ทหาร กองทัพไทย กับการเมืองไทยผูกติดมาตลอด ในหลายรูปแบบ ล่าสุดรัฐประหาร2549 ไล่รัฐบาล ทรท.ไป ปัจจุบันกับรัฐบาลใหม่ พท. จะเป็นเช่นไร
พลวัตการเมืองไทยในห้วงครึ่งทศวรรษมานี้ นับจากการรัฐประหารเที่ยวล่าสุดเมื่อปี 2549 ปฏิเสธไม่ได้ว่า "กองทัพ" เข้ามามีบทบาททางการเมืองสูงมาก และกลายเป็นจุดเปราะบางอันสำคัญของรัฐบาลชุดใหม่ที่นำโดยพรรคเพื่อไทย เพราะเป็นคู่ขัดแย้งกับทหารโดยตรง
ประเด็นที่เกี่ยวกับ "บทบาท" ที่เหมาะควรของทหาร และ"ระยะห่าง" หรือ "ความสัมพันธ์" ระหว่างกองทัพกับรัฐบาลควรเป็นอย่างไร เพื่อขับเคลื่อนการเมืองไทยต่อไปในทิศทางที่เหมาะสมตามระบอบประชาธิปไตยนั้น นับเป็นโจทย์ที่น่าค้นหาคำตอบไม่น้อยทีเดียว
พลเอกไวพจน์ ศรีนวล อดีตรองปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งผ่านงานการเป็นผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานความมั่นคง ทั้งผู้อำนวยการศูนย์รักษาความปลอดภัย(ศรภ.) และผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาให้กับหน่วยงานเดิมของเขา คือสำนักนโยบายและแผนกลาโหม ทั้งยังร่วมกับองค์กรเอกชนต่างประเทศจัดทำยุทธศาสตร์การปฏิรูปกองทัพสำหรับประเทศกำลังพัฒนาด้วย เพ่งมองภาพความเปราะบางนี้เอาไว้อย่างน่าสนใจ
พลเอกไวพจน์ ชี้ว่า ปัญหากองทัพหรือทหารเข้าไปมีบทบาททางการเมือง เกิดขึ้นกับประเทศกำลังพัฒนาแทบทุกประเทศ ไม่เฉพาะไทย สาเหตุประการหนึ่งเป็นเพราะกองทัพมีทรัพยากรบุคคลมาก จึงช่วยงานพัฒนาในประเทศที่ยังไม่พร้อมได้เป็นอย่างดี ซึ่งถ้าจำกัดบทบาทอยู่เพียงแค่นี้ก็จะไม่มีปัญหาอะไร
แต่สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาใหญ่ก็คือ เมื่อสถานการณ์การเมืองไม่มีเสถียรภาพ ฝ่ายการเมืองเองจึงพยายามใช้ทหารเป็นเครื่องมือ เมื่อเลือกใช้ทหาร ฝ่ายทหารก็ชอบ เพราะได้งบประมาณมากขึ้น แล้วก็แสดงบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ จนบางประเทศกลายเป็นการครอบงำฝ่ายการเมืองไปเลย ซึ่งเป็นสร้างปัญหามากกว่าช่วยแก้ปัญหา
ฉะนั้นทางออกที่ดีที่สุด พล.อ.ไวพจน์ บอกว่า ต้องสร้างสมดุลด้วยการ "ปฏิรูปกองทัพ" หรือ Military Reform ซึ่งสำหรับประเทศไทยก็คิดและทำมานานมากแล้ว แต่ไม่ค่อยมีความคืบหน้า
"สาเหตุที่การปฏิรูปกองทัพทำได้ไม่ค่อยดี เพราะ 1.การเปลี่ยนแปลงกองทัพเป็น Political Issue หรือประเด็นปัญหาทางการเมือง ซึ่งฝ่ายการเมืองต้องเตรียมพร้อมสำหรับการปรับเปลี่ยนด้วย คือต้องมี Political Will หรือเจตจำนงทางการเมืองที่ชัดเจน แน่วแน่ แต่บ้านเราฝ่ายการเมืองไม่เข้มแข็ง กลับใช้กองทัพเป็นเครื่องมือ กองทัพก็เอนจอย (enjoy - สนุกสนาน) เพราะได้อำนาจต่อรองเพิ่ม ทั้งงบประมาณ และสถานะ เนื่องจากกลายเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของการเมืองไปแล้ว เพราะฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงหรือปฏิรูปจึงไม่คืบหน้าเท่าที่ควร และจะไม่คืบหน้าต่อไปถ้าการเมืองยังไม่เข้มแข็งอยู่แบบนี้"
