--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เส้นทางชีวิต เอกยุทธ อัญชันบุตร. !!


อุ้มเอกยุทธ,เอกยุทธ อัญชันบุตร

โดย : สุพนธ์ ธนูกฤต

เส้นทางชีวิต "เอกยุทธ อัญชันบุตร" จากนักธุรกิจสู่เส้นทางการเมือง ผู้กล้าหาญประกาศทุ่ม 1 พันล้าน โค่น "ทักษิณ"

นายเอกยุทธ เกิดเมื่อเดือน มิ.ย.2502 เป็นบุตรคนที่ 3 จากจำนวน 5 คนของ ร้อยโทแปลก อัญชันบุตร และ นางนันทา ฉัตรกุล ณ อยุธยา ศึกษาที่โรงเรียนแม้นศรีวิทยา โรงเรียนเทพประสาทวิทยา และเรียนไฮสกูลที่เมืองโอมาฮา รัฐเนแบรสกา สหรัฐอเมริกา ก่อนกลับมาทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างกับพี่ชาย และไปเรียนต่อด้านเศรษฐศาสตร์การเงินการคลังที่มหาวิทยาลัยแปซิฟิก ฮาวาย สหรัฐอเมริกา

เมื่อจบการศึกษา นายเอกยุทธได้เริ่มทำธุรกิจซื้อขายคอมมอดิตี้ และซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า จากนั้นจึงเปิดบริษัทนายหน้าซื้อขายคอมมอดิตี้และเงินตราต่างประเทศ ชื่อ ชาร์เตอร์อินเวสต์เมนต์ เมื่อ พ.ศ.2525 ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2526 เป็นช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากในประเทศสูงถึง 12% เอกยุทธคิดหากำไรจากส่วนต่างดอกเบี้ย โดยกู้เงินจากต่างประเทศด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำประมาณ 3% มาฝากในสถาบันการเงินในประเทศเพื่อทำกำไร และนำกำไรที่ได้ไปลงทุนอสังหาริมทรัพย์เพิ่ม

บริษัทนายหน้าของเอกยุทธในระยะแรกมีเงินลงทุนจากนายทหารและนักการเมืองจำนวนมาก เมื่อเริ่มมีชื่อเสียงจึงมีประชาชนทั่วไปนำเงินเข้าไปลงทุน และรุ่งเรืองถึงขีดสุดเมื่อ พ.ศ.2527 เมื่อประชาชนสมัยนั้นนิยมการลงทุนเงินนอกระบบ เช่น แชร์แม่ชม้อย แชร์แม่นกแก้ว และแชร์ชาร์เตอร์ กระทั่งรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ตราพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 มีการดำเนินคดีกับหัวหน้าวงแชร์ และมีข่าวเตรียมออกหมายจับนายเอกยุทธ ทำให้เขาเดินทางออกนอกประเทศเมื่อกลางปี พ.ศ.2528

เขาหายไปเกือบ 20 ปี กระทั่งกลับมาเป็นข่าวพาดหัวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์รายวันอีกครั้ง เมื่อได้เข้าไปที่พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมประกาศทุ่มเงิน 1 พันล้านบาทเพื่อล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จากนั้นเขาก็เคลื่อนไหวทางการเมืองเรื่อยมา โดยเปิดเว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์และใช้เป็นฐานที่มั่น พร้อมๆ กับเคลื่อนไหวในโลกออนไลน์ ทั้งเฟสบุคและทวิตเตอร์ มีการโพสต์ข้อความต่างๆ ทุกวัน

ก่อนจะหายตัวไปเขามีคดีความฟ้องร้องกับบุคคลต่างๆ หลายคดี เช่น คดีทำร้ายร่างกายผู้จัดการคาราโอเกะซิตี้ เป็นต้น แต่ที่ฮือฮาที่สุดเห็นจะเป็นการเปิดภารกิจลับของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่เดินทางไปโรงแรมโฟร์ซีซั่น ถนนวิทยุ

ข้อความสุดท้ายที่เขาโพสต์เฟสบุค เมื่อวันที่ 6 มิ.ย.56 เวลา 17.01 น. ว่า "ผมเตือนนักลงทุนทั่วไปเมื่อวันที่ 1-6-13 ถึงหุ้น 'ความจริง'...วันนั้นอยู่ที่ 11-12 บาท..และบอกไว้ว่าราคาที่เหมาะสมและเจ้ามือทุนอยู่ที่ประมาณ 6-8 บาท...วันนี้มาให้เห็นแล้ว.."

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
___________________________________

วันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ปลดปล่อยชาวนา !!?

ระหว่าง..การช่วยรับจำนำข้าวจากชาวนา..กับการรับประกันราคาข้าว..อันไหนจะถูกต้องมากกว่ากัน..ก็ต้องมามองกันทีละประเด็น

ประกันราคาข้าว..รัฐบาลก็ขาดอำนาจในการบริหารจัดการ..ไม่สามารถทำให้ราคาข้าวสูงขึ้นหรือต่ำลงได้..เพราะกลไกการตลาดยังอยู่ในกำมือของพ่อค้าข้าวและนายธนาคารที่ผูกขาดสร้างกำไรจากการค้าข้าวมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปี..

ดังนั้น..ประเทศจะต้องสูญเสียแต่เพียงอย่างเดียว..แต่จะไม่มีโอกาสทำกำไร..ในขณะที่ชาวนาคนปลูกข้าว..ก็จะตกอยู่ในสภาพเดียวกันกับรัฐบาล..กล่าวคือ..

ข้าวจะมีราคาต่ำในระหว่างอยู่ในมือชาวนา..และจะมีราคาแพงขึ้นเมื่อพ้นไปจากมือชาวนา..เพราะชาวนาปลูกข้าวเป็น แต่ขายข้าวเองไม่ได้..จะสีเองก็ไม่ได้ จะเก็บไว้ก็ไม่ได้..

คนรวยรายแรกก็คือ..นายธนาคารใหญ่..ที่กลายเป็นผู้กำหนดราคาข้าวตั้งแต่ยังเป็นต้นเขียวอยู่ในท้องนา..จนกลายมาเป็นข้าวพร้อมหุงในร้านสะดวกซื้อ

ส่วนการรับจำนำข้าว...โดยกำหนดราคาไว้ล่วงหน้า..ชาวนาจะรู้แต่เบื้องต้นว่า..ราคาข้าวในมือเขาจะมีราคาเท่าไหร่เมื่อปลูกเสร็จ..ชาวนาจะวางแผนการเพาะปลูกและกำหนดจำนวนของข้าวที่เพาะปลูกได้..ตามกำลังความสามารถของเขา..รวมทั้งการลงทุนเพื่อให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น..

รัฐบาล..สามารถปรับปรุงและควบคุมราคาในตลาดโลกได้..จากการควบคุมการส่งออกและราคา...และสามารถเจรจากับชาติปลูกข้าวทั้งหลายได้..เพื่อทำให้เกิดการตลาดของผู้ขาย..ฯลฯ

แน่นอนว่า...สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้ในทันที..หรือในขวบปีของการเป็นรัฐบาล..

แน่นอนว่า...การกระทำเช่นนี้ย่อมได้รับการต่อต้านจากมาเฟียข้าวที่ครอบครองและควบคุมตลาดข้าวและเป็นจ้าวชีวิตของชาวนา..

ไปดูกันก็ได้ว่า..เงินกู้ในกิจการซื้อขายข้าวของประเทศไทย..ใช้เงินจากธนาคารแห่งใด..และที่น่าอดสูใจยิ่งกว่าก็คือ..ถึงวันนี้นายเก่าเจ้าของธนาคาร..ได้ให้ต่างชาติมาเป็นผู้ได้ประโยชน์..
คงต้องว่ากันอีก...กับสงครามเพื่อปลดปล่อยชาวนา..

โดย:พญาไม้,บางกอกทูเดย์
_--------------------------------------

หลักการดี วิธีคิดเจ๋ง. แต่คนปฏิบัติ มือไม่ถึง !!?

หลักการดี วิธีคิดเจ๋ง... แต่ก็โดนจวกได้ หากว่าคนปฏิบัติมือไม่ถึง-ปล่อยให้มีคนรอบข้างรุมกัดแทะ
กรณี “โครงการรับจำนำข้าว” นวัตกรรมความคิดเพื่อผลงานทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทยยุคที่ อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้นำรัฐบาล และเป็นผู้ที่ผลักดันโครงการรับจำนำข้าว โดยมุ่งหวังที่จะให้ชาวนาไทยลืมตาอ้อาปากได้จริงๆ

เพราะการประกันราคาข้าว หรือการประกันราคาพืชผลทางการเกษตรนั้น ใช้กันมาเนิ่นนานเป็นแค่การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า หรือเป็นแค่การหาเสียงทางการเมืองเฉพาะกิจ ปีต่อปีไปเรื่อยๆไม่รู้จบ เพราะไม่ได้ช่วยให้ชาวนามีรายได้ที่ดีขึ้นแต่อย่างใด

ราคาข้าวตก ก็ประกันราคาพอไม่ให้ขาดทุน ไม่ให้ติดลบ จะได้ไม่มีม็อบชาวนามาลุยรัฐบาล
แต่ชาวนาไม่เคยได้เป็นกอบเป็นกำ ไม่เคยกินดีอยู่ดีเพิ่มขึ้น ในขณะที่รัฐบาลก็ต้องตั้งงบประมาณเอาไว้เพื่อชดเชยการประกันราคาข้าว ราคาผลผลิตทางการเกษตรปีละหลายหมื่นล้านบาททุกปี เป็นวงจรแบบนี้ที่นักการเมืองชอบกันมาก

การเกิดขึ้นของโครงการรับจำนำข้าว ถือเป็นการแทรกแซงราคาข้าวในระดับที่จะทำให้ชาวนาลืมตาอ้าปากได้จริง เพราะราคาที่รับจำนำนั้นสูงมากพอที่จะช่วยให้ชาวนามีรายได้ที่ดี มีชีวิต ครอบครัวและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

ถ้าราคาข้าวต่ำกว่าราคารับจำนำ ชาวนาก็จะไม่ไถ่ถอน เท่ากับขายข้าวได้ในราคาที่จำนำเอาไว้ แต่เมื่อใดที่ราคาข้าวในท้องตลาดสูงกว่าราคารับจำนำ ชาวนาก็จะไถ่ถอนข้าวเอาไปขาย ซึ่งก็จะได้รายได้เพิ่มขึ้น

ด้วยหลักการเช่นนี้พรรคเพื่อไทยจึงประกาศเป็นนโยบายไว้ในตอนหาเสียง ว่าจะใช้นโยบายรับจำนำข้าว เพื่อช่วยเหลือชาวนา ในขณะที่พรรคการเมืองคู่แข่งอย่างพรรคประชาธิปัตย์ที่ยึดติดกับแนวทางอนุรักษ์ ก็เลือกประกาศนโยบายรับประกันราคาข้าว

เพราะรู้ดีว่า เป็นโครงการที่บรรดานักวิชาการในเมืองไทยคุ้นเคยมานาน ยังไงก็ไม่ถูกด่า ไม่ถูกวิพากษ์วิจารณ์แน่ เพลย์เซฟเล่นเสมอตัวง่ายๆ กินนิ่มๆกับวิธีคิดเดิมๆไปชั่วกัปรชั่วกัลป์

และเพราะเป็นโครงการที่เป็นการแข่งขันทางการเมือง พรรคประชาธิปัตย์จึงตั้งป้อมถล่มโครงการรับจำนำข้าวหวังไม่ให้ได้ผุดได้เกิด เนื่องจากขนาดทุกวันนี้ยังแพ้ซ้ำซากมา 20 กว่าปี หากโครงการรับจำนำข้าวเกิดได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ก็ยิ่งจะแพ้ขาดดูไม่จืด ชนิดหาทางชนะยาก

ฉะนั้นระหว่างที่โครงการรับจำนำข้าวยังเตาะแตะอยู่ แถมมีพวกรอบข้างที่วิสัยทัศน์สั้นแต่ความโลภสูง คอยกัดแทะโครงการแบบกินเล็กกินน้อย ตอดไปเรื่อย จึงทำให้กลายเป็นจุดอ่อนที่ถูกถล่มยับทางการเมือง

จำนำข้าวทุจริตสูง!!! ประกาศย้ำเป็นแผ่นเสียงตกร่องทางการเมือง โดยไม่เคยมีใครพูดถึงเลยว่า แล้วการรับประกันราคาข้าวไม่มีการโกงกินไม่มีการทุจริตเลยอย่างนั้นหรือ ที่ผ่านมาการโกงกินโครงการรับประกันราคาข้าวนั้น รู้กันมาตลอดว่า โรงสีและผู้ส่งออกรวยกันพุงปลิ้น รวยกันมากพอที่จะจ่ายเงินสนับสนุนพรรคการเมืองที่นิยมการประกันราคาข้าว

เพื่อที่พรรคการเมืองเหล่านั้น จะได้เป็นรัฐบาลและทำโครงการประกันราคาข้าวไปเรื่อยๆ ทั้งโรงสี ผู้ส่งออก รวมทั้งธนาคารพาณิชย์ยักษ์ใหญ่ทั้งหลายจะได้เป็นเสือนอนกิน เขมือบผลประโยชน์กันเต็มคราบ
สิ่งนี้แหละที่ทำให้โครงการรับจำนำข้าวต้องถูกถล่มหลักในวันนี้

แต่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ถูกถล่มนั้น นอกเหนือจากเรื่องทุจริต ซึ่งในทางการเมืองก็รู้เช่นเห็นชาติกันอยู่ว่าไม่ได้มากมายเป็นหมื่นเป็นแสนล้านบาทอยู่แล้ว เพราะหากมีการทุจริต คอรัปชั่นโกงกินได้เป็นแสนล้านบาท ประเทศชาติก็คงพังพินาศอย่างแน่นอน

จึงต้องมีประเด็นโจมตีในเรื่องการขาดทุนและความเสียหายที่เกิดขึ้นตามมาซ้ำเป็นดาบ 2
ซึ่งตรงนี้แหละที่เป็นจุดอ่อนอีกจุดหนึ่ง ซึ่งรัฐบาลของนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ต้องยอมรับความเป็นจริงว่า โครงการรับจำนำข้าวนั้นสามารถที่จะเกิดความเสียหายขาดทุนได้ หากว่าคนดูแลรับผิดชอบดำเนินการ ไม่มีความสามารถพอ หรือว่ามือไม่ถึงพอที่จะดูแลโครงการ

จุดขาดทุนนั้นอยู่ที่ว่า หากรับจำนำข้าวมาในราคาตันละ 15,000 บาท หากขายได้ตันละ 16,000 บาท อันนี้รัฐบาลมีแต่กำไรกับกำไรเห็นๆ แต่หากขายได้แค่ตันละ 11,000 – 12,000 บาท ก็จะเท่ากับขาดทุนทันทีตันละ 3,000 – 4,000 บาท

