--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

การรวมตัวอย่างเข้มแข็งของภาคเอกชน จะทำให้ประเทศสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมีพลัง !!?




โดย.ดร. สมคิด จาตุศรีพิทักษ์

ในห้วงเวลาที่บ้านเมืองตกอยู่ในวังวนของความขัดแย้งจนภาครัฐยากที่จะขับเคลื่อนได้อย่างเต็มพลัง  และในยามที่ภาคประชาชนส่วนใหญ่ยังอ่อนแอและยากจน  ภาคเอกชนคือความหวังอันสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้ประเทศสามารถพัฒนาก้าวไปข้างหน้าได้  เพราะเพียบพร้อมทั้งทรัพยากรและความสามารถ

ในด้านหนึ่ง ภาคเอกชนสามารถเชื่อมโยงและร่วมมือกับภาครัฐในการกำหนดทิศทางและยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศที่ถูกต้อง   ประสานร่วมมือกับภาครัฐในการพัฒนาความสามารถของภาคเอกชนทั้งเล็กและใหญ่ให้พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ ไม่ว่าในด้านเศรษฐกิจและการเมืองของโลก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเปลี่ยนแปลงของภูมิรัฐศาสตร์ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน  ความเข้าใจและความร่วมมือที่ใกล้ชิดจะทำให้ภาครัฐอาศัยพลังที่แข็งแกร่งของภาคเอกชนไทยเข้าจัดการกับปัญหาที่ประเทศกำลังเผชิญ   ในขณะเดียวกัน  ภาคเอกชนก็สามารถอาศัยภาครัฐในการริเริ่มและให้การสนับสนุนในกิจกรรมที่มีความสำคัญซึ่งภาคเอกชนไม่อาจจะกระทำได้โดยลำพัง

ในอีกด้านหนึ่ง ภาคเอกชนที่แข็งแรงก็สามารถก้าวเข้าไปมีบทบาทในการพัฒนาภาคชนบทและภาคประชาชนให้มีความเข้มแข็ง    ซึ่งลำพังแล้วภาครัฐไม่สามารถเข้าไปช่วยดูแลได้อย่างทั่วถึง บทบาทเชิงสร้างสรรค์ของภาคเอกชนต่อภาคประชาชนและภาคชนบท ทั้งในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน  การปฏิรูปการเกษตร  การยกระดับการพัฒนาสังคม  ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา สาธารณสุข สิ่งแวดล้อม การดูแลสังคมเยาวชนและผู้ชราในชนบทที่ยากไร้   บทบาทเหล่านี้ภาคเอกชนสามารถทำได้อย่างมีพลังหากร่วมมือกันระหว่างเอกชนด้วยกัน และระหว่างเอกชนกับภาคประชาชนและสถาบันอื่น อาทิ สถาบันการศึกษา ทั้งในเรื่องของการพัฒนายุทธศาสตร์  การสนับสนุนทางการเงิน  และความช่วยเหลือในการบริหารจัดการ

ความใกล้ชิดของภาคเอกชนกับภาคประชาชนจะเป็นโอกาสให้สามารถถ่ายเทความรอบรู้ ประสบการณ์ และปลูกฝังแนวคิดที่ดีมีประโยชน์แก่ภาคประชาชน  ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมให้เกิดความเข้าใจในประชาธิปไตยอย่างแท้จริง  หรือปลูกฝังการต่อต้านคอร์รัปชั่นแก่สังคมหมู่มาก  อาจกล่าวได้ว่า  ไม่มียามใดอีกแล้วที่ประเทศกำลังต้องการบทบาทเชิงรุกของภาคเอกชนเพื่อสะสางปัญหาที่สั่งสมในประเทศ  และร่วมบุกเบิกโอกาสในต่างประเทศเพื่อสร้างอนาคตแก่ประเทศไทย

แต่ภาคเอกชนในปัจจุบันยังขาดการรวมตัวอย่างมีพลังที่แท้จริงในการผลักดันเชิงนโยบาย และการรวมตัวของทรัพยากรเพื่อให้นโยบายเป็นผลในเชิงปฏิบัติ    ในขณะเดียวกัน  ก็ยังขาดการเชื่อมโยงที่ดีและลึกซื้งพอกับภาครัฐ    บทบาทการนำของภาคเอกชนในการกำหนดทิศทางของประเทศทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมืองจึงยังขาดพลัง   ในขณะที่บทบาทในการก้าวเข้าไปช่วยเหลือภาคประชาชนยังมีจำกัดยิ่ง

หากเป็นไปได้

….  อยากจะได้เห็นการรวมตัวที่เข้มแข็งของภาคเอกชนในปัจจุบัน โดยเฉพาะผู้นำธุรกิจที่มีความพร้อมและมั่นคงน่าจะก้าวออกมาเป็นแกนนำเพื่อพัฒนาภาคเอกชนด้วยกันเองและสามารถเชื่อมโยงประสานงานกับภาครัฐอย่างสร้างสรรค์  และก้าวเข้าไปพัฒนาภาคประชาชนได้อย่างมีพลัง          

….   อยากจะได้เห็นภาครัฐที่รู้จักใช้ความเป็นผู้นำสร้างความยอมรับและศรัทธา ใช้อำนาจการเมืองอย่างสร้างสรรค์ ชี้นำและโน้มน้าวพลังของภาคเอกชนให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่บ้านเมืองในยามที่สำคัญเช่นนี้

ที่มา..thailandfuturefoundation
///////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

คลัง-แบงก์ชาติ กับ บาทแข็ง !!?


 ยังแรงดีไม่มีตกสำหรับประเด็น “การแข็งค่าของเงินบาท” ที่กลายเป็นเรื่องเป็นราวถกเถียงกันไปมาระหว่างกระทรวงการคลังกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เกี่ยวกับกรณี “จำเป็นหรือไม่ที่จะต้องดำเนินการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง” เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว
   
โดยเรื่องนี้ฝั่งกระทรวงการคลัง นำโดย “กิตติรัตน์ ณ ระนอง” รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง เคยออกมาระบุว่า “ตนเคยพูดมาหลายครั้งแล้วว่าประเทศไทยมีอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่สูงเกินไป ดังนั้นหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงคือ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จึงควรพิจารณาเรื่องนี้ให้รอบคอบ โดยการให้ความเห็นในส่วนของตนที่อยู่ในฐานะ รมว.คลังนั้น ไม่มีหน้าที่ตัดสินใจในส่วนนี้ เพื่อให้ช่วยรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาทให้อ่อนลง”
   
ขณะที่คู่กรณีอย่าง “ประสาร ไตรรัตน์วรกุล” ผู้ว่าการ ธปท. ก็ออกมาชี้แจงต่อว่า “เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ กนง. หากเห็นว่าเศรษฐกิจมีปัญหาและจำเป็นที่จะต้องใช้นโยบายการเงินประคับประคองเศรษฐกิจเพื่อให้ยังสามารถขยายตัวได้ต่อไปนั้น ดอกเบี้ยก็ควรจะสะท้อนเศรษฐกิจไทยมากกว่าจะไปสะท้อนภาวะเศรษฐกิจของต่างประเทศ ทั้งสหรัฐ ยุโรปและญี่ปุ่น และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ก่อให้เกิดปัญหาหนี้สินครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้นด้วย ซึ่งการเพิ่มขึ้นของหนี้สินเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่ ธปท.กังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาวด้วย”
   
จากเหตุการณ์ดังกล่าวร้อนรนถึง “ขุนคลัง” เล่นเอานั่งไม่ติดเก้าอี้ ถึงขั้นออกมาระบายผ่านสื่อว่า “ตนรู้สึกไม่พอใจภาพรวมการดูแลและการแก้ปัญหาการแข็งค่าของเงินบาทของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพราะเห็นว่าควรจะใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาเรื่องนี้ เพราะปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยของไทยยังอยู่ในระดับที่สูงเกินไป ซึ่งมีข้อเสียอยู่มาก แม้ว่าจะมีข้อดีอยู่บ้างก็ตาม
   
“ที่ผ่านมาผมพูดเสมอว่าประเทศไทยควรจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง เพราะมันอยู่ในระดับที่สูงเกินไป ซึ่งสิ่งที่ผมพูดก็เป็นเพียงการแสดงความเห็นเท่านั้น ไม่ได้มีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องนี้ และหากผู้ที่ดูแลเรื่องนี้ทั้งคณะเห็นว่าควรจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยลง ไม่ว่าจะในระดับใดก็ตาม ก็ควรจะดำเนินการตามนั้น ซึ่งเรื่องนี้ผู้รับผิดชอบควรจะรับฟังเพื่อนำไปประกอบการพิจารณา” นายกิตติรัตน์กล่าว
   
ไม่เพียงเท่านั้น ถัดมาไม่กี่วัน “กิตติรัตน์” ยังคงแผลงฤทธิ์ไม่หยุด ด้วยการเดินหน้าร่อนหนังสือถึง ธปท. ผ่าน “วีรพงษ์ รามางกูร” ประธานบอร์ด ธปท. ซึ่งเป้าประสงค์ก็คือเพื่อให้ “วีรพงษ์” และบอร์ดทุกคนได้ร่วมกันพิจารณาถึงอำนาจและความรับผิดชอบของ ธปท.ต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ เพราะก่อนหน้านี้ “กิตติรัตน์” และ “วีรพงษ์” ได้เคยผนึกกำลังกันเสนอแนะให้ ธปท. ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงจาก 2.75% เพื่อให้ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยในประเทศกับต่างประเทศแคบลง และลดกระแสเงินทุนไหลเข้า ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาของเรื่องนี้คือ “เงินบาทแข็งค่า”
 
 “ธปท.ก็ยังมองข้ามข้อเสนอดังกล่าว เพราะผู้บริหารก็ยังคงให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนตลอดว่าจะพิจารณากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อเป็นหลัก สำหรับการกำหนดทิศทางการบริหารเศรษฐกิจของประเทศ”
   
พร้อมทั้งยังยืนยันอีกว่า การกระทำดังกล่าวทั้งหมดไม่ได้เป็นการแทรกแซงการทำงานของ ธปท. แต่เป็นการพูดในฐานะ รมว.การคลัง ซึ่งมีสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย และเป็นการแสดงความเป็นห่วงด้วยความ “บริสุทธิ์ใจ” และยืนยันอีกว่าสิ่งที่ทำไม่ได้หมายว่าต้องมีการปลด “ผู้ว่าฯ ธปท.” แต่อย่างใด
   
ขณะที่ “วีรพงษ์” เองก็ออกมาสับเละ ธปท. ที่กำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้สูงเกินไปว่า “การกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้สูงเช่นนี้ ถือเป็นสาเหตุที่ทำให้มีเงินทุนไหลเข้ามาในประเทศจำนวนมาก และส่งผลทำให้เงินบาทแข็งค่า อัตราแลกเปลี่ยนผันผวน ซึ่งจะกระทบต่อเศรษฐกิจในด้านอื่นๆ ด้วย โดยนอกจากเงินจะแข็งค่าแรง ยังเป็นผลทำให้ ธปท.ต้องเข้าไปแทรกแซงเพื่อลดการแข็งค่า ด้วยการออกพันธบัตรดูดซับสภาพคล่อง ซึ่งสุดท้ายจะส่งผลทำให้ ธปท.ต้องแบกรับผลขาดทุนจากการดำเนินการดังกล่าวมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะพันธบัตรที่ออกมานั้นมีอัตราดอกเบี้ยใกล้เคียงกับดอกเบี้ยนโยบาย
   
คำถามคือ “ธปท.” ยังจำเป็นต้องควบคุมอัตราเงินเฟ้อของประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมหรือไม่? และยังมีหลายฝ่ายที่ยังสงสัยในเรื่องนี้ว่า หากดำเนินการลดอัตราดอกเบี้ยตามนโยบายของรัฐบาลแล้ว ทิศทางอัตราเงินเฟ้อของประเทศจะเป็นอย่างไร
   
เชื่อว่าทุกฝ่ายเป็นห่วงสถานการณ์ “การแข็งค่าของเงินบาท” เพราะนอกจากจะมีผลกระทบต่อผู้ประกอบการกลุ่มส่งออกที่เคยได้รับความเดือดร้อนอย่างหนักมาแล้วจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกถดถอย ก็อาจต้องมาบาดเจ็บจากสถานการณ์ค่าเงินอีกครั้ง รวมถึงยังมีความเป็นไปได้ว่าปัญหาครั้งนี้อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้นปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ธปท.จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
   
ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไปแบบห้ามคลาดสายตาถึงแนวทางในการแก้ปัญหา “การแข็งค่าของเงินบาท” ที่แม้ว่าในปัจจุบันก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าต้องมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายหรือไม่ หรือจะเลยเถิดไปถึงจำเป็นต้องมีการ “ปลดผู้ว่าฯ ธปท.” หรือไม่ หากไม่มีการสนองนโยบายรัฐบาล!!!.

ที่มา.ไทยโพสต์
***************************

กกต.ต้องเอาจริง : เชือดโพลล์เลือกข้าง !!?


การประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตของนายมานิจ สุขสมจิตร์สื่อมวลชนอาวุโส ทั้งๆ ที่ดำรงตำแหน่งมานานกว่า 30 ปี เนื่องจากอับอายต่อกระแสสังคมที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงการทำโพลล์แบบชี้นำรับใช้ฝ่ายการเมืองอย่างไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการของสวนดุสิตโพลถือเป็นเรื่องใหญ่และสะท้อนให้เห็นถึงข้อน่ากังขาในความไม่ชอบมาพากลสำหรับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของสังคมที่เริ่มมีมากขึ้นทุกขณะเกี่ยวกับพฤติกรรมของโพลล์บางสำนักที่ถูกจับตาตั้งข้อสงสัยว่าเป็น “โพลล์โสเภณี” หรือ “โพลล์รับจ้าง”

นายมานิจ ในวงการสื่อมวลชนแล้วเป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นนักหนังสือพิมพ์อาชีพอาวุโสซึ่งเป็นที่ยอมรับอย่างสูงในฐานะสื่ออาวุโสที่มีประวัติใสสะอาด ซื่อสัตย์สุจริตยึดมั่นในจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพสื่ออย่างเคร่งครัดมาตลอดหลายสิบปีที่ทำอาชีพนี้โดย นายมานิจ จบการศึกษาทั้งในและต่างประเทศ และทำงานหนังสือพิมพ์มาตลอดจนเข้าสู่วัยชรา เคยดำรงตำแหน่งสำคัญมามากมายนับไม่ถ้วนรวมทั้งตำแหน่งอดีตประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ และอดีตบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ อาจารย์พิเศษด้านสื่อสารมวลชนและเคยได้รับเชิญให้เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการสำคัญมาแล้วมากมาย การลาออกจากนายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตครั้งนี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงการหมดความอดทนต่อพฤติกรรมของสวนดุสิตโพลได้เป็นอย่างดี

สวนดุสิตโพลถูกตั้งข้อสงสัยมานานในพฤติกรรมส่อไปในทางรับใช้พรรคการเมืองบางพรรคโดยเฉพาะในศึกชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯกทม.ครั้งล่าสุดนี้สวนดุสิตโพลถูกตั้งข้อสังเกตว่าทำโพลล์แบบชี้นำช่วยเหลือผู้สมัครจากบางพรรค และข้อน่าสงสัยก็คือ นายสุขุม เฉลยทรัพย์ ผู้อำนวยการของสวนดุสิตโพล ได้รับจ้างจัดทำโพลล์โครงการสานเสวนา 108 เวทีของกระทรวงมหาดไทย โดยได้รับงบประมาณสนับสนุนสูงถึง 108 ล้านบาท นอกจากนี้ นายสุขุม ยังได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคุรุสภา

นอกจากนี้ยังมีข้อน่าสังเกตว่า หลังสวนดุสิตโพลตกเป็นข่าวอื้อฉาวพล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม.ของพรรคเพื่อไทยออกมาแก้ต่างแทนสวนดุสิตโพลในทันทีว่าโพลล์ไม่มีผลต่อการชี้นำ

ไม่เพียงสวนดุสิตโพล สำนักโพลล์ชื่อดังอย่างเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญที่มี นายนพดล กรรณิกาเป็นผู้อำนวยการก็ถูกตั้งข้อสงสัยในเรื่องการชี้นำศึกชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้ตลอดจนพฤติการณ์ในช่วงที่ผ่านมา

การที่ พล.ต.ท.ทวีศักดิ์ ตู้จินดา ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) กทม. ออกมาเตือนการทำโพลล์ในลักษณะชี้นำไม่เป็นกลางพร้อมทั้ง คาดโทษว่าอาจเข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้งซึ่งมีโทษทางอาญาและล่าสุดเตรียมเรียก นายสุขุม มาชี้แจงต่อกกต.กทม.น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่แสดงให้เห็นว่า กกต.เอาจริงกับการทำโพลล์ที่มีเบื้องหลังผลประโยชน์ แอบแฝงจนทำให้การเลือกตั้งไม่บริสุทธิ์และยุติธรรม

อย่างไรก็ตามแค่การปรามคงไม่เพียงพอ แต่ประธานกกต.กทม.ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่ใช่เป็นแค่เสือกระดาษ แต่ต้องเอาจริงด้วยการตรวจสอบทรัพย์สินของเจ้าสำนักโพลล์ทุกสำนักที่มีพฤติกรรมน่าสงสัยในเชิงลึกอย่างเข้มข้นและให้อธิบายที่มาของทรัพย์สิน ซึ่งหากพบทรัพย์สินที่ได้มาโดยไม่ชอบก็ต้องดำเนินการตามกฎหมายขั้นเด็ดขาดเพื่อไม่ให้โพลล์ชั่วร้ายประเภท “โสเภณี” หรือ “มือปืนรับจ้าง” ได้ใจหากินสร้างความร่ำรวยกับนักการเมืองเลวโดยไม่คำนึงถึงจรรยาบรรณในวิชาชีพและทรยศต่องานทางวิชาการ

ที่มา.นสพ.แนวหน้า
----------------------------------

แรงกดดัน พุ่งใส่ อภิสิทธิ์ !!?


เหลือเวลาอีกเพียงชั่วอึดใจเดียววันตัดสินชี้ขาดศึกสนามเล็ก เลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กำลังจะมาถึง ด้วยโมงยามที่ถูกจำกัด แต่ในขณะเดียวกัน ผู้สมัครทั้งค่ายใหญ่และในนามอิสระ ต่างต้องหาทาง"ปล่อยอาวุธ" กันอย่างเต็มที่ โดยไม่จำเป็นต้องรีรอแทงกั๊กกันอีกต่อไป!
     
ท่ามกลางการผลักดันภารกิจสำคัญของพรรคประชาปัตย์ในการรักษาแชมป์ ส่งม.ร.ว.สุขุมพันธุ์บริพัตรผู้สมัครของพรรค เข้าไปยึดครองเก้าอี้ผู้ว่าฯกทม. เอาไว้ให้ได้เป็นสมัยที่สอง อย่างเข้มข้น และตึงเครียด
     
เพราะนับวันกระแสของพล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ในฐานะตัวแทนจากพรรคเพื่อไทย ยิ่งทวีความแรงและโดดเด่นมากขึ้นทุกขณะ ยิ่งส่งผลให้พรรคประชาธิปัตย์ต้องหาทางปรับกลยุทธ์ เพื่อกวาดคะแนนตุนเอาไว้ในมือให้มากที่สุด
   
สำหรับการต่อสู้ของสองพรรคการเมืองใหญ่ บนศึกเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. รอบนี้ ยังมีความน่าสนใจว่า คนที่อาจต้องเผชิญหน้ากับ "แรงกดดัน"ทั้งในและนอกพรรค คงไม่มีใครเกินไปกว่า หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อย่าง"อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ"!
     
การต่อสู้ทางการเมืองวันนี้ ดูเหมือนว่าหลายสิ่งหลายอย่างมีความเกี่ยวเนื่อง โยงใยกันไปโดยปริยาย การเมืองในสนามเล็ก อย่างการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. กำลังสร้างแรงกระแทกและแรงเสียดทานขึ้นทั้งต่อในและนอกพรรคของแต่ละฝ่ายไปในคราวเดียวกัน
     
เมื่อโฟกัสการเคลื่อนไหวของพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะแชมป์เก่าแล้ว อาจไม่ใช่เรื่องง่ายดายที่จะรักษาเก้าอี้ผู้ว่าฯกทม. ซึ่งถือเป็น"ชัยภูมิหลัก"ทางการเมืองที่ทุกพรรคต่างหมายตา หวังได้ครอบครอง
     
ในเบื้องลึกวันนี้พบว่า ความวุ่นวายภายในพรรคประชาธิปัตย์เองยังคงรอจังหวะที่จะปะทุขึ้นมาอีกครั้งหลังเสร็จศึกเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.รอบนี้จบลง!
     
เพราะมีข่าวว่าเวลานี้กำลังเกิดคำถามขึ้นภายในพรรค จาก"คนกันเอง"ว่าหากการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ครั้งนี้เมื่อผลออกมาม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ไม่สามารถรักษา "เก้าอี้" เอาไว้ได้เป็นสมัยที่สอง
     
"ใคร" ควรที่จะต้องแสดงความรับผิดชอบ
     
"ใคร" ควรที่จะแสดงสปิริต อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือไม่ ?
     
โดยเฉพาะหัวหน้าพรรคที่ชื่ออภิสิทธิ์ เนื่องจากก่อนหน้านี้ กว่าที่พรรคจะเคาะเลือกม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ให้เป็นตัวแทนพรรค ได้เกิดแรงกระเพื่อมจากคนในพรรคด้วยกันเอง เพราะมีทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย พร้อม
     
ทั้งตั้งคำถามว่าเหตุใด หัวหน้าพรรคไม่เลือกเปิดโอกาสให้แกนนำคนอื่นในพรรค เป็นตัวแทน ไม่ว่าจะเป็น"กรณ์จาติกวณิช"รองหัวหน้าพรรค หรือ"องอาจ คล้ามไพบูลย์"ส.ส.บัญชีรายชื่อ
     
อีกทั้งยังปล่อยให้เกิดความไม่ชัดเจนขึ้นภายในพรรค จนเป็นที่มาของความขัดแย้งระหว่างแกนนำด้วยกันเอง
     
และจากเหตุการณ์คลื่นใต้น้ำในวันวานที่ผ่านมา ที่เกิดขึ้นภายในประชาธิปัตย์ ได้มีความพยายามจากคนในพรรคด้วยกันเองเพื่อต้องการให้ทุกฝ่าย "สงบศึก" เพื่อร่วมกันผลักดันให้ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ไปสู่เป้าหมายก็ตาม
     
แต่ทว่าสถานการณ์ภายในพรรควันนี้ ยังคงเต็มไปด้วยอาการคุกรุ่น อยู่ไม่น้อย ยิ่งพบว่ากระแสความนิยม ของคู่แข่งแซงหน้า ไปมากเท่าใด ยิ่งกลายเป็น "ชนวน" ทำให้เกิดคำถามตามมาจากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดและการตัดสินใจของหัวหน้าอภิสิทธิ์ ตั้งแต่แรกมากเท่านั้น
     
ล่าสุดมีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจและยังอาจสอดรับกับการปลุกคะแนน ให้กับม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ เพื่อให้ตีตื้นขึ้นมาในช่วงโค้งสุดท้าย นั่นคือการเปิดตัว"ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ"อดีตเลขาธิการอาเซียน ทีจะเข้ามารับบทบาทในฐานะ"ประธานสถาบันออกแบบอนาคตประเทศไทย"ในวันที่ 8 ก.พ.นี้
     
พร้อมทั้งยังมีรายการดึงบุคคลสำคัญในแวดวงต่างๆ เข้ามาเสริมทัพเพื่อขับเคลื่อนสถาบันดังกล่าว ซึ่งหลายคนล้วนแล้วแต่เป็นอดีตคีย์แมนของพรรค ในรัฐบาลนายกฯชวน หลีกภัย มาแล้วทั้งสิ้น
     
การเปิดตัวสถาบันที่ว่านี้ ย่อมส่งผลต่อคะแนนของคนกรุงเทพฯ ที่จะมองเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์นั้นสามารถที่จะปรับเปลี่ยนโฉมหน้าของตัวเองจากพรรคแนวอนุรักษนิยม ไปสู่อีกมิติหนึ่ง โดยมีบุคลากรสำคัญพร้อมเข้าร่วม
     
ว่ากันว่าแนวคิดการขับเคลื่อนสถาบันออกแบบอนาคตประเทศไทย นั้นยิ่งเป็นรูปธรรมากเท่าใด ยิ่งเป็นคำตอบในวันข้างหน้าว่า ประชาธิปัตย์กำลังเปิดเกม "รุกกลับ" นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตรมากเท่านั้นหลังเกมสนามเล็กจบลง
   
และในขณะเดียวกันยังน่าสนใจด้วยว่า ผู้อยู่เบื้องหลังการผลักดันสถาบันดังกล่าวนี้ คือแกนนำพรรคที่ประเมินและมองเห็นแล้วว่า เส้นทางที่ทั้ง "หัวหน้าพรรค" และ สุเทพเทือกสุบรรณ ก้าวเดินที่ผ่านมานั้นดูจะยังไม่ใช่ "คำตอบ" ที่หลายคนในพรรคต้องการ!

ที่มา.สยามรัฐ
/////////////////////////////

อะไรๆ ก็ตำรวจ !!?


