คำขอโทษ..ที่หลุดจากปาก ผู้บัญชาการทหารบก..พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา..นำมาซึ่งความรู้สึกที่ดีระหว่างผู้คนหลายฝักหลายฝ่าย..ที่มีความเห็นต่างและมีความคิดแปลก ซึ่งก็เป็นปรกติธรรมดา..ของโลกีย์สถานที่ประกอบกันเป็นโลกใบนี้
อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้สิ่งที่ได้สูญเสียไปแล้วทั้งชีวิตและทรัพย์สิน..ไม่ต้องสูญเสียเพิ่มขึ้นในส่วนที่ยังเป็นชีวิตอยู่และส่วนที่ยังมีอยู่
ภารกิจในการเข้าไปช่วยเหลือกำลังพลที่ประสบเคราะห์กรรมในระหว่างปฏิบัติหน้าที่นั้น..เป็นภารกิจที่หลีกเลี่ยงไม่ได้..เพราะมันเป็นผลโดยตรงกับกำลังใจของผู้เสี่ยงภัย..ที่ไปทำหน้าที่เพื่อชาติและประชาชนโดยรวม
ในกองทัพที่ยิ่งใหญ่และทันสมัยที่สุดในโลก..อย่างสหรัฐอเมริกา..ก็สูญเสียมาแล้วสำหรับภาระหน้าที่เช่นเดียวกัน..เช่นกันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้า
ในสังคมใหญ่อย่างประเทศไทย..จะไม่มีสัดส่วนใดดำรงอยู่โดยเอกเทศ..ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว-หมู่บ้าน-ตำบล-หรือกองทัพ
คำวิพากษ์วิจารณ์จึงเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้..ผู้ได้รับความเสียหายจะต้องอดทนต่อการชี้แจงแสดงเหตุผล..ทำความเข้าใจกับประชาชนและสังคมอันหลากหลาย เพื่อสร้างความรู้แจ้งเห็นจริงให้ปรากฏขึ้นมาให้ได้
มันจึงเป็นหน้าที่เช่นเดียวกับการเข้าไปกอบกู้ช่วยเหลือ..ไม่ว่าจะเป็นผู้บาดเจ็บหรือสูญเสียชีวิต
กองทัพต้องยอมรับในส่วนของความบกพร่อง..มีเหตุผลต่างๆ มากมาย..ที่จะอธิบายได้ถึงความสูญเสียที่เกิดขึ้น โดยไม่ต้องแสดงอาการโกรธเกรี้ยวหรือยกป้ายเขตทหารห้ามเข้า..ให้เป็นที่ระคายเคือง
สื่อกับนักวิจารณ์..ก็ย่อมมีหน้าที่แตกต่างกันออกไป..แต่ไม่ได้หมายความว่า..จ้องจะทำลายกองทัพ..หรือปรารถนาจะปรักปรำผู้บัญชาการทหารบก
เพราะความจริงก็คือ..ไม่มีใครอยากให้เฮลิคอปเตอร์ตกและมีทหารตาย..
ความจริงก็คือทุกคนเสียใจที่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น
การแก้ไขต่างหากที่จำเป็นที่สุดในปัจจุบัน บทเรียนต่างหากที่เป็นสมบัติล้ำค่าที่จะ..นำมานำสู่การปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
มันต้องอยู่กันให้ได้อยู่ร่วมกันไปอยู่รวมกันเป็นไทย..ชั่วกัปชั่วกัลป์
โดย.พญาไม้ทูเดย์.บางกอกทูเดย์
//////////////////////////////////////////
วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
ฮือฮากันทั้งรุ่น!!
งานพบปะสังสรรค์ ตท.รุ่น ๑๕ หรือ จปร.รุ่นที่ ๓๑..รุ่นเดียว กับ “พล.ต.ตะวัน เรืองศรี” ผบ.พล.ร.๙ ผู้วายชีพ เพราะ “ฮ.” ตกนั่นปะไร ล่ะคุณ??
เพื่อนร่วมรุ่น บรรจงจับเอาชื่อออก จากงานที่เลี้ยงตามประเพณี ที่โรงแรมพูลแมน ซอยรางน้ำ ศุกร์ที่ ๒๒ กรกฏาฯ..เพื่อนทหารและตำรวจ ได้หยิบเอาชื่อ “ผู้การตะวัน” ออกจากการจับรางวัล
แต่ไฉน, ชื่อที่คัดออกหยิบออก กลับโผล่ขึ้น..จนเพื่อน ๆ ขนลุกกันไปทั้งงาน
อีกอย่าง น่าเป็นความผูกพัน ระหว่าง “พล.ต.ตะวัน เรืองศรี” กับพ้องเพื่อนที่รักใคร่กันมานาน จึงแสดงปาฏิหาริย์ ให้เห็น!!!
นับเป็นความน่ารัก...ที่ดวงวิญญาณ “พล.ต.ตะวัน”ได้มาทัก!...สมัครพรรคพวกได้มีการตื่นเต้น??
-------------------
เป็นความสูญเสียอย่างมหันต์!!
“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. บอกปัดแก้ต่าง เป็นเพราะ “อากาศปิด” คงจะไม่ได้ ดอกนะท่าน??
อยากกราบเรียนให้รู้เหมือนกัน..ที่ผ่านมา “ฮ.” ของ “สำนักงานตำรวจ” เคยตกร่วงกราว เหมือน “ฮ.เบลล์” ของ “ทหาร” หรือเปล่าหนอ
เหตุที่ความปลอดภัย ของฝ่ายทหาร มีไม่เพียงพอ
ก็น่าจะมาจากการ เปลี่ยนถ่าย “อะไหล่”ไม่ตามสเป็ก..ที่ “ฮ.” ตำรวจบินกันปร๋อ เพราะเขาให้ “การบินไทย” เปลี่ยนน็อตตามชั่วโมงบิน แต่ฝ่ายทหารให้ใครเปลี่ยนเห็น ฮ. ตกกันจัง!!
ฮ.ตกเสียหายไม่เป็นไหร่...แต่ที่มีคนตาย?...โทษแต่อากาศปิด คงไม่ได้กระมัง??
--------------------
ไม่ธรรมดา...ไม่ธรรมดา!!
“บิ๊กอ๊อด” พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ปาร์ตี้ลิสต์อันดับที่ ๒๓ พรรคเพื่อไทย คนนี้น่าจับตา
สัมพันธ์แนบชิดกับ “ ทักษิณ ชินวัตร” มีไม่เท่าไหร่?...แต่เมื่อคราวโอลิมปิกที่จีน “บิ๊กอ๊อด” เป็นผู้พา “นายห้างดูไบ”หนี
โอกาสเกาะลิฟท์แก้ว เป็น “รัฐมนตรีกลาโหม” ก็มี
ยิ่งฐานของน้องรักน้องเลิฟ “พล.อ.อัครเดช ศศิประภา” ประธานใหญ่นวนคร ที่ได้ดูแลนายทหารใหญ่ ๆ มีทั้ง “พล.อ.ชัยณรงค์ หนุนภักดี” , “พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร” รวมอยู่กันครบเซ็ท
ถ้า “บิ๊กอ๊อด” ขึ้นมาเป็นใหญ่...ขุนศึกรุ่นต่างๆ จะไปไหน?..ล้วนอยู่ใต้อาณัติกันเบ็ดเสร็จ
--------------------
ไม่เคยเห็นหัวผู้ใหญ่!!
“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” คงเป็น “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่ไม่เคยเห็นหัวใคร??
ทั้งที่ “สัมพันธ์ ทองสมัคร” หรือ “ท่านหมอผี” ทำคุณเอาไว้พรรคประชาธิปัตย์เอาท่วมท้น ก่อนที่ “อภิสิทธิ์” จะเข้ามาแจ้งเกิดบนถนนการเมือง
ผลักไสไล่ส่ง ให้“ท่านสัมพันธ์” มา ลงสส.ปาร์ตี้ลิสต์ อันดับที่ ๔๘ อย่างไม่ใช่เรื่อง
ขณะเดียวกันใช้กำลังภายใน ผลักดันให้ “บุญยอด สุขถิ่นไทย” ลงปาร์ตี้ลิสต์อันดับที่ ๓๖ ทั้งที่ก่อเรื่องสร้างเหตุ ให้ “ประชาธิปัตย์” ขัดใจกับพรรคอื่น ๆ จนเขาพากันเป็นศัตรู!!
ที่ “อภิสิทธิ์”พาประชาธิปัตย์เจ๊ง...ก็เพราะความอวดเก่ง?...ที่เล็งไม่เห็นหัวผู้ใหญ่เท่าที่รู้
--------------------
“สัมพันธ์สวาท” เห็นที จะต่อติดยาก!!!
บอกได้เลยว่า วันนี้ “ท่านนิพนธ์ พร้อมพันธ์ุ” ปฏิเสธ ที่จะมองหน้า “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หรือ “นายกฯมาร์ค”
เรื่องเกาเหลากินใจระหว่าง “ท่านนิพนธ์” กับ “อภิสิทธิ์” มีอยู่เป็นกอง
แต่เรื่องที่มองกันไม่ติด ..เมื่อ “ท่านนิพนธ์” ฝากฝังให้ “สุธรรม ลิมสุวรรณ” เด็กสร้างเด็กปั้น ลง สส.ปาร์ตี้ลิสต์อันดับ ๕๐ หรือ ต้น ๕๐ แต่ “อภิสิทธิ์” โยกไปลงอันดับที่ ๙๓ โดยไม่แคร์คำขอร้อง
เหมือนกับว่า “พรรคประชาธิปัตย์” มีแต่ “อภิสิทธิ์” ใหญ่คนเดียวเช่นนั้น!!
ก้อชอบทำตัวใหญ่คับพรรค....คนดีๆ จึงพากันตีจาก?...เพราะเขาเซ็ง “มาร์ค”ขึ้นทุกวัน
คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////
เพื่อนร่วมรุ่น บรรจงจับเอาชื่อออก จากงานที่เลี้ยงตามประเพณี ที่โรงแรมพูลแมน ซอยรางน้ำ ศุกร์ที่ ๒๒ กรกฏาฯ..เพื่อนทหารและตำรวจ ได้หยิบเอาชื่อ “ผู้การตะวัน” ออกจากการจับรางวัล
แต่ไฉน, ชื่อที่คัดออกหยิบออก กลับโผล่ขึ้น..จนเพื่อน ๆ ขนลุกกันไปทั้งงาน
อีกอย่าง น่าเป็นความผูกพัน ระหว่าง “พล.ต.ตะวัน เรืองศรี” กับพ้องเพื่อนที่รักใคร่กันมานาน จึงแสดงปาฏิหาริย์ ให้เห็น!!!
นับเป็นความน่ารัก...ที่ดวงวิญญาณ “พล.ต.ตะวัน”ได้มาทัก!...สมัครพรรคพวกได้มีการตื่นเต้น??
-------------------
เป็นความสูญเสียอย่างมหันต์!!
“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. บอกปัดแก้ต่าง เป็นเพราะ “อากาศปิด” คงจะไม่ได้ ดอกนะท่าน??
อยากกราบเรียนให้รู้เหมือนกัน..ที่ผ่านมา “ฮ.” ของ “สำนักงานตำรวจ” เคยตกร่วงกราว เหมือน “ฮ.เบลล์” ของ “ทหาร” หรือเปล่าหนอ
เหตุที่ความปลอดภัย ของฝ่ายทหาร มีไม่เพียงพอ
ก็น่าจะมาจากการ เปลี่ยนถ่าย “อะไหล่”ไม่ตามสเป็ก..ที่ “ฮ.” ตำรวจบินกันปร๋อ เพราะเขาให้ “การบินไทย” เปลี่ยนน็อตตามชั่วโมงบิน แต่ฝ่ายทหารให้ใครเปลี่ยนเห็น ฮ. ตกกันจัง!!
ฮ.ตกเสียหายไม่เป็นไหร่...แต่ที่มีคนตาย?...โทษแต่อากาศปิด คงไม่ได้กระมัง??
--------------------
ไม่ธรรมดา...ไม่ธรรมดา!!
“บิ๊กอ๊อด” พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ปาร์ตี้ลิสต์อันดับที่ ๒๓ พรรคเพื่อไทย คนนี้น่าจับตา
สัมพันธ์แนบชิดกับ “ ทักษิณ ชินวัตร” มีไม่เท่าไหร่?...แต่เมื่อคราวโอลิมปิกที่จีน “บิ๊กอ๊อด” เป็นผู้พา “นายห้างดูไบ”หนี
โอกาสเกาะลิฟท์แก้ว เป็น “รัฐมนตรีกลาโหม” ก็มี
ยิ่งฐานของน้องรักน้องเลิฟ “พล.อ.อัครเดช ศศิประภา” ประธานใหญ่นวนคร ที่ได้ดูแลนายทหารใหญ่ ๆ มีทั้ง “พล.อ.ชัยณรงค์ หนุนภักดี” , “พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร” รวมอยู่กันครบเซ็ท
ถ้า “บิ๊กอ๊อด” ขึ้นมาเป็นใหญ่...ขุนศึกรุ่นต่างๆ จะไปไหน?..ล้วนอยู่ใต้อาณัติกันเบ็ดเสร็จ
--------------------
ไม่เคยเห็นหัวผู้ใหญ่!!
“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” คงเป็น “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่ไม่เคยเห็นหัวใคร??
ทั้งที่ “สัมพันธ์ ทองสมัคร” หรือ “ท่านหมอผี” ทำคุณเอาไว้พรรคประชาธิปัตย์เอาท่วมท้น ก่อนที่ “อภิสิทธิ์” จะเข้ามาแจ้งเกิดบนถนนการเมือง
ผลักไสไล่ส่ง ให้“ท่านสัมพันธ์” มา ลงสส.ปาร์ตี้ลิสต์ อันดับที่ ๔๘ อย่างไม่ใช่เรื่อง
ขณะเดียวกันใช้กำลังภายใน ผลักดันให้ “บุญยอด สุขถิ่นไทย” ลงปาร์ตี้ลิสต์อันดับที่ ๓๖ ทั้งที่ก่อเรื่องสร้างเหตุ ให้ “ประชาธิปัตย์” ขัดใจกับพรรคอื่น ๆ จนเขาพากันเป็นศัตรู!!
ที่ “อภิสิทธิ์”พาประชาธิปัตย์เจ๊ง...ก็เพราะความอวดเก่ง?...ที่เล็งไม่เห็นหัวผู้ใหญ่เท่าที่รู้
--------------------
“สัมพันธ์สวาท” เห็นที จะต่อติดยาก!!!
บอกได้เลยว่า วันนี้ “ท่านนิพนธ์ พร้อมพันธ์ุ” ปฏิเสธ ที่จะมองหน้า “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หรือ “นายกฯมาร์ค”
เรื่องเกาเหลากินใจระหว่าง “ท่านนิพนธ์” กับ “อภิสิทธิ์” มีอยู่เป็นกอง
แต่เรื่องที่มองกันไม่ติด ..เมื่อ “ท่านนิพนธ์” ฝากฝังให้ “สุธรรม ลิมสุวรรณ” เด็กสร้างเด็กปั้น ลง สส.ปาร์ตี้ลิสต์อันดับ ๕๐ หรือ ต้น ๕๐ แต่ “อภิสิทธิ์” โยกไปลงอันดับที่ ๙๓ โดยไม่แคร์คำขอร้อง
เหมือนกับว่า “พรรคประชาธิปัตย์” มีแต่ “อภิสิทธิ์” ใหญ่คนเดียวเช่นนั้น!!
ก้อชอบทำตัวใหญ่คับพรรค....คนดีๆ จึงพากันตีจาก?...เพราะเขาเซ็ง “มาร์ค”ขึ้นทุกวัน
คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////
วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
เยอรมันไฟเขียว แม้ว เข้าประเทศ-ผลประโยชน์มาก่อน !!?
ถ้าข่าวที่อ้างรายงานโดยสื่อเยอรมันระบุว่าทางการเยอรมันโดยกระทรวงการต่างประเทศนั้นได้ประกาศยกเลิกคำสั่งห้าม ทักษิณ ชินวัตร เข้าประเทศมาตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมา มันก็สะท้อนให้เห็นภาพหลายอย่างตามมา ทั้งในเรื่องการเมืองและผลประโยชน์ทางธุรกิจระหว่างประเทศ
หลังจากทักษิณ ชินวัตร ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินจำคุกเป็นเวลา 2 ปี ฐานใช้อำนาจโดยมิชอบขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในกรณีซื้อที่ดินผืนงามย่านรัชดาภิเษก โดยเขาหลบหนีไม่ยอมมารับฟังคำพิพากษาดังกล่าว ขณะเดียวกันยังถูกดำเนินคดีในข้อหาทุจริตอีกหลายคดี แต่จำต้องยุติลงชั่วคราวเนื่องจากหลบหนีหมายจับของศาล
จากนั้นทางการไทยก็ได้ยกเลิกหนังสือเดินทางทูต(พาสปอร์ตแดง) และติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดี ขณะเดียวกันมีหลายประเทศในยุโรปรวมทั้งสหรัฐอเมริกาสั่งห้ามเข้าประเทศ โดยเฉพาะ อังกฤษได้อายัดทรัพย์สินของเขารวมทั้งเงินฝากในธนาคารด้วย
สำหรับประเทศเยอรมันนั้นตามรายงานโดยสื่อต่างประเทศระบุว่าได้มีคำสั่งห้าม ทักษิณ เข้าประเทศเมื่อราวปี 2552 และล่าสุดเพิ่งมีรายงานว่าได้ยกเลิกคำสั่งดังกล่าวเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดีหากพิจารณาในรายละเอียดกรณียกเลิกคำสั่งห้ามเข้าประเทศของเยอรมันมันก็มีข้อน่าสังเกตหลายอย่างตามมา และถือว่าเป็นเรื่อง “ไม่ปกติ” อย่างแน่นอน โดยเฉพาะยังเป็นช่วงที่มีคาบเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ทางการเยอรมันนีทำการยึดอายัดเครื่องบินโบอิ้ง 737-400 จากกรณีบริษัทวอเตอร์ บาวน์ คู่กรณีที่ฟ้องเรียกค่าชดใช้จากรัฐบาลไทย จากเรื่องขัดแย้งกันเกี่ยวกับสัมปทานในการก่อสร้างทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่ากรณีที่เกิดขึ้นได้สร้างรอยร้าวต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในยุครัฐบาลรักษาการของ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
เพราะหลังจากนั้นก็มีการเชิญเอกอัครราชทูตเยอรมันมาประท้วง และมีแถลงการณ์ตอบโต้จากกระทรวงการต่างประเทศตามมา ซึ่งภาพก็เห็นชัดอยู่แล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลเยอรมันกับ รัฐบาลไทยในปลายยุคของ นายกฯ อภิสิทธิ์ เริ่มไม่ลงรอย
ประกอบกับก่อนหน้านี้หากจำกันได้ก็เคยมีรายงานว่ามีทีมทนายความของ ทักษิณ ชินวัตร เข้าไปเกี่ยวข้องเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวอีกด้วย แต่ต่อมาก็มีการปฏิเสธกันอย่างสิ้นเชิงเรื่องจึงเงียบหายไป อย่างไรก็ดีเมื่อล่าสุดมีรายงานข่าวชิ้นใหม่ก็คือ ทางการเยอรมันยกเลิกคำสั่งห้าม ทักษิณ เข้าประเทศ มันก็ย่อมนำมาปะติดปะต่อรวมกันได้ว่าทั้งสองกรณีน่าจะเชื่อมโยงกัน ส่วนจะเชื่อมโยงกันทางไหนก็ต้องมาวิเคราะห์กันทีละประเด็น
ถ้าพิจารณากันแบบรวบรัดตัดความแล้วก็ต้องเริ่มจากความสัมพันธ์ที่เริ่มเสื่อมทรามลงระหว่างรัฐบาลเยอรมันกับรัฐบาล อภิสิทธิ์ ในยุคปลาย เพราะหากย้อนไปฟังคำให้สัมภาษณ์ของนายกรัฐมนตรีที่หลุดปากมาว่าที่ผ่านมาบริษัทวอเตอร์บาวน์ พยามยาม “ทำทุกวิถีทาง” เพื่อขอให้รัฐบาลไทย “ชำระหนี้” ให้จงได้ ความหมายก็คือ “วิ่งเต้น” กันทุกวิถีทาง แต่ไม่สำเร็จ
ความหมายต่อมาก็คือ เมื่อวิ่งเต้นกับรัฐบาลหนึ่งไม่สำเร็จ ก็ต้องหาทางวิ่งเต้นกับรัฐบาลใหม่ ซึ่งทางการเยอรมันก็ย่อมรู้ข้อมูลดีอยู่แล้วไม่ต่างจากคนไทยว่าคนที่มีอำนาจและเป็น “เจ้าของ” ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตัวจริงก็คือ ทักษิณ ชินวัตร นั่นเอง มันจึงต้องมีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างประเทศในอนาคตหรือไม่
การเปิดไฟเขียวให้ ทักษิณ เข้าประเทศ มันก็เหมือนเป็นการปูทางไปสู่ความสัมพันธ์ทางด้านอื่นตามมาหรือไม่ เพราะรู้กันอยู่แล้วรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์กำลัง “ตกกระป๋อง” เพราะอย่างที่เข้าใจกันก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศส่วนใหญ่ล้วนตามมาด้วยข้อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ไม่ใช่อยู่บนพื้นฐาน หรือหลักการทางกฎหมาย หรือความยุติธรรมที่ตายตัวที่มักอ้างบังหน้าแต่อย่างใดไม่
กรณีที่เกิดขึ้นกับ ทักษิณ ที่เกิดขึ้น หากเป็นจริงตามรายงานข่าวต่างประเทศยืนยัน ประกอบกับความบาดหมางในเรื่องการยึดอายัดเครื่องบินโบอิ้ง 737 ที่มีบริษัทวอเตอร์บาวน์ มาเกี่ยวข้องนั้น มันก็สะท้อนให้เห็นว่าทางการเยอรมันได้เปลี่ยนแปลงท่าทีใหม่อย่างชัดเจนแล้ว และที่สำคัญก็คือเป็นการเลือกที่จะต่อรองผลประโยชน์กับรัฐบาลใหม่ที่ชี้นำโดย ทักษิณ ชินวัตร มากกว่า เพราะภาพที่ปรากฏให้เห็นมันจะมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้
ขณะเดียวกันมันก็อดคิดไม่ได้เหมือนกันว่า ที่ผ่านมารัฐบาลในยุคของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และภายใต้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่ชื่อ กษิต ภิรมย์ กว่าสองปี ที่ทำหน้าที่ก็ประสบความ “ล้มเหลว” ในทุกเรื่อง และกรณีเยอรมัน ถือว่าเกิดขึ้นล่าสุด !!
ที่มา: ผู้จัดการ
////////////////////////////////
วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
พล.อ.ไวพจน์ ผ่าทหาร-การเมือง ใช้ประโยชน์-ครอบงำ-ไร้สมดุล..!!?