ฉะนั้นตรงนี้แหละที่คนรับผิดชอบ จะต้องขายข้าวให้ได้ ในราคาที่ขาดทุนไม่มาก จะต้องหาทางขายข้าวส่งออกข้าวไปให้ได้มากกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ นั่นแหละโครงการถึงจะขาดทุนน้อยเสียหายน้อย หรือไม่ขาดทุนเลย... ขึ้นอยู่กับฝีมือของคนรับผิดชอบ ซึ่งก็คือนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นั่นเอง

ถ้ายังขายข้าวไม่ได้ ขายข้าวไม่ออก หรือขายไปแบบขาดทุนเยอะๆ นายบุญทรงก็จะต้องโดนถล่มทางการเมืองหนักอย่างที่กำลังโดนอยู่ในขณะนี้นั่นแหละ

เพราะเวลานี้ไม่ใช่เพียงแค่ พรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น ที่ถล่มเรื่องจำนำข้าวอย่างหนักทั้งเรื่องทุจริต และเรื่องความเสียหาย แต่พรรคภูมิใจไทย ก็เข้ามาร่วมวงถล่มด้วยแล้วเช่นกัน เพราะไม่ว่าอย่างไรพรรคภูมิใจไทย ที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นหัวหน้าพรรคนั้น ก็ยังเป็นพรรคฝ่ายค้านอยู่ หากไม่ทำอะไรเลยก็คงดูไม่ดี

รวมทั้งล่าสุด นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ก็ร่วมวงสหบาทา ด้วยการโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ชูวิทย์ I'm No.5 อัดแหลก นายบุญทรง และ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ ว่ามีหน้าที่โดยตรงค้าขายข้าวของประเทศ แต่กลับบอกว่ารู้ว่าขาดทุน แต่ะกลับไม่รู้ว่าขาดทุนเท่าไหร่
พร้อมกับเหน็บนายบุญทรงว่าโกหกหน้าตายมืออาชีพ และแขวะพ่วงไปด้วยว่าไม่เหมือนนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ที่โกหกไม่เก่ง ไม่ค่อยเป็น เวลาโกหกสมัยเรียนหนังสือด้วยกัน โดนนายชูวิทย์จับโกหกได้มาโดยตลอด

ตรงนี้สะท้อนว่าทำไมเรื่องจำนำข้าวจึงเป็นประเด็นที่หอมหวนทางการเมือง และเป็นเป้าถล่มเชือดนิ่มๆรัฐบาลได้อย่างสบายไปแล้ว จึงเป็นสิ่งที่นายกฯยิ่งลักษณ์ ควรจะต้องลงมาเคาะให้ทั้งนายบุญทรง และนายกิตติรัตน์ ทำงานให้สมกับที่ได้รับมอบหมายให้นั่งเก้าอี้สำคัญหน่อย

ยิ่งเมื่อเจอรายงานตัวเลขผลการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวจาก น.ส.สุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลฤดูการผลิต 2554/55 ว่าขาดทุน 2.6 แสนล้านบาทเข้าให้ด้วย ยิ่งเหมือนโดนถล่มซ้ำด้วยตอปิโดเลยทีเดียว
กระทรวงพาณิชย์ได้แต่บอกว่าตัวเลขไม่ตรงกัน ตัวเลขไม่ใช่ แต่กลับไม่มีการชี้แจงว่าทำไม รวมทั้งไม่มีการชำแหละตัวเลขของน.ส.สุภา ออกมาด้วยว่า ได้มีการไปรวมอะไรเอาไว้บ้าง จึงได้ขาดทุนมโหฬารขนาดนั้น

ซึ่งหากตัวเลขของ น.ส.สุภา เป็นตัวเลขของนักบัญชีที่ใช้เกณฑ์รับรู้รายได้ขาดทุนล่วงหน้า คือลงตัวเลขขาดทุนเอาไว้ก่อน เพราะรัฐบาลรับจำนำข้าวมาแล้ว มีเงินจ่ายออกไปแล้ว แต่ยังขายข้าวไม่ได้ จึงต้องลงรับรู้ขาดทุนไว้ก่อน ขายได้เมื่อไหร่ค่อยเอารายได้จริงมาลงบัญชีหักออก หากใช้เกณฑ์ทางบัญชีแบบนี้ ยังไงก็เจ๊ง

ตรงนี้กระทรวงพาณิชย์จะต้องมีความเป็นมืออาชีพให้มากพอ จะต้องมีผู้บริหารที่มือถึง และต้องได้นักบัญชีมืออาชีพมาช่วยดูว่า เกณฑ์ตัวเลข 2.6 แสนล้านบาทของ น.ส.สุภา นั้นมาอย่างไร แล้วก็ชี้แจงออกมา

ไม่ใช่ปล่อยให้ฝ่ายค้านเอาตัวเลขของ น.ส.สุภา มาถล่มจนเละ แล้วทำได้แค่ส่ายหัวด็อกแด็กไปมา ก่อนที่จะหลบหน้าหลบตาอย่างที่เกิดขึ้น

เพราะในความเป็นจริง แค่คิดง่ายๆว่า หากรับจำนำมา 15,000 บาท ขายไปเอาแค่ 10,000 บาท เท่ากับขาดทุนตันละ 5,000 บาท รัฐบาลต้องขายข้าว 10 ล้านตัน ถึงจะขาดทุน 50,000 ล้านบาท หากจะให้ขาดทุน 2.6 แสนล้านบาท ก็ต้องขายข้าวมากถึง 50 ล้านตันในราคาที่ขาดทุนตันละ 5,000 บาท นั่นแหละถึงจะขาดทุน 2.5 แสนล้านบาทได้

แล้วถามว่า กระทรวงพาณิชย์ได้มีการขายข้าวขาดทุนจำนวนมหาศาลแบบโง่ๆเช่นนั้นหรือไม่ หากไม่มีก็ต้องเอาตัวเลขออกมาสู้ให้ชาวบ้านได้รับรู้ ให้ฝ่ายค้านไม่สามารถใช้ตัวเลขนี้กล่าวหาได้อย่างเลื่อนลอยอีก ซึ่งตรงนี้แหละคือการบ้านที่นายบุญทรงต้องเร่งทำ ต้องเร่งปิดจุดอ่อนให้ได้

เพราะจุดอ่อนของนายบุญทรงในวันนี้ กำลังกลายเป็นจุดอ่อนของโครงการรับจำนำข้าวไปแล้ว
และหากจะให้ดี ทั้งนายบุญทรง และนายกิตติรัตน์ ต้องมือถึงและรอบรู้พอที่จะรับมือเกมการเมือง ด้วยการชี้ให้เห็นว่า ทุกประเทศในโลกเขาดูแลชาวไร่ชาวนาเกษตรกรเป็นอย่างดี เกษตรกรไร่ถั่ว อย่าง จิมมี่ คาร์เตอร์ ยังร่ำรวยจนเป็นประธานาธิบดีสหรัฐได้มาแล้ว

หรือชาวนาของญี่ปุ่น ได้รับการยอมรับว่ารัฐบาลญี่ปุ่นดูแล ให้งบประมาณอุดหนุน รับซื้อข้าวในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดอ จนถือเป็นชาวนาที่มีรายได้สูงที่สุดในโลก มีเวลาพักผ่อนที่จะบินไปท่องเที่ยวได้ทั่วโลก

ผิดกับชาวนาของไทย ตลอดมาแม้จะได้รับการยกย่องว่าเป็นกระดูกสันหลังของชาติ แต่จนทุกวันนี้ก้เป็นได้แค่กระดูกสันหลังผุๆ

อย่าว่าแต่จะเที่ยวเมืองนอกเลย ขนาดจะเที่ยวในประเทศ ก็ต้องพึ่งพา อบต. หางบ จัดรถทัวร์ให้นั่ง รถต้องออกกลางค่ำกลางคืน ไปถึงทะเลตอนเช้า ได้ไปเล่นน้ำทะเลครึ่งวัน แล้วก็ต้องตะลอนทัวร์กลับบ้านตอนค่ำ ทำได้แค่นั้น เพราะ อบต. การเมืองท้องถิ่นจัดงบแค่ซื้อใจให้เป็นครั้งคราว

ไม่ได้คิดจะให้ชาวนาลืมตาอ้าปากได้จริงๆ... แต่ชาวนาไทยก็บอกว่ามีความสุขแล้ว ติดค้างบุญคุณ อบต.แล้ว นี่คือความจริงที่เกิดขึ้น

ดังนั้นในหลักการแล้ว โครงการรับจำนำข้าว จึงเป็นหนทางที่จะยกระดับคุณภาพชาวนาไทยได้จริงๆ และหากจะเกิดการขาดทุนบ้างเพื่อให้รายได้ผลประโยชน์ตกกับชาวนาจริงๆ งบประมาณที่ขาดทุนก็ไม่ได้ต่างจากการตั้งงบประกันราคาเลยสักนิด

ถือเป็นการใช้งบประมาณขาดทุนเพื่ออนับสนุนชาวนาที่เป็นกระดูกสันหลังของชาติ จะผิดตรงไหน
ซึ่งชาวนาเองก็รู้ ดังนั้นจะเห็นว่าที่ผ่านมาไม่มีชาวนาคนไหนคัดค้านโครงการจำนำข้าว

ที่ค้านเหยงๆก็มีแต่ พ่อค้าคนกลาง ผู้ส่งออก แล้วก็พรรคฝ่ายค้าน... ซึ่งทั้งหมดถามว่าค้านเพราะผลประโยชน์ตัวเอง หรือค้านเพราะทำเพื่อชาวนา

ถึงได้บอกว่า จุดอ่อนของโครงการรับจำนำข้าวจริงๆ อยู่ที่การขาดมือบริหารเก่งๆมาทำงานให้ได้ผล และป้องกันไม่ให้มีการรั่วไหล ไม่ให้มีเหลือบมีปลิงรอบข้างมาโกงกิน

ถ้าทำได้ โครงการรับจำนำข้าวก็จะผ่านฉลุย แต่ถ้ายังปล่อยให้มีจุดอ่อนอย่างทุกวันนี้ ก็โดนถล่มแหลกอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนี้นั่นแหละ

ที่มา.บางกอกทูเดย์
=========================================

พิษจำนำข้าวลาม ปรับ ครม.อื้ออึง !!?

จำนำข้าวพ่นพิษส่อเขี่ย "บุญทรง" พ้นเก้าอี้ "ยิ่งลักษณ์" ปิดปากเงียบ ไม่ยอมตอบรัฐมนตรีพาณิชย์ยังเหมาะอยู่ในตำแหน่งต่อหรือไม่

นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ปฏิเสธที่จะตอบคำถามของผู้สื่อข่าวที่ว่า นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ยังเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่อไปหรือไม่ หลังจากชี้แจงตัวเลขขาดทุนในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลไม่ชัดเจนจนถูกกดดันอย่างหนัก

นางสาวยิ่งลักษณ์ ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ที่จังหวัดกำแพงเพชร โดยย้ำว่า ตัวเลขขาดทุนที่ยังไม่มีความชัดเจนจะไม่เป็นผลลบต่อรัฐบาล เพราะตัวเลขก็คือตัวเลข แต่ทุกอย่างอยู่ในระบบบัญชีและระบบฐานข้อมูลของรัฐอยู่แล้ว เป็นเพียงการประมวลมาเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน ซึ่งได้มอบหมายให้ นายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นำข้อมูลไปรวมกันและชี้แจงอย่างเป็นระบบ พร้อมยืนยันว่าจะเดินหน้าโครงการต่อไป

แต่เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงอนาคตของนายบุญทรง ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายกฯกลับปฏิเสธที่จะตอบคำถาม โดยกล่าวเพียงว่า "พอแล้ว" และเดินหนีกลุ่มผู้สื่อข่าวไปทันที

นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่าที่ครม.แต่งตั้งนายวราเทพ เป็นผู้ชี้แจงโครงการรับจำนำข้าว นั้นเพื่อเป็นคนกลางในกลางรวบรวมข้อมูลจากทุกหน่วยงาน เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ เพื่อที่จะได้มีข้อมูลเดียวกันในการสื่อสารต่อสาธารณะ แต่ไม่ได้มอบให้มาคุมโครงการจำนำข้าวแต่อย่างใด ซึ่งงานของหน่วยงานใดที่รับจำนำข้าว ก็ยังเป็นความรับผิดชอบของหน่วยนั้นๆ อยู่ รวมถึงกระทรวงพาณิชย์ ก็รับผิดชอบการดำเนินโครงการจำนำต่อไปเหมือนเดิม

ทีมงานนายกฯเสนอเขี่ย "บุญทรง"

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เผยว่า ทีมงานของนายกรัฐมนตรีเห็นว่า นายกฯควรตัดสินแก้ไขปัญหาเรื่องจำนำข้าวที่กำลังถูกโจมตีอย่างหนัก โดยมีข้อเสนอให้นายกฯ ปรับ ครม.ในตำแหน่งของนายบุญทรง

"คาดว่าเรื่องนี้จะทำให้นายกฯ พิจารณาปรับ ครม.เร็วขึ้น จากเดิมที่วางไว้ว่าจะประเมินผลงานของรัฐมนตรีในช่วงเดือนส.ค. และรอให้ร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท และร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2557 ผ่านสภาก่อน เพื่อไม่ให้เกิดแรงกระเพื่อมภายในพรรค แต่เมื่อเกิดปัญหาเช่นนี้ จึงมีความจำเป็นต้องปรับ ครม.ก่อน" แหล่งข่าวระบุ และว่า เบื้องต้นนายกฯได้มอบหมายให้ นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกฯ ไปติดตามตรวจสอบปัญหาของโครงการรับจำนำข้าวอย่างใกล้ชิด เพื่อประกอบการพิจารณาด้วย

"ทนุศักดิ์-จารุพงศ์-สุกำพล" ติดโผ

สำหรับรายชื่อรัฐมนตรีที่อยู่ในข่ายถูกปรับออก นอกจากนายบุญทรงแล้ว ยังมีชื่อของ นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งเกี่ยวข้องกับโครงการรับจำนำข้าวโดยตรง คือดูแลทั้งองค์การคลังสินค้า (อคส.) และ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)

อย่างไรก็ดี ถึงที่สุดแล้วยังไม่แน่ว่าจะมีการปรับ ครม.ทั้ง 2 ตำแหน่งนี้ได้หรือไม่ เพราะทั้งนายบุญทรง และนายทนุศักดิ์ เป็นรัฐมนตรีในโควตาของ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย พี่สาวของนายกฯ

"แต่ถ้าไม่เปลี่ยนหรือไม่ทำอะไรเลย รัฐบาลพังแน่" หนึ่งในทีมงานของนายกฯ กล่าว และว่านายกรัฐมนตรีอยู่ระหว่างการพิจารณาเพื่อความรอบคอบ คาดว่าจะใช้เวลาอีก 1-2 วัน