"2.กระบวนการกำหนดนโยบายยุทธศาสตร์ของกองทัพยังมีลักษณะยึดติดกับกรอบคิดแบบเดิมๆ ตั้งแต่ยุคสงครามเย็น ซึ่งกระบวนการกำหนดนโยบายยุทธศาสตร์ถูกชี้นำโดยประเทศมหาอำนาจ แม้จะยึดผลประโยชน์ชาติ หรือ National Interest แต่ทิศทางยังมีอคติ เพราะอยู่ภายใต้การชี้นำของมหาอำนาจและกลุ่มผลประโยชน์ จึงไม่ตอบสนองต่อผลประโยชน์ชาติแบบเต็มร้อย แต่กลับเป็นไปในลักษณะตอบสนอบเฉพาะกลุ่ม"
ในทัศนะของ พลเอกไวพจน์ เขาให้น้ำหนักไปที่กระบวนการกำหนดนโยบายยุทธศาสตร์เป็นอย่างมาก โดยเห็นว่าเป็นจุดอ่อนทั้งในระดับกองทัพเองและรัฐบาล เขาขยายความว่า ในระดับผู้นำกองทัพหรือนายทหารระดับสูงส่วนใหญ่ที่ผ่านมา แม้ทำให้กองทัพมีการเปลี่ยนแปลงก็จริง แต่เป็นการเปลี่ยนเฉพาะโครงสร้างการบริหารจัดการ ซึ่งถือว่าเป็นจุดอ่อน คือเมื่อเดินตามฝรั่ง ก็จะมุ่งเปลี่ยนแปลงเฉพาะโครงสร้างการบริหารจัดการ ซึ่งเกิดผลน้อย หากจะเปลี่ยนแปลงให้ได้ผลจริงๆ ต้องเปลี่ยนคู่กัน 2 แนวทาง คือ โครงสร้างการบริหารจัดการ และทิศทางการก้าวเดินซึ่งต้องเปลี่ยนด้วย
เมื่อหันไปพิจารณาในระดับการเมืองหรือรัฐบาล จะเห็นว่าฝ่ายการเมืองเองก็ไม่มีกรอบคิดทิศทางที่ชัดเจน ใครขึ้นเป็น รมว.กลาโหม ก็ปรับโครงสร้างนิดหน่อย ซื้ออาวุธนิดหน่อย ก็ถือว่าได้ปฏิรูปกองทัพแล้ว ทั้งๆ ที่เรายังมีจุดอ่อนการปฏิรูปเพื่อทำให้เกิดสมดุลระหว่างกองทัพกับการเมืองอยู่มาก
"นายทหารระดับสูงส่วนใหญ่ในบ้านเรามองแนวคิดแต่ Military Strategy (ยุทธวิธีทางทหาร) คือใช้กำลัง แล้วก็จัดซื้ออาวุธ ถามว่าเดินถูกทางไหม มันก็ถูก แต่ถ้าจะแก้ปัญหาให้ได้ต้องมองให้เหนือกว่าเรื่องยุทธวิธีทางทหาร คือต้องมองไปที่ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง หรือ Security Strategy"
อย่างไรก็ดี พลเอกไวพจน์ ชี้ว่าสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะในประเทศไทย แต่เกิดกับประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศ เพราะในประเทศเหล่านั้นประชาชนจะศรัทธากองทัพมาก และกองทัพมีอิทธิพลมาก เมื่อเสนอยุทธศาสตร์อะไรไป ผู้กุมนโยบายด้านความมั่นคงก็ไม่กล้าเปลี่ยนแปลง ปัญหาจึงแก้ไม่ได้เพราะมองเฉพาะยุทธวิธีทางทหาร
"ยกตัวอย่างปัญหากับประเทศเพื่อนบ้าน ถ้ามองแค่กรอบ Military Strategy ก็สั่งให้เอากำลังไปวาง แต่ไม่ได้แก้ไขปัญหาอะไรเลย จุดอ่อนคือกระบวนการกำหนดนโยบายยุทธศาสตร์ไม่ได้รับการพัฒนา ประชาชนไม่สามารถหวังพึ่งกองทัพให้แก้ปัญหาชาติได้ เพราะแก้ได้แค่ระดับยุทธวิธี จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมากองทัพแก้ปัญหาใหญ่ๆ ของชาติไม่ได้เลย รวมทั้งปัญหาภาคใต้ด้วย เพราะมองแต่ยุทธวิธีทางทหาร เมื่อผนวกกับการเมืองก็อ่อนแอ ต้องการใช้ทหารเป็นเครื่องมือ จึงยิ่งไม่กล้าปรับเปลี่ยน ทำให้เจตจำนงทางการเมืองไม่แจ่มชัด ถ้าเป็นอย่างนี้ก็พัฒนาไม่ได้"
พลเอกไวพจน์ เสนอว่า การจะก้าวข้ามปัญหานี้ องค์กรเหนือกองทัพต้องแสดงบทบาทมากขึ้น อาทิ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และฝ่ายการเมือง จะมาใช้กองทัพแบบเดิมไม่ได้อีกแล้ว มิฉะนั้นปัญหาจะทับถม
"ปัญหาของกองทัพกับปัญหาของฝ่ายการเมือง จริงๆ แล้วก็เป็นเรื่องเดียวกัน คือการกำหนดนโยบายยุทธศาตร์ในการแก้ไขปัญหาของประเทศ ไม่สามารถทำให้เกิดประโยชน์กับประชาชนส่วนใหญ่หรือขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าได้ ปัญหาต่างๆ จึงแก้ไม่ได้อย่างเป็นรูปธรรม ถ้าไม่รีบแก้ตรงจุดที่เป็นต้นเหตุนี้ การก้าวเดินต่อไปจะยิ่งไร้ทิศทาง"