อยากวิพากษ์วงการตำรวจให้เป็นเรื่องใหญ่เรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ แต่ดูเหมือน มีหลายกรณีที่ดูจะโด่งดังไปในเวลาใกล้เคียงกันจนไม่อยากให้หลุดรอดไปสักเรื่อง

เรื่องแรก กรณีตำรวจสอบสวน สภ.แก่งกระจาน เพชรบุรี สั่งฟ้อง 8 คนที่ ขนอาวุธเข้าไปฆ่าสัตว์ป่าในเขตอุทยานแก่งกระจานหลายข้อหา

แต่ไม่สั่งฟ้องนายตำรวจระดับสารวัตรสอบสวนคนหนึ่งที่ร่วมขบวนด้วย

ขณะที่คุณชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแก่งกระจาน ซึ่งเป็นหัวหน้าชุดจับกุมคดีนี้ยืนยันว่าจะต้องทำตามกระบวนการยุติธรรมของกฎหมายตรงไปตรงมา ไม่เลือกปฏิบัติว่าจะเป็นข้าราชการหรือประชาชน

ยิ่งเป็นข้าราชการที่กระทำความผิดก็ต้องรักษากฎหมายให้หนักกว่าชาวบ้าน เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง และควรจะมีโทษหนักกว่าชาวบ้านหลายเท่าทวีคูณ

ข่าวนี้ดังครึกโครมมาตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ไม่น่าเชื่อว่า วันเวลาผ่านไปไม่นานได้เกิด ขบวนการช่วยเหลือข้าราชการบางคนให้รอดพ้นจากอาญาได้

เชื่อว่าประชาชนที่ได้รับรู้เรื่องนี้มาแต่ต้น มีความรู้สึกไม่ดีต่อวงการตำรวจ และ ให้กำลังใจข้าราชการกรมอุทยานที่กำลังท้อแท้ต่อการปฏิบัติหน้าที่ที่ขาดจิตสำนึกของ ข้าราชการตำรวจมากกว่า

ควรที่นายตำรวจระดับผู้บัญชาการชั้นสูงสุดต้องลงไป “จัดการ” กับตำรวจที่เกี่ยวข้อง อย่างจริงจัง ไม่ใช่ปล่อยปละละเลย “เลี้ยงตำรวจน้ำเน่า” เอาไว้ให้เสื่อมเสียศักดิ์ศรีวงการ ตำรวจ

โดยเฉพาะโรงพักแก่งกระจาน ได้กลายเป็น “จุดโฟกัส” กลายเป็นขี้ปากของประชาชนถ่มถุยไปทั่วประเทศอย่างช่วยไม่ได้

อย่าลืมว่า วงการตำรวจได้ปกป้องตำรวจชั่วอย่างฉาวโฉ่ไปทั้งโลก จนชาติอาหรับตะวันออกกลางพากัน “บอยคอต” ไม่รับแรงงานไทยมายาวนานนับ 20 ปี ทำให้แรงงานไทยหมดโอกาสไปแสวงหางานทำที่นั่นนับแสนคน ต้องเสียรายได้ที่คนไทยควรได้จากประเทศแถบนั้นคิดคร่าวๆ ก็หลายแสนล้านบาทมาแล้ว

ก็เพราะอำพรางคดีเพชรซาอุฯ แบบซับซ้อนซ่อนปม พยายามช่วยเหลือตำรวจที่เกี่ยวข้องกันเป็นลูกระนาด แต่ไม่อาจช่วยได้ทำให้นายตำรวจหลายคน “ติดคุกหัวโต” จนเดี๋ยวนี้

ใช่...จนเดี๋ยวนี้ ไมตรีจิตระหว่างประเทศของชาติอาหรับกับไทยก็ยังไม่ดีเป็นปกติ เพราะไปปกป้องศักดิ์ศรีตำรวจที่มีความผิดประดับวงการกากีนั่นเอง

เรื่องที่ 2 อาคารเก่าโรงพักตำรวจทั่วประเทศต้องถูกทุบทิ้งไป 396 แห่งทั่วประเทศ เพื่อหวังจะได้งบประมาณเกือบ 6,000 ล้านบาท ไปสร้างอาคารใหม่ แต่กลายสภาพเป็น “ตำรวจทุบทิ้งออฟฟิศตัวเอง” แล้วกลายเป็น “ขอทาน” ไปอาศัยบ้านพักตำรวจและสำนักงาน อบต.ของท้องถิ่นเป็นที่ทำงานอย่างทุลักทุเล

เพราะการรับเหมาที่พิลึกพิลั่นในยุคคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้ารัฐบาล โดยมีคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรองนายกรัฐมนตรีดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติแทนเต็มๆ มือ

ทีแรกให้มีการแยะประมูลเป็นรายภาค จู่ๆ ก็พลิกวิธีจัดจ้างให้รวมเหลือแค่รายเดียว ทั่วประเทศเมื่อเดือนตุลาคม 2553 ซึ่งเป็นที่มาทำให้ผู้รับเหมารายเดียวทั่วประเทศ “ทิ้งงาน”

ไม่มีใครกล้า “ฟันธง” ว่าเป็นความผิดของใคร ทั้งๆ ที่รู้กันดีว่า มีบริษัทผู้รับเหมาทำสัญญาเพียงเจ้าเดียว สมควรใช้กฎหมายเล่นงานได้ แต่เพราะมี “การเมือง” เข้าไปครอบงำ ทุกอย่างจึงรอวันระเบิด

นาทีนี้เราจึงเห็นนักการเมืองและนายตำรวจชั้นสูงบางคนหลบเลี่ยงใช้ลีลาน้ำลายบิดเบือนไม่ยอมรับผิดชอบต่อผลงานที่เหลวแหลกประจานโรงพักตำรวจ เกือบ 400 แห่งทั่วประเทศ อย่างไม่น่าให้อภัยถ้าใครคิดว่าเรื่องนี้เป็นผลงานยอดเยี่ยม ประจำยุคใคร ก็ให้จำไว้ด้วยว่า ยุคไหนใครโกงใครทุจริตคิดมิชอบ “ดีแต่พูด” แก้ตัวไปวันๆ ก็ขอช่วยกันพิจารณาให้ถี่ถ้วนด้วยก็แล้วกัน

ส่วนเรื่องสุดท้ายที่จะให้จับตาให้ดี เพราะมี 2 นายตำรวจใหญ่ลงแข่งเลือกตั้ง ผู้ว่าฯ กทม.อย่างคึกคักปรากฏมีคนหนุ่มกว่าพูดจาคล่องปรื๋อ พูดเหมือนจะให้สัญญา อย่างสุ่มเสี่ยงต่อกฎหมายเลือกตั้ง พูดแบบ “น้ำไหลไฟดับ” จนชักไม่แน่ใจ... กับอีกคนหนึ่งอาศัยผลงานเก่า เล่าอดีตที่คิดว่าตัวเองเป็นวีรบุรุษ แต่ไม่ยอมเล่าว่า ห้วงเป็น ผู้นำสีกากีมีตำหนิอะไรให้คนเขาวิจารณ์ มัวแต่คิดเอาเองว่า “ข้าแน่”...แต่พอได้ “ดีเบต” ผู้สมัครด้วยกันก็แขวะคนอื่นเขาไปทั่ว เหมือนตัวเองดีเลิศคนเดียว

งานปรากฏตัวต่อสาธารณชนเพื่อขันอาสามาทำงานให้คนเมืองหลวงของ 2 นายตำรวจใหญ่ จะทำให้วงการตำรวจมีภาพลักษณ์ดีขึ้นหรือไม่ คงอีกไม่เกิน 1 เดือน เศษๆ นี้ก็จะได้คำตอบ

แต่ระหว่างหาเสียงไม่ทันถึงวันเลือกตั้ง...ชักสังหรณ์ใจตะหงิดๆ ว่า 2 นายตำรวจใหญ่ ไม่คนใดก็คนหนึ่งอาจลดชั้นลงมาอยู่แค่ “หมู่” หรือไม่ก็ “จ่า” หรือเปล่าน้อ?

ที่มา.สยามธุรกิจ
///////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เสื้อแดงไม่ใช่ควายวาทะแรงสะท้อนรอยร้าว !!?


การทำงานแบบติ๊ดชึ่งหวานเย็นซื้อเวลาไปเรื่อยของรัฐบาล กำลังสร้างรอยแตกแยกเล็กๆให้เกิดขึ้นในกลุ่มคนเสื้อแดงที่เริ่มแสดงเฉดสีความแดงของตัวเองให้เด่นชัดออกมาเรื่อยๆ

ใครแดงเพื่อทักษิณ แดงเพื่อไทย แดงเพื่อประชาธิปไตย แดงก้าวหน้า แดงสยามแดงเสรี ฯลฯ เริ่มแบ่งแยกได้ชัดเจน

จากการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับมรดกเผด็จการรัฐประหารที่จนถึงวันนี้ไม่มีความชัดเจนว่าจะมีการแก้ไขหรือไม่ แก้เมื่อไร แก้เรื่องใดบ้าง แก้ด้วยวิธีการใด

มาถึงความไม่ชัดเจนในการนิรโทษกรรมเพื่อปลดปล่อยนักโทษการเมืองที่อยู่ในคุกว่าจะดำเนินการหรือไม่ อย่างไร หากทำจะทำแนวทางไหน และทำเมื่อไร

บวกกับแรงเสี้ยมจากฝ่ายตรงข้ามที่พยายามตอกย้ำให้เกิดความแตกแยกขึ้นทุกวัน กับวาทกรรมสงสารคนเสื้อแดงที่ถูกหลอกใช้เพื่อก้าวขึ้นสู่อำนาจ

ยิ่งนานวันวาทกรรมนี้ยิ่งเริ่มกินใจคนเสื้อแดงส่วนหนึ่งที่เริ่มหงุดหงิดกับความล่าช้าของรัฐบาล จนคิดไปว่าไม่มีความจริงใจ

จนเกิดปรากฏการณ์คนกันเองนัดชุมนุมกดดันรัฐบาลเพื่อให้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมเมื่อไม่นานมานี้ และเริ่มมีวาทะที่แรงๆใส่กันของคนเสื้อแดงด้วยกันเอง

“ผมยังมองเขาเป็นเพื่อน แต่ต้องแยกมิตรแยกศัตรูให้ถูก มีความเห็นอะไรที่แตกต่าง อย่าเอากระสุนมายิงพวกเดียวกัน เอาปืนมายิงผมตาย แบบนี้เป็นมิตรหรือไม่ เอาหอกเอาดาบมาฟัน เป็นมิตรหรือเปล่า

บางคนอาจสถาปนาตัวเองขึ้นมาเป็นแกนนำ แล้วถีบเสื้อแดงเฉยเลย อย่างนี้เป็นแกนนำหรือเปล่า มิตรทั้งหลายถ้าคุณไม่พอใจมิตรด้วยกัน อย่าเอาปืนยิงมิตร ไอ้พวกนี้เป็นเสื้อแดงด้วยกันจะมายิงกันเอง”

เป็นคำพูดจากปากของ นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำเสื้อแดงในส่วนของ นปช. ที่ปล่อยของใส่แนวร่วม 29 มกรา ปลดปล่อยนักโทษการเมือง ที่เคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลให้เร่งนิรโทษกรรม

ขณะที่นางดารุณี กฤตบุญญาลัย หนึ่งในแกนนำคนเสื้อแดงที่ปลีกตัวมาทำกิจกรรมร่วมกับแนวร่วม 29 มกราฯ ก็ออกมาตอบโต้รุนแรงว่า

“คนเสื้อแดงไม่ใช่ควาย ที่จะมาถีบหรือสนตะพายได้ และคนเสื้อแดงก็ไม่ใช่สมบัติของใคร การคิดว่าอีกกลุ่มจะมาแย่งเป็นแกนนำนั้น เห็นว่าระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาจะพิสูจน์คน ซึ่งคนเสื้อแดงอาจคิดและต่อสู้เคลื่อนไหวแตกต่างกันได้ แต่อย่าประณามกันเองให้แตกแยก หรือมองว่าตัวเองถูกหมด คนอื่นผิดที่คิดต่าง แค่คิดแบบนี้ก็ผิดหลักประชาธิปไตย”

แม้ทั้ง 2 คนจะพยายามรักษาไมตรีว่าอย่าประณามกันเองให้แตกแยก แต่ความแตกแยกได้เกิดขึ้นแล้วในกลุ่มคนเสื้อแดง

และในไม่นานจากนี้ความสัมพันธ์ในหมู่คนเสื้อแดงกลุ่มต่างๆจะมีความชัดเจนมากขึ้นว่าจะยังเดินร่วมทางกันต่อไปได้หรือไม่

ทั้งหมดขึ้นอยู่กับฝีมือในการบริหารความขัดแย้งของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

หลังคณะกรรมการกฤษฎีกาศึกษาแนวทางการนิรโทษกรรม 3 แนวทางที่ส่งให้พิจารณาเสร็จ คือออกเป็นพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ออกเป็นพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) และใช้วิธีแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้นรัฐบาลต้องมีคำตอบ

ส่วนจะให้คำตอบอย่างไรรัฐบาลต้องคิดให้รอบคอบถี่ถ้วน เพราะไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็จะมีอาฟเตอร์ช็อกทางการเมืองตามมาแน่นอน

ยิ่งหากเลือกซื้อเวลาไม่ให้คำตอบเหมือนการแก้รัฐธรรมนูญจะยิ่งมีปัญหา

ความรู้สึกของคนเสื้อแดงบางส่วนที่มีต่อรัฐบาลอาจเตลิดไปไกลเกินกว่าจะเยียวยาให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม

คนเสื้อแดงจะแตกหรือไม่ขึ้นอยู่กับชั้นเชิงการบริหารความขัดแย้งของนายกฯยิ่งลักษณ์ว่าจะให้คำตอบแบบไหนหลังการศึกษาข้อกฎหมายของกฤษฎีกา

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
//////////////////////////////////////////////////

จับตารัสเซียครองเมือง : หัวใจอยู่ที่ การบังคับใช้กฎหมาย !!?


