ยังไม่ทันจะ ได้แถลงนโยบาย "รัฐบาลปู 1" ที่กำหนดไว้คร่าวๆ เป็นวันที่ 24 ส.ค.ที่จะถึงนี้้ กลับปรากฎข่าวรัฐบาลยิ่งลักษณ์ 1 โดยกระทรวงการต่างประเทศ เตรียมพิจารณาคืนพาสปอร์ตเล่มแดง ให้กับ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี ที่อยู่แดนไกล รวมทั้งเตรียมแต่งตั้งนายห้างดูไบห่อ ให้มาเป็นผู้แทนทางการค้า...
ต้องยอมรับว่า สร้างกระแสความไม่พอใจให้กับคนในสังคมส่วนหนึ่งทันที เนื่องจากแทนที่รัฐบาลชุดใหม่จะเร่งตั้งหน้าตั้งตาทำงาน โดยเฉพาะช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่กำลังเดือดร้อน ประสบอุทกภัยอย่างหนักในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนืออย่างเต็มที่
แต่งานแรกกลับกลายเป็นรัฐบาล 300 เสียงเพื่อไทย เตรียมช่วยเหลือพี่ชายนายกรัฐมนตรีหญิง ซึ่งหากกล่าวไป เหมือนเป็นการช่วยเหลือคนๆ เดียวหรือไม่อย่างไรไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์ แต่ร้อนถึงน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ คนใหม่ ที่ยังไม่ทันได้เข้าทำงานในกระทรวงบัวแก้วอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ ต้องออกมาทำหน้าที่เคลียร์หน้าเสื่อ ยืนยันไม่มีเรื่องการพิจารณาคืนพาสปอร์ตเล่มสีแดง หรือแต่งตั้งพ.ต.ท.ทักษิณเป็นตัวแทนทูตการค้าแน่นอน แต่ถ้าจับลีลาการตอบคำถามของคนทั้งคู่ จะสังเกตเห็นว่าเป็นการตอบคำถามแบบที่เรียกว่า กั๊กๆ อยู่ในที เพราะไม่ได้ระบุว่าไม่คืนแน่นอน แต่บอกว่าต้องเป็นไปตามกฎหมาย หรือจารีตประเพณีที่เคยปฏิบัติกันมาเท่านั้น
ก็ไม่ทราบว่างานนี้เป็นการข่าวปล่อยของฝ่ายตรงกันข้าม ที่ต้องการทำให้รัฐบาลปู 1 เสียศูนย์ ทั้งที่ยังไม่ได้เข้าบริหารประเทศ หรือรัฐบาลในขณะนี้มีความพยายามที่จะดำเนินการจริงตามที่มีคนตั้งข้อสงสัย หรืออาจมีแรงกดดันจากคนที่มีอำนาจอยู่ดูไบ ประกอบกับเมื่อวานนี้ นายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประทศ ก็ออกมายอมรับว่า "ญี่ปุ่น" อนุญาตให้พ.ต.ท.ทักษิณเข้าประเทศได้ตามคำเชิญของบริษัทเอกชนญี่ปุ่น เป็นกรณีพิเศษเสียด้วย
สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล
ส่วนนายสุรพงษ์ รมว.ต่างประเทศ ยังออกมาสำทับอีกว่า รู้สึกพอใจที่ญี่ปุ่นอนุญาตให้พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางเข้าประเทศได้ ก็อาจทำให้หลายคนเกิดเชื่อได้ว่า มีความพยายามที่จะคืนพาสปอร์ตเล่มแดง หรือพยายามที่จะตั้งพ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้แทนการค้าจริง อย่างที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้
ดังนั้น ไม่ว่าการกระทำที่ผ่านมาดังกล่าว ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แต่ก็ทำให้รัฐบาลปู 1 เสียรังวัดไปพอสมควร เพราะประชาชนในสังคมบางกลุ่มอาจเห็นว่ารัฐบาลนี้ทำเพื่อคนๆ เดียว ขัดกับคำประกาศที่เปรียบเสมือนเป็นสัญญาประชาคม ที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ให้ไว้ภายหลังทำพิธีรับสนองพระบรมราชโองการ รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ณ ที่ทำการ ชั้น 7 พรรคเพื่อไทย ที่มีการถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศนั่น เพราะน.ส.ยิ่งลักษณ์ยืนยันว่า รัฐบาลนี้จะทำงานเอาประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง และจะไม่ทำเพื่อคนๆ เดียว
จากนี้ไป กาลเวลาเท่านั้นจะพิสูจน์ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์และรัฐบาลเพื่อไทย จะทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนหรือไม่ นอกเหนือจากต้องตามติดว่า พรรคเพื่อไทยจะสามารถทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ได้หรือไม่ด้วย ไม่ว่านโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ และคนจบปริญญาตรีใหม่ รายละ 15,000 บาท แจกแท๊บเล็ตนักเรียนชั้นป.1 นโยบายลดราคาน้ำมันเบนซิน 7.50บาท/ลิตร ฯลฯ
หากสุดท้าย สิ่งที่เคยประกาศให้คำมั่นว่า จะไม่ทำหรือช่วยเหลือใครเพียงแค่คนเดียว ที่นายกรัฐมนตรีหญิงประกาศไว้ ยังไม่สามารถกระทำได้ ก็น่าคิดแล้ว ถ้าเป็นนโยบายข้ออื่นที่พรรคเพื่อไทยได้หาเสียงเอาไว้ ยังจะสามารถฝากความหวังอะไรได้อีกหรือไม่? ดังนั้นจึงต้องระมัดระวัง อย่าให้คำนิยาม "ดีแต่พูด" ที่ พท.อุตส่าห์คิดและประดิษฐ์เป็นวาทกรรม ใช้ทิ่มแทงใส่พรรคคู่แข่งอย่างพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงเลือกตั้งอย่างได้ผล จนทำให้ต้องยอมรับสภาพกลายเป็นฝ่ายค้าน ย้อนกลับมาหลอกหลอน "พท." แทนเองก็แล้วกัน แล้วจะหาว่าไม่เตือน...
ที่มา: ไทยรัฐ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น