ทหาร กองทัพไทย กับการเมืองไทยผูกติดมาตลอด ในหลายรูปแบบ ล่าสุดรัฐประหาร2549 ไล่รัฐบาล ทรท.ไป ปัจจุบันกับรัฐบาลใหม่ พท. จะเป็นเช่นไร
พลวัตการเมืองไทยในห้วงครึ่งทศวรรษมานี้ นับจากการรัฐประหารเที่ยวล่าสุดเมื่อปี 2549 ปฏิเสธไม่ได้ว่า "กองทัพ" เข้ามามีบทบาททางการเมืองสูงมาก และกลายเป็นจุดเปราะบางอันสำคัญของรัฐบาลชุดใหม่ที่นำโดยพรรคเพื่อไทย เพราะเป็นคู่ขัดแย้งกับทหารโดยตรง
ประเด็นที่เกี่ยวกับ "บทบาท" ที่เหมาะควรของทหาร และ"ระยะห่าง" หรือ "ความสัมพันธ์" ระหว่างกองทัพกับรัฐบาลควรเป็นอย่างไร เพื่อขับเคลื่อนการเมืองไทยต่อไปในทิศทางที่เหมาะสมตามระบอบประชาธิปไตยนั้น นับเป็นโจทย์ที่น่าค้นหาคำตอบไม่น้อยทีเดียว
พลเอกไวพจน์ ศรีนวล อดีตรองปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งผ่านงานการเป็นผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานความมั่นคง ทั้งผู้อำนวยการศูนย์รักษาความปลอดภัย(ศรภ.) และผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาให้กับหน่วยงานเดิมของเขา คือสำนักนโยบายและแผนกลาโหม ทั้งยังร่วมกับองค์กรเอกชนต่างประเทศจัดทำยุทธศาสตร์การปฏิรูปกองทัพสำหรับประเทศกำลังพัฒนาด้วย เพ่งมองภาพความเปราะบางนี้เอาไว้อย่างน่าสนใจ
พลเอกไวพจน์ ชี้ว่า ปัญหากองทัพหรือทหารเข้าไปมีบทบาททางการเมือง เกิดขึ้นกับประเทศกำลังพัฒนาแทบทุกประเทศ ไม่เฉพาะไทย สาเหตุประการหนึ่งเป็นเพราะกองทัพมีทรัพยากรบุคคลมาก จึงช่วยงานพัฒนาในประเทศที่ยังไม่พร้อมได้เป็นอย่างดี ซึ่งถ้าจำกัดบทบาทอยู่เพียงแค่นี้ก็จะไม่มีปัญหาอะไร
แต่สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาใหญ่ก็คือ เมื่อสถานการณ์การเมืองไม่มีเสถียรภาพ ฝ่ายการเมืองเองจึงพยายามใช้ทหารเป็นเครื่องมือ เมื่อเลือกใช้ทหาร ฝ่ายทหารก็ชอบ เพราะได้งบประมาณมากขึ้น แล้วก็แสดงบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ จนบางประเทศกลายเป็นการครอบงำฝ่ายการเมืองไปเลย ซึ่งเป็นสร้างปัญหามากกว่าช่วยแก้ปัญหา
ฉะนั้นทางออกที่ดีที่สุด พล.อ.ไวพจน์ บอกว่า ต้องสร้างสมดุลด้วยการ "ปฏิรูปกองทัพ" หรือ Military Reform ซึ่งสำหรับประเทศไทยก็คิดและทำมานานมากแล้ว แต่ไม่ค่อยมีความคืบหน้า
"สาเหตุที่การปฏิรูปกองทัพทำได้ไม่ค่อยดี เพราะ 1.การเปลี่ยนแปลงกองทัพเป็น Political Issue หรือประเด็นปัญหาทางการเมือง ซึ่งฝ่ายการเมืองต้องเตรียมพร้อมสำหรับการปรับเปลี่ยนด้วย คือต้องมี Political Will หรือเจตจำนงทางการเมืองที่ชัดเจน แน่วแน่ แต่บ้านเราฝ่ายการเมืองไม่เข้มแข็ง กลับใช้กองทัพเป็นเครื่องมือ กองทัพก็เอนจอย (enjoy - สนุกสนาน) เพราะได้อำนาจต่อรองเพิ่ม ทั้งงบประมาณ และสถานะ เนื่องจากกลายเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของการเมืองไปแล้ว เพราะฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงหรือปฏิรูปจึงไม่คืบหน้าเท่าที่ควร และจะไม่คืบหน้าต่อไปถ้าการเมืองยังไม่เข้มแข็งอยู่แบบนี้"
"2.กระบวนการกำหนดนโยบายยุทธศาสตร์ของกองทัพยังมีลักษณะยึดติดกับกรอบคิดแบบเดิมๆ ตั้งแต่ยุคสงครามเย็น ซึ่งกระบวนการกำหนดนโยบายยุทธศาสตร์ถูกชี้นำโดยประเทศมหาอำนาจ แม้จะยึดผลประโยชน์ชาติ หรือ National Interest แต่ทิศทางยังมีอคติ เพราะอยู่ภายใต้การชี้นำของมหาอำนาจและกลุ่มผลประโยชน์ จึงไม่ตอบสนองต่อผลประโยชน์ชาติแบบเต็มร้อย แต่กลับเป็นไปในลักษณะตอบสนอบเฉพาะกลุ่ม"
ในทัศนะของ พลเอกไวพจน์ เขาให้น้ำหนักไปที่กระบวนการกำหนดนโยบายยุทธศาสตร์เป็นอย่างมาก โดยเห็นว่าเป็นจุดอ่อนทั้งในระดับกองทัพเองและรัฐบาล เขาขยายความว่า ในระดับผู้นำกองทัพหรือนายทหารระดับสูงส่วนใหญ่ที่ผ่านมา แม้ทำให้กองทัพมีการเปลี่ยนแปลงก็จริง แต่เป็นการเปลี่ยนเฉพาะโครงสร้างการบริหารจัดการ ซึ่งถือว่าเป็นจุดอ่อน คือเมื่อเดินตามฝรั่ง ก็จะมุ่งเปลี่ยนแปลงเฉพาะโครงสร้างการบริหารจัดการ ซึ่งเกิดผลน้อย หากจะเปลี่ยนแปลงให้ได้ผลจริงๆ ต้องเปลี่ยนคู่กัน 2 แนวทาง คือ โครงสร้างการบริหารจัดการ และทิศทางการก้าวเดินซึ่งต้องเปลี่ยนด้วย
เมื่อหันไปพิจารณาในระดับการเมืองหรือรัฐบาล จะเห็นว่าฝ่ายการเมืองเองก็ไม่มีกรอบคิดทิศทางที่ชัดเจน ใครขึ้นเป็น รมว.กลาโหม ก็ปรับโครงสร้างนิดหน่อย ซื้ออาวุธนิดหน่อย ก็ถือว่าได้ปฏิรูปกองทัพแล้ว ทั้งๆ ที่เรายังมีจุดอ่อนการปฏิรูปเพื่อทำให้เกิดสมดุลระหว่างกองทัพกับการเมืองอยู่มาก
"นายทหารระดับสูงส่วนใหญ่ในบ้านเรามองแนวคิดแต่ Military Strategy (ยุทธวิธีทางทหาร) คือใช้กำลัง แล้วก็จัดซื้ออาวุธ ถามว่าเดินถูกทางไหม มันก็ถูก แต่ถ้าจะแก้ปัญหาให้ได้ต้องมองให้เหนือกว่าเรื่องยุทธวิธีทางทหาร คือต้องมองไปที่ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง หรือ Security Strategy"
อย่างไรก็ดี พลเอกไวพจน์ ชี้ว่าสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะในประเทศไทย แต่เกิดกับประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศ เพราะในประเทศเหล่านั้นประชาชนจะศรัทธากองทัพมาก และกองทัพมีอิทธิพลมาก เมื่อเสนอยุทธศาสตร์อะไรไป ผู้กุมนโยบายด้านความมั่นคงก็ไม่กล้าเปลี่ยนแปลง ปัญหาจึงแก้ไม่ได้เพราะมองเฉพาะยุทธวิธีทางทหาร
"ยกตัวอย่างปัญหากับประเทศเพื่อนบ้าน ถ้ามองแค่กรอบ Military Strategy ก็สั่งให้เอากำลังไปวาง แต่ไม่ได้แก้ไขปัญหาอะไรเลย จุดอ่อนคือกระบวนการกำหนดนโยบายยุทธศาสตร์ไม่ได้รับการพัฒนา ประชาชนไม่สามารถหวังพึ่งกองทัพให้แก้ปัญหาชาติได้ เพราะแก้ได้แค่ระดับยุทธวิธี จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมากองทัพแก้ปัญหาใหญ่ๆ ของชาติไม่ได้เลย รวมทั้งปัญหาภาคใต้ด้วย เพราะมองแต่ยุทธวิธีทางทหาร เมื่อผนวกกับการเมืองก็อ่อนแอ ต้องการใช้ทหารเป็นเครื่องมือ จึงยิ่งไม่กล้าปรับเปลี่ยน ทำให้เจตจำนงทางการเมืองไม่แจ่มชัด ถ้าเป็นอย่างนี้ก็พัฒนาไม่ได้"
พลเอกไวพจน์ เสนอว่า การจะก้าวข้ามปัญหานี้ องค์กรเหนือกองทัพต้องแสดงบทบาทมากขึ้น อาทิ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และฝ่ายการเมือง จะมาใช้กองทัพแบบเดิมไม่ได้อีกแล้ว มิฉะนั้นปัญหาจะทับถม
"ปัญหาของกองทัพกับปัญหาของฝ่ายการเมือง จริงๆ แล้วก็เป็นเรื่องเดียวกัน คือการกำหนดนโยบายยุทธศาตร์ในการแก้ไขปัญหาของประเทศ ไม่สามารถทำให้เกิดประโยชน์กับประชาชนส่วนใหญ่หรือขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าได้ ปัญหาต่างๆ จึงแก้ไม่ได้อย่างเป็นรูปธรรม ถ้าไม่รีบแก้ตรงจุดที่เป็นต้นเหตุนี้ การก้าวเดินต่อไปจะยิ่งไร้ทิศทาง"
"ที่ผ่านมาสภาพัฒน์ (สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) ยังเอาปัญหาเป็นตัวตั้ง แล้วสร้างการมีส่วนร่วมด้วยการจัดเวทีไปฟังปัญหา จากนั้นก็นำประเด็นที่รับฟังมากำหนดเป็นนโยบาย วิธีการแบบนี้แม้จะถูกต้องแต่ไม่ใช่การแก้ปัญหาระดับชาติ เพราะปัญหามันไม่ได้ง่ายแบบเดิมแล้ว ไม่เหมือนยุคสงครามเย็น เนื่องจากปัญหามีความซับซ้อนสูง ไม่ใช่เรื่อง 1+1 = 2 อีกต่อไป"
"อย่างเช่นการจะสร้างความปรองดอง แล้วบอกว่าคนในชาติมีแต่ความแตกแยก จริงๆ แล้วแตกแยกไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นผลกระทบ ฉะนั้นต้องมองย้อนกลับไปว่าสาเหตุของความแตกแยกเกิดจากอะไร ด้วยเหตุนี้การโฆษณาให้ปรองดองจึงไม่เกิดผลอะไร เพราะต้องเข้าใจและหาวิธีแก้ปัญหาที่แก่น"
"เช่นเดียวกับนโยบายประชานิยมของพรรคการเมือง ประชาชนชอบเพราะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ในระยะสั้น แต่ไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ฉะนั้นจึงใช้วิธีเดิมๆ ต่อไปอีกไม่ได้ เรากำลังจะมีรัฐบาลชุดใหม่ หลังจากนี้ก็จะมีการแถลงนโยบาย และทำแผนปฏิบัติ แต่ถ้ายังเป็นแผนเดิม ทิศทางก็เดิมๆ ก็จะไม่มีทางแก้ปัญหาชาติได้สำเร็จ"
ส่วนการปฏิรูปกองทัพด้วยการปรับลดขนาดลงเพื่อให้มีความคล่องตัวและพัฒนาประสิทธิภาพได้ง่ายขึ้นนั้น พล.อ.ไวพจน์เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ เพราะภัยคุกคามในลักษณะที่เป็น Traditional Treat (ภัยคุกคามแบบเก่า) ในยุคสงครามเย็น ได้เปลี่ยนเป็น Nontraditional Treat หรือภัยคุกคามแบบใหม่ไปแล้ว
"การต่อสู้กับภัยคุกคามแบบเดิม คือการรบด้วยกำลังทหาร ใครที่มีกำลังพลมากกว่า อาวุธมากกว่าก็เป็นฝ่ายชนะนั้น ปัจจุบันแทบจะหมดไปแล้ว ทุกวันนี้ทุกประเทศพยายามเป็นมิตรกัน มีการรวมกลุ่มกัน เช่น อาเซียน และมีองค์กรระหว่างประเทศคอยแก้ไขความขัดแย้ง อาทิ องค์การสหประชาชาติ ฉะนั้นโอกาสที่จะเกิดการรบขนาดใหญ่มีน้อยมาก"
"ส่วนภัยคุกคามรูปแบบใหม่มี 4 เรื่องหลัก คือ ยาเสพติด แรงงานข้ามชาติ ภัยพิบัติ และก่อการร้าย จึงต้องถือว่ารูปแบบเปลี่ยนไป การลดกำลังพลของกองทัพลงจึงเป็นเหตุเป็นผล ปัจจุบันเทคโนโลยีมีมากขึ้น สามารถใช้แทนได้ และยังเป็นการป้องปรามทางยุทธศาสตร์ โดยไม่ต้องใช้กำลังด้วย เรื่องแบบนี้เราก็เคยคิดกัน แต่อาจจะละเลยไป"
พลเอกไวพจน์ บอกด้วยว่า ระบบป้องปรามทางยุทธศาสตร์ก็เช่น การพัฒนาเรื่องการรบร่วม แทนการจัดซื้ออาวุธบางประเภท เช่น ปืนเล็ก ซึ่งไม่ได้ตอบสนองอะไรในทางยุทธศาสตร์ ที่สำคัญต้องเข้าใจว่าภัยคุกคามรูปแบบใหม่ทุกเรื่องเกี่ยวข้องกับประชาชน จึงต้องทำงานร่วมกับภาคประชาชนและเอ็นจีโอจึงจะประสบความสำเร็จ
ทั้งหมดนี้คือทิศทางที่ควรจะเป็นของกองทัพในความเห็นของอดีตขุนพลด้านความมั่นคงอย่าง พล.อ.ไวพจน์ แต่การปรับบทบาทจะเป็นจริงได้หรือไม่ ต้องย้อนกลับไปถามฝ่ายการเมืองด้วยว่าเมื่อไรจะเลิกใช้กองทัพเป็นเครื่องมือเสียที!
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
------------------------------------
วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
ประยุทธ์. ต้องเคลียร์เรื่อง ฮ.ตก ก่อนซื้อล็อตใหม่ 30 ลำ !!?
ผ่าประเด็นร้อน
จะเป็นเพราะต้องการพลิกวิกฤตเป็นโอกาสอย่างที่มีความพยายามเปรียบเทียบให้เห็นภาพกรณีที่ ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เริ่มถูกหลายฝ่ายเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพบกตกถึง 3 ลำในเวลาไล่เลี่ยกันเพียง 8 วันเท่านั้น และเกิดอุบัติเหตุในภารกิจเดียวกัน ในบริเวณใกล้เคียงกัน
อุบัติเหตุทั้งสามครั้งทำให้มีนายทหารระดับสูงคือ พล.ต.ตะวัน เรื่องศรี ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 9 เสียชีวิต รวมไปถึง นักบิน ช่างเครื่อง ทหารและพลเรือนต้องเสียชีวิตรวมแล้ว 17 ศพ ซึ่งถือว่าเป็นบุคลากรอันทรงคุณค่าจนประเมินไม่ได้
ในครั้งแรกที่เริ่มเกิดอุบัติเหตุกับเครื่องเฮลิคอปเตอร์ประเภท “ฮิวอี้” ทำให้ทหารเสียชีวิตรวม 5 ศพ ก็ค่อนข้างสรุปตรงกันว่าเป็นเพราะสภาพอากาศปิด ไม่อำนวยแม้เศร้าสลดอย่างไรก็พอทำใจยอมรับได้ว่านี่คืออุบัติเหตุเหลือวิสัย แต่ถัดมาก็มาเกิดซ้ำขึ้นอีกกับเฮลิคอปเตอร์ “แบล็กฮอร์ค” ที่ถือว่าทรงประสิทธิภาพที่สุดที่กองทัพบกนำเข้าประจำการ สร้างความสูญเสียอีก 9 ศพ และล่าสุดเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมก็มาเกิดอุบัติเหตุกับเครื่องเฮลิคอปเตอร์ เบลล์ 212 เสียชีวิตอีก 3 ศพ รอดตายราวปาฏิหาริย์ อีก 1 นาย แต่ก็บาดเจ็บสาหัส
หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่าสาเหตุมาจากอะไรกันแน่ ทำไมมันถึงได้เกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อนได้ถึงเพียงนี้ แม้หลายคนยอมรับตรงกันว่าภารกิจทั้งกู้ภัยช่วยเหลือในเหตุการณ์ดังกล่าวต่อเนื่องกันมันสุดหิน สุดอันตราย ยากลำบากอยู่ในป่าดงดิบที่บุคคลทั่วไปจะทำได้ก็ตาม แต่ประเด็นก็คือ ต้องสอบสวนหาสาเหตุให้กระจ่าง เพราะเราไม่ต้องการให้ทหาร โดยเฉพาะทหารชั้นผู้น้อย หรือทหารระดับรองลงมาไปเสี่ยง เนื่องจากเป็นความสูญเสียที่ไม่ต้องการให้เกิดขึ้นแบบนี้อีกแล้ว
แม้ว่าในเบื้องต้นจะสรุปค่อนข้างตรงกันว่าสาเหตุน่าจะมาจากอุบัติเหตุ สภาพอากาศเลวร้าย แต่อีกด้านหนึ่งมันก็อดไม่ได้ที่ต้อง “สะกิดเตือน” กันดังๆไปถึงผู้บัญชาหารทหารบก ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยงานสั่งสอบสวนให้ละเอียดอีกทางหนึ่งด้วย เพราะจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำซ้อนมันก็เป็นธรรมดาที่ทำให้ทหาร นักบินเกิดความหวดผวากันบ้าง ไม่เว้นแม้แต่คนไทยทั่วไปที่ช็อกและสลดหดหู่จนบอกไม่ถูก
อย่างไรก็ดีแทนที่ ผู้บัญชาการทหารบกจะเปิดใจกว้างยอมรับให้มีการตรวจสอบและสอบสวน หาสาเหตุอย่างเต็มที่เพื่อสร้างความสบายใจกันทุกฝ่าย ที่สำคัญเป็นการสร้างมาตรการรักษาความปลอดภัยให้กับกำลังพลที่ต้องใช้อากาศยานของกองทัพบกปฏิบัติภารกิจ แต่นี่ตรงกันข้ามกลับแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราด กล่าวหาว่าคนที่ออกมาวิจารณ์ดังกล่าวมีเจตนาทำให้กองทัพเสียหายไปเสียอีก
อย่างไรก็ดีสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่าคำพูดและพฤติกรรมของ ผู้บัญชาการทหารบกคนนี้สวนทางกัน เพราะขณะกล่าวตอบโต้คนที่เรียกร้องให้มีการสอบสวนหาสาเหตุในทุกด้านเพื่อความปลอดภัยของกองกำลังพลนั้น ในทางลับกลับสั่งระงับการบินของเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพบกเป็นการชั่วคราว ขณะเดียวกันตัวเองก็ยังไม่กล้าใช้เป็นพาหนะเดินทางไปประกอบภารกิจ ซึ่งปรากฏให้เห็นเป็นตัวอย่างก็คือเมื่อสองสามวันก่อน พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ถึงกับเดินทางโดยรถยนต์ไปร่วมงานศพ นายทหารที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุดังกล่าว ที่จังหวัดกาญจนบุรี
สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นแล้วว่า แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่มั่นใจในความปลอดภัย ถึงกับไม่กล้าขึ้นบิน เพราะถ้ามั่นใจก็ต้องแสดง “ภาวะผู้นำ” ปลุกขวัญทหารแบบนี้ ไม่ใช่มาแสดงอาการกราดเกรี้ยวต่อหน้าสื่อ แล้วบอกว่านี่คือการแสดงภาวะผู้นำ ซึ่งถือว่าแปลกพิลึก
นอกจากนี้สิ่งที่ต้องกล่าวถึงก็คือมีการแสดงให้เห็นว่าคิดจะใช้จังหวะแบบนี้เตรียมเสนอของบประมาณในปี 2555 กับรัฐบาลใหม่เพื่อจัดซื้อเฮลิคอปเตอร์ล็อตใหม่จำนวน 30 ลำ ใช้งบประมาณนับหมื่นล้านบาท ซึ่งหากว่ากันด้วยความเป็นธรรมมันก็สมควรตั้งงบซื้อ หรือปรับปรุงกันอย่างขนานใหญ่ แต่คำถามก็คือในฐานะผู้บัญชาการทหารบกจะต้อง “เคลียร์” ทุกข้อสงสัยให้กระจ่างเสียก่อน เพราะถ้าบริสุทธิ์ใจ ก็ไม่เห็นต้องแคร์ ตรงกันข้ามดีเสียอีกที่ทุกฝ่ายมีความกระตือรือร้น เป็นเจ้าของกองทัพ เพราะกองทัพเป็นของประชาชน เป็นหลักการปกติทั่วไปอยู่แล้ว
ดังนั้นหากต้องทำให้ทุกอย่างตรงประเด็นก่อนที่จะไปเรื่องอื่นให้เลยเถิดถึงเรื่องอื่น พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะผู้บัญชาการทหารบกจะต้องสร้างภาวะผู้นำอย่างแท้จริงด้วยการสอบสวนหาข้อเท็จจริงโดยเร็วและโปร่งใส เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย หรือหากเป็นไปได้น่าจะถึงเวลา “สังคายนา” กันภายในกันสักครั้ง เพราะนี่แหละคือการ “พลิกวิกฤตเป็นโอกาสอย่างแท้จริง !!
ที่มา: ผู้จัดการ
*************************
วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
อภิวันท์.แซงขุนค้อนจ่อซิว ประธานสภา พายัพ.ยันภายใน 10 ส.ค.เห็นหน้า ครม.ครบแน่ !!?
นายพายัพ ชินวัตร ประธานภาคอีสาน พรรคเพื่อไทย กล่าวเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ถึงกรณีที่นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย ระบุว่าหาก ส.ส.ต้องการเป็นรัฐมนตรี จะต้องไปวิ่งเต้นกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในต่างประเทศว่า เรื่องตำแหน่งรัฐมนตรีนั้น บอกได้เลยว่าคนที่ไปวิ่งเต้นไม่ได้เป็นแน่นอน เพราะตอนนี้เรามีหมูอยู่ หากไก่จะวิ่งให้ได้เป็นหมู คงเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่หมูที่เรามีอยู่ตอนนี้ ยังเป็นเนื้อสันหรือสามชั้นหรือกระดูกอยู่ เราต้องไปเลือกให้เหมาะสมอีกครั้ง ซึ่งการเสนอชื่อรัฐมนตรีในส่วนของภาคอีสานนั้นมีรูปแบบการเสนอชื่ออยู่ 2 แบบ คือ 1.การเสนอไปแบบยกตะกร้า เพื่อให้พรรคได้มีการคัดเลือก หรือ 2.เสนอไปแบบขนมชิ้นอร่อยๆ 2-3 ชิ้นเพื่อให้พรรคได้ทดลองเลย
นายพายัพกล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าในการจัด ครม.นั้นขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนมากนัก หากผู้สื่อข่าวต้องการรู้ถึงตำแหน่งใน ครม.ทั้งหมดขอให้มาถามตนในวันที่ 10 สิงหาคม เพราะเท่าที่ได้ประเมินระยะเวลา หากเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 1 สิงหาคม ก็น่าจะได้มีการเลือกตัวประธานสภาผู้แทนราษฎรที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่เกินวันที่ 3 สิงหาคม จากนั้นในวันที่ 4-5 สิงหาคม น่าจะเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีได้ หลังจากนั้นก็จะเป็นการจัด ครม. ซึ่งน่าจะเห็นหน้าตา ครม.อย่างชัดเจนไม่เกินช่วงวันที่ 8-10 สิงหาคม
ขณะที่แหล่งข่าวจากแกนนำพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า แกนนำพรรคเพื่อไทย ได้ประเมินระยะเวลาในการเตรียมการจัดตั้งรัฐบาล โดยหลังจากรัฐพิธีเปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งน่าจะเป็นวันที่ 1 สิงหาคมแล้ว น่าจะสามารถเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรได้ไม่เกินวันที่ 3-4 สิงหาคม จากนั้นวันที่ 7-8 สิงหาคม น่าจะสามารถเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรี จากนั้นก็จะมีความชัดเจนเรื่องคณะรัฐมนตรี
แหล่งข่าวจากแกนนำพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า สำหรับการจัดสรรตำแหน่งต่างๆ ในส่วนของพรรคเพื่อไทยนั้น ล่าสุดเริ่มมีความชัดเจนว่าตำแหน่งในฝ่ายนิติบัญญัติ ทั้งประธานสภาผู้แทนราษฎร และรองประธานสภาผู้แทนราษฎรทั้ง 2 คน จะเป็นคนของพรรคเพื่อไทยทั้งหมด โดยตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร จากเดิมที่มีชื่อนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ส.ส.ขอนแก่น พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคเพื่อไทย เป็นแคนดิเดตนั้น นายวิทยาได้แสดงความจำนงกับแกนนำพรรคเพื่อไทยขอรับตำแหน่งรัฐมนตรีแล้ว ทำให้เหลือเพียงนายสมศักดิ์กับ พ.อ.อภิวันท์ ซึ่งทำให้ พ.อ.อภิวันท์ที่ได้รับแรงสนับสนุนจาก ส.ส.ในพรรคเพื่อไทยมากกว่านายสมศักดิ์แรงขึ้นมาในช่วงโค้งสุดท้าย และกลายเป็นแคนดิเดตอันดับที่ 1 ส่วนนายสมศักดิ์ แม้จะมีประสบการณ์และชื่อเสียงจากการที่เคยดำรงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร แต่มีเสียงคัดค้านจาก ส.ส.จำนวนมาก จึงอาจได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกรดซีแทน
แหล่งข่าวระบุว่า สำหรับตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรนั้น ขณะนี้ยังอยู่ในภาวะฝุ่นตลบ โดยมีชื่อของ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ที่มีบทบาทในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรมาตลอดระยะเวลาที่เป็น ส.ส. โดยมีคุณสมบัติเด่นเรื่องความแม่นยำเรื่องข้อบังคับและเกมการเมือง รวมไปถึงนายพีระพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร พรรคเพื่อไทย และนายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย ที่แม่นยำเรื่องกฎหมายและข้อบังคับ และเป็นตัวแทน ส.ส.ภาคอีสาน ที่จะมารับโควตาในส่วนของภาคอีสาน
แหล่งข่าวระบุว่า สำหรับความเคลื่อนไหวในการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์นั้น มีความเคลื่อนไหวล่าสุด พบว่ามีชื่อนายฐานิส เทียนทอง ส.ส.สระแก้ว พรรคเพื่อไทย หลานชายนายเสนาะ เทียนทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย มีชื่อแรงเข้ามาแคนดิเดตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แข่งกับนายจารุพงษ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ที่มีรายชื่อแคนดิเดตตำแหน่งนี้เพียงคนเดียวมาตลอด เนื่องจากกระทรวงแรงงาน เคยเป็นกระทรวงในโควตาของพรรคประชาราช ในรัฐบาลพรรคพลังประชาชน โดยมีนางอุไรวรรณ เทียนทอง ภรรยานายเสนาะ เป็นรัฐมนตรี
ที่มา : มติชนออนไลน์
*************************
นายพายัพกล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าในการจัด ครม.นั้นขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนมากนัก หากผู้สื่อข่าวต้องการรู้ถึงตำแหน่งใน ครม.ทั้งหมดขอให้มาถามตนในวันที่ 10 สิงหาคม เพราะเท่าที่ได้ประเมินระยะเวลา หากเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 1 สิงหาคม ก็น่าจะได้มีการเลือกตัวประธานสภาผู้แทนราษฎรที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่เกินวันที่ 3 สิงหาคม จากนั้นในวันที่ 4-5 สิงหาคม น่าจะเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีได้ หลังจากนั้นก็จะเป็นการจัด ครม. ซึ่งน่าจะเห็นหน้าตา ครม.อย่างชัดเจนไม่เกินช่วงวันที่ 8-10 สิงหาคม
ขณะที่แหล่งข่าวจากแกนนำพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า แกนนำพรรคเพื่อไทย ได้ประเมินระยะเวลาในการเตรียมการจัดตั้งรัฐบาล โดยหลังจากรัฐพิธีเปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งน่าจะเป็นวันที่ 1 สิงหาคมแล้ว น่าจะสามารถเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรได้ไม่เกินวันที่ 3-4 สิงหาคม จากนั้นวันที่ 7-8 สิงหาคม น่าจะสามารถเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรี จากนั้นก็จะมีความชัดเจนเรื่องคณะรัฐมนตรี
แหล่งข่าวจากแกนนำพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า สำหรับการจัดสรรตำแหน่งต่างๆ ในส่วนของพรรคเพื่อไทยนั้น ล่าสุดเริ่มมีความชัดเจนว่าตำแหน่งในฝ่ายนิติบัญญัติ ทั้งประธานสภาผู้แทนราษฎร และรองประธานสภาผู้แทนราษฎรทั้ง 2 คน จะเป็นคนของพรรคเพื่อไทยทั้งหมด โดยตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร จากเดิมที่มีชื่อนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ส.ส.ขอนแก่น พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคเพื่อไทย เป็นแคนดิเดตนั้น นายวิทยาได้แสดงความจำนงกับแกนนำพรรคเพื่อไทยขอรับตำแหน่งรัฐมนตรีแล้ว ทำให้เหลือเพียงนายสมศักดิ์กับ พ.อ.อภิวันท์ ซึ่งทำให้ พ.อ.อภิวันท์ที่ได้รับแรงสนับสนุนจาก ส.ส.ในพรรคเพื่อไทยมากกว่านายสมศักดิ์แรงขึ้นมาในช่วงโค้งสุดท้าย และกลายเป็นแคนดิเดตอันดับที่ 1 ส่วนนายสมศักดิ์ แม้จะมีประสบการณ์และชื่อเสียงจากการที่เคยดำรงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร แต่มีเสียงคัดค้านจาก ส.ส.จำนวนมาก จึงอาจได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกรดซีแทน
แหล่งข่าวระบุว่า สำหรับตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรนั้น ขณะนี้ยังอยู่ในภาวะฝุ่นตลบ โดยมีชื่อของ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ที่มีบทบาทในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรมาตลอดระยะเวลาที่เป็น ส.ส. โดยมีคุณสมบัติเด่นเรื่องความแม่นยำเรื่องข้อบังคับและเกมการเมือง รวมไปถึงนายพีระพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร พรรคเพื่อไทย และนายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย ที่แม่นยำเรื่องกฎหมายและข้อบังคับ และเป็นตัวแทน ส.ส.ภาคอีสาน ที่จะมารับโควตาในส่วนของภาคอีสาน
แหล่งข่าวระบุว่า สำหรับความเคลื่อนไหวในการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์นั้น มีความเคลื่อนไหวล่าสุด พบว่ามีชื่อนายฐานิส เทียนทอง ส.ส.สระแก้ว พรรคเพื่อไทย หลานชายนายเสนาะ เทียนทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย มีชื่อแรงเข้ามาแคนดิเดตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แข่งกับนายจารุพงษ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ที่มีรายชื่อแคนดิเดตตำแหน่งนี้เพียงคนเดียวมาตลอด เนื่องจากกระทรวงแรงงาน เคยเป็นกระทรวงในโควตาของพรรคประชาราช ในรัฐบาลพรรคพลังประชาชน โดยมีนางอุไรวรรณ เทียนทอง ภรรยานายเสนาะ เป็นรัฐมนตรี
ที่มา : มติชนออนไลน์
*************************
การกลับมาของผู้สมรู้ร่วมคิดก่อการรัฐประหาร !!?