โดย รัตนา จีนกลาง

คอลัมน์ ชั้น 5 ประชาชาติ

เหตุ คุกรุ่นที่กลุ่มผู้ประกอบการชมรมรถแท็กซี่บางเทา ตำบลเชิงทะเล อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต รวมตัวกันกว่า 150 คน ออกมาประท้วงขับไล่ชาวรัสเซียพ้นเกาะภูเก็ต เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2556

นับเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยครั้งนัก

ในเมืองท่องเที่ยวระดับโลกแห่งนี้

กลุ่ม ผู้ชุมนุมให้เหตุผลว่า ผู้ประกอบการในพื้นที่ได้รับผลกระทบจากการที่ชาวรัสเซียเข้ามาแย่งอาชีพของ คนในพื้นที่เป็นจำนวนมาก โดยเข้ามาประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ทั้งการนำเที่ยว

รถเช่า ร้านอาหาร ร้านซักรีด และมีทั้งไกด์เถื่อน ทัวร์เถื่อน

ขณะ นี้เฉพาะในพื้นที่บ้านบางเทา มีชาวรัสเซียตั้งเคาน์เตอร์ขายทัวร์แก่นักท่องเที่ยวกว่า 50 แห่ง ทำการขายทัวร์ตัดราคาและสั่งห้ามนักท่องเที่ยวรัสเซียใช้บริการแท็กซี่ของ ชาวบ้าน

ทั้งนี้ผู้ชุมนุมยังได้ยื่นหนังสือร้องเรียนถึงผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

รวมถึงการให้ชาวรัสเซียออกไปจากพื้นที่ด้วย

แกน นำผู้ชุมนุมบอกว่า ผู้ประกอบการท้องถิ่นยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกสัญชาติ รวมถึงรัสเซียด้วย แต่ไม่ต้องการให้คนต่างชาติมาเอาเปรียบด้วยการแย่งอาชีพของคนไทย

เรื่อง นี้ถือว่าไม่ใช่ปัญหาใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ผู้ประกอบการรถตุ๊กตุ๊กที่หาดกะรนก็ออกมาเรียกร้องให้ภาค รัฐเข้าไปดำเนินการกับชาวรัสเซียที่เปิดบริษัททัวร์ และสั่งห้ามนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียใช้บริการรถตุ๊กตุ๊ก

ย้อนไปเมื่อ กลางปี 2551 ก็มีกลุ่มมัคคุเทศก์อาชีพ หรือไกด์ไทยที่ใช้ภาษารัสเซีย รวมตัวกันประท้วงและเรียกร้องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา แก้ไขปัญหาไกด์ชาวรัสเซียแย่งงาน

ไกด์ไทย ซึ่งเป็นปัญหาที่เรื้อรังมานาน

โดย ชี้ให้เห็นพฤติกรรมว่า มีชาวรัสเซียเข้ามาเปิดบริษัทนำเที่ยวในไทย โดยใช้ชื่อคนไทยจดทะเบียน หรือเป็นนอมินีบริษัทนำเที่ยว และบริษัทเหล่านี้ก็ไม่ยอมจ้างไกด์ไทยภาษารัสเซียทำงาน แต่จะจ้างคนรัสเซีย และจ้างไกด์ไทยที่พูดภาษารัสเซียไม่ได้ ไปนั่งในรถทัวร์เฉย ๆ ส่งผลให้ไกด์ไทยที่พูดภาษารัสเซียได้ตกงานและเดือดร้อนมาก อย่างไรก็ตามสภาพเช่นนี้ก็เกิดขึ้นกับทัวร์เกาหลีเพราะมีปัญหาการสื่อสาร

กรณีประท้วงขับไล่ชาวรัสเซียที่จังหวัดภูเก็ต เป็นการปะทุขึ้นของปัญหาเพียง

มิติ เดียว มีสภาพคล้ายกับ "ภูเขาน้ำแข็ง" เนื่องจากสิ่งที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ที่ภูเก็ต ยังมีปมปัญหาเรื้อรังอีกหลายอย่างที่รอการเยียวยาแก้ไขอย่างจริงจังจากหน่วย งาน หรือองค์กรที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ

เนื่อง จากปัจจุบันเกาะภูเก็ตได้กลายเป็นเมืองนานาชาติ เป็นจุดหมายปลายทาง (destination) ของผู้คนจากทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว การค้า/บริการ การลงทุนอสังหาริมทรัพย์ (โรงแรม, วิลล่าเศรษฐีต่างชาติ, คอนโดมิเนียม) ซึ่งนักธุรกิจกระเป๋าหนักทั้งจากส่วนกลางและต่างชาติ หอบเงินเข้ามาลงทุนไม่ขาดสายแน่นขนัดเต็มเกาะภูเก็ต

ในยุคแรก ๆ กลุ่มชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนทำบ้านพักตากอากาศ ส่วนใหญ่มาจากอังกฤษ ออสเตรเลีย ฮ่องกง แต่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เริ่มมีชาวรัสเซียเดินทางเข้ามาจำนวนมาก ทั้งนักท่องเที่ยวและนักลงทุน โดยเฉพาะจำนวนนักท่องเที่ยว

เติบโตอย่างก้าวกระโดดจากหลักหมื่นเป็นหลายแสนคน เช่น ปี 2553 มีจำนวน 234,628 คน และทะยานสู่อันดับหนึ่งในปี 2555

อีกส่วนหนึ่งก็เข้ามาตั้งบริษัทร่วมกับ

คนไทย ไล่เทกโอเวอร์กิจการโรงแรมระดับ 3 ดาวถึง 5 ดาว ในพื้นที่หาดป่าตอง หาดกะตะ หาดกะรน หาดไม้ขาว เพื่อรองรับชาวรัสเซียโดยเฉพาะ

ล่า สุดมีการกว้านซื้อที่ดินแล้วลงทุนก่อสร้างที่พักขายให้กับชาวรัสเซียด้วยกัน เอง เรียกว่าเป็นโมเดลเดียวกับ "ฝรั่งทำขายฝรั่ง" เพราะข้อจำกัดของชาวรัสเซียคือภาษาที่ใช้ในการสื่อสาร

ขณะที่นัก ท่องเที่ยวรัสเซียหลายคนที่คุ้นเคยกับคนไทยและเจ้าหน้าที่ไทย ก็ยกระดับตนเองเป็นดีเวลอปเปอร์อสังหาริมทรัพย์ ลงทุนตั้งบริษัทพร็อพเพอร์ตี้ ทำเองขายเอง

ในหมู่คนรัสเซีย เพราะตอนนี้ชาวรัสเซียมีกำลังซื้อสูงมากกว่าชาวยุโรปที่เจอพิษเศรษฐกิจตกต่ำ และนิยมหนีอากาศหนาวมาซื้อบ้านหลังที่ 2 ในภูเก็ตมากขึ้น

แม้จะมีการร่วมทุนจัดตั้งบริษัทพร็อพ

เพอร์ตี้ ทว่าส่วนใหญ่ก็อยู่ในโหมดของ "นอมินี"

ขณะเดียวกันเมื่อมีชาวรัสเซียมาเที่ยว ส่วนใหญ่สื่อสารภาษาอังกฤษไม่ได้ ก็จะ

นิยมไปพักในย่านธุรกิจของชาวรัสเซีย

ด้วยกันเอง ฉะนั้นจึงเอื้อให้เกิดการทำ

ธุรกิจนำเที่ยวครบวงจรทั้งด้านที่พักโรงแรม รีสอร์ต บ้านพัก ร้านอาหาร ภัตตาคาร

เรือเช่า ไกด์ ทัวร์ สปา เคเบิลทีวี และสำนักงานตัวแทน (เอเย่นต์) ซื้อ-ขายอสังหาริมทรัพย์ เพื่อรองรับกลุ่มชาวรัสเซียทั่วภูเก็ต

ปัจจุบัน โซนที่ชาวรัสเซียเข้ามาพักอาศัยในภูเก็ต ได้แก่ อ่าวฉลอง ราไวย์ ในหาน ป่าตอง กะตะ และกะรน มีโครงการวิลล่าและธุรกิจเกี่ยวเนื่องด้านการท่องเที่ยว

ผุดเป็นดอกเห็ดแล้ว

ปรากฏการณ์ "รัสเซียครองเมือง" ยังเกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชลบุรี และเริ่มขยายไปสู่เมืองหัวหินอีกด้วย

คำถามก็คือว่าเราไม่อาจปิดกั้นการลงทุนจากต่างชาติได้ แต่จะทำอย่างไร

ให้ "การบังคับใช้กฎหมาย" จริงจัง โดยยึดผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ มิใช่กระจุกอยู่ในมือของคนบางกลุ่มเท่านั้น

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++

มองผ่านเลนส์คม:ทีวีมีฐานมวลชน !!?


เมื่อวันพุธที่ผ่านมา คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) ได้มอบใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ กลุ่มไม่ใช้คลื่นความถี่ รวม 632 ใบอนุญาต หรือราว 60% ของผู้ยื่นขอใบอนุญาตรวม 1,000 ราย

 ในจำนวนนี้ แยกเป็นใบอนุญาตประเภทช่องรายการ ในกลุ่มช่องทีวีดาวเทียม และช่องรายการในเคเบิลทีวีรวม 301 ใบอนุญาต และใบอนุญาตโครงข่ายเคเบิลทีวี และทีวีดาวเทียม ทั้งระดับชาติ ภูมิภาค และท้องถิ่น รวม 331 ใบอนุญาต และกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาใบอนุญาตทั้ง 2 ประเภทรวมกันอีกราว 400 ราย

 เฉพาะทีวีดาวเทียม เมื่อตรวจสอบรายชื่อ ก็พบว่าเป็นช่องรายการที่มีอยู่แล้ว ซึ่งได้ส่งสัญญาณผ่านดาวเทียมไทยคม 5 และดาวเทียม NSS6

 หลังจากนี้ ประเทศไทยจะไม่มีทีวีดาวเทียมเถื่อน เคเบิลทีวีเถื่อน และผู้ได้รับใบอนุญาตจะต้องนำเสนอเนื้อหาภายใต้หลักเกณฑ์ กสทช.กำหนด

 ตรงจุดนี้ ทีวีดาวเทียมอีกกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า "ทีวีการเมือง" ได้รับการจับตามองเป็นพิเศษ เนื่องจากมีนักวิชาการสื่อสารมวลชนวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นสื่อเลือกข้างหรือสื่อปลุกระดมมวลชน

 พ.อ.นที ศุกลรัตน์ ประธานกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) กล่าวว่า ช่องทีวีดาวเทียมกลุ่มการเมืองทุกช่องได้รับใบอนุญาตครบทุกราย ซึ่งจะต้องไม่นำเสนอเนื้อหาที่เข้าข่ายยุยง ทำให้สังคมเกิดความแตกแยก

โดย กสทช.จะมีหน่วยงานรับเรื่องร้องเรียน และจะมีหน่วยงานมอนิเตอร์การนำเสนอเนื้อหาของช่องทีวีดาวเทียมที่ได้รับใบอนุญาตไปแล้วทุกช่อง หากพบว่ากระทำผิดหลักเกณฑ์ จะถูกพิจารณาเป็นลำดับขั้นคือ ตักเตือน ระงับ และพักใช้ใบอนุญาต

 ช่องรายการทีวีการเมืองที่ได้รับใบอนุญาตล็อตแรก ประกอบด้วย ช่องบลูสกาย แชนแนล ดำเนินการโดยบริษัท บลูสกาย แชนแนล จำกัด เป็นทีวีดาวเทียมเกิดใหม่ และได้รับความนิยมสูงทางภาคใต้ ซึ่งชาวบ้านร้านถิ่นเรียกกันว่า "ช่องอภิสิทธิ์"

 อีกช่องหนึ่งคือ ช่องดีเอ็นเอ็น (ช่องเอเชียอัพเดท) ของบริษัท เดโมเครซี นิวส์ เน็ตเวิร์ค จำกัด ที่มีเรตติ้งสูงสุดในกลุ่มช่องข่าว จากการสำรวจเฉพาะจานดำ "พีเอสไอ" สำหรับคนเสื้อแดงจะรู้จักช่องนี้ในนาม "จอแดง" หรืออีกฟากฝ่ายหนึ่งอาจเรียกว่า "ช่องทักษิณ"

 ช่องเอเอสทีวีนิวส์วัน ของบริษัท เอเอสทีวี (ประเทศไทย) จำกัด ถือว่าเป็นสถานีแรกที่สร้างปรากฏการณ์ "สื่อเลือกข้าง" ที่โด่งดังและจุดกระแสความนิยมการรับชมทีวีดาวเทียม ระหว่างปี 2548-2549