ส่วนรัฐมนตรีคนอื่นๆ ที่มีโอกาสถูกเปลี่ยนตัว เพราะผลงานไม่เข้าตานั้น อาทิ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก และ นายประชา ประสพดี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ นางสาวศันสนีย์ นาคพงศ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นต้น

พท.ร้องดีเอสไอสอบ "ประกันรายได้"

ด้าน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ไม่ทราบเกี่ยวกับกระแสข่าวที่ว่าจะมีการปรับ ครม.ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์เนื่องมาจากปัญหาโครงการรับจำนำข้าว แต่ส่วนตัวไม่มีปัญหา เพราะเป็นคนทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย เหมือนนักฟุตบอลที่ผู้จัดการทีมบอกว่าให้ลงเล่นนาทีที่เท่าไรก็ต้องลง บอกว่าออกมาพักนาทีที่เท่าไรก็ว่าไปตามนั้น คงไม่ไปก้าวล่วงดุลพินิจของนายกรัฐมนตรี

วันเดียวกัน นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ได้เดินทางไปที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และได้ยื่นหนังสือถึง นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ เพื่อตรวจสอบโครงการประกันรายได้ชาวนาในสมัยรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยระบุว่าคณะทำงานตรวจสอบของพรรคเพื่อไทยได้ตรวจสอบตัวเลขจากการปิดบัญชีโครงการประกันรายได้ พบว่าน่าจะมีตัวเลขขาดทุนสูงถึง 1.3 แสนล้านบาท ไม่ได้ขาดทุน 6 หมื่นล้านบาทตามที่พรรคประชาธิปัตย์อ้าง จึงอยากให้ดีเอสไอช่วยตรวจสอบต่อด้วย

"ยืนยันว่าการเข้าร้องทุกข์ครั้งนี้ไม่ใช่การแก้เกี้ยวกรณีที่รัฐบาลถูกโจมตีว่าขาดทุนจากโครงการรับจำนำข้าวถึง 2.6 แสนล้านบาท" นายพร้อมพงศ์ กล่าว

"ธีระชัยชี้"ประกัน"ดีกว่า"จำนำ"

นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คส่วนตัวระบุว่า นโยบายประกันรายได้ ส่งผลดีกว่านโยบายรับจำนำข้าว เพราะผลประโยชน์ถึงมือชาวนาเต็มเม็ดเต็มหน่วยกว่า คือ รัฐขาดทุนเท่าไร ชาวนาก็ได้ประโยชน์เท่านั้น

แต่ไม่ว่าจะเป็นนโยบายประกันหรือจำนำ ประเด็นหลัก คือ ต้องมีการประเมินตัวเลขขาดทุน และประเมินภาระต่อรัฐให้ถูกต้องน่าเชื่อถือ และต้องชี้แจงให้ชัดว่าภาระดังกล่าว รัฐบาลจะหาเงินจากไหนมาใช้รองรับโครงการ ถ้าไม่เปิดเผยตัวเลขหรือให้ตัวเลขที่ไม่น่าเชื่อถือ บริษัทจัดอันดับเครดิตและนักเศรษฐศาสตร์ก็จะประเมินกันเอง และหากขาดทุนถึงขั้นที่ประเทศถูกเตือนหนักๆ หรือถูกลดเครดิต ก็จะไม่ต่างอะไรกับสถาบันระดับโลกให้ vote of no confidence แก่รัฐบาล

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++

ครม.ไฟเขียวดึงเงิน รอบ 2 โปะ จำนำข้าว !!?



ครม.ไฟเขียวรวมปริมาณ-วงเงิน รับจำนำข้าวเปลือกปี 2555/56 หวังดึงเงินรอบ 2 โปะรอบแรก พร้อมกำหนดวงเงินปิดบัญชีวันที่ 31 ธ.ค.56 ไม่เกิน 5 แสนล.

รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กำลังมีปัญหาในโครงการจำนำข้าวอย่างหนัก โดยเฉพาะในเรื่องของเงินทุนในการทำโครงการ หลังจากใช้เงินไปกว่า 6.1 แสนล้าน และมีการประเมินตัวเลขขาดทุนสูงถึง 2.6 แสนล้าน จากคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำสินค้าเกษตรและการคาดการณ์ของสถาบันจัดอันดับเครดิต มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ว่า โครงการนี้จะขาดทุนถึง 2 แสนล้านบาท

ในการประชุมครม.วานนี้ (10 มิ.ย.) ที่ประชุมจึงได้ปรับเปลี่ยนโครงการ โดยเห็นชอบให้รวมโครงการรับจำนำข้าวปี 2555/56 ครั้งที่ 1 กับครั้งที่ 2 เข้าด้วยกัน เพื่อยืดหยุ่นในการใช้เงินโครงการ

นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ครม.มีมติเห็นชอบให้รวมปริมาณและวงเงินของโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/56 ในครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 เข้าด้วยกัน เพื่อให้การดำเนินการมีความยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่กรอบปริมาณการรับจำนำ ภายใต้โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/56 ครั้งที่ 1 เกินกว่ากรอบที่ ครม.ได้เคยอนุมัติไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์เสนอขอขยายกรอบปริมาณและกรอบวงเงิน ในการดำเนินโครงการดังกล่าว ต่อคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) เพื่อพิจารณาและเสนอครม.ทราบต่อไป แต่ทั้งหมดต้องไม่เกินกรอบปริมาณ 22 ล้านตัน และกรอบวงเงิน 5 แสนล้านบาท

ชี้รอบ1 ใช้เต็มกรอบเงิน 2.4 แสนล้าน

ทั้งนี้ ที่ประชุม ครม.ได้รับทราบผลการพิจารณา เรื่องโครงการรับจำนำข้าวเปลือกปีการผลิต 2555/56 ครั้งที่ 2 ตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองฯ คณะที่ 3 (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ที่มี นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นประธานกรรมการพิจารณา ไปเมื่อวันที่ 7 มิ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งได้มีการอภิปรายถึงปัญหาที่เกิดจากโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล โดยกระทรวงพาณิชย์ได้ชี้แจงว่า ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้ดำเนินการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/ 56 ครั้งที่ 1 ไปเกือบเต็มกรอบปริมาณรับจำนำจำนวน 15 ล้านตัน ในวงเงินที่อนุมัติ 2.4 แสนล้านบาท ตามมติ ครม. ทำให้ ธ.ก.ส.หยุดจ่ายเงินให้กับเกษตรกร

ขณะที่ผลการรับจำนำข้าวครั้งที่ 2 มีเพียง 4 ล้านตัน คิดเป็นวงเงินที่จ่ายไปกว่า 5หมื่นล้านบาทจากกรอบวงเงินที่ กขช.อนุมัติ 1.05 แสนล้านบาท ซึ่งคาดว่าเมื่อโครงการสิ้นสุดปริมาณรับจำนำข้าวครั้งที่ 2 จะมีเพียง 7 ล้านตัน กขช.จึงมีมติอนุมัติให้รวมปริมาณรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/56 ในครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 เข้าด้วยกัน เพื่อให้การบริหารโครงการมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

ดึงเงินจำนำรอบ 2 โปะรอบแรก

การดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2554/55 และ 2555/56 ได้ใช้เงินหมุนเวียนเกือบเต็มวงเงิน 5 แสนล้านบาท ที่เป็นกรอบวงเงินที่กำหนดไว้ว่ามาจาก 2 แหล่งได้แก่ เงินทุน ของ ธ.ก.ส.จำนวน 9 หมื่นล้านบาท และเงินกู้จากสถาบันการเงิน จำนวน 4.1 แสนล้านบาท โดยวงเงิน 5 แสนล้านบาทนั้น มีการใช้ไปเกือบเต็มวงเงินแล้ว จึงอาจทำให้ในบางช่วงเวลาระหว่างที่รอเงินจากการระบายข้าว อาจทำให้มีการใช้เงินกรอบวงเงินที่กำหนดไว้ และทำให้ ธ.ก.ส.ต้องสำรองจ่ายเงินกู้เพิ่มเติมไปก่อน

ดังนั้น เพื่อให้โครงการรับจำนำข้าวเปลือกมีสภาพคล่องและมีการบริหารเงินได้มีประสิทธิภาพ จึงกำหนดให้มีการนำเงินที่ได้จากการระบายผลผลิตทางการเกษตรตั้งแต่ปี 2554/55 เป็นต้นไป ไปชำระคืนเงินทุนแก่ ธ.ก.ส. จำนวน 9 หมื่นล้านบาท ให้เสร็จสิ้นก่อน แล้วจึงค่อยชำระคืนเงินกู้จากสถาบันการเงิน โดยเงินทุนของ ธ.ก.ส.สามารถนำกลับมาใช้หมุนเวียน

สำหรับการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกปีการผลิต 2555/56 ได้ และ ธ.ก.ส.สามารถสำรองจ่ายเงินกู้ชั่วคราวไปก่อน ระหว่างรอเงินจากการระบายข้าวได้ โดยให้คิดอัตราเงินชดเชยเงินต้นทุนและค่าบริหารโครงการให้กับ ธ.ก.ส.ในอัตราเดิมคือ FDR+1 (2.9875%) ของต้นเงินคงเป็นหนี้ รวมทั้งให้ค่าบริหารโครงการกับ ธ.ก.ส.ในอัตรา 2.25% ของเงินที่ได้ทดรองจ่ายไปแล้ว โดยกำหนดให้กระทรวงพาณิชย์ทำความตกลงกับ ธ.ก.ส. เป็นคราวๆ ไป

ทั้งนี้ ควรระบุให้ชัดเจนด้วยว่า ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2556 โครงการรับจำนำข้าวเปลือกปีการผลิต 2554/55 และปี 2555/56 ต้องอยู่ในกรอบวงเงินไม่เกิน 5 แสนล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังรับภาระชำระคืนเงินต้น ดอกเบี้ย จากการกู้ยืมเงิน ค่าใช้จ่ายต่างๆ และผลขาดทุนทั้งหมด จากการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/56 ทั้งในส่วนที่กระทรวงการคลังจัดหาให้และในส่วนที่ใช้เงินทุนของ ธ.ก.ส.

สศช.จี้ปิดบัญชีไม่เกิน5แสนล้าน

ด้าน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ทำรายงานความเห็นประกอบเรื่องนี้เสนอต่อที่ประชุม ครม. 3 ข้อเพื่อให้การบริหารโครงการฯมีประสิทธิภาพ ได้แก่ 1.การปิดบัญชีกรณีใดๆก็ตาม ซึ่งกรณีที่ต้องใช้เงินเพิ่มเติม จะต้องปิดบัญชีให้อยู่ในกรอบวงเงินไม่เกิน 5 แสนล้านบาท ตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ เมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2556

2.กระทรวงพาณิชย์ควรจัดทำรายงานผลการดำเนินงาน การระบายสต็อกข้าว และกระแสเงินสดของโครงการรับจำนำข้าวเปลือกที่มีอยู่ ให้ ครม.รับทราบเป็นระยะๆ ซึ่งเป็นไปตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 29 มี.ค. 2555, 1 พ.ค. 2555 และ 31 มี.ค. 2555 เพื่อให้ ครม.มีข้อมูลในการตัดสินใจเชิงนโยบายที่เกี่ยวข้องต่อไป นอกจากนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ ควรจัดทำระบบการกำกับการตรวจสอบการดำเนินงานของโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ทั้งกระบวนการให้มีความรัดกุม

แนะจำกัดปริมาณจำนำ-พื้นที่ผลิต

และ 3.เพื่อให้มีการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกในระยะต่อไปมีประสิทธิภาพและลดภาระงบประมาณรายจ่ายของโครงการฯ กระทรวงพาณิชย์ ควรพิจารณาจำกัดปริมาณรับจำนำและพื้นที่การผลิตต่อครัวเรือนเกษตรกร โดยเน้นเกษตรกรรายย่อย รวมทั้งเกษตรกรที่เพาะปลูกข้าวในพื้นที่ที่เหมาะสม ตามประกาศเขตพื้นที่เหมาะสมในการปลูกพืชเศรษฐกิจของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตลอดจนกำหนดราคา ให้สอดคล้องกับราคาของตลาดโลก เพื่อให้ข้าวไทยสามารถแข่งขันกับคู่แข่งอื่นๆ และรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนได้

นายกฯมึนพาณิชย์เสนอรวมโครงการ

แหล่งข่าวจากที่ประชุม ครม. เปิดเผยว่า บรรยากาศในการประชุม ครม. จังหวัดกำเเพงเพชรวานนี้ มีเรื่องที่กระทรวงพาณิชย์ขอให้นำเสนอครม.พิจารณาทบทวนมติเมื่อวันที่ 31 มี.ค. 2556 ในเรื่องของวงเงินรับจำนำข้าวเปลือกปีการผลิต 2555/56 ครั้งที่ 2 ซึ่งวาระดังกล่าวเสนอเข้ามาโดยฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกลั่นกรองฯ คณะที่ 3 (ฝ่ายเศรษฐกิจ) โดย นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ ได้ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ในการอธิบายสาเหตุของการนำเสนอวาระดังกล่าวเข้าครม. แต่ปรากฏว่า เมื่ออธิบายจบ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และครม.ก็ยังไม่เข้าใจ

"คือ นายกฯ ถามง่ายๆ ว่า ทำไมคุณต้องรวมข้าวนาปีกับนาปรัง แต่นายบุญทรงตอบไม่ได้ พูดประมาณเกือบ 10 นาที แต่ผลสรุปก็ตอบนายกฯ ไม่ได้ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ และรมว.คลัง จึงช่วยอธิบาย เพราะว่านายกิตติรัตน์เป็นประธานคณะกลั่นกรองฯ เรื่องนี้ และนายวราเทพ รัตนากร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นอดีตรมช.คลัง ก็ช่วยอธิบายอีกคน รวมทั้งนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ ก็ช่วยอีกหนึ่งแรง จนสรุปเป็นมติครม.ได้ และ นายกฯ จึงยิ้มได้" แหล่งข่าวครม. กล่าว

มอบ "วราเทพ" รวมข้อมูลชี้แจง

แหล่งข่าวกล่าวเพิ่มเติมว่า นายกฯถามในที่ประชุมครม.นายบุญทรง ก็ตอบไม่ได้ จึงได้มอบหมายให้นายวราเทพ รัตนากร รมต.ประจำสำนักนายกฯ เป็นผู้รวบรวมข้อมูลโครงการรับจำนำข้าวเพื่อช่วยชี้แจงอีกทาง โดยนายกฯ เน้นให้มีการพูดคุยถึงเรื่องโครงการรับจำนำข้าว เพราะยังมีประชาชนรวมทั้งสื่อมวลชนเข้าใจผิดอยู่ จึงมีการพูดถึงเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ

"ปรีดิยาธร"ชี้ดันทุรังเจอหั่นเครดิตแน่

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ตัวเลขขาดทุน 2 แสนล้านที่สถาบันจัดอันดับเครดิต มูดี้ส์ ประเมินนั้นถือว่าถูกต้อง แม้ว่าภายหลัง มูดี้ส์ จะออกมาบอกว่าไม่นำมาใช้ในการพิจารณาลดอันดับเครดิตไทยก็ตาม แต่หากรัฐบาลยังคงดำเนินโครงการนี้ต่อไปและขาดทุนเพิ่มสูงขึ้นก็เป็นไปได้ที่จะส่งผลต่อตัวเลขหนี้สาธารณะและ มูดี้ส์ ก็อาจจะนำมาใช้พิจารณาการจัดอันดับเครดิตไทย

"สิ่งที่คิดต่อไปได้ คือ ปีการผลิต 2555/2556 จะขาดทุนอีกเท่าไรหรือในอนาคตจะหยุดหรือไม่ ถ้ายังเดินต่อ มูดี้ส์ จะคิดได้เลยว่าต้องขาดทุนปีละ 2 แสนล้านบาท เป็นแบบนี้เรทติ้งก็จะตก ส่วนข้อมูลขาดทุน 2 แสนล้านบาทนั้น อาจจะน้อยกว่าความเป็นจริงด้วยซ้ำ" ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว

จี้รัฐบาลเลิกโครงการจำนำทันที

เขาเสนอให้รัฐบาลยกเลิกโครงการรับจำนำ และหาโครงการอื่นๆ ที่สามารถทำให้ชาวนา ได้รับผลประโยชน์ที่เต็มเม็ดเต็มหน่วยและเป็นการยกระดับคุณภาพชาวนา เพราะว่าการเสียหายจากโครงการนี้ ส่งผลต่อคุณภาพข้าวเสื่อม อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงความเสียหายอื่นๆ ซึ่งชาวนาจริงๆ ที่ได้ประโยชน์มีเพียง 1 ใน 3 หรือประมาณ 40% ของงบประมาณโครงการ

"ทางออกที่รัฐบาลจะลดราคาจำนำข้าว จะยิ่งทำให้ชาวนาได้ประโยชน์น้อยลงอีก เพราะส่วนที่สูญเสียจากข้าวที่เสื่อมคุณภาพ อัตราดอกเบี้ย ยังมีอยู่ เพราะข้าวก็ยังเข้ามากองอยู่ในมือรัฐบาล แนะนำว่าถึงเวลาที่ต้องเลิก ทิฐิ เพราะวิธีนี้ประเทศชาติเสียหายมาก หาวิธีอื่นที่ยกระดับชาวนา ถึงเวลาที่ต้องใช้สมองบ้างแล้ว"

เขาเห็นว่า การคำนวณผลการขาดทุนของโครงการ ระหว่างข้อมูลของกระทรวงการคลังและมูดี้ส์ว่า ผลลัพธ์ที่ออกมาไม่แตกต่างกันและเป็นตัวเลขที่ถูกต้องทั้งคู่ มีเพียงสมมติฐานที่ใช้ในการคำนวณเท่านั้น โดย มูดี้ส์ คำนวณรวมผลสูญเสียที่จะเกิดขึ้นตามมาหลัง จากการขายข้าวได้ทั้งหมด โดยประมาณการไว้ว่าจะหมดภายใน 4-6 ปี แต่คณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำสินค้าเกษตรคำนวณเพียงการรับจำนำข้าว ปี 2554/55 เพียงปีเดียว

ชี้ขาดทุนปีละ 2 แสนล้านบาท

การคำนวณของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำสินค้าเกษตร แบ่งเป็นส่วนของต้นทุน ประกอบด้วย วงเงินที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ( ธ.ก.ส.) จ่ายออกไปเพื่อใช้ในการรับจำนำข้าว ประมาณ 336,000 ล้านบาท รับจำนำข้าวปีการผลิต 2554/2555 ทั้ง ข้าวนาปีและนาปรัง 5,317,684 ล้านตันข้าวเปลือก รายจ่ายในการแปรสภาพข้าว รายจ่ายในการขนส่งข้าวสารไปยังโกดังกลาง รายจ่ายในการเก็บข้าวสาร จนถึงวันปิดบัญชีโครงการ
ดอกเบี้ยที่เกิดจากหนี้ที่ยังค้างอยู่จนถึงวันปิดบัญชีโครงการ และรายจ่ายอื่นๆ ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด หักจาก ส่วนของ รายรับ ประกอบด้วย รายได้จากการขายข้าวส่วนที่ขายออกไปแล้ว รวมกับส่วนของข้าวสารที่ยังไม่ได้ขายออก โดยอ้างอิงราคาข้าวในวันที่ปิดบัญชีโครงการ ซึ่งผลปรากฏว่ารายรับน้อยกว่าที่ต้นทุน ซึ่งเป็นผลขาดทุนประมาณ 136,800 ล้านบาท


มูดี้ส์ประเมินขายข้าวหมดใน 4 ปี

ขณะที่สมมติฐานของมูดี้ส์ที่ประเมินว่า การขาดทุนในโครงการจำนำข้าว ประมาณ 2 แสนล้านบาทนั้น ประกอบด้วยการขายข้าวที่เหลือตามราคาเดือนม.ค.-ก.พ. 2556 ขาดทุน 136,800 ล้านบาท รวมกับผลสูญเสียที่จะเกิดขึ้นตามมาหลังจากการขายข้าวทั้งหมด โดยประมาณการไว้ภายใน 4-6 ปี ในกรณีที่รัฐบาลรับจำนำข้าว 21.4 ล้านตันข้าวเปลือก หรือ 13-14 ล้านตันข้าวสาร รวมกับอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ปีละ 6,000-10,000 ล้านบาท ค่าเสื่อมสภาพข้าวทำให้ราคาข้าวลดลง เพราะน้ำหนักลดและคุณภาพเสื่อมอย่างน้อยปีละ 10% คิดเป็น 13,000-15,000 ล้านบาทต่อปี ส่งผลขาดทุนเพิ่มขึ้นจากเดิมปีละ 19,000-25,000 ล้านบาท ดังนั้น ถ้าขายข้าวหมดภายใน 4-5 ปี ก็จะส่งผลขาดทุนถึง 200,000 ล้านบาท ซึ่งยังไม่นับค่าเก็บรักษาข้าวสารและค่าใช้จ่ายอื่นๆ

"ถึงเวลาเลิกหลอกประชาชน และขาดทุนขนาดนี้ก็ถึงเวลาทบทวน รัฐบาลควรแถลงข้อมูลให้ชัดเจน ถ้าไม่กลัวว่าคนอื่นจะหาว่าตัวเองทำอะไรผิดต่อประเทศชาติ ก็เปิดข้อมูลมา ว่าเหลือเท่าไร จะได้คำนวณว่าในที่สุดขาดทุนเท่าไร มันถึงเวลาพูดให้ชัดซะที"

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ไม่จริง ไม่เชื่อ !!!??

เพิ่งได้ไปเห็นนครวัดนครธมเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ก่อนหน้านั้นได้แต่งะเง้อมองข้ามชายแดนไปยังฝั่งปอยเปตอยู่ 2-3 ครั้ง ยามที่ไปสัมมนาหรือทัศนศึกษาใกล้ๆ บริเวณนั้น แล้วไปเดินดู "ของปลอม ของปล่อย" แถวตลาดโรงเกลือ อรัญประเทศ
   
ครั้งแรกที่มาชายแดนระหว่างไทยกับเขมรก็คือตอนที่อายุ 10 ขวบ ซึ่งเป็นเวลาที่ผ่านมากว่า 40 ปี จำได้ว่าฝั่งตลาดปอยเปตที่อยู่ตรงข้ามมีแค่ตึกแถวไม่กี่หลัง แต่ที่สะดุดตาที่สุดก็คือป้ายไม้ขนาดเขื่องวาดเป็นภาพนครวัดมองเห็นได้แต่ไกลๆ คล้ายๆ จะเป็นการประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ไปเที่ยว จึงฝังใจมาตั้งแต่นั้นว่าจะต้องไปดูปราสาทเหล่านั้นให้ได้ ดังนั้นก่อนที่จะได้ไปเห็นจริงๆ ในคราวนี้จึงได้เตรียมศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับปราสาทหินและเมืองเสียมเรียบไว้อย่างมากมาย ซึ่งก็พบว่าเกือบทั้งหมดล้วนแต่พรรณนาถึงความ "อัศสะจอรอหัน" หรืออัศจรรย์ในการสร้างปราสาทเหล่านั้นว่า "ทำได้ยังไง"
   
หนังสือเล่มหนึ่งที่ "ต้องอ่าน" ก่อนไปเที่ยวเขมรเล่มหนึ่งก็คือ "ถกเขมร" เขียนโดยท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งท่านเขียนไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2495 ก่อนที่เขมรจะฟ้องไทยเรื่องปราสาทเขาพระหาร (โดยเจ้าสีหนุที่ขึ้นมาบริหารประเทศใน พ.ศ. 2498 แล้วก็ได้นำปราสาทเขาพระวิหารขึ้นฟ้องศาลโลกในปีนั้น แต่กว่าที่จะมาตัดสินก็ใน พ.ศ. 2505 แล้วก็ตัดสินให้เขมรได้ตัวปราสาทไป กระทั่งในต้นปีนี้เขมรได้ขอให้ศาลโลกตีความเพื่อจะเอาดินแดนรอบๆ ปราสาทไปดูแลด้วย ดังที่ได้มีการแถลงสู้กันเมื่อกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยจะมีคำตัดสินออกมาในสิ้นปีนี้) โดยการเดินทางเต็มไปด้วยความระหกระเหินและแย่มากๆ ทั้งการขอวีซ่า เครื่องบิน และถนนหนทางในเขมรยุคนั้น
   
อนึ่ง "ถกเขมร" ที่เป็นชื่อหนังสือที่หลายท่านอาจจะมีความเข้าใจว่าเป็นการ "ถกแถลง" เรื่องเขมร แต่ความจริงผู้เขียนต้องการแสดงถึงแฟชั่นโบราณอย่างหนึ่งของชายไทย คือการนุ่งผ้าขาวม้าแล้วรวบชายผ้าที่อยู่ข้างหน้าลอดไปใต้หว่างขาแล้วไปเหน็บไว้ที่ขอบเอวด้านหลัง คนโบราณเรียกว่า "นุ่งหยักรั้ง" หรือ "ถกเขมร" ซึ่งจะเห็นต้นขาที่คนโบราณใช้อวดลายสักต่างๆ
   
ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์กล่าวถึงประวัติศาสตร์ของเขมรว่า "ค่อนข้างเลอะเลือน" เพราะส่วนใหญ่แล้วถูกชาติต่างๆ ครอบครองมาตลอดประวัติศาสตร์นับเป็นพันๆ ปีนั้น คนเขมรเป็นเหมือน "ชาวพื้นเมือง" เป็นเจ้าของพื้นที่แต่ไม่มีอำนาจและสิทธิ์ขาดอะไรมากนัก เพราะมีชาติอื่นเป็นผู้ปกครอง แม้แต่ปราสาทหินต่างๆ ก็ถูก "ขอม" ซึ่งเป็นชาติมหาอำนาจจากทางใต้ที่เรียกว่าอาณาจักรศรีวิชัยมาบังคับให้สร้าง คนเขมรเป็นแค่ผู้ใช้แรงงานหรือคนงานในการก่อสร้างเท่านั้น
   
ท่านอาจารย์พูดถึงการสร้างปราสาทหินของเขมรว่า "เราได้เดินดูปราสาทนครวัดอยู่หลายรอบหลายตลบ...ยิ่งดูไปก็ยิ่งเห็นอัศจรรย์ในการก่อสร้าง...เมื่อปราสาทนั้นก่อเสร็จด้วยแรงคนนับหมื่นนับแสน...คิดดูแล้วก็เห็นว่าเกินกำลังดันทางศิลปะ เกินศรัทธาและเกินความฝันของมนุษย์...สิ่งเดียวที่ก่อกำเนิดและเร่งรัดการก่อสร้างนี้ไปจนสำเร็จเป็นรูปร่างขึ้นมาได้ก็คือ อำนาจ อำนาจที่เห็นแก่ตัวจนเคลิ้มฝันเห็นตัวเองเป็นเทวราชผู้ครองโลก...ถ้าหากว่าเหงื่อและน้ำตาตลอดจนชีวิตของมนุษย์ที่ถูกเกณฑ์เอามาสร้างนครวัดนี้สามารถตักตวงเอาไว้ได้ เหงื่อ น้ำตา และชีวิตนั้นก็คงจะท่วมท้นคูที่ล้อมรอบนครวัดนั้นอยู่..."
   
