวว่า พร้อม

ที่มา.เนชั่น
---------------------------------------------------------------------

"องค์กรสิทธิฯ UN"เยี่ยมเสื้อแดง แนะรัฐ-นปช.เปิดเจรจา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 16.00 น. นายซูฮัก จั๊ก ม่า ประธาน องค์กรสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย (Asian Centre For Human Rights) หรือ ACHR ซึ่งเป็นองค์กที่ปรึกษาคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม สหประชาชาติ ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบการชุมนุมของ นปช. และคนเสื้อแดง บริเวณแยกราชประสงค์เพื่อหาข้อมูลการละเมิดสิทธิฯตามที่มีการร้องเรียน โดยมี น.พ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. และนายพิทยา พุกะมาน อดีต เอกอัครราชทูต ให้การต้อนรับและชี้แจงข้อเท็จจริง พร้อมทั้งพาตรวจเยี่ยมผู้ชุมนุม

นายซูฮัก จั๊ก ม่า ได้กล่าวเรียกร้องให้รัฐบาลไทย เร่งดำเนินการตั้งคณะกรรมการร่วมระดับรัฐสภาตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีสลายการชุมนุม เมื่อวันที่ 10 เม.ย. ที่ผ่านมาภายใน 30 วัน เพื่อสืบหาว่าใครเป็นผู้ก่อเหตุให้มีการสังหารประชาชน และเปิดเผยผลการสอบสวนให้ประชาชนได้รับทราบ เนื่องจากข้อมูลและภาพวิดีโอมีผู้ร้องเรียนส่งไปให้ พบว่าเหตุการณ์ดังกล่าว รัฐบาลได้ใช้มาตรการเกินกว่าเหตุ จนมีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก และยังมีการปิดกั้นสื่อ ที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลไม่ให้เสนอข้อเท็จจริง ซึ่งตนเห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนตามกฎบัตรสหประชาชาติฉบับที่ 9 ที่ห้ามใช้อาวุธสงครามสลายการชุมนุมเรียกร้องอย่างสันติของประชาชน เว้นแต่จะเป็นการติดอาวุธและก่อการร้าย และละเมิดข้อตกลงกรุงโรมของศาลอาชญากรรมระหว่างประเทศ

นายซูฮัก จั๊ก ม่า กล่าวอีกว่า ในนาม ACHR ขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยยุติการกระทำดังกล่าว และเปิดการเจรจากับพรรคเพื่อไทยและ นปช. เพื่อยุติความขัดแย้งอันจะนำไปสู่ความสูญเสียชีวิตของประชาชนและการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ที่มา.เนชั่น
--------------------------------------------------------------

ตัวแทนองค์กรครู-ปชช.-ตบเท้าให้กำลังใจ"บิ๊กจิ๋ว"

ที่พรรคเพื่อไทย ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา 12.00 น. กลุ่มองค์กรเครือข่ายครู นำโดย นางมัชรี สุทธิวงศ์ พร้อมประชาชนที่เดินทางมาจากเวทีเสื้อแดงแยกราชประสงค์ ประมาณ 100 คนเดินทางเข้าให้กำลังใจพร้อมมอบดอกกุหลาบให้พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย บริเวณห้องโถงที่ทำหารพรรคเพื่อไทย โดยนางมัชรี ได้กล่าวว่า ตัวแทนครูและประชาชนทั่วไปเพื่อให้กำลังใจให้ต่อสู้ต่อไป เพราะไม่เชื่อว่าพล.อ.ชวลิต จะเป็นอย่างที่รัฐบาลกล่าวหาว่าอยู่ในขบวนการกระทบสถาบัน เพราะเป็นถึงอดีตนายกรัฐมนตรีที่มีความคิดเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

พล.อ.ชวลิต กล่าวว่า ตนรู้สึกดีใจที่ในเวลาที่มีความทุกข์ แต่พี่น้องก็ยังมาให้กำลังใจไม่เคยขาด ทุกวันนี้ยังมีเรื่องที่ต้องทำให้สำเร็จคือการแก้ปัญหาเรื่องความยากจน เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันในสังคม ขณะนี้มีการเรียกร้องให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามกติกา แต่ไม่เรียกร้องกฎหมายที่เป็นธรรม ซึ่งจุดนี้คือความแตกต่างระหว่างไพร่และอำมาตย์ ดังนั้นขอสัญญาว่าตนจะอยู่เคียงข้างประชาชนเพื่อแก้ไขเรื่องนี้แน่นอน

พล.อ.ชวลิต กล่าวอีกว่า ส่วนการเดินทางไปที่กรมทหารราบที่ 11 รอ.เมื่อช่วงเช้า เพื่อเขาจะได้ไม่ต้องออกหมายเรียก ไม่ต้องพูดว่าจะออกหมาย หรือจะออกหมายจับ โดยนำเอกสารการทำงานไปให้อ่าน ไปให้ความรู้จะได้ไม่ต้องมาพูดว่าตนไม่จงรักภักดี แต่พอไปถึงมันไม่ให้เข้า และให้เดินลงมีทหารประกบเหมือนกับตนถูกคุมตัว ตนปากคอสั่นอยากจะด่าแต่ก็ไม่ทำ จนชาวบ้านที่ไปให้กำลังใจเขาเห็นและบอกว่าไม่ต้องกลัว ถ้าจับอีกไม่นานจะมีพี่น้องแห่กันมาอีกมาก ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ ชวลิต ได้พูดคุยกับตัวแทนประชาชน อย่างเป็นกันเอง และมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา

ที่มา.เนชั่น
**************************************************************

จับแล้วจ่าเอ็ม79 ที่แท้ค้าชายแดน

โยงรง.ที่วังน้อย ไม่เกี่ยวม็อบแดง

ตร.ชาร์จจับจ.ส.ต.เจ้าของระเบิดเอ็ม 79 ได้แล้วกลางสี่แยกที่ลำลูกกา-ปทุมธานี ขณะขับปิกอัพไปเบิกเงิน 7 แสนบาทเตรียมเผ่นไปต่างจังหวัด ผบช.ภาค 1 ระบุตามเช็กความเคลื่อนไหวของคนร้ายพบมีการไปเบิกเงินหลายแบงก์จึงส่งทีมออกไล่ล่ากระทั่งมาเจอที่กลางสี่แยก ค้นในรถพบปืน 9 ม.ม. 1 กระบอก จ.ส.ต.สารภาพหมดเปลือกกำลังจะเอาเอ็ม 79 ทั้ง 63 ลูกไปส่งรถทัวร์ไปแม่สาย ขายให้ชนกลุ่มน้อย แต่มาเจอด่านสห.ไล่กวดจับจนต้องโยนของกลางทิ้ง บัตรปชช.ที่พบขโมยมาจากโรงพักใช้เป็นหลักฐานส่งพัสดุทางรถทัวร์ อาวุธทั้ง หมดรับมาจากโรงงานอาวุธสงครามที่วังน้อย-อยุธยา ปฏิเสธลั่นไม่เกี่ยวกับเสื้อแดง

จากเหตุการณ์ด่านทหารอากาศที่ดอนเมืองพบชายต้องสงสัยขี่รถจักรยานยนต์ตรงจุดหน้าฐาน ทัพอากาศดอนเมือง ฝั่งวิภาวดีฯ ขาเข้า ช่วงหลังเกิดการปะทะกันระหว่างทหารตำรวจกับม็อบเสื้อแดง จึงขอตรวจค้น แต่ชายคนดังกล่าวขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไปทางหมู่บ้านบัณฑิตโฮม เป็นซอยตัน ปรากฏว่าคนร้ายทิ้งรถจักรยานยนต์ และถุงสีดำขนาดใหญ่ไว้ ก่อนปีนหนีเข้าป่าหญ้าหลบหนีไปได้ จากการตรวจสอบภายในถุงพบกระสุนเอ็ม 79 จำนวน 63 นัด รุ่นเจาะเกราะหรือเอ็ม 43 HEDP จำนวน 42 นัด รุ่นหัวแตกหรือเอ็ม 406 HE จำนวน 20 นัด ถุงดังกล่าวมีเอกสาร และบัตรประชา ชนตกอยู่ในที่เกิดเหตุด้วย อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นทราบว่าผู้ต้องหารายนี้คือจ.ส.ต.ปริญญา มณีโคตม์ ผบ.หมู่งานปราบปราม สภ.คูคต จ.ปทุมธานี ซึ่งตำรวจกำลังเร่งติดตามจับกุมตัว ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 29 เม.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกลุ่ม นปช.ออกแถลง การณ์ว่า ศอฉ.แถลงข่าวการจับอาวุธเอ็ม 79 และอื่นๆ ได้เป็นจำนวนมากได้ที่หน้ากองทัพอากาศ เมื่อวันที่ 28 เม.ย.ที่ผ่านมา เป็นการจัดฉากของ ศอฉ.ว่า ตนไม่ทำเช่นนั้นแน่นอน ขอให้จำไว้ว่านิสัยของตนไม่เคยจัดฉาก และใครจะมองว่าอย่างไรตนก็ไม่ทราบ ตนทำตามข้อเท็จจริง ตนไม่เคยสร้างสถานการณ์ ตนทำตามข้อเท็จจริงโดยไม่กลัวการใส่ร้ายป้ายสีอะไรทั้งนั้น และไม่กลัวผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ตนเห็นว่าวันนี้มีหน้าที่รักษาบ้านเมือง รักษาสถาบันตนก็จะทำให้ดีที่สุด

เมื่อถามว่ามีการยึดอาวุธสงครามจำนวนมากจากผู้ชุมนุมคนหนึ่งทิ้งไว้ระหว่างถูกเจ้าหน้าที่ไล่จับกุมใช่หรือไม่ รองนายกฯ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 28 เม.ย.ที่ผ่านมา ในขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังแก้ปัญหากลุ่มผู้ชุมนุมอยู่ มีคนคนนี้พยายามเข้าไปสนับสนุนฝ่ายผู้ชุมนุมแต่ถูกตำรวจจราจรและสารวัตรทหารอากาศเห็นพิรุธจึงเข้าจับกุม และเกิดการหลบหนีจึงทิ้งลังอาวุธไว้ ซึ่งเป็นระเบิดเอ็ม 79 จำนวน 62 ลูก พร้อมกับบัตรประจำตัวต่างๆ ก่อนปีนกำแพงหลบหนีไป แต่ขณะนี้จากหลักฐานทั้งหมดทราบแล้วว่าเป็นใคร ชื่ออะไร ก็จะติดตามมาดำเนินคดีต่อไป ยืนยันว่าอาวุธที่จับกุมได้ไม่ใช่การจัดฉาก เพราะเป็นการรวบรวมพยานหลักฐานไว้พร้อมแล้ว

ต่อข้อถามว่าอาวุธที่ตรวจสอบเชื่อมโยงกับการก่อวินาศกรรมหรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า เป็นอาวุธที่เตรียมไปให้ยิงทหารที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ ทั้งนี้ อาวุธที่ตรวจพบไม่มีเลขรหัสที่ยืนยันว่าเป็นของทางราชการ จึงยืนยันว่าอาวุธดังกล่าวไม่ใช่อาวุธของทางราชการ

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้ช่วยผบ.ตร. ในฐานะโฆษกตร. กล่าวถึงกรณีที่ทหารยึดระเบิดเอ็ม 79 จำนวน 63 ลูกที่ดอนเมือง ว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นทราบว่าจ.ส.ต.ปริญญา ผู้ต้องหารับราชการที่ สภ.คูคต ตั้งแต่จบโรงเรียนพลตำรวจ จ.สระ บุรี บ้านเกิดอยู่ที่ อ.เถิน จ.ตาก มีภรรยาและลูกชายอายุ 3 ขวบ อยู่ที่ จ.เชียงราย

พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกศปก.ตร. กล่าวว่า จากการตรวจสอบประวัติการรับราช การตำรวจของจ.ส.ต.ปริญญา ตลอด 15 ปีที่ สภ.คูคต ไม่พบประวัติเสีย ส่วนความเกี่ยวข้องกับอาวุธเอ็ม 79 ที่ตรวจพบพบว่าจ.ส.ต. ปริญญามีความเชื่อมโยงกับขบวนการค้าอาวุธ โดยใช้เส้นทางลำเลียงจากต่างจังหวัดผ่านเส้นทางที่มีการปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่และกลุ่มนปช.

ผู้สื่อข่าวถามว่า อาวุธเอ็ม 79 ที่พบเชื่อมโยงกับการใช้อาวุธชนิดเดียวกันก่อเหตุรุนแรงก่อนหน้าหรือไม่ พล.ต.ต.ประวุฒิกล่าวว่า เรื่องนี้ยังไม่ชัดเจนอยู่ระหว่างการตรวจสอบว่าอาวุธเหล่านี้เคยถูกนำไปใช้ที่ใดบ้าง เช่นนำไปเปรียบเทียบกับลูกที่ใช้ก่อเหตุแต่ยังไม่ระเบิด โดยเรื่องนี้มอบให้ดีเอสไอและสำนักงานพิสูจน์หลักฐานกลางตรวจสอบร่วมกัน ส่วนความเชื่อมโยงกับขบวนการค้าอาวุธในระดับใด ส่วนกรณีตำรวจจับกุมนายสมพร กัสยากร อายุ 46 ปี พนักงานฝ่ายซ่อมเครื่องบินบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) พร้อมอาวุธและเครื่องกระสุนจำนวนมาก และมีข่าวว่าเกี่ยวข้องกับกลุ่มที่ยิงพ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม เสียชีวิตเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมานั้น จากการสืบสวนสอบสวนยังไม่ยืนยันในเรื่องนี้ แต่พบว่ามีความเชื่อมโยงกับกลุ่มนปช. โดยนายสมพรเป็นผู้ขับรถพาคนมาร่วมชุมนุม

เช้าวันเดียวกัน ที่ สภ.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี พล.ต.ท.กฤษฎา พันธ์คงชื่น ผบช. ภาค 1, พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง รอง ผบช.ภาค 1, พล.ต.ต.เมธี กุศลสร้าง ผบก. ภ.จว.ปทุมธานี, พ.ต.อ.นราเดช ทิพย์รักษ์ ผกก. สภ.คูคต พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบ สวน ร่วมประชุมเกี่ยวกับกรณีจ.ส.ต.ปริญญา มณีโคตม์ ผบ.หมู่งานปราบปราม สภ.คูคต เจ้าหน้าที่ตำรวจของ สภ.คูคต ที่คาดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการขนเครื่องกระสุนชนิดเอ็ม 79 จำนวนมากใกล้อนุสรณ์สถานดอนเมือง

หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตรวจค้นบ้านพักย่านสายไหม กทม. และรถเก๋งยี่ห้อมาสด้า 323 สีแดง ทะเบียน กค-7163 สระบุรี สภาพเก่า ไม่สามารถใช้งานได้ ตรวจสอบเป็นทะเบียนรถ ปลอมของจ.ส.ต.ปริญญา พบอาวุธปืน, เครื่องกระสุนและอุปกรณ์อีกหลายรายการ ส่วนใหญ่เป็นอะไหล่อาวุธสงคราม เบื้องต้นทราบว่า จ.ส.ต.ปริญญาไม่ได้เดินทางเข้าทำงานเมื่อเวลา 08.00 น.ของวันนี้ และได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดังกล่าวออกจากราชการแล้ว พร้อมทั้งตั้งคณะกรรมการสอบสวนว่าจะมีส่วนพัวพันกับเหตุการณ์ดังกล่าวและคดีอื่นๆ หรือไม่ และเตรียมออกหมายจับเพื่อติดตามตัวมาสอบสวนดำเนินคดี

พ.ต.อ.สุรพันธ์ กอบเงินทอง ผกก.ฝ่ายสรรพา วุธ 3 หน่วยเก็บกู้ระเบิด กองสรรพาวุธตำรวจ เปิดเผยว่า หลังได้รับแจ้งว่ามีการตรวจสอบพบอาวุธของจ.ส.ต.ปริญญา จากที่บ้านพักและรถเก๋ง จึงเข้าตรวจสอบภายในรถดังกล่าวเนื่องจากเกรงว่าจะมีวัตถุระเบิดหรืออาวุธสงครามซุกซ่อนอยู่ในรถชนิดคาร์บอมบ์ เพราะรถคันดังกล่าวถูกจอดทิ้งไว้มานานอยู่ที่บริเวณที่จอดรถด้านข้างแฟลตตำรวจ มีสภาพเก่า หม้อแบตเตอรี่ถูกถอดออก และจากการตรวจสอบไม่พบระเบิดในรถ ส่วนอาวุธที่ตรวจพบได้ต้องนำไปตรวจสอบอีกครั้ง

พล.ต.ต.เมธี กุศลสร้าง ผบก.ภ.จว.ปทุมธานี เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจดังกล่าวเคยเป็นทหารเกณฑ์จากทหารอากาศ แล้วสอบเข้าเตรียมพลตำรวจ รุ่นที่ 5 จ.สระบุรี จากนั้นเข้ารับราชการตำรวจฝ่ายงานจราจร สภ.คูคต มานานจนได้รับเลื่อนเป็น ผบ.หมู่ปราบปราม กระทั่งมาเกิดเรื่อง แต่โดยปกติเพื่อนตำรวจด้วยกันจะทราบว่าจ.ส.ต.ปริญญามีนิสัยไม่ค่อยสุงสิงกับใคร เดิมเป็นคน จ.เชียงราย และทำธุรกิจส่วนตัวในการซื้อขายอาวุธปืนสั้น ซ่อมและหาอะไหล่อาวุธปืน และสืบสวนก็ทราบว่าจ.ส.ต. ปริญญามีส่วนเกี่ยวข้องกับการตรวจค้นพบอาวุธสงครามที่ อ.วังน้อย จ.พระนคร ศรีอยุธยา และที่ จ.สมุทรปราการ ขณะนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจคนดังกล่าวออกจากราชการแล้ว และออกหมายจับติดตามตัวต่อไป

ต่อมาเวลา 14.00 น. พล.ต.ท.กฤษฎา พร้อมด้วยพล.ต.ต.เมธี นำกำลังตำรวจเข้าจับกุม จ.ส.ต. ปริญญาได้ที่สี่แยกไฟแดงคลอง 7 หมู่ 5 ต.บึงคำพร้อย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี พร้อมด้วยของกลางรถปิกอัพยี่ห้อมิตซูบิชิ รุ่นสตาร์ด้า สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน ณส-4360 กทม. ตรวจสอบเป็นทะเบียนปลอม, อาวุธปืนขนาด 9 ม.ม. 1 กระบอก, อุปกรณ์ลำกล้องส่องติดตั้งปืน 1 ชุด, อาวุธมีดพก 2 เล่ม, เงินสด 7 แสนบาท, แผ่นป้ายทะเบียนปลอม ณน-7305 กทม. 2 แผ่นป้าย, แผ่นป้ายทะเบียนปลอม ณต-9925 กทม. เสื้อผ้าและกระเป๋าลายพรางทหารจำนวนหนึ่ง เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน

จ.ส.ต.ปริญญาให้การว่า ติดต่อซื้อขายอาวุธปืน หาอะไหล่และซ่อมปืนให้กับเพื่อนตำรวจ และพรรคพวกที่รู้จักกันเป็นเจ้าของอาวุธต่างๆ ที่ถูกตรวจยึดได้นั้นจริง แต่ไม่ได้เป็นคนเสื้อแดงและไม่เกี่ยวข้องกับการก่อเหตุรุนแรงใดๆ ส่วนกระสุนปืนชนิดเอ็ม 79 จำนวน 63 ลูกมีผู้ติดต่อซื้อกับตนในราคาลูกละ 1,000 บาทเมื่อวานนี้ จึงจะนำไปส่งให้กับลูกค้าแถวไปรษณีย์ย่านคูคต แต่เจ้าหน้าที่จะตรวจค้นจับกุมจึงหลบหนีไป ส่วนผู้ซื้อตอนนี้ทราบว่าหลบหนีไปประเทศลาวแล้ว ตนทราบว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนจะจับกุมจึงเดินทางไปเบิกเงินที่ธนา คารย่านตลาดสี่มุมเมืองและที่ศูนย์การค้าเซียร์ รังสิต จากนั้นขับรถมาที่ห้างบี๊กซี คลอง 5 ถนนลำลูกกาเพื่อเบิกเงินอีก จากนั้นขับรถออกมาตามถนนลำลูกกาเพื่อจะหลบหนี แต่ยังไม่รู้จะไปที่ไหน เมื่อมาถึงแยกไฟแดงก็มาถูกเจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมได้เสียก่อน