 คาดว่าช่องทีนิวส์ ,ช่อง 13 สยามไท, ช่องเอฟเอ็มทีวี, ช่องพีแอนด์พี และช่อง 4 ทีวีประชาชน ต่างก็เป็นกลุ่มทีวีการเมือง คงได้รับใบอนุญาตในคราวต่อไป

 สิ่งที่นักวิชาการสื่อกำลังเฝ้ามองจากนี้ไป ก็คือการกำกับดูแลเนื้อหาทีวีมีสีเหล่านี้ ของ กสทช. เพราะทีวีช่องดังกล่าว มีจุดยืนชัดเจนว่านำเสนอข่าวสารตอบสนอง "มวลชน" ฝักฝ่ายของตัวเองเป็นสำคัญ

 ที่น่าสนใจจากการวัดเรตติ้งของจานดำพีเอสไอ ก็ต้องเข้าใจว่าผู้ชมจานดำร้อยละ 80 อยู่ในต่างจังหวัด โดยเฉพาะนอกเขตเทศบาล จึงไม่แปลกที่ช่องเอเชียอัพเดท จะเป็นช่องข่าวที่ได้รับความนิยมสูงสุด เพราะอิงไปกับฐานมวลชนคนเสื้อแดงในชนบทภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคอีสาน

 อย่างเช่น "ช่อง 4 ทีวีประชาชน" ที่เพิ่งออกอากาศปีที่แล้ว ก็มีเรตติ้งติดอันดับความนิยมเหนือช่องทีวีแนวบันเทิงหลายช่อง เนื่องจากทีวีช่องนี้มี "วิทยุชุมชน" ทั่วประเทศเป็นฐานให้การสนับสนุน

 แม้แต่ช่องเอเอสทีวีนิวส์วัน ที่ออกอากาศผ่านดาวเทียม NSS6 ก็ยังได้รับความนิยมในเขตหัวเมืองและเขตเทศบาล อันเป็นฐานมวลชนคนเสื้อเหลือง

 นี่คือลักษณะพิเศษของช่องทีวีการเมืองบ้านเรา อันจะเป็นความยากลำบากของ กสท.ในการกำกับดูแลเนื้อหาอย่างแน่นอน

.......................................

(หมายเหตุ ทีวีมีฐานมวลชน : คอลัมน์ มองผ่านเลนส์คม โดย.... บรรณวัชร.คมชัดลึก )

ดร.วีรพงษ์.หอบหนังสือคลัง ถกบอร์ด ธปท. !!?


นายวีรพงษ์.  เผยนำหนังสือแสดงความห่วงใยของ รมว.คลัง เข้าหารือบอร์ดธปท.แล้ว หลังขาดทุนบักโกรกกว่า 5.3 แสนล้านบาท ดูดซับสภาพคล่อง

นายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า หลังได้รับหนังสือจาก นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่แสดงความเป็นห่วงเกี่ยวกับฐานะการเงินของธปท.ที่มีผลขาดทุนจำนวนมาก โดยส่วนตัวก็ได้นำหนังสือดังกล่าวเข้าหารือกับคณะกรรมการธปท.ในการประชุมเมื่อวันที่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา พร้อมกับขอให้ นายชาญชัย บุญฤทธิ์ไชยศรี เลขานุการคณะกรรมการธปท. ร่างหนังสือตอบกลับไปยัง นายกิตติรัตน์ ว่าที่ผ่านมาคณะกรรมการธปท.ชุดนี้ ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาเรื่องดังกล่าวไปแล้วอย่างไรบ้าง

"ผมให้เลขานุการบอร์ดทำหนังสือตอบกลับไปอยู่ ซึ่งคงต้องรีบทำให้เร็วที่สุด เพราะตอนนี้ผมและบอร์ดทุกคนถูกคาดโทษเอาไว้ คาดว่าหนังสือฉบับนี้คงจะถูกส่งกลับไปยัง รมว.คลัง ภายในสัปดาห์นี้"นายวีรพงษ์กล่าว

สำหรับหนังสือที่ขอให้เลขานุการคณะกรรมการธปท.ร่างขึ้นมานั้น เป็นการอธิบายว่าที่ผ่านมาคณะกรรมการชุดนี้ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวไปแล้วอย่างไรบ้าง เพราะตั้งแต่เดือนมิ.ย.55 คณะกรรมการธปท.ชุดนี้ ได้แสดงความห่วงใยถึงผลขาดทุนของธปท. ที่ส่วนหนึ่งเกิดจากการกำหนอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ระดับที่สูง เป็นเหตุให้มีเงินทุนไหลเข้ามาในประเทศจำนวนมาก และทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น

เขากล่าวว่า เมื่อเงินทุนเหล่านี้ไหลเข้ามา เพื่อกินส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 2.75% จึงมีผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น ส่งผลให้ธปท.ต้องเข้าแทรกแซงเพื่อลดการแข็งค่า และหลังการเข้าแทรกแซง ธปท.ก็ต้องออกพันธบัตรเพื่อดูดซับสภาพคล่องที่เกิดจากการแทรกแซงนั้น โดยพันธบัตรที่ธปท.ออกมีอัตราดอกเบี้ยในระดับใกล้เคียงดอกเบี้ยนโยบาย ขณะที่เงินดอลลาร์ซึ่งธปท.ซื้อมา ก็ถูกนำไปลงทุนซึ่งได้ผลตอบแทนที่ต่ำมาก จึงเกิดเป็นส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยรับกับดอกเบี้ยจ่ายขึ้นมา

"ปัจจุบันแบงก์ชาติมียอดคงค้างของการออกพันธบัตรเพื่อดูดซับสภาพคล่องรวมแล้วกว่า 4.6 ล้านล้านบาท ดอกเบี้ยเฉลี่ยที่ 3% ลองคิดดูว่าแบงก์ชาติจะต้องจ่ายดอกเบี้ยปีละเท่าไร และงบดุล ล่าสุด ณ สิ้นธ.ค.55 แบงก์ชาติก็มียอดขาดทุนรวมแล้วกว่า 5.3 แสนล้านบาท ไม่ใช่ 4 แสนล้านบาทอย่างที่เป็นข่าว ถ้าไม่รีบแก้ไข การขาดทุนคงจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ"นายวีรพงษ์กล่าว

สำหรับสิ่งที่คณะกรรมการธปท.ได้ดำเนินการไปแล้ว เพื่อลดผลกระทบจากการขาดทุนตรงนี้ คือ การขยายประเภทสินทรัพย์ที่ให้ ธปท. สามารถนำเงินสำรองระหว่างประเทศไปลงทุนเพิ่มได้ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่มากขึ้น เพียงแต่แก้ได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะวิธีแก้ปัญหาที่ตรงจุดที่สุด คือ การลดดอกเบี้ยนโยบายลง ซึ่งตรงนี้ก็อยากจะฝากไปถึงคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ด้วย

"บอร์ดธปท.คงไม่มีอำนาจไปสั่งการให้ บอร์ดกนง. ลดดอกเบี้ยลงได้ เพียงแต่อยากฝากให้เห็นถึงประเด็นความเป็นห่วงตรงนี้ เพราะบอร์ดธปท.เองคงทำอะไรมากไม่ได้ ซึ่งในบอร์ดธปท.ก็มี ผู้ว่าการแบงก์ชาติ(นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล) นั่งเป็นรองประธานอยู่ และตัวผู้ว่าการแบงก์ชาติ มีฐานะเป็นประธานในบอร์ด กนง. ด้วย เพียงแต่ท่านอาจมีความเห็นที่แตกต่างออกไป ยืนยันว่าเรื่องนี้ผมแจ้งให้บอร์ดทราบตั้งแต่เดือนมิ.ย.55แล้ว"นายวีรพงษ์กล่าว

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++

วันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

นักวิชาการชี้แนะ นิรโทษกรรมการเมือง !!?


นักวิชาการชี้แนะ นิรโทษกรรมการเมือง


ปมเด่นประเด็นร้อนทางการเมืองในประเทศนี้เกิดขึ้นโดยพลันต้อนรับศักราชใหม่อีกกรณีหนึ่ง เมื่อกลุ่มอาจารย์นิติศาสตร์ ในนามกลุ่มนิติราษฎร์ออกมาผลักดันให้มีร่างรัฐธรรมนูญนิรโทษกรรมนักโทษทางการเมืองที่เกิดขึ้นตั้งแต่ 19 ก.ย.2549 ถึง 4 ม.ค.2554 แล้วได้รับการสนับสนุนจากแนวร่วม "29 มกรา ปลดปล่อยนักโทษการเมือง"ได้มาชุมนุมและยื่นหนังสือถึงรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีให้ดำเนินการตามข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์

อย่างไรก็ตาม เผือกร้อนทางการเมืองนี้รัฐบาลยังสงวนท่าทีไม่กล้าแสดงออกในทิศทางใด วันนี้เรามาฟังความเห็นของนักวิชาการอาวุโสกันบ้างว่าเป็นอย่างไร ดังนี้

โคธม อารียา
อาจารย์ สถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา ม.มหิดล
    

"ถ้ามีการนิรโทษกรรมได้นั้นก็เป็นการดี แต่ทว่ามีการขัดแย้งกันนั้นผมก็ไม่รู้จะว่ายังไง แบบนี้มาคุยกันไม่ได้เหรอว่าใครมีเหตุผลกว่ากัน คือนิรโทษกรรม ถ้าในสมัยก่อนที่มีการนิรโทษกรรมนั้นถ้ามีความผิดอาญาเราก็นิรโทษกรรม แต่ทีนี้ถ้าเป็นความผิดกฎหมายอาญาเราก็ต้องมาดูว่าทำผิดกฎหมายข้อไหน เพราะกฎหมายอาญามีเยอะแยะไปหมด เช่นการทำผิดคำสั่งเจ้าพักพนักงานก็ผิดกฎหมายอาญา


สำหรับใจผมนั้นถ้านิรโทษกรรมก็ควรนิโทรกรรมที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ทางการเมือง แล้วใจผมอยากจะเรียนถึงเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติตามคำสั่งด้วย ในระดับภาคสนามขอให้รวมไปหน่อยเถอะ แต่ทีนี้ ถ้าหากว่าสมมุติมีใครคสวมรอยไปเผา อันนี้ไม่ใช่เกี่ยวกับเหตุการณ์ทางการเมือง แบบนี้ก็ว่าไปอีกแบบหนึ่ง แต่ว่าาไอ้ที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ ก็ให้มันคุมไปทั้งหมด พูดง่ายๆมันก็จะได้ยกภูเขาออกจากอกนะ ใครที่หวากกลัวว่าจะโดนหรือไม่โดนนั้นนะ หรือที่ตอนนี้กำลังโดนอยู่นะ ยกเลอกกันไป เลิกแล้วกันไป รวมทั้งทหาร ตำรวจด้วย

ส่วนจะให้รวมถึงผู้บัญคับบัญชาที่สั่งการหรือไม่นั้น สำหรับผู้สั่งการนั้นเอาไว้อีกสักระยะหนึ่ง เพื่อให้อันดับแรกนี้นั้นไปได้ ไม่ทำให้เกิดปัญหาในสังคม

ส่วนฝ่ายค้านนั้นต้องการสกัดว่าการนิรโทษกรรมไม่ให้ช่วยพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเรื่องการทำความผิดทุจริตต่างๆนั้น เราก็สามารถเชขียนให้ชัดได้ว่ามันไม่รวม แม้ว่าเราเขียนในกฎหมายไม่ได้ว่าห้ามใช้กับนายโน้น นายนี่ แต่เราเขียนให้อ่านความได้ว่ารวมหรือไม่รวมแล้วแค่นี้ก็คงเข้าในจกันมั้ง เพื่อให้เข้าใจว่ารวมถึงกรณีใดบ้าง เช่นถ้าสมุติว่าเหตุการณ์นับตั้งแต่ 19 ก.ย.2549 เพราะพ.ต.ท.ทักษิณ 19 ก.ย.2549 เขาก็ไม่ได้อยู่ในประะเทศไทยแล้ว แบบนี้ก็เขียนไว้ได้ว่าอย่ารวมนะ ให้รวมตั้งแต่ 19 ก.ย.2549 ถึงอะไรปี 31 ธ.ค.2554 อะไรก็ได้ให้มันพ้นตรงนั้นที่มีเหตุการณ์ทางการเมืองหลายเหตุการณ์ ทั้งเสื้อเหลือง เสื้อแดงอะไรต่างๆที่มีการประท้วงตั้วแต่ประท้วงรัฐประหารเรื่อยมาถึงประท้วงรัฐบาลคุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์ มาถึงรัฐบาลคุณสมัคร สุนทรเวช อะไรตจ่างๆทั้งเสื้อเหลือง เสื้อแดง ต่างๆ ทหารตำรวจที่ปฏิบัติตามคำสั่งเลิกแล้วต่อกันไป"
พนัส ทัศนียานนท์
อดีตสสร.ปี 2540
    
 อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับคนส่สนใหญ่ของประเทศเขาจะคิดอย่างไรเป็น  การช่วนรนิโทษกรรม คนที่เผาบ้านเผาเมืองนั้นเขาอยากให้ทำไหม หรือว่าอาจะให้เลิกแล้วกันไปเพราะตอนนี้ก็มีคนที่ติดคุกติดตารางจำนวนไม่น้อย รอคอยการนิรโทษกรรมอยู่แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะออกมาอย่างไร ขณะที่ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาล จะหาทางออกเรื่องนี้อย่างไร เพราะรัฐบาลต้องวิตกกังวลว่าจะเป็นกับดัก หรือเป็นหลุมพรางที่อาจจะทำให้หลุดจากอำนาจการบริหารประเทศหรือไม่ จึงต้องใช้การพินิจพิจารณาอย่างมากที่สุด ขณะที่ฝ่ายค้านเองเขามองว่ากลัวจะเป็นการช่วยเหลือพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงต้องออกมาทักท้วงอย่างหนักทำให้ตอนนี้รัฐบาลยังไม่กล้าตัดสินใจอย่างไร

อย่างไรก็ตามเรื่องนี้มีคนที่เสนอทางออก 3 แนวทางคือการออกพระราชกำหนด(พ.ร.ก.)นิรโทษกรรม ซึ่งถ้าต้องการช่วยนิรโทษกรรมให้เร็วต้องออกพ.ร.ก.โดยรับาลบเสนอโปรดเกล้าฯแล้วนำเข้าสภาฯ แต่ทว่ารัฐบาลก็เกรงว่าหากมีการคัดค้านกั้นมาแล้วไม่น่าสภาฯรัฐบาลก็อาจจะหลุดจากเก้าอี้

ส่วนอีกฝ่ายก็อยากให้ออกเป็นพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)นิรโทษกรรม เพราะถึงแม้จะช้าแต่ก็เป็นทางออกรัฐบาลที่ถ้าผ่านสภาฯก็ใช้ไปและจะได้รับการยอมรับจากคนจส่วนใหญ่ ฝ่ายค้านก็ต้องยอมรับให้ผานไปได้ แต่ถ้าไม่ผ่านสภาฯรนัฐบาลเองก็สามารถชี้แจงได้ว่าเรื่องนี้รัฐบาลไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะเป็นเรื่อบของสภาฯรํบบาลสามารถเลีร่ยงได้

อีกแนวทางหนึ่งคือการแก้ไขร่างพ.ร.บ.รัฐธรรมนูญ เพื่อนิรโทษกรรม ซึ่งที่ผ่านมาจะเห็นได้มีว่าการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่เกิดข้อขัดแย้งกันมาก จนไม่สามารถทำได้ รวมทั้งต้องเกี่ยวพันถึงตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอีก จึงเป็นเรื่องที่ทำได้ยากและรัฐบาลก็ดึงเรื่องเอาไว้ ดังนั้นหากจะแก้รัฐธรรมนูญเพื่อนิรโทษกรรมกลัวว่าจะเป็นแบบนั้นอีก

อย่างไรก็ดี ทั้ง 3 วิธีทางต้องผ่านสภาฯทั้งนั้น แต่รัฐบาลจะเลือกวิธีการไหนก็ต้องพิจารณาหาทางออกที่ดีที่สุด "
ที่มา.สยามรัฐ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
                                                                 

วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

นิรโทษกรรม : นักโทษทางการเมือง นักโทษทางความคิด ความผิด112 !!?


เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2556 “กลุ่ม 29 มกรา ปลดปล่อยนักโทษการเมือง” ภายใต้การนำของ “กลุ่มปฏิญญาหน้าศาล” พร้อมผู้ชุมนุมจำนวนมาก ได้รวมตัวกันที่บริเวณลาน พระบรมรูปทรงม้า จัดกิจกรรม “หมื่นปลดปล่อย” เพื่อยื่น “ร่างรัฐธรรมนูญว่าด้วยนิรโทษกรรมและการขจัดความขัดแย้ง” ที่กลุ่มนักวิชาการ “คณะนิติราษฎร์” ได้เสนอเมื่อวันที่ 13 มกราคม ให้ปล่อยผู้มีความผิดตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ร.บ.ความมั่นคงแห่งชาติ พ้นจากความผิด ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2549-9 พฤษภาคม 2554

กลุ่ม 29 มกราฯถือว่าเป็นก้าวแรกในการคืนความยุติธรรมให้กับประชาชน เพราะ 6 ปีที่ผ่านมาหลังจากที่มีการยึดอำนาจจากคณะรัฐประหาร ทำให้ประเทศเกิดวิกฤตทางการเมือง รวมทั้งส่งผลให้ประเทศเสียหายมาอย่างต่อเนื่อง ประชาชนถูกทำร้าย จับกุม และมีบางส่วนถึงขั้นเสียชีวิต เฉพาะปี 2553 มีประชาชนถูกเจ้าหน้าที่รัฐออกหมายจับตามคำสั่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ถึง 1,857 ราย

ขณะที่ปัจจุบันมีนักโทษการเมืองที่ถูกคุมขังอยู่คือ คดีหมิ่นฯ 6 คน ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ และที่ทัณฑสถานหญิงกลาง 1 คน คดีเกี่ยวเนื่อง จากการสลายการชุมนุม 2553 จำนวน 4 คน ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ และที่เรือนจำหลักสี่ (เรือนจำการเมือง) 22 คน

ทุกข์ของนักโทษการเมือง

นางสุดา รังกุพันธุ์ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แกนนำ “ปฏิญ ญาหน้าศาล” ระบุว่า การนิรโทษกรรมนักโทษการเมืองควรทำตั้งแต่มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแล้ว ไม่ควรปล่อยให้ผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและเรียกร้องการเลือกตั้งต้องถูกจองจำถึง 2 ปีกว่า โดยมีผู้ถูกจับกุมคุมขังด้วยข้อหาทางการเมืองถึง 1,857 คน ถูกดำเนินคดีในศาล 59 แห่งทั่วประเทศ จนกรณีอากงหรือนายอำพล ตั้งนพกุล ที่ถูกจำคุกด้วยมาตรา 112 แม้พยายามยื่นขอประกันตัวแต่ก็ไม่ได้ กระทั่งเสียชีวิตในคุก จนมาถึงกรณีนายวันชัย รักสงวนศิลป์ นักโทษการเมืองอีกคนที่เสียชีวิตในคุกเช่นกัน

ยิ่งรัฐบาลต้องการแก้รัฐธรรมนูญปี 2550 ยิ่งต้องสร้างบรรยากาศให้เป็นประชาธิปไตย ให้ประชาชนทุกคน โดยเฉพาะนักโทษการเมืองที่อยู่ในคุกออกมามีส่วนร่วมกำหนดวาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หาทางออกให้ประเทศร่วมกัน ประโยชน์ของการนิรโทษกรรมไม่ได้ตกอยู่กับคนที่ถูกดำเนินคดีเท่านั้น แต่เกิดกับคนทุกคนที่ต้องการเห็นสังคมเป็นประชาธิปไตย

ขณะที่กลุ่มนักโทษการเมืองได้ส่งจดหมายขอบคุณกลุ่ม 29 มกราฯ ที่ออกมาเคลื่อนไหวให้มีการนิรโทษกรรมที่จริงจังและชัดเจนที่สุด

“พวกเราต่างประสบชะตากรรมเดียวกันคือ ต้องพบกับความยากลำบากอย่างแสนสาหัส ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเป็นอยู่ ปัญหาทางด้านการเงิน การต่อสู้คดี และผลกระทบอีกมากมายที่ถาโถมเข้ามาอย่างไร้ความปรานี เราทุกคนตกอยู่ในสภาพ เดียวกันคือ ต้องประสบกับช่วงที่ตกต่ำที่สุดในชีวิต

มีสักกี่คนที่จะตระหนักว่าพวกเราแทบจะทั้งหมดไม่เคยคิดที่จะต้องเจอกับปัญหานี้ ไม่เคยวางแผนล่วงหน้าที่จะติดคุก ไม่เคยวางแผนที่จะรับมือกับความหายนะของครอบครัว ธุรกิจ หรือแม้แต่กระทั่งชีวิตตัวเอง เพราะพวกเราคือประชาชนคนธรรมดา”

ตั้งข้อหาเกินจริง-ขังฟรี-ไม่ให้ประกัน

การเคลื่อนไหวของกลุ่ม 29 มกราฯจึงถือเป็นก้าวแรกและก้าวสำคัญที่เรียกร้องให้รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย หรือพรรคประชาธิปัตย์เอง ร่วมมือเร่งคืนความยุติ ธรรมให้แก่นักโทษการเมืองทุกกลุ่ม อย่างที่ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมเมษา-พฤษภา 2553 (ศปช.) และเครือข่ายสันติประชาธรรม ซึ่งเคลื่อนไหวคู่ขนานกับกลุ่ม 29 มกราฯ ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องรัฐบาลคืนสิทธิและเสรีภาพให้แก่นักโทษการเมือง

แถลงการณ์ระบุว่า นับเป็นเวลา 2 ปี 8 เดือน ตั้งแต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง จนนำไปสู่การเสียชีวิตและบาดเจ็บของประชาชนจำนวน มาก และนับตั้งแต่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขึ้นบริหารประเทศ กระบวนการเยียวยาให้แก่ครอบ ครัวของผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บในรูปของเงินชด เชย รวมทั้งการดำเนินคดีอาญากับผู้ที่เกี่ยวข้องได้ เริ่มไปบ้างแล้ว แต่ปรากฏว่าผู้ชุมนุมที่ถูกดำเนินคดี อย่างไม่เป็นธรรมจำนวนมากกลับไม่ได้รับการเหลียว แลใดๆจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทยอย่างจริงจังเลย

ที่สำคัญประชาชนที่ถูกจับกุมคุมขังหลังเหตุ การณ์เมษายน-พฤษภาคม 2553 ถูกเจ้าหน้าที่ใช้อำนาจเกินขอบเขตเข้าจับกุมและคุมขังตามอำเภอใจ ตั้งข้อหาร้ายแรงเกินจริง เป็นการจับกุมแบบเหวี่ยง แห ขาดหลักฐาน หลายกรณีมีเพียงภาพถ่ายผู้เข้าร่วมชุมนุมเป็นหลักฐานเท่านั้น ทั้งมีการซ้อมและทรมานผู้ต้องขัง และหลายรายเป็นเยาวชน

นอกจากนี้ผู้ต้องขังส่วนใหญ่ไม่ได้รับสิทธิการประกันตัว อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐ ธรรมนูญ มีการใช้ข้อหาก่อการร้ายต่อผู้ต้องขัง 44 รายในลักษณะครอบจักรวาล โดยไม่มีนิยามและขอบเขตของคำว่าก่อการร้ายที่ชัดเจน ผู้ชุมนุมจำนวนมากถูกคุมขังเกินกว่าคำพิพากษาจำนวนมากถูกขังฟรีเป็นเวลาปีกว่า หลังจากศาลเห็นว่าหลักฐานไม่เพียงพอและพิพากษายกฟ้อง

ร่างนิติราษฎร์-นปช.-คอ.นธ.

นอกจากร่างนิรโทษกรรมของกลุ่มนิติราษฎร์ที่เสนอให้แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ และจัดตั้งคณะกรรมการขจัดความขัดแย้งเป็นองค์กรทางรัฐธรรมนูญ เพื่อให้วินิจฉัยกรณีการกระทำความผิดอันผู้กระทำได้กระทำไปโดยมีมูลเหตุจูงใจทาง การเมืองแล้ว กลุ่ม นปช. ยังเสนอ พ.ร.ก.นิรโทษกรรม และข้อเสนอของนายอุกฤษ มงคลนาวิน ประธานคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ) ที่เสนอ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมผู้กระทำความผิดเนื่องในการชุมนุมทางการเมืองระหว่างวันที่ 19 กันยายน 2549-30 พฤษภาคม 2554

โดยข้อเสนอของนายอุกฤษระบุว่า การนิรโทษกรรมต้องไม่รวมถึงผู้มีอำนาจในการตัดสินใจหรือสั่งการให้มีการเคลื่อนไหวทางการเมือง และไม่รวมถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจตามกฎหมายในการรักษาความสงบหรือยุติเหตุการณ์ ช่วงระหว่างวันที่ 19 กันยายน 2549-30 พฤษภาคม 2554 ซึ่งนายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา’35 ได้แถลงการณ์สนับสนุนข้อเสนอของนายอุกฤษ เพราะเห็นว่ามีความชัดเจนและสามารถปฏิบัติได้มากกว่าร่างของทุกฉบับ ทั้งเรียกร้องคู่กรณีให้ใช้ความเจ็บปวดในอดีตมาเป็นบทเรียนเพื่อฝ่าข้ามวิกฤต ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการนำเสนอกฎหมายที่เป็นที่ยอมรับแก่ทุกฝ่าย และสามารถนำไปดำเนินการโดยเร็วที่สุด ทั้งรัฐบาล เจ้าหน้าที่ ผู้นำเหล่าทัพ และแกนนำทุกฝ่ายไม่ตั้งข้อรังเกียจการนิรโทษกรรมประชาชน

