หลังสิ้นสุดการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย...ภาคประชาชนในกลุ่มต่างๆ ได้เริ่มหันมาทวงสัญญากับการใช้นโยบายหาเสียงแบบลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์...จนถูกอกถูกใจชาวบ้านเป็นอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะนโยบาย “ด้านพลังงาน” ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายที่ประชาชนให้ความสนใจ ไม่แพ้ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท...เนื่องจากน้ำมันเป็นปัจจัยที่คนไทยไม่สามารถขาดแคลนได้
ขณะที่หลายรัฐบาลต่างใช้วิธีการบริหารแก้ปัญหาไม่ให้ราคาสูง สุดท้ายกลับล้มเหลวโดยไม่เป็นท่า
แต่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยดูเหมือนจะรู้สึกท้าทายกับปัญหาดังกล่าว เพราะก่อนหน้านี้ได้ประกาศออกมาอย่างความมั่นอกมั่นใจถึงขั้นทำให้ประชาชนตกตะลึงว่า...
“สิ่งแรกที่พรรคเพื่อไทยจะทำหากได้เป็นรัฐบาล คือการแก้ปัญหาค่าครองชีพ ด้วยการยกเลิกกองทุนน้ำมันฯ...ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันเบนซิน 95 ลดลงลิตรละ 7.50 บาทต่อลิตร...ทำให้น้ำมันเบนซิน 91 ลดลง 6.78 บาท และดีเซล ลดลง 2.20 บาท...เพราะราคาน้ำมันเป็นต้นทุนใหญ่ เป็นต้นทุนของทุกประเภท จะให้พ่อแม่พี่น้องมาแบกรับภาระได้อย่างไร”
แต่ปัญหาเร่งด่วนเช่นนี้...เห็นจะหนีไม่พ้นจะต้องเป็นหน้าที่ของเจ้ากระทรวงพลังงานคนใหม่ ซึ่งก็คือ นายพิชัย นริพทะพันธ์ุ โดยเป็นผู้ที่จะลงมาดูแลในส่วนของพลังงานทั้งหมด
สำหรับประเทศไทยมีแหล่งพลังงานหลายประเภทด้วยกัน แต่อาจจะมีในปริมาณค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ บางครั้งวิกฤตการณ์ของโลกอาจจะทำให้ประเทศไทยได้รับอิทธิพลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โดยเฉพาะประเทศไทยยังต้องมีการสั่งน้ำมันเข้าเป็นจำนวนมาก
นายพิชัย มองว่า...ก่อนที่ประเทศไทยจะก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางทางพลังงานของภูมิภาคอาเซียน ก่อนอื่นเราต้องให้คนไทยมีพลังงานใช้กันอย่างเพียงพอ และมีคุณค่ามากที่สุด...ที่สำคัญ ประชาชนต้องใช้พลังงานเหล่านั้นอย่างมีความสุข คือ แบบสบายๆ ไม่เป็นทุกข์ เพราะไม่ต้องไปกังวลเกี่ยวกับเรื่องค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น
แต่ปัญหาคือ...เราจะแก้ไขปัญหาได้อย่างไร?
โดยเฉพาะกระทรวงพลังงานจะทำอย่างไร หากตัดสินใจยกเลิกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง รวมถึงก๊าซซีเอ็นจีสำหรับเครื่องยนต์เอ็นจีวี และ แอลพีจี (ก๊าซหุงต้ม) จะเอาเงินมาจากไหนในการอุดหนุน
เพราะกองทุนน้ำมันฯ ต้องมีไว้ใช้ในยามจำเป็นเมื่อเกิดวิกฤติราคาน้ำมันแพง เพื่อดูแลเศรษฐกิจได้ แต่ที่ผ่านมามีการตรึงราคาเป็นระยะเวลานานเกินไปจนแทบจะถาวร ซึ่งหากตรึงนาน เกินไปก็ไม่ไหว เพราะจะยิ่งสูญเสียงบประมาณอย่างไม่สมเหตุสมผล
ในแต่ละปีประเทศไทยใช้เงินกองทุนน้ำมัน ในการอุดหนุนเพื่อไม่ให้ประชาชนเดือดร้อนปีละหลายหมื่นล้านบาท