พล.ต.ท.กฤษฎากล่าวว่า ได้ติดตามตัว จ.ส.ต.ปริญญา โดยติดตามจากการเบิกจ่ายเงินกระทั่งทราบว่าเวลา 10.30 น. จ.ส.ต.ปริญญาเข้าไปเบิกเงินสดจำนวน 290,000 บาทที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาเซียร์ รังสิต จากนั้นก็เข้าไปเบิกเงินอีกครั้งที่ธนาคารกรุงไทย สาขาตลาดสี่มุมเมือง จำนวน 300,000 บาท จึงประสานงานให้ทีมสืบสวนทั่ว จ.ปทุมธานี ติดตามดูพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์และการเบิกจ่ายเงิน กระทั่งมาทราบว่าจ.ส.ต.ปริญญาเดินทางมาทำธุรกรรมเบิกเงินที่ห้างบิ๊กซี คลอง 5 ถนนลำลูกกา จึงวิทยุสกัดจึงสามารถจับกุมได้ขณะ ติดไฟแดงบริเวณดังกล่าว โดยจับกุมได้โดยละม่อมและไม่มีการต่อสู้รุนแรง

พล.ต.ท.กฤษฎากล่าวว่า ในส่วนอาวุธต่างๆ ที่ถูกจับได้เป็นของจ.ส.ต.ปริญญา แต่ปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนเสื้อแดง และในวันที่ถูกตรวจค้นเจอเครื่องอาวุธต่างๆ นั้น ก็เพราะจะนำของเหล่านั้นไปส่งให้ลูกค้า เบื้องต้นเรายังไม่ปักใจเชื่อในคำให้การของ จ.ส.ต. ปริญญา เพราะทางการสืบสวนนั้นพบว่าจ.ส.ต. ปริญญามีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้าอาวุธสงครามรายใหญ่ที่เคยถูกจับกุมไปแล้วที่ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา และที่ จ.สมุทรปราการ ซึ่งเราคงต้องควบคุมตัวไว้สอบสวนอย่างละ เอียดอีกครั้ง โดยอาจจะมีการโอนคดีไปยัง สภ.คูคต เพื่อสะดวกต่อการทำงาน อีกทั้งยังไม่ทราบว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จะรับโอนคดีไปทำเองหรือไม่ เพราะยังอยู่ในช่วงการประกาศใช้พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ซึ่งคงจะได้ประสานงานกันต่อไป

รายงานข่าวเปิดเผยว่า จากการสอบสวน จ.ส.ต.ปริญญาให้การรับสารภาพหมดเปลือกว่าระเบิดเอ็ม 79 ทั้งหมดรับมาจากโรงงานผลิตอาวุธที่ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา โดยเตรียมจะนำไปส่งให้ชนกลุ่มน้อยตามตะเข็บแนวชายแดนไทย ซึ่งก่อนถูกจับกำลังจะขี่รถจักรยานยนต์ไปส่งให้ที่ท่ารถทัวร์แห่งหนึ่งย่านประชาชื่น แต่เกิดฝนตกหนักจึงต้องเปลี่ยนเส้นทางที่ใช้ประจำ ก่อนมาเจอด่าน สห.ทหารอากาศจึงต้องหลบหนี จ.ส.ต.ปริญญายังให้การอีกว่า การส่งอาวุธสงครามจะใช้ส่งทางรถทัวร์เป็นประจำ โดยปลายทางเป็น อ.แม่สาย จ.เชียง ราย ซึ่งลูกค้าจะส่งคนมารับที่ปลายทาง ส่วนบัตรประชาชนที่พบตกอยู่ในที่เกิดเหตุนั้นได้ขโมยมาจากโรงพัก เพราะการส่งพัสดุทางรถทัวร์ต้องมีบัตรประชาชนเป็นหลักฐาน นอกจากนี้จ.ส.ต.ปริญญายังยืนยันว่าระเบิดดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับม็อบเสื้อแดงเลย

วันเดียวกัน พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. พร้อมด้วยพ.ต.อ.เศรษฐศักดิ์ ยิ้มเจริญ ผกก.สน.บางมด พ.ต.ท.ธวัชชัย ศรีสุรางค์ รอง ผกก.ปป.สน.บางมด แถลงข่าวจับกุมนายโยธิน หรือเล่ นันทา อายุ 22 ปี อยู่บ้านเลขที่ 109/1 หมู่ 5 ต.ห้วยขมิ้น อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี และนายบี (นามสมมติ) อายุ 17 ปี พร้อมของกลางระเบิดแบบขว้าง เอ็มเค-2 (ระเบิดน้อย หน่า) 1 ลูก ปืนอัดลมพลาสติกแบบลูกซองสไลด์สีดำ 1 กระบอก กระบอกไม้ไผ่ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 นิ้วครึ่ง 1 ใบ เศษผ้ายืดสีชมพู 1 ผืน เศษโฟมสีขาว 3 ชิ้น และรถจักรยานยนต์ฮอนด้า รุ่นคลิก สีดำ ทะเบียน ษกย-349 กรุงเทพฯ

เบื้องต้นแจ้งข้อหาร่วมกันมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย, ร่วมกันมีสิ่งเทียมอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน และเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) โดยผิดกฎหมาย

ทั้งนี้ ขณะเจ้าหน้าที่ได้ร่วมกันออกตรวจตราพื้นที่ โดยจัดเป็นกลุ่มชุดรถจักรยานยนต์และรถยนต์ร่วมกันออกลาดตระเวน เมื่อผ่านไปถึงปากซอยพุทธบูชา 26/2 พบนายโยธินขับขี่รถจักรยานยนต์โดยมีนายบีเป็นคนซ้อนท้าย สังเกตพบนายบีกำลังถือปืนแบบลูกซองสไลด์อยู่ในมือข้างซ้าย จึงเข้าประกบและบังคับให้หยุดรถตรวจค้น ตรวจสอบพบว่าเป็นปืนอัดลมพลาสติก และพบเป็นระเบิดขว้างอีก 1 ลูก จากการสอบสวนผู้ต้องหาอ้างว่า ระเบิดดังกล่าวซื้อมานานแล้วในราคา 400 บาทและกำลังจะนำไปทิ้ง เนื่องจากมีเหตุการณ์ไม่ปกติ แต่ระหว่างทางก็ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมเสียก่อน โดยที่ผ่านมาไม่เคยร่วมชุมนุมกับกลุ่มเสื้อแดง

ต่อมา ที่ห้องประชุมปารุสกวัน 1 บช.น. พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ที่ปรึกษา (สบ 10) หัวหน้าคณะทำงานสืบสวนคดีระเบิดในพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เรียกประชุมติดตามความคืบหน้า โดยพล.ต.อ.ภาณุพงศ์กล่าวก่อนเริ่มประชุมว่า ตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค. เป็นต้นมา ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีเหตุเกิด 46 คดี ในส่วนของภาคอื่นมี 15 คดี โดยการสืบสวนคืบหน้าไปมากพอสมควร โดยขณะนี้ที่ชัดเจนคือ การจัดกลุ่มชุดคนร้ายที่กระทำผิด โดยสามารถรวบรวมพยาน หลักฐาน และออกหมายจับได้เป็นบางกลุ่ม โดยมี 4 กลุ่มในตอนนี้ กลุ่มแรกคือ กลุ่มที่ใช้ระเบิดขว้างเอ็ม 67 ซึ่งจะเชื่อมคดีที่กระทรวงกลาโหม โดยในส่วนนั้นสามารถออกหมายจับส.ต.ต.บัณฑิต สิทธิทุม อดีตตำรวจสระแก้ว และชายไทยอีกคนหนึ่ง ซึ่งจากการประมวลและรวบ รวมหลักฐานทั้งหมด ตำหนิ รูปพรรณ อาวุธที่ใช้ปรากฏว่า อาวุธที่ใช้คือเอ็ม 67 ไปตรงกับอีก 8 คดี ซึ่งพอสรุปเบื้องต้นได้ว่าคนร้ายที่ใช้ระเบิดขว้างเอ็ม 67 มี 1 ชุดที่ปฏิบัติการในห้วงที่ผ่านมา ซึ่งตนได้จัดชุดดำเนินการจับกุมโดยเฉพาะแล้ว

พล.ต.อ.ภาณุพงศ์กล่าวอีกว่า กลุ่มที่ 2 เป็นส่วนที่ใช้การยิงเอ็ม 79 ซึ่งมีทั้งหมด 14 คดี ตำรวจได้ตำหนิรูปพรรณที่ชัดเจนในหลายคดีที่มาประกอบกัน โดยได้มีการจัดชุดของ บช.น. และบช.ก. ในการติดตามจับกุมคนร้ายในชุดนี้เช่นเดียวกัน กลุ่มที่ 3 สามารถตรวจสอบตำหนิ รูปพรรณ ยานพาหนะได้ คือ ชุดที่ใช้อาวุธปืนขนาด .38 ยิงธนาคารกรุงเทพ สาขาสะพานขาว และบางยี่ขัน และกลุ่มที่ 4 ที่รวบรวมหลักฐาน และออกหมายจับได้คือคาร์บอมบ์ที่โพไซดอนได้ โดยออกหมายจับนายอัครเดช สุขลักษณ์ และชายไทยอีกคน

ที่ จ.จันทบุรี นายสุชาติ ล้อมวงศ์ อายุ 44 ปี ที่อยู่เลขที่ 73/1 หมู่ที่ 1 ต.ตะกาดเง้า อ.ท่า ใหม่ จ.จันทบุรี เป็นคนงานขุดวางท่อเมนการประปา ส่วนภูมิภาคจันทบุรี เข้าแจ้งความ ร.ต.ท.ไชยเชษฐ์ แก้วไตรรัตน์ พนักงานสอบ สวน สภ.เมืองจันทบุรี ว่าพบถุงผ้าสีเขียว สงสัยว่าจะมีวัตถุต้องสงสัยคล้ายระเบิดจำนวน 2 ถุง แขวนที่ลวดหนาม และพงหญ้ารกข้างทาง ริมถนนสายวัดจันทนาราม-แยกบ้านเกาะรงค์ หมู่ที่ 11 ต.พลับพลา อ.เมืองจันทบุรี จึงรายงานถึงพ.ต.อ.ผดุงศักดิ์ รักษาสุข ผกก.สภ.เมืองจันท บุรี รุดไป ตรวจสอบพบระเบิดเอ็ม 79 จำนวน 4 ลูก พบปลอกกระสุนชนิดเดียวกัน 12 นัด และซองใส่กระสุนพลาสติกจำนวน 2 ตับ จึงกู้เก็บขึ้นไปเก็บรักษาไว้

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตรวจเพิ่มเติมพบเครื่องยิงระเบิดเอ็ม 79 ห่างจากจุดที่พบระเบิดประมาณ 2 ก.ม. โดยจะเร่งตรวจสอบว่าเป็นของใคร และเกี่ยวข้องกับการก่อวินาศกรรมในกรุงเทพฯ หรือไม่
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
**********************************************************************

จาตุรนต์ เตือน ‘อภิสิทธิ์’ ขึ้นแท่น ‘อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ’

จาตุรนต์ เปิดกฎหมายโลก เตือนอภิสิทธิ์นิ่มๆ ขึ้นแท่น ‘อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ’ ยันแม้ไทยยังไม่เป็นภาคี แต่มีช่องยกเว้นให้สำหรับรัฐบาลยื่นฟ้องศาลอาญาระหว่างประเทศได้หากเปลี่ยนขั้ว

29 เมษายน 2553 โรงแรมเรดิสัน พระราม 9 นายจาตุรนต์ ฉายแสง แถลงถึงการตั้งข้อกล่าวหาของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต่อการชุมนุม ผู้ชุมนุม ในเรื่องการก่อการร้าย ล้มสถาบัน และศาลคดีอาญาระหว่างประเทศ โดยกล่าวเตือนนายอภิสิทธิ์ว่า ด้วยความห่วงใยต่อบ้านเมือง และต้องแสดงความห่วงใยต่อนายกฯอภิสิทธิ์เองด้วย การที่รัฐบาลได้ดำเนินการในการยกระดับข้อกล่าวหาในลักษณะบิดเบือนใส่ร้าย กล่าวหาผู้ชุมนุมที่เรียกร้องให้ยุบสภา และได้พยายามทำให้เห็นว่า การเคลื่อนไหวการชุมนุมมีลักษณะเป็นขบวนการที่มีลักษณะเป็นการก่อการร้าย และเป็นขบวนการที่ต้องการล้มล้างสถาบัน ซึ่งการกล่าวหาในลักษณะนี้ ไม่ได้มีหลักฐานข้อเท็จจริง ทั้งยังได้กล่าวหาเกินจริงไปมาก มุ่งที่จะทำให้เกิดความเกลียดชังต่อผู้ชุมนุม และสร้างความชอบธรรมให้กับการใช้กำลังเข้าปราบปราม ถึงขั้นที่จะใช้กำลังอาวุธเข้าเข่นฆ่าประชาชน

นายจาตุรนต์ กล่าวด้วยว่า การดำเนินการในลักษณะอย่างนี้ ถ้ายังทำต่อไป จะทำให้สุญเสียชีวิตเลือดเนื้อประชาชนจำนวนมาก รวมทั้งจะทำให้เกิดความขัดแย้งของคนในชาติอย่างรุนแรงชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ถึงตอนนี้จึงมีจำเป็นที่จะต้องมาเตือน ช่วยกันเรียกร้องกดดันต่อนายกฯอภิสิทธิ์เปลี่ยนใจเสียใหม่ ล้มเลิกการกระทำและความพยายามต่างๆ เหล่านี้

“การกล่าวหาว่า การชุมนุมนี้เป็นการชุมนุมโดยผู้ก่อการร้าย หรือมีผู้ก่อการร้ายร่วมอยู่ในการขบวนการชุมนุม เป็นการกล่าวหาที่ไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอ แล้วยังไม่มีข้อกฎหมายรองรับเลย ถ้าจะพิจารณาจากความเห็นของรองเลขาธิการศาลยุติธรรม จะเห็นว่า การชุมนุมของ นปช. - คนเสื้อแดง ไม่เข้าข่ายที่จะถือได้ว่าเป็นการก่อการร้ายเลยแม้แต่น้อย รวมทั้งยังมีข้อกฎหมายที่ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า การชุมนุมเรียกร้องความเป็นธรรม การชุมนุมที่คุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญนั้น ไม่ถือเป็นการก่อการร้าย จะเอากฎหมายว่าด้วยการก่อการร้ายมาใช้กับผู้ชุมนุมเหล่านี้ไม่ได้”

อดีตรองนายกรัฐมนตรี ยังได้กล่าวด้วยว่า หากดูจากข้อกฎหมายในเรื่องที่จะบอกว่า การกระทำอย่างใดจึงจะถือว่าเป็นการก่อการร้ายนั้น แม้แต่การที่มีบุคคลไปยิงเอ็ม 79 ในที่ต่างๆ หรือแม้กระทั่งกรณีมีกลุ่มคนชุดดำที่ยิงใส่ทหารในวันที่ 10 เมษายน 2553 ก็ถือว่าเป็นการกระทำที่ขัดขวางต่อการทำงานของเจ้าพนักงาน หรืออย่างมากก็พยายามฆ่าเจ้าพนักงาน แต่ก็ไม่ถือเป็นการก่อการร้าย แม้แต่คนที่ยิงปืนเอ็ม 79 หรือคนที่ยิงปืนใส่เจ้าหน้าที่ ก็ยังไม่ถือเป็นการก่อการร้าย เพราะการก่อการร้ายจะต้องมีเจตนาพิเศษ เป็นการก่อการร้ายเพื่อขู่เข็ญหรือบังคับรัฐบาลไทย รัฐบาลต่างประเทศ หรือองค์กรระหว่างประเทศให้กระทำการหรือไม่กระทำการอันอาจก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง

“ข้ออื่นๆ ในคำชี้แจงของรองเลขาธิการศาลยุติธรรมก็เห็นได้ชัดเจนว่า การกระทำทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุม ไม่มีอะไรที่ถือได้ว่าเป็นการก่อการร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชุมนุมของประชาชนและแกนนำของ นปช.ทั้งหมด ซึ่งถือว่าเป็นการชุมนุมที่เรียกร้องความเป็นธรรม เรียกร้องประชาธิปไตย ยิ่งไม่เข้าข่ายการชุมนุมที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นการก่อการร้าย แต่รัฐบาลก็ยังคงดึงดันที่จะใช้คำนี้ และใช้หลักกฎหมายเรื่องนี้ เพื่อสร้างความเกลียดชังต่อผู้ชุมนุมและสร้างความชอบธรรมในการใช้อาวุธเข้าประหัตประหารผู้ชุมนุม” นายจาตุรนต์กล่าว

นายจาตุรนต์ ยังตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจด้วยว่า เหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดภาคใต้ ในช่วง 6 ปีมานี้ มีผู้เสียชีวิตไปแล้วประมาณ 4,100 กว่าคน และมีผู้บาดเจ็บที่มีอาการสาหัสอีก 6,500 กว่าคน รัฐบาลทุกรัฐบาลที่ผ่านมา รวมทั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็ยังไม่เรียกเหตุการณ์ 3 จังหวัดภาคใต้ว่าเป็นการก่อการร้ายแม้แต่ครั้งเดียว แต่ในกรณีนี้ที่มีการชุมนุมของประชาชนให้ยุบสภา กลับเรียกว่าเป็นการก่อการร้าย ซึ่งเป็นการแสดงเจตนาของรัฐบาลที่ต้องการใช้ความรุนแรงและมาตรการที่รุนแรงในการปราบปรามประชาชน

ส่วนอีกกรณีหนึ่งที่รัฐบาลใช้มาเป็นข้อกล่าวหาต่อผู้ชุมนุม คือ การกล่าวหาว่ามีขบวนการล้มสถาบันล้มเจ้า การกล่าวหานี้ได้ทำในลักษณะจับแพะชนแกะ เอาชื่อคน ชื่อองค์กรต่างๆ มารวมกันเข้า และใช้การกล่าวหาอย่างเลื่อนลอย แต่เป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรง ไม่มีพยานหลักฐาน และที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีการดำเนินคดีกับบุคคลเหล่านี้ นอกจากนั้นก็เห็นได้ชัดว่า บุคคลที่ถูกกล่าวหาเป็นฝ่ายการเมืองที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับรัฐบาลปัจจุบันทั้งสิ้น การกล่าวหาในลักษณะนี้ ก็จะทำให้เกิดความเกลียดชังต่อประชาชนผู้ชุมนุม เพระว่าเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อน อ่อนไหว ประชาชนย่อมไม่พอใจ ทั้งๆ ที่ข้อกล่าวหาเหล่านี้ เกิดขึ้นโดยไม่มีหลักฐานข้อเท็จจริงรองรับเลยแม้แต่น้อย

“ทำให้เห็นได้ว่า ทั้ง 2 เรื่อง คือ ข้อกล่าวหาเรื่องการก่อการร้าย กับเรื่องล้มเจ้าล้มสถาบัน เป็นข้อกล่าวหาที่เลื่อนลอย เพื่อมุ่งที่จะปราบเข่นฆ่าประชาชน”

นายจาตุรนต์ ได้กล่าวถึงการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ด้วยว่า เหตุการณ์ล่าสุดเมื่อวานนี้ที่ใช้กำลังทหารไปขัดขวางการสัญจรของประชาชน และนำไปสู่การใช้อาวุธต่อประชาชนบาดเจ็บไปจำนวนมาก รวมทั้งยังได้เกิดอุบัติเหตุที่เจ้าหน้าที่ยิงกันเอง จนกระทั่งทำให้ทหารเสียชีวิตไป 1 คน แสดงให้เห็นถึงการใช้กำลังอาวุธ ใช้ความรุนแรงเกินความจำเป็น ไม่เป็นสัดส่วนอย่างเหมาะสมกับการกระทำของผู้ชุมนุม