ไม่ว่านายเทพไทหรือพรรคประชาธิปัตย์จะพูดอย่างไร แต่คนเสื้อแดงกลับมีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวยิ่งกว่าแต่ก่อน เพราะการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องของคนเสื้อแดงสามารถช่วยให้รัฐบาลใหม่ซึมทราบประเภทอุดมคติที่ชอบด้วยหลักการ ซึ่งมักจะถูกลืมเลือนไปในระหว่างการทำงานทอย่างหนักของการเมืองในรูปแบบรัฐสภา ในขณะเดียวกัน คนเสื้อแดงจำเป็นที่จะต้องตื่นตัวเพื่อต่อต้านความพยายามของกองทัพ ศาลและพรรคประชาธิปัตย์ที่จ้องจะทำลายหรือล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
เป็นที่น่าสังเกตว่า นายเทพไทเรียกคนเสื้อแดงว่าเป็น “มวลชนกดดันนอกสภา” ซึ่งเป็นพลังที่ไม่มีที่ให้ยืนในระบอบประชาธิปไตย ในขณะเดียวกันก็เรียกร้องให้ยุบพรรคเพื่อไทย แต่พรรคประชาธิปัตย์เอง ก็เข้าร่วมกับกิจกรรมการเมืองนอกสภา ผ่านทางตุลาการที่แทรกแซงกิจการการเมือง ตามที่นายจรัล ดิษฐาอภิชัยได้อธิบายไว้ในบทความล่าสุดของเขาว่า การบังคับใช้รัฐธรรมนูญปี 2550 แทนที่รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนปี 2540 เป็นไปเพื่อเปิด “ช่องทางประตูหลัง” หลายช่องให้กับกลุ่มอำมาตย์ เพื่อเปลี่ยนและทำลายผลการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย โดยถอดถอนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและยุบพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้ง ดังนั้น จึงไม่ได้หมายความว่าผู้คบคิดแผนการรัฐประหารกลับบ้านเข้าค่ายทหารและยอมแพ้ แต่พวกเขาเพียงเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อสร้างแผนการที่ซับซ้อนมากขึ้น หาผลประโยชน์จากรัฐธรรมนูญที่มีตำหนิไม่มีความเป็นประชาธิปไตย และใช้การเมืองควบคุมศาลเพื่อแทรกแซงและสอดแทรกกระบวนการทางประชาธิปไตย
ในขณะที่พรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาเป็นครั้งที่ห้าติดต่อกัน แต่มันชัดเจนว่าหนทางสู่ประชาธิปไตยยังอีกยาวไกล กลุ่มอำมาตย์ไทยยังคงทีวิธีการหลากหลาย นับตั้งแต่การตั้งข้อหาทางกฎหมายที่มีแรงจูงใจทางการเมืองไปจนถึงการทำรัฐประหารโดยกองทัพเพื่อกำจัดรัฐบาลใหม่ แม้ว่าพรรคเพื่อไทยจะถูกปล่อยให้เป็นรัฐบาลในช่วงระยะเวลาหนึ่งเพื่อทำการปฏิรูปในสิ่งที่จำเป็น แต่การคัดค้านของศาลและการที่กองทัพไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของพลเรือน เป็นไปได้ว่าจะมีการขัดขวางความพยายามในการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เขียนโดยรัฐบาลทหารในปี 2550 การยกเลิกข้อจำกัดของเสรีภาพส่วนบุคคล และสอบสวนการสังหารหมู่ของประชาชนทั้ง 92 รายเมื่อปีที่แล้ว
เมื่อหลายเดือนที่แล้ว เราได้เตือนถึง “ภัยรัฐประหารยุคใหม่” ที่กำลังถักทอขึ้นเพื่อพยายามปกป้องรักษาอำนาจของกลุ่มอำมาตย์ ผ่านทางการข่มขู่และใช้สถาบันรัฐที่สำคัญเป็นเครื่องมือ “ภัยรัฐประหารยุคใหม่”ขัดขวางระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทยหลายครั้งก่อนหน้านี้ แม้แต่ภายหลังที่ประชาชนไทยขับไล่เหล่านายพลออกจากอำนาจในปี 2516 และ 2519 กลุ่มอำมาตย์ยังหาทางตะกุยตะกายกลับมา โดยการใช้ความวุ่นวายที่ร้ายแรง (ในยุค70) หรือควบคุมกระบวนการทางการเมือง (ในกลางยุค90) ”ภัยรัฐประหารยุคใหม่” ล่าสุดเกิดขึ้นในปี 2551 โดยการกระทำของกลุ่มพันธมิตรและการไม่กระทำการในหน้าที่ของกองทัพ และทำให้รัฐบาลพรรคพลังประชาชนกลายเป็นอัมพาต รวมถึงวางรากฐานให้กับการสอดแทรกของศาลรัฐธรรมนูญ เกือบสองเดือนก่อนที่พรรคพลังประชาชนจะถูกยุบ อดีตนายรัฐมนตรี นายอนันต์ ปัญญารชุนอธิบายให้เจ้าหน้าที่ทูตสหรัฐอเมริกาฟังถึงสิ่งที่กำลังจะถูกเปิดเผยออกมา โดยสิ่งนั้นจะ “ไม่ใช่รัฐประหารแบบตามที่ประชาคมโลกเข้าใจ”
นี่ไม่ใช่ช่วงเวลาที่จะประกาศว่าภารกิจได้สำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว เหมือนที่สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์อย่างนายเทพไท เสนพงศ์แนะนำ นายเทพไทไม่ใช่สามารถอ้างศีลธรรมสูงส่งในขณะที่เขายังคงทำสิ่งที่เลวร้ายอย่างที่สุด เขาควรจะยอมรับผลการเลือกตั้งและเลิกสร้างความอับอายให้กับตนเองและพรรคของเขา หากประเทศไทยยังไม่บรรลุการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตย ซึ่งได้ดำเนินมาเกือบ 80 ปี ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะ เราพึงพอใจกับเหตุการณ์อดีตในแต่ละครั้งที่เราก้าวข้ามมามากเกินไป ซึ่งทำให้กลุ่มอำมาตย์ใช้หาผลประโยชน์ด้วยการยึดอำนาจที่พวกเขาถูกบังคับให้สละก่อนหน้านี้กลับมา การเคลื่อนไหวต่อไปเพื่อประชาธิปไตยคือทางเดียวที่คนเสื้อแดงจะการันตีว่า ในที่สุดเราจะได้รับเสรีภาพที่ประชาชนหลายรายได้เสียสละชีวิตเพื่อให้ได้มา แทนที่จะรู้สึกพึงพอใจ นี่คือเวลาที่เราจะพยายามขึ้นเป็นสองเท่าเพื่อทำภารกิจของเราให้สำเร็จลุล่วง
Read more from ประเทศไทย, โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม
วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
อภิวันท์ลั่นไม่รับตำแหน่งรองปธ.สภา หนุนบิ๊กจิ๋ว-สำเภานั่ง กห.
พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะอดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 ให้สัมภาษณ์ถึงการคัดสรรผู้ดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรว่า พรรคได้มีมติมอบหมายให้นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรี เป็นผู้คัดเลือก ทั้งนี้ จะมีการพิจารณาจากบุคคลภายในพรรคก่อน และทางกลุ่มนปช.นั้นก็ไม่ได้กดดันหรือเรียกร้องให้ต้องมีส.ส.ในกลุ่ม นปช.เข้าไปดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี หรือตำแหน่งอื่นๆ ด้วย อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวแล้วหากพรรคมอบหมายให้ดำรงตำแหน่งใดก็พร้อมที่จะทำงาน แต่คงจะไม่ใช่ตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเรื่องนี้น่าจะมีความชัดเจนภายใน 3-4 วันนี้
พ.อ.อภิวันท์ ยังกล่าวถึงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมด้วยว่า ต้องเป็นผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญงานของกองทัพเป็นอย่างดี ทั้งนี้ในพรรคเพื่อไทยก็มีบุคคลหลายคนที่มีความเหมาะสม อาทิ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา และพล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการบริหารพรรค ส่วนคนนอกซึ่งเคยร่วมรัฐบาลมาแล้วจะมีโอกาสมาดำรงตำแหน่งรมว.กลาโหมหรือไม่นั้น ส่วนตัวแล้วเชื่อว่าเขาคงจะไม่รับตำแหน่ง เพราะแนวนโยบายนั้นแตกต่างกัน แต่ถ้าเป็นคนนอกอย่างพล.อ.สำเภา ชูศรี และพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นั้นถือว่าเหมาะสม
ที่มา.เนชั่น
***********************
พ.อ.อภิวันท์ ยังกล่าวถึงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมด้วยว่า ต้องเป็นผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญงานของกองทัพเป็นอย่างดี ทั้งนี้ในพรรคเพื่อไทยก็มีบุคคลหลายคนที่มีความเหมาะสม อาทิ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา และพล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการบริหารพรรค ส่วนคนนอกซึ่งเคยร่วมรัฐบาลมาแล้วจะมีโอกาสมาดำรงตำแหน่งรมว.กลาโหมหรือไม่นั้น ส่วนตัวแล้วเชื่อว่าเขาคงจะไม่รับตำแหน่ง เพราะแนวนโยบายนั้นแตกต่างกัน แต่ถ้าเป็นคนนอกอย่างพล.อ.สำเภา ชูศรี และพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นั้นถือว่าเหมาะสม
ที่มา.เนชั่น
***********************
สถานทูตเยอรมันประจำประเทศไทย ยืนยัน ไทยต้องชำระค่าชดเชยตามคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการ
สถานทูตเยอรมันประจำประเทศไทย ออกแถลงการณ์ยืนยัน คำตัดสินของศาลเป็นอันสิ้นสุด และจะไม่มีการสืบพยานใดๆอีกที่จะเปลี่ยนแปลงคำตัดสินดังกล่าว วอนประเทศไทยชำระเงินที่ค้างไว้เพื่อคงความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม ที่ผ่านมา สถานทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ ยืนยันคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศที่สั่งให้ประเทศไทยจ่ายค่าชดเชยจำนวน 36 ล้านยูโร และแสดงความคาดหวังให้ประเทศไทยชำระเงินดังกล่าว เพื่อเป็นการ “ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนเยอรมันและจากประเทศอื่นๆ ในประเทศไทยอีกครั้ง และจะส่งสัญญาณทางบวกสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างเยอรมัน-ไทยต่อไปด้วย”
นอกจากนี้ ในแถลงการณ์ยังชี้แจงเพิ่มเติมว่า กระบวนการตัดสินของอนุญาโตตุลาการที่นิวยอร์ก “เป็นไปเพื่อร้องขอคำตัดสินว่าการบังคับคดีในเรื่องนี้สามารถกระทำในสหรัฐอเมริกาได้หรือไม่เท่านั้น ซึ่งจะไม่มีการสืบพยานใดเพิ่มเติมอีก ที่จะทำให้ประเทศไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามคำตัดสินได้”
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา ศาลลานด์ชูตใกล้เมืองมิวนิค ได้มีคำตัดสินให้ถอนอายัดเครื่องบินพระราชพาหนะโบอิ้ง 737 โดยมีเงื่อนไขคือ ทางการไทยต้องวางหลักทรัพย์ค้ำประกันธนาคารมูลค่า 20 ล้านยูโร อย่างไรก็ตาม กษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ประกาศว่าจะไม่นำเงินประกันไปแลกกับการนำเครื่องบินลำดังกล่าวออกมา ล่าสุด เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์บิลด์ อัม ซอนทากของเยอรมนีรายงานคำพูดของแวร์เนอร์ ชไนเดอร์ เจ้าหน้าที่พิทักษ์ทรัพย์ของบริษัทวอลเตอร์ บาว ซึ่งเป็นคู่พิพาทกับรัฐบาลไทย ว่า “เรากำลังพิจารณาขั้นตอนต่อไปกับกรณีที่เกิดขึ้น รวมถึงการอายัดเครื่องบินลำที่ 2 ของไทยด้วย” ทำให้วานนี้ (25 ก.ค.) ทางรัฐบาลไทย นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกมาปฏิเสธการดำเนินการดังกล่าวจากทางเยอรมัน และกล่าวว่า และไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะอายัดเครื่องบินลำดังกล่าว เพราะเป็นเครื่องบินส่วนพระองค์ ไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล และคดีทั้งหมดเป็นเรื่องของบริษัท วอลเตอร์ บาว กับรัฐบาลไทย ซึ่งอัยการสูงสุด (อสส.) กำลังเตรียมยื่นอุทธรณ์ อีกทั้งมีข้อมูลที่จะใช้ดำเนินการทางกฎหมายกับบริษัทนี้ต่อไปด้วย
เรื่องที่เกี่ยวข้อง:
แถลงการณ์ของสถานทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย
**************************************
เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม ที่ผ่านมา สถานทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ ยืนยันคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศที่สั่งให้ประเทศไทยจ่ายค่าชดเชยจำนวน 36 ล้านยูโร และแสดงความคาดหวังให้ประเทศไทยชำระเงินดังกล่าว เพื่อเป็นการ “ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนเยอรมันและจากประเทศอื่นๆ ในประเทศไทยอีกครั้ง และจะส่งสัญญาณทางบวกสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างเยอรมัน-ไทยต่อไปด้วย”
นอกจากนี้ ในแถลงการณ์ยังชี้แจงเพิ่มเติมว่า กระบวนการตัดสินของอนุญาโตตุลาการที่นิวยอร์ก “เป็นไปเพื่อร้องขอคำตัดสินว่าการบังคับคดีในเรื่องนี้สามารถกระทำในสหรัฐอเมริกาได้หรือไม่เท่านั้น ซึ่งจะไม่มีการสืบพยานใดเพิ่มเติมอีก ที่จะทำให้ประเทศไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามคำตัดสินได้”
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา ศาลลานด์ชูตใกล้เมืองมิวนิค ได้มีคำตัดสินให้ถอนอายัดเครื่องบินพระราชพาหนะโบอิ้ง 737 โดยมีเงื่อนไขคือ ทางการไทยต้องวางหลักทรัพย์ค้ำประกันธนาคารมูลค่า 20 ล้านยูโร อย่างไรก็ตาม กษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ประกาศว่าจะไม่นำเงินประกันไปแลกกับการนำเครื่องบินลำดังกล่าวออกมา ล่าสุด เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์บิลด์ อัม ซอนทากของเยอรมนีรายงานคำพูดของแวร์เนอร์ ชไนเดอร์ เจ้าหน้าที่พิทักษ์ทรัพย์ของบริษัทวอลเตอร์ บาว ซึ่งเป็นคู่พิพาทกับรัฐบาลไทย ว่า “เรากำลังพิจารณาขั้นตอนต่อไปกับกรณีที่เกิดขึ้น รวมถึงการอายัดเครื่องบินลำที่ 2 ของไทยด้วย” ทำให้วานนี้ (25 ก.ค.) ทางรัฐบาลไทย นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกมาปฏิเสธการดำเนินการดังกล่าวจากทางเยอรมัน และกล่าวว่า และไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะอายัดเครื่องบินลำดังกล่าว เพราะเป็นเครื่องบินส่วนพระองค์ ไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล และคดีทั้งหมดเป็นเรื่องของบริษัท วอลเตอร์ บาว กับรัฐบาลไทย ซึ่งอัยการสูงสุด (อสส.) กำลังเตรียมยื่นอุทธรณ์ อีกทั้งมีข้อมูลที่จะใช้ดำเนินการทางกฎหมายกับบริษัทนี้ต่อไปด้วย
เรื่องที่เกี่ยวข้อง:
แถลงการณ์ของสถานทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย
**************************************
วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
ป.ป.ช.ฟ้อง อภิรักษ์ กับพวกทุจริตซื้อรถดับเพลิงกว่า 6 พันล้าน !!?
ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง นายสิทธิโชค ศรีเจริญ ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากคณะกรรมการป้องกันและปรามปราบการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นำสำนวนหลักฐาน 50 กล่อง 15,000 แผ่น ในคดีทจุริตจัดซื้อรถเรือดับเพลิง และอุปกรณ์ป้องกันบรรเทาสาธารณภัย กทม. มูลค่า 6,600 ล้านบาท ยื่นฟ้อง นายโภคิน พลกุล อดีตรมว.มหาดไทย นายประชา มาลีนนท์ อดีตรมช.มหาดไทย นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรมว.พาณิชย์ พล.ต.ต.อทิลักษณ์ ตันชูเกียรติ อดีตผอ.กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม. บริษัทเอลลิคอตต์ฯ ประเทศออสเตรเลีย นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีต ผู้ว่ากทม.
เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต และร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่รับรองเอกสารได้กระทำการรับรองเอกสารอันเป็นเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ มาตรา 162 และพรบ.ความผิดว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ ปี 2542
โดยขั้นตอนต่อจากนี้ศาลจะเปิดประชุมใหญ่ศาลฎีกา เพื่อเลือกผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน และองค์คณะผู้พิพากษา เพื่อพิจารณาจะรับฟ้องคดีไว้หรือไม่ต่อไป
ที่มา.บางกอกทูเดย์
**************************
เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต และร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่รับรองเอกสารได้กระทำการรับรองเอกสารอันเป็นเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ มาตรา 162 และพรบ.ความผิดว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ ปี 2542
โดยขั้นตอนต่อจากนี้ศาลจะเปิดประชุมใหญ่ศาลฎีกา เพื่อเลือกผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน และองค์คณะผู้พิพากษา เพื่อพิจารณาจะรับฟ้องคดีไว้หรือไม่ต่อไป
ที่มา.บางกอกทูเดย์
**************************
ปราโมทย์ โชติมงคล. โปลิศการเมืองปราม ส.ส. 500 รมต.ไม่ใช่เรื่องมีเกียรติ เมื่อทำไม่ได้ก็ต้องออก !!?
บางห้วงมีการวางมวย บางวาระมีผรุสวาท
บางคราว-บางวาระ "ผู้ทรงเกียรติ" แสดงกิริยาไม่ทรงเกียรติ จนได้ฉายาประทับ "ถีบ-เถื่อน-ถ่อย"
"ปราโมทย์ โชติมงคล" ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ในฐานะ "ตำรวจการเมือง"
เขาส่งคำเตือนไปถึงว่าที่รัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" และฝ่ายนิติบัญญัติทั้งสภา ในฐานะผู้ตรวจพฤติกรรมจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
- เลือกตั้งในสายตาผู้ตรวจการแผ่นดิน ถือว่ารับได้ เพราะคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จัดได้เหมาะสม ในใจผม กกต.น่าจะประกาศรับรองผลได้เร็วขึ้นกว่าวันที่ 2 ส.ค. (เป็นวันสุดท้ายของการประกาศรับรองผล) ขณะนี้ เป็นช่วงรัฐบาลรักษาการนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์
ส่วนรัฐบาลพรรคเพื่อไทยของคุณ ยิ่งลักษณ์ ไม่สามารถทำงานได้ มันเป็นช่องว่างที่นานเกินไป อาจทำให้เกิดผลกระทบได้ กกต.อาจจะประกาศรับรองผล ส.ส.ให้ครบ 475 คนให้เร็วที่สุด
- มองปรากฏการณ์ที่นักการเมืองซื้อเสียงเลือกตั้งอย่างไร
ในฐานะที่ผู้ตรวจการแผ่นดินดูแลเรื่องจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผมภาวนาให้คนเหล่านี้เข้ามาด้วยความพร้อม 1.พร้อมด้วยฐานะความเป็นอยู่ มีฐานะครอบครัวที่มั่นคง ไม่หาประโยชน์ ไม่มาเอาสตางค์ 2.พร้อมในความรู้ความสามารถ ใช้สติปัญญาทำหน้าที่บริหารบ้านเมือง
ค่านิยมของบ้านเรา ใครมาทำงานการเมืองไม่ว่าท้องถิ่น ระดับชาติ หรือรัฐมนตรี มันเห็นแววของความร่ำรวย จากเดิมที่เป็นครูประชาบาล เป็นผู้รับเหมาเล็ก ๆ แล้วมาเป็น สมาชิกท้องถิ่น กลับร่ำรวยขึ้นมา โดยไม่ปรากฏว่ามีอาชีพที่ชัดเจน มันทำให้คนรู้สึกว่างานการเมืองทำให้ร่ำรวย
- จะแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไร
ผู้ตรวจการแผ่นดินกำลังเน้นเรื่องการส่งเสริม ปลูกฝังจิตสำนึกด้านจริยธรรม เรากำลังบอกไปทุกเครือข่าย ทั้งภาครัฐเอกชน เวลานี้บ้านเมืองเรากำลังมีปัญหามาก ทุจริตคอร์รัปชั่น ความแตกแยกทางความคิด การแพ้ชนะ ประเทศเพื่อนบ้านก็มีปัญหากันหมด
พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงมีพระราชดำรัสอยู่เสมอว่า จะเอาแพ้ชนะกันมีประโยชน์อะไร ถ้าบ้านเมืองเสียหาย แต่ละพรรค ทุกคนก็เป็นคนไทย ถ้าพรรคไม่ดี ประเทศไทยจะดีได้อย่างไร
ดังนั้น ควรเปลี่ยนวิธีคิดได้หรือไม่ ประเทศจะได้สงบสุขเสียที โดยเฉพาะ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องทำ ตัวให้เป็นแบบอย่าง สมาชิกรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ผู้มีตำแหน่งทางการเมือง คนเขาจับตามองทั้งประเทศ
- ช่วงจัดตั้ง ครม. มองอย่างไรกับการต่อรองตำแหน่งของกลุ่มการเมือง
การจะแบ่งกลุ่ม แบ่งก๊วนก็ทำเถอะ เป็นข่าวทุกวันว่ากลุ่มไหนจะเอาตำแหน่งไหน ประชาชนเขามองแล้วก็เสื่อม
คนเป็นรัฐมนตรีต้องเสียสละ หากทุกคนคิดว่าเป็นเพื่อเป็นเกียรติ แล้วใช้ตำแหน่งหาประโยชน์ ก็จะแย่งกันเป็น
ดังนั้น ใครที่ไม่มีความสามารถก็อย่ามาเป็น ให้คนอื่นที่เขาสามารถทำได้มาทำแทน เพราะตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นเรื่องเสียสละ ต้องทำงานให้บ้านเมือง ถ้าเป็นบริษัทของคุณก็ว่าไป
- รัฐบาลควรดูความรู้ความสามารถของคนที่มาเป็นรัฐมนตรีมากกว่าคัดเลือกคนจากกลุ่มก๊วน
แน่นอน...(เสียงสูง) เอาคนที่มาเป็นรัฐมนตรีมากำหนดนโยบาย ต้องเป็น คนเก่ง ต้องทำงานกับข้าราชการประจำ ได้ และมีความรู้พอสมควร ไม่ใช่เอาตัวแทนที่ไม่รู้เรื่องมาเป็นรัฐมนตรีแล้ว หาผลประโยชน์ หากเป็นเช่นนี้จะบริหารประเทศได้อย่างไร
ไม่ใช่มากำหนดโควตาจนทำให้ประชาชนกลุ้มใจอย่างทุกวันนี้ ผม เห็นว่าไม่เหมาะไม่ควรที่มาออกข่าวว่ากลุ่มไหนอยากได้ตำแหน่งอะไรยังไม่ ทันไร โผนั้น โผนี้ เดี๋ยวไปดูไบ ก็เสื่อมหมด
- คิดอย่างไรกับการนำคนใกล้ชิด ญาติสนิท นักการเมืองมาเป็นรัฐมนตรี
ถ้าคนใกล้ชิดเป็นคนเก่ง มีความสามารถไม่ใช่เรื่องเสียหาย ไม่ใช่เอาพรรคพวกที่ไม่รู้เรื่องมาเป็น ทำงานไม่ได้ ข้าราชการก็ดูถูก
- ส.ส.ชุดใหม่จะมีพฤติกรรมด่าทอและมีภาพความรุนแรงหรือไม่
เวลาประชุมสภามันถ่ายทอดสู่สาธารณะ การที่ใช้ถ้อยคำที่ทำให้เกิดความแตกแยก ให้เกิดความร้าวฉาน ทำให้คนทั่วไปมองเป็นภาพความรุนแรง ถือว่าเป็นเรื่องเสียหาย คนจะเสื่อมศรัทธากับสถาบันนี้ เพราะเมื่อได้ชื่อว่าเป็นสมาชิกสภาผู้ทรงเกียรติ แต่ไฉนผู้ทรงเกียรติกลับไปทำพฤติกรรมแบบนั้น
- ผู้ทรงเกียรติในยุคที่สังคมแตกแยกทางความคิดควรจะปฏิบัติตัวอย่างไร
คือ...ตราบใดที่ทั้งสองฝ่ายยังคิดว่าเป็นคนละพวก คิดว่าเป็นศัตรูกัน ก็จะทำทุกอย่างเพื่อล้มล้างศัตรู ซึ่งผมคิดว่าเป็นวิธีคิดที่ผิด ถ้าหากจะชนะคะคานกัน จะต้องเอาอีกฝ่ายให้ล่มสลายไป มันก็เสียหายทั้งสองฝ่าย
- หาก ส.ส.เคารพซึ่งกันและกันในสภา จะเป็นจุดเริ่มความปรองดองในสังคม
แน่นอน ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นบุคคลที่ทรงเกียรติแต่ถ้ามีความแตกแยก ทุกคนก้าวร้าว พูดจาไม่สุภาพ เสียดสี ด่าทอ อู้ย...(เสียงสูง) คนส่วนใหญ่เห็นว่า ส.ส.รัฐมนตรียังทำเลย คนก็เอาบ้างสิ มันก็เป็นแบบอย่างที่ไม่ดี มันก็เสื่อมทรามทั้งระบบ
- จริยธรรมอย่างเดียวเพียงพอหรือไม่
หากพบว่าใครทำผิดจริง ๆ ก็ต้องเล่นงานแรง ๆ ให้เห็นประเด็นถอดถอนออกจากตำแหน่งไปเลย ตัดโอกาสไม่ให้กลับมา ต้องลงโทษอย่างชัดเจน เช่น กรณีพระรักเกียรติ สุขธนะ ที่ถูกลงโทษจำคุก (ในคดีทุจริตรับสินบน) ต้องจับแบบนี้ให้ได้เยอะ ๆ คนก็จะได้กลัว
- มองนโยบายประชานิยมที่พรรคการ เมืองใช้หาเสียงอย่างไร
ต้องทำด้วยเจตนาที่แท้จริง และไม่เป็นภาระผูกพันในอนาคตเรื่องการเงินมาก จะขึ้นค่าแรง 300 บาท ต้องคำนึงถึงความเป็นไปได้ แต่อย่าเอาเงินไปแจก
- หากพรรคการเมืองไม่ทำ ตามที่หาเสียงไว้ ควรจะทบทวนตัวเองอย่างไร
ต้องรับผิดชอบด้วยการลาออก เพื่อให้รัฐบาลใหม่เอาสิ่งที่ไปหาเสียงไว้มากำหนดเป็นนโยบายแถลงต่อรัฐสภา
แม้จะบอกว่าเป็นรัฐบาลเพราะมี ส.ส. เยอะนั้น ไม่ได้ ต้องมีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตัวเองไปสัญญาประชาคมไว้ แม้ไม่มีการอภิปรายหรือลงมติก็ต้อง ลาออกเอง ต้องแถลงลาออก นั่นเป็นประเทศที่มีประชาธิปไตยเขาทำกัน
การเป็นรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี ไม่ใช่เรื่องมีเกียรติ แต่เป็นเรื่องความรับผิดชอบ เมื่อทำไม่ได้ก็ต้องออก แม้จะเอาเสียงข้างมากมายกมือแต่ก็ทำไม่ได้อยู่ดี นี่คือจิตสำนึกของคนที่มาดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไม่ใช่อยู่ไปนาน ๆ เพื่อหาประโยชน์ อย่างนี้ก็แย่ บ้านเมืองเสียหายหมด ทำไม่ได้ก็ต้องออกไป
- ในฐานะที่เป็นตำรวจทางการเมือง มีอะไรจะฝากถึง ส.ส.และรัฐบาลชุดใหม่ที่กำลังเดินเข้าสภา
ในฐานะที่ท่านทั้งหลายเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นบุคคลที่สาธารณะคาดหวัง เป็นบุคคลที่เข้ามาใช้อำนาจรัฐเพื่ออำนวยประโยชน์สุขให้แก่บ้านเมือง
ดังนั้น ท่านต้องเสียสละ ต้องมีพฤติกรรมที่เป็นแบบอย่างที่ดีต่อประชาชนทั้งประเทศ
หากแม้นเห็นว่าทำไม่ได้แล้ว ควรจะเปิดโอกาสให้คนอื่นมาทำ ผมยืนยันว่า ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีทั้งหลายแหล่ ไม่ใช่ตำแหน่งที่มีเกียรติอย่างเดียว เป็นตำแหน่งที่ต้องเหนื่อยยาก เสียสละ ต้องมีความพร้อมทุกด้าน ภาระรับผิดชอบมีมากมาย ถ้ามันหนักหนาสาหัสก็เปิดโอกาสให้คนอื่นมาทำงานแทน
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////
วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
ทหารขวัญเสียหลังฮ.ตก 3 ลำติด !!?