ไม่ผิดต้องเยียวยาและชดใช้

นายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักกฎหมายอิสระ เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของนายอุกฤษที่ให้ ส.ส. และ ส.ว. ดำเนินการว่าเป็นหลักการที่มาถูกทางแล้ว คลายความขัดแย้งในสังคมได้ เพราะนิรโทษกรรมเฉพาะบุคคลที่ไปร่วมชุมนุมทางการเมืองหรือแสดงออกทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายห้ามชุมนุม การต่อสู้ขัดขืน การทำร้ายร่างกายหรือทรัพย์สินผู้อื่น แต่ไม่รวมนักการเมือง แกนนำ หรือผู้มีบทบาทนำคนออกมาชุมนุม คล้ายกับ พ.ร.ก.นิรโทษกรรมของ นปช. เพราะเหตุการณ์การชุมนุมผ่านมานาน แล้ว ผู้ชุมนุมที่ได้รับเคราะห์กรรม ความไม่เป็นธรรมยังมีอยู่เยอะ คนที่รอการเยียวยายังมีอยู่ จึงถึงเวลาที่จะนำเรื่องนี้มาคุยกัน ไม่เหมือนการเสนอ ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองที่เกิดความตึงเครียด เพราะจะนิรโทษกรรมแบบยกเข่ง ซึ่งตนไม่เห็นด้วย

พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรม ไม่ว่าข้อเสนอของ นปช. หรือกลุ่มนิติราษฎร์ เพราะประชาชนที่ติดคุกนานเป็นปี เท่ากับว่าชีวิตถูกทำลาย ไม่สามารถ ทำมาหากินได้ ครอบครัวอาจแตกแยก หากศาลตัดสินว่าจำเลยไม่มีความผิดก็ต้องให้ได้รับสิทธิเยียวยาจากสิ่งที่สูญเสียไป

แต่ พล.อ.เอกชัยได้ตั้งข้อสังเกตข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์ที่ให้ตั้งคณะกรรมการขจัดความขัดแย้งเป็นองค์กรทางรัฐธรรมนูญจำนวน 5 คนว่าจะเชื่อถือได้อย่างไร หากการทำงานไม่ต่างจากองค์กรอิสระจะทำอย่างไร การเสนอกฎ หมายนิรโทษกรรมในช่วงเวลานี้นับว่าเหมาะสม แต่เหมาะสมเพียงแค่เหตุการณ์เฉพาะหน้าที่บรรเทาความขัดแย้งในระยะสั้น เพราะภาพใหญ่อย่าง พ.ร.บ.ปรองดองที่จะแก้ไขความขัดแย้งในระยะยาวยังค้างอยู่ในสภา รัฐบาลซึ่งเป็นภาคส่วนสำคัญที่ต้องผลักดันกลับไม่กล้าเดินหน้า เนื่องจากเกรงว่าจะถูกล้มเหมือนการโหวตร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 วาระ 3 และการทำประชามติ รัฐบาลก็ไม่กล้าเดินหน้า หากเป็นเช่นนี้ต่อไปโอกาสที่จะจบความขัดแย้งอย่างราบรื่นคงยาก ถ้าทั้ง 2 ฝ่ายยังหาทางบรรจบกันไม่ได้

“เพราะหลักเกณฑ์การสร้างความปรองดองคือต้องค้นหาความจริง อย่างที่กระบวนการยุติธรรม กำลังเดินหน้าเพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด และต้อง เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทางการเมืองที่เกิดขึ้น”

วิวาทะ “โอ๊ค-มาร์ค”

แม้การนิรโทษกรรมจะได้รับการตอบรับจากหลายฝ่าย แม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ อย่างนายถาวร เสนเนียม ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ยอมรับได้หากเป็นการนิรโทษกรรมเฉพาะผู้ชุมนุมที่ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แม้จะยังอ้างว่าต้องดูรายละเอียดในร่าง พ.ร.บ. ก่อนว่ามีอะไรซ่อนเร้นหรือไม่ เพราะหากมีอะไรซ่อนเร้นก็พอเดาออกได้ รวมทั้งต้องดูว่าคำจำกัดความและความหมายเรื่องผู้สั่งการมีแค่ไหน

แต่ยังไม่น่าสนใจเท่ากับการที่นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โพสต์เฟซบุ๊คภาพของ พ.ต.ท.ทักษิณและน้องสาวที่กำลังเดินเล่นในห้างดูไบ พร้อมระบุว่า ครอบ ครัวถูกกลั่นแกล้งจนไม่ได้เจอกันพร้อมหน้า และเริ่มชินที่ไม่ได้กลับเมืองไทยแล้ว แต่ยังเป็นห่วงประชาชนที่ถูกดำเนินคดีทางการเมือง จึงรับคำท้าของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เคยระบุว่าให้อภัยโทษนักโทษการเมืองทุกคน ยกเว้น พ.ต.ท.ทักษิณ นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ว่านายอภิสิทธิ์จะทำจริงหรือไม่

“หรือเป็นเพียงลมปากเกรียนๆ เท่ๆ ถ้าพูดจริง-ทำจริง ยืนยันมาเลยครับ เปิดประชุมสภาสมัยนี้จะได้เห็นทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลร่วมกันบำบัดทุกข์-บำรุงสุขแบบไร้รอยต่อให้กับพี่น้องประชาชนเสียที

ทักษิณโดนโทษจำคุก 2 ปี โทษฐานที่เมียไปซื้อที่ดิน กับอภิสิทธิ์-สุเทพสลายการชุมนุม มีคนตายเกือบร้อย จะโดนโทษอะไรยังลุ้นกันอยู่ สมน้ำสมเนื้อกันดี ดีลนี้ตกลงเลยครับ”

นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวสนับสนุนแนวคิดของนายพานทองแท้ว่าเป็นเจตนาที่ดีในการแสดงความจริงใจที่คิดว่าการนิรโทษกรรมผู้มาร่วมชุมนุมทางการเมืองไม่ควรถูกจำคุก โดยเชื่อว่านายพาน ทองแท้คงมั่นใจว่า พ.ต.ท.ทักษิณพร้อมพิสูจน์ความบริสุทธิ์จากคดีที่ดินรัชดาฯอยู่แล้ว เมื่อเทียบข้อกล่าวหาของนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพต่างกันราวฟ้ากับเหว จึงหวังว่าพรรคประชาธิ ปัตย์จะรับคำท้าด้วยดี

ส่วนนายอภิสิทธิ์ได้กล่าวถึงคำท้าของนายพานทองแท้ว่า ตนรอฟังคำตอบจากปาก พ.ต.ท. ทักษิณเช่นกันว่าจะไม่นิรโทษกรรมตัวเองและเดินทางกลับประเทศไทยมาสู้คดี ส่วนที่ คอ.นธ. มีข้อเสนอให้นิรโทษกรรมก็ไม่ขัดข้อง และเห็นด้วยกับแนวทางนิรโทษกรรมผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยไม่พ่วงคดีอาญาและคดีการทุจริตเข้ามาด้วย โดยเฉพาะกรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ

“ไม่ควรเอากลุ่มคนเสื้อแดงมาเป็นตัวประ กัน เพื่อที่จะนิรโทษกรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และหากรัฐบาลจะเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมตามแนวคิดดังกล่าวก็สามารถมาคุยกับฝ่ายค้านได้ เราพร้อมให้การสนับสนุน โดยต้องคุยกันในจุดที่เห็นตรงกัน แต่แนวทางการปรองดองที่ไม่สามารถเดินหน้าได้เพราะติดขัดอยู่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ” นายอภิสิทธิ์กล่าว

คืนความยุติธรรมแก่ประชาชน

การเคลื่อนไหวให้นิรโทษกรรมนักโทษทาง การเมืองจึงมีความเป็นไปได้สูง ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะมีความจริงใจหรือไม่ก็ตาม แต่นายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าประชาชนที่ต้องตกเป็นเหยื่อทางการเมืองส่วนหนึ่งเพราะรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ การนิรโทษกรรมจึงอาจทำให้พรรคประชาธิปัตย์ได้ความเห็นใจจากคนเสื้อแดงก็ได้ รวมถึงคนเสื้อเหลืองที่มีคดีจ่อคอหอยอยู่

การนิรโทษกรรมครั้งนี้บางฝ่ายอยากให้รวมไปถึงนักโทษและผู้ถูกกล่าวหาคดีมาตรา 112 ด้วย โดยเฉพาะกรณีนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ที่ถูกตัดสินจำคุก 11 ปีนั้น ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศอย่างมาก เพราะองค์กรระ หว่างประเทศและสหภาพยุโรปเห็นว่าเป็นการบ่อน ทำลายอย่างร้ายแรงต่อสิทธิมนุษยชน เป็นการถอยหลังอย่างร้ายแรงในเรื่องเสรีภาพการแสดง ออก และเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตย

และก่อนมีคำพิพากษาคดีนายสมยศเมื่อวันที่ 23 มกราคม องค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศได้ส่งข้อความถึงสมาชิกทั่วโลกเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2556 แสดงความกังวลถึงการพิจารณาคดีของนายสมยศ และได้ขอความร่วมมือจากสมาชิกให้ร่วมกันส่งจดหมายร้องเรียนถึงรัฐบาลไทยผ่านทางนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รวมถึงคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ให้ยกเลิกข้อกล่าวหาและปล่อยตัวนายสมยศโดยทันทีอย่างไม่มีเงื่อนไข เพราะถือว่านายสมยศเป็น “นักโทษทางความคิด” (prisoner of conscience) ที่ถูกควบคุมตัวเพราะใช้เสรีภาพในการแสดงออกโดยสงบ

การเคลื่อนไหวเพื่อให้นิรโทษกรรมนักโทษทางการเมือง ไม่ว่ารัฐบาล พรรคเพื่อไทย และพรรค การเมืองต่างๆต้องไม่ละเลยนักโทษทางความคิด ซึ่งส่วนใหญ่ถูกกล่าวหาในมาตรา 112 ที่ทุกฝ่ายทราบดีว่าเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง

แม้การนิรโทษกรรมจะไม่ทำให้เกิดความปรองดองในทันที แต่ อย่างน้อยก็ลดความ ขัดแย้งที่ฝังลึกได้ระดับหนึ่ง เพราะได้คืนความยุติธรรม ให้กับประชาชนผู้บริสุทธิ์

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

การศึกษาขั้นพื้นฐานอของไทยถึงวันที่จะต้องเปลี่ยนแปลง !!?


โดย.เพชร เหมือนพันธุ์

ท่านรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา เคยให้ความเห็นกับสื่อว่า พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติที่ผ่านมามีทุกคนได้ประโยชน์หมด ยกเว้นเด็ก การปฏิรูปการศึกษาต้องพัฒนาที่คุณภาพของการศึกษาเป็นหลัก นับว่าเป็นความเห็นที่ชี้ให้เห็นความเป็นจริงของปัญหาการศึกษาชาติที่ผ่านมา ว่าการปฏิรูปการศึกษาไม่ประสบผลสำเร็จ

ท่าน ภาวิช ทองโรจน์ ที่ปรึกษาของท่านรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาได้ให้ข่าวว่าท่านได้เสนอให้ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาฯ ท่านพงศ์เทพ เทพกาญจนา ได้ปฏิรูปการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยขอให้ปฏิรูปการศึกษาในระดับชั้นประถมศึกษาฯ ได้ลดวิชาที่ซ้ำซ้อน ลดชั่วโมงเรียน และปรับโครงสร้างกระทรวงศึกษาฯให้เหมาะสม นับว่าเป็นข่าวดีที่ครูในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานรอคอย และตั้งความหวังว่า ผู้นำหัวเรือใหญ่ด้านการศึกษาของประเทศจะไม่พาพวกเราหลงทางอีก

ความรู้สึกอึดอัดต่อผลลัพธ์ Out Come ด้านการศึกษาที่ผ่านมา ทุกคนล้วนรู้สึกเหมือนกันว่าคุณภาพของการศึกษาไทยไม่ดีขึ้น มีแต่ตกต่ำลงเรื่อยๆ อย่างไม่รู้ว่าจะมีพระเอกคนใดมาฉุดขึ้น ท่านพงศ์เทพ เทพกาญจนา แม้ท่านจะเป็นนักกฎหมาย เมื่อท่านได้มารับผิดชอบอนาคตการศึกษาของชาติแล้ว ท่านยังมีความพยายามจะปรับหัวเรือเข้าสู่ทิศทางที่ถูกต้อง ท่านได้สร้างความหวังให้กับกลุ่มครูการศึกษาขั้นพื้นฐานและประเทศไทยแล้ว พวกเราพร้อมที่จะให้ความร่วมมือและเป็นกำลังใจในการทำงานครั้งนี้