หากคำนวณคร่าวๆ พบว่า...การยกเลิกเก็บเงินน้ำมันเบนซิน 95 ในอัตรา 7.50 บาทต่อลิตรทำให้กองทุนฯ สูญเสียรายได้ 16 ล้านบาทต่อเดือน
ยกเลิกเก็บเบนซิน 91 สูญเสียรายได้กว่า 1,400 ล้านบาท และยกเลิกเก็บดีเซล สูญเสียรายได้กว่า 2,000 ล้านบาทต่อเดือน รวมเงินที่สูญเสียกว่า 3,416 ล้านบาท
แต่ปัจจุบันกองทุนฯ มีภาระหนักในการชดเชยแอลพีจีเดือนละ 4,000 ล้านบาท และ ก๊าซซีเอ็นจี เกือบ 400 ล้านบาท
นักวิชาการและผู้ค้าน้ำมันจำนวนมากจึงขอให้รัฐบาลใหม่แก้ปัญหาแบบรอบคอบ เพราะน้ำมันเป็นสินค้าที่ไทยต้องนำเข้าจึงไม่มีวันที่จะควบคุมได้ หากเข้าไปคุมรัฐบาลก็ต้องแบกรับภาระหนักอึ้งเหมือนกับอดีตเข้าให้อีก
นั่นเป็นปัญหาที่ รัฐบาลพรรคเพื่อไทย และ นายพิชัย นริพทะพันธ์ุ รมว.พลังงาน มองเห็นเป็นเส้นสายโยงใยเชื่อมถึงกัน...แต่อยู่ที่ว่าจะแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างไรให้ออกมาดี และยั่งยืน
จะแก้ด้วยวิธีการเอารายได้จากส่วนอื่นมารองรับ หรือ จะปฏิรูปการใช้พลังงานของคนไทยทั้งระบบ ยกตัวอย่างเช่น การค้นคว้าพลังงานสะอาด และรณรงค์เพื่อให้เกิดการใช้
อย่างไรก็ตาม ทางเลือกหนึ่งที่ดูจะสดใส และเป็นการแก้ไขปัญหาอย่างบูรณาการนั่นก็คือ...นโยบาย “ด้านพลังงานทดแทน” ที่กระทรวงพลังงานได้ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
โดยในส่วนของกระทรวงพลังงานต้องมีการอัดเม็ดเงิน รวมไปถึงบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ ในการเข้าไปช่วยพัฒนาพลังงานทางเลือก...ซึ่งรัฐบาลจะต้องสร้างประโยชน์ให้กับประชาชน โดยไม่ต้องไปสนใจตัวกลางหรือนายหน้าที่จ้องเข้ามาทำธุรกิจเพื่อแสวงหาประโยชน์
ซึ่งในต่างประเทศ...โดยเฉพาะประเทศใหญ่ๆ ที่มีการใช้ปริมาณพลังงานสูงลิ่ว...เขามีความคิดไปถึง “การจุดไฟในน้ำ” กันมาแล้ว
ซึ่งมันมิใช่วิธีการเอาชนะธรรมชาติ...แต่เป็นการนำหลักวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้เพื่อให้เกิดพลังงานทดแทนอย่างคุ้มค่า
โดยการค้นพบที่น่าทึ่งเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ในห้องทดลองของ จอห์น คันเซียส (John Kanzius) นักวิจัยด้านโรคมะเร็งในเคาน์ตีอีรี เพนซีลเวเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
ขณะที่กำลังพยายามแยกเกลือออกจากน้ำทะเลด้วยเครื่องให้กำเนิดความถี่วิทยุ เพื่อนำไปใช้บำบัดรักษาคนไข้โรคมะเร็ง โดยในระหว่างที่ปล่อยคลื่นความถี่วิทยุลงไปในน้ำทะเล ซึ่งอยู่ในหลอดทดลอง น้ำทะเลเกิดติดไฟขึ้นมา
ปัจจุบันการค้นพบของคันเซียส ได้รับความสนใจจากแวดวงนักวิทยาศาสตร์และถูกนำไปวิจัยค้นคว้าพัฒนาเป็นพลังงานใหม่ เพื่อพัฒนาพลังงานความร้อนที่ได้จากน้ำมาใช้ประโยชน์สูงสุด
นี่เป็นตัวอย่างของวิวัฒนาการทางด้านพลังงานที่ นายพิชัย นริพทะพันธ์ุ ต้องมองให้ทะลุแตกฉาน...อะไรที่เหมาะสมกับคนไทย และประเทศไทย
หากประเทศไทยมีทรัพยากรทางธรรมชาติจำนวนมาก...ก็สมควรที่จะหยิบจับเอาทรัพยากรเหล่านั้นมาพัฒนาและประยุกต์ใช้
เพราะส่วนใหญ่พลังงานที่มีค่าใช้จ่ายสูงอย่าง “น้ำมัน” มีต้นเหตุมาจากการทำธุรกิจเพื่อเก็งกำไรทั้งสิ้น!!