การดำเนินการในลักษณะนี้ของรัฐบาล เป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักว่าด้วยมาตรการในการสลายการชุมนุมของสหประชาชาติ ซึ่งกำหนดว่า การจะใช้อาวุธต่อผู้ชุมนุม จะทำได้เฉพาะในกรณียกเว้นและเป็นกรณีพิเศษ รวมทั้งจะต้องทำในลักษณะที่เป็นสัดส่วนเหมาะสมกับการชุมนุม เช่น หากผู้ชุมนุมใช้อาวุธ จึงจะใช้อาวุธตอบโต้ เพื่อเป็นการป้องกันชีวิตของเจ้าหน้าที่ แต่การใช้อาวุธของเจ้าหน้าที่ในทั้ง 2 เหตุการณ์ 10 เมษายน 2553 และเมื่อวานนี้ (28 เมษายน 2553) ได้ใช้เกินกว่าความจำเป็นอย่างมาก

“ในหลักว่าด้วยการสลายการชุมนุมของสหประชาชาติ ยังได้ระบุไว้ด้วยว่า แม้ว่าจะได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดยังต้องเคารพในความเป็นมนุษย์ของผู้ชุมนุม ไม่สามารถที่จะใช้อาวุธเข้าประหัตประหารประชาชนได้ตามอำเภอใจ ไม่ใช่ว่าเมื่อมีการประกาศพ.ร.บ.ความมั่นคงฯ – พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว จะยิงใครทิ้งเล่นๆ ได้ตามใจชอบ หลักการเหล่านี้ได้มีเป็นหลักสากลไว้อยู่แล้ว และขณะนี้รัฐบาลนี้ได้ละเมิดหลักการนี้อย่างชัดเจน”

ทั้งนี้ ยังได้เปิดประเด็นเพื่อเตือนถึงนายอภิสิทธิ์ด้วยว่า “ผมอยากจะเตือนไปถึงนายกฯอภิสิทธิ์ว่า ประเทศไทยได้ลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ ซึ่งตั้งอยู่ที่กรุงเฮก เมื่อลงนามในอนุสัญญาแล้วนี้ รัฐบาลที่ได้ดำเนินการขัดต่อหลักว่าด้วยการสลายการชุมนุมของสหประชาชาติ ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ต่อไปข้างหน้า เมื่อมีพรรคการเมืองที่ไม่ได้เป็นฝ่ายเดียวกันกับพรรคประชาธิปัตย์มาเป็นรัฐบาล และรัฐบาลนั้นสามารถที่จะลงนามเพื่อเป็นภาคีในอนุสัญญานี้ในขั้นตอนสุดท้ายแล้ว ก็สามารถที่จะหยิบยกเรื่องการสลายการชุมนุมทั้งวันที่ 10 เมษายน วันที่ 28 เมษายน 2553 รวมถึงถ้าจะมีการสลายการชุมนุมขึ้นอีกที่ราชประสงค์ มาเป็นคดีฟ้องคดีอาญาต่อศาลอาญาที่กรุงเฮกได้

“การฟ้องนี้จะเป็นการฟ้องต่อบุคคล เช่น การฟ้องต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะที่เป็นพลเรือน แม้จะไม่ได้เป็นผู้บัญชาการทหารโดยตรง แต่เป็นพลเรือนที่สั่งการให้ทหารเข้ากระทำการใช้ความรุนแรงต่อประชาชน การดำเนินคดีในลักษณะนี้ จะเกิดขึ้นและถูกตัดสินโดยศาลคดีอาญาระหว่างประเทศที่กรุงเฮก เหมือนกับผู้นำบางประเทศได้ถูกดำเนินคดีกันมาแล้ว”

“เพราะฉะนั้นที่อยากจะเตือนก็คือว่า ต้องหยุดการสร้างเรื่อง บิดเบือน ให้ข่าวแต่ฝ่ายเดียว เพื่อสร้างความเกลียดชังและสร้างความชอบธรรมในการปราบเข่นฆ่าประชาชน เพราะจะก่อให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวงต่อประเทศ จะทำให้ประเทศเข้าสู่กลียุค ในยุคที่ประชาชนกับรัฐต่อสู้ใช้ความรุนแรงต่อกัน หรือ ประชาชนต่อประชาชนประหัตประหารกันเอง สิ่งที่ต้องเตือนก็คือ ถ้ายังคงทำอย่างนี้ต่อไป ในอนาคตคุณอภิสิทธิ์ในฐานะบุคคลคนหนึ่งไม่ว่าจะอยู่ในฐานะตำแหน่งใดหรือไม่ อาจจะถูกดำเนินคดีในศาลคดีอาญาระหว่างประเทศ และจะต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรงมาก จึงอยากให้พิจารณาทบทวนการดำเนินการอย่างที่ทำโดยเร็วที่สุด” นายจาตุรนต์ กล่าวย้ำ

ในตอนท้าย ผู้สื่อข่าวได้ถามถึงสถานะของอนุสัญญาว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ นายจาตุรนต์ อธิบายว่า ประเทศไทยได้ลงนามในอนุสัญญาไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้เป็นภาคี แต่จะเป็นภาคีหรือไม่ก็ตาม ก็มีช่องทางหรือข้อยกเว้นที่สามารถหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาให้พิจารณาได้โดยรับบาลลงนามยอมรับอำนาจของศาลอาญาระหว่างประเทศ ซึ่งหากได้รัฐบาลที่ไม่ใช่ฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมาเมื่อใด การไปลงนามภาคีในอนุสัญญานี้ก็ทำได้ง่ายๆ และสามารถหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาได้

“ความผิดก็จะเป็นความผิดฐาน ‘เป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ’ เมื่อมีการปราบปรามโดยใช้กำลังอาวุธทำให้ประชาชนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ซึ่งเวลานี้ถือได้ว่าเข้าข่ายแล้ว แต่ว่าหากมีการสลายที่ราชประสงค์อีก และเกิดเหตุการณ์ลุกลามบานปลายที่ทำให้คนเสียชีวิตบาดเจ็บจำนวนมาก ก็จะเข้าการเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ เข้าข่ายตามอนุสัญญานี้ทันที” นายจาตุรนต์กล่าว
ที่มา.ประชาไท
-----------------------------------------------------------------------

บีบีซียิงคำถามเดือด-ซัด"มาร์ค"ขวางเลือกตั้ง !

รายการฮาร์ดทอล์กของสำนักข่าวบีบีซี ประเทศอังกฤษ สัมภาษณ์พิเศษข้ามประเทศ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไทย ถึงปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง ซึ่งรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ โดยลักษณะการดำเนินรายการฮาร์ดทอล์กจะเน้นยิงคำถามอย่างตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อมแบบถึงลูกถึงคน ส่งผลให้นายอภิสิทธิ์ถูกพิธีกรยิงคำถามต้อนให้จนมุมหลายครั้งโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำถามที่ว่า “ถ้าคุณคิดว่าคุณคืออุปสรรคของชาติ คุณจะลงจากอำนาจหรือไม่” ซึ่งนายกฯ ไทยตอบสั้นๆ ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีว่า “แน่นอนครับ ผมไม่ได้ยึดเอาประโยชน์ส่วนตัวมาอยู่เหนือกว่าประโยชน์ของประเทศชาติ”

นายอภิสิทธิ์ชี้แจงด้วยว่า ปัญหาของไทยขณะนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ความขัดแย้งทางการเมือง แต่มีมิติด้านความมั่นคงและปัญหาก่อการร้ายเข้ามาพัวพัน นอกจากนั้น ในช่วงที่พิธีกรถามจี้ว่า ปัญหาเกิดขึ้นเพราะมีคนมองว่า นายกฯ อภิสิทธิ์ได้รับประโยชน์จากเหตุยุบพรรคอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร รวมถึงเหตุรัฐประหาร 19 กันยาฯ อีกทั้งตัวนายอภิสิทธิ์เองไม่เคยต้องการให้เกิดการเลือกตั้ง ผู้นำไทยพยายามตอบชี้แจงอย่างยืดยาว ทำให้พิธีกรต้องเบรกและยิงคำถามใหม่แทรกกลางคัน ว่า จะทำอย่างไรต่อไป เพราะมีบางฝ่ายเกรงว่าจะเกิดสงครามกลางเมือง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า จะให้ทุกฝ่ายช่วยกันหาทางออกทางการเมือง รวมถึงต้องมีการบังคับใช้กฎหมาย และทำให้ผู้ประท้วงกลับบ้าน พิธีกรถามต่อไปว่า มีนักวิชาการไทยเสนอว่ารัฐบาลควรต้องคณะทำงานกำหนดเวลาเลือกตั้ง นายกฯ ไทยตอบว่า เราพยายามแก้ไขสถานการณ์ แต่จะไม่ยอมให้คนกลุ่มเล็กๆ มาข่มขู่
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
****************************************************

'พท.'มีมติไม่ยื่นอภิปรายฯรัฐบาลมือเปื้อนเลือด

ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส. พรรคเพื่อไทย แถลงภายหลังการประชุม สส.พรรคเพื่อไทย เพื่อขอมติด่วน กรณีการยื่นอภิปรายฯ ไม่ไว้วางใจ ว่า พรรคเพื่อไทย มีมติที่เอกฉันท์ ในการจะไม่ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ เนื่องจากมองว่าขณะนี้ รัฐบาลมีความผิด มีความชั่ว มือเปื้อนเลือด เป็นฆาตกร เกินกว่าที่จะไปเปิดเวทีในสภา โดยเฉพาะเหตุการณ์เมื่อวานนี้ที่มีการสลายการชุมนุมที่อนุสรณ์สถานฯ ดอนเมือง จึงเห็นว่า ไม่ควรยื่นญัติภิปราย แต่หลังจากนี้ พรรคเพื่อไทยจะนำข้อมูลมาเปิดเผยโดยผ่านการแถลงข่าว หรือไม่แน่ในอนาคตอาจจะไปเปิดเวทีที่สนามหลวง

นายวิทยา บุรณศิริ ประธานวิปฝ่ายค้านฯ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยเห็นว่า ไม่ควรเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเพื่อให้ รัฐบาลใช้เป็นเวทีฟอกตัวที่จะนำไปอ้างความถูกต้อง


ที่มา.ข่าวเพื่อไทย
*****************************************************

วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

นปช.จับชายฉกรรจ์จากรพ.จุฬา

เวลา 18.50 น. นายพายัพ ปั้นเกตุ หนึ่งในแกนนำนปช. ได้นำการ์ดนปช.จำนวนกว่า 200 คน ได้เข้าเจรจากับทางเจ้าหน้าที่รพ.จุฬา เพื่อขอเข้าไปตรวจค้นภายในรพ.จุฬาฯ เนื่องจากอ้างว่าที่บริเวณชั้น 3 ของตึกสก. มีการเคลื่อนไหวผิดสังเกตุ และคาดว่าน่าจะมีกำลังตำรวจและทหารอยู่ในบริเวณดังกล่าว เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของทางโรงพยาบาล และเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปชี้แจงว่า ภายในตึกไม่มีกองกำลังของทหารหรือตำรวจแต่อย่างใด

ระหว่างที่เข้าตรวจค้น พบว่าบริเวณชั้น 2 มีแผนผังในการปฏิบัติหน้าที่ของทางเจ้าหน้าที่ แต่ทาง พ.ต.อ.ชุมพร กาญจนรัตน์ ผกก.สน.ปทุมวัน ได้เข้าไปชี้แจงกับทาง นายพายัพ ว่าแผนผังที่พบเป็นตารางการปฏิบัติหน้าที่ในระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทำหน้าที่รับเสด็จ อย่างไรก็ตามระหว่างที่ตำรวจชี้แจงกับนายพายัพ ได้มีการ์ดของกลุ่มคนเสื้อแดงได้กระจายกันเข้าไปตรวจค้นที่บริเวณสก. และอาคารใกล้เคียง ได้เห็นกลุ่มชายฉกรรจ์อยู่บนอาคาร จึงวิ่งไล่จับ และสามารถจับกุมตัวได้ 2 รายก่อนที่การ์ดนปช.จะนำตัวลงมาจากอาคาร และควบคุมตัวไปยังเวทีราชประสงค์ โดยทางการ์ดนปช.ได้ตะโกนบอกกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ให้ทำร้ายกลุ่มชายดังกล่าว

ที่มา.เนชั่น
************************************************************************

พท.ซัดรัฐป่าเถื่อน-ชี้จัดฉากจับเอ็ม79ล็อตใหญ่

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการสลายชุมนุมที่ถนนวิภาวดีรังสิต บริเวณหน้าอนุสรณ์สถานแห่งชาติ ดอนเมือง เมื่อวันที่ 28 เม.ย. ว่า เป็นการกระทำที่ลุแก่อำนาจ เกินกว่าเหตุ เป็นผลให้มีคนบาดเจ็บและเสียชีวิตอีกครั้ง เพราะการสลายชุมนุมไม่ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนตามหลักสากล ทำให้ทหารถูกทหารด้วยกันยิงเสียชีวิต

"ทหารที่เสียชีวิตถูกกลุ่มทหารด้วยกันยิงเอง ทหารที่เสียชีวิตได้ขับรถจักรยานยนต์ออกมาจากกลุ่มผู้ชุมนุม เพื่อฝ่าเข้ามายังกลุ่มทหาร โดยเกิดการเข้าใจผิดคิดว่าเป็นผู้ชุมนุม จึงถูกทหารด้วยกันเองยิงเสียชีวิต นอกจากนี้ยังปรากฏภาพทหารนำอาวุธปืนติดกล้องที่มีประสิทธิภาพสูงมาใช้สลายกลุ่มประชาชนด้วย สะท้อนให้เห็นเจตนาของผู้มีอำนาจที่มุ่งหมายเอาชีวิต ที่สำคัญการดำเนินการในวันนั้นไม่มีการคำนึงถึงประชาชนทั่วไปที่สัญจรผ่านไปมา ซึ่งมีทั้งเด็ก ผู้หญิง คนชรา ติดอยู่ระหว่างการปะทะของทหารและกลุ่มนปช. จนส่งผลให้ประชาชนบางคนได้รับบาดเจ็บไปด้วย ถือเป็นการกระทำที่อำมหิต ป่าเถื่อนผิดมนุษย์ วันนี้นายอภิสิทธิ์เลือดเข้าตา หวังอยู่ในอำนาจเพียงอย่างเดียว เดินหน้าฆ่าฟันโดยไม่คำนึงถึงชีวิตประชาชนผู้บริสุทธิ์เลย ความเสียหายที่เกิดขึ้นหลายครั้งรัฐบาลและศอฉ.จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ"

นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า ส่วนกรณีที่ศอฉ.อ้างว่าได้ตรวจพบกระสุนปืนเอ็ม 79 จำนวน 62 นัด จากผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ที่โยนทิ้งและหลบหนีไป และโยงไปถึงขบวนการก่อการร้ายแฝงอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมนั้น เหมือนเป็นการสร้างฉากใส่ร้ายป้ายสีกลุ่มผู้ชุมนุม พยายามโยงให้เห็นว่าอาวุธดังกล่าวอาจจะเกี่ยวข้องกับผู้ชุมนุม แต่แท้จริงแล้วเชื่อว่าน่าจะเป็นการสร้างสถานการณ์ของรัฐบาลและศอฉ. เพื่อทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมดูเลวร้าย และจะต้องปราบปราม นี่คือการทำร้ายประเทศไทยโดยรัฐบาล ทำให้ภาพลักษณ์ประเทศเสียหาย ล่าสุด 48 ประเทศ ได้ออกคำสั่งห้ามคนของตัวเองเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย เพราะสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายจากสถานการณ์ความขัดแย้งในประเทศไทย


ที่มา.เนชั่น
***************************************************

เสธ.แดงโผล่ม็อบ คาดทหารถูกสไนเปอร์ เข้าใจผิดยิงพวกเดียวกัน

ที่บริเวณเวทีปราศรัยสี่แยกราชประสงค์ เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 29 เม.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ได้เข้าสังเกตการณ์และตรวจดูการรักษาความปลอดภัยของกลุ่มคนเสื้อแดง ทั้งนี้พล.ต.ขัตติยะ กล่าวว่าถึงเหตุการณ์ปะทะกันที่บริเวณอนุสรณ์สถานฯ ดอนเมือง ว่า ภาพในคลิปวิดิโอชัดเจนมาก โดยเห็นได้ชัดว่าฝ่ายทหารเข้าใจผิด เนื่องจากเป็นช่วงเวลาโพล้เพล้คิดว่าเป็นคนเสื้อแดงจะเข้ามาทำร้าย จึงมีการยิงด้วยอาวุธปืนสไนเปอร์ เพราะพลทหารที่เสียชีวิตนั้นมีสภาพศีรษะระเบิด ซึ่งไม่ใช่กระสุนของอาวุธปืนเอ็ม 16 อย่างแน่นอน เพราะถ้าเป็นปืนเอ็ม 16 แล้วเลือดจะไม่ออก รวมทั้งรูที่ถูกยิงก็จะเล็ก

"ผมคาดว่าน่าจะเป็นฝีมือของทหารยศนายสิบ หรือพลทหาร ที่เคลื่อนขบวนลงมาจากทางยกระดับโทลเวย์ เพื่อจะลงมาเสริมกำลังก็เลยทำให้เข้าใจผิดจึงยิงพวกเดียวกันเอง ผมคิดว่าหน่วยพลซุ่มยิงไม่น่าให้ทหารระดับพลทหารใช้อาวุธปืนสไนเปอร์ เนื่องจากยังไม่มีความเชี่ยวชาญเพียงพอ และอายุยังน้อย อีกทั้งพลทหารยังคุมตัวเองไม่อยู่เพราะตกใจ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของการรบที่ต้องมีการสูญเสีย เหตุการณ์เมื่อวันที่ 28 เมษายนที่ผ่านมาหากไม่มีคลิปวิดีโอออกมาก็จะกลายเป็นคนเสื้อแดงที่เป็นผู้ลงมือยิง" พล.ต.ขัตติยะ กล่าว

ที่มา.มติชนออนไลน์
****************************************************************

บิ๊กจิ๋ว"ไม่รอหมาย ไป ศอฉ.30 เม.ย.