ผู้สื่อข่าว จ.กาญจนบุรี มีรายงานภายหลังจากที่เจ้าหน้าที่ได้นำศพ พล.ต.ตะวัน เรืองศรี ผบ.พล.ร.9 กกล.สุรสีห์ พร้อมด้วย นายศรวิชัย คงตันนิกูล ช่างภาพ ททบ.5 รวม 2 ศพ จากอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์แบบแบล็คฮอว์คตก เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 54 เดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์แบบเบลล์ 212 มาลงที่กองร้อยบิน กองพลทหารราบที่ 9
จากนั้นได้เคลื่อนศพด้วยรถยูนิม็อคจำนวน 2 คัน เพื่อนำไปเก็บไว้ที่ห้องเย็น รพ.ค่ายสุรสีห์ ต.ลาดหญ้า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี เมื่อช่วงเย็นของวานนี้นั้น ในขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังเร่งเก็บกู้ศพทหารที่เหลืออีก 7 นาย เพื่อนำมาทำพิธีทางศาสนาที่ จ.กาญจนบุรี เช่นกัน
ล่าสุดปรากฏว่า เมื่อประมาณ 09.00 น. เฮลิคอปเตอร์ รุ่น เบลล์ 212 ที่นำศพ พล.ต.ตะวัน มาส่งเมื่อวานนี้นั้น ประสบอุบัติเหตุตกเป็นลำที่ 3 ในช่วง 8 วัน ทำให้บรรยากาศที่กองร้อยบิน กองพลทหารราบที่ 9 ค่ายสุรสีห์ ต.ลาดหญ้า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี เป็นไปด้วยความหดหู่และเงียบสงบ
โดย นักบินและช่างเครื่อง จากศูนย์การบินทหารบกลพบุรี ซึ่งเดินทางมารอรับคำสั่งในการปฏิบัติภารกิจในการกู้และเคลื่อนย้ายศพ ต่างมีอาการซึมเศร้า และมีสีหน้าที่เคร่งเครียด เนื่องจากรู้สึกเสียขวัญ และหวาดผวาหากจำเป็นจะต้องขึ้นบินเพื่อปฏิบัติภารกิจ
พ.ต.ธนะรัชต์ ศรีภมร นักบินศูนย์การบินทหารบกลพบุรี ตำแหน่ง ผู้บังคับตอนซ่อมบำรุงอากาศยานปีกหมุน กล่าวว่า รู้สึกหดหู่ เพราะเกิดเหตุ ฮ.ตก ติดต่อกันหลายครั้ง ตอนนี้พูดไม่ออก เพราะส่วนใหญ่จะเป็นลูกน้องที่ทำงานร่วมกันมานาน ไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น รู้สึกเสียใจ และไม่น่าจะเกิดขึ้นซ้ำซ้อนเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม หากผู้บังคับบัญชามีคำสั่งให้ตนขึ้นบินเพื่อปฏิบัติภารกิจก็ต้องทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา แต่ในขณะนี้ต้องยอมรับว่า ในใจกลัวเหมือนกัน เพราะว่าเราไม่ทราบว่า ขณะที่อยู่บนอากาศจะเป็นอย่างไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศ หรือเครื่องยนต์ ซึ่งเราไม่สามารถคาดการณ์ได้
ส่วนกรณีเหตุที่ ฮ.ทั้ง 3 ลำตก น่าจะเกิดจากสภาพอากาศเป็นหลัก ซึ่งส่วนใหญ่นักบินจะระวังในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เพราะสภาพอากาศ มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ส่วนเรื่องของเครื่องยนต์ เราได้มีการซ่อมแซมและตรวจสอบตามกำหนดระยะเวลาอยู่เป็นประจำ
ที่มา.เนชั่น
**************************
จากนั้นได้เคลื่อนศพด้วยรถยูนิม็อคจำนวน 2 คัน เพื่อนำไปเก็บไว้ที่ห้องเย็น รพ.ค่ายสุรสีห์ ต.ลาดหญ้า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี เมื่อช่วงเย็นของวานนี้นั้น ในขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังเร่งเก็บกู้ศพทหารที่เหลืออีก 7 นาย เพื่อนำมาทำพิธีทางศาสนาที่ จ.กาญจนบุรี เช่นกัน
ล่าสุดปรากฏว่า เมื่อประมาณ 09.00 น. เฮลิคอปเตอร์ รุ่น เบลล์ 212 ที่นำศพ พล.ต.ตะวัน มาส่งเมื่อวานนี้นั้น ประสบอุบัติเหตุตกเป็นลำที่ 3 ในช่วง 8 วัน ทำให้บรรยากาศที่กองร้อยบิน กองพลทหารราบที่ 9 ค่ายสุรสีห์ ต.ลาดหญ้า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี เป็นไปด้วยความหดหู่และเงียบสงบ
โดย นักบินและช่างเครื่อง จากศูนย์การบินทหารบกลพบุรี ซึ่งเดินทางมารอรับคำสั่งในการปฏิบัติภารกิจในการกู้และเคลื่อนย้ายศพ ต่างมีอาการซึมเศร้า และมีสีหน้าที่เคร่งเครียด เนื่องจากรู้สึกเสียขวัญ และหวาดผวาหากจำเป็นจะต้องขึ้นบินเพื่อปฏิบัติภารกิจ
พ.ต.ธนะรัชต์ ศรีภมร นักบินศูนย์การบินทหารบกลพบุรี ตำแหน่ง ผู้บังคับตอนซ่อมบำรุงอากาศยานปีกหมุน กล่าวว่า รู้สึกหดหู่ เพราะเกิดเหตุ ฮ.ตก ติดต่อกันหลายครั้ง ตอนนี้พูดไม่ออก เพราะส่วนใหญ่จะเป็นลูกน้องที่ทำงานร่วมกันมานาน ไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น รู้สึกเสียใจ และไม่น่าจะเกิดขึ้นซ้ำซ้อนเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม หากผู้บังคับบัญชามีคำสั่งให้ตนขึ้นบินเพื่อปฏิบัติภารกิจก็ต้องทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา แต่ในขณะนี้ต้องยอมรับว่า ในใจกลัวเหมือนกัน เพราะว่าเราไม่ทราบว่า ขณะที่อยู่บนอากาศจะเป็นอย่างไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศ หรือเครื่องยนต์ ซึ่งเราไม่สามารถคาดการณ์ได้
ส่วนกรณีเหตุที่ ฮ.ทั้ง 3 ลำตก น่าจะเกิดจากสภาพอากาศเป็นหลัก ซึ่งส่วนใหญ่นักบินจะระวังในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เพราะสภาพอากาศ มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ส่วนเรื่องของเครื่องยนต์ เราได้มีการซ่อมแซมและตรวจสอบตามกำหนดระยะเวลาอยู่เป็นประจำ
ที่มา.เนชั่น
**************************
วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
เขตปลอดทหาร !!?
โดย:พญาไม้
ทำไม...เบื้องแรกของการแก้ไขปัญหาข้อพิพาททางชายแดนระหว่างประเทศไทยและประเทศกัมพูชา..จึงต้องเริ่มต้นด้วยข้อตกลงที่ว่า..จะต้องสร้างเขตปลอดทหารขึ้นมา
แต่ว่ากันไปแล้ว..การยุติความขัดแย้งทั้งสิ้นทั้งปวงประดามีนั้น ก็ต้องเริ่มต้นด้วยการถอนทหารออกจากจุดแห่งความขัดแย้งทั้งสิ้น
เพราะทหารเป็นสัญญาลักษณ์แห่งสงคราม
เพราะทหารแพ้ชนะกันด้วยความตายและการสูญเสีย..ทหารจึงไม่ใช่อุปกรณ์แห่งความสงบและสันติสุข
เมื่อใดที่ผู้โง่เชลาใช้กองทหารเพื่อการปกครองบังคับ..เมื่อนั้นบั่นปลายของปัญหาก็คือการบาดเจ็บล้มตาย..
สหรัฐอเมริกา..มหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก..ใช้เนชั่นแนลการ์ด..เมื่อปัญหานั้นใหญ่โตเกินกว่ากำลังตำรวจจะควบคุมไว้ได้...เขาไม่ใช้ทหาร..
ไม่ใช่แต่ที่จังหวัดศรีษะเกษ..แต่ไม่ว่าที่ไหนๆที่เป็นปัญหาในประเทศไทย..หากไม่ใช่สงครามรุกรานจากกองกำลังทหารของประเทศอื่นๆแล้ว..เขาไม่ใช้ทหาร..เว้นเสียแต่ว่ามันเป็นภัยพิบัติจากธรรมชาติ..จนเกินกำลังจะรับมือของหน่วยงานตามปรกติ..
เขาจึงจะใช้ทหารและอุปกรณ์ทางทหารเข้ามาทำสงครามกับภัยพิบัติ
ทหาร..จึงเป็นที่รักและเป็นเสียงปรบมือของประชาชน เพราะยามใดที่ทหารปรากฏตัวขึ้นมา..นั่นคือความอบอุ่นปลอดภัยของประชาชน
แต่ทุกครั้งในกรุงเทพ..คราวใดที่ทหารปรากฏกายขึ้นมา..นั่นคือการยึดอำนาจและการปราบปรามประชาชน ทหารจึงเป็นเครื่องมือของผู้ที่ประชาชนต่อต้านและแล้วในที่สุดหลังการบาดเจ็บล้มตายของประชาชน..ผู้ใช้ทหารสังหารประชาชนก็จะเป็นผู้แพ้..
เร็วบ้างช้าบ้าง..แต่ในที่สุดก็เป็นผู้แพ้
จึงถึงเวลาหรือยัง..ที่จะให้กรุงเทพมหานครที่เป็นศูนย์กลางแห่งการปกครองนั้น เปลี่ยนเป็นศูนย์กลางแห่งการพัฒนาประเทศ..ให้เป็นเขตปลอดทหาร
พวกโง่เง่าป่าเถื่อนจะได้เลิกถามทหารเสียทีว่า..จะปฏิวัติหรือไม่..จะปฏิวัติเมื่อใด จะทนได้อีกนานแค่ไหน...พวกทหารก็จะได้ไม่ต้องมาปวดเศียรเวียนเกล้ากับการประดิษฐ์คำตอบ
จาก ศรีษะเกษ..กรุงเทพ ..หรือ 3 จังหวัดภาคใต้..หากจะให้สงบและหมดสิ้นปัญหา..ก็ต้องสร้างเขตปลอดทหารขึ้นมาให้ได้..ครับมันไม่ใช่เรื่องง่าย..
แต่มันเป็นทางจบของทุกๆปัญหา
ที่มา.บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////////
ทำไม...เบื้องแรกของการแก้ไขปัญหาข้อพิพาททางชายแดนระหว่างประเทศไทยและประเทศกัมพูชา..จึงต้องเริ่มต้นด้วยข้อตกลงที่ว่า..จะต้องสร้างเขตปลอดทหารขึ้นมา
แต่ว่ากันไปแล้ว..การยุติความขัดแย้งทั้งสิ้นทั้งปวงประดามีนั้น ก็ต้องเริ่มต้นด้วยการถอนทหารออกจากจุดแห่งความขัดแย้งทั้งสิ้น
เพราะทหารเป็นสัญญาลักษณ์แห่งสงคราม
เพราะทหารแพ้ชนะกันด้วยความตายและการสูญเสีย..ทหารจึงไม่ใช่อุปกรณ์แห่งความสงบและสันติสุข
เมื่อใดที่ผู้โง่เชลาใช้กองทหารเพื่อการปกครองบังคับ..เมื่อนั้นบั่นปลายของปัญหาก็คือการบาดเจ็บล้มตาย..
สหรัฐอเมริกา..มหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก..ใช้เนชั่นแนลการ์ด..เมื่อปัญหานั้นใหญ่โตเกินกว่ากำลังตำรวจจะควบคุมไว้ได้...เขาไม่ใช้ทหาร..
ไม่ใช่แต่ที่จังหวัดศรีษะเกษ..แต่ไม่ว่าที่ไหนๆที่เป็นปัญหาในประเทศไทย..หากไม่ใช่สงครามรุกรานจากกองกำลังทหารของประเทศอื่นๆแล้ว..เขาไม่ใช้ทหาร..เว้นเสียแต่ว่ามันเป็นภัยพิบัติจากธรรมชาติ..จนเกินกำลังจะรับมือของหน่วยงานตามปรกติ..
เขาจึงจะใช้ทหารและอุปกรณ์ทางทหารเข้ามาทำสงครามกับภัยพิบัติ
ทหาร..จึงเป็นที่รักและเป็นเสียงปรบมือของประชาชน เพราะยามใดที่ทหารปรากฏตัวขึ้นมา..นั่นคือความอบอุ่นปลอดภัยของประชาชน
แต่ทุกครั้งในกรุงเทพ..คราวใดที่ทหารปรากฏกายขึ้นมา..นั่นคือการยึดอำนาจและการปราบปรามประชาชน ทหารจึงเป็นเครื่องมือของผู้ที่ประชาชนต่อต้านและแล้วในที่สุดหลังการบาดเจ็บล้มตายของประชาชน..ผู้ใช้ทหารสังหารประชาชนก็จะเป็นผู้แพ้..
เร็วบ้างช้าบ้าง..แต่ในที่สุดก็เป็นผู้แพ้
จึงถึงเวลาหรือยัง..ที่จะให้กรุงเทพมหานครที่เป็นศูนย์กลางแห่งการปกครองนั้น เปลี่ยนเป็นศูนย์กลางแห่งการพัฒนาประเทศ..ให้เป็นเขตปลอดทหาร
พวกโง่เง่าป่าเถื่อนจะได้เลิกถามทหารเสียทีว่า..จะปฏิวัติหรือไม่..จะปฏิวัติเมื่อใด จะทนได้อีกนานแค่ไหน...พวกทหารก็จะได้ไม่ต้องมาปวดเศียรเวียนเกล้ากับการประดิษฐ์คำตอบ
จาก ศรีษะเกษ..กรุงเทพ ..หรือ 3 จังหวัดภาคใต้..หากจะให้สงบและหมดสิ้นปัญหา..ก็ต้องสร้างเขตปลอดทหารขึ้นมาให้ได้..ครับมันไม่ใช่เรื่องง่าย..
แต่มันเป็นทางจบของทุกๆปัญหา
ที่มา.บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////////
เหยียบกบาลคนจน. !!?
“นายทุนหน้าเลือด” เสวยสุขหาผลประโยชน์แรงงาน กับ “กลุ่มกรรมกรชั้นต่ำ” มาตลอดเวลา อย่างหน้าด้าน หน้าทน??
ออกมาตีฆ้องร้องป่าว คัดค้านกันตัวโยน ไม่ให้ขึ้นราคาขั้นต่ำเป็นวันละ ๓๐๐ บาท..โดยไม่คิดเจียดความสุข ความเสมอภาค มาให้คนหาเช้ากินค่ำ กันมั่งเลยนะ
แค่ “นายทุน” งดเลี้ยงรับรอง จ่ายเงินใต้โต๊ะบางมื้อ..สามารถปรับเงินวันละ ๓๐๐ บาท ได้อย่างสบายมาก เลยนะจ๊ะ
ยิ่ง “รัฐบาลปู ๑” ของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกฯหญิง เกลียดการคอรัปชั่นเข้ากระดูกดำ ย่อมสามารถปรับค่าแรงวันละ ๓๐๐ บาท อย่างไม่มีปัญหา..เพราะไม่กินมูมมามใต้โต๊ะ ให้ชาติพัง!!
ส่วนบางพรรคที่เย้ย “รัฐบาลปู”..เพราะเขาสวมวิญญาณหมาหมู่?..กินกันจู้อีจู้ หาแต่สะตัง
sssssssssssssssssssss
“ไทย”เป็นเจ้าโลก “น้ำมัน” รู้ไหม!!
ขุดเอา “ทองคำดำ” น้ำมันดิบขึ้นมากลั่น...โดยประชาชนไม่ได้ประโยชน์ นี่หมายความว่าอย่างไรกันจ๊ะเจ้านาย
รู้กันเอาไว้ด้วย เดี๋ยวนี้ไทยขุดน้ำมันได้ มากกว่า “เศรษฐีบรูไน”เชียวนะท่าน
ที่ “รัฐบาลปู ๑” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลดน้ำมันลดมากระฉูด เบนซิน ๗ บาทต่อลิตร ดีเซล ๒ บาทต่อลิตร ทำได้ง่าย ไม่ใช่เรื่องขายฝัน
ที่ผ่านมานั้น รัฐบาลพากันขายสัมปทาน เจี๊ยะเงินก้อนโตกันเท่านั้น...ไม่มีใครคิด “ขุดน้ำมัน” ขึ้นมาใช้เอง.. เหมือนกับ “มาเลเซีย” เพื่อนบ้านใกล้เคียง ที่ใช้น้ำมันถูกสุดขีด!!!
แค่ไม่ให้สัมปทาน รัฐบาลไม่หากิน..น้ำมันก็ราคาต่ำติดดิน?..ถูกลงหมดสิ้น แทบทุกชนิด
sssssssssssssssssssssss
สงครามตัวแทน!!!
ศึกชิงเก้าอี้ “เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์” เป็นศึกลบรอยแค้น??
เมื่อกลุ่ม “อดีตนายกฯชวน หลีกภัย”, “พิเชษฐ์ พันธ์ุวิชากุล” หนุน “คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช” เจ๊ใหญ่ ซ้อใหญ่ แห่งแบงก์บัวหลวง ธนาคารกรุงเทพ เข้ามาเป็น
ข้าง “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ส่งเด็กสร้าง เด็กปั้น “วิฑูรย์ นามบุตร” ลงมาชิงธง เหมือนกันล่ะเนื้อเย็น
ฉะนั้นงานนี้, “นายหัวชวน” กับ “เทพเทือก” ที่แอบเหยียบตาปลากันลึกๆ ต้องเปิดศึกให้ดับกันไปข้าง!!!
เที่ยวนี้ “ท่านชวน” ออกฤทธิ์... “เทพเทือก”น่าหมดสิทธิ์?..คิดแข่งกับ “ท่านชวน”มีพังกับพัง??
ssssssssssssssssssssss
โลกเกลียด “อีดี้อามิน-กัดดาฟี”เข้าไส้!!
แต่เค้ายังมี ความห่วงหาอาทรแก่ประชาชน..มองชาวบ้านด้วยความห่วงใย?
ฉะนั้น,หลายประเทศเชื่อว่า เมื่อ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ณ.ปูจ๋า” เดินหน้าเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี
ปัญหาชายแดน ลาว-พม่า-เขมร-มาเลเซีย-เวียดนาม คงจะแก้จบ กันเสียที
โดยเฉพาะ “ปราสาทเขาพระวิหาร” จะเป็นแหล่งทำมาหากินระหว่าง คน ๒ ประเทศ..ไม่ต้องกรีฑาพล ยกกำลังพลคนทหารไปเผชิญหน้า เพื่อทำสงครามเหมือนที่ผ่านมา จนชาติพากันวิกฤติ!!
ที่ไม่เดือดร้อนก็ราษฎร..กลับมารักกันเหมือนครั้งก่อน..ไม่ต้องถูกไล่ต้อนหนีไฟสงคราม ให้หงุดหงิด??
ssssssssssssssssssssssss
เสพสม-สิงสู่ กันนัวเนีย!!
บางพรรค?..ไม่รู้ว่าใครเป็นผัว ใครเป็นเมีย??
ฉะนั้น,จะ “ป้ายสีใคร” กรุณาดูพฤติกรรมส่วนตัวของตัวเองซะก่อน มี “คุณธรรมสูงส่ง” จะไปกล่าวหาคนอื่นได้หรือเปล่า
ชักเบื่อเต็มทน ที่จะโยงเอา “ปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้เกิดความเสื่อมเสีย ด้วยปัญญาอันโง่เขลา
น่าเอาผลงานมาเป็นเครื่องวัด การันตีว่าใครเก่งกว่าใคร..ไปโยงเอาพระเอกหล่นล่ำปึ๊ก มาให้ร้าย ระบายสีใส่ความ “น้องปู” ..ยิ่งทำให้เครดิต ของท่านพังครืน!!
โถ,ก็คนเขารู้กันไปทั่ว..บางพรรคเอาความดีใส่ตัว?...มักโยนชั่วให้กับคนอื่น???
คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
**********************************
ออกมาตีฆ้องร้องป่าว คัดค้านกันตัวโยน ไม่ให้ขึ้นราคาขั้นต่ำเป็นวันละ ๓๐๐ บาท..โดยไม่คิดเจียดความสุข ความเสมอภาค มาให้คนหาเช้ากินค่ำ กันมั่งเลยนะ
แค่ “นายทุน” งดเลี้ยงรับรอง จ่ายเงินใต้โต๊ะบางมื้อ..สามารถปรับเงินวันละ ๓๐๐ บาท ได้อย่างสบายมาก เลยนะจ๊ะ
ยิ่ง “รัฐบาลปู ๑” ของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกฯหญิง เกลียดการคอรัปชั่นเข้ากระดูกดำ ย่อมสามารถปรับค่าแรงวันละ ๓๐๐ บาท อย่างไม่มีปัญหา..เพราะไม่กินมูมมามใต้โต๊ะ ให้ชาติพัง!!
ส่วนบางพรรคที่เย้ย “รัฐบาลปู”..เพราะเขาสวมวิญญาณหมาหมู่?..กินกันจู้อีจู้ หาแต่สะตัง
sssssssssssssssssssss
“ไทย”เป็นเจ้าโลก “น้ำมัน” รู้ไหม!!
ขุดเอา “ทองคำดำ” น้ำมันดิบขึ้นมากลั่น...โดยประชาชนไม่ได้ประโยชน์ นี่หมายความว่าอย่างไรกันจ๊ะเจ้านาย
รู้กันเอาไว้ด้วย เดี๋ยวนี้ไทยขุดน้ำมันได้ มากกว่า “เศรษฐีบรูไน”เชียวนะท่าน
ที่ “รัฐบาลปู ๑” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลดน้ำมันลดมากระฉูด เบนซิน ๗ บาทต่อลิตร ดีเซล ๒ บาทต่อลิตร ทำได้ง่าย ไม่ใช่เรื่องขายฝัน
ที่ผ่านมานั้น รัฐบาลพากันขายสัมปทาน เจี๊ยะเงินก้อนโตกันเท่านั้น...ไม่มีใครคิด “ขุดน้ำมัน” ขึ้นมาใช้เอง.. เหมือนกับ “มาเลเซีย” เพื่อนบ้านใกล้เคียง ที่ใช้น้ำมันถูกสุดขีด!!!