ครับ อ่านดูแล้วก็หดหู่ แต่ก็นำมาสู่ความคิดที่อยากจะเสริมความคิดเห็นของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์อยู่บางเรื่อง โดยเฉพาะในความคิดเห็นที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เชื่อว่า ปราสาทหินที่สำเร็จได้ทั้งปวงนี้ก็ด้วยพลังของ "อำนาจบังคับ" เพราะถ้าเราสังเกตงานฝีมือโดยเฉพาะการแกะสลักหินซึ่งก็คงต้องใช้ช่างที่เป็นคนเขมร ทั้งที่เป็นลวดลายต่างๆ และที่โดดเด่นที่สุดก็คือบรรดารูปแกะสลักนางอัปสรทั้งหลาย น่าจะต้องเป็นคนที่มีอารมณ์สุนทรีย์หรือมีความสุขความสบายอยู่บ้างจึงจะสามารถแสดงความงดงามทั้งหลายออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ
   
พลังที่สร้างความงดงามเยี่ยงนี้อาจจะเกิดจาก "แรงศรัทธา" หรือ "ความเชื่อ" อะไรที่รุนแรงหรือสูงส่งร่วมอยู่ด้วย เหตุผลก็คือ การบังคับกดขี่ผู้คนไม่น่าจะดำเนินอยู่ได้หลายร้อยปี (โดยนักโบราณคดีพบว่าการก่อสร้างปราสาททั้งหลายเริ่มขึ้นราวปลายพุทธศตวรรษที่ 13 ต่อเนื่องกันไปจนถึงต้นพุทธศตวรรษที่ 19 เป็นเวลากว่า 500 ปี) โดยที่กษัตริย์ขอมน่าจะมี "กุศโลบาย" หรือใช้จิตวิทยามวลชนบางอย่างในการโน้มน้าวหรือ "โฆษณาชวนเชื่อ" ให้คนเขมรมาร่วมมือร่วมใจในการสร้างปราสาทหินอย่างเต็มใจ(ในระดับหนึ่ง)
   
โดยที่กษัตริย์ขอมซึ่งมีทั้งยุคที่นับถือฮินดูและยุคที่นับถือพุทธ อาจจะสร้างแรงศรัทธาว่า ใครที่มาร่วมสร้างจะได้ไปเกิดในสวรรค์(ตามแนวคิดฮินดู) หรือได้บุญสูงส่ง(ตามแนวคิดพุทธ) รวมทั้งอาจจะมีการให้อามิสสินจ้างหรือรางวัลหลอกล่อ อย่างเช่น ปลดปล่อยจากความเป็นทาส หรือให้ยศถาบรรดาศักดิ์(จริงบ้างหลอกบ้าง)เพื่อจูงใจ ซึ่งเหตุผลในข้อนี้ก็ยังมีตัวอย่างอยู่ในปัจจุบัน ในประเทศที่ล้าหลังทางการเมือง(คุ้นๆ บ้างไหม)ที่คนส่วนใหญ่ของประเทศยังถูกผู้มีอำนาจหลอกใช้อยู่เป็นประจำ
   
เรื่อง "แรงศรัทธา" หรือถ้าจะแปลความให้กระชับที่สุดก็คือ "พลังความเชื่อที่มั่นคงแข็งแรง" อย่างเช่น ความเคร่งครัดในการนับถือศาสนาของคนเคร่งศาสนา หรือความบ้าคลั่งของความเชื่อในบางลัทธิ สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้ ทั้งที่เป็นการ "สร้างสรรค์" หรือการ "ทำลาย" ซึ่งในทางการเมืองของหลายๆ ประเทศก็ปรากฏมีให้เห็นเสมอมา
   
ระหว่างที่ค้นคว้าเรื่องเขมรนี้ ผู้เขียนก็ได้ไปอ่านหนังสือรวมเรื่องสั้นของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ เพื่ออ่านเรื่อง "เรื่องสั้นสมัยหิน" ที่เกี่ยวกับชีวิตรันทดของช่างหนุ่มที่แกะสลักนางอัปสร จึงได้ไปอ่าน(ซึ่งก็เคยอ่านมาหลายครั้งแล้ว)เรื่องสั้นอีกเรื่องหนึ่งชื่อว่า "ไม่เชื่อ ไม่จริง" เป็นเรื่องของพลังความเชื่อของชาย 2 คนที่ตายในอุบัติเหตุรถไฟตกรางที่ดอนเมือง ที่เมื่อตายไปแล้วก็ไปเจอยมบาล แต่ด้วยความที่ไม่เชื่อว่านรกจะดู "หน่อมแน้ม" คือไม่โหดร้ายทารุณอย่างที่เคยรู้มา จึงพากันตะโกนขึ้นว่า "ไม่เชื่อ ไม่จริง" ที่สุดนรกก็หายไป และชายทั้งสองก็ฟื้นมีชีวิตอีกครั้ง
   
ชายคนหนึ่งพูดขึ้นว่านี่คงจะเป็นด้วยพลังของ "ความไม่เชื่อ" ชายอีกคนหนึ่งจึงอยากพิสูจน์ ทั้งสองจึงพากันไปที่หน้าทำเนียบรัฐบาล แล้วตะโกนขึ้นด้วยเสียงดังที่สุดพร้อมๆ กันว่า "ไม่เชื่อโว้ย ไม่จริงโว้ย" ส่วนทำเนียบรัฐบาลจะพังหรือไม่นั้นคงจะต้องไปอ่านตอนจบของเรื่องนี้เอาเอง
   
หรือถ้าอยากจะพิสูจน์ด้วยตนเองก็พากันไปตะโกนดังๆ ให้เต็มท้องถนน ทุกๆ วัน

ที่มา.สยามรัฐ
////////////////////////////////////////////////////////

ดอกเบี้ยเสมอเงินเฟ้อ !!?

แย่ดีที่สุด

โอฬาร สุขเกษมการค้าส่งออกของไทยแย่อย่างต่อเนื่อง แถมตัวเลขรายงานการส่งออกผิดไป เพราะไปรายงานตัวเลขสูงเกินจริง ส่งออกพิกัดศุลกากร84733090000 ส่งออกจริง 12,803 ดอลลาร์สหรัฐฯ

แต่ออกตัวเลขส่งออกว่า มีมูลค่าประมาณ  1,289  ล้านดอลลาร์สหรัฐฯเศษ ต้องมาปรับตัวเลขในภายหลัง และตัวเลขนี้เป็นต้นทางของการคำนวณอัตราการเติบโตเศรษฐกิจของไทยด้วย
   
ดูเหมือนว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่กระทรวงพาณิชย์แจ้งตัวเลขผิดไป ขณะเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์ก็ว่า ตัวเลขมาจากกรมศุลกากร กรมศุลกากรก็บอกว่า แจ้งไปแล้วว่ามีความคลาดเคลื่อน และแจ้งให้แก้ไข แต่กระทรวงพาณิชย์นำไปออกข่าวก่อน
   
ความเชื่อของเราเกี่ยวกับการส่งออกก็คือ ตลาดโลกหดตัวทำให้กระทบการส่งออกของไทย หรือเราได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เมื่อปลายปี 2554 หรือการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำรวดเดียวเป็น 300 บาท/วัน และวันนี้ก็เชื่อว่า เพราะค่าเงินบาทแข็ง ซึ่งฟังๆ ดูสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเหตุผลที่กระทบต่อการส่งออกของไทย เพียงแต่ว่าเราลืมไปหรือเปล่าว่า แท้จริงแล้วการส่งออกของเราลดลงในขณะที่คู่แข่งของเราแย่งตลาดไทยไปได้ ซึ่งตรงนี้ก็ต้องให้นักวิเคราะห์ไปดูตัวเลขการเติบโตด้านการส่งออกของประเทศต่างๆ มาดูกัน ดูแล้วก็จะพอสรุปได้ว่า เราจะแก้ไขกันอย่างไร
   
ทุกวันนี้เท่าที่มีข้อมูลข่าวสารออกมาก็ชี้ให้เห็นว่า สินค้าบางรายการเราขายแข่งเขาไม่ได้ เพราะต้นทุนเราสูงกว่า อาทิ การส่งออกข้าวของไทย ราคาต้นทุนไทยตกประมาณ 800 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ตัน เนื่องจากรัฐบาลรับจำนำข้าวในอัตราที่สูงมากๆ  แต่ราคาซื้อขายในตลาดโลกไล่กันมาที่ระดับ 420 – 600 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ตัน ทำให้ปี 2555 ไทยขาดทุนจากการค้าข้าวไปแล้วกว่า 100,000 ล้านบาท ความจริงแล้วสินค้าอื่นๆ ของไทยอาจจะตกในชะตากรรมเดียวกันกับข้าวก็ได้
   
ซึ่งนั่นหมายถึงว่า ความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกของประเทศไทยลดลง และรัฐบาลยังไร้หนทางที่จะแก้ไข ซึ่งจากข้อมูลหลายต่อหลายสำนัก ต่างแสดงความห่วงใยเรื่องการส่งออกของไทย
   
เศรษฐกิจไทยเคยขับเคลื่อนด้วยหัวจักรในการส่งออก แต่เกือบ 2  ปีมานี้ ไทยต้องพึ่งพาด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และพึ่งพาด้านการบริโภคในประเทศ ซึ่งการพึ่งพาด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวนั้น พึ่งไม่ได้มาก เพราะสัดส่วนจากการท่องเที่ยวเทียบกับจีดีพีของประเทศ มีเพียงไม่เกิน 4% ของจีดีพีเท่านั้น ส่วนใหญ่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก
   
ทุกวันนี้ รัฐตั้งมั่นการบริโภคภายในประเทศ เพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัว รัฐกดดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทยลดอัตราดอกเบี้ย และการประกาศครั้งล่าสุดของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ได้ลดอัตราดอกเบี้ยชี้นำจาก 2.75 % เหลือ 2.50% ซึ่งน้อยกว่าที่กระทรวงการคลังอยากจะเห็น ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์อยู่ที่ 1.3 – 3.5% (ขึ้นอยู่กับระยะเงินฝากและขึ้นอยู่กับธนาคารแห่งใด) เมื่อเอาไปเทียบกับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้คาดว่าอยู่ที่ระดับ 2.5 – 2.8% ขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์ของแต่ละสำนัก จะพบว่า เงินเฟ้อกับอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับเดียวกันแล้ว
   
การที่อัตราดอกเบี้ยกับอัตราเงินเฟ้อเท่ากัน ก็หมายถึงว่า มีเงินไปก็ไม่มีประโยชน์ และวันข้างหน้าอัตราดอกเบี้ยอาจติดลบเทียบกับเงินเฟ้อ เงินจึงถูกใช้จ่ายไปเป็นค่าเดินทางท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ ใช้จ่ายซื้อคอนโดมิเนียม ที่ดิน บ้านเดี่ยว หรืออะไรก็ได้ ที่คิดว่าซื้อเก็บไว้แ    ล้วอาจก่อมูลค่าเพิ่มได้
   
         สงสัยเราจะเดินตามรอยประเทศญี่ปุ่นเสียแล้ว !

ที่มา:หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////

เตือนภัย :โดมความร้อน คลุม กทม. ต้นเหตุฝนถล่มกรุง !!?

ตะลึง กทม.เจอปรากฏการณ์ ฮีต ไอ แลนด์ หรือ โดมความร้อนรุนแรง จู่โจมครั้งแรกในประเทศ สาเหตุจากความร้อนในเขตเมืองพุ่ง ราชเทวี สีลม สุขุมวิท ฯลฯ อาคารสูง คอนโดผุดแอร์เพียบ

เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน ที่ จ.แพร่ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เป็นประธานเปิดศูนย์บริหารจัดการน้ำ จ.แพร่ และมอบอุปกรณ์ติดตามสถานการณ์น้ำอัตโนมัติ โดยมีนายรอยล จิตรดอน ผอ.สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน) (สสนก.) บรรยายสถานการณ์ ว่า สสนก.ได้พัฒนาระบบคลังข้อมูลน้ำ และภูมิอากาศแห่งชาติ เพื่อรวบรวมข้อมูลด้านทรัพยากรน้ำ และสภาพอากาศ ทั้งข้อมูลพื้นที่ สถิติ สถานการณ์น้ำปัจจุบัน การคาดการณ์ รวมทั้งงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเข้าด้วยกันให้เป็นระบบข้อมูลกลาง เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ ทั้งในภาวะปกติ และภาวะวิกฤต  นอกจากนี้ยังได้พัฒนา ศูนย์ปฏิบัติการระดับจังหวัดเพื่อให้หน่วยงานท้องถิ่นมีข้อมูลสำหรับติดตามสถานการณ์น้ำ เพื่อแจ้งเตือนภัยน้ำท่วม ทั้งยังสามารถเชื่อมโยงข้อมูลจากท้องถิ่น เข้าสู่คลังข้อมูลน้ำ และภูมิอากาศแห่งชาติ เพื่อให้ทุกหน่วยงานเตรียมพร้อมสำหรับปฏิบัติงานทุกสถานการณ์ โดยขณะนี้ สสนก.ได้ทำข้อมูลระดับจังหวัดแล้ว 51 จังหวัด และจะทำให้ครบทั้ง 76 จังหวัดภายในปี 2557 ที่สำคัญ สสนก.ยังสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำระดับจังหวัด นำร่องที่ จ.แพร่ และสุโขทัย เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ประสบปัญหาเรื่องน้ำมาตลอด
นายรอยลกล่าวว่า สำหรับสถานการณ์น้ำในปี 2556 ยังคงมีปริมาณฝนตั้งแต่เดือนมิถุนายน ถึงเดือนสิงหาคม จะมีปริมาณฝนสูงกว่าเกณฑ์ปกติ โดยฤดูฝนปีนี้จะมาเร็วโดยอิทธิพลของฝนจะเกิดจากอิทธิพลท้องถิ่น คือ ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ กำลังแรง ลมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังปานกลางค่อนข้างแรง ทำให้ปริมาณฝนมีมาก ซึ่งเวลานี้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเวลานี้เริ่มทำนาหว่านกันแล้ว ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน จะเกิดฝนที่ภาคกลาง ช่วงเวลาประมาณ 19.00 น. ต่อเนื่องไปถึงวันที่ 11-13 มิถุนายน โดยจะรุนแรงที่ จ.สุพรรณบุรี กาญจนบุรี และตราด ที่สำคัญในช่วงวันที่ 12-13 มิถุนายน จะเกิดฝนตกหนักพาดผ่านเป็นแนวยาว ตั้งแต่ภาคเหนือจนถึงภาคตะวันออก โดยเฉพาะที่ จ.ตราด ผ่าน จ.ลพบุรี จันทบุรี ไปจนถึง จ.ตราด ซึ่งฝนที่ตกพาดผ่านแนวเฉียงลักษณะดังกล่าว จะส่งผลดีต่อปริมาณน้ำในเขื่อนภูมิพล ที่ จ.ตาก แต่จะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ลาดเชิงเขาที่จะมีน้ำไหลหลาก อาจจะทำให้ดินถล่ม ดังนั้นต้องเฝ้าระวังในจุดนี้ด้วย
"ฝนที่ตกในช่วง 11-13 มิถุนายน เป็นฝนธรรมดา แต่มีความรุนแรงมากกว่าปกติ ส่วนพายุ ขณะนี้เริ่มก่อตัวแล้ว ถ้าดูจากประเทศสหรัฐอเมริกา ปีนี้ที่กำลังเจอกับพายุเฮอริเคน ถือว่าหนักกว่าปี 2554 โดยในปีดังกล่าวอเมริกาเจอพายุเฮอริเคนมากที่สุดในรอบ 50 ปี แต่ปี 2556 สหรัฐอเมริกาจะเจอพายุเฮอริเคนหนักกว่าปี 2554 อีก ไม่ต้องพูดถึงภาวะน้ำท่วมที่หนักที่สุดในรอบ 10 ปี เพราะฉะนั้น ประเทศไทยเจออุทกภัยปี 2554 จากพายุประมาณ 5 ลูก ในปี 2556 จึงไม่ควรประมาท เพราะว่าธรรมชาติมีการเปลี่ยนแปลงรุนแรงมาก ขณะนี้มีจังหวัดของประเทศไทยที่เสี่ยงภัยน้ำท่วมถึง 40 จังหวัด เช่น นครสวรรค์ สุโขทัย พิจิตร เป็นต้น" นายรอยลกล่าว
นายรอยลกล่าวว่า ความผันแปรของธรรมชาติปีนี้ค่อนข้างรุนแรง โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่กำลังเจอภาวะ ฮีต ไอ แลนด์ (Heat I land) หรือปรากฏการณ์โดมความร้อน ภาวะดังกล่าวเกิดจากลมตะวันตกเฉียงใต้พัดเอาความร้อนจากเขตเมือง ย่านราชเทวี สีลม สุขุมวิท ไปปะทะความชื้นฝั่งดอนเมือง ทำให้อุณหภูมิของดอนเมืองสูงขึ้นทันทีประมาณ 4-5 องศาเซลเซียส จาก 37 องศาเซลเซียส เป็น 42 องศาเซลเซียส ในวันที่ 3 มิถุนายน ส่งผลให้เกิดฝนตกหนัก และทำให้เครื่องบินลงไม่ได้หลายเที่ยวบิน ภาวะดังกล่าวนี้จะเกิดถี่มากขึ้นใน กทม.เนื่องจากภาวะโดมความร้อนที่สะสมมาตั้งแต่ปี 2554  ทั้งนี้ ภาวะโดมความร้อนมักจะเกิดในเมืองใหญ่ โดยที่ใน กทม.เวลานี้ มีการก่อสร้างอาคารชุดขนาดใหญ่ รวมทั้งคอนโดมิเนียมตั้งแต่ รัชดา ลีลม สุขุมวิท แต่ละแห่งมีหลายร้อยห้อง ทุกห้องมีเครื่องปรับอากาศทั้งหมด รวมแล้วหลายหมื่นเครื่อง โดยเครื่องปรับอากาศเหล่านี้ จะปล่อยความร้อนออกมานอกอาคารทั้งกลางวันและกลางคืน เมื่อรวมกับเครื่องปรับอากาศจากศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ทำให้ปริมาณความร้อนพุ่งขึ้นสูง ต่างกับเขตทวีวัฒนา และพื้นที่ฝั่งธนบุรี ที่มีอากาศเย็นลง เนื่องจากมีการก่อสร้างคอนโดมิเนียมหรือห้องชุดน้อย วิธีการแก้ไขทำได้คือ การปลูกต้นไม้ในเมืองให้มากเพื่อรักษาสมดุลของธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของพื้นที่บริเวณสนามบินสุวรรณภูมินั้นจะไม่ได้รับผลกระทบเหมือนพื้นที่ดอนเมือง เพราะสุวรรณภูมิได้รับผลกระทบจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดจากอ่าวไทยเท่านั้น แต่ดอนเมืองรับลมจากทุกทิศ
ด้านนายวรวัจน์กล่าวว่า จ.แพร่ เป็นพื้นที่ที่ทั้งน้ำท่วมและน้ำแล้งซ้ำซาก การบริหารจัดการน้ำเป็นระบบจึงเป็นเรื่องสำคัญ ด้วยข้อมูลที่มีและการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม โดยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่จะร่วมกันแก้ปัญหา ทั้งนี้ เวลานี้ทั่วประเทศมีข้อมูลพื้นฐาน เช่น เรื่องแผนที่จังหวัดอยู่แล้ว แต่ยังไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์สูงสุดสำหรับบริหารจัดการน้ำด้วยตัวเอง ซึ่งศูนย์บริหารจัดการน้ำจังหวัดที่ จ.แพร่นี้จะเป็นต้นแบบสำหรับให้พื้นที่จัดการน้ำด้วยตนเอง แทนที่จะให้ส่วนกลางเป็นผู้จัดการให้เหมือนที่ผ่านมา