พล.ท.เชวงศักดิ์ ทองฉลวย นายทหารคนสนิทพล.อ.ชวลิตเปิดเผยว่า วันที่ 30 เม.ย. เวลา 10.00 น. พล.อ.ชวลิตจะไปยังศอฉ. ที่ราบที่ 11 เพื่อพบกับนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ เนื่องจากทราบว่าจะมีการออกหมายเรียกไปรายงานตัว กรณีมีชื่ออยู่ในแผนผังที่ศอฉ.อ้างว่าเกี่ยวข้องกับขบวนการล้มเจ้า พล.อ.ชวลิตจะไปโดยไม่มีหลักฐานใดๆไปชี้แจง มีแต่ความดีที่ติดตัวไปเท่านั้น การไปศอฉ.ครั้งนี้ไปโดยไม่รอศอฉ.มีหมายเรียก

พล.ท.พิรัช สวามิวัศดุ์ หรือเสธ.หมึก นายทหารคนสนิทพล.อ.ชวลิตให้สัมภาษณ์ว่า "มันพยายามตั้งข้อหาท่านตลอด ขนอาวุธเข้ากรุง เทพฯ ก่อการร้าย กบฏ ตอนนี้มาล้มเจ้า ทุกอย่างทำเป็นขั้นตอน พยายามใส่ร้ายไปเรื่อย"

ผู้สื่อข่าวถามว่าพล.อ.ชวลิตไม่ฟ้องศอฉ. อาจทำให้สังคมสงสัยว่าทำผิดจริงหรือไม่ พล.ท. พิรัชกล่าวว่า ท่านบอกว่าไม่อยากสนใจ สุดท้ายทุกคนจะรู้เอง นอกจากนี้อาจมีทหารบางส่วนที่เคารพนายออกมาปะทะกับทหารอีกพวก จะทำ ให้ปัญหายุ่งขึ้นอีก เราอย่าไปยุ่งกับคนถ่อย เดี่ยวสังคมรู้เอง

เมื่อถามถึงการเผยแพร่ภาพพล.อ.ชวลิตไปร่วมงานกับกลุ่มผู้พัฒนาชาติไทยเพื่อเชื่อมโยง พล.ท.พิรัชกล่าวว่า ไม่มีอะไร กลุ่มพัฒนาชาติไทยที่วางอาวุธทั่วประเทศหวังว่าประเทศไทยจะเป็นประชาธิปไตย แต่พอเกิดเรื่องนี้ มีความ อยุติธรรม เลื่อมล้ำทางสังคมเพิ่มขึ้น อาจจะย้อนกลับไปเรื่องเก่า เขาอยากมาสู้ทางการเมือง แต่พล.อ.ชวลิตเคยมีบุญคุณ เคยช่วยให้ได้ออกมาจากป่า ก็พยายามให้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่นายสุเทพมองเป็นคอมมิวนิสต์ สรุปคือจะหาเรื่อง นายกฯก็เป็นแค่เด็กอมมือ ไม่รู้เรื่องที่ลึกซึ้งแบบนี้

ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา นายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์จุฬาฯ แถลงกรณีมีชื่ออยู่ในเครือข่ายล้มเจ้า ตามแผนผังที่ศอฉ.เผยแพร่ออกมาว่า ตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่า เครือข่ายที่มีพฤติกรรมล้มสถาบันใดๆ และไม่เห็นด้วยว่าจะมีเครือข่ายอะไรในลักษณะเช่นนี้ นอกจากการใส่ร้ายป้ายสีที่ศอฉ.สร้างขึ้นเพื่อทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม ทั้งนี้จะขออำนาจศาลคุ้มครองในกรณีที่อาจจะเกิดภัยจากการถูกใส่ร้าย และจะฟ้องร้องศอฉ.ทั้งทางอาญาและแพ่ง
*******************************************************

ศอฉ.ใช้แผนเดิมรับแดงบุกเอ็นบีที ขอเวลาสอบเหตุทหารตาย "สรรเสริญ"ประชดศพตาถลนไม่เกี่ยวสภาพอากาศ

เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 28 เม.ย. พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ในฐานะโฆษกกองทัพบก พร้อมด้วยนายธาริต เพ็งดิษย์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พล.อ.ต.อานนท์ จารยะพันธ์ ผู้บังคับทหารอากาศดอนเมือง และ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้ช่วยผบ.ตร. ร่วมกันแถลงที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ถึงเหตุการณ์สลายกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงบริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติ ย่านดอนเมือง โดยได้นำลูกกระสุนขนาด 40 มม. ที่ใช้ยิงจากเครื่องยิงระเบิดเอ็ม 79 จำนวน 62 ลูก ซึ่งเจ้าหน้าที่ยึดมาได้จากที่เกิดเหตุมาแสดงด้วย

พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า อาวุธที่เจ้าหน้าที่ยึดมาได้ไม่ใช่อาวุธในการครอบครองของกองทัพ แต่อาวุธประเภทนี้สามารถนำเข้ามาได้บริเวณชายแดน ซึ่งเราก็ต้องระมัดระวังไม่ให้มีการนำเข้ามา

เมื่อถามว่า ในการปราบปรามครั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้ใช้อาวุธจริงและกระสุนจริงหรือไม่ พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจก็มีเลือดมีเนื้อเหมือนกัน และตลอดเวลาที่ผ่านมาเราจะเห็นว่าผู้ชุมนุมมีออาวุธสงคราม จึงเป็นความจำเป็นที่เจ้าหน้าที่จะไม่ยอมให้กลุ่มผู้ชุมนุมได้เข้าใกล้แนวของเจ้าหน้าที่

เมื่อถามว่าได้ตรวจสอบหรือไม่ว่าพลทหารที่เสียชีวิต เสียชีวิตจากสาเหตุอะไร พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า คงต้องตรวจสอบกันก่อน เพราะในพื้นที่มีข้อจำกัดหลายอย่าง ทั้งสภาพดินฟ้าอากาศที่แปรปรวน แต่การที่กระโหลกเปิด ลูกตาถลนออกมาคงไม่ใช่ เพราะสภาพอากาศ ซึ่งเราต้องตรวจสอบอีกครั้ง

เมื่อถามว่า พลทหารถูกยิงจากเจ้าหน้าที่ด้วยกันหรือไม่ พ.อ.สรรเสริญ กล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า “เบื้องต้นยังไม่สามารถสรุปอะไรได้ ต้องให้เจ้าหน้าที่ทำงานก่อน” เมื่อถามว่าจะสลายที่ราชประสงค์หรือไม่ พ.อ.สรรเสริญ กล่าว่า ยังตอบไม่ได้

เมื่อถามว่าแกนนำจะบุกเอ็นบีที ศอฉ. จะดำเนินการตามแนวทางเดิมหรือไม่ พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า ก็จะใช้วิธีการเดิมครับ
ที่มา.มติชนออนไลน์
********************************************************************

สุชาติ เศรษฐมาลินี : ความรุนแรงกับมายาการณ์แห่งอัตลักษณ์

“อัตลักษณ์” (identity) เป็นคำยอดฮิตคำหนึ่งทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากขบวนการเคลื่อนไหวและเติบโตขึ้นของกลุ่มคนต่างๆ ทั่วโลก ที่ถูกกดขี่และไม่ได้รับความยุติธรรมทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้หญิง ผู้ใช้แรงงาน ผู้อพยพ คนผิวสี คนเพศที่สาม กลุ่มชนศาสนิกต่างๆ หรือชนพื้นเมือง เป็นต้น ที่ลุกขึ้นมาประกาศตัวตนและเรียกร้องสิทธิ์และพื้นที่ให้กับตัวเองได้มีที่ยืนในสังคม

“อัตลักษณ์” เป็นคำที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่ในแวดวงวิชาการไทยเพื่อทดแทนคำเดิมที่ใช้กันมานานคือคำว่า “เอกลักษณ์” ที่หมดพลังในการอธิบายความเป็นตัวตนของผู้คน เพราะไม่ว่าสังคมใดก็ตาม ไม่มีใครที่จะนิยามตนเองหรือถูกนิยามจากคนอื่นด้วยลักษณะที่เป็น “เอกะ” หรือ เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ก็คงเหลือแต่กระทรวงวัฒนธรรมไทยเท่านั้นที่พยายามจะยัดเยียดให้ผู้คนในสังคมไทยมีลักษณะที่คับแคบเพียงหนึ่งเดียวคือ “เอกลักษณ์ความเป็นไทย” เพราะในความเป็นจริงคนไทยทุกคนคงมีลักษณะหลายอย่างที่นอกเหนือจากความเป็นไทยในขณะเดียวกัน เช่น เป็นคนเมืองเหนือ เป็นคนชนเผ่านั้นเผ่านี้ที่มีวัฒนธรรมของตนเอง เป็นคนมุสลิมหรือศาสนิกอื่นๆ ที่มีความเชื่อและการปฏิบัติของตนเอง เป็นคนเอเชีย และเป็นอะไรต่ออะไรได้อีกมากมายขึ้นอยู่ว่าเราจะหยิบลักษณะเหล่านั้นมาใช้กับใคร เมื่อไหร่ และอย่างไร ดังนั้น การยัดเยียด “อัตลักษณ์” ให้เหลือเพียง “เอกลักษณ์” นอกจากจะไม่เคยสอดคล้องกับชีวิตจริงของผู้คนแล้ว ประสบการณ์ในที่ต่างๆ ของโลกยังสอนว่า การไม่ยอมรับและเคารพในความหลากหลายของ “อัตลักษณ์” ยังได้นำซึ่งความขัดแย้งและความรุนแรงอยู่เสมอดังเช่น สงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ สงครามระหว่างศาสนาหรือภายในศาสนาเดียวกันที่นับถือต่างนิกาย เป็นต้น ทั้งนี้เนื่องจาก ในนามของ “อัตลักษณ์” ได้มีการวาดภาพความชั่วร้าย ความน่าเกลียดน่ากลัวให้กับผู้อื่นที่ต่างไปจากพวกของตัวเอง และกลายเป็นใบอนุญาตให้เข่นฆ่าผู้คนได้อย่างมากมายโดยไม่มีความรู้สึกรู้สา

อมาตยา เซน นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์สวัสดิการสังคม ปี 1998 ได้ให้ข้อคิดเกี่ยวกับเรื่อง “อัตลักษณ์และความรุนแรง” อันเป็นชื่อหนังสือที่มีชื่อเสียงของท่านไว้ว่า “มันเป็นความโหดร้าย ฉ้อฉล และโง่เขลาเป็นอย่างยิ่งกับการลดทอนอัตลักษณ์พวกเราให้เหลือเพียงหนึ่งเดียว” เซน ได้ยกตัวอย่าง คนงานชาวฮูตูในเมืองหลวงคิกาลีของประเทศราวันดา ที่ถูกผู้ปกครองผลักไสให้พวกเขามองว่าตนเองคือ ชาวฮูตูเพียงเท่านั้น และสนับสนับสนุนให้พวกเขาลงมือเข่นฆ่าชาวตุสซี ในขณะที่ ความเป็นจริง พวกเขาไม่ได้เป็นเพียงชาวฮูตู แต่ยังป็นชาวคิกาลี ชาวราวันดา ชาวอัฟริกัน ผู้ใช้แรงงาน และยังเป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนมนุษย์คนอื่นๆ ทั่วโลก

ความขัดแย้งในสังคมไทยปัจจุบัน อันเนื่องมากจากการชุมนุมของคนเสื้อแดงเพื่อเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภานั้น กำลังก้าวมาถึงจุดการเมืองแห่งอัตลักษณ์ที่กำลังอยู่ในสภาวะการณ์ที่ล่อแหลม และสุ่มเสี่ยงนำพาสังคมไทยไปสู่การฆ่าฟันทำลายล้างชีวิตผู้คนอย่างมากมาย ทั้งนี้เนื่องจากประดิษฐ์กรรมล่าสุดของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ) ที่ออกมากล่าวหาคนเสื้อแดงว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย” ก็ดี หรือ”คนล้มเจ้า” ก็ดี ล้วนคือ การผลักไส กดทับ และลดทอน อัตลักษณ์ของคนเสื้อแดงเหลือเพียง “เอกลักษณ์” ที่คับแคบว่าเป็น “ปีศาจชั่วร้ายคิดล้มล้างสถาบัน” ในขณะที่ คนเสื้อแดงยังเป็นคนเหนือ คนอีสาน คนกรุงเทพฯ คนพุทธ คนคริสต์ คนมุสลิม คน ไทย และที่เหนือสิ่งอื่นใดคือ มีความเป็น “คน” เหมือนกับ คนเสื้อเหลือง ตำรวจ ทหาร หรือคนที่แอบอ้างความจงรักภักดี

รัฐบาลต้องหยุดยัดเยียด “เอกลักษณ์” การก่อการร้ายและล้มล้างเจ้าได้แล้วหากไม่อยากเห็นเมืองไทยจะกลายเป็นประเทศราวันดาแห่งเอเชีย การเรียกร้องของคนเสื้อแดงให้รัฐบาลยุบสภาภายใต้รัฐธรรมนูญที่รองรับอำนาจอย่างแข็งขันของสถาบันฯ จึงไม่เป็นเหตุเป็นผลที่จะบอกว่าคนเสื้อแดงที่มาชุมนุมต้องการล้มล้างเจ้า ข้อกล่าวหาดังกล่าวจึงไม่ใช่อื่นใดนอกจาก เป็นไปตามคำกล่าวดังที่ อมาตยา เซน ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่า “มันเป็นความโหดร้าย ฉ้อฉล และโง่เขลาเป็นอย่างยิ่งกับการลดทอนอัตลักษณ์พวกเราให้เหลือเพียงหนึ่งเดียว” ไม่ว่าคนเสื้อแดงหรือเจ้าหน้าที่ ไม่สมควรตายจากการต่อสู้เรียกร้องทางการเมืองตามวิถีทางประชาธิปไตย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากการถูกยัดเยียดให้เป็นปีศาจและคนอื่นในบ้านตัวเอง

สุดท้ายขอฝากข้อคิดจากคัมภีร์อัล-กุรอ่าน ที่ศาสนาอิสลามสอนไว้ว่า “แท้จริง หากผู้ใดฆ่าชีวิตหนึ่งเท่ากับเขาได้ฆ่าชีวิตมนุษย์ทั้งโลก และหากผู้ใดรักษาชีวิตมนุษย์ แม้เพียงคนเดียว ก็เท่ากับเขาได้รักษาชีวิตมนุษย์ทั้งโลก”
โดย.สุชาติ เศรษฐมาลินี
ที่มา.ประชาไท
------------------------------------------------------------------

นปช.เตรียมร้องเรียนอียูขอความยุติธรรมจากนานาชาติ หลากสีหยุดชุมนุมรอดูสถานการณ์

นปช.มอบหมาย "เหวง-จรัล" ร้องเรียน สนง.สหภาพยุโรปประจำประเทศไทยวันนี้ (29 เม.ย.) ด้าน "ขวัญชัย" เผยนาทีชีวิตหน้าอนุสรณ์สถาน "เฉลิม" โทรบอกมีสไนเปอร์ส่อง "หมอตุลย์" ประกาศยุติการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อหลากสีอย่างไม่มีกำหนด

เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 53 ที่ผ่านมา นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) แถลงข่าวภายหลังเกิดเหตุปะทะระหว่างกลุ่มเสื้อแดงและทหาร บริเวณอนุสรณ์สถาน ว่า ในวันพรุ่งนี้ (29 เม.ย.) เวลา 11.00 น. ได้มอบหมายให้นพ.เหวง โตจิราการ และ นายจรัล ดิษฐาอภิชัย แกนนำนปช. ไปที่สำนักงานของสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย (อียู) เพื่อให้รับทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ เพราะเราเห็นว่าถ้าประเทศไทยไม่มีความยุติธรรมให้เราก็ต้องขอจากต่างประเทศ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างการแถลงข่าว แกนนำแดงได้นำชายคนหนึ่งมาร่วมแถลงข่าวด้วย ซึ่งชายคนดังกล่าวสวมเสื้อโปโลสีเขียว ซึ่งนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำนปช.กล่าวว่า การ์ด นปช.สามารถจับทหารที่ปลอมตัวเข้ามาได้ ซึ่งมีท่าทางพิรุธอยู่บริเวณหลังเวที โดยภารกิจที่ได้รับมอบหมาย คือ จะเข้ามาปลิดชีวิตแกนนำนปช. ค้นตัวพบบัตรระบุชื่อ พลทหารภัทรกร เนตรมานุรักษ์ สังกัดมณฑลทหารบกที่14

จากนั้น แกนนำ นปช.ได้ขอให้ชายคนดังกล่าวเปิดเผยถึงภารกิจที่ได้รับมอบหมายมา แต่ปรากฏว่าชายคนนี้พูดไม่รู้เรื่อง คล้ายกับคนมีอาการทางประสาท จนทำให้นายณัฐวุฒิกล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า "ถ้าจะบ้าก็บ้าให้จริง จะได้ส่งตัวไปที่โรงพยาบาล เพราะระหว่างสอบสวน การ์ดนปช.บอกมาว่าคุณยังพูดจารู้เรื่อง"

"ขวัญชัย" เผยนาทีชีวิตหน้าอนุสรณ์สถาน "เฉลิม" โทรบอกมีสไนเปอร์ส่อง
ด้านนายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) เดินทางถึงขึ้นเวทีราชประสงค์แล้ว พร้อมนำผู้บาดเจ็บเกือบ 20 คนมาปรากฎตัวหลังเวที ทั้งนี้ นายขวัญชัย กล่าวว่า พรุ่งนี้(29 เม.ย.) จะขอมติแกนนำเพื่อไปสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที เพื่อถาม ผอ.สถานีว่าทำไมจึงด่า นปช. เช้าเย็น

นายขวัญชัย กล่าวว่า ขณะที่อยู่บนรถ 6 ล้อ ซึ่งใช้เป็นรถปราศรัย เมื่อมาถึงดอนเมือง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานส.ส.พรรคเพื่อไทย โทรศัพท์มาบอกว่า มีคนใช้ปืนสไนเปอร์ส่องมาที่ตนจะเอาชีวิต เลยย้ายจากยืนบนหลังรถเข้ามาอยู่ในตัวรถ และเปลี่ยนเสื้อจากสีขาวมาเป็นสีดำ ขึ้นรถตู้ออกจากพื้นที่ แล้วต่อแท็กซี่กลับมายังราชประสงค์ ที่รอดมาได้

หลากสีหยุดชุมนุมรอดูสถานการณ์
เมื่อเวลา 16.00 น. กลุ่มคนเสื้อหลากสี ได้เริ่มทยอยเดินทางมาชุมนุมบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ที่มีการนัดหมายชุมนุมกันวันนี้ ประมาณ 300 คน ซึ่งไม่มากเหมือนทุกวันที่ผ่านมา เนื่องจากแต่มีฝนตกลงมาอย่างหนัก ทำให้ผู้ชุมนุมต่างหากที่หลบฝน ขณะที่กิจกรรมก็ยังไม่มีการเริ่มกิจกรรมใด ๆ มีเพียงรถเครื่องขยายเสียงที่เปิดเพลงปลุกใจ และต่อมาในเวลา 17.15 น. นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ เดินทางมาถึง และได้กล่าวกับผู้ชุมนุมโดยไม่ได้ขึ้นกล่าวบนรถเครื่องขยายเสียงโดยกล่าวว่า สถานการณ์ที่เกิดวันนี้ เป็นที่ยืนยันชัดเจนแน่นอนว่าการชุมนุมไม่ได้เป็นการชุมนุมแบบปกติ แต่มีการใช้อาวุธกับทหาร ถือเป็นผู้ก่อการร้าย ทั้งนี้ยืนยันว่าเราจะสู้ต่อจนกว่าบ้านเมืองจะได้รับความสงบและสันติสุข แต่ขณะนี้ บ้านเมืองเข้าสู่ภาวะสงครามเราต้องรักษาชีวิตไว้ หากเกิดมีการเรียกมาชุมนุมอีกก็ขอให้พี่น้องเตรียมพร้อมไว้ โดยติดตามข้อมูลข่าวสารจากทางทวิตเตอร์และเฟคบุ๊ค จากนั้น นพ.ตุลย์ ได้นำผู้ชุมนุมร้องเพลงชาติ เพลงสรรเสริญพระบารมี จากนั้นเดินทางกลับในทันที โดยมีการ์ดวิ่งตามประกบไปยังรถที่จอดไว้อยู่ใต้ทางด่วน

นพ.ตุลย์ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวเพียงสั้น ๆ ว่า ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป จะงดการชุมนุมไปจนกว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดย การตัดสินใจครั้งนี้ไม่ได้รับการร้องขอจากฝ่ายใด แต่เป็นการตัดสินใจของตนในฐานะเป็นผู้นำที่ต้องรักษาชีวิตของผู้ชุมนุม จากนั้นแกนนำประกาศให้ผู้ชุมนุมสลายตัวแยกย้ายกลับบ้านในเวลา 17.25 น.

ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก: มติชนออนไลน์, เว็บไซต์ไทยรัฐ, เนชั่นทันข่าว
********************************************************

เกลียดร่วมนั้นรุนแรง??