"ที่ผ่านมาสภาพัฒน์ (สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) ยังเอาปัญหาเป็นตัวตั้ง แล้วสร้างการมีส่วนร่วมด้วยการจัดเวทีไปฟังปัญหา จากนั้นก็นำประเด็นที่รับฟังมากำหนดเป็นนโยบาย วิธีการแบบนี้แม้จะถูกต้องแต่ไม่ใช่การแก้ปัญหาระดับชาติ เพราะปัญหามันไม่ได้ง่ายแบบเดิมแล้ว ไม่เหมือนยุคสงครามเย็น เนื่องจากปัญหามีความซับซ้อนสูง ไม่ใช่เรื่อง 1+1 = 2 อีกต่อไป"
"อย่างเช่นการจะสร้างความปรองดอง แล้วบอกว่าคนในชาติมีแต่ความแตกแยก จริงๆ แล้วแตกแยกไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นผลกระทบ ฉะนั้นต้องมองย้อนกลับไปว่าสาเหตุของความแตกแยกเกิดจากอะไร ด้วยเหตุนี้การโฆษณาให้ปรองดองจึงไม่เกิดผลอะไร เพราะต้องเข้าใจและหาวิธีแก้ปัญหาที่แก่น"
"เช่นเดียวกับนโยบายประชานิยมของพรรคการเมือง ประชาชนชอบเพราะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ในระยะสั้น แต่ไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ฉะนั้นจึงใช้วิธีเดิมๆ ต่อไปอีกไม่ได้ เรากำลังจะมีรัฐบาลชุดใหม่ หลังจากนี้ก็จะมีการแถลงนโยบาย และทำแผนปฏิบัติ แต่ถ้ายังเป็นแผนเดิม ทิศทางก็เดิมๆ ก็จะไม่มีทางแก้ปัญหาชาติได้สำเร็จ"
ส่วนการปฏิรูปกองทัพด้วยการปรับลดขนาดลงเพื่อให้มีความคล่องตัวและพัฒนาประสิทธิภาพได้ง่ายขึ้นนั้น พล.อ.ไวพจน์เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ เพราะภัยคุกคามในลักษณะที่เป็น Traditional Treat (ภัยคุกคามแบบเก่า) ในยุคสงครามเย็น ได้เปลี่ยนเป็น Nontraditional Treat หรือภัยคุกคามแบบใหม่ไปแล้ว
"การต่อสู้กับภัยคุกคามแบบเดิม คือการรบด้วยกำลังทหาร ใครที่มีกำลังพลมากกว่า อาวุธมากกว่าก็เป็นฝ่ายชนะนั้น ปัจจุบันแทบจะหมดไปแล้ว ทุกวันนี้ทุกประเทศพยายามเป็นมิตรกัน มีการรวมกลุ่มกัน เช่น อาเซียน และมีองค์กรระหว่างประเทศคอยแก้ไขความขัดแย้ง อาทิ องค์การสหประชาชาติ ฉะนั้นโอกาสที่จะเกิดการรบขนาดใหญ่มีน้อยมาก"
"ส่วนภัยคุกคามรูปแบบใหม่มี 4 เรื่องหลัก คือ ยาเสพติด แรงงานข้ามชาติ ภัยพิบัติ และก่อการร้าย จึงต้องถือว่ารูปแบบเปลี่ยนไป การลดกำลังพลของกองทัพลงจึงเป็นเหตุเป็นผล ปัจจุบันเทคโนโลยีมีมากขึ้น สามารถใช้แทนได้ และยังเป็นการป้องปรามทางยุทธศาสตร์ โดยไม่ต้องใช้กำลังด้วย เรื่องแบบนี้เราก็เคยคิดกัน แต่อาจจะละเลยไป"
พลเอกไวพจน์ บอกด้วยว่า ระบบป้องปรามทางยุทธศาสตร์ก็เช่น การพัฒนาเรื่องการรบร่วม แทนการจัดซื้ออาวุธบางประเภท เช่น ปืนเล็ก ซึ่งไม่ได้ตอบสนองอะไรในทางยุทธศาสตร์ ที่สำคัญต้องเข้าใจว่าภัยคุกคามรูปแบบใหม่ทุกเรื่องเกี่ยวข้องกับประชาชน จึงต้องทำงานร่วมกับภาคประชาชนและเอ็นจีโอจึงจะประสบความสำเร็จ
ทั้งหมดนี้คือทิศทางที่ควรจะเป็นของกองทัพในความเห็นของอดีตขุนพลด้านความมั่นคงอย่าง พล.อ.ไวพจน์ แต่การปรับบทบาทจะเป็นจริงได้หรือไม่ ต้องย้อนกลับไปถามฝ่ายการเมืองด้วยว่าเมื่อไรจะเลิกใช้กองทัพเป็นเครื่องมือเสียที!
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น