ที่มา. มติชนรายวัน
///////////////////////////////////////////////////////////

ยุทธศาสตร์ เนื้อ นม ไข่ !!?

โดย.ณรงค์ ปานนอก

ยามโรคซ้ำกรรมซัด ราคาไข่ที่ทุกรัฐบาลไม่อยากพูดถึง ก็ดันย้อนมาเป็นหนามตำอกให้ฝ่ายรัฐบาลปวดหัวเล่นเสียยังงั้น

รัฐบาลยิ่งลักษณ์ประสบกับราคาไข่แพงมาแล้ว 2 ช่วง และช่วงนี้ถือเป็น "รำวงรอบพิเศษ" ที่ราคาไข่วนมาแพงเพราะราคาต้นทุนสูงขึ้น บวกกับ "วงในไข่" ได้ใช้เกมเพิ่มราคาไข่ด้วยวิธีทุ่มเงินเก็บไข่ออกนอกระบบ เมื่อไข่ขาดตลาดก็ทำให้ราคาสูงขึ้นมาทันที

ไข่ไก่สูงกว่าราคาเดิมหน้าฟาร์มเพียงฟองละ 30 สตางค์ ดูแล้วไม่น่าเดือดร้อน แต่ฝ่ายค้านก็สร้างวาทกรรมที่ถนัดให้เห็นว่า ไข่ไก่แพงมากถึงฟองละ 5 บาท... เมื่อถึงปากผู้บริโภค ไข่สุกก็ขยับสูงถึงฟองละ 8-10 บาท

เข้าตำรา "ทีเอ็งเคยด่าว่ายุคข้าขายไข่ชั่งกิโล ตอนนี้ถึงทีข้า ข้าจะด่าเอ็งบ้างว่ายุคไข่ปูแพงโคตร" อะไรทำนองนั้น

ยุค "ไข่ชวน ไข่น้าชาติถูก" ยุค "ไข่แม้วแพง" มาถึงยุค "ไข่มาร์คชั่งกิโล" ยังพอทำเนา แต่มาถึงยุค "ไข่ปูโคตรแพง" นี่มันวาทกรรมตลกผิดเพศแปลงพันธุ์ทั้งที่เป็น "ปูตัวเมีย" ไปหรือเปล่า

เมื่อรู้ว่า "ไข่" เป็นตัวสะท้อนสถานภาพของรัฐบาลแต่ละยุค รัฐบาลก็ต้องมี "กึ๋น" ขจัดปัญหาให้ได้ ไม่งั้นก็จะตกเป็น "ขี้ปาก" ให้ใครเอาไปค่อนแคะได้ว่า "แม้แต่ไข่ ยังแก้ไม่ตก"

ผมไม่ได้ปลื้มกับสถานการณ์ไข่แพง จนไม่อาจสกัดราคาถึงขั้นหมดสิทธิ์กินไข่ราคาถูกได้อีกแล้ว แต่เชื่อว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์มีปัญญาเข้าไปจัดการ "กลไกราคาไข่" ให้ลดลงมาได้...ถ้าไม่ด้วยวิธี "ดัมพ์ปริมาณไข่" เข้าตลาดให้มากขึ้น ก็อาจเพิ่มปริมาณแม่ไก่ไข่นำเข้าให้มากขึ้น แล้วหาทางช่วยเกษตรกรโดยลดต้นทุนอาหารไก่ลง

ไอ้เรื่อง "ไข่ธงฟ้า" ราคาถูกนั่น มัน "ผักชีโรยหน้า" เป็นแค่ของเล่นเพื่อ ยืดเส้นยืดสายของรัฐมนตรีและข้าราชการกระทรวงพาณิชย์เพื่อหลบ "พายุน้ำลาย" บางฤดูกาลเท่านั้น

แต่สิ่งที่จะเสนอแนะให้เป็นจริงเป็นจัง และเป็นประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพประชากรทั้งปัจจุบันและอนาคตต่างหากเป็นเรื่องที่ควรนำไปเป็น "วาระอาหารหลักแห่งชาติ"

กรณีตัวอย่างที่เห็นชัดคือ ทำไมรัฐบาลตรึงราคาน้ำมันดีเซลให้อยู่ในระดับลิตรละไม่เกิน 30 บาทได้ยาวนาน ทั้งๆ ที่น้ำมันดีเซลหลายช่วงมีราคาสูงกว่าลิตรละ 30 บาท

ทำไมราคาก๊าซหุงต้ม หรือก๊าซ LPG เติมในรถยนต์จึงราคาถูกกว่าก๊าซ LPG นำเข้า ก็เพราะรัฐมีนโยบายแบกราคาก๊าซหุงต้มไม่ให้แพงจนไปกระทบราคาอาหาร โดยรวมต้องขยับราคาสูงขึ้นไปอีก โดยการเก็บกำไรจากการขายน้ำมันก๊าซโซฮอล์ ทุกชนิดไปเข้ากองทุน แล้วเอาเงินส่วนนั้นมาชดเชยส่วนต่างของราคาก๊าซนำเข้า ทำให้ก๊าซมีราคาต่ำกว่าราคาจริง

กับก๊าซหุงต้ม กับก๊าซในรถยนต์ รัฐบาลยังชดเชยให้ก๊าซราคาถูกได้

แล้วทำไมรัฐบาลจึงไม่คิดทำให้อาหารหลักของประชากรทั้งประเทศมีราคาตรึงให้นิ่งบ้าง

"ไข่" ไม่ใช่เป็นอาหารหลักอย่างเดียว แต่ผมกำลังมองว่า "เนื้อ นม และไข่" คืออาหารหลักของชาติที่ไม่ควรให้ขึ้นราคาตามกลไกตลาดที่ถูกครอบงำโดย "คนกลาง" ถ้าตราบใดที่รายได้ประชาชาติยังไม่มากพอ และแผ่นดินนี้ยังมีคนจนคนหาเช้ากินค่ำอีกหลายล้านคนทั้งในเมืองและชนบท

รัฐบาลสามารถตรึงราคาไข่ สมมติว่ายืนราคาฟองละ 2.50 บาท โดยไปอุดหนุนต้นทุนให้เกษตรกรเลี้ยงไก่ไข่อยู่ได้

รัฐบาลดูแลแม่ของลูกๆ ทั่วประเทศ ด้วยการผลิตนมวัวสด และนมผงเลี้ยงลูกออกสู่ตลาดในราคาที่ "แม่ทั้งแผ่นดิน" ไม่เดือดร้อนกระเสือกกระสนดิ้นรนหาเงินเพื่อซื้อนมให้ลูกอย่างยากลำบาก โดยรัฐอัดฉีดเงินอุดหนุนตั้งโรงงาน ผลิตนมผง หรือตรึงนมวัวสดให้นิ่งและราคาถูกเสียเอง

อีกทั้งอุดหนุนผลิตเนื้อสัตว์ ก็ต้องทำให้ราคาถูกในระดับที่ชาวบ้านซื้อหาอย่างไม่เดือดร้อน

เมื่อ "เนื้อ นม ไข่" ราคาตรึงนิ่งระยะยาว ผู้คนซื้อหาได้ราคาต่ำ เด็กและเยาวชนก็ได้รับการฟูมฟักจากพ่อแม่โดยไม่เดือดร้อน หากินได้เต็มที่ ก็จะทำให้สุขภาพร่างกายเด็กเติบโตมีโครงสร้างบึกบึนเจริญพันธุ์สูงกว่าคนยุคเก่า

ถ้ารัฐบาลทำอย่างนี้ได้ เหมือนกับอุดหนุนราคาก๊าซให้นิ่งให้นานที่สุด เพียง 10 ปีหน้า เราก็จะเห็นผลดีทางด้านร่างกายที่เติบใหญ่เป็น "พลเมืองไทยสายพันธุ์ใหม่" ไปอีกอย่างก้าวกระโดด

สัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลเวียดนามเพิ่งประกาศวิสัยทัศน์ชาติว่า จะสร้างมนุษย์ผู้หญิงรุ่นใหม่ให้สูงเกิน 157 ซม.ภายใน 17 ปีข้างหน้า แสดงว่าเวียดนาม ได้คิดสร้างเผ่าพันธุ์ตัวเองให้ใหญ่โตอย่างจริงจัง

ข้อเสนอของผม จึงไม่ใช่เรื่องเกินฝันและทำไม่ได้ แต่จะเป็นอีกยุทธศาสตร์ ชาติหนึ่งซึ่งน่าจะสอดรับกับสภาวะไข่แพง แล้วรู้จัก "พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสของชนชาติไทย" ได้อย่างถูกจังหวะมากกว่า

พรรคไหนรีบฉวยเอาไปเป็นนโยบายเร่งด่วน ประชาชนอาจนิยมอย่างรวดเร็วก็ได้..อย่าหาว่าไอ้รงค์เพ้อเจ้อก็แล้วกัน!

ทีมา.สยามธุรกิจ
----------------------------------------------------------------

วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2556

น้ำงึม 2 : พลังเสริมไฟฟ้าไทย !!?

วันนี้สังคมไทยกำลังถกเถียงเรื่องการสร้างโรงไฟฟ้าจากถ่านหินในจังหวัดกระบี่ ว่า ควรสร้าง หรือ ไม่ควรสร้าง โดยในส่วนของภาครัฐต้องการนำร่องสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเพิ่ม หลังจากพบว่ากำลังการผลิตไฟฟ้าในประเทศปริ่มๆ จะไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ของคนทั้งชาติ พร้อมกันนี้พื้นที่ภาคใต้กำลังเผชิญกับสถานการณ์ไฟฟ้าไม่เพียงพอมาระยะหนึ่งแล้ว โดยปัจจุบันไปดึงไฟฟ้าจากภาคอื่นมาใช้แทน

การซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศนั้นดูเหมือนจะเป็นทางเลือกสำคัญในเวลานี้ โดยภาครัฐพุ่งเป้าหมายไปที่การซื้อไฟฟ้าพลังน้ำเป็นอันดับแรก เนื่องจากราคาถูกและไม่ก่อมลพิษทางอากาศและลดกระแสต่อต้านลงได้มาก โดยปัจจุบันไทยซื้อไฟฟ้าพลังน้ำจาก สปป.ลาว มากเป็นอันดับ 1 ประมาณ 2,104 เมกะวัตต์ และในอนาคตอีก 20 ปี ความต้องการใช้ไฟฟ้าของไทยจะก้าวถึง 70,000 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันใช้อยู่ 26,121 เมกะวัตต์ ดังนั้น ไฟฟ้าปริมาณมากดังกล่าวจะต้องพึ่งพิงจาก สปป.ลาว อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจาก สปป.ลาว ยังมีกำลังผลิตไฟฟ้าพลังน้ำเหลืออีกกว่า 13,384 เมกะวัตต์ ที่ไทยสามารถพึ่งพาได้

สำหรับ สปป.ลาว มีศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำได้ทั้งสิ้นกว่า 2 หมื่นเมกะวัตต์ โดยดำเนินการผลิตไฟฟ้าแล้วกว่า 3,000 เมกะวัตต์ อยู่ระหว่างการศึกษาอีก 2,500 เมกะวัตต์ และยังมีศักยภาพเหลือรอพัฒนาขึ้นมาได้อีกกว่า 13,000 เมกะวัตต์ ซึ่งผลิตจากแม่น้ำ 8 สาย ได้แก่ น้ำทา น้ำอู น้ำงึม น้ำเงี๊ยบ น้ำเทิน เซดอง เซกอง และแม่น้ำโขง โดยปัจจุบันโครงการน้ำเทิน 2 ซึ่งประเทศฝรั่งเศสเป็นผู้พัฒนาโครงการ นับได้ว่าเป็นโครงการการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำที่มีปริมาณสูงสุด 1,075 เมกะวัตต์ รองลงมาได้แก่ น้ำงึม 2 โดยคนไทยเป็นผู้พัฒนาโครงการ มีกำลังการผลิต 615 เมกะวัตต์