เกลียดร่วมนั้นรุนแรง??
การชุมนุมหรือมั่วสุมกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป ที่เข้าลักษณะตาม (1)-(4) ของประกาศศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน เรื่องห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุมเป็นเรื่องผิดกฏหมายแม้การกำหนดพฤติการณ์ต่างๆ จะขัดกับหลักสิทธิมนุษยชนซึ่งไม่ควรกระทำ แต่เมื่อมีอำนาจตรามกฎหมายก็ทำกันไปแต่การดำเนินการของฟากฝ่ายต่างๆ นั้น ไม่ว่าฝ่ายต่อต้าน หรือฝ่ายชะเลียร์ ที่เข้าข่ายผิดกฏหมายต้องไม่เลือกปฎิบัติอาจจะสร้างอาณาจักรแห่งความกลัวขึ้นในประเทศได้แต่อย่าสร้างอาณาจักรแห่งความเกลียดเป็นอันขาดเกลียดร่วมนั้น อานุภาพมันรุนแรงยิ่งกว่านิวเคลียหลายร้อยเท่า??อยู่ด้วยความรัก ดีกว่าถูกทำลายล้างด้วยความเกลียด ไม่ดีกว่าหรือ??
.....................................................................................
ทางออกของประเทศ??
ก.ก.ต.ส่งเรื่องยุบพรรคประชาธิปัตย์ให้ศาลรัฐธรรมนูญเรียบร้อยแล้วเหลือก็แต่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาพิพากษาเท่านั้นไหนก็ไหนๆ วานประธานศาลรัฐธรรมนูญ ชัช ชลวร ช่วยสงเคราะห์ทีเร่งรีบพิจารณาเรื่องให้เร็วๆ หน่อยถูกก็ว่ากันไป!!ผิดถ้าจะยุบพรรคก็ให้รีบทำอะไรๆ จะได้สะเด็ดน้ำกันเสียทีนี่อาจเป็นทางออกของประเทศไทยได้เหมือนกันนะ??
...................................................................................
มันอะไรกันนักกันหนา??
ตำรวจไล่จับคนยิงหนังสติ๊กเข้าไปยังกลุ่มคนเสื้อแดงที่แยกศาลาแดงแล้ววิ่งเข้าไปในกลุ่มทหารผลปรากฏถูกทหารเอาปืนจ่อหัวห้ามไม่ให้เข้าไปจับถ้าเป็นตำรวจสายสืบนอกเครื่องแบบโดนแบบนั้นก็อาจเป็นการเข้าใจผิดกันได้แต่นี่แต่งเครื่องแบบพันตำรวจโทอยู่ทนโท่ ยังทำได้ชาวบ้านเขาสงสัย หรือว่าพวกนั้นจะเป็นผู้ก่อการดี??ไม่แก้ไม่แถลงให้กระจ่าง ระวังเขาเหมาเข่งได้ว่า เหตุที่เกิดขึ้นทั้งหมดอาจฝีมือผู้ก่อการดีแบบนี้ก็ได้เอ้า!! พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเหนิด ออกมาชี้แจงแถลงไขให้ชัดๆ ไอ้ที่บอกว่าทำความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้วนั้น คงไม่พอแน่??
......................................................................................
กรณ์ เฟชบุ๊ค??
ช่วงนี้คงได้คะแนนจาก “มาร์คไขสือ” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไม่ใช่น้อยเพราะแม้ กรณ์ จาติกวนิช จะไม่ได้นั่งร่วมในที่ประชุม ศอฉ. แต่ก็ออกมาเจ๊าะแจ๊ะทางอินเตอร์เน็ตให้ “มาร์ค” ใจชื้นขึ้นได้เหมือนกันล่าสุดก็ออกข่าว ชาวเฟชบุ๊ค สี่แสนคนไม่เห็นด้วยกับการยุบสภาบ่ายสองวันที่ 2 เดือนหน้า ข่าวว่าจะไปรวมตัวกันที่เชิงสะพานพระราม 8 ฝั่งธนก็ว่ากันไปเพราะประเทศไทยล้วนของพวกเราทุกคน หนึ่งคนหนึ่งเสียงเหมือนกันหมด ถ้าให้ดีไปนับหัวกันในคูหาเลือกตั้งไม่ดีกว่าหรือ??
.......................................................................................
เหรียญสองด้าน
ได้อย่างก็ต้องเสียอย่างแต่อะไรที่เสียน้อยที่สุดน่าเป็นทางเลือกทู่ซี้อยู่เป็นรัฐบาลต่อไป การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงไม่จบ รัฐบาลก็ต้องอพยพไปประชุมตามที่ต่างๆ ไปเรื่อยๆ เสียงบประมาณในการดูแลป้องกัมหาศาล ประชาชนแตกแยกออกเป็นหมู่เหล่าจนอาจยากที่จะแก้ไขเยียวยา หากขอพื้นที่คืนก็จุดไฟเผาเมืองดีๆ นี่เองยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน รัฐเสียงบประมาณในการจัดการเลือกตั้งใหม่ ประชาธิปัตย์อาจไม่ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล“มาร์คไขสือ” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เลือกให้ดีๆ ก็แล้วกัน อนาคตของประเทศไทยอยู่ในมือท่านแล้ว!!

คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยใต้ฟ้า
ที่มา.บางกอกทูเดย์
****************************************************************

แม้ว ซินาตร้า

นัวเนียนุงนัง..ถ้าเปิดดวงของ ทักษิณ ชินวัตร ดูมันคงจะพุ่งปรู๊ดปร๊าดหัวทิ่มหัวตำเหมือน“ผีพุ่งใต้”ฉวัดเฉวียนเวียนหัวน่าดูคนอะไรเกิดที่ “ภาคเหนือ”แต่ดันมีชื่อเป็น “ภาคใต้”!!เส้นทางของ “ทักษิณ” เหมือน “แฟรงค์ ซินาตร้า” จึงได้เอาไปเปรียบเทียบกันมันคือความเหมือนที่แตกต่าง “แฟรงค์” คือเจ้าของ เพลง มายเวย์..ในขณะที่ “ทักษิณ” ชอบเพลง เรือนแพ (มันเหมือนกันตรงไหนวะเนี่ย) “แฟรงค์” โดดเข้าสู่ วงการบันเทิงเต็มรูปแบบ!!..ในขณะที่ “แม้ว”ก็กระโจนสู่เส้นทางการเมืองแบบเต็มตัว!!เพราะเล่นการเมืองแบบทุ่มสุดๆ..จึงโดน “กับดัก”ทางการเมืองอย่างที่ดิ้นไม่หลุดข้อหาที่ “ฆ่า” นักการเมืองอย่างง่ายๆคือ

คือ “คอร์รัปชั่น”กับ “ล้มสถาบัน”..เพราะเมื่อคิดอะไรยังไม่ออกก็เล่นสองอย่างนี้เป็นหลักไปก่อน “ทักษิณ”โดนเต็ม “สองกระบอกสูบ”...จากนั้นข้อปลีกย่อยจึงได้ทยอยตามมาไม่ว่าจะเป็นการปล่อยข่าวว่าเป็น “มะเร็ง” โรคร้ายที่จะต้องตายก่อนหมดอายุขัย เพราะผมจะต้องร่วงด้วยการทำ“คีโม”แม้ว ก็ต้องสาธิตวิธีการดึงเส้นผมให้ดู??หรือ..บอกว่า “ต่อมลูกหมาก”ไปไม่รอดแล้ว..ตรงนี้ “แม้ว”โชว์ได้แค่ “สปอร์ตเตอร์เบอร์4”เหมือนจะบอกว่าเป็นแค่ “ไส้เลื่อน”โว้ย!!ล่าสุด..

รัฐบาลเล่นแรงถึงขนาดปล่อยข่าวว่า ทักษิณ ชินวัตร เดดสะมอเร่..เพราะมั่นใจว่า “ทักษิณตาย”การชุมนุมของ “คนเสื้อแดง” ก็จะต้องจบไปโดยปริยาย
แต่..หารู้ไม่ว่า “เสื้อแดง” ไม่ใช่แค่ก้าวข้าม ทักษิณไปเท่านั้น..แต่ถึงขนาด “โดดค้ำถ่อ”ผ่านเลย จุดสปั๊ดซั่ม แบบกู่ไม่กลับไปแล้วจนในที่สุด “แม้ว ซินาตร้า”ก็โผล่ออกมาโชว์ตัวตามคำเรียกร้องของรัฐบาลแถมฮัมเพลง “ยัง..ยังฉันยังไม่ตาย ยังเยี่ยวได้สบายและยิ้มได้เต็มหน้า”
คอลัมน์.ก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย
ที่มา.บางกอกทูเดย์
*************************************************************************

ใครล้มเจ้า?

ไม่น่าเชื่อว่า...ประเทศไทยจะมีผู้ปกครองที่โง่เง่ามัวเมาในอำนาจ!ถึงขนาดมองประชาชนผู้เลือกตั้งเข้ามาเป็นศัตรูที่ต้อง “เข่นฆ่า” ทำลายให้ย่อยยับด้วยการยกกำลังกองทัพเกือบทั้งหมดพร้อมอาวุธครบมือมาประจันหน้าไม่น่าเชื่อว่า...ประเทศไทยจะมีผู้นำที่มีการศึกษาดี พูดจาดูดี จะกล้าใส่ร้ายประชาชนด้วยข้อหา “ผู้ก่อการร้าย” ทั้งที่ประชาชนเหล่านั้นมีแค่สองมือเปล่า และอาวุธภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น ไม้ไผ่ บ้องไฟ หมามุ่ย พริกป่น หรือแม้แต่ อุจจาระไม่น่าเชื่อว่า...ผู้

นำประเทศไทยที่บัญชาการอยู่ในศูนย์อำนวยการสถานการณ์ฉุกเฉิน ทั้งนักการเมือง นักการทหาร ข้าราชการพลเรือน จะบังอาจตั้งข้อหากับพสกนิกรของ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” เพียงเพราะเขาเห็นไม่ตรงกับรัฐบาลด้วยข้อหา “ล้มเจ้า” ด้วยจินตนาการฝันเฟื่องใน “มายน์แม็ป” ว่าคนนั้นคนนี้คือเครือข่ายผู้ล้มล้างสถาบัน!ไม่น่าเชื่อว่า...ผู้นำประเทศนี้จะกล้านำวิธีการของประเทศ “รวันดา” ในแอฟริกาที่เกิดสงครามกลางเมือง “ล้างเผ่าพันธุ์” มาใช้กับ

ประเทศไทยด้วยการปิดสื่อสารมวลชนเกือบทุกประเภทปิดหู...ปิดตาประชาชนทั่วไปให้ได้รับข่าวสารเพียงด้านเดียวจากรัฐบาลที่ระดมสื่อทั้งวิทยุโทรทัศน์จัดรายการเช้ายันดึกอย่างหน้ามืดตามัวใส่ร้ายประชาชน แบ่งแยกประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลให้เป็นศัตรู...ปลุกระดมประชาชนอีกฟากให้ขึ้นมา “ประหัตประหาร” คนไทยด้วยกันเอง...ด้วยข้อหาเลื่อนลอยว่าจะ “ล้มล้างสถาบัน”ทั้งๆ ที่ประชาชนเหล่านั้นเขามา “มือเปล่า” มาบอกรัฐบาลด้วยความปรารถนาดีว่า...

ที่มาของคุณไม่ถูกต้อง รัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่ไม่ถูกต้อง กระบวนการยุติธรรมที่เป็นอยู่ไม่ยุติธรรม ให้แก้ไข!แต่รัฐบาลนี้กลับมองไม่เห็นความปรารถนาดีนั้น...ตรงกันข้ามกลับมองเห็นประชาชนเป็นศัตรูที่ต้องปราบปรามจึงระดมสรรพกำลังทุกอย่างมากำจัด ทั้งที่รายชื่อหลายคนที่รัฐบาลเปิดออกมาเป็นคนที่เคยทำหน้าที่ปกปักรักษาสถาบันด้วยชีวิตมาแล้วมากมายการกระทำของรัฐบาลนี้และลิ่วล้อจึงทำให้สงสัยว่าใครกันแน่ที่ไม่จงรักภักดี...ทั้งที่ผู้เขียนเองไม่เคยเชื่อมาแต่ไหน

แต่ไรเลยว่าคนไทยคนไหนจะไม่จงรักภักดี ไม่ว่ารัฐบาลนี้หรือผู้ชุมนุมเพราะทุกคนคือคนไทยที่อยู่ใต้พระบารมี อยู่ใต้พระบรมโพธิสมภาร เดินตามรอยเบื้องพระยุคลบาทตลอดมา มีความสุขที่ได้ชื่นชมพระบารมีในวโรกาสต่างๆตลอดมารัฐบาลคิดผิด คิดใหม่เถอะครับ ไม่มีคนไทยคนไหนคิดล้มเจ้าหรอกครับ...อย่าบ้ากันนักเลย!
คอลัมน์. ปัญหาโลกแตกคนเมือง
ที่มา.บางกอกทูเดย์
***************************************************

“คนจรหมอนหมิ่น”

๐จบทุกอย่างวันนี้ ก็จะได้เริ่มต้นทุกอย่างในวันพรุ่งนี้ หนังสือพิมพ์รายวัน บางกอก ทูเดย์ ยึดมั่น “ความจริงต้องมาก่อน” คนละความหมายกับ “ประชาชนต้องมาก่อน” ของประชาธิปัตย์!! ประจำวันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน2553....“กุหลาบพิษ” รายงานข่าวสังคม BANGKOK GOSSIP.......

๐ เป็นถึงนายกรัฐมนตรี แต่ วันนี้ อภิสิทธิ์ เชชาชีวะ ต้องมีสภาพเหมือน “คนจรหมอนหมิ่น” กว่าครึ่งเดือนที่ต้องนอนในบ้านรับรอง ราบ 11 รอ. เพราะคำว่า “เพาเวอร์เพลย์” คำเดียว??.....

๐ คืนวันที่ 26 ที่ผ่านมา “มาร์คอภิสิทธิ์” คิดถึงบ้านจนทนไม่ไหว ตัดสินใจหอบหมอนไปนอนบ้านสุขุมวิท แล้วตื่นก่อนไก่โห่ (07.20น.) กลับไป “ตั้งหลัก” ที่ ราบ 11 รอ. เพื่อเคลียร์งานใน ศอฉ. กับ สุเทพ เทือกสุบรรณ เหมือนเดิม......

๐ ความลับไม่มีในโลก? สองวันก่อน อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีปัญหาปีนเกลียว (อย่างรุนแรง) กับ เชน เทือกสุบรรณ (น้องเทพเทือก) ถึงขั้นเกิด “วิวาทะเล็กๆ” จนหลายคนอดคิดไม่ได้ว่า มันน่าจะเป็น “สงครามตัวแทน”หรือเปล่า??......

๐ เชน เทือกสุบรรณ ให้นายกรัฐมนตรีกลับไปทำงานที่ “ทำเนียบรัฐบาล” เพราะถือเป็น “สัญลักษณ์ของอำนาจรัฐ” และเหตุใดรัฐบาลจึงไม่ดำเนินการกับผู้ชุมนุมให้เด็ดขาด?? "หากนายกฯ ทำไม่ได้ก็ให้ลาออก เพื่อให้คนอื่นเข้ามาทำหน้าที่แทน" แรงแต่ก็... “มาร์คทนได้”??......

๐ ถามกันว่า ถึงวันนี้ ระหว่าง มาร์คอภิสิทธิ์ กับ เทพเทือก ใครมีอำนาจ (ที่แท้จริง)มากกว่ากัน??? ตอบ!! (โดยไม่ต้องลังเล) น่าจะเป็น สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่มีทั้งทหารและพรรคร่วมเป็นแนวร่วมอย่างแน่นหนา!!......

๐ ตื่นเต้นกันใหญ่ เมื่อ “สื่อผู้ดีชี้ทางออกไทย” แต่ “กุหลาบพิษ” เชื่อในทฤษฎีการเมืองไทย เว็บไซต์หนังสือพิมพ์เดอะไทมส์ สื่อสิ่งพิมพ์ชั้นนำของอังกฤษ ทำไปก็ไม่ได้ผล?? เพราะสถานการณ์แตกแยกทางความคิดของเมืองไทยวันนี้ มันไปใกลเกินกว่าจะประสานกันเป็นเนื้อเดียว??.....

๐บทบรรณาธิการเรื่อง "Red Mist" หรือ "หมอกสีแดง" เมื่อ26 เม.ย.ของ เว็บไซต์เดอะไทมส์ เน้นให้เห็นนักท่องเที่ยวอังกฤษที่มาท่องเที่ยวประเทศไทย หายไป 800,000 คนต่อปี ส่งผลสะเทือนไปถึงความมั่นคงในภูมิภาค......

๐ แต่ “กุหลาบพิษ” เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ!! สถานการณ์เมืองไทยวันนี้ ประดาสื่อทั้งหลายวิจารณ์ได้!! แต่ไม่มีผลให้รัฐบาลมาร์คทำตาม หรือคิดตาม อย่างเก่ง มาร์คอภิสิทธิ์ ก็จะสปีคภาษาอังกฤษกับ สำนักข่าวทั่วโลก สั้นๆ พอเข้าใจ!! “ThanK you นะพรรคพวกที่อุตส่าห์เตือน”.......

๐ “เดอะไทมส์” ระบุ ถึงเวลาที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องยอมรับ!! ว่า กลายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา ต้องลงจากอำนาจทันที... การสละอำนาจไม่ได้หมายความว่าทำตามคำสั่งกลุ่มคนเสื้อแดง แต่เพื่อเปิดทางให้มีการเลือกตั้งครั้งใหม่อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี!! ที่นี่ THAILAND ประเทศไทย ไม่ใช่ ENGLAND!! โอเคนะ “เดอะไทม์”!!......

๐ นักการเมืองไทยโปรดรับทราบข่าวนี้ แล้วตัดความอับอายทิ้งไปเสีย!! ข่าวจากพม่าที่ไม่เคยสัมผัสการเลือกตั้งมานาน วันนี้ รัฐมนตรีในรัฐบาลเผด็จการทหารพม่าอย่างน้อย 20 คน รวมทั้งนายกรัฐมนตรี พลเอกเต็ง เส่ง จะลาออกจากกองทัพในสัปดาห์นี้ เพื่อเป็นนักการเมืองพลเรือนก่อนที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไปในปีนี้ แต่ ออง ซาน ซูจี ยังไม่พร้อม?? ไม่ขอลงแข่งปีนี้!!......๐
คอลัมน์.บางกอกกอสซิบกุหลาบพิษ
ที่มา.บางกอกทูเดย์
***************************************************

เกียร์ว่าง

“และการที่พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ได้ทำตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี ที่ได้สั่งให้กระทำ โดยที่มิได้ยับยั้งการกระทำที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชน ตามวิสัยของข้าราชการตำรวจที่มีหน้าที่พิทักษ์สันติราษฏร์ จนเกิดความเสียหายดังกล่าว การกระทำหรือละเว้นการกระทำ ของพล

ตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานกระทำการอันได้ชื่อว่า เป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง และฐานละเว้นการกระทำใดๆ อันเป็นเหตุให้เสียหายอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 มาตรา 79(5)(6) และมีมูลความผิดทางอาญาฐาน เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 157”

ตำรวจเกียร์ว่าง7 ตุลาคม 2551...วันที่ผู้รักษากฏหมายต้องกลายเป็นผู้ต้องหา..และดูเหมือนว่า นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน..ได้..เร่งรัดและกล่าวหาว่า..พรรคประชาธิปัตย์เห็นว่าเหตุการดังกล่าวเกิดขึ้นจากการสั่งการและปฏิบัติการรุนแรงเกินกว่าเหตุ ตั้งแต่ช่วงเช้าจนถึงยามวิกาล ในที่สุดนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ ได้ขอให้..สอบสวนเอาความผิดเพื่อลงโทษผู้กระทำผิดต่อไป...จาก 7 ตุลาคม 2551...จนถึง 10 เมษายน 2553...ต่าง

กันแต่ว่า..มีความสูญเสียมากขึ้นทั้งชีวิตและทรัพย์สินของทางราชการ..วันที่ 7 ตุลาคม..ม็อบเดินทางจากที่ตั้งไปปิดล้อมรัฐสภา..เพื่อขัดขวางการแถลงนโยบาย..แต่ 10 เมษายน 2553 ผู้รับคำสั่งจากรัฐบาล..เดินทางออกไปหาม็อบ..มีความแตกต่างกันทั้งในรูปแบบและเนื้อหา..ไม่เหมือนกันในพฤติกรรมที่ปราศจากรัฐธรรมนูญรองรับกับมีรัฐธรรมนูญรองรับ..รูปแบบของการใช้แก๊สน้ำตาที่เหมือนกันแต่ต่างกันที่รถถังยานหุ้มเกราะและปืนกลประจำกาย..ทำถูกก็ผิด

ได้..แล้ววันนี้จะให้ตำรวจ..ไปตายกับติดคุกหรือถูกไล่ออก...อภิสิทธ์ เวชชาชีวะ...วานไตร่ตรอง..ท่านเองมิใช่หรือที่..เป็นตัวตั้งตัวตีให้เอาผิดกับตำรวจเมื่อ 7 ตุลาคม 51...ตำรวจกับทหารก็เหมือนกัน..เขามีหน้าที่..เข่นฆ่าไล่จับผู้ร้าย..และปกป้องคุ้มครองราชอาณาจักรและประชาชน..จะให้เขา..ใส่เกียร์เดินหน้า.ฆ่าประชาชนคนมือเปล่า..เขาถึงต้องใส่เกียร์ว่าง..ที่ต้องระวังเขาจะใส่เกียร์ถอยหลัง..คนสั่งจะไปติดคุกยกรังกันเปล่าๆ
โดย.พญาไม้ทูเดย์พญาไม้
ที่มา.บางกอกทูเดย์
******************************************************

วันพุธที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2553

รอยเตอร์แฉ มั่ว!