แค่ไม่ให้สัมปทาน รัฐบาลไม่หากิน..น้ำมันก็ราคาต่ำติดดิน?..ถูกลงหมดสิ้น แทบทุกชนิด
sssssssssssssssssssssss
สงครามตัวแทน!!!
ศึกชิงเก้าอี้ “เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์” เป็นศึกลบรอยแค้น??
เมื่อกลุ่ม “อดีตนายกฯชวน หลีกภัย”, “พิเชษฐ์ พันธ์ุวิชากุล” หนุน “คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช” เจ๊ใหญ่ ซ้อใหญ่ แห่งแบงก์บัวหลวง ธนาคารกรุงเทพ เข้ามาเป็น
ข้าง “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ส่งเด็กสร้าง เด็กปั้น “วิฑูรย์ นามบุตร” ลงมาชิงธง เหมือนกันล่ะเนื้อเย็น
ฉะนั้นงานนี้, “นายหัวชวน” กับ “เทพเทือก” ที่แอบเหยียบตาปลากันลึกๆ ต้องเปิดศึกให้ดับกันไปข้าง!!!
เที่ยวนี้ “ท่านชวน” ออกฤทธิ์... “เทพเทือก”น่าหมดสิทธิ์?..คิดแข่งกับ “ท่านชวน”มีพังกับพัง??
ssssssssssssssssssssss
โลกเกลียด “อีดี้อามิน-กัดดาฟี”เข้าไส้!!
แต่เค้ายังมี ความห่วงหาอาทรแก่ประชาชน..มองชาวบ้านด้วยความห่วงใย?
ฉะนั้น,หลายประเทศเชื่อว่า เมื่อ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ณ.ปูจ๋า” เดินหน้าเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี
ปัญหาชายแดน ลาว-พม่า-เขมร-มาเลเซีย-เวียดนาม คงจะแก้จบ กันเสียที
โดยเฉพาะ “ปราสาทเขาพระวิหาร” จะเป็นแหล่งทำมาหากินระหว่าง คน ๒ ประเทศ..ไม่ต้องกรีฑาพล ยกกำลังพลคนทหารไปเผชิญหน้า เพื่อทำสงครามเหมือนที่ผ่านมา จนชาติพากันวิกฤติ!!
ที่ไม่เดือดร้อนก็ราษฎร..กลับมารักกันเหมือนครั้งก่อน..ไม่ต้องถูกไล่ต้อนหนีไฟสงคราม ให้หงุดหงิด??
ssssssssssssssssssssssss
เสพสม-สิงสู่ กันนัวเนีย!!
บางพรรค?..ไม่รู้ว่าใครเป็นผัว ใครเป็นเมีย??
ฉะนั้น,จะ “ป้ายสีใคร” กรุณาดูพฤติกรรมส่วนตัวของตัวเองซะก่อน มี “คุณธรรมสูงส่ง” จะไปกล่าวหาคนอื่นได้หรือเปล่า
ชักเบื่อเต็มทน ที่จะโยงเอา “ปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้เกิดความเสื่อมเสีย ด้วยปัญญาอันโง่เขลา
น่าเอาผลงานมาเป็นเครื่องวัด การันตีว่าใครเก่งกว่าใคร..ไปโยงเอาพระเอกหล่นล่ำปึ๊ก มาให้ร้าย ระบายสีใส่ความ “น้องปู” ..ยิ่งทำให้เครดิต ของท่านพังครืน!!
โถ,ก็คนเขารู้กันไปทั่ว..บางพรรคเอาความดีใส่ตัว?...มักโยนชั่วให้กับคนอื่น???
คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
**********************************
วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
กกต.วูบ.. ทูตทั่วโลกรุมท้วง. อำนาจล้นฟ้า! สอบเองตัดสินเอง พินัยกรรมบาปจาก ปฏิวัติปี 49 !!?
ไม่ใช่เพียงเพราะว่า พรรคเพื่อไทย และ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรี และผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 1 ของพรรคเพื่อไทย ได้รับคะแนนเลือกตั้งจากประชาชนอย่างท่วมท้นเท่านั้น
แต่นี่คือการตัดสินใจของประชาชนคนไทยที่แสดงออกผ่านกระบวนการการเลือกตั้ง ซึ่งทุกคนหวังว่า จะเป็นระบบหรือกระบวนการที่จะสามารถแก้ไขปัญหาทางการเมืองได้เป็นอย่างดี
และจะเป็นจุดเปลี่ยนผ่านของปัญหาการเมืองของไทยที่เกิดขึ้นในช่วง 5 ที่ผ่านมานับตั้งแต่เกิดการทำรัฐประหารขึ้นเมื่อ 19 กันยายน 2549 ซึ่งทำให้บ้านเมืองเดินหน้าไม่ได้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เพราะประชาชนคนไทย เบื่อหน่ายแล้วกับปัญหาการเมืองที่ทำให้บ้านเมืองเหมือนติดปลักโคลน จึงได้ตัดสินใจลงคะแนนในลักษณะของการมอบชัยชนะให้เบ็ดเสร็จและมากพอให้กับพรรคเพื่อไทย และ น.ส.ยิ่งลักษณ์
โดยหวังว่าจะได้ไม่ต้องมีปัญหาในเรื่องการแย่งชิงในการจัดตั้งรัฐบาลเกิดขึ้น
ดังนั้นปรากฏการณ์ของใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้งครั้งนี้ จึงถือเป็นปรากฏการณ์ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. จะต้องตระหนักและรอบคอบให้มากๆ
เพราะที่สำคัญ ยังมีปรากฏการณ์คู่ขนานที่เกิดขึ้นจากการเลือกตั้งในครั้งนี้ด้วย
นั่นคือ ท่าทีของประเทศต่างๆ ที่แสดงออกผ่านบรรดาคณะทูต ทั้งก่อนหน้ารู้ผล และภายหลังจากที่ปรากฏผลคะแนนการเลือกตั้งออกมาแล้ว
ประเทศสหรัฐอเมริกานั้นชัดเจนที่สุด เพราะช่วงใกล้โค้งสุดท้ายในการเลือกตั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์และคณะ ได้มีการไปเข้าพบนางคริสตี้ เคนนีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ที่บ้านพักถนนวิทยุ ตามคำเชิญของสถานทูตสหรัฐ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์การเมืองของไทยช่วงสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง ใช้เวลากว่า 1 ช.ม.
โดยการหารือในครั้งนั้น เอกอัคร ราชทูตสหรัฐสอบถามถึงสถานการณ์การเมือง โดยแสดงความเป็นห่วงการเลือกตั้ง และให้ความมั่นใจว่า….
ทางการสหรัฐจะไม่สนับสนุนการปฏิวัติรัฐประหาร หรือวิธีการที่ไม่เป็นประชาธิปไตย
มีการถามน.ส.ยิ่งลักษณ์ถึงการลงพื้นที่หาเสียงเลือกตั้งด้วยว่าเหนื่อยหรือไม่อย่างไร พร้อมทั้งระบุว่าเท่าที่ติดตามข่าวพบว่าประชาชนสนับสนุนน.ส.ยิ่งลักษณ์จำนวนมาก จึงขอเป็นกำลังใจเพราะปัจจุบันมีสตรีก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำจำนวนมาก
หลังจากนั้นก่อนการเลือกตั้งไม่กี่วัน นางคัทยา คริสทีนา โนร์ดการ์ด เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรนอร์เวย์ประจำประเทศไทย นางสาวคริสติน ชราเนอร์ เบอเกอเนอร์ เอกอัครราชทูตสวิตเซอร์แลนด์ประจำประเทศไทย และนายอาซีฟ อาหมัด เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย ก็ได้มีการเข้าพบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพื่อสอบถามถึงสถานการณ์การเมืองในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง โดยใช้เวลาประมาณ 20 นาทีต่อหนึ่งคณะ
เป็นปรากฏการณ์ที่สะท้อนอย่างชัดเจนว่า ต่างชาติเองก็ให้ความสนใจกับการเลือกตั้งของไทย
ที่สำคัญและไม่ควรมองข้ามก็คือ นายอาซีฟ อาหมัด เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักร ที่ได้มีการให้สัมภาณ์ในวันนั้นว่า ถือเป็นครั้งที่ 2 แล้วที่ได้มาเยือน พรรคเพื่อไทย ซึ่งในการพูดคุยได้พูดถึงสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจ
และทราบว่าเมื่อวันที่ 21 มิถุนายนเป็นวันคล้ายวันเกิดของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จึงได้มาอวยพรวันเกิด โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์มีวันเกิดวันเดียวกันกับเจ้าชายวิลเลียมของอังกฤษด้วย
สำหรับในประเด็นที่ว่าทุกฝ่ายควรยอมนับผลการเลือกตั้งครั้งครั้งนี้ใช่หรือไม่ นายอาซีฟได้มีการกล่าวเอาไว้ชัดเจนว่า เมื่อเสียงส่วนใหญ่ออกมาอย่างไร ก็ควรที่จะรับฟังเสียงส่วนใหญ่
ส่วนว่า อังกฤษมีแนวทางที่จะทำเรื่องถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อขอเป็นผู้สังเกตการณ์เลือกตั้งหรือไม่???
นายอาซีฟกล่าวเอาไว้อย่างน่าคิดว่า ถือเป็นเรื่องแปลก เพราะก่อนหน้านี้ทั้ง กกต. และพรรคประชาธิปัตย์อยากให้มีผู้สังเกตการณ์เลือกตั้ง แต่ครั้งนี้ไม่มี!!!
เพียงแต่จะเป็นการเสียมารยาทและไม่เหมาะสมหรือไม่ หากอังกฤษและนานาประเทศเสนอตัวไป เพราะตามหลักการเป็นหน้าที่ขององค์กรกลางของแต่ละประเทศที่จะต้องสอบถามว่า”ใครต้องการสังเกตการณ์เลือกตั้งW
ซึ่งก็มี”เพื่อไทย”เพียงพรรคเดียวที่ทำหนังสือไปถึงสถานทูตอังกฤษให้เข้าร่วมสังเกตการณ์เลือกตั้ง หาก กกต.ต้องเป็นผู้แสดงจุดยืนในการประสานกับทุกฝ่ายให้เข้ามาเป็นผู้สังเกตการณ์เลือกตั้ง
ภายหลังพบปะกันแล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ทวิตข้อความผ่านทวิตเตอร์ว่า
“ท่านทูตอังกฤษเพิ่งมาพบปะพูดคุย ท่านอยากเห็นสังคมไทยเป็นสังคมประชาธิปไตยให้ทุกฝ่ายเคารพเสียงส่วนใหญ่”
นั่นคือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้ง ที่สะท้อนท่าทีของมิตรประเทศได้อย่างชัดเจน
และยิ่งชัดเจนมากขึ้นภายหลังการเลือกตั้ง และผลคะแนนออกมาแบบทิ้งขาด ต่างประเทศยิ่งให้การยอมรับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพิ่มมากขึ้น เพราะถือว่าผ่านกระบวนการเลือกตั้งจากเสียงของประชาชนมาแล้ว
โดยมีเอกอัครราชทูตประเทศต่าง ๆ เดินทางเข้าพบ เพื่อแสดงความยินดี หลังได้รับเลือกเป็นเสียงข้างมาก ประกอบด้วย Mr.Pinak Ranjan CHAKRAVARTY เอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย Mr.Umaru Azores SULAIMAN เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐไนจีเรีย Mr. Richard Titus EKAI เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเคนย่า Mr.Shamel Elsayed NASSER และ Mr.Ron Hoffmann เอกอัครราชทูตแคนาดา พร้อมคณะ ได้เดินทางเข้าพบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงของประเทศไทย เพื่อแสดงความยินดีภายหลังได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง
เอกอัครราชทูตอินเดีย กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีอินเดีย ส่งสาส์นแสดงความยินดีกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ชนะการเลือกตั้งคะแนนท่วมท้น ซึ่งอินเดียถือเป็นประเทศประชาธิปไตย อีกทั้งยังเป็นประเทศแรกที่ทำเขตการค้าเสรีของไทย ทั้งนี้จะมีความร่วมมือที่ใกล้ชิดขึ้น
ที่มองข้ามไม่ได้เลยคือการที่เอกอัครราชทูตอินเดีย ได้มีการตั้งข้อสังเกตว่า กกต.ของประเทศอินเดีย ไม่มีอำนาจมากเท่ากับ กกต.ของประเทศไทย !!!
เนื่องจากถ้ามีเรื่องร้องเรียนหลังเลือกตั้ง ที่ประเทศอินเดียจะไปร้องที่ศาล
แต่รู้สึกว่าประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีการสอบสวน???
ซึ่งอาจทำให้เกิดช่องว่างในช่วงรอยต่อระหว่างการเลือกตั้ง ตลอดจนถึงการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ อันจะทำให้เกิดความหวั่นไหวในประเทศได้
มุมมองที่ปรากฏในสายตาของชาวโลกเช่นนี้ จึงเป็นสิ่งที่ประเทศไทย เป็นสิ่งที่บรรดาผู้สร้างระบบ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กกต. จะต้องย้อนคิด และตั้งคำถามกับตัวเองได้แล้วว่า
กกต.ไทย มีอำนาจล้นฟ้าอย่างที่ถูกสายตาทั่วโลกหรือไม่!?!
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับการจัดการเลือกตั้งที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกรณีบัตรเลือกตั้ง ที่ใส่โลโก้พรรคเพื่อไทยเล็กที่สุดเหมือนกับจงใจ โดยที่คำอธิบายแก้ต่างของ กกต. ฟังอย่างไรก็ยากที่จะหาคนยอมรับได้ ว่าทำไมถึงผิดพลาดเพียงแค่พรรคเดียว แถมเป็นพรรคเต็งหนึ่ง และอยู่อันดับแรกของบัตรเลือกตั้งเสียด้วย
กกต. ไม่มีการตรวจปรู๊ฟบัตรเลือกตั้งก่อนการพิมพ์เลยหรืออย่างไร??
จากนั้นก็มีประเด็นในเรื่องของการจัดการเลือกตั้งล่วงหน้า ที่เล่นเอาวุ่นวายและเสียสิทธิกันเป็นจำนวนมาก และกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์พุ่งเข้าใส่ กกต.อย่างมากมาย ว่าทำงานไม่เป็น ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ
หรือว่ามีอะไรที่ทำให้ต้องเกิดปัญหาขึ้นกันแน่??
เพราะการที่ไปเพิกถอนสิทธิ์ของผู้ที่เคยขอใช้สิทธิ์เลือกตั้งนอกเขตตั้งแต่ปี 50 แต่ในปี 2554 คนเหล่านั้นไม่ได้มายื่นเรื่องขอใช้สิทธิ์นอกเขตซ้ำอีก กลายเป็นว่าต้องเสียสิทธิ์ไปพร้อมกันถึงกว่า 2 ล้านเสียง
กรณีเช่นนี้ทั่วโลกต้องถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่กกต.ไทยกับเฉย ไม่รู้สึกรู้สม หรือคิดแก้ไขอะไรเลย รวมทั้งไม่ยอมชี้แจงให้เหตุผล
เช่นเดียวกับความโกลาหลในวันเลือกตั้ง ทั้งวันเลือกตั้งล่วงหน้า และวันเลือกตั้งจริง ที่รู้ทั้งรู้ว่าจะมีผู้ตื่นตัว และให้ความสำคัญไปใช้สิทธิเป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่มีการเตรียมการรับมือ จึงทำให้เกิดภาพของผู้คนไปเข้าคิวรอใช้สิทธิกันยาวเหยียด รอคิวกันครึ่งค่อนชั่วโมง
จึงไม่แปลกที่ถูกชาวบ้านรุมด่าว่าทำงานไร้มาตรฐาน ไม่คุ้มค่าเงินเดือน
ไม่รู้ว่า 5 เสือ กกต. ไล่มาตั้งแต่ นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานใหญ่ นายประพันธ์ นัยโกวิท นางสดศรี สัตยธรรม นายสมชัย จึงประเสริฐ และนายวิสุทธิ์ โพธิแท่น รู้สึกอะไรหรือไม่ และคิดจะดำเนินการแก้ไขฟื้นฟูภาพลักษณ์ในครั้งนี้หรือไม่
ซ้ำร้าย การดำเนินการรับรองการเลือกตั้ง ก็มีลักษระของการเรื่อยๆมาเรียงๆไม่ได้กระฉับกระเฉงอย่างที่ควรจะเป็น ตลอดจนการตัดสินใจแขวน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ด้วยเหตุผลเพียงว่ามีการร้องเรียนเกิดขึ้น
แม้จะมีการแขวน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ไปด้วย แต่ก็ไม่สามารถที่จะลดกระแสวิพากษณ์วิจารณ์ลงไปได้
เนื่องจากเป็นการลงมติชนะแบบเฉียดฉิว 3 ต่อ 2
หรือเท่ากับมากกว่าเพียงแค่เสียงเดียวเท่านั้น ก็ทำอะไรก็ได้แล้ว แม้ว่าจะเป็นการกระทำที่หากเปรียบเทียบกับคะแนนเลือกตั้งของคนเป็นสิบๆล้านคนแล้ว ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่ยากจะสร้างความเข้าใจกับประชาชนได้จริงๆ
คำถามที่ว่า คนเพียงแค่ 3 คนเท่านั้น ก็สามารถที่จะเบรกคะแนนเสียงของประชาชนทั่วประเทศเป็นสิบๆล้านได้เช่นนั้นหรือ???
ที่สำคัญ 2 คน ที่ไม่เห็นด้วยคือ นางสดศรี สัตยธรรม ซึ่งเป็นกกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง และนายสมชัย จึงประเสริฐ ซึ่งเป็นกกต.ด้านกิจการสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย อันถือเป็นหน้าที่โดยตรงด้วยซ้ำ ที่ไม่เห็นด้วยกับอีก 3 กกต.
นายอภิชาต นายประพันธ์ และนายวิสุทธิ์ จึงทำให้เกิดภาพของ กกต.ไทย ที่มีอำนาจล้นฟ้าไปโดยปริยาย
และทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วง
แม้แต่ต่างประเทศ ที่เต็มไปด้วยความระมัดระวัง ยังอดออกปากไม่ได้ว่า กกต.ไทยนั้น รู้สึกว่าประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในโลกที่ให้อำนาจ กกต. ในการสอบสวน
แทนที่จะใช้อำนาจของศาลยุติธรรม???
ประเด็นต่างๆ นับตั้งแต่การกำหนดกติกาการจัดการเลือกตั้งล่วงหน้า ที่ไปลากเอาการเลือกตั้งครั้งก่อนมาเป็นกรอบ เรื่องอำนาจในการแจกใบเหลืองใบแดง เรื่องการสั่งแขวนโดยเป็นการตัดสินใจของคนแค่ 2-3 คนเท่านั้นก็สามารถทำอะไรได้แล้ว
จึงมีคำถามว่า ควรที่จะมีการผ่าตัดโครงสร้างกลไกอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือไม่???
ควรที่จะปฏิรูป กกต.ไทย ไม่ให้ถูกมองว่าไม่เหมือนประเทศประชาธิปไตยอื่นๆ และเป็นเพียงแค่ประเทศเดียวที่เป็นแบบนี้ได้แล้วหรือยัง???
โดยเฉพาะคณะกรรมการการเลือกตั้งชุดนี้ ที่เข้ามารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2549 หรือเพียงแค่ 1 วันหลังการทำรัฐประหาร!!!
เป็นภาพที่ลดทอนสง่าราศรี และการยอมรับที่พึงมีต่อ กกต.ชุดนี้หรือไม่ เชื่อว่า 5 เสือ กกต.เองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ
ข้อวิพากษ์วิจารณ์ผ่านสื่อหลายๆแขนง ที่ว่า กกต.นี่แหละที่จะกลายเป็นตัวจุดชนวนความวุ่นวายขึ้นมาอีกรอบ น่าจะเป็นกระจกสะท้อนได้เป็นอย่างดีว่า หลังทำหน้าที่รับรองบรรดา ส.ส. เสร็จเรียบร้อยแล้ว เปิดประชุมสภา จนกระทั่งมีนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีได้เรียบร้อยแล้ว
ผลงานที่เต็มไปด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วงเช่นนี้ สมควรที่ 5 เสือ กกต. จะรักษาศักดิ์ศรีให้สมกับที่เป็นเสือด้วยการลาออกไปเสีย เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
เพื่อให้มีการปฏิรูป กกต. ให้มีภาพลักษณ์ที่สง่างาม และสร้างความยอมรับความเชื่อถืออย่างแท้จริงเสียทีหรือไม่
ฝากไว้ให้ กกต.ทั้ง 5 เก็บไปคิดเป็นการบ้านก็แล้วกัน!!!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
//////////////////////////////////
รักนะแต่ทำไม่ได้ !?
โดย...ก้อนกรวด
ท่าจะหนักหนาสาหัสตั้งแต่ไม่ทันได้เริ่มทำงาน นาทีนี้จะเป็นใครไม่ได้นอกจาก “น้องปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตอนแรก “พี่แม้ว” คิดฝันอยากจะกลับมาควบคุมอำนาจรัฐอีกรอบ เพื่อให้ทุกอย่างดูง่ายขึ้น ทั้งในเรื่องนิรโทษกรรมลบล้างความผิด หวังจะได้เงิน 4.6 หมื่นล้านบาทคืนมา เลยต้องออกนโยบายขายฝันมักง่ายแบบ “จัดหนัก” ครบวงจรถ้วนหน้า ทั้งค่าแรงวันละ 300 บาท จบปริญญาตรีเข้าทำงานรับไปเลยเดือนละ 15,000 บาท เพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเดือนละ 1,000 บาท จำนำข้าวเกวียนละ 15,000 บาท ฯลฯ จำกันไม่หวาดไม่ไหว จนสามารถทำให้พรรคเพื่อไทย ชนะถล่มทลาย น้องสาวกำลังจ่อเป็นนายกฯหญิงคนแรก แต่ปัญหาก็คือ เมื่อจะต้องทำตามฝันนี่สิมันยากแสนเข็ญ
เพราะไหนจะต้องถูกขัดขวางจากฝ่ายที่ได้รับผลกระทบโดยตรง อย่างเช่น เจ้าของภาคธุรกิจเอกชนจากนโยบายเพิ่มค่าแรงพรวดพราดถึง 30-40 เปอร์เซ็นต์ เพราะที่ผ่านมาขนาดจะเพิ่มให้วันละ 4-5 บาท ยังยื้อกันแทบตาย ที่สำคัญภาคเอกชนมันจะไปบังคับให้จ่ายก็ไม่ได้เสียด้วยสิ ที่สำคัญมันแบกรับภาระไม่ไหว เมื่อไม่ไหวก็ต้องเจ๊ง และเชื่อว่าในบริษัทเหล่านั้นต้องรวมถึง “บริษัทเสื้อแดง” ที่เคยสนับสนุนพรรคเพื่อไทยอยู่จำนวนไม่น้อยแน่นอน นี่ว่ากันเฉพาะเรื่องเดียวโดดๆ ก่อน ล่าสุดกลุ่มธุรกิจเอกชนยักษ์ใหญ่ 3 องค์กร ในนามคณะกรรมการร่วมภาคเอกชนสามสถาบัน (กกร.) ก็ได้ออกโรงต้านตั้งแต่ “ไก่โห่” แถลงนำโดย ประธานสภาอุตฯ พยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล เล่นกันแบบไม่ไว้หน้าแบบนี้ สนุกแน่ พี่น้องเสื้อแดง เอ้ย !!
แม้ว่ามองอีกมุมหนึ่งมันก็น่าเห็นใจเหมือนกัน ในฐานะลูกจ้างด้วยกันก็อยากให้มีการปรับขึ้นค่าแรงสูงๆ เพื่อจะได้ “ชักหน้าถึงหลัง” กันบ้าง แต่ขณะเดียวกันมันก็ต้องมองความเป็นจริง ต้องมองไปถึงสภาพเศรษฐกิจ การแข่งขัน และที่สำคัญต้องพิจารณาถึงความ “เห็นแก่ตัว” ของเจ้าของธุรกิจส่วนใหญ่ ที่แน่นอนว่าต้องลดต้นทุนให้มากที่สุด เอาเป็นว่าแม้แต่บริษัท แอทซี แอสเสท ของว่าที่นายกฯนั้น บริษัทที่รับสร้างบ้านจัดสรรจ่ายค่าแรงขั้นต่ำให้กับคนงานถึงวันละ 300 บาทหรือเปล่า นี่ว่ากันเฉพาะเรื่องค่าแรงเพียวๆ ยังไม่นับคำสัญญาเรื่องข้าวของราคาถูกลง โดยเฉพาะการไปแตะเรื่องกองทุนน้ำมัน หิน โหดทั้งนั้น “น้องปู” จะรับไหวหรือเปล่าไม่รู้ เพราะเหมือนกับว่าเที่ยวนี้ “พี่แม้ว” จัดหนักเพื่อเอาใจแฟนเก่าๆ แต่เอาเข้าจริงๆ มันต้องไปเกี่ยวกับนายทุนภาคเอกชน ก็รู้อยู่แล้วว่า “เขี้ยว” แค่ไหน ประเภทอยู่ดีๆ ให้เสียสละนั้น ยากกก !!
เผลอแพล็บเดียว “เหลี่ยมจัด” ทักษิณ ชินวัตร ก็อายุครบ 62 ปีเข้าไปแล้ว ตอนแรกมีข่าวว่าจะจัดงานฉลองกับลิ่วล้อใหญ่โตที่ “บาหลี” อินโดฯ วันที่ 26 ก.ค. แต่ก็เจอกับลูกขยันแบบทุเรศของพวก “บัวแก้ว” ลูกน้องของ กษิต ภิรมย์ ในตอนจบ ที่ต้องบอกว่าทุเรศ ก็คือ ทำไมเพิ่งมาทำเป็นตาลีตาเหลือกไล่จับนักโทษหนีคุกกันเอาตอนนี้ ทำไมเวลาผ่านไปตั้งสองปีหกเดือน ทำได้แค่ยึด “พาสปอร์ตแดง” เท่านั้น อย่างอื่นไม่เห็นมี “น้ำยา” อะไร
ที่มา: ผู้จัดการ
///////////////////////////////////////
วันพฤหัสบดีที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
อุดมการณ์แดงยังอยู่ จ้องล้มอำมาตย์จริงหรือ !!?