ดังนั้น...กระทรวงพลังงานต้องตัด”วงจรอุบาทว์”ดังกล่าวออกไปให้จงได้
ทั้งนี้ นโยบายเกี่ยวกับด้านพลังงานที่อยู่ในการกำกับดูแลของเจ้ากระทรวงพลังงานคนใหม่ นายพิชัย นริพทะพันธ์ุ ด้วยการลดราคาน้ำมันทั้งเบนซิน และดีเซล ถือเป็นการสร้างแรงจูงใจให้กับประชาชนที่ยังต้องเติมน้ำมันราคาแพงในระยะเริ่มต้น...เพราะดูเหมือนรัฐบาลที่ผ่านมายังแก้ไขไม่ถูกที่คัน
ลองนึกสภาพความเป็นจริงว่า...ประชาชนโดยเฉพาะ “คนชั้นกลาง” ที่มีรายได้พอจะถอยรถยนต์สักคันหนึ่ง...เกือบร้อยละ 30 ต้องนำรถที่ซื้อมาดัดแปลงด้วยการเปลี่ยนเป็นการใช้เชื้อเพลิงแก๊ส...ซึ่งมีความประหยัดมากกว่า...แต่ผู้ใช้ก็จำเป็นต้องควักเงินจำนวนหลักหมื่นบาทเพื่อติดตั้งถังถังแก๊ส
มันเป็นภาพที่แสดงให้เห็นว่า...ประชาชนต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ด้วยการเป็นที่พึ่งแห่งตน...เพราะรอการแก้ไขปัญหาจากรัฐบาลชุดที่ผ่านๆ มาไม่ไหว
สิ่งสำคัญที่ รัฐบาลพรรคเพื่อไทย และ กระทรวงพลังงาน ต้องคิดให้ตกผลึกเวลานี้ก็คือ...จะทำอย่างไรเพื่อให้ภาระต้นทุนการซื้อน้ำมันของประชาชนลดลง? และจะทำอย่างไรเพื่อให้มีพลังงานให้ประชาชนใช้อย่างยั่งยืน โดยการพึ่งพาประเทศอื่นให้น้อยที่สุด?
เพราะหากลดค่าใช้จ่ายในเรื่องของพลังงานลงได้...เชื่อว่าประชาชนคนไทยจะสามารถนำเงินในส่วนที่เหลือไปเติมเต็มความสุขให้กับชีวิต และคนในครอบครัว ให้เกิดเป็นรอยยิ้มมากยิ่งขึ้น
มันจึงเป็นงานหนักและงานใหญ่ของ นายพิชัย นริพทะพันธ์ุ รมว.พลังงาน...ซึ่งต้องตีโจทย์สำคัญนี้ให้แตก...มีความคิดสร้างสรรค์...และลงมือทำงานอย่างรอบคอบ
แต่สำหรับประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาของคนชื่อ นายพิชัย นริพทะพันธ์ุ ต้องบอกว่า...เป็นอะไรที่ไม่ธรรมดา เพราะเขาเคยผ่านการจับงานชิ้นใหญ่ๆ มาเยอะ...และสามารถทำให้งานเหล่านั้นสำเร็จลงได้
งานเล็กๆ ไม่...แต่งานใหญ่ต้องให้พิชัยทำ!
ทั้งการเข้ารับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2551...และเคยเป็นที่ปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน...รวมไปถึงการเป็น “Energy Keyman” ซึ่งเหล่ากูรูด้านพลังงานให้ความสนใจเป็นอย่างมากเวลานี้
เพราะเขาเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ...ที่สำคัญ เป็นคนที่มองเห็นผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่เป็นที่ตั้ง...
โดยเฉพาะตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คงไม่ได้มาเพราะโชคช่วย
ซึ่งการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 ก.ค. ที่ผ่านมา นายพิชัย นริพทะพันธ์ุ ถูกจัดลำดับใน บัญชีรายชื่อผู้สมัคร ส.ส. เป็นลำดับที่ 124 แต่สุดท้ายได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ดังนั้น ผู้มีอำนาจของพรรคเพื่อไทย...รวมไปถึงคณะทีมที่ปรึกษาในการทำงานทั้งหลาย...พวกเขามองเห็นอะไรในตัว นายพิชัย นริพทะพันธ์ุ
สุดท้าย...ประชาชนคงต้องจับตาดูการทำงานของเขาในวันข้างหน้า...แล้วจะรู้ว่าคนๆ นี้มีดีอะไร?! ถ้าเขาเป็น”พระเอก” จะขี่ม้าขาวมา หรือขี่ม้าสีอะไร?? เป็นเรื่องที่ต้องจับตาอย่าได้กระพริบ!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น