ศอฉ.สืบหาหลักฐานดังกล่าวมาได้อย่างไร หลักฐานเหล่านั้นจะถูกนำเสนอต่อสาธารณะหรือไม่ หรือว่าหลักฐานเหล่านั้นจะถูกจัดวางให้อยู่นอกเหนือจากการรับรู้ของผู้คนที่ตั้งคำถามต่อความสัตย์จริงของมัน นี่คือคำถามและปฏิกริยาที่เกิดขึ้น ซึ่งนายอภิสิทธิ์ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสดับรับฟัง เพราะนี่เป็นมุมมองอิสระของสื่อต่างชาติ ที่มีการเผยแพร่ออกไปทั่วโลกถือว่าเกี่ยวพันกับภาพลักษณ์ของรัฐบาลไทยโดยตรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงต้องถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีนายอภิสิทธิ์ ไม่ควรที่จะเพิกเฉย

ความน่าเชื่อถือ อยู่ที่ข้อเท็จจริงและการกระทำที่แสดงออกมา ไม่ใช่เพียงแค่คำพูด หรือการใช้วาทะที่สวยหรูหรือฟังแล้วดูดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่สังคมตกอยู่ในภาวะของการแตกต่างทางความคิดอย่างมากเช่นในขณะนี้ แต่ละกลุ่มแต่ละฝ่ายไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเสื้อสีอะไรก็ตาม หรือแม้แต่กระทั่งเจ้าหน้าที่ของรัฐ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลล้วนมีหน้าที่ในการที่จะต้องนำเสนอข้อเท็จจริงและเหตุผลที่เป็นความจริงเท่านั้น จึงจะช่วยผ่อนคลายโอกาสเสี่ยงใน

การเกิดวิกฤติได้ ที่สำคัญหากทุกฝ่ายพูดแต่ความเป็นจริง นำเสนอแต่ข้อมูลที่เป็นจริง โอกาสที่จะก่อให้เกิดการเจรจาเพื่อได้ข้อยุติที่จะหยุดวิกฤติของบ้านเมืองก็จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอนขณะเดียวกันหากให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่เสมอภาคกันของทุกกลุ่มทุกฝ่าย ไม่มีการปิดกั้นใดๆ ทั้งสิ้นไม่ว่าข้อมูลจากกลุ่มใดก็ตาม ประชาชนก็จะได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนมากเพียงพอที่จะวิเคราะห์ตัดสินใจได้มาถึงวันนี้ หากยิ่งปิดๆ บังๆ หรือมีการปิดกั้นก็จะยิ่งเหมือนการยั่วยุ

แล้วปัญหาก็จะไม่จบอย่างแน่นอนดังนั้น นี่คือ หัวใจหลักที่คงต้องสะกิดเตือนให้รัฐบาลตระหนักถึงความจริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการหยุดปิดกั้นสื่อที่จะกลายเป็นเหมือนยิ่งว่ายิ่งยุและการถูกต้องครบถ้วนของข้อมูลที่จะเปิดเผยออกมา ไม่ว่าจะในนามของรัฐบาล หรือในนามของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)จะต้องถูกต้อง แม่นยำ และเป็นข้อเท็จจริงเท่านั้น จึงจะเกิดผลดีทั้งต่อการยอมรับ และต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อนาย

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นผู้กุมกลไกอำนาจบริหารสูงสุดในขณะนี้นายอภิสิทธิ์ ในวันนี้ต้องการภาพความสง่างามที่เป็นความจริงเท่านั้น จึงจะสามารถฝ่าวิกฤติในรอบนี้ไปได้ และยืนหยัดบนถนนการเมืองได้อีกยาวนาน เพราะเป็นผู้ที่มีความพร้อมทั้งชาติตระกูล อายุ การศึกษา และหน้าตาจึงไม่ควรที่จะมาพลาดพลั้งสะดุดขาตัวเองจนตกเวทีการเมืองไปเร็วกว่าที่ควรจะเป็นดังนั้น วันนี้นายอภิสิทธิ์ จะต้องมีการตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ของ ศอฉ. ให้รอบคอบถี่

ถ้วนก่อนที่จะให้มีการแถลง หรือมีการนำเสนอต่อสังคมอย่างกรณีเผือกร้อนล่าสุด คือ การเปิดเผยแผนผัง “เครือข่ายล้มสถาบัน” ของ ศอฉ.ที่เผยแพร่ออกมานั้น แม้ว่าในมุมมองของ ศอฉ. อาจจะถือว่าเป็นประเด็นแรง ที่สามารถกระชากเรตติ้งของ ศอฉ. ได้เป็นอย่างดีเพราะสำหรับประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นในอดีตหรือแม้แต่ในวินาทีนี้ คนไทยทุกคนไม่ว่าเชื่อชาติใด ใส่เสื้อสีใด ภายใต้ร่มเงาพระบรมโพธิสมภารแล้ว เรื่องของความจงรักภักดีสูงสุดต่อสถาบันแล้ว ไม่มีใคร

ยอมใคร ไม่มีใครเทิดทูนหรือจงรักภักดีน้อยกว่าใครอย่างแน่นอนดังนั้น การที่ ศอฉ. มองในแง่บวกด้านเดียวในการที่จะสร้างเรตติ้งเพื่อวัตถุประสงค์ใดก็ตาม ถือว่าเป็นการที่สุ่มเสี่ยงและหมิ่นเหม่เป็นอย่างมากหากข้อมูลที่เปิดเผยออกมานั้นมีจุดอ่อนแถมในกรณีนี้เป็นจุดอ่อนที่น่าเป็นกังวลเป็นอย่างยิ่ง เพราะแม้แต่บรรดาสื่อต่างชาติ ยังมีการตั้งคำถามเรื่องรายชื่อ “เครือข่ายล้มเจ้า” เลยว่า จริงๆ แล้วมีวัตถุประสงค์อะไรกันแน่เพราะดูแล้วมีแนวโน้มและความเป็นไปได้อย่าง

มากในการที่อาจจะนำไปสู่การปราบปรามคนเสื้อแดง อย่างสำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานชัดเจนว่า ในขณะที่ทางตันของวิกฤติการณ์การเมืองในประเทศไทยกำลังไร้ทางออกมากยิ่งขึ้น รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็เริ่มกล่าวโทษแกนนำของกลุ่มคนเสื้อแดงบางส่วนว่า ต้องการล้มล้างสถาบัน แต่กลุ่มคนเสื้อแดงได้ปฏิเสธข้อหาดังกล่าวโดยผู้นำกลุ่มคนเสื้อแดงมักจะแสดงว่าตนเองมีความจงรักภักดีต่อสถาบัน อย่างไรก็ตาม พวกเขาได้กล่าวโทษองคมนตรีบางคนว่า

เข้ามาแทรกแซงการเมืองและมีส่วนในการก่อรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เพื่อโค่นล้มรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรนักวิเคราะห์บางคนเห็นว่าการกล่าวโทษแกนนำเสื้อแดงด้วยข้อหาหมิ่นสถาบัน ถือเป็นความพยายามในการแสวงหาแรงสนับสนุนจากสาธารณชนที่จะอนุญาตให้เกิดการสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงอย่างรุนแรง คล้ายคลึงกับการกล่าวโทษและปราบปรามขบวนการนักศึกษาในช่วงปี 2516-2519นี่คือ รายงานข่าวของรอยเตอร์ขณะเดียวกันที่เว็บ

ล็อกนวมณฑลของมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย ก็ได้มีการอ้างอิงข่าวจากเว็บไซต์มติชนออนไลน์ที่ระบุว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) กล่าวถึงการดำเนินการกับบุคคลที่มีชื่อปรากฏในเอกสารโครงข่ายล้มสถาบันที่จัดทำโดยศอฉ. ว่า จะดำเนินการตามกฎหมายทุกอย่าง ถ้าใครที่มีพยานหลักฐานเพียงพอ ก็จะออกหมายจับกุมตัว หากจำเป็นก็จะออกประกาศห้าม

บุคคลเหล่านี้ออกนอกราชอาณาจักรไทย เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หากผู้ที่มีรายชื่ออยู่ในเอกสารดังกล่าวเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีจะดำเนินการอย่างไร นายสุเทพกล่าวว่า “เป็นใครก็ทำทั้งนั้น ไม่ยอมให้ใครละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นที่เคารพรักของพี่น้องประชาชน”จากข่าวดังกล่าว เอลิซาเบธ ฟิทซ์เจอรัลด์ นักเขียนรับเชิญของเว็บล็อกนวมณฑล ได้ตั้งคำถามถึงการให้สัมภาษณ์ของรองนายกรัฐมนตรีว่า หลักฐานชนิดใดที่นายสุเทพ จะนำมาใช้ยืนยันถึงความ

ผิดของกลุ่มคนดังกล่าวได้อย่างเพียงพอ? ศอฉ. สืบหาหลักฐานดังกล่าวมาได้อย่างไร? หลักฐานเหล่านั้นจะถูกนำเสนอต่อสาธารณะหรือไม่? หรือว่าหลักฐานเหล่านั้นจะถูกจัดวางให้อยู่นอกเหนือจากการรับรู้ของผู้คนที่ตั้งคำถามต่อความสัตย์จริงของมัน?นี่คือคำถามและปฏิกริยาที่เกิดขึ้น ซึ่งนายอภิสิทธิ์ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสดับรับฟัง เพราะนี่เป็นมุมมองอิสระของสื่อต่างชาติ ที่มีการเผยแพร่ออกไปทั่วโลกถือว่าเกี่ยวพันกับภาพลักษณ์ของรัฐบาลไทยโดยตรงอย่างหลีก

เลี่ยงไม่ได้ จึงต้องถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ในฐานะนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ ไม่ควรที่จะเพิกเฉยที่น่าเป็นห่วงก็คือ เวลานี้เอกสารผังเครือข่ายล้มสถาบันของ ศอฉ. ไม่เพียงหมิ่นเหม่และทำให้เกิดคำถามในสังคมมากมาย แม้แต่ความน่าเชื่อถือของเอกสารก็ยังเกิดผลกระทบ ว่า น่าเชื่อถือได้เพียงใด เพราะมีกรณีผิดพลาด เหมือนกับคนเขียนไม่รู้ลึก ไม่รู้จริงนั่นก็คือ กรณีที่แผนผังดังกล่าวมีการระบุว่า “แหล่งรวมของผู้โพสต์ข้อความต่อต้านสถาบันนั้นอยู่ที่เว็บไซต์ฟ้าเดียว

กัน/คนเหมือนกัน โดยมีผู้นำทางความคิด คือ นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมีความสัมพันธ์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผ่าน อดีตภรรยานามสกุล ชินวัตร”พลันที่ ศอฉ. เผยแพร่เอกสารออกมา นายสมศักด์ ก็ได้โพสต์กระทู้แสดงความคิดเห็นต่อแผนผังดังกล่าวของศอฉ. ลงในเว็บบอร์ดแห่งหนึ่ง ซึ่งมีเนื้อหาดังต่อไปนี้ชื่อกระทู้ “เฮ้ ไชโยๆๆ เพิ่งรู้ว่า ผม “สายตรง” ถึงแม้วได้ว่ะ ไว้ว่างๆ ขอเงินใช้

มั่งดีก่า “สายตรง” ยิ่งกว่า วีระ นะเว้ย ขอบอก”เนื้อหาในกระทู้ บอกว่า เห็นข่าวแฉ “เครือข่ายล้มสถาบัน” ตอนแรก ก็ไม่ได้สนใจมาก แต่ว่างๆ เลยโหลดมาดู อ้าว! เฮ้ย มีชื่อของข้าพเจ้าด้วยว่ะ เอิ๊กๆๆ ขำจนเกือบตกเก้าอี้ ที่ขำมากไม่ใช่อะไรตามแผนภูมินี้ ผม “สายตรง” ยิ่งกว่า วีระ มุสิกพงศ์ เสียอีก เพราะชื่อผมมีเส้นโยงกับทักษิณ ตรงเส้นระหว่างชื่อผมกับชื่อทักษิณน่ะ เหมือนกับมีคำว่า "นามสกุล ชินวัตร"?เท่านั้นก็กลายเป็นเรื่องตลก ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ ในพลเมือง

เน็ตทันทีว่า นายสมศักดิ์ มีอดีตภรรยานามสกุลชินวัตรหรือเปล่า??? หรือว่าเคยมีกิ๊กนามสกุล ชินวัตรหรือไม่??? ซึ่งนายสมศักดิ์ ตอบคำถามเหล่านี้ว่า อย่าว่าแต่ “อดีตภรรยา” หรือ “กิ๊ก” เลยครับ ในชีวิต 52 ปี นี่ไม่เคยแม้แต่เจอตัวหรือคุยกับใครที่นามสกุลชินวัตร เลย... ถ้าเคยเจอตัวหรือคุย ผมต้องจำได้แน่นอน นามสกุลดังขนาดนี้ สมัยผมเด็กๆ เคยแต่ได้ยินชื่อ “ชินวัตร ไหมไทย”พร้อมกับเห็นพ้องกับความเห็นในกระทู้ว่า ศอฉ. คงต้องการให้ตรงนี้ (อดีตภรรยานาม

สกุล “ชินวัตร”) หมายถึง คุณหญิงพจมาน แต่ครั้นจะเขียนชื่อตรงๆไป ก็คงกลัวถูกฟ้องร้อง ก็เลย เขียน “อดีตภรรยา นามสกุล ชินวัตร” พูดง่ายๆ แผนภูมิ ตรงนี้ ต้องอ่านมาจากชื่อ “ทักษิณ” ไม่ใช่จาก “สมศักดิ์” (ส่วนอีกเส้น “ผู้นำทางความคิด” นั่นคงอ่านมาจากชื่อผมแหละ)ปล. อย่างที่บอกว่า คนนามสกุล ชินวัตร นี่ ผมเกิดมาไม่เคยเจอตัว อย่าว่าแต่พูดคุยหรือ มีสายสัมพันธ์ แต่ถ้าหมายถึงคุณพจมาน และพูดถึงเรื่องนามสกุลกัน ในชีวิต ผมเคยคุยกับคนนามสกุล “ณ

ป้อมเพชร” (นามสกุลเก่า/ปัจจุบัน คุณพจมาน) คนนึงจริงๆ คือ ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ (ณ ป้อมเพชร) ผมเคยเขียนเล่าเรื่องนี้ไว้เหมือนกัน สงสัยว่า ศอฉ. หรือ สปายของ ศอฉ. บังเอิญได้อ่าน แล้วจับแพะชนแกะ แบบนี้หรือเปล่า เพราะไม่งั้น นึกไง ก็นึกไม่ออกว่า ผมจะ “สายตรง” กับ คุณพจมาน ได้ไง เกิดมาไม่เคยเจอเหมือนกันบางกอก ทูเดย์ นำความจริงมาสะท้อนให้กับนายกฯ อภิสิทธิ์ ได้เห็นถึงความไม่รอบคอบของเอกสาร ที่กลายเป็นสร้างภาพของความไม่น่า

เชื่อถือตามมา ซึ่งนับเป็นอันตรายอย่างยิ่งเพราะหลังจากเผยแพร่เอกสารนี้โดย พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิดแล้ว นายสุเทพ ก็พูดตาม รวมทั้งนายอภิสิทธิ์ ก็พูดเออออเป็นจริงเป็นจังไปด้วยเมื่อเอกสารผิดพลาด เมื่อสื่อต่างชาติตั้งข้อสังเกตออกมาในแง่ลบคงต้องถามว่า แบบนี้คุ้มกันหรือไม่???ทำไมไม่เลือกสันติวิธี เจรจากันเพื่อหาทางออกเพื่อประเทศชาติไม่ดีกว่าหรือ... ถามจริง!!!
ทีมา.บางกอกทูเดย์
****************************************************

เจาะใจการชุมนุมราชประสงค์ ไม่ต้องจ้างแต่มาเอง

มีแต่รายงานข่าวแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในด้านลบ..ฉบับนี้บางกอก ทูเดย์ ขันอาสาเจาะใจ “การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง” โดยนำเสนอ “แก่นแท้” ของการรวมตัวของคนนับแสนคน “ประเสริฐ ชัยกิจเด่นนภาลัย” ส.ส.สมุทรปราการ หรือ ส.ส.โจ ของคนปากน้ำ ส.ส.โจ เป็นไกด์พาเราทัวร์บริเวณการชุมนุมเป็นระยะทางที่ไกลมาก เราพบเห็นการเป็นอยู่ของผู้มาชุมนุมในหลากหลายรูปแบบ แต่ที่เหมือนกันคือ พวกเขามาด้วยใจแต่ก่อนที่จะเข้าสู่บริเวณของการชุมนุม ส.ส.โจ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยของผู้ชุมนุม ว่า ด่านมีทั้งหมด 6 ด่าน ประกอบด้วย ด่านอังรีดูนัง ด่านปทุมวัน

ด่านศาลาแดง หรือด่านสีลม ด่านวิทยุ หรือด่านหลังสวน ด่านแยกเพลินจิต ด่านแยกประตูน้ำ ด่านที่คาดว่าปะทะ คือ ด่านอังรีดูนัง ด่านศาลาแดง และด่านวิทยุ จุดอื่นไม่น่าเกิดการปะทะเพราะด่านอื่นเป็นเส้นตรงไม่ซับซ้อน ด่านที่ส.ส.โจ ดูแล คือ ด่านอังรีดูนัง โดยวางมาตรการการดูแลอย่างกว้างขวางครอบคลุมทั่วอังรีดูนัง เพื่ออำนวยความสะดวก ปลอดภัยให้กับผู้ชุมนุม ใช้การ์ด 50 คนต่อ 1 กะ และใช้เวลา 12 ชั่วโมงต่อ 1 กะ เราใช้คนเป็น 100 คน เพื่อเป็นภูมิคุ้มกัน

ให้พี่น้องประชาชนที่ฟังปราศรัยอยู่ข้างใน โดยมี สุเมต รัตนะ แกนนำฝ่ายปฏิบัติการกลุ่มผู้กล้าประชาธิปไตย หัวหน้าการ์ดสมุทรปราการสำหรับด่านอังรีดูนัง เราจะดูแลด้วยความเข้มแข็ง ตรวจเข้มตลอดเวลา และเป็นด่านที่ประชาชนผ่านเข้า-ออกเป็นจำนวนมาก เพราะเชื่อมต่อกับสยามแสควร์และกองบัญชาการสอบสวนกลาง จึงเห็นว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ จึงต้องระมัดระวังและคุ้มกันอย่างเข้มแข็ง โดยมีอาวุธป้องกันตัวตามอัตภาพ คือ หนังสติ๊ก ไม้ไผ่ นอกจาก

นี้เรามีวิทยุสมุทรปราการ 2 สถานี คือ 97.25MH -101.25MH วิทยุเราเป็นแม่ข่ายในการเกี่ยวสัญญาณจากเวทีกลาง และสามารถส่งต่อได้อีกกว่า 100 สถานี โดยผ่านทาง www.googel.com และพิมพ์ชื่อ บูมเรดิโอ เพื่อค้นหาก็สามารถฟังได้ ทั้งนี้การสร้างบูมเรดิโอขึ้น เพื่อให้นปช. มีช่องทางสื่อสาร กระจายข่าว เพราะที่ผ่านมา เราโดนโจมตี ข่าวที่ออกมาตลอดเวลาคือ ตำรวจเข้ามาปะทะและให้ทหารโอบ เพื่อให้ตำรวจบาดเจ็บและสร้างความชอบธรรมโดยบอกว่า