ดูเหมือนคนเสื้อแดงยังคงอยู่ในอารมณ์ขุ่นมัว จากทุกเรื่องที่ไม่ได้ดังใจ ล่าสุด ก็เรื่องที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่รับรองว่าที่ ส.ส.เสื้อแดงอีกจำนวน 12 คน ทำให้ได้เห็นเป็นที่ประจักษ์ว่า พฤติการณ์ข่มขู่คุกคามที่เคยใช้มาอย่างต่อเนื่องนั้นยังคงอยู่คู่เสื้อแดงและยากที่จะสลัดทิ้ง
หากจำเพาะลงไปที่การให้ความเห็นของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนางธิดา ถาวรเศรษฐ สองผู้ยิ่งใหญ่แห่งองค์กร นปช. จะพบว่า พฤติการณ์ยังคงเป็นเมื่อครั้งพวกเขาขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้ลงจากตำแหน่ง ซึ่งเต็มไปด้วยการข่มขู่ คุกคาม โกรธเกรี้ยวอย่างไร้เหตุผล
แต่อย่างน้อยได้รับรู้ชัดเจนอย่างหนึ่งนั้นคือ อุดมการณ์แบบคนเสื้อแดงนั้นยังคงอยู่ ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ยังเชื่อว่า มีพลังที่มองไม่เห็นกำลังจะมาแทรกแซง กกต. เพื่อล้มการเลือกตั้ง ส่วนนางธิดา ถาวรเศรษฐ เตือนว่า กกต.และเครือข่ายอำมาตย์ อย่าเรื่องมาก อย่าให้ต้องเหนื่อย นั่นแสดงว่า คนเสื้อแดงยังเชื่อเรื่องอำมาตย์และพร้อมที่จะชน โดยไม่ได้มองในมิติของ
กกต. ที่ต้องทำงานโดยอิงข้อมูลหลักฐาน ใครทำดีทำเลวระหว่างหาเสียงเลือกตั้งต้องกรองก่อนปล่อยเข้าสภา
หากย้อนกลับไปช่วงไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ อำมาตย์คือเป้าใหญ่ที่คนเสื้อแดงประกาศว่าจะต้องล้มให้ได้ เพื่อให้ไพร่ได้ครองเมืองแทน ก็น่าจะชัดเจนว่า เสื้อแเดงจะยังคงไล่อำมาตย์ต่อ และจะเป็นเรื่องท้าทายอันใหญ่หลวงสำหรับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ต้องหาจุดกึ่งกลางระหว่างการเป็นรัฐบาลภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กับรัฐบาลของคนเสื้อแดงที่ต้องการโค่นอำมาตย์ แต่จะมีกี่แดงที่หาญทำเช่นนั้น
ถามว่า จริงหรือที่คนเสื้อแดงจะโค่นอำมาตย์ให้ได้ภายใต้เครื่องไม้เครื่องมือของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ คำตอบอาจอยู่ที่พฤติกรรมที่แกนนำคนเสื้อแดงแสดงออก อย่างแรกที่ชัดเจนคือ ความพยายามในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่สถาบันองคมนตรีตกอยู่ในสถานการณ์ง่อนแง่น แต่เจ้าของร่างรัฐธรรมนูญที่ถูกคนเสื้อแดงอ้างถึงคือ นพ.เหวง โตจิราการ ที่วันนี้กำลังได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กลับพยายามโน้มน้าวให้คนเสื้อแดงชะลอเรื่องไปก่อน
เฉพาะประเด็นโค่นอำมาตย์ แสดงให้เห็นว่า คนเสื้อแดงเริ่มแตกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายที่กำลังเข้าสู่อำนาจ ไม่อยากจะชนอำมาตย์ แต่ฝ่ายที่ไม่ได้เสวยสุขด้วย ยังคงเดินหน้าล้มล้างต่อไป จึงมีแนวโน้มสูงว่า สุดท้ายแล้ว ในประเด็นนี้เสื้อแดงจะแตกคอกันเอง แต่ไม่น่าจะมีอะไรในกอไผ่ เพราะท้ายสุด มวลชนแดงคือมวลชนที่จะอยู่กับพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่แดงอุดมการณ์สุดขั้ว
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ประเด็นนี้อาจตอบได้ด้วยทิศทางของการเลือกตั้งในภาคอีสานและภาคเหนือตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบัน เพราะจริงๆ แล้ว คนที่เสพนโยบายประชานิยม ถูกผสมปนเปเหมารวมเป็นคนเสื้อแดง แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นการยึดตัวบุคคลในพื้นที่เหนือ-อีสานมีสูงมาก นั่นเป็นที่มาว่า ทำไมพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีในดงแดง ถึงยังมีชื่อ ส.ส.ประชาธิปัตย์ปรากฏอยู่
การเลือกตั้งปี 2535 พรรคสามัคคีธรรม เคยชนะการเลือกตั้งในภาคเหนือและอีสานถล่มทลาย แล้วพรรคสามัคคีธรรมมีที่มาอย่างไร ถ้าจำกันได้ พรรคนี้คือพรรคมารที่เป็นทายาทเผด็จการทหาร รสช. หวังว่าคงเห็นภาพระหว่าง ความปรารถนาในการล้มอำมาตย์ กับ การหนุนทุนสามานย์.
ที่มา.ไทยโพสต์
***************************************
หากจำเพาะลงไปที่การให้ความเห็นของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนางธิดา ถาวรเศรษฐ สองผู้ยิ่งใหญ่แห่งองค์กร นปช. จะพบว่า พฤติการณ์ยังคงเป็นเมื่อครั้งพวกเขาขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้ลงจากตำแหน่ง ซึ่งเต็มไปด้วยการข่มขู่ คุกคาม โกรธเกรี้ยวอย่างไร้เหตุผล
แต่อย่างน้อยได้รับรู้ชัดเจนอย่างหนึ่งนั้นคือ อุดมการณ์แบบคนเสื้อแดงนั้นยังคงอยู่ ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ยังเชื่อว่า มีพลังที่มองไม่เห็นกำลังจะมาแทรกแซง กกต. เพื่อล้มการเลือกตั้ง ส่วนนางธิดา ถาวรเศรษฐ เตือนว่า กกต.และเครือข่ายอำมาตย์ อย่าเรื่องมาก อย่าให้ต้องเหนื่อย นั่นแสดงว่า คนเสื้อแดงยังเชื่อเรื่องอำมาตย์และพร้อมที่จะชน โดยไม่ได้มองในมิติของ
กกต. ที่ต้องทำงานโดยอิงข้อมูลหลักฐาน ใครทำดีทำเลวระหว่างหาเสียงเลือกตั้งต้องกรองก่อนปล่อยเข้าสภา
หากย้อนกลับไปช่วงไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ อำมาตย์คือเป้าใหญ่ที่คนเสื้อแดงประกาศว่าจะต้องล้มให้ได้ เพื่อให้ไพร่ได้ครองเมืองแทน ก็น่าจะชัดเจนว่า เสื้อแเดงจะยังคงไล่อำมาตย์ต่อ และจะเป็นเรื่องท้าทายอันใหญ่หลวงสำหรับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ต้องหาจุดกึ่งกลางระหว่างการเป็นรัฐบาลภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กับรัฐบาลของคนเสื้อแดงที่ต้องการโค่นอำมาตย์ แต่จะมีกี่แดงที่หาญทำเช่นนั้น
ถามว่า จริงหรือที่คนเสื้อแดงจะโค่นอำมาตย์ให้ได้ภายใต้เครื่องไม้เครื่องมือของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ คำตอบอาจอยู่ที่พฤติกรรมที่แกนนำคนเสื้อแดงแสดงออก อย่างแรกที่ชัดเจนคือ ความพยายามในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่สถาบันองคมนตรีตกอยู่ในสถานการณ์ง่อนแง่น แต่เจ้าของร่างรัฐธรรมนูญที่ถูกคนเสื้อแดงอ้างถึงคือ นพ.เหวง โตจิราการ ที่วันนี้กำลังได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กลับพยายามโน้มน้าวให้คนเสื้อแดงชะลอเรื่องไปก่อน
เฉพาะประเด็นโค่นอำมาตย์ แสดงให้เห็นว่า คนเสื้อแดงเริ่มแตกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายที่กำลังเข้าสู่อำนาจ ไม่อยากจะชนอำมาตย์ แต่ฝ่ายที่ไม่ได้เสวยสุขด้วย ยังคงเดินหน้าล้มล้างต่อไป จึงมีแนวโน้มสูงว่า สุดท้ายแล้ว ในประเด็นนี้เสื้อแดงจะแตกคอกันเอง แต่ไม่น่าจะมีอะไรในกอไผ่ เพราะท้ายสุด มวลชนแดงคือมวลชนที่จะอยู่กับพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่แดงอุดมการณ์สุดขั้ว
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ประเด็นนี้อาจตอบได้ด้วยทิศทางของการเลือกตั้งในภาคอีสานและภาคเหนือตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบัน เพราะจริงๆ แล้ว คนที่เสพนโยบายประชานิยม ถูกผสมปนเปเหมารวมเป็นคนเสื้อแดง แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นการยึดตัวบุคคลในพื้นที่เหนือ-อีสานมีสูงมาก นั่นเป็นที่มาว่า ทำไมพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีในดงแดง ถึงยังมีชื่อ ส.ส.ประชาธิปัตย์ปรากฏอยู่
การเลือกตั้งปี 2535 พรรคสามัคคีธรรม เคยชนะการเลือกตั้งในภาคเหนือและอีสานถล่มทลาย แล้วพรรคสามัคคีธรรมมีที่มาอย่างไร ถ้าจำกันได้ พรรคนี้คือพรรคมารที่เป็นทายาทเผด็จการทหาร รสช. หวังว่าคงเห็นภาพระหว่าง ความปรารถนาในการล้มอำมาตย์ กับ การหนุนทุนสามานย์.
ที่มา.ไทยโพสต์
***************************************
ธิดา ถาวรเศรษฐ์ จงใจให้รู้ว่า รัฐบาลนี้ พรรคนี้ ทักษิณดูแล...ไว้ใจได้ !!?
สัมภาษณ์
หลังการเลือกตั้ง การเมืองกลับเข้าสู่ระบบ
นักการเมือง 500 คน เข้าสู่เกมการต่อสู้ในสภาผู้แทนราษฎร
แต่แกนนำมวลชนแดงนอกสภา ที่เคยเป็นขา-แขนให้นักการเมืองฝ่าย "เพื่อไทย" กำลังสั่นสะเทือน
เมื่อฝ่ายประชาธิปไตยถูกป้ายสีเป็นเผด็จการ
เมื่อแขน-ขา-ดวงตาของเพื่อไทยสลับบทบาท
ผู้สัมภาษณ์สนทนาหาคำตอบจากปาก "ธิดา ถาวรเศรษฐ์" หลังบ้านว่าที่ ส.ส.น.พ.เหวง โตจิราการ
- นปช.เหมาะที่จะเป็นรัฐมนตรีหรือไม่
รัฐมนตรี เป็นการใช้อำนาจบริหาร ส่วน ส.ส. ก็ใช้อำนาจนิติบัญญัติ เขาก็มีสิทธิเหมือนคนอื่น ถ้าเขามีความสามารถและเหมาะสม เขาก็แยกไปทำงานให้ประชาชน แต่ถ้าใครโดนอำมาตย์หลอก ครอบงำ ก็จะบอกว่า คนเป็นรัฐมนตรี แปลว่าเป็นพวกเลว นิสัย ไม่ดี อยากได้อำนาจ แปลว่าแบ่งเค้กไม่คิดบ้างว่า ถ้า นปช.จะเป็นรัฐมนตรี เขาก็ทำงานให้ประชาชนได้
- รัฐมนตรีจาก นปช.จะเป็นสายล่อฟ้า เป็นจุดอ่อนพรรคเพื่อไทยหรือเปล่า
คุณอาจจะบอกว่า เขาเป็นสายล่อฟ้า แต่เขามีสายดิน เขามีฐานมวลชนรองรับ พวกที่มาพูดเรื่องนิรโทษกรรม มันไม่มีสายดิน ไม่มีฐานมวลชนรองรับ
- คุณทักษิณเคยต่อสายถึงอาจารย์หรือเปล่า
ไม่ค่อยได้คุยกัน ยกเว้นมีบางครั้ง เช่น คนอื่นเขามาอยู่ใกล้เรา แล้วเขาโทรศัพท์คุยกับคุณทักษิณ แล้วก็ยื่นโทรศัพท์บอกให้เราคุยหน่อย คุณทักษิณก็บอกว่า เหนื่อยหน่อยนะ อาจารย์บอก ก็เหนื่อยตอนแก่ แต่ถ้าได้คุยกับคุณทักษิณตอนนี้นะ จะบอกเขาว่า เหนื่อยตอนแก่ไม่พอ ยังมีคนด่าอื้อฉาวขนาดนี้
- มองบทบาท "ยิ่งลักษณ์" กับอดีตนายกฯ "ทักษิณ" อย่างไร
ชัดเจน คุณอย่าไปหลอกตัวเองกันเลย เขาให้คุณยิ่งลักษณ์มาทำ เพื่อต้องการซื้อหัวใจประชาชน ว่างานนี้คุณทักษิณดูแล พูดตรง ๆ ว่าเปิดหน้าสู้ ไม่ต้องพูดว่านอมินี หรือโคลนนิ่ง เพราะนี่เป็น strategy (ยุทธศาสตร์) ของ การเปิดหน้าสู้เลย
เพื่อให้ประชาชนไว้ใจว่าคุณทักษิณไม่ได้ทิ้งนะ เขายังช่วยดูแลอยู่ มัน ชัด ๆ อยู่แล้ว ไม่ต้องไปดัดจริต พูดหรอก ใครเขาจะไม่ช่วยล่ะ คราวนี้เป็นน้องสาวคุณทักษิณ จงใจให้ประชาชนรู้ว่า รัฐบาลนี้ พรรคนี้ คุณทักษิณดูแล ไว้ใจได้ และนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ได้คะแนนเสียงเยอะ ประชาชนรักคุณทักษิณ
- อำนาจอยู่กับยิ่งลักษณ์ หรือทักษิณ
คุณทักษิณอาจจะแนะนำ 50 อย่าง แต่เขาอาจจะเอามาใช้แค่ 20 ก็ได้ อีก 30 ไม่ได้เรื่อง เขาอาจจะไม่เอาก็ได้ อาจารย์ไม่ได้เห็นว่าแปลก
- ตุลาการภิวัตน์จะกลับมายับยั้งอำนาจที่มาจากการเลือกตั้งหรือไม่
ประชาชนได้เปิดประตูก้าวแรกจากการเลือกตั้ง คน 35 ล้านมาเลือกตั้ง คุณไม่ฟังหรือ นี่เป็นกระบวนการประชาธิปไตย แล้วประตูที่ 2 ถ้าไม่เปิดต่อ แล้วคุณอย่าขวาง คุณทำเหมือนเราเป็นพวกมาจากข้างนอก ที่จริง นี่มันประเทศของประชาชนนะ ไม่ใช่ประเทศของระบอบอำมาตย์
- ยังมีระบบของ กกต. และศาล
ก็ไม่เป็นไร นี่ 5 ปีแล้ว ตอนนี้ 15 ล้านเลือกเพื่อไทย เที่ยวหน้าจะ 20 ล้าน เอาล่ะ ถ้ายึดอำนาจอีก เที่ยวต่อไปจะ 25 ล้าน คุณจะอยู่ยังไง ขณะนี้ อภิสิทธิ์ยังเดินถนนแทบไม่ได้ ตัวเจ๋ง ๆ ของระบอบอำมาตย์ ลองมาเดินถนนดูสิ
- ถ้า กกต.ไม่รับรองยิ่งลักษณ์กับ นปช. สถานการณ์จะเป็นอย่างไร
ประชาชนก็ต้องต่อสู้ แต่ไม่ใช่จับอาวุธสู้นะ คุณใช้การทหารมาสู้การเมือง คุณกระหยิ่มยิ้มย่องดีใจว่าการทหารชนะ เพราะเราตาย ถือว่าเราแพ้ เพราะคุณ ไม่ตาย แล้วสุดท้ายในสนามการเมืองของประชาชน คุณแพ้ คุณจะใช้ตุลาการภิวัตน์อะไรก็ตาม
แต่ในชาตินี้ คุณหนีการเลือกตั้งไม่พ้นหรอก แล้วให้โลกมันเห็นชัด ถ้าไม่ตายนะ คิดว่าระบอบอำมาตย์จะอยู่ยืนยาวโดยไม่คืนอำนาจให้ประชาชน ก็แล้วแต่คุณเถอะ เราอดทนมา 5 ปี เราสันติวิธีนะ ถ้าคิดว่าปราบแล้วหาย ก็คิดผิด
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////
นักการเมือง 500 คน เข้าสู่เกมการต่อสู้ในสภาผู้แทนราษฎร
แต่แกนนำมวลชนแดงนอกสภา ที่เคยเป็นขา-แขนให้นักการเมืองฝ่าย "เพื่อไทย" กำลังสั่นสะเทือน
เมื่อฝ่ายประชาธิปไตยถูกป้ายสีเป็นเผด็จการ
เมื่อแขน-ขา-ดวงตาของเพื่อไทยสลับบทบาท
ผู้สัมภาษณ์สนทนาหาคำตอบจากปาก "ธิดา ถาวรเศรษฐ์" หลังบ้านว่าที่ ส.ส.น.พ.เหวง โตจิราการ
- นปช.เหมาะที่จะเป็นรัฐมนตรีหรือไม่
รัฐมนตรี เป็นการใช้อำนาจบริหาร ส่วน ส.ส. ก็ใช้อำนาจนิติบัญญัติ เขาก็มีสิทธิเหมือนคนอื่น ถ้าเขามีความสามารถและเหมาะสม เขาก็แยกไปทำงานให้ประชาชน แต่ถ้าใครโดนอำมาตย์หลอก ครอบงำ ก็จะบอกว่า คนเป็นรัฐมนตรี แปลว่าเป็นพวกเลว นิสัย ไม่ดี อยากได้อำนาจ แปลว่าแบ่งเค้กไม่คิดบ้างว่า ถ้า นปช.จะเป็นรัฐมนตรี เขาก็ทำงานให้ประชาชนได้
- รัฐมนตรีจาก นปช.จะเป็นสายล่อฟ้า เป็นจุดอ่อนพรรคเพื่อไทยหรือเปล่า
คุณอาจจะบอกว่า เขาเป็นสายล่อฟ้า แต่เขามีสายดิน เขามีฐานมวลชนรองรับ พวกที่มาพูดเรื่องนิรโทษกรรม มันไม่มีสายดิน ไม่มีฐานมวลชนรองรับ
- คุณทักษิณเคยต่อสายถึงอาจารย์หรือเปล่า
ไม่ค่อยได้คุยกัน ยกเว้นมีบางครั้ง เช่น คนอื่นเขามาอยู่ใกล้เรา แล้วเขาโทรศัพท์คุยกับคุณทักษิณ แล้วก็ยื่นโทรศัพท์บอกให้เราคุยหน่อย คุณทักษิณก็บอกว่า เหนื่อยหน่อยนะ อาจารย์บอก ก็เหนื่อยตอนแก่ แต่ถ้าได้คุยกับคุณทักษิณตอนนี้นะ จะบอกเขาว่า เหนื่อยตอนแก่ไม่พอ ยังมีคนด่าอื้อฉาวขนาดนี้
- มองบทบาท "ยิ่งลักษณ์" กับอดีตนายกฯ "ทักษิณ" อย่างไร
ชัดเจน คุณอย่าไปหลอกตัวเองกันเลย เขาให้คุณยิ่งลักษณ์มาทำ เพื่อต้องการซื้อหัวใจประชาชน ว่างานนี้คุณทักษิณดูแล พูดตรง ๆ ว่าเปิดหน้าสู้ ไม่ต้องพูดว่านอมินี หรือโคลนนิ่ง เพราะนี่เป็น strategy (ยุทธศาสตร์) ของ การเปิดหน้าสู้เลย
เพื่อให้ประชาชนไว้ใจว่าคุณทักษิณไม่ได้ทิ้งนะ เขายังช่วยดูแลอยู่ มัน ชัด ๆ อยู่แล้ว ไม่ต้องไปดัดจริต พูดหรอก ใครเขาจะไม่ช่วยล่ะ คราวนี้เป็นน้องสาวคุณทักษิณ จงใจให้ประชาชนรู้ว่า รัฐบาลนี้ พรรคนี้ คุณทักษิณดูแล ไว้ใจได้ และนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ได้คะแนนเสียงเยอะ ประชาชนรักคุณทักษิณ
- อำนาจอยู่กับยิ่งลักษณ์ หรือทักษิณ
คุณทักษิณอาจจะแนะนำ 50 อย่าง แต่เขาอาจจะเอามาใช้แค่ 20 ก็ได้ อีก 30 ไม่ได้เรื่อง เขาอาจจะไม่เอาก็ได้ อาจารย์ไม่ได้เห็นว่าแปลก
- ตุลาการภิวัตน์จะกลับมายับยั้งอำนาจที่มาจากการเลือกตั้งหรือไม่
ประชาชนได้เปิดประตูก้าวแรกจากการเลือกตั้ง คน 35 ล้านมาเลือกตั้ง คุณไม่ฟังหรือ นี่เป็นกระบวนการประชาธิปไตย แล้วประตูที่ 2 ถ้าไม่เปิดต่อ แล้วคุณอย่าขวาง คุณทำเหมือนเราเป็นพวกมาจากข้างนอก ที่จริง นี่มันประเทศของประชาชนนะ ไม่ใช่ประเทศของระบอบอำมาตย์
- ยังมีระบบของ กกต. และศาล
ก็ไม่เป็นไร นี่ 5 ปีแล้ว ตอนนี้ 15 ล้านเลือกเพื่อไทย เที่ยวหน้าจะ 20 ล้าน เอาล่ะ ถ้ายึดอำนาจอีก เที่ยวต่อไปจะ 25 ล้าน คุณจะอยู่ยังไง ขณะนี้ อภิสิทธิ์ยังเดินถนนแทบไม่ได้ ตัวเจ๋ง ๆ ของระบอบอำมาตย์ ลองมาเดินถนนดูสิ
- ถ้า กกต.ไม่รับรองยิ่งลักษณ์กับ นปช. สถานการณ์จะเป็นอย่างไร
ประชาชนก็ต้องต่อสู้ แต่ไม่ใช่จับอาวุธสู้นะ คุณใช้การทหารมาสู้การเมือง คุณกระหยิ่มยิ้มย่องดีใจว่าการทหารชนะ เพราะเราตาย ถือว่าเราแพ้ เพราะคุณ ไม่ตาย แล้วสุดท้ายในสนามการเมืองของประชาชน คุณแพ้ คุณจะใช้ตุลาการภิวัตน์อะไรก็ตาม
แต่ในชาตินี้ คุณหนีการเลือกตั้งไม่พ้นหรอก แล้วให้โลกมันเห็นชัด ถ้าไม่ตายนะ คิดว่าระบอบอำมาตย์จะอยู่ยืนยาวโดยไม่คืนอำนาจให้ประชาชน ก็แล้วแต่คุณเถอะ เราอดทนมา 5 ปี เราสันติวิธีนะ ถ้าคิดว่าปราบแล้วหาย ก็คิดผิด
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////
วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
ศาลฎีกาฯยกคำร้อง'จำลอง'ขอล้มเลือกตั้ง3ก.ค.
ศาลยกคำร้อง "พล.ต.จำลอง" ขอล้มเลือกตั้ง ชี้ไม่มีกฎหมายใดบัญญัติให้อำนาจ ผู้ร้องยื่นคดีต่อศาลเพื่อขอให้เพิกถอนการเลือกตั้ง และจัดการเลือกตั้งใหม่ ...
ที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 20 ก.ค. ศาลอ่านคำสั่งคดีที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยื่นฟ้อง นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. และกับพวก กกต. ขอให้ศาลฎีกา มีคำพิพากษาเพิกถอนการเลือกตั้ง ส.ส.เป็นการทั่วไปเมื่อวันที่ 3 ก.ค.54 ที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นการเลือกตั้งที่ไม่สุจริตและเที่ยงธรรม และให้มีคำสั่งจัดการเลือกตั้งใหม่ กรณี กกต. นำมาตรา 97 และ 101 พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ.2550 ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ลงทะเบียนขอใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตเลือกตั้ง และไม่ได้ขอลงทะเบียนเปลี่ยนแปลงต้องใช้สิทธิเลือกตั้งนอกเขตเลือกตั้งตามที่เคยขอลงทะเบียนไว้ มาวินิจฉัยในการใช้สิทธิ์เลือกตั้งโดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เป็นไปในลักษณะตัดสิทธิเลือกตั้งของผู้ร้องและประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งอีกจำนวนมาก
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ไม่มีกฎหมายใดบัญญัติให้อำนาจ ผู้ร้องยื่นคดีต่อศาลเพื่อขอให้เพิกถอนการเลือกตั้ง และจัดการเลือกตั้งใหม่ จึงให้ยกคำร้อง และจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ.
ที่มา: ไทยรัฐ
///////////////////////
สงครามหรือเสียแผ่นดิน !!?
โดย.พญาไม้ทูเดย์
ประเดิม...งานใหญ่งานแรกของ..นายกรัฐมนตรีคนใหม่..ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร..และผู้จัดการประเทศ..ทักษิณ ชินวัตร...คือ..คำพิพากษาของศาลโลก ข้อเขียนนี้เกิดก่อนวันพิพากษา..
ถ้า..ศาลโลกพิพากษาไปตามแนวทางคำขอของ..กัมพูชา..คือให้เขตพื้นที่โดยรอบตกเป้นของกัมพูชาและให้ไทยถอนทหารออกจากบริเวณนั้นทันที..
ปัญหาคือว่า..รัฐบาลจะสั่งกองทัพได้หรือไม่..
กองทัพอาจจะบอกว่าต้องทำตามคำสั่งรัฐบาล..แต่ประชาชนที่ไม่ชื่นชอบในพรรคเพื่อไทยและไม่นิยมใน ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ อาจจะก่อหวอดสร้างพลังต่อต้านขึ้นมาบนท้องถนน..และลามไหม้ต่อไปจนกลายเป็นเรื่องไล่รัฐบาล
หากว่าประเทศไทย..ปฏิเสธคำพิพากษาของศาลโลก..ก็จะเป็นจะต้องเผชิญหน้ากับสภาวะสงครามกับประเทศกัมพูชาและพันธมิตรอินโดจีนของเขา..และที่สำคัญที่สุดนั้น..มิตรภาพระหว่าง..ผู้นำกัมพูชา กับ ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ก็จะมีปัญหา..