ดังนั้น แม้โรงไฟฟ้าพลังน้ำจะอยู่ใน สปป.ลาว แต่ก็มีบริษัทคนไทยที่เข้าไปพัฒนาโครงการขึ้นมาเช่นกัน โดยเฉพาะโครงการสำคัญอย่างโรงไฟฟ้าน้ำงึม 2 ซึ่งบริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ ซีเคพี เป็นผู้พัฒนาโครงการขึ้นมา โดยซีเคพี เป็นบริษัทลงทุนด้านพลังงาน และเป็นที่รู้จักกันดีในนามของบริษัทลูกของ ช.การช่าง

นางสุภามาส ตรีวิศเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ซีเค พาวเวอร์ จำกัด กล่าวว่า ซีเคพี มุ่งเน้นที่จะขยายธุรกิจการผลิตไฟฟ้าเพื่อตอบสนองความต้องการของประเทศไทย และภูมิภาคนี้ที่จะขยายตัวเพิ่มอีกมาก โดยในปัจจุบันบริษัทฯ มีกำลังการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป.ลาว เป็นอันดับ 2 มีกำลังการผลิต 615 เมกะวัตต์ รองจากเขื่อนน้ำเทิน 2 ของฝรั่งเศสที่มีกำลังการผลิต 1,075 เมกะวัตต์ ซึ่งหากเขื่อนไซยะบุรี บนแม่น้ำโขง สร้างเสร็จในปี 2562 จะทำให้บริษัทฯ มีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีก 1,285 เมกะวัตต์ ก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ของผู้ผลิตไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป.ลาว มีกำลังการผลิตรวม 1,900 เมกะวัตต์

โดยเขื่อนไซยะบุรีนี้ มีมูลค่าการก่อสร้างประมาณ 1.15 แสนล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้น 30% ได้รับสัมปทานการผลิตไฟฟ้าจาก สปป.ลาว 29 ปี มีกำลังผลิตไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 1,285 เมกะวัตต์ จำหน่ายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าแห่งประเทศไทย (กฟผ.) 1,220 เมกะวัตต์ และ สปป.ลาวอีก 60 เมกะวัตต์ โดยได้เริ่มก่อสร้างในเดือน มี.ค.2555 ขณะนี้มีความคืบหน้าในการก่อสร้างประมาณ 13-14% ตรงตามแผนที่วางไว้

ส่วนโครงการในอนาคต มีโครงการสร้างเขื่อนน้ำบาก ซึ่งแม่น้ำบากเป็นแม่น้ำสายเล็กๆ ที่อยู่ท้ายเขื่อนน้ำงึม 2 มีมูลค่าการลงทุน 1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งกำลังการผลิตทั้งหมด 160 เมกะวัตต์ จะขายให้กับรัฐบาล สปป.ลาว หรือประมาณ 730 ล้านหน่วย สร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ ปีละกว่า 1 พันล้านบาท คาดว่าภายในปี 2556นี้ จะเจรจาสัญญาสัมปทาน สัญญาซื้อขายไฟฟ้า และจ้างผู้รับเหมาได้เสร็จภายในปี 2556 นี้ และจะเริ่มก่อสร้างได้ในปี 2557

นอกจากธุรกิจการผลิตไฟฟ้าจากน้ำแล้ว บริษัทฯ ยังมีธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อีก 3 โครงการ ได้แก่ โครงการบางเขนชัย กำลังการผลิต 8 เมกะวัตต์ โครงการนครราชสีมาโซลาร์ 6 เมกะวัตต์ และโครงการเชียงรายโซลาร์ 8 เมกะวัตต์ รวมทั้งยังมีโครงการโรงไฟฟ้าบางปะอิน โคเจนเนอร์เรชั่น (BIC) โดยโครงการ BIC1 มีกำลังผลิตไฟฟ้า 117.5 มกะวัตต์ ขายไอน้ำ 19.6 ตันต่อชั่วโมง และ BIC2 มีกำลังการผลิต 120 เมกะวัตต์ ขายไอน้ำ 20 ตันต่อชั่วโมง ซึ่งจะจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้ในปี 2017

สำหรับธุรกิจของบริษัทฯ มีความมั่นคงสูง เพราะประเทศไทย และประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้ มีความต้องการใช้ไฟฟ้ามากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะประเทศไทยคาดว่าในอีก 40 ปีข้างหน้า ความต้องการไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นจาก 2.6 หมื่นเมกะวัตต์ เป็นกว่า 8 หมื่นเมกะวัตต์ หรือเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าตัว โดยจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 1.4 พันเมกะวัตต์ และถ้ารวมกับโรงไฟฟ้าเก่าที่ต้องปลดออกจากระบบ ก็จะต้องสร้างโรงไฟฟ้าใหม่เพิ่มอีกกว่าปีละ 2 พันเมกะวัตต์  ดังนั้น ไทยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ หรือถ่านหิน ซึ่งจะก่อสร้างแต่ละโรงก็เป็นเรื่องยาก ทางออกที่ดีทางหนึ่งก็คือการสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำและถ่านหินในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งบริษัทฯ ก็มีความพร้อมสูงมากในธุรกิจนี้

ส่วนกรณีกระแสต่อต้านโรงไฟฟ้าใน สปป.ลาวนั้น เห็นว่ามีความแตกต่างจากไทยมาก หรือเรียกได้ว่าคนใน สปป.ลาวแทบจะไม่มีการต่อต้านเลยก็ว่าได้ เนื่องจากการเมืองใน สปป.ลาวมีความมั่นคงสูง มีพรรคการเมืองบริหารเพียงพรรคเดียว จึงสามารถควบคุมประชาชนได้ง่ายกว่า และการสร้างโรงไฟฟ้าแต่ละครั้งผู้พัฒนาโครงการจะเดินทางไปพบกับชาวบ้านโดยมีตัวแทนของภาครัฐไปด้วยทุกครั้ง และที่สำคัญจะมีจดหมายจากทางการแจ้งให้ประชาชนทราบว่า จะสร้างโรงไฟฟ้าและเป็นโรงไฟฟ้าของรัฐบาล สปป.ลาว ดังนั้น ประชาชนจะไม่มีการต่อต้านแต่อย่างใด ดังนั้น ความรู้สึกและความเห็นในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าของ สปป.ลาว กับคนไทยจึงแตกต่างกันมาก ซึ่งเปรียบเทียบกันไม่ได้

การผลิตไฟฟ้าพลังน้ำจากประเทศเพื่อนบ้านนับเป็นทางเลือกหนึ่งของไทย ที่จะเสริมสร้างปริมาณไฟฟ้าป้อนให้คนไทยใช้อย่างเพียงพอ และเป็นโรงไฟฟ้าที่สร้างปัญหามลพิษให้กับสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด หากถามว่าทำไมไม่สร้างในไทยแทน คำตอบที่ได้คือ ไทยไม่มีพื้นที่น้ำขนาดใหญ่สร้างได้อีกแล้ว โดยปัจจุบันสร้างตามลุ่มแม่น้ำ 6 แห่งแล้ว เช่น เจ้าพระยา ชี-มูล แม่กลอง เพชรบุรี ตาปี และปัตตานี กำลังการผลิต 3,483 เมกะวัตต์ จึงต้องหันไปพึ่งพาต่างประเทศ แต่ต้องยอมรับว่า การพึ่งพาโรงไฟฟ้าจากต่างประเทศจะทำให้ไทยไม่มีเสถียรภาพด้านไฟฟ้าในระยะยาว หากมีปัญหาทะเลาะกับประเทศผู้ผลิตไฟฟ้า

ดังนั้น คงถึงเวลาที่คนไทยต้องร่วมกันหาทางออกให้กับไฟฟ้าไทยในปัจจุบัน ด้วยหลักเหตุและผลที่แท้จริง ซึ่งทั้งภาครัฐและประชาชนต้องเปิดใจรับฟังเหตุผลของกันและกัน เพื่อหาทางออกให้กับประเทศ และเพื่ออนาคตลูกหลานไทยได้มีไฟฟ้าใช้ต่อไปอย่างยั่งยืน.

ที่มา.ไทยโพสต์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////

เตือนผู้จ่ายภาษีหลังอานแน่ : อดีตขุนคลังฉะบุญทรง น่าละอาย ปกปิดบัญชีเจ๊งจำนำข้าว !!?

รับภาระหนี้รัฐหัวละ4หมื่น
มาร์คย้ำขาดทุนเกิน2แสนล.
ยังคงเกิดเสียงวิจารณ์ออกมาอย่างอื้ออึง เกี่ยวกับตัวเลขการขาดทุนโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ภายหลังจาก?นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ ไม่สามารถเคลียร์ข้อสงสัยเรื่องดังกล่าวให้ประชาชนได้รับทราบอย่างชัดเจนจากการแถลงชี้แจงเรื่องนี้เมื่อวันที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยทำได้เพียงแค่ยืนยันว่าตัวเลขขาดทุนไม่ได้มากถึง 2.5 แสนล้านบาท แต่กลับไม่ยอมเปิดเผยตัวเลขที่แท้จริง โดยอ้างเป็นความลับทางราชการ และต้องรอให้ขายข้าวให้ได้หมดก่อน จึงจะสามารถคำนวณตัวเลขที่ได้จริงออกมาได้
 
อดีตขุนคลังผิดหวังแจงจำนำข้าว
โดยเมื่อวันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว.คลัง ในรัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้ออกมาแสดงความคิดเห็นถึงเรื่องดังกล่าวผ่านเฟซบุ๊กของตัวเองว่า รู้สึกผิดหวังกับการชี้แจงของกระทรวงพาณิชย์ โดยเฉพาะที่อ้างว่ายังคำนวณกำไรขาดทุนไม่ได้เพราะต้องรอให้ขายขายข้าวหมดก่อน จึงขอไม่ปิดบัญชี

จวกน่าละอายทำผิดหลักบัญชี
“เมื่อวานนี้ รัฐมนตรีพาณิชย์แถลงว่ายังไม่สามารถคำนวนกำไรขาดทุนจำนำข้าวได้ เพราะต้องรอให้ขายข้าวจนหมดเสียก่อน เฮ้อ!!! ฟังแล้วลมจับ สงสัยจะต้องรอไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลานเสียแล้ว กระทรวงพาณิชย์มีหน้าที่กำกับดูแลนักบัญชีทั่วประเทศ แต่กลับไม่ปฏิบัติตามหลักการบัญชีเสียเอง เป็นที่น่าละอายมากนะครับ”

ถามเอกชนทำบ้างได้หรือไม่
นายธีระชัย กล่าวอีกว่า หากในอนาคตบริษัทธุรกิจเอกชนขอใช้หลักการนี้บ้าง จะได้หรือไม่ กรณีบริษัทซื้อสินค้ามาล๊อตใหญ่ ขายไปเพียงบางส่วน ที่เหลือยังค้างอยู่ในสต๊อก จะขออ้างว่า เนื่องจากยังมีสินค้าที่ขายไม่หมด ก็เลยขอยังไม่ปิดบัญชีประจำปี เหมือนกับที่กระทรวงพาณิชย์อ้างจะได้หรือไม่ แล้วกระทรวงการคลังจะเก็บภาษีประจำปีกันอย่างไร

ตบหน้าสอนหัดทำบัญชี
นายธีระชัย กล่าวต่อว่า บังเอิญเคยเรียนวิชาสอบบัญชีที่ประเทศอังกฤษ จึงขออธิบายหลักวิธีทางบัญชีเพื่อให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจ คือ ทุกองค์กร ต้องมีการปิดบัญชีเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ อาจจะเป็นทุกเดือน หรือทุกสามเดือน ทุกหกเดือน หรือทุกสิบสองเดือนก็ได้ แต่โดยทั่วไปต้องไม่เกินรอบสิบสองเดือน เช่น สมมติว่า ต้องการปิดบัญชี ณ วันที่ 31 มกราคม 2556 เพื่อให้ตรงกับของคณะกรรมการปิดบัญชี ก็ให้หาข้อมูลดังนี้

1.จนถึงวันที่ดังกล่าว รัฐบาลใช้เงินไปในการรับจำนำสะสมเป็นจำนวนเท่าใด ก็ตั้งไว้เป็นบรรทัดแรก 2.จนถึงวันที่ดังกล่าว รัฐบาลขายข้าวไปทั้งสิ้นได้เงินเท่าใด ก็ใส่เป็นบรรทัดที่สอง 3.ณ วันที่ดังกล่าว มีการตรวจนับสต๊อคโดยบุคคลที่เชื่อถือได้หรือยัง เขาพบว่ามีข้าวอยู่จริงเท่าใด ให้ใช้เฉพาะตัวเลขที่นับสต๊อคเหลืออยู่จริง

4.สต๊อคข้าวที่มีอยู่ ณ วันที่ดังกล่าว มีคุณสมบัติและสภาพเฉลี่ยอย่างไร ให้ตีตามราคาตลาดในวันนั้น โดยลดทอนราคาตลาดลงตามสภาพเฉลี่ย เป็นบรรทัดที่สาม และ 5.กำไรขาดทุน คือคำนวนโดยเอาบรรทัดแรก ลบด้วย บรรทัดที่สอง และ บรรทัดที่สาม เท่านั้นเอง ถ้าจะตั้งใจทำกันจริงๆ ก็ไม่ยากเย็นอะไรเลย

เตือนผู้เสียภาษีมีแต่พังกับพัง
“วันนี้มีผู้สื่อข่าวถามผมว่า กรณีนี้จะเป็นต้นเหตุให้รัฐบาลพังหรือไม่ ผมตอบว่าไม่ทราบ เพราะไม่ชำนาญด้านการเมือง แต่ผมอยากจะตอบในที่นี้ ถึงแม้ผมไม่ทราบว่ารัฐบาลจะพังหรือไม่ แต่ที่ผมทราบแน่ๆ ก็คือในฐานะประชาชนผู้เสียภาษี พวกเราพังกันหมดแล้วครับ”

รับภาระหนี้อ่วมคนละ4หมื่น
นายธีระชัย ย้ำว่า ถ้าใช้ตัวเลขขาดทุนแบบกลมๆ 2 แสนล้าน เฉลี่ยต่อคนสำหรับคนไทยทั้ง 67 ล้านคน โดยรวมทั้งลูกเด็กเล็กแดง จะเป็นเงินคนละเกือบ 3,000 บาท แต่หากใช้ตัวเลขบุคคลธรรดาที่เสียภาษีเงินได้ในแต่ละปี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกจ้างกินเงินเดือนนั้น คงมีไม่ถึง 5 ล้านคน ถ้าใช้ตัวเลข 5 ล้านคนที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นตัวหาร ภาระจะตกถึงคนละ 40,000 หมื่นบาท