นปช. ทำลายทหาร เรามีเทคโนโลยีป้องกันการตัดสัญญาณ ซึ่งอาทิตย์หน้าเราจะมีคลื่น 106.25 MH ขณะนี้เรามีคลื่นที่รับฟังได้เพียง 4 คลื่น คือ FM 95.25 MH, FM 96.35 MH, FM 101.25 MH, FM 106.85 MH ส.ส.โจ เล่าว่า ประชาชนที่มาชุมนุมเป็นคนไทยที่สวมใส่เสื้อสีแดง มาแสดงตัวรวมกัน เพราะรับไม่ได้กับเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้วยความรู้ และวิสัยทัศน์ของพวกเขาคนเสื้อแดงชุมนุมด้วยความเป็นอารยธรรม มีความรักและความห่วงใยในบ้านเมือง ทุกคน

มาชุมนุมด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่มีการทะเลาะ แม้แต่การตรวจ หลายคนฮึดฮัด แต่สุดท้ายก็ยอมให้ตรวจโดยดี วันนี้รัฐบาลประมวลผลเราผิด และมีความพยายามจะเอาชนะเรา พยายามสื่อสารว่า คนที่มาชุมนุมมีการจ้างมา ชุมนุมด้วยความโหดร้าย ความจริงไม่ใช่ การชุมนุมครั้งนี้เต็มไปด้วยสปิริต คือ การรู้ถูก รู้ผิด วันนี้รัฐบาลบล็อกสัญญาณ ยิงสัญญาณรบกวน ทำให้ประชาชนไม่ใส่เสื้อแดง เพราะมีการสร้างม็อบชนม็อบแท้จริงแล้ว...เราต้องตอบคำถามว่า ทำไม

รัฐบาลนี้ประชาชนไม่เอาแล้ว เพราะรัฐบาลมีการคอร์รัปชั่นมาก โกงกินมาก วันนี้มีความแตกแยกในบ้านเมือง รัฐบาลไม่แก้ แต่กลับสร้างระบอบ 2 มาตรฐาน ขึ้นมาตอกย้ำประชาชนอยู่ตลอดเวลาเรื่องเหล่านี้กระทบจิตวิญญาณของทุกคน ประกอบกับมีการกู้เงินเยอะๆ และมีการคอร์รัปชั่นมากๆ ทำให้เศรษฐกิจเดินไม่ได้ ทั้งหมดนี่คือ พลังที่ผลักดันให้เกิดการรวมตัวของ นปช. ที่แท้จริง เราไม่ได้ทำงานเพื่อใคร แต่เพื่อรักษาระบอบของประเทศเรา คุณใช้กำลังทหารได้แต่

ต้องไม่ใช้อาวุธสงคราม ถ้ารัฐบาลเอาทหารมาแล้วมีอาวุธสงครามติดมือถือเป็นรัฐบาลเผด็จการ ส.ส.โจ กล่าวทิ้งท้ายว่า รัฐบาลใช้อาวุธสงครามคือ เผด็จการ ใช้อาวุธฆ่าประชาชนคือ ทรราช เมื่อสร้างม็อบชนม็อบถือว่า เป็นรัฐบาลที่แย่กว่าความเป็นทรราช นปช. ต้องการให้บ้านเมืองเราเจริญเติบโตแบบอเมริกา จีน ญี่ปุ่น ให้ประเทศคัดคนเก่งขึ้นมาบริหารประเทศ ให้ทุกคนมีโอกาส
ที่มา.บางกอกทูเดย์
***********************************************************************

ศูนย์เอราวัณสรุปยอดเหตุปะทะทหารตาย1เจ็บ18

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศ บริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติ สามแยกดอนเมือง ช่วง ถ.วิภาวดีรังสิต บรรจบกับ ถ.พหลโยธิน ว่า หลังจากเจ้าหน้าที่กองกำลังผสมทหาร-ตำรวจได้สกัดกลุ่มคนเสื้อแดงจากแยกศาลาแดง นำโดยนายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำคนเสื้อแดง ที่เคลื่อนออกนอกพื้นที่ชุมนุม เพื่อไปให้กำลังใจคนเสื้อแดงปทุมธานี ที่ปักหลักชุมนุมอยู่ที่ตลาดไท จนเกิดการปะทะกันตั้งแต่เวลา 14.00 น. ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง และมีทหารเสียชีวิต 1 นาย

ต่อมา เวลา 17.00 น. ตำรวจที่อยู่บริเวณสถานีบริการน้ำมัน ปตท. ใกล้อนุสรณ์สถานแห่งชาติ ได้ถอนกำลังออกไปประจำ ณ จุดสกัดอนุสรณ์สถานแห่งชาติ เบื้องต้นยังไม่ใครให้ข้อมูลว่า จะยังคงเจ้าหน้าที่ไว้ที่จุดปะทะหรือไม่ ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารได้ถอนกำลังกลับหมดแล้ว หลังตรวจสอบแล้ว ไม่พบว่ามีคนเสื้อแดงเหลืออยู่ในบริเวณใกล้เคียง

สำหรับการจราจรบน ถ.วิภาวดีรังสิต ทั้งขาเข้าขาออก เจ้าหน้าที่ยังคงปิดการจราจร รวมทั้งบนทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ และเริ่มระบายรถที่ยังคั่งค้างอยู่บนถนนตั้งแต่ช่วงบ่าย

ผู้สื่อข่าวรายงานเบื้องต้นเกี่ยวกับทหารที่เสียชีวิตจากเหตุปะทะกันบริเวณอนุสรณ์สถานว่า เป็นทหารจากกองพันที่ 2 กองพลทหารราบที่ 9 จ.กาญจนบุรี ถูกยิง ขณะนี้ศพอยู่ภายในอนุสรณ์สถานแห่งชาติ ยังไม่สามารถนำออกมาจากพื้นที่ได้ และยังไม่ทราบว่าถูกกระสุนจากฝ่ายใด เพราะสถานการณ์ค่อนข้างชุลมุน

ล่าสุด ศูนย์เอราวัณ กทม.รายงานเมื่อเวลา 18.00 น.ว่า ได้รับการยืนยันว่ามีผู้เสียชีวิต 1 ราย คือ พลทหาร ณรงค์ฤทธิ์ สาระ โดยเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ นอกนั้นผู้บาดเจ็บมีทั้งหมด 18 ราย กลับบ้านแล้ว 3 ราย ที่เหลือยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล และมีอาการสาหัส 3 ราย อยู่ไอซียูโรงพยาบาลภูมิพล 1 ราย ไอซียูโรงพยาบาลวิภาวดี 1 ราย และไอซียูโรงพยาบาลแพทย์รังสิต อีก 1 ราย



ที่มา.เนชั่น
******************************************************

ทหาร - การ์ดนปช.ตกลงถอนกำลังหน้าเซียร์รังสิต

ที่ถนนพหลโยธิน หน้าห้างเซียร์รังสิต มีผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงประมาณ 1,000 คน รวมตัวกันอยู่ และกลุ่มการ์ดกำลังเจรจากับเจ้าหน้าที่เพื่อขอให้ตำรวจเปิดทางเพื่อเข้าไปสมทบที่แยกราชประสงค์ ขณะที่ผู้ชุมนุมยังทยอยมาเพิ่ม ขณะที่ตำรวจกำลังรอคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาอีกที โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจมีกระบองและโล่ ส่วนทหารมีปืนกระสุนยาง ปืนเอ็ม 16 ส่วนผู้ชุมนุมมีไม้ ขวด ก้อนหิน และหนังสติ๊กเป็นอาวุธ ส่วนการจราจร ใช้ถนนพหลโยธินได้เพียงช่องทางเดียว แต่หน้าเซียร์มีน้ำท่วมขัง ทำให้การจราจรติดขัดอย่างหนัก

ต่อมาเวลาประมาณ 17.45 น. เจ้าหน้าที่และการ์ด นปช.สามารถเจรจาตกลงกันได้ว่าต่างฝ่ายต่างจะถอนกำลังกลับ เนื่องจากมืดค่ำแล้ว อาจมีการฉวยโอกาสเข้ามาก่อเหตุของมือที่สาม ล่าสุดมีการรื้อสิ่งกีดขวางออกจากถนนพหลโยธิน และสามารถเปิดการจราจรได้ตามปกติแล้ว


ที่มา.เนชั่น
************************************************

ไม่อยู่ข้างผู้ถูกเอาเปรียบ/ไม่-ประชาธิปไตย

ผมเองเคยใส่เสื้อเหลืองไปร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ อยู่หนึ่งครั้ง ตอนที่มีการชุมนุมใหญ่ครั้งแรกที่ลานพระบรมรูปทรงม้า และเคยเขียนบทความหลายชิ้นสนับสนุนแนวทางการต่อสู้เพื่อล้มรัฐบาลคอร์รัปชัน จนเมื่อแรกเกิดรัฐประหารก็ได้แต่รู้สึกเสียใจ แต่ไม่ได้แสดงออกถึงการต่อต้านอย่างเป็นกิจจะลักษณะ (นี่อาจเป็นความโง่ หรือความผิดของผมเอง)

ต่อมาเมื่อความขัดแย้งแบ่งขั้วเป็นเหลือง-แดง อย่างชัดเจน ที่แต่ละฝ่ายต่างอ้างว่าตนเองถูกต้อง และเรียกร้องให้คนในสังคมเลือกข้าง “ความถูกต้อง” ผู้เขียนก็ยังเลือกที่จะไม่เลือกข้างใด เพราะเห็นว่าทุกฝ่ายก็มีถูกมีผิด

ผมเห็นด้วยกับพันธมิตรฯ ในเรื่องการตรวจสอบและต่อต้านคอร์รัปชัน แต่ก็เห็นด้วยกับคนเสื้อแดงในเรื่องการต้านรัฐประหาร การมีอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่พ้นไปจากการครอบงำของระบบอำมาตย์ หรือพูดให้ตรง คือ “อุดมการณ์ประชาธิปไตยสากล”

แต่ยิ่งวันเวลาผ่านไปๆ ก็ยิ่งชัดเจนขึ้นว่า ฝ่ายพันธมิตรฯนั้นสนับสนุนการคงอยู่ของระรอบประชาธิปไตยภายใต้การกำกับของระบบอำมาตย์ นับแต่ที่เรียกร้องให้ใช้วิธีรัฐประหารแก้ปัญหาคอร์รัปชัน สนับสนุนความชอบธรรมของรัฐประหาร สนับสนุนรัฐบาลที่สืบทอดแนวทางรัฐประหาร การใช้สถาบันกษัตริย์เป็นเงื่อนไขสร้างการแบ่งแยกผู้คนในสังคม และรวมถึงการโฆษณาชวนเชื่อเรื่อง “ล้มสถาบัน” ควบคู่กับการเรียกร้องให้รัฐบาลและทหารสลายการชุมนุม กระทั่งใช้กฎอัยการศึกจัดการกับคนเสื้อแดงอยู่ในเวลานี้

จึงทำให้ผมตั้งคำถามจริงจังขึ้นว่า การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอะไรกันที่เรียกร้องอำนาจรัฐ อำนาจทหารอยู่ตลอดเวลา ให้จัดการขั้นเด็ดขาดกับประชาชนจำนวนมากที่ออกมาชุมนุม (ต่อให้มี “ผู้ก่อการร้าย”อยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมจริง นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยย่อมมีมนุษยธรรมคำนึงถึงชีวิตของประชาชนมากกว่า)

ฉะนั้น ยิ่งนานวันเข้า ถ้าเอาหลักการ/อุดมการณ์ประชาธิปไตยมาจับ จะยิ่งพบว่าความถูกต้องของพันธมิตรฯ นับวันจะน้อยลงเรื่อยๆ หรือแทบไม่เหลืออยู่เลย เพราะเราไม่อาจเข้าใจได้ หรืออธิบายด้วยเหตุผลไม่ได้ว่า การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยทำไมจึงไม่อยู่ข้างประชาชนส่วนใหญ่ที่ถูกเอาเปรียบ แต่กลับไปค้ำจุนสถานะที่ได้เปรียบของคนส่วนน้อยในสังคม

ผมจึงเห็นว่า ในสภาวะความเป็นจริงของความขัดแย้งทางการเมืองที่เป็นอยู่นี้ แทนที่เราจะให้วาทกรรม “เลือกข้างความถูกต้อง” ซึ่งเป็นนามธรรมมากมาเป็นเกณฑ์ตัดสินใจในการเลือกข้าง เราควรใช้เกณฑ์ที่เป็นรูปธรรมกว่า คือ “การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต้องอยู่ข้างคนส่วนใหญ่ที่ถูกเอาเปรียบ”

จากเกณฑ์นี้เราจะเห็นได้ชัดว่า คนเสื้อแดงคือคนส่วนใหญ่ที่ถูกเอาเปรียบ แม้จะเป็นไปได้ว่าคนส่วนใหญ่ที่ถูกเอาเปรียบไม่จำเป็นต้องเป็นฝ่ายถูกเสมอไป แต่เราก็ไม่อาจจินตนาการได้ว่า การต่อสู้ที่อยู่ฝ่ายตรงกันข้ามกับคนส่วนใหญ่ที่ถูกเอาเปรียบ จะเป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยได้อย่างไร

คนเสื้อแดง (บางคน,บางกลุ่ม) อาจกระทำในสิ่งที่ (สังคมมองว่า) เป็นความผิดหลายอย่าง เช่น การชุมนุมที่สร้างความเดือดร้อนให้คนกรุงเทพฯ การละเมิดสิทธิ์คนอื่น การนิยมความรุนแรง การตั้งคำถามต่อสถาบัน ฯลฯ แต่นั่นก็เกิดจากความคับแค้นที่เขาถูกกระทำด้วยความรุนแรงมากกว่า คือการใช้กำลังทหารทำรัฐประหารปล้นสิทธิการเลือกตั้งของพวกเขาไป (ไม่ใช่อ้างความเลวเพื่อสนับสนุนการทำเลวเหมือนกันหรือมากกว่า แต่อ้างเพื่อให้เข้าใจสาเหตุของปัญหา)

ฉะนั้น เมื่อพิจารณาว่าคนเสื้อแดงคือคนส่วนใหญ่ที่ถูกเอาเปรียบในสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำสูง (โดยโครงสร้างเศรษฐกิจ การเมืองที่ไม่เป็นธรรม) ถูกปล้นสิทธิ์ ถูกเลือกปฏิบัติในหลายๆเรื่อง (ใช้สองมาตรฐาน) และเขาจึงออกมาต่อสู้เพื่อทวงสิทธิ ทวงความเสมอภาคในความเป็นมนุษย์ ทวงเสรีภาพในการพูดความจริง หรือทวงประชาธิปไตยที่พ้นไปจากการครอบงำของระบบอำมาตย์ การต่อสู้ที่เรียกว่า “เพื่อประชาธิปไตย” จึงจำเป็นต้องอยู่ข้าง หรือสนับสนุน “ประเด็นหลัก” ของคนเสื้อแดง

ผมเองไม่ใช่คนเสื้อแดง (เพราะไม่มีคุณสมบัติพอ เป็นเพียงผู้ไปสังเกตการชุมนุมที่ไม่ได้ใส่เสื้อแดง เทียบกับชาวบ้านที่มาชุมนุมแล้วเขามีความทรหดและกล้าหาญจนทำให้ผมรู้สึกละอายตัวเอง) เคยวิจารณ์คุณทักษิณและแกนนำเสื้อแดงหลายเรื่องบนจุดยืน “สองไม่เอา” แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์นองเลือด 10 เมษายน 2553 และยิ่งเห็นท่าทีแข็งกร้าวของรัฐบาลและพันธมิตรฯ ทำให้ผมต้องกลับมาทบทวนความคิดของตนเองอย่างจริงจัง และผมไม่อาจมองเห็นเหตุผลใดๆที่จะไม่เลือกข้างคนเสื้อแดง หรือสนับสนุน “ประเด็นหลัก” ของคนเสื้อแดง

คือ ประเด็นการต่อสู้เพื่อให้ยุบสภาเลือกตั้งใหม่เพื่อนำไปสู่การออกแบบกติกาประชาธิปไตยที่พ้นไปจากการครอบงำของระบบอำมาตย์ (ไม่ใช่ล้มสถาบัน แต่การมีอยู่ของสถาบันต้องไม่ปิดกั้นเสรีภาพในการพูดความจริง ไม่ทำลายความเสมอในความเป็นมนุษย์ ไม่ละเมิดอำนาจการตัดสินใจของประชาชน และต้องโปร่งใสตรวจสอบได้) และการออกกฎหมายที่ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง

ผมอาจเคยเขียนบทความหลายชิ้นสนับสนุน “ประเด็นหลัก” ดังกล่าวของคนเสื้อแดง แต่ไม่ใช่บนความชัดเจนว่าผมตัดสินใจเลือกข้างคนเสื้อแดง วันนี้ผมชัดเจนว่าผมเลือกข้างคนเสื้อแดง ไม่ใช่ด้วยเหตุผลว่าผมเลือกข้าง “ความถูกต้อง” แต่ด้วยเหตุผลว่า “การอยู่ข้างประชาธิปไตย ต้องอยู่ข้างคนส่วนใหญ่ที่ถูกเอาเปรียบ”

เพราะไม่มีการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอยู่จริงบนจุดยืนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับคนส่วนใหญ่ที่ถูกเอาเปรียบ หรือบนจุดยืนที่มุ่งปกป้องเชิดชูสถานะที่ได้เปรียบของคนส่วนน้อยให้พวกเขาเอาเปรียบคนส่วนใหญ่อยู่ตลอดไป

ฉะนั้น ไม่เลือกสู้ข้างผู้ถูกเอาเปรียบ จึงไม่ใช่สู้เพื่อประชาธิปไตย!