ในฐานะพลเมืองไทยคนหนึ่ง..หากว่าคำพิพากษาของศาลโลก..มีผลทำให้ประเทศไทยต้องเสียดินแดนเพิ่มขึ้นจากคำพิพากษาของศาลโลกเมื่อปี 2505 แล้ว..เป็นสิ่งที่คนไทยอย่างเราทำใจยอมรับลำบากหรือไม่ยอมรับ
สันติภาพไม่มีความหมาย มิตรภาพไม่ใช่ความปรารถนาต้องการ..ประเทศต้องพร้อมที่จะเข้าสู่สงคราม..เพื่อเดินหน้าเข้าไปเอาดินแดนในอดีตที่ฟรั่งเศส..ใช้เรือปืนมาขู่และคนไทยในครั้งนั้น..ขลาดต่อสงครามและยอมเสียดินแดนและผู้คน
ประเทศไทย..ต้องพร้อมและสนับสนุนที่จะให้คนไทยในเขตปกครองของกัมพูชา..จับอาวุธขึ้นมาต่อสู้เพื่อปลดปล่อยพวกเขาแล้วสร้างเขมรตะวันตกหรือไทยตะวันออกขี้นมา..ประเทศไทยต้องทำในสิ่งที่ควรทำมานานแล้ว แต่..ผู้นำชาติกลับนิ่งเฉยและไม่นำพา
กองทัพที่เก่งแต่จะฆ่าแต่ประชาชนของตนเอง..ต้องกล้าพอที่จะทำสงครามขยายดินแดน..ที่หยุดมาแล้วกว่า 200 ปี..และยินดีแต่การ..ส่งมอบแผ่นดินให้กับผู้รุกราน
ยิ่งลักษณ์..ชินวัตร..โชคดี..เพราะเรื่องนี้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ..ยังเป็นนายกรัฐมนตรี..
ที่มา.บางกอกทูเดย์
**************************************
ประเดิม...งานใหญ่งานแรกของ..นายกรัฐมนตรีคนใหม่..ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร..และผู้จัดการประเทศ..ทักษิณ ชินวัตร...คือ..คำพิพากษาของศาลโลก ข้อเขียนนี้เกิดก่อนวันพิพากษา..
ถ้า..ศาลโลกพิพากษาไปตามแนวทางคำขอของ..กัมพูชา..คือให้เขตพื้นที่โดยรอบตกเป้นของกัมพูชาและให้ไทยถอนทหารออกจากบริเวณนั้นทันที..
ปัญหาคือว่า..รัฐบาลจะสั่งกองทัพได้หรือไม่..
กองทัพอาจจะบอกว่าต้องทำตามคำสั่งรัฐบาล..แต่ประชาชนที่ไม่ชื่นชอบในพรรคเพื่อไทยและไม่นิยมใน ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ อาจจะก่อหวอดสร้างพลังต่อต้านขึ้นมาบนท้องถนน..และลามไหม้ต่อไปจนกลายเป็นเรื่องไล่รัฐบาล
หากว่าประเทศไทย..ปฏิเสธคำพิพากษาของศาลโลก..ก็จะเป็นจะต้องเผชิญหน้ากับสภาวะสงครามกับประเทศกัมพูชาและพันธมิตรอินโดจีนของเขา..และที่สำคัญที่สุดนั้น..มิตรภาพระหว่าง..ผู้นำกัมพูชา กับ ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ก็จะมีปัญหา..
ในฐานะพลเมืองไทยคนหนึ่ง..หากว่าคำพิพากษาของศาลโลก..มีผลทำให้ประเทศไทยต้องเสียดินแดนเพิ่มขึ้นจากคำพิพากษาของศาลโลกเมื่อปี 2505 แล้ว..เป็นสิ่งที่คนไทยอย่างเราทำใจยอมรับลำบากหรือไม่ยอมรับ
สันติภาพไม่มีความหมาย มิตรภาพไม่ใช่ความปรารถนาต้องการ..ประเทศต้องพร้อมที่จะเข้าสู่สงคราม..เพื่อเดินหน้าเข้าไปเอาดินแดนในอดีตที่ฟรั่งเศส..ใช้เรือปืนมาขู่และคนไทยในครั้งนั้น..ขลาดต่อสงครามและยอมเสียดินแดนและผู้คน
ประเทศไทย..ต้องพร้อมและสนับสนุนที่จะให้คนไทยในเขตปกครองของกัมพูชา..จับอาวุธขึ้นมาต่อสู้เพื่อปลดปล่อยพวกเขาแล้วสร้างเขมรตะวันตกหรือไทยตะวันออกขี้นมา..ประเทศไทยต้องทำในสิ่งที่ควรทำมานานแล้ว แต่..ผู้นำชาติกลับนิ่งเฉยและไม่นำพา
กองทัพที่เก่งแต่จะฆ่าแต่ประชาชนของตนเอง..ต้องกล้าพอที่จะทำสงครามขยายดินแดน..ที่หยุดมาแล้วกว่า 200 ปี..และยินดีแต่การ..ส่งมอบแผ่นดินให้กับผู้รุกราน
ยิ่งลักษณ์..ชินวัตร..โชคดี..เพราะเรื่องนี้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ..ยังเป็นนายกรัฐมนตรี..
ที่มา.บางกอกทูเดย์
**************************************
ยืมดาบฆ่าคน!!
แขวนปู จับ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ดองเป็นปูเค็ม..เพื่อสกัดเส้นทาง “ตระกูลชินวัตร” ไปให้พ้น???
อยากให้ “ผู้เฒ่า” เจ้าของ “สัมปทานไม้ป่าเดียวกัน” ระงับยับยั้งชั่งใจ มีหิริโอตัปปะบ้าง ปัญญาจะได้เกิด
กรุณาอย่าทำตัวเป็น “เฒ่าสารพัดพิษ” มากนักเลย..ปล่อยให้ “น้องปู” เป็นนายกฯ ตามเจตนารมณ์เสียงสวรรค์ ๑๕ ล้านเสียงของประชาชนเถิด
ประเทศชาติ บ้านเมือง จะได้หลุดพ้นพันธนาการ แห่งความแตกแยกกันเสียที..ยิ่งจับ “น้องปู” มาดองเค็ม เหมือนจะผ่าประเทศ ออกเป็น ๒ ซีก!!
ท่านก็แก่เดินงก ๆ เงิ่นๆ จะคว่ำ..น่าล้างมือในอ่างทองคำ?..ไม่ควรทำให้บ้านเมืองยุ่งอีก???
--------------------------------------
“บรรพชิต” ต้องจำ “พรรษา”!!
บางคน?...มีชื่อนำหน้า ขึ้นต้นด้วย _?_ แทนที่จะอยู่ในประเทศไทย แต่เป็นขอมดำดิน ออกไปนอกประเทศ จนเป็นที่ฮือฮา??
ว่ากันว่า, ไปในช่วงจังหวะเหมาะเหม็ง... ช่วงเดียวกันกับ “กลุ่มอรหันต์ทองคำ” ไปดูราชการที่ต่างประเทศ ไงล่ะเจ้านาย
เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์เพื่อสกัดเส้นทาง “ปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ให้เป็นนารีขี่ม้าขาว เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี นั่นปะไร
การวางแผนเจาะยาง“ยิ่งลักษณ์” ถูกปูพรมออกมาแล้วเป็นช็อตๆ ..ถึงอย่างไรก็ดี, จับ “ยิ่งลักษณ์” แช่ช่องฟรีส เข้าห้องเย็น แต่ “พรรคเพื่อไทย” ก็ยังเป็นรัฐบาล!!
ทำท่าว่าส้มลูกใหญ่...จะหล่นทับใส่?..ให้ “พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก” ได้เป็นนายกฯสิท่าน??
---------------------------------
โลกของ “ไม้ป่าพันธ์ุเดียวกัน”!!
ผิดเพศผิดฝาผิดตัวกันเช่นนั้น.. ยามจะมีความสุขสักหน่อย ก็ต้องปิดบังกันจ้าละหวั่น??
ว่ากันว่าขณะนี้ ,มีรูปของ “ไม้ป่าพันธ์ุเดียวกัน” ใน “กลุ่มแก๊งค์อ็อกฟอร์ด” ถูกฝ่ายสีเขียว ถ่ายเอาไว้
เปิดรูปเห็นภาพแล้วล่ะก้อ...ที่ทำรันทด ว่าร้องห่มร้องไห้ กับเมีย..บางทีจะถึงที่ตาย
ก็เล่นพิเรนทร์ ซัลโวประตูหลังกันแบบนั้น มันผิดฟ้าผิดดิน จึงเกิดอาเพศทำให้ตัวย่ำแย่!!
คนที่ประกาศลาออกเสียงดัง ๆ ..แต่ตอนนี้ทำเป็นแมวหวงก้าง?..เห็นภาพจังๆ คงล้มฟุบแน่
--------------------------------
ถอดรูทสมการกันทีละเปาะ!!
ฟันธงโค้งสุดท้าย เห็นว่า“บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ ยังสมควรเป็น “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม” เพราะแพนนิ่งทุกอย่างแล้ว ล้วนมีความเหมาะ
ถึงจะมี “พล.อ.สำเภา ชูศรี” พี่เอื้อยแห่ง จปร.๑๒ สอดแทรก มาเป็นคู่แข่งคนสำคัญ
โดยมีดีกรีพ่วงท้าย เป็น “น้องเขย” ของ “พล.อ.ธีรเดช มีเพียร” ประธานวุฒิสภาฯ คนที่ ๑๘ ของประเทศไทย..แต่ทว่าตรงนี้ ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกัน
ถ้า “บิ๊กสำเภา” จะได้เป็นนายใหญ่ คุมกระทรวงปืน กระทรวงทหาร ..น่ามาจากความครบเครื่องในสถาบันทหาร ที่มีคนรัก อย่างแน่นเหนียว!!
แต่ดูแล้ว “บิ๊กป้อม”น่าเข้าวิน...คว้าเก้าอี้ไปกิน?...ได้โบยบินเป็น “รมว.กลาโหม”อีกเที่ยว??
----------------------------------
“โด๊ป” กันอย่างสุด..สุด!!
เรื่องแรงโด๊ป ใช้สารกระตุ้นกันแล้ว ต้องยอมรับว่า “หลงจู๊บรรหาร ศิลปอาชา” จ่าฝูงพรรคชาติไทยพัฒนา ท่านมีแรงโด๊ป ที่ใครยากจะหยุด??
ได้เก้าอี้รัฐมนตรี ๓ กระทรวงใหญ่ “เกษตร-การท่องเที่ยว” และ “รัฐมนตรีช่วยคมนาคม”ล้วนแต่เก้าอี้ดัง ๆ
แต่เพื่อเช็ดน้ำตา “ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์” จึงจะไม่เอา “รมช.คมนาคม” ขอเปลี่ยนเป็น “รัฐมนตรีช่วยกระทรวงการคลัง”
เมื่อ “เติ้งหาร” หันไปเอา “รมช.คลัง”..จึงทำให้ “เกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร” เจ้าของโควตารัฐมนตรีช่วยคมนาคม ก็เก๊กซิมนั่งกินน้ำเก๊กฮวย เมื่อชวดตำแหน่ง!!
รู้แต่ว่างานนี้... “สส.เกื้อกูล” โกรธจนหูร้อนฉี่?....ยั๊วะเต็มที่จนหน้าแดง???
คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////
อยากให้ “ผู้เฒ่า” เจ้าของ “สัมปทานไม้ป่าเดียวกัน” ระงับยับยั้งชั่งใจ มีหิริโอตัปปะบ้าง ปัญญาจะได้เกิด
กรุณาอย่าทำตัวเป็น “เฒ่าสารพัดพิษ” มากนักเลย..ปล่อยให้ “น้องปู” เป็นนายกฯ ตามเจตนารมณ์เสียงสวรรค์ ๑๕ ล้านเสียงของประชาชนเถิด
ประเทศชาติ บ้านเมือง จะได้หลุดพ้นพันธนาการ แห่งความแตกแยกกันเสียที..ยิ่งจับ “น้องปู” มาดองเค็ม เหมือนจะผ่าประเทศ ออกเป็น ๒ ซีก!!
ท่านก็แก่เดินงก ๆ เงิ่นๆ จะคว่ำ..น่าล้างมือในอ่างทองคำ?..ไม่ควรทำให้บ้านเมืองยุ่งอีก???
--------------------------------------
“บรรพชิต” ต้องจำ “พรรษา”!!
บางคน?...มีชื่อนำหน้า ขึ้นต้นด้วย _?_ แทนที่จะอยู่ในประเทศไทย แต่เป็นขอมดำดิน ออกไปนอกประเทศ จนเป็นที่ฮือฮา??
ว่ากันว่า, ไปในช่วงจังหวะเหมาะเหม็ง... ช่วงเดียวกันกับ “กลุ่มอรหันต์ทองคำ” ไปดูราชการที่ต่างประเทศ ไงล่ะเจ้านาย
เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์เพื่อสกัดเส้นทาง “ปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ให้เป็นนารีขี่ม้าขาว เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี นั่นปะไร
การวางแผนเจาะยาง“ยิ่งลักษณ์” ถูกปูพรมออกมาแล้วเป็นช็อตๆ ..ถึงอย่างไรก็ดี, จับ “ยิ่งลักษณ์” แช่ช่องฟรีส เข้าห้องเย็น แต่ “พรรคเพื่อไทย” ก็ยังเป็นรัฐบาล!!
ทำท่าว่าส้มลูกใหญ่...จะหล่นทับใส่?..ให้ “พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก” ได้เป็นนายกฯสิท่าน??
---------------------------------
โลกของ “ไม้ป่าพันธ์ุเดียวกัน”!!
ผิดเพศผิดฝาผิดตัวกันเช่นนั้น.. ยามจะมีความสุขสักหน่อย ก็ต้องปิดบังกันจ้าละหวั่น??
ว่ากันว่าขณะนี้ ,มีรูปของ “ไม้ป่าพันธ์ุเดียวกัน” ใน “กลุ่มแก๊งค์อ็อกฟอร์ด” ถูกฝ่ายสีเขียว ถ่ายเอาไว้
เปิดรูปเห็นภาพแล้วล่ะก้อ...ที่ทำรันทด ว่าร้องห่มร้องไห้ กับเมีย..บางทีจะถึงที่ตาย
ก็เล่นพิเรนทร์ ซัลโวประตูหลังกันแบบนั้น มันผิดฟ้าผิดดิน จึงเกิดอาเพศทำให้ตัวย่ำแย่!!
คนที่ประกาศลาออกเสียงดัง ๆ ..แต่ตอนนี้ทำเป็นแมวหวงก้าง?..เห็นภาพจังๆ คงล้มฟุบแน่
--------------------------------
ถอดรูทสมการกันทีละเปาะ!!
ฟันธงโค้งสุดท้าย เห็นว่า“บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ ยังสมควรเป็น “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม” เพราะแพนนิ่งทุกอย่างแล้ว ล้วนมีความเหมาะ
ถึงจะมี “พล.อ.สำเภา ชูศรี” พี่เอื้อยแห่ง จปร.๑๒ สอดแทรก มาเป็นคู่แข่งคนสำคัญ
โดยมีดีกรีพ่วงท้าย เป็น “น้องเขย” ของ “พล.อ.ธีรเดช มีเพียร” ประธานวุฒิสภาฯ คนที่ ๑๘ ของประเทศไทย..แต่ทว่าตรงนี้ ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกัน
ถ้า “บิ๊กสำเภา” จะได้เป็นนายใหญ่ คุมกระทรวงปืน กระทรวงทหาร ..น่ามาจากความครบเครื่องในสถาบันทหาร ที่มีคนรัก อย่างแน่นเหนียว!!
แต่ดูแล้ว “บิ๊กป้อม”น่าเข้าวิน...คว้าเก้าอี้ไปกิน?...ได้โบยบินเป็น “รมว.กลาโหม”อีกเที่ยว??
----------------------------------
“โด๊ป” กันอย่างสุด..สุด!!
เรื่องแรงโด๊ป ใช้สารกระตุ้นกันแล้ว ต้องยอมรับว่า “หลงจู๊บรรหาร ศิลปอาชา” จ่าฝูงพรรคชาติไทยพัฒนา ท่านมีแรงโด๊ป ที่ใครยากจะหยุด??
ได้เก้าอี้รัฐมนตรี ๓ กระทรวงใหญ่ “เกษตร-การท่องเที่ยว” และ “รัฐมนตรีช่วยคมนาคม”ล้วนแต่เก้าอี้ดัง ๆ
แต่เพื่อเช็ดน้ำตา “ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์” จึงจะไม่เอา “รมช.คมนาคม” ขอเปลี่ยนเป็น “รัฐมนตรีช่วยกระทรวงการคลัง”
เมื่อ “เติ้งหาร” หันไปเอา “รมช.คลัง”..จึงทำให้ “เกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร” เจ้าของโควตารัฐมนตรีช่วยคมนาคม ก็เก๊กซิมนั่งกินน้ำเก๊กฮวย เมื่อชวดตำแหน่ง!!
รู้แต่ว่างานนี้... “สส.เกื้อกูล” โกรธจนหูร้อนฉี่?....ยั๊วะเต็มที่จนหน้าแดง???
คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////
วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
ข่าวบก.สมยศ จากคุก
โดยทนายความ สุวิทย์ ทองนวล
10 องค์กรสิทธิมนุษยชนนำโดย The Asian Human Rights Commission ได้ร่วมกันออกแถลงการณ์ประณามรัฐบาลไทย ที่หน่วงเหนี่ยวกักขังทำร้ายร่างกายและจิตใจนักโทษการเมืองจำนวนมาก และให้รีบปลดปล่อยและยุติความโหดร้ายทารุณทุกรูปแบบโดยแถลงข่าวเมื่อ 26 มิถุนายน 2554 พอดีเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ ผมในฐานะทนายความของ คุณสมยศ พฤกษาเกษมสุข บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ Red Power ที่ถูกกักขังระหว่างก่อนส่งฟ้องศาลซึ่งโดยสิทธิตามรัฐธรรมนูญและสิทธิตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนขององค์การสหประชาชาติที่ไทยลงนามรับรองสิทธิของผู้ต้องหาที่ศาลยังมิได้ตัดสินคดีว่ามีความผิด ควรจะได้รับการประกันตัวแต่นายสมยศได้เคยยื่นประกันตัวถึง 3 ครั้งแล้ว โดยยื่นในชั้นกรมสอบสวนคดีพิเศษครั้งหนึ่ง และยื่นในชั้นศาล 2 ครั้ง แต่ได้รับการปฏิเสธทั้งหมดโดยเฉพาะครั้งล่าสุดยื่นคำร้องขอประกันตัวต่อศาลเมื่อ 27 มิถุนายน 2554 ซึ่งเป็นความบังเอิญที่ยื่นใกล้ๆกับองค์กรสิทธิมนุษยชนแถลงข่าว ซึ่งคุณสมยศก็อยู่ในกลุ่มผู้ต้องหาที่พวกองค์กรสิทธิมนุษยชนเรียกร้องให้ปล่อยตัวด้วย ดังนั้นเพื่อเป็นความรู้และความเข้าใจต่อแนวทางของศาลไทยและความประสงค์ของแฟนคลับคุณสมยศที่โทรมาถามผมอยู่เสมอ เพราะอยากทราบความคืบหน้า ผมในฐานะทนายความจึงขอนำคำสั่งศาลและคำร้องที่ยื่นล่าสุดนี้มาให้ประชาชนได้ศึกษากัน
ผู้ต้องหาขอกราบเรียนด้วยความเคารพว่า แม้ผู้ต้องหาจะถูกจับขณะจะเดินทางออกนอกราชอาณาจักรที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ก็จริง แต่เป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนอย่างยิ่งจนนำมาสู่การนำความเท็จมากล่าวต่อศาล กล่าวคือ ผู้ต้องหามีอาชีพเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์แต่มีรายได้ไม่พอเลี้ยงชีพ เนื่องจากเป็นหนังสือพิมพ์ฉบับเล็กๆจึงประกอบอาชีพเสริมโดยพาคณะท่องเที่ยวไปเที่ยวประเทศกัมพูชาและประเทศแถบอินโดจีนมาเป็นเวลานานประมาณปีเศษแล้วโดยทำงานร่วมกับนายยงยุทธ อุกฤษ เจ้าของบริษัท เอที ชลบุรีทัวส์ จำกัด ปรากฏหลักฐานการโฆษณาที่แนบมาท้ายคำร้องนี้ (เอกสารแนบท้ายหมายเลข 1) และจากการพาคณะไปท่องเที่ยวผู้ต้องหาก็นำเรื่องราวจากการเดินทางมาเขียนตีพิมพ์ในนิตยสาร เพื่อเชิญชวนผู้อ่านไปเที่ยวอันเป็นการส่งเสริมการตลาดอีกด้วย ปรากฏหลักฐานบทความสารคดีการท่องเที่ยวที่ลงในนิตยสาร Red Power หลายฉบับที่แนบมานี้ (เอกสารแนบท้ายหมายเลข 2) การเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ซึ่งเป็นวันที่ผู้ต้องหาถูกจับ เป็นรายการที่ผู้ต้องหาและผู้ร่วมงานกำหนดไว้ล่วงหน้าอย่างเปิดเผยแล้วที่จะเดินทางพาคณะไปเที่ยวประเทศกัมพูชาระหว่างวันที่ 30 เมษายน – 3 พฤษภาคม 2554 ปรากฏหลักฐานตามสำเนาภาพถ่ายรายการโฆษณาที่ลงในนิตยสาร Red Power ท้ายคำร้อง (เอกสารแนบท้ายหมายเลข 3) ก่อนหน้านี้ผู้ต้องหาเคยพาคณะไปเที่ยวประเทศกัมพูชามาแล้วถึง 3 ครั้ง คือระหว่างวันที่ 3 – 5 ตุลาคม 2553 และระหว่างวันที่ 4 – 6 ธันวาคม 2553 และระหว่างวันที่ 20 – 22 กุมภาพันธ์ 2554 และก็กลับเข้าประเทศเป็นปกติในทางเดียวกัน ปรากฏหลักฐานตามสำเนาภาพถ่ายหนังสือเดินทางระหว่างประเทศที่ตรวจลงตราการผ่านเข้าออกประเทศ ท้ายคำร้อง (เอกสารแนบท้ายหมายเลข 4) ดังนั้นการที่ผู้ต้องหาจะเดินทางไปประเทศกัมพูชาในวันที่ 30 เมษายน 2554 จึงมิใช่เดินทางออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจะหลบหนีตามเหตุผลที่พนักงานสอบสวนร้องคัดค้าน
ข้อ 3 ผู้ต้องหาไม่เคยมีประวัติการหนีคดีเลย
ผู้ต้องหาคดีนี้เคยถูกควบคุมตัวมาแล้วหลายครั้งและล้วนแต่เป็นคดีการเมือง เนื่องจากผู้ต้องหาเป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนและต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยโดยใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญอย่างเปิดเผยมานานกว่า 10 ปี เป็นที่รู้จักทั้งในประเทศและต่างประเทศ และเมื่อครั้งรัฐบาลประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินเมื่อกลางปี 2553 ผู้ต้องหาในฐานะบรรณาธิการของนิตยสารเสียงทักษิณ (Voice of Taksin) ในขณะนั้นได้ร่วมกับนายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนแสดงความคิดเห็นคัดค้านการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ของรัฐบาลอย่างเปิดเผยจึงถูกจับกุมตัวในข้อหาว่ากระทำการฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ผู้ต้องหาก็ไม่ได้คิดจะหลบหนี และถูกทหารนำตัวไปขังไว้ที่ค่ายอดิสร จังหวัดสระบุรี ซึ่งต่อมาพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาและอาจารย์สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ และก่อนหน้านี้ผู้ต้องหาก็ถูก พลเอกสพรั่ง กัลยาณมิตร หนึ่งในคณะผู้ยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลอาญา คดีหมายเลขแดงที่ 1078/2552 เรื่องที่ผู้ต้องหาออกมาแสดงความคิดเห็นและคัดค้านการยึดอำนาจของ พลเอกสพรั่ง กัลยาณมิตร และนอกจากนี้ยังถูกพนักงานอัยการฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลแขวงดุสิตในเหตุการณ์ที่ผู้ต้องหาร่วมชุมนุมคัดค้านที่มาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติที่ พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะผู้ยึดอำนาจทำลายระบอบประชาธิปไตย เป็นผู้แต่งตั้งโดยผู้ต้องหาเป็นจำเลยใน 3 คดีได้แก่ คดีหมายเลขดำที่ 593/2553 แดงที่ 3390/2553, คดีหมายเลขดำที่ 594/2553 แดงที่ 208/2554, คดีหมายเลขดำที่ 595/2553 แดงที่ 658/2554 ของศาลแขวงดุสิต ซึ่งในระหว่างการพิจารณาคดีทั้งหมด ผู้ต้องหาก็ได้รับการประกันตัวโดยไม่ต้องวางหลักทรัพย์ แม้การพิจารณายาวนานเป็นปีแต่ผู้ต้องหาก็ไม่เคยคิดหลบหนีแต่อย่างใด อีกทั้งผู้ต้องหาก็มีฐานะยากจนไม่มีทุนรอนพอที่จะหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศหรือหลบหนีโดยไม่ต้องทำมาหากินได้
ข้อ 4 คดีนี้เป็นคดีการเมืองที่ผู้ต้องหามิได้เป็นผู้กระทำเพียงแต่ผู้ต้องหาเป็นผู้ประกอบอาชีพสื่อมวลชนเท่านั้น
ผู้ต้องหาประกอบอาชีพเป็นสื่อมวลชน ดูแลการตีพิมพ์บทความในนิตยสาร Voice of Taksin ซึ่งในทางวิชาชีพของผู้ต้องหาประกอบกับผู้ต้องหามีชีวิตที่ต่อสู้เพื่อสิทธิประชาธิปไตยและความเป็นธรรมทางสังคมมาโดยตลอด ดังนั้นนิตยสารจึงมีแนวทางที่วิพากษ์วิจารณ์เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เพื่อความเป็นธรรมอย่างตรงไปตรงมา ทำให้รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่บริหารประเทศตลอด 2 ปี ซึ่งเป็นรัฐบาลที่มีส่วนร่วมในการร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯโดยไม่ชอบ โดยการยึดทำเนียบรัฐบาลและยึดสนามบิน และบริหารบ้านเมืองด้วยความไม่ซื่อสัตย์ ไม่พอใจผู้ต้องหาในฐานะบรรณาธิการของนิตยสารที่ลงบทความวิพากษ์วิจารณ์การบริหารของรัฐบาลอย่างรุนแรงและตรงไปตรงมา จึงหาทางที่จะกลั่นแกล้งผู้ต้องหาไม่ให้สามารถดำเนินกิจการธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ต่อไปได้ จึงพยายามกระทำทุกวิถีทางที่จะให้สื่อของผู้ต้องหาปิดกิจการลง อาทิเช่น ส่งเจ้าหน้าที่ไปข่มขู่โรงพิมพ์ที่รับพิมพ์นิตยสารของผู้ต้องหา ข่มขู่ร้านค้าที่วางจำหน่ายนิตยสารของผู้ต้องหา จับผิดเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับการจัดพิมพ์เอกสาร จนกระทั่งตั้งข้อหาร้ายแรงอย่างไม่เป็นธรรมต่อผู้ต้องหาว่าเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการล้มเจ้าและนำมาสู่การกลั่นแกล้งผู้ต้องหาโดยยัดเยียดข้อหาให้ผู้ต้องหาเป็นคดีนี้ ดังนั้นพฤติการณ์ในการดำเนินคดีนี้จึงเป็นคดีทางการเมืองที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ใช้เจ้าหน้าที่รัฐเป็นเครื่องมือโดยเฉพาะนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสืบสวนคดีพิเศษ กระทำการรับใช้ทางการเมืองอย่างไม่ชอบโดยใช้กฎหมายเพื่อทำลายศัตรูทางการเมืองของรัฐบาล และที่เลวร้ายที่สุดคือการนำกฎหมายเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเครื่องมือ
ข้อ 5คดีนี้ศาลยังไม่ตัดสินว่าผู้ต้องหามีความผิดตามข้อกล่าวหาดังนั้นจะปฏิบัติต่อผู้ต้องหา เสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้
