ผลการเลือกตั้งใน 4 ครั้งล่าสุดที่ผ่านมา มันได้บังเกิดเป็นคำถามมากมาย..ที่สามารถขมวดปมได้ว่าจะมีพรรคการเมืองใดสามารถยืนอยู่บนตำแหน่งที่สูงกว่าพรรคการเมืองสีแดงจาก “ไทยรักไทย 1” สู่ “ไทยรักไทย 2” เปลี่ยนผ่านมาเป็น “รัฐบาลพลังประชาชน” กระทั่งมาจรด “ครม.ปู 1” ถ้าไม่นับรวม “รัฐบาลปฏิวัติ” ไม่นับรวม “รัฐบาลที่ปฏิวัติกันแบบเงียบๆ” มาคั่นกลาง นั่นจะเท่ากับว่าตั้งแต่ปี 2544 มาจนถึงปี 2554 ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ยังคงเทใจให้กับพรรคการเมืองแดง ภายใต้การบัญชาการของ “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร”..ซึ่งนั่นมันก็ล่วงเลยมาแล้วกว่า 10 ปี
ลงรายละเอียดลงลึกไปกว่านั้น ผ่านบุคลากรในการต่อสู้ฟาดฟันกันทางการเมือง จับหลักเฉพาะเงื่อนไขทางประชาธิปไตย โฟกัสไปที่หลังการล่มสลายของ “รัฐนาวาไทยรักไทย” ได้มีเหล่านักเลือกตั้งสเปกมากพรรษาบารมี แยกย้ายกันไปก่อตั้งพรรค การเมือง เพื่อลงสู่สนามเลือกตั้งหลังจาก “รัฐบาลขิงแก่” สิ้นอายุขัย “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ..พินิจ จารุสมบัติ..ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ..สมศักดิ์ เทพสุทิน..สุชาติ ตันเจริญ..สุวิทย์ คุณกิตติ..สุรนันทน์ เวชชาชีวะ..สนธยา คุณปลื้ม”..หรืออาจจะนับรวม “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” เข้าไปด้วยก็ได้ในฐานะที่มีบทบาทอยู่เบื้องหลังพรรคการเมืองเกิดใหม่ในบางช่วง และเมื่อสแกนดูชื่อบุคคลระดับนำที่ตีกรรเชียงออกจาก “รัฐนาวาไทยรักไทย” จะพบ ว่า ล้วนเป็นประเภท เซียนเขี้ยวมากพรรษาบารมี และมี ส.ส.ในคอนโทรลเป็นจำนวนมาก ว่ากันว่า
ปรากฏการณ์เลือดไหลออกในครั้งนั้น พรรคไทยรักไทย มี ส.ส.ไหลออก ในตัวเลขใกล้ๆ 100 คน และหากนำมาเขย่ารวมกับจำนวน ส.ส.ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์และพรรคชาติไทย มันก็มีความเป็นไปได้ว่าการเลือกตั้งรอบใหม่ “ประชาธิปัตย์” และพันธมิตรใหม่ จะมีแนวโน้มเป็นไปได้สูงในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล!!! แต่สุดท้ายจนแล้วจนรอด เมื่อเหตุการณ์ตกผลึก ประเทศไทยก็มีนายกรัฐมนตรีคนที่ 25 ชื่อ “สมัคร สุนทรเวช” ข้ามช็อตมาที่การเลือกตั้งครั้งที่เพิ่งผ่านไปหมาดๆ ซึ่ง “พรรคประชาธิปัตย์” ดำรงตนอยู่ในสถานะรัฐบาลรักษาการ มีเครื่องไม้เครื่องมือและกระสุนดินดำพร้อมเพรียง แถมได้คีย์แมนใหญ่ในภาคอีสานอย่าง “เนวิน ชิดชอบ” มาเป็นตัวตัดแต้มเก้าอี้ ส.ส. พรรคเพื่อไทย
จะว่าไปแล้ว รอบนี้พร้อมรบกว่ารอบที่แล้วมาก แต่ประชาชนกลับไม่เห็นเป็นเช่นนั้น และในที่สุดก็เกิดแลนด์สไลด์ซัด “ประชาธิปัตย์” กับ “ภูมิใจไทย” ไปนั่งตบยุงในซีกฝ่ายค้านอย่างเจ็บแสบ ก่อนจะเป็นที่มาของบันทึกหน้าใหม่ทางการเมืองกับ “ปู-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทยกระแสภูมิภาคนิยมยังคงเข้มแข็งเฉพาะภาคใต้ แต่ในส่วน..บรรหารบุรี..เนวินซิตี้..โคราช..ชลบุรี..ล้วนถูกเจาะไข่แดงอย่างน่าตกใจ และว่ากันว่า หากปล่อยให้สถานการณ์ของคะแนนนิยมหลงทางเลยเถิดไปมากกว่านี้ พรรคขนาดเล็กและพรรค ขนาดกลาง อาจมีอันสูญพันธุ์ในเวลาไม่นานและนี่คือการบ้านข้อใหญ่ ที่พรรคการเมืองอื่นต้องเร่งแก้ไขเป็นการด่วน แต่จะ กลับลำ สวิงสถานการณ์กลับอย่างไร
คงต้องปล่อยให้วอร์รูมพรรคเป็นฝ่ายแก้โจทย์ อย่างไรก็ดี เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ไปเยือนจังหวัดขอนแก่นและจังหวัดเลย ที่จะว่าไปแล้วไม่ต่างจากเมืองหลวงและเมืองรองของพรรคเพื่อไทย ได้มี โอกาสไปชื่นชมธรรมชาติ ได้เข้าถึงโครงการชุมชนเข้มแข็ง ได้พบเจอผลผลิตที่ผลิดอก ออกผลจาก “กองทุนเอสเอ็มแอล”ผมต้องยอมรับโดยดุษณีครับว่าขอนแก่นกับเมืองเลยที่ผมเคยเห็น มันได้เปลี่ยนไปมาก เนื่องด้วยปัจจุบันมีเศรษฐีใหม่เกิดขึ้นอย่างมากมาย ตามแหล่งท่องเที่ยวที่เป็น “โฮมสเตย์” แม้ตัวบ้านด้านบนจะเป็นเรือนไม้จริง แต่พื้นบ้านชั้นล่างบ้างก็ปูด้วยกระเบื้อง บ้างก็ปูด้วยหินอ่อน
นั่นย่อมสะท้อนให้เห็นความกินดีอยู่ดีที่เปลี่ยน ไปของคนในพื้นที่ แต่หากย้อนกลับไปดู “ภูมิภาคนิยม” อันสุดเข้มแข็งในภาคใต้ ผมกลับไม่ประสบพบเจออะไรอะไรทำนองนี้ ซึ่งนั่นมันก็เป็นความต่างที่เห็นกันได้ชัด ที่ผมขออนุญาตยกออกมาให้เห็นเป็นตัวอย่าง และมันน่าจะเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาที่น่าสนใจ ที่ทุกพรรคการเมืองควรจะแนบท้ายไว้ในยุทธศาสตร์..หาก คุณอภิสิทธิ์ คุณเนวิน คุณบรรหาร หรือ คุณสุวัจน์ คิดจะสร้าง..คัมภีร์ หยุดระบอบทักษิณ..อย่าเอาแต่ว่าคนอื่นทุจริต นอกจากจับโกงเก่ง ต้องบริหารเป็นด้วย
ที่มา.สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น