จี้คายบัญชีแจงตัวเลขออกมา
“หรือหากการขาดทุนบานออกไปเป็น 3 แสนล้านบาท ภาระก็จะเพิ่มเป็นคนละ 60,000 บาท ดังนั้นรัฐมนตรีคลังกับรัฐมนตรีพาณิชย์ร่วมกันสร้างภาระให้แก่ประชาชนมากขนาดนี้ ก็ควรจะปิดบัญชีให้เขาดูกันหน่อยซิครับ ประชาชนเขาจะได้รู้สึกว่ามันคุ้มค่ากับเลือดที่ไหลออกไปกันหน่อย” นายธีระชัย กล่าว

มาร์คย้ำตัวเลขเจ๊ง2แสนล้าน
วันเดียวกันที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน แถลงว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะต้องเร่งชี้แจงและแก้ไขปัญหาโครงการรับจำนำข้าวโดยเร่งด่วน เนื่องจากการรับจำนำที่ทำมา 3 ฤดูกาลมีการขาดทุนอย่างมหาศาล โดย นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมช.คลัง เคยออกมายอมรับว่า การรับจำนำข้าวนาปีฤดูกาลผลิต 2554/2555 ขาดทุน 42,963 ล้านบาท นาปรังฤดูการผลิต 2555 ขาดทุน 93,993 ล้านบาท และนาปีฤดูกาลผลิต 2555/2556 ขาดทุน 84,071 ล้านบาท รวมขาดทุน 220,976 ล้านบาท

ตอกหน้าอย่าไขสือปิดตัวเลข
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลพยายามบอกว่าตราบใดที่ยังขายข้าวไม่หมด ก็จะไม่มีทางทราบว่า สถานะเรื่องการขาดทุนของโครงการจำนำข้าวเป็นอย่างไร ถ้าใช้หลักคิดนี้ตราบเท่าที่โครงการจำนำข่าวยังดำเนินการต่อ จะไม่มีทางทราบว่า ขาดทุนเท่าไหร่ เพราะจะมีข้าวที่ขายออกไปและรับจำนำเข้ามาไม่จบไม่สิ้น

“เหมือนกับการซื้อของมา 100 บาท แล้วเอามาเก็บไว้ ขณะที่ราคาในตลาดขายที่ 80 บาท จะบอกว่าไม่ขาดทุน เพราะยังไม่ได้ขายแล้วซื้อเข้ามาเรื่อยๆ ในจำนวน 100 บาท จะมาสรุปว่า ยังไม่ขาดทุนเพราะยังขายไม่หมดไม่ได้ แต่ต้องคิดว่าราคาตลาดในขณะนั้นขาดทุน 20 บาทต่อการซื้อครั้งละ 100 บาท ยิ่งไปกว่านั้นของที่เก็บไว้ยังมีปัญหาเรื่องเสื่อมสภาพด้วย ก็ต้องประเมินเป็นช่วงๆ เพื่อปิดบัญชีว่ามูลค่าของเปลี่ยนแปลงอย่างไร ดังนั้นการที่คณะอนุกรรมการปิดบัญชีประมาณการว่าการขาดทุนอยู่ที่ 220,976 ล้านบาท จึงมีพื้นฐานหลักคิดที่ตรวจสอบได้ ไม่ใช่เรื่องที่ไม่สามารถสรุปตัวเลขได้เหมือนอย่างที่รัฐบาลอ้าง”

กางตัวเลขจับโกหกพณ.อ้างไม่เจ๊ง
ขณะที่จากการชี้แจงของ นายบุญทรง ที่ระบุว่า สามารถนำเงินที่ระบายข้าวไปคืน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) 1.2 แสนล้านบาท และประเมินมูลค่าข้าวในสต๊อคว่าอยู่ที่ 2.26 ล้านบาท รวมแล้วเงินยังหายไป 3.15 แสนล้านบาท จากวงเงินที่ถูกใช้ในโครงการรับจำนำข้าวทั้งหมด 6.6 แสนล้านบาท จึงไม่มีประเด็นที่รัฐบาลจะปฏิเสธว่าการขาดทุนในโครงการจำนำข้าวไม่ถึง 2.6 แสนล้านบาท เพราะตัวเลขของราชการยืนยันตรงกันว่าต้องขาดทุนในโครงการนี้ปีละกว่าสองแสนล้านบาท

ปชป.จี้“ปู-บุญทรง”รับผิดชอบ
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ความพยายามปกปิดตัวเลขการขาดทุนในครั้งนี้ จะไม่เป็นผลดีกับรัฐบาล เพราะเป็นพฤติกรรมที่เลวร้ายกว่าการแถลงตัวเลขจริง เนื่องจากสังคมจับตามองเรื่องนี้มากขึ้น การไม่เปิดเผยตัวเลขครั้งนี้ยิ่งทำให้สังคมสงสัย เข้าข่ายการปกปิดข้อมูล ทำให้ความน่าเชื่อถือของเครดิตรัฐบาลจะยิ่งลดลง

“อยากให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ที่แต่งตั้งให้ นายบุญทรง ดำเนินการ เรื่องนี้ต้องรับผิดชอบทางใดทางหนึ่ง และ นายบุญทรง ที่ไม่สามารถชี้แจงข้อมูลโครงการได้ ก็สมควรที่จะทบทวนการทำหน้าที่ตัวเองได้แล้ว” นพ.วรงค์ กล่าว

เย้ย“โต้ง”ไวท์ไลน์ปัดเดิมพันเก้าอี้
ส่วนกรณี นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ปฏิเสธไม่เคยประกาศท้าเดิมพันตำแหน่ง หากโครงการรับจำนำข้าวขาดทุนเกิน 6 หมื่นล้านบาทนั้น นพ.วรงค์ กล่าวว่า เข้าใจว่า ตอนนี้กระแสสังคมบีบ นายกิตติรัตน์ มาก เพราะมีการเปิดเผยตัวเลขการขาดทุนจำนำข้าวที่สูง จึงทำให้มีแรงกดดันให้นายกิตติรัตน์รับผิดชอบ และเชื่อว่าเป็นการโกหกสีขาวหรือไวท์ไลน์อีกรอบของ นายกิตติรัตน์ เท่านั้น

รบ.หมดมุกจูงมือชาวนาช่วยป้อง
เช้าวันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในรายการรัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน นายธีรัตถ์ รัตนเสวี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้นำตัวแทนชาวนาจาก จ.กำแพงเพชร ชัยนาท อ่างทอง อยุธยา ลบบุรี พิษณุโลก สุพรรณบุรี มาเปิดเผยถึงชีวิตความเป็นอยู่ภายหลังรัฐบาลมีโครงการรับจำนำข้าว โดยแต่ละคนต่างยืนยันว่า โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ช่วยให้มีรายได้เพิ่มขึ้นและอยากให้มีโครงการรับจำนำข้าวอย่างต่อเนื่องต่อไป เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจของชาวนาทั้งประเทศ

พท.ปัด“ปู”ลอยตัวเหนือปัญหา
ส่วนที่พรรคเพื่อไทย นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นผู้นำประเทศ ไม่เคยลอยตัวหรือเลี่ยงความรับผิดชอบต่อปัญหาใดๆ โดยเฉพาะการติดตามการแก้ปัญหาโครงการรับจำนำข้าวของกระทรวงพาณิชย์ ทั้งนี้ในสมัยรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เคยทำโครงการประกันราคาข้าว มีชาวนามาก่อม็อบประท้วงทุกฤดูกาลผลิต แต่ยุครัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังไม่ได้มีการประท้วง อีกทั้งผลสำรวจของอีสานโพล ก็เผยว่าคนอีสานใน 20 จังหวัดพอใจการแก้ปัญหาราคาข้าวของรัฐบาลถึงร้อยละ 61

ป.ป.ช.ตั้ง2อนุฯไต่สวนบุญทรง
วันเดียวกันมีรายงานข่าวแจ้งว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ตั้งอนุกรรมการขึ้นมา 2 ชุด เพื่อไต่สวน นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ เกี่ยวกับการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวตามที่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ และบุคคลอื่นร้องเรียนมา ซึ่งมีทั้งในภาพรวมและการให้ตรวจสอบการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) เพราะจากการตรวจสอบเอกสารที่ยื่นมานั้นพบว่า มีข้อมูลข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะตั้งอนุกรรมการไต่สวน นายบุญทรง ในเรื่องดังกล่าวได้ โดยมอบให้กรรมการ ป.ป.ช. 3 คน คือ นายวิชา มหาคุณ พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง และนายกล้านรงค์ จันทิก รับผิดชอบ

ที่มา.นสพ.แนวหน้า
/////////////////////////////////////////////////////

7 แสนล้านสู่ 1 ล้านล้าน โอกาสทองค้าชายแดน !!?

ในงานเสวนา "จาก 7 แสนล้านสู่ 1 ล้านล้าน โอกาสทองค้าชายแดน" มุมมองของภาคเอกชนและภาครัฐยังเห็นตรงกันว่า โอกาสการค้าชาย แดนนับวันมีแต่จะรุ่งโรจน์

ขนาดตั้งเป้าว่ามูลค่าการค้าปีนี้น่าจะทะลุ 1.2 ล้านล้านบาท เพิ่มจากปีที่ผ่านมาซึ่งทำได้ประมาณ 7-8 แสนล้านบาท

ในจำนวน 1.2 ล้านล้านบาท ส่วน ใหญ่ไทยเป็นฝ่ายส่งออกมากกว่าการ นำเข้า ทำให้ได้เปรียบดุลการค้า ยกเว้น พม่าซึ่งไทยต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติหลายหมื่นล้านบาทต่อปี

นิยม ไวยรัชพานิช รองประธาน สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และประธานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจ กับประเทศเพื่อนบ้าน สะท้อนมุมมองว่า โอกาสที่การค้าไทยกับประเทศเพื่อน บ้านจะเติบโตนั้นมีอีกมาก เพราะทุกวันนี้ยังมีการค้าในระบบใต้ดิน คือค้า ขายกันโดยไม่ผ่านศุลกากรมากกว่า 5 แสนล้านบาทต่อปี ถ้าเอาตัวเลขเหล่านี้ขึ้นมาบนดินได้ มูลค่าการค้าจะพุ่งสูง ขึ้นอีกมหาศาล

"การขนส่งเป็นหัวใจสำคัญของการค้าชายแดน ถ้าเราสามารถขับรถจากไทยไปลาว-เวียดนาม-พม่า-กัมพูชา-มาเลเซีย ได้แบบม้วนเดียวจบ ไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายสินค้าระหว่างแดน จะช่วยให้การขนส่งผ่านแดนลื่นไหลดีกว่านี้ ซึ่งจะทำให้ยอดการค้าเพิ่มขึ้น รัฐบาลจึงต้องเร่งเจรจาทวิภาคีกับเพื่อนบ้านในประเด็นนี้ ไม่จำเป็นต้องรอปี 2558"

นายนิยม ยังกล่าวถึงการเปิดจุดผ่านแดนว่า ควรจะเปิดให้มากที่สุดเท่า ที่จะมากได้ เขาใช้คำว่า "เปิดให้พรุน" ได้ยิ่งดี อาจใช้พื้นที่ของเอกชนที่อยู่ตาม ชายแดนเป็นจุดผ่านแดนถาวรก็ได้ เพราะ การเป็นประชาคมอาเซียนในปี 58 ไม่ได้เป็นเฉพาะเรื่องของเศรษฐกิจ แต่อีก 2 เสาคือความมั่นคงและวัฒนธรรมก็ต้องเป็นเนื้อเดียวกันด้วย เมื่อความมั่นคงบูรณาการร่วมกันได้ การเปิดด่านก็เป็นเรื่องง่าย

"พม่าที่เคยยึกๆ ยักๆ กับระบบการค้าชายแดน วันนี้เขาก็แสดงความ พร้อมเดินหน้าเต็มที่ สินค้า 15 ราย การ ที่เคยห้ามนำเข้าก็นำเข้าได้คือ ผงชูรส น้ำหวาน เครื่องดื่ม ขนมปังกรอบ หมาก ฝรั่ง ขนมเค้ก ขนมเวเฟอร์ อาหารกระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เหล้า เบียร์ บุหรี่ ผลิตภัณฑ์ พลาสติก ผลไม้สด หลังจากที่ประกาศ ห้ามนำเข้ามานานกว่า 10 ปี ในอนาคตสินค้าอีกหลายพันรายการที่มีเงื่อนไขก็จะเปิดเสรี 100%"

ขณะที่นายสุรัตน์ จันทองปาน ผู้จัดการการขนส่งสินค้าผ่านแดน บริษัท KWE- Kintetsu World Express (Thailand) มองว่า ประเทศไทยคือศูนย์ กลางที่ไม่อาจปฏิเสธได้ แม้กลุ่มทุนข้าม ชาติหลายรายจะเข้าไปลงทุนตรงในพม่า และลาว แต่อีกจำนวนมากก็เลือกที่จะใช้ไทยเป็นฐานการผลิตใหญ่เชื่อมต่อกับกลุ่มอินโดจีน โดยเฉพาะกลุ่มทุนญี่ปุ่น ที่ใช้ไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์เจาะเออีซี

"นักธุรกิจพวกนี้จมูกไว เขาเตรียมตัวมานานแล้ว หลายบริษัทที่ผมรู้จักเข้าไปวางฐานในพม่าไว้ตั้งแต่ 5 ปีที่แล้ว ผมเข้าไปพม่าตั้งแต่โรงแรม ราคาคืนละ 2 พันบาท วันนี้ราคาขยับ ขึ้นมา 6 พันบาทแล้วเพราะฉะนั้นการค้าชายแดนเป็นเทรนด์ใหม่ที่นักธุรกิจมองข้ามไม่ได้ ขึ้นอยู่กับว่าจะค้าขายอะไร"

มุมมองของ 2 นักธุรกิจที่เห็นคล้ายๆ กันคือ เป้า 1 ล้านล้านบาทไม่น่าจะยากมาก ถ้าจะให้ดีควรทำได้ 2 ล้านล้านบาทภายใน 3 ปีนับจากนี้

ด้านปานจิตต์ พิศวง ผู้อำนวยการ สำนักความร่วมมือการค้าและการลงทุน กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวง พาณิชย์ให้ข้อคิดว่าโอกาสจะมากหรือน้อยอยู่ที่ตัวนักลงทุนเอง เพราะรัฐบาลได้ดำเนินการลดขั้นตอนอุปสรรคให้แล้ว แม้กระทั่งการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่อย่างท่าเรือน้ำลึกทวาย

ที่มา.สยามธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////