ความอึดอัดใจไม่ได้มีอยู่เฉพาะผู้มีอาชีพเป็นครูในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ท่าน ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ก็ยังได้เขียนบทความในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 26 มกราคม 2556 ว่า "การศึกษาไทยล่มสลายแล้วหรือ?" ท่านตำหนิว่านักศึกษาแพทย์ของท่าน ไม่รู้จักคิด คิดไม่เป็น ไม่รู้จักประยุกต์ใช้ความรู้รอบตัวให้เกิดประโยชน์ นักศึกษาแพทย์ไม่เคยอ่านวารสารทางการแพทย์....ชั้นนำของโลกให้ได้สัปดาห์ละ 1 เล่ม ก็แปลว่า ระบบการศึกษาของประเทศไทยได้เกิดความผิดปกติอาเพศทางการศึกษามาแล้วอย่างน้อย 15-20 ปี ถ้าระบบการศึกษาไทยห่วยขนาดนี้ อย่าได้คิดฝันไปไกลถึงความมั่งคั่ง รุ่งเรืองของประเทศ....แค่เอาตัวรอดไปวันๆ ก็ถือว่าเก่งแล้ว

และยังมีอีกท่าน เช่น รศ.ดร.ฤๅเดช เกิดวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ท่านเห็นว่า "ปัจจุบันการศึกษาไทยค่อนข้างล้มเหลว นักเรียนไม่มีทักษะชีวิต"

และจะขอยกตัวอย่างอีกท่านคือ นายสมบัติ นพรัก คณบดีวิทยาลัยการศึกษาต่อเนื่อง มหาวิทยาลัยพะเยา ท่านได้เสนอว่า ให้ปรับโครงสร้างหลักสูตร ลดวิชาเรียนบางวิชาที่ไม่จำเป็นในระดับประถมศึกษาลงให้ลดวิชาที่ซ้ำซ้อน เพิ่มวิชาภาษาไทย ภาษาอังกฤษ เพราะภาษาเป็นสื่อให้เข้าถึงความรู้วิชาอื่น

และยังมีอีกหลายท่านที่เห็นตรงกันว่าการศึกษาขั้นพื้นฐานของไทยมีปัญหาอย่างแน่นอน

การศึกษาขั้นพื้นฐานของประเทศนับว่าเป็นหัวใจของการศึกษาทุกระดับ การจะก้าวออกเดินไปข้างหน้าหรือเข้าศึกษาต่อ ถ้าคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่ดีอย่าได้หวังว่าเราจะประสบความสำเร็จ ตะกั่วหรือจะไปมีค่าสู้ทองคำ ดาบเหล็กอ่อนหรือจะหาญกล้าไปสู้กับดาบเหล็กน้ำพี้ ตึกอาคาร ถ้าฐานไม่ดีก่อสูงขึ้นไปก็จะมีแต่พังลงมาทับคนอยู่อาศัยและคนงาน การปฏิรูปการศึกษาขั้นพื้นฐานจึงถือเป็นไฟต์บังคับที่นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการจะต้องดำเนินการอย่างถูกต้องโดยรีบด่วน

การศึกษาขั้นพื้นฐานคือ การศึกษาในระดับชั้นประถมศึกษาไปจนถึงชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย (ป.1-ม.6) หากจะแก้ปัญหาจะต้องแก้ให้ถูกจุด เกาให้ถูกที่คัน ปัญหาการศึกษาช่วงชั้นนี้ที่มีปัญหาอย่างรุนแรงจริงๆ จะอยู่ในช่วงชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ถึงมัธยมศึกษาตอนปลายส่วนที่มีปัญหาน้อยที่สุดคือช่วงชั้นประถมวัย

ในระดับประถมวัย ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้ ครูที่รับผิดชอบในช่วงชั้นนี้ได้รับการอบรมพัฒนามามากและมีการร่วมกลุ่มกันได้ดี ไปศึกษาดูงานทั้งในประเทศและต่างประเทศอยู่บ่อยๆ แม้ในศูนย์เด็กเล็ก หรือตามศูนย์การเรียนในวัดก็ไม่มีปัญหา เรื่องหลักสูตรก็ไม่กดดันเด็ก เป็นการพัฒนากล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกาย ของมือ และการเล่น กิน นอน

ในระดับประถมศึกษา โดยปกตินักเรียนจะอ่านหนังสือออกเมื่อเรียนในระดับชั้น ป.2 ภาคเรียนที่ 2 จะอ่านได้คล่อง ถ้าอ่านได้ก็จะคิดเลขเป็น ในระดับประถมศึกษา ครูจะเริ่มพบเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนห้องละ 1-5 คน เด็กกลุ่มนี้คือเด็กเรียนช้า เด็กออทิสติก เด็กสมาธิสั้น เด็กเกเร เด็กก้าวร้าว เด็กพิการ 9 ประเภท เด็กที่มีพฤติกรรมเป็นปัญหาต่อการเรียนนี้จะมีอยู่ทุกประเทศทั่วโลก โดยสถิติ ในร้อยคนจะมีอยู่ระหว่าง 5-10% ถ้าครูที่สอนดูออกเข้าใจเด็กกลุ่มนี้สามารถแยกมาเรียนซ่อมเสริมพิเศษได้ แต่ถ้าครูไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจเด็ก ก็จะไปโทษเด็กโทษผู้ปกครองว่า เด็กโง่ เด็กเกเร เด็กไม่สนใจเรียน ผู้ปกครองไม่สั่งสอน เด็กกลุ่มนี้จะเป็นปัญหาไปถึงชั้น ป.6 และเลยไปถึงชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ดังนั้น ครูจึงต้องเป็นนักจิตวิทยาด้วย ในแต่ละจังหวัดจะมีศูนย์ดูแลให้การศึกษาเด็กพิการ จังหวัดละ 1 ศูนย์ จะออกไปโรงเรียนเพื่อไปดูแลช่วยเหลือเด็กกลุ่มนี้ สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ในประเทศอเมริกาก็มีที่ครูออกไปพบเด็กตามโรงเรียนต่างเวียนไปจนครบ ส่วนในชั้นประถมศึกษาตอนปลาย เด็กเริ่มโต ผู้หญิงบางคนก็เริ่มเข้าสู่วัยรุ่นจะได้รับมอบหมายจากครูให้เป็นหัวหน้า เป็นคณะกรรมการนักเรียน จะได้รับความนับถือจากรุ่นน้องครูเริ่มมองเห็นแววอัจฉริยะของเด็กบางคนแล้ว หลักสูตรการศึกษาก็ควรจัดเนื้อหาให้ใกล้ชิดกับตัวเด็ก ให้เด็กสามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้ ให้เด็กได้ฟังนิทานที่สร้างแรงบันดาลใจเด็กได้ ให้เด็กได้ไปสัมผัสกับของจริงนอกห้องเรียน

ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ระดับนี้ถ้าจัดการศึกษาได้ดี มีคุณภาพเหมาะสมกับพัฒนาการของเด็กจะช่วยให้เด็กมีความมั่นใจในตนเอง มีความเชื่อมั่นในวิชาที่เรียนรู้ ปัญหาที่พบคือ ครูในโรงเรียนมัธยมศึกษาจะให้ความสนใจเด็กในระดับชั้น ม.1 น้อยกว่าชั้น ม.2 และ ม.3 ถ้าโรงเรียนเปิดสอนถึงชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ครูจะไปให้ความสนใจในเด็ก ชั้น ม.3 และ ม.6 มากกว่าชั้น ม.1 และชั้นอื่นๆ ในชั้น ม.1 เด็กมาจากที่ต่างๆ กัน คนเก่งสอบเข้ามาได้เอง คนไม่เก่งจับสลากเข้ามา หรือเป็นเด็กฝากหรือเป็นเด็กในพื้นที่บริการ เด็กเรียนเก่งมักไม่มีปัญหาทางการเรียน ส่วนเด็กอ่อนจะเรียนไม่ทันเพื่อน จะส่งงานไม่ทัน แล้วก็จะติด 0 ติด ร เมื่อมีปัญหามากเข้าก็จะรวมกันเป็นแก๊ง ก่อกวน ลักขโมย จะสอบตกสะสมไปจนถึงชั้น ม.3 ดังนั้น วิธีการวัดผล ประเมินผลที่ใช้กันอยู่ ในหลักสูตรทุกวันนี้ก็จะต้องปฏิรูปด้วย พอถึงชั้น ม.2 เด็กกลุ่มนี้ก็จะตั้งแก๊งสร้างปัญหาให้กับเพื่อนในชั้น ให้กับครู ให้กับผู้ปกครอง เด็กผู้หญิงจะมีปัญหาทางชู้สาวมากกว่าเด็กชายเป็นวัยที่มีพลังมาก หลักสูตรต้องเพิ่มทักษะทางวิชาช่างเบื้องต้น เช่น งานไม้ งานปูน งานไฟฟ้า งานเกษตร งานดนตรี กีฬา ศิลปะ เป็นต้น

ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย หลักสูตรการสอนและกิจกรรมการเรียนของนักเรียนชั้น ม.ปลาย ต้องแตกต่างจากเด็ก ม.ต้น เพราะเด็ก ม.ปลายเป็นผู้ใหญ่วัยรุ่นเต็มตัวแล้ว มีกำลังมากเป็นวัยพายุบุแคม ชอบคบเพื่อน บูชาเพื่อนสูง เหินห่างจากพ่อแม่

เด็ก ม.4 ในหลายโรงเรียนจะจับเด็กแยกห้องเก่งห้องอ่อน ห้องโปรแกรมพิเศษ เช่นห้อง IEP เด็กที่เข้ามาเรียนพร้อมกันแต่จะไม่เหมือนกันเพราะการเลือกต่างกัน ถ้าโรงเรียนใดจัดเด็กเรียนอ่อนให้ไปอยู่รวมกัน นั้นคือการจับเด็กไปลงนรก ครูประจำชั้นก็จะลงนรกด้วย เพราะเด็กกลุ่มนี้แทบจะช่วยเหลือตนเองทางการเรียนไม่ได้เลย หลายโรงเรียนจึงจัดเพียงห้องคิงและห้องควีนเท่านั้น นอกนั้นจะเป็นห้องคละในถัวเฉลี่ยเด็กที่มีสติปัญญาต่างกันคอยช่วยเหลือกันได้ การจัดชั้นเรียนจึงเป็นศาสตร์อย่างหนึ่ง เด็กที่เรียนช้าเรียนอ่อน หรือพิการ 9 ประเภทก็ยังตามมาอยู่ในระดับนี้ ผลการสอบของเด็กกลุ่มนี้จะติด 0 ร มส ไปเรื่อยๆ จนถึงชั้น ม.6 สร้างปัญหาให้ตนเอง ให้ผู้ปกครอง ให้ครูให้โรงเรียนทุกระยะ เด็กบางคนก็จับกลุ่มกันหนีเรียน แสวงหากิจกรรมพิเศษนอกห้องเรียน ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนที่มีความจริงจังก็พอช่วยเหลือเด็กกลุ่มนี้ได้

หลักสูตรการศึกษาชั้น ม.ปลาย ควรปฏิรูปทั้งระบบเนื้อหารายวิชา ลดวิชาที่ซ้ำซ้อน เปลี่ยนวิธีสอนของครู จากการเล็กเชอร์เป็นให้ลงมือปฏิบัติ เปลี่ยนวิธีวัดผลประเมินผลที่ใช้ข้อสอบปรนัยอย่างเดียวเป็นใช้ข้อสอบได้หลากหลาย แบบแก้ปัญหาการแก้ 0 ร มส ปลายปีชั้น ม.6 ให้เนื้อหารายวิชาใกล้ชิดกับเด็กให้ผู้เรียนสามารถนำความรู้ที่เรียนในแต่ละวันไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง อย่าจัดรายวิชาหรือสาระการเรียนรู้ทุกอย่างไว้ในชั่วโมงการเรียน เพราะยิ่งเรียนมากเด็กยิ่งไม่ได้อะไร จัดให้เด็กมีส่วนร่วมให้มาก ให้ผู้เรียนได้ลงมือทำได้แก้ปัญหาเอง งานกิจกรรมที่นักเรียนได้ทำจะทำให้เขามีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ นำประสบการณ์หรือความรู้ที่บ้านมาประยุกต์ใช้ได้ แก้ปัญหาเป็น ความรับผิดชอบจะเกิดขึ้น ให้โอกาสเด็กได้ไปยืนหน้าชั้นแทนครู ปฏิรูปการวัดผลประเมินผลที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ด้วย จะได้แก้ปัญหาเด็กติด 0 ร มส ปลายปี สรุปว่า ระดับมัธยมศึกษามีปัญหาทั้งมัธยมต้นและมัธยมปลาย เนื้อหารายวิชาที่ซ้ำซ้อนในแต่ละรายวิชาก็ยังมี วิธีสอนของครูที่ผูกขาดการยืนหน้าห้องตลอดปีก็ควรต้องแก้ไข การวัดประเมินผลที่สร้างปัญหา ติด 0 ร มส ก็ต้องเปลี่ยนแปลง

เด็ก ผู้ปกครอง และสังคมกำลังรอรับฟังผลดีของการแก้ปัญหาการศึกษาที่ถูกจุดครั้งนี้ อย่างตั้งใจ ดังคำปราชญ์ที่กล่าวไว้ว่า "บัณฑิตทั้งหลายย่อมหวั่นไหวเมื่อรู้ว่าภัยกำลังรุกเข้ามาใกล้บริวาร จึงต้องปลุกบริวารให้ป้องกัน"

ที่มา.หน้า 7 มติชนรายวัน ฉบับวันจันทร์ที่ 4 ก.พ.56
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////