โดย.นักปรัชญาชายขอบ
*****************************************************

"ขวัญชัย"นำทีมเสื้อแดงเคลื่อนพลไปตลาดไท ฉลุยห้าแยกลาดพร้าว ไร้ด่านตรวจสกัด จราจรติดหนัก

"ขวัญชัย"นำทีมเสื้อแดงเคลื่อนพลไปตลาดไทฉลุยห้าแยกลาดพร้าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไทยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)นำโดยนายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำเคลื่อนพลไปยังเป้าหมายตลาดไท ล่าสุดเวลา 12.20 น.เดินทางถึงห้าแยกลาดพร้าว เรียบร้อยแล้ว

โดยไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งด่านตรวจหรือสกัดแต่อย่างใด นอกจากคอยอำนวยความสะดวกด้านการตจราจร แต่ก็ยังทำให้การจราจรถนนวิภาวดีติดขัดหนัก

"แดง"นัดรวมพลไป"ตลาดไท"เล็งสลายด่านตรวจหากเจอสกัด

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 28 เม.ย. นายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดง เปิดเผยภายหลังการประชุม แกนนำ ว่า ในเวลา 10.30 น. จะเคลื่อนขบวนผู้ชุมนุมไปยังตลาดไท เพื่อให้กำลังใจมวลชนคนเสื้อแดงที่ปักหลักอยู่ที่นั่น โดยให้มวลชนที่ต้องการจะร่วมขบวนไปรวมตัวที่ศาลาแดงแล้วร่วมเดินทางไปรถปิคอัพจำนวน 150 คัน เพราะว่าก่อนหน้านี้ได้ข่าวว่าศอฉ.จะขนอาวุธเข้ามาในกรุงเทพฯเพื่อปราบปรามประชาชนจึงเป็นภารกิจที่เสื้อแดงจะต้องสกัดกั้นเอาไว้

นายขวัญชัย กล่าวต่อว่า สำหรับภารกิจหลักที่ตลาดไทวันนี้ คือให้กำลังใจคนเสื้อแดง แต่ถ้าเจอด่านของตำรวจสกัดกั้น ก็ต้องคิดตรงนั้นว่าเราจะต้องสลายด่านตำรวจด้วยหรือไม่ เพื่อเปิดทางให้คนเสื้อแดงเข้ามาชุมนุมและสกัดกั้นทหารไม่ให้นำอาวุธเข้ามาทำร้ายประชาชน ขณะนี้มีคนเสื้อแดงที่พร้อมจะร่วมขบวนประมาณ 2,000 คน

ที่มา.มติชนออนไลน์
*************************************************

ฮือฮา นักโบราณคดีอ้างพบ"ซากเรือโนอาห์"ตามพระคัมภีร์ไบเบิล

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 28 เม.ย.ว่า กลุ่มนักโบราณคดีจีนฮ่องกงและตุรกรี ได้ค้นพบซากเรือโนอาห์ ซึ่งอยู่บนเขา"อรารัต"ทางภาคตะวันออกของตุรกี โดยจากการพิสูจน์ด้วยกระบวนการน้ำยาคาร์บอนตรวจสอบสิ่งโบราณย้อนยุค พบว่าวัตถุดังกล่าวมีอายุ 4,800 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เรือดังกล่าวถูกระบุว่ามีอยู่บนโลก ขณะที่เจ้าหน้าที่รายหนึ่งบอกว่า กลุ่มเชื่อว่า ซากดังกล่าวเป็นเรือโนอาห์ 99.99 %

รายงานระบุว่า ซากเรือดังกล่าวมีลักษณะเป็นโครงสร้างที่แบ่งเป็นหลายส่วน บางส่วนรวมทั้งคานไม้ ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นส่วนที่ใช้เป็นที่พักของสัตว์ต่าง ๆ ที่โนอาห์นำขึ้นเรือ ด้านเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นตุรกียังได้เรียกร้องให้รัฐบาลตุรกี ขอให้ยูเนสโก้ขึ้นทะเบียนวัตถุดังกล่าวเป็นมรดกโลก

ทั้งนี้ ตามพระคัมภีร์ไบเบิลระบุว่า พระเจ้าตัดสินใจที่จะทำลายล้างโลก หลังจากเห็นว่าโลกเต็มไปด้วยสิ่งชั่วร้าย และได้สั่งให้โนอาห์สร้างเรือขึ้นมาพร้อมบรรทุกสัตว์ทุกประเภททั้งเพศผู้เพศเมียขึ้นเรือ และเมื่อน้ำท่วมโลกลดลง เรือโนอาห์ได้ขึ้นไปอยู่ในเขา"อรารัต"


ที่มา.มติชนออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล: "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ: กำลังแต่งภาพละครแขวนคอ"

นักคิดที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งเคยกล่าวว่า ประวัติศาสตร์จะเกิดขึ้น 2 ครั้ง ครั้งแรกในลักษณะโศกนาฏกรรม (tragedy) ครั้งที่สอง ในลักษณะตลกชวนสมเพช (farce)

(หมายเหตุ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้มีรายชื่ออยู่ในเอกสาร "เครือข่ายล้มเจ้า" ที่รัฐบาลและศอฉ. นำมาเผยแพร่ ได้เขียนบทความชื่อ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ: กำลังแต่งภาพละครแขวนคอ" และนำไปเผยแพร่ในเว็บไซต์และเว็บบอร์ดจำนวนหนึ่ง ก่อนที่จะมีผู้นำบทความดังกล่าวไปแพร่กระจายในเว็บไซต์เครือข่ายทางสังคมออนไลน์เฟซบุ๊ก มติชนออนไลน์เห็นว่าบทความของสมศักดิ์มีเนื้อหาน่าสนใจและให้แง่คิดบางประการในสถานการณ์ปัจจุบันอันล่อแหลม จึงขออนุญาตนำมาเผยแพร่ต่อ -โดยมีการปรับเปลี่ยนบ้างถ้อยคำ- ในเว็บไซต์)

นักคิดที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งเคยกล่าวว่า ประวัติศาสตร์จะเกิดขึ้น 2 ครั้ง ครั้งแรกในลักษณะโศกนาฏกรรม (tragedy) ครั้งที่สอง ในลักษณะ ตลกชวนสมเพช (farce)

เมื่อ 34 ปีก่อน ขณะที่ พรรคประชาธิปัตย์ เป็นรัฐบาล โดยมี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี และมี ชวน หลีกภัย ฮีโร่ของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นกำลังสำคัญคนหนึ่งของรัฐบาล กลุ่มปฏิกิริยาขวาจัดได้ร่วมมือกันสร้างสถานการณ์ปลุกระดม ด้วยการนำภาพถ่ายการแสดงละครของนักศึกษาธรรมศาสตร์ เพื่อประท้วงเหตุการณ์ที่มีช่างไฟฟ้านครปฐม 2 คน ที่กำลังร่วมกับขบวนการนักศึกษาขณะนั้นรณรงค์ต่อต้านการกลับมาของทรราชถนอม เพื่อฟื้นเผด็จการ ถูกแขวนคอตายอย่างสยดสยอง มาโฆษณาว่า นักศึกษากำลังกระทำการดูหมิ่นองค์รัชทายาท

อาศัยข้ออ้างนี้ อันธพาลการเมืองและกำลังตำรวจ ตชด. ได้บุกโจมตีเข้าไปธรรมศาสตร์ ในเช้าตรู่ของวันที่ 6 ตุลาคม

สิ่งที่ตามมาคือ การฆ่าหมู่กลางเมืองที่ป่าเถื่อนที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย

หลังเหตุการณ์นั้น ชวน หลีกภัย เอง กับเพื่อน "ปีกซ้าย" ประชาธิปัตย์ อย่างสุรินทร์ มาศดิตถ์ บิดาของคุณหญิงสุพัตรา ต้องหลีกหนีภัยการเมืองขวาจัดกลับไปบ้านเกิดทางใต้ คุณสุรินทร์ต้องหนีไปบวช ขณะที่ ชวน หันไปจับปากกา เขียนสารคดีชุด "เย็นลมป่า" เพื่อเตือนให้ผู้มีอำนาจเห็นว่า ผลจากการปราบปรามครั้งนั้น ได้ผลักดันให้คนดีๆจำนวนมาก ไม่มีทางเลือกทางอื่น นอกจากเข้าป่าจับปืนขึ้นสู้

34 ปีผ่านไป โดยการคอยยุเชียร์ของชวน หลีกภัย ที่ตอนนี้ สวมวิญญาณเหยี่ยวการเมืองกระหาย...เสียเอง รัฐบาลประชาธิปัตย์ของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กำลังดำเนินการสร้างภาพ "ละครแขวนคอ" ชุดใหม่ เพื่อเตรียมใช้กำลังติดอาวุธเข้าปราบผู้ชุมนุมที่ราชประสงค์

"ภาพละครแขวนคอ" ของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ครั้งนี้ แม้หน้าตาภายนอกจะต่างออกไปจาก "ภาพละครแขวนคอ" ครั้งก่อน แต่เนื้อหาไม่ต่างกัน คือ ออกมาในรูปของ "แผนภูมิ" ของสิ่งที่รัฐบาลอภิสิทธิ์เรียกว่า "เครือข่ายล้มเจ้า" ที่เผยแพร่โดย ศอฉ. เมื่อวันที่ 26 เมษายนที่ผ่านมา

ที่ไม่ต่างกันเลยคือ การใช้ข้อหาว่า มีการล่วงละเมิดสถาบันกษัตริย์เกิดขึ้น โดยที่ข้อหานั้น ไม่เป็นความจริงเลย (เช่นเดียวกับที่ ไม่เคยมีการเล่นละครแขวนคอหุ่นหรือคนที่แต่งหน้าเป็นองค์รัชทายาท ในสมัยนั้น ในปัจจุบัน ก็ไม่มี "เครือข่าย" เพื่อการ "ล้มเจ้า" แต่อย่างใด)

และจุดมุ่งหมายของ "ภาพละครแขวนคอ" ครั้งนี้ ก็เหมือนกันกับครั้งก่อน คือ เพื่อปูทาง เป็นข้ออ้างสำหรับการฆ่ากลางเมือง

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โชคดีที่โตไม่ทัน เมื่อมีเหตุการณ์ 6 ตุลา จึงไม่ต้องผ่านประสบการณ์ที่มีลักษณะ "บาดแผลร่วม" (collective trauma) ของสังคมไทย ที่เจ็บปวดและร้าวลึกอย่างไม่อาจบรรยายได้ ที่เป็นผลตามมาจากเหตุการณ์นั้น

เสียดายที่ ชวน หลีกภัย ครูการเมืองของอภิสิทธิ์เอง ได้เสียสติ เสียความจำไปเสียแล้ว

อย่างไรก็ตาม ผมหวังอย่างยิ่งว่า วินาทีนี้ ยังไม่สายเกินไป ที่ อภิสิทธิ์ จะตั้งสติ คิดถึงผลที่จะตามมา ของสิ่งที่เขากำลังตระเตรียมทำอยู่นี้

อันที่จริง ถ้าเพียงแต่ผมเป็นหนึ่งใน "เครือข่ายล้มเจ้า" จริง และถ้าเพียงแต่ผมจะต้องการอำนาจอย่างไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้นในลักษณะเดียวกับที่อภิสิทธิ์กำลังหวงอำนาจของตัวเอง, ผมควรยุเสียด้วยซ้ำว่า Bring It On "เอาเลยครับ" รีบทำขั้นตอนต่อไป หลังจากแต่งภาพ "ละครแขวนคอ" (เผยแพร่ "แผนภูมิเครือข่ายล้มเจ้า") ไปแล้ว แบบเดียวกับที่พวกขวาจัด ทำต่อไปหลังโฆษณาภาพ "ละครแขวนคอ" ของพวกเขาเมื่อ 34 ปีก่อน

เพราะผมเชื่อแน่นอนว่า ถ้าอภิสิทธิ์ทำเช่นนั้น ไม่เพียงแต่ผู้คนจะตายเป็นเบือ แต่สิ่งที่จะตามมา จะเป็นการเริ่มต้นของจุดจบ ไม่เพียงของอภิสิทธิ์เอง แต่ของ "เครือข่าย" จริงๆ ที่หนุนหลังอภิสิทธิ์ตอนนี้ด้วย

ที่มา.มติชนออนไลน์
****************************************************

‘ผลาญงบ’ อย่างไม่จบสิ้น!!

‘ผลาญงบ’ อย่างไม่จบสิ้น!!
หาก “หัวหน้าแก๊งไอติม” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี “ใช้งบลับ” ด้วยความถนอม ไม่ถลุง กันอย่างถนิมสร้อย กันแล้ว...ป่านนี้คง ขจัดปัญหา “ภัยแล้ง” ไปได้ทั้งแผ่นดิน??เงินหลวง คลังประเทศ..แค่ ๔๐ กว่าวัน ถูกเบิกไปอย่าง “หนำใจ” กว่า ๑๐๐,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อใช้ฆ่าคนไทยด้วยกัน..ปราบม็อบ “คนไม่มีสีคนไม่มีเส้น”ละลายหายวับ ฉิบหายเป็นว่าเล่นเบี้ยเลี้ยงไอ้เณร พลตำรวจปลายแถว อัดฉีดกันสนุกมือ... ขุนเงินให้แก่ “ขุนพล” นายใหญ่นายโตกันอย่างไม่ยั้ง....ค่าเฮลิคอปเตอร์ พา “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี “สุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกฯ ใช้บินหนีกันหัวซุกหัวซุน.....จ่ายเสร็จสรรพไปตอนนี้แล้ว เป็น “แสนล้านบาท” ที่ได้ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำไป...แต่สถานการณ์ก็ยังถลำลึก มีแต่ความป่นปี้!!!แสนล้านไม่ใช่เงินขี้ประติ๋ว.......ที่ซ้ำร้ายมีคนจ้อง “กินหัวคิว”?....เป็น “เสือหิว” เสียด้วยนะซี่????
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
สถานการณ์พัฒนารุนแรง!!!
เข้าสู่จุดอันตรายขั้นที่ ๓ ระหว่าง “รัฐบาลไอติม” ของ “นายอภสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กับ “คนเสื้อแดง”???“ขั้นที่ ๓” เป็นการยกระดับ เปิดฉากสงครามการเมือง ยิงล้างผลาญจอตุง ยิ่งกว่าสงครามกลางอากาศ “สตาร์วอร์” จากนั้นพัฒนายกเกรด อัพเกรด “เข้าขั้นที่ ๔” อย่างไม่รีรอเป็นการ “ปฏิวัติ” ล้างกระดาน ล้มกระดาน “รัฐบาลไอสติม” ของ “นายมาร์ค” กันให้สิ้นซาก...ซึ่งหัวขบวนที่มองกันว่า จะเป็น “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา รองผบ.ทบ. ผู้เป็นบูรพาพยัคฆ์แถวหน้า จะลงมือ อาจจะเป็นการคาดการณ์ที่ผิดคน“ทหารวงศ์เทวัญ” ที่นั่งเงียบๆ ....อาจลุกขึ้นมาเสียบ?....ล้มกระดานเงียบๆ ก็ได้นะหน้ามล???
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
เลือดเข้าตา!!!
ยิ่ง “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผู้อำนวยการ ศอฉ. หลงในลาภยศ แสดงอำนาจมากเท่าไหร่ ยิ่งมีแต่คนด่า???จะออกหมายเรียก “จิ๋ว หวานเจี๊ยบ” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย เข้ามาสอบที่ราบ ๑๑เป็นการ “แหย่รังแตน”..เพิ่มแค้นอีกเบ็ดเสร็จและมากไปกว่านั้น..เมื่อ “เทพเทือก” เลือกที่จะใช้อำนาจอย่างไม่เกรงอกเกรงใจใคร...ไม่ว่าจะเป็น “ขุนทหารใหญ่” คนไหน หากไม่สลายม๊อบคนเสื้อแดง ก็จะโยกย้ายตำแหน่งไม่ละเว้น กระทั่ง “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ก็จะฟันให้จั๋งหนับ!!!!แค่ม็อบเสื้อแดง “สุเทพ” ยังเอาไม่อยู่....นี่คิดเอากองทัพมาเป็นศัตรู?.....เป็นหมูไม่กลัวน้ำร้อน ไปแล้วล่ะครับ???
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
บ้านเมืองไม่ใช่ของเล่น!!!
“มาร์ค” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี อย่าเอาประชาชน มาเป็นเครื่องเซ่น???เห็นอยู่ตำตา “ม็อบสีเหลือง” ปลดเปลื้องมาเป็น “ม็อบสีชมพู” จนกลายเป็น “ม็อบลูกกวาด” และ “ม็อบสลิ่ม” ไปแล้วนั้น.......ไปขุดม็อบเหลืองผีตายซาก...กากเดนประเทศขึ้นมาทำไมกันจงใจให้เกิดการ ประหัตประหาร ผลาญชีวิตกันกลางเมือง...ภาพที่ทหารถืออาวุธครบมือ ขี่มอเตอร์ไซด์ไล่ล่าชีวิตคนเสื้อแดง...และถือปืนเอ็ม ๑๖ จังก้าอยู่เหนือศรีษะ ผู้หญิงและผู้ชายที่สั่งสลายบริเวณหน้าตลาดไท ริมถนนพหลโยธิน ก็เป็นการรังแกประชาชนกันอย่างสุดขีด!!!!เกมประชาชนฆ่าประชาชน....นับเป็นความสับปะดน...ไม่รู้ว่าใครหนอเป็นคนคิด????
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
เหมือน “ปลิง”ที่เกาะขา “ดูดเลือด”!!
ไม่คิดสะระตะ เป็นฝีมือใคร “หนูนา” กัญจนา ศิลปอาชา ลูกสาวผู้นั่งอยู่บนคานทองนิเวศน์ ของ “ป๋าเติ้ง” บรรหาร ศิลปะอาชา ก็ออกอาการเดือด???
ระเบิดที่ถล่มบ้านจรัญสนิทวงศ์ ที่พำนักบ้านพัก ของ “เสด็จเตี่ยบรรหาร ศิลปอาชา” นั้น...มองให้ดีใครได้ประโยชน์“ม็อบแดง” ไม่มีวันทำ....เรื่องริยำ อันเสียภาพพจน์ระเบิดสังหารที่ลง ทันทีที่มีคนเจ็บระนาว “รัฐบาลไอตีม” มีแต่ได้ผลประโยชน์เนื้อๆ ...ที่จะดึง “พรรคชาติไทยพัฒนา” ให้อยู่ร่วมกับ “รัฐบาลเผด็จการสั่งฆ่าประชาชน”...เกมตื้นๆ ใครลงมือยังมองไม่ออก “พรรคบรรหาร” จึงเป็นแค่ “พรรคลูกไล่”???เขาเอาชีวิต พ่อตัวเองมาต่อลอง......แม้แต่คนไร้กึ๊นส์ไร้สมอง.....เขายังมองออกเลยจะบอกให้???

คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
****************************************************

ยุคดิจิตอล

14 ตุลา 16...6 ตุลา 19...มาจนวันนี้ 28 เมษา 53การเอาชนะทางการเมืองในอดีตถึงปัจจุบัน...ดูเหมือนไม่มีอะไรแตกต่างกัน!โดยเฉพาะการ “ยัดเยียด” ข้อกล่าวหาต่างๆ นานา...และการใช้สื่อบิดเบือนข้อมูล “ความเป็นจริง” จะว่าไปแล้ว...สิ่งเหล่านี้ “ผู้มีอำนาจ” ทุกยุคทุกสมัยมีความถนัด และมักเป็นผู้สร้างสรรค์ในเชิง “ทำลาย” มากกว่าเพื่อประเทือง “สติปัญญา”เพียงแต่ผู้มีอำนาจในยุคนี้จะรู้บ้างหรือไม่ว่า...ยุคสมัยนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปโลกทั้งใบถูกเปลี่ยนจากยุคอนาลอค ไปสู่ยุคดิจิตอล...คนทั่วโลกเปลี่ยนจากใช้ “พิมพ์ดีด” มาเป็น “คอมพิวเตอร์” ผมจะพูดว่า...นี่คือเหตุผลสำคัญที่จะทำให้ประเทศชาติบ้านเมือง

เปลี่ยนแปลงไป...หากคนไทยรู้จักคิดและตามโลกให้ทันดูได้จากความรู้เท่าทัน “เกมการเมือง” ของรัฐบาล...ซึ่งพวกเขายังคงใช้วิธีการ “เก่าคร่ำครึ” พวกเขาเปลี่ยนจากการใส่ร้ายด้วยการให้คนไปตะโกนในโรงหนัง...เป็นมาตะโกนใส่ร้ายกันทางทีวีหากวันนี้เป็นเมื่อ 30 กว่าปีก่อน...อะไรจะเกิดขึ้น?ในเมื่อกลุ่มคนเสื้อแดงถูก “ใส่ร้ายป้ายสี” ให้เป็นคนไม่รักชาติ...ไม่รักสถาบัน...ทั้งที่จุดมุ่งหมาย คือ การเรียกร้องประชาธิปไตยเต็มใบไม่ใช่การเปลี่ยนประเด็น “ใส่สีตีไข่” เป็น

เรื่องร้ายแรงตามคำใครกล่าวอ้าง!ถามว่า...การที่เรา “ถูกจับกรอกหู” ทุกวี่วัน แต่ไม่รู้สึก “คล้อยตาม” กับสิ่งที่ถูกยัดเยียดให้...แต่ยิ่งรู้สึกถึงเป้าหมายอัน “สัปดน” ของคนกลุ่มนี้นั่นเป็นเพราะอะไร?เพราะว่า...ประชาชนจำนวนไม่น้อยเปิดตาเปิดใจกลายเป็นคนในโลกยุค “ดิจิตอล” พวกเขารู้ว่าใครคือ ผู้ก่อการร้ายระดับชาติ ที่ตอกลิ่มให้แผ่นดินไทย แตกแยกเป็นเสี่ยงๆ ตัวจริงวันนี้สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปอย่าง “ถาวร” เป็นอาวุธสำคัญของประชาชนที่เรียกว่า สติ และ

ปัญญา นั่นคือ “ความรู้” ซึ่งเปรียบเป็น “ยาชูกำลัง” เพื่อให้มีแรงไว้ต่อกรกับพวกมีปืน...มีล้อรถถังให้เคลื่อนที่หยุดเถิด “ความกระเหี้ยนกระหือรือ” รุกไล่ประชาชนแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ...เพราะมันจะกลายเป็น “คมหอกดาบ” ที่ย้อนศรกลับมาทำลายล้างตัวท่านเองเชื่อหรือไม่? ผู้มีอำนาจ “กล้ามใหญ่วางโต” บางคน...แม้แต่เครื่องคอมพิวเตอร์ยังเปิดปิดเองไม่เป็น!
คอลัมน์. ปัญหาโลกแตกภูผาหิน
**************************************************