ตามสิทธิแห่งรัฐธรรมนูญผู้ต้องหามีสิทธิที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ตามกระบวนการยุติธรรมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคดีนี้ยังอยู่ในชั้นของพนักงานสอบสวนซึ่งยังไม่ปรากฏชัดว่าจะมีหลักฐานเพียงพอที่จะสั่งฟ้องผู้ต้องหาได้หรือไม่ การที่ผู้ต้องหาเป็นสื่อมวลชนต้องถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำทั้งๆที่ศาลยังไม่ได้ตัดสินว่ากระทำความผิด จึงเป็นการปฏิบัติที่มิชอบต่อผู้ต้องหาอันเป็นการละเมิดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 39 อย่างชัดเจน
จากการควบคุมตัวผู้ต้องหาที่เป็นสื่อมวลชนอย่างขาดเหตุขาดผลเช่นนี้ย่อมทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อสาธารณชนว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยมิได้เป็นไปตามหลักแห่งสากล หากแต่เป็นไปตามอารมณ์ของผู้มีอำนาจรัฐย่อมไม่เป็นผลดีต่ออำนาจตุลาการที่เป็นอำนาจอิสระเป็นหนึ่งในสามอำนาจอธิปไตย ดังจะเห็นได้จากองค์กรต่างประเทศได้ส่งจดหมายถึงนายกรัฐมนตรีเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ต้องหา เช่นจดหมายขององค์กรสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมาเลเซีย , จดหมายของสหภาพแรงงานแห่งชาติเนปาล, จดหมายของสหภาพแรงงานอาหารและการบริการแห่งชาติกัมพูชา ,จดหมายของสมาชิกคณะกรรมการกลางพรรคสังคมนิยมแห่งมาเลเซีย , จดหมายของศูนย์ข้อมูลแรงงานเอเชีย ฮ่องกง , จดหมายของเลขาธิการใหญ่ศูนย์ข้อมูลแรงงานเอเชีย ฮ่องกง และจดหมายของเครือข่ายการเคลื่อนไหวชุมชน ประเทศมาเลเซีย ปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายจดหมายพร้อมคำแปล (เอกสารแนบท้ายหมายเลข 6)
สุดท้ายนี้ท่านผู้อ่านคงเห็นด้วยกับผมว่าเหตุผลที่ผมเรียบเรียงมาทั้ง 5 ข้อนี้หากศาลจะให้ความกรุณาโต้แย้งว่าไม่ถูกต้องอย่างไร ก็น่าจะเป็นความปลาบปลื้มใจของผู้ต้องหาและทนายความดีกว่าที่ศาลจะเขียนคำสั่งเพียงสั้นๆเสมือนท่านมิได้อ่านความคิดเห็นของประชาชนผู้เสียภาษีให้ท่านเลย
แต่เพื่อเข้าใจง่ายๆและเหมาะกับเนื้อที่กระดาษของหนังสือพิมพ์ผมจะนำประเด็นในคำร้องที่เสนอต่อศาลมาเสนอโดยตัดบางส่วนของคำร้องเล็กๆน้อยๆออกบ้าง แต่ที่ผมเสียใจที่สุดคือผมเรียบเรียงคำร้องอยู่หลายวันเพื่อขอความเมตตาจากศาลโดยชี้ถึงคำสั่งที่ไม่ให้ประกันครั้งก่อนว่าคลาดเคลื่อนอย่างไร และเพื่อผดุงเกียรติยศของศาลไทย ซึ่งมีความยาวถึง 11 หน้ากระดาษแต่ท่านรองอธิบดีศาลมีคำสั่งสั้นๆไม่กี่บรรทัดปฏิเสธห้วนๆว่า “เคยสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวโดยระบุเหตุผลไว้ชัดแจ้งแล้ว กรณีไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม” และเดี๋ยวนี้เป็นที่รู้กันว่าถ้าเป็นคดีการเมืองศาลที่เข้าเวรพิจารณาจะไม่มีสิทธิ์พิจารณาเพราะทุกคดีการเมืองวันนี้ศาลผู้ใหญ่ระดับอธิบดีและรองอธิบดี เป็นผู้พิจารณาให้ความเป็นธรรมเท่านั้น จึงขอสรุปคำร้องประเด็นสำคัญมาให้ทราบดังนี้
ข้อ 1. คดีนี้อยู่ในระหว่างพนักงานสอบสวนฝากขังผู้ต้องหาระหว่างการสอบสวนต่อศาล ผู้ต้องหาขอกราบเรียนว่า ด้วยข้อเท็จจริงที่คลาดเคลื่อนที่พนักงานสอบสวนผู้คัดค้านได้กราบเรียนข้อความเท็จต่อศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นการหลบหนีซึ่งเป็นการกล่าวเท็จของพนักงานสอบสวนจึงมีผลให้ศาลมีคำสั่งยกคำร้องปล่อยชั่วคราว โดยให้เหตุผลว่า “คดีมีอัตราโทษสูง ตามข้อหาเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร และความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์พฤติการณ์แห่งคดีและลักษณะการกระทำนำมาซึ่งความเสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เทิดทูนและเคารพสักการะ กระทบกระเทือนต่อจิตใจของประชาชนโดยรวม ประกอบกับผู้ต้องหาถูกจับกุมขณะกำลังจะเดินทางออกนอกราชอาณาจักรถือว่ามีพฤติการณ์หลบหนี หากให้ปล่อยชั่วคราวเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหา ยกคำร้อง...” แต่เพื่อให้ดุลยพินิจของศาลอยู่บนพื้นฐานข้อมูลที่ถูกต้องและเพื่อผดุงกระบวนการยุติธรรมให้ได้รับความเชื่อถือทั้งในประเทศและต่างประเทศในเมตตาธรรมแห่งกระบวนการศาลไทย ผู้ต้องหาจึงขอประทานอนุญาตยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวอีกครั้งหนึ่ง โดยผู้ต้องหาเชื่อมั่นว่าจะได้รับเมตตาธรรมจากศาลตามหลักการแห่งสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยได้ลงนามเป็นสมาชิกไว้แก่องค์การสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ โดยผู้ต้องหาขอกราบเรียนเหตุผลในการยื่นคำร้องดังนี้
ข้อ 2 ผู้ต้องหามิได้กำลังจะหลบหนีตามคำคัดค้านของพนักงานสอบสวนแต่อย่างใดคำกล่าวของพนักงานสอบสวนที่กล่าวต่อศาลเป็นเท็จ
ข้อ 2 ผู้ต้องหามิได้กำลังจะหลบหนีตามคำคัดค้านของพนักงานสอบสวนแต่อย่างใดคำกล่าวของพนักงานสอบสวนที่กล่าวต่อศาลเป็นเท็จ
ผู้ต้องหาขอกราบเรียนด้วยความเคารพว่า แม้ผู้ต้องหาจะถูกจับขณะจะเดินทางออกนอกราชอาณาจักรที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ก็จริง แต่เป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนอย่างยิ่งจนนำมาสู่การนำความเท็จมากล่าวต่อศาล กล่าวคือ ผู้ต้องหามีอาชีพเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์แต่มีรายได้ไม่พอเลี้ยงชีพ เนื่องจากเป็นหนังสือพิมพ์ฉบับเล็กๆจึงประกอบอาชีพเสริมโดยพาคณะท่องเที่ยวไปเที่ยวประเทศกัมพูชาและประเทศแถบอินโดจีนมาเป็นเวลานานประมาณปีเศษแล้วโดยทำงานร่วมกับนายยงยุทธ อุกฤษ เจ้าของบริษัท เอที ชลบุรีทัวส์ จำกัด ปรากฏหลักฐานการโฆษณาที่แนบมาท้ายคำร้องนี้ (เอกสารแนบท้ายหมายเลข 1) และจากการพาคณะไปท่องเที่ยวผู้ต้องหาก็นำเรื่องราวจากการเดินทางมาเขียนตีพิมพ์ในนิตยสาร เพื่อเชิญชวนผู้อ่านไปเที่ยวอันเป็นการส่งเสริมการตลาดอีกด้วย ปรากฏหลักฐานบทความสารคดีการท่องเที่ยวที่ลงในนิตยสาร Red Power หลายฉบับที่แนบมานี้ (เอกสารแนบท้ายหมายเลข 2) การเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ซึ่งเป็นวันที่ผู้ต้องหาถูกจับ เป็นรายการที่ผู้ต้องหาและผู้ร่วมงานกำหนดไว้ล่วงหน้าอย่างเปิดเผยแล้วที่จะเดินทางพาคณะไปเที่ยวประเทศกัมพูชาระหว่างวันที่ 30 เมษายน – 3 พฤษภาคม 2554 ปรากฏหลักฐานตามสำเนาภาพถ่ายรายการโฆษณาที่ลงในนิตยสาร Red Power ท้ายคำร้อง (เอกสารแนบท้ายหมายเลข 3) ก่อนหน้านี้ผู้ต้องหาเคยพาคณะไปเที่ยวประเทศกัมพูชามาแล้วถึง 3 ครั้ง คือระหว่างวันที่ 3 – 5 ตุลาคม 2553 และระหว่างวันที่ 4 – 6 ธันวาคม 2553 และระหว่างวันที่ 20 – 22 กุมภาพันธ์ 2554 และก็กลับเข้าประเทศเป็นปกติในทางเดียวกัน ปรากฏหลักฐานตามสำเนาภาพถ่ายหนังสือเดินทางระหว่างประเทศที่ตรวจลงตราการผ่านเข้าออกประเทศ ท้ายคำร้อง (เอกสารแนบท้ายหมายเลข 4) ดังนั้นการที่ผู้ต้องหาจะเดินทางไปประเทศกัมพูชาในวันที่ 30 เมษายน 2554 จึงมิใช่เดินทางออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจะหลบหนีตามเหตุผลที่พนักงานสอบสวนร้องคัดค้าน
ข้อ 3 ผู้ต้องหาไม่เคยมีประวัติการหนีคดีเลย
ผู้ต้องหาคดีนี้เคยถูกควบคุมตัวมาแล้วหลายครั้งและล้วนแต่เป็นคดีการเมือง เนื่องจากผู้ต้องหาเป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนและต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยโดยใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญอย่างเปิดเผยมานานกว่า 10 ปี เป็นที่รู้จักทั้งในประเทศและต่างประเทศ และเมื่อครั้งรัฐบาลประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินเมื่อกลางปี 2553 ผู้ต้องหาในฐานะบรรณาธิการของนิตยสารเสียงทักษิณ (Voice of Taksin) ในขณะนั้นได้ร่วมกับนายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนแสดงความคิดเห็นคัดค้านการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ของรัฐบาลอย่างเปิดเผยจึงถูกจับกุมตัวในข้อหาว่ากระทำการฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ผู้ต้องหาก็ไม่ได้คิดจะหลบหนี และถูกทหารนำตัวไปขังไว้ที่ค่ายอดิสร จังหวัดสระบุรี ซึ่งต่อมาพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาและอาจารย์สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ และก่อนหน้านี้ผู้ต้องหาก็ถูก พลเอกสพรั่ง กัลยาณมิตร หนึ่งในคณะผู้ยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลอาญา คดีหมายเลขแดงที่ 1078/2552 เรื่องที่ผู้ต้องหาออกมาแสดงความคิดเห็นและคัดค้านการยึดอำนาจของ พลเอกสพรั่ง กัลยาณมิตร และนอกจากนี้ยังถูกพนักงานอัยการฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลแขวงดุสิตในเหตุการณ์ที่ผู้ต้องหาร่วมชุมนุมคัดค้านที่มาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติที่ พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะผู้ยึดอำนาจทำลายระบอบประชาธิปไตย เป็นผู้แต่งตั้งโดยผู้ต้องหาเป็นจำเลยใน 3 คดีได้แก่ คดีหมายเลขดำที่ 593/2553 แดงที่ 3390/2553, คดีหมายเลขดำที่ 594/2553 แดงที่ 208/2554, คดีหมายเลขดำที่ 595/2553 แดงที่ 658/2554 ของศาลแขวงดุสิต ซึ่งในระหว่างการพิจารณาคดีทั้งหมด ผู้ต้องหาก็ได้รับการประกันตัวโดยไม่ต้องวางหลักทรัพย์ แม้การพิจารณายาวนานเป็นปีแต่ผู้ต้องหาก็ไม่เคยคิดหลบหนีแต่อย่างใด อีกทั้งผู้ต้องหาก็มีฐานะยากจนไม่มีทุนรอนพอที่จะหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศหรือหลบหนีโดยไม่ต้องทำมาหากินได้
ข้อ 4 คดีนี้เป็นคดีการเมืองที่ผู้ต้องหามิได้เป็นผู้กระทำเพียงแต่ผู้ต้องหาเป็นผู้ประกอบอาชีพสื่อมวลชนเท่านั้น
ผู้ต้องหาประกอบอาชีพเป็นสื่อมวลชน ดูแลการตีพิมพ์บทความในนิตยสาร Voice of Taksin ซึ่งในทางวิชาชีพของผู้ต้องหาประกอบกับผู้ต้องหามีชีวิตที่ต่อสู้เพื่อสิทธิประชาธิปไตยและความเป็นธรรมทางสังคมมาโดยตลอด ดังนั้นนิตยสารจึงมีแนวทางที่วิพากษ์วิจารณ์เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เพื่อความเป็นธรรมอย่างตรงไปตรงมา ทำให้รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่บริหารประเทศตลอด 2 ปี ซึ่งเป็นรัฐบาลที่มีส่วนร่วมในการร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯโดยไม่ชอบ โดยการยึดทำเนียบรัฐบาลและยึดสนามบิน และบริหารบ้านเมืองด้วยความไม่ซื่อสัตย์ ไม่พอใจผู้ต้องหาในฐานะบรรณาธิการของนิตยสารที่ลงบทความวิพากษ์วิจารณ์การบริหารของรัฐบาลอย่างรุนแรงและตรงไปตรงมา จึงหาทางที่จะกลั่นแกล้งผู้ต้องหาไม่ให้สามารถดำเนินกิจการธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ต่อไปได้ จึงพยายามกระทำทุกวิถีทางที่จะให้สื่อของผู้ต้องหาปิดกิจการลง อาทิเช่น ส่งเจ้าหน้าที่ไปข่มขู่โรงพิมพ์ที่รับพิมพ์นิตยสารของผู้ต้องหา ข่มขู่ร้านค้าที่วางจำหน่ายนิตยสารของผู้ต้องหา จับผิดเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับการจัดพิมพ์เอกสาร จนกระทั่งตั้งข้อหาร้ายแรงอย่างไม่เป็นธรรมต่อผู้ต้องหาว่าเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการล้มเจ้าและนำมาสู่การกลั่นแกล้งผู้ต้องหาโดยยัดเยียดข้อหาให้ผู้ต้องหาเป็นคดีนี้ ดังนั้นพฤติการณ์ในการดำเนินคดีนี้จึงเป็นคดีทางการเมืองที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ใช้เจ้าหน้าที่รัฐเป็นเครื่องมือโดยเฉพาะนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสืบสวนคดีพิเศษ กระทำการรับใช้ทางการเมืองอย่างไม่ชอบโดยใช้กฎหมายเพื่อทำลายศัตรูทางการเมืองของรัฐบาล และที่เลวร้ายที่สุดคือการนำกฎหมายเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเครื่องมือ
คดีนี้จึงเป็นคดีทางการเมืองซึ่งเป็นคดีที่ต่อสู้กันทางความคิดที่แต่ละฝ่ายมีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน ลักษณะของการกระทำไม่เหมือนคดีอาญาทั่วๆไป ผู้ต้องหาเพียงแต่นำบทความของบุคคลภายนอกที่ใช้นามปากกาว่า“จิตร พลจันทร์” ส่งมาให้ที่สำนักพิมพ์ของผู้ต้องหาทางการสื่อสารอิเลคโทรนิค ซึ่งผู้ต้องหาได้อ่านแล้วในฐานะบรรณาธิการเห็นว่าไม่มีข้อความตอนใดที่เข้าข่ายเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 การนำบทความดังกล่าวตีพิมพ์ในนิตยสาร Voice of Taksin จึงเป็นสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนที่จะกระทำได้และยิ่งตัวผู้ต้องหาในฐานะสื่อมวลชนก็ยิ่งสามารถกระทำได้และพึงกระทำตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช 2550 มาตรา 45 บัญญัติคุ้มครองไว้ เพื่อผดุงไว้ซึ่งคุณธรรมและเมตตาธรรมของระบบศาลไทยเพื่อให้มหาชนทั้งในประเทศและต่างประเทศเชื่อถือซึ่งหากเป็นไปตามครรลองที่กล่าวนี้ การนำบทความของ จิตร พลจันทร์ ไปตีพิมพ์ย่อมเห็นได้ด้วยดวงตาธรรมของศาลเองว่าเป็นการแสดงความคิดเห็นวิจารณ์ที่ก้าวหน้าและเป็นไปตามวิถีแห่งสังคมสมัยใหม่ที่ถือปรัชญาชีวิตแห่งปัจเจกชนนิยม โดยไม่มีเจตนาดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามที่พนักงานสอบสวนกล่าวหาแม้แต่น้อย พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ ทำคดีนี้เพื่อต้องการสนองนโยบายรัฐบาลชุดนี้ กล่าวคือ ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เคยแถลงข่าวผ่านสื่อมวลชนทุกแขนงว่า มีขบวนการล้มเจ้าและอ้างผังล้มเจ้าซึ่งมีบุคคลต่างๆในผังล้มเจ้าของ ศอฉ. หนึ่งในนั้นคือนิตยสาร Voice of Taksin และตัวของผู้ต้องหากับ ผศ.ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ต่อมาผศ.ดร.สุธาชัย ฯ ได้ยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ 1 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ 2 และพ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ที่ 3 ผู้แถลงข่าวเป็นจำเลยต่อศาลอาญาฐานหมิ่นประมาท ต่อมาคู่กรณีโดยเฉพาะ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด จำเลยที่ 3 ได้แถลงยอมรับว่าบุคคลผู้มีชื่อในผังล้มเจ้ามิได้กระทำผิดจริงเป็นการวิเคราะห์ ส่วนใครจะเชื่อก็เป็นเรื่องของบุคคลนั้นโดยแถลงต่อหน้าศาลว่า “ผังล้มเจ้าเป็นแค่การโยงบุคคลต่างๆ ว่าแต่ละคนเกี่ยวข้องกันในฐานะอะไร เช่น เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในฐานะญาติพี่น้อง เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในฐานะผู้ทำธุรกิจร่วมกัน อย่างนี้เป็นต้น มิได้แถลงว่า บุคคลทั้งปวงเหล่านั้นมีความสัมพันธ์ในฐานะที่เป็นผู้อยู่ในขบวนการ และมิได้ให้หมายความเช่นนั้น...........” รายละเอียดปรากฏตามคำแถลงที่แนบมานี้ (เอกสารแนบท้ายหมายเลข 5) ดังนั้นตามคำแถลงดังกล่าวของโฆษกกองทัพบก พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ก็ยืนยันแล้วว่า ข้อกล่าวหาที่ว่านิตยสาร Voice of Taksin และ ผศ.ดร.สุธาชัย ยิ้ม ประเสริฐ อยู่ในขบวนการล้มเจ้านั้นไม่เป็นความจริง
ข้อ 5คดีนี้ศาลยังไม่ตัดสินว่าผู้ต้องหามีความผิดตามข้อกล่าวหาดังนั้นจะปฏิบัติต่อผู้ต้องหา เสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้
ตามสิทธิแห่งรัฐธรรมนูญผู้ต้องหามีสิทธิที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ตามกระบวนการยุติธรรมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคดีนี้ยังอยู่ในชั้นของพนักงานสอบสวนซึ่งยังไม่ปรากฏชัดว่าจะมีหลักฐานเพียงพอที่จะสั่งฟ้องผู้ต้องหาได้หรือไม่ การที่ผู้ต้องหาเป็นสื่อมวลชนต้องถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำทั้งๆที่ศาลยังไม่ได้ตัดสินว่ากระทำความผิด จึงเป็นการปฏิบัติที่มิชอบต่อผู้ต้องหาอันเป็นการละเมิดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 39 อย่างชัดเจน
จากการควบคุมตัวผู้ต้องหาที่เป็นสื่อมวลชนอย่างขาดเหตุขาดผลเช่นนี้ย่อมทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อสาธารณชนว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยมิได้เป็นไปตามหลักแห่งสากล หากแต่เป็นไปตามอารมณ์ของผู้มีอำนาจรัฐย่อมไม่เป็นผลดีต่ออำนาจตุลาการที่เป็นอำนาจอิสระเป็นหนึ่งในสามอำนาจอธิปไตย ดังจะเห็นได้จากองค์กรต่างประเทศได้ส่งจดหมายถึงนายกรัฐมนตรีเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ต้องหา เช่นจดหมายขององค์กรสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมาเลเซีย , จดหมายของสหภาพแรงงานแห่งชาติเนปาล, จดหมายของสหภาพแรงงานอาหารและการบริการแห่งชาติกัมพูชา ,จดหมายของสมาชิกคณะกรรมการกลางพรรคสังคมนิยมแห่งมาเลเซีย , จดหมายของศูนย์ข้อมูลแรงงานเอเชีย ฮ่องกง , จดหมายของเลขาธิการใหญ่ศูนย์ข้อมูลแรงงานเอเชีย ฮ่องกง และจดหมายของเครือข่ายการเคลื่อนไหวชุมชน ประเทศมาเลเซีย ปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายจดหมายพร้อมคำแปล (เอกสารแนบท้ายหมายเลข 6)
ด้วยเหตุดังประทานกราบเรียนมาข้างต้นการใช้อำนาจควบคุมตัวผู้ต้องหาระหว่างดำเนินคดีจึงเป็นเรื่องของข้อยกเว้นที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและควรใช้อำนาจอย่างจำกัด การปล่อยตัวชั่วคราวจึงเป็นมาตรการอย่างหนึ่งในคดีอาญา เป็นการผ่อนคลายการจำกัดเสรีภาพในร่างกาย หรือเสรีภาพในการเคลื่อนไหว และให้โอกาสผู้ต้องหาหรือจำเลยซึ่งเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่เกิดบนผืนแผ่นดินไทยและบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 4 ได้บัญญัติคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ไว้ที่ทุกองค์ทุกภาคส่วนต้องถือเป็นหลักแห่งบ้านเมืองที่บันทึกในสุพรรณบัฏมิใช่บันทึกบนกระดาษชำระ ดังนั้นหากเป็นไปตามครรลองแห่งระบบรัฐประชาธิปไตยที่ถูกต้องผู้ต้องหาจึงควรได้รับการปล่อยชั่วคราวระหว่างพิจารณาจนกระทั่งศาลจะตัดสินว่ามีความผิดจริง สำหรับคดีนี้ผู้ต้องหาต้องถูกจองจำโดยอำนาจรัฐที่มิชอบโดยผู้ต้องหายังมิได้มีโอกาสพิสูจน์ใดๆเลย การจองจำผู้ต้องหาเช่นนี้จึงเป็นการประจานระบอบรัฐของไทยว่าเนื้อแท้เป็นเผด็จการและแน่นอนศาลก็เป็นหนึ่งในอำนาจรัฐย่อมได้รับผลกระทบไปด้วย การนำเสนอขอปล่อยชั่วคราวตามคำร้องนี้โดยเนื้อหาผู้ต้องหาต้องการผดุงระบบศาลไทยมิให้มัวหมองไปตามระบอบอำนาจรัฐเผด็จการ ด้วยความเคารพหากศาลยังเห็นว่าผู้ต้องหาอาจจะก่อเหตุใดๆที่ร้ายแรงตามความเชื่อของศาลนั้น ศาลย่อมที่จะกำหนดเงื่อนไขหรือออกข้อกำหนดที่จะให้ผู้ต้องหาปฏิบัติได้อยู่แล้ว ซึ่งเป็นทางออกที่ชอบตามกลไกแห่งอำนาจอธิปไตยอิสระและตามกลไกแห่งรัฐธรรมนูญ
ในการปล่อยชั่วคราวตามคำร้องนี้ไม่เป็นอุปสรรค หรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของเจ้าพนักงาน หรือการดำเนินคดีในศาล เนื่องจากผู้ต้องหามิได้มีอำนาจราชศักดิ์ใดๆที่จะกระทำการใดๆได้ ผู้ต้องหาเป็นเพียงสื่อมวลชนตัวเล็กๆ ที่ทำสื่อสิ่งพิมพ์ เสียภาษีให้รัฐเพื่อเลี้ยงชีพเท่านั้น ในทางตรงกันข้ามหากผู้ต้องหาไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวกลับยิ่งก่อให้เกิดความสงสัยในหมู่ประชาชนถึงการใช้อำนาจอย่าง 2 มาตรฐาน ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อภาวการณ์ที่จะสร้างความเข้าใจอันดีต่อกันเพื่อความสมานฉันท์และปรองดองกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะของประเทศชาติเวลานี้ ต้องการความสมานฉันท์ของประชาชนทุกหมู่เหล่า เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศที่หยุดชะงักมายาวนาน ได้ขับเคลื่อนไปในทิศทางที่ดีโดยเร็ว การปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาจึงไม่เป็นอุปสรรคแต่ประการใดโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ต้องหาเป็นหัวหน้าครอบครัวมีภาระต้องส่งเสียเลี้ยงดูครอบครัวซึ่งมีบุตร – ธิดา ที่อยู่วัยกำลังศึกษาถึง ๒ คน มีภาระค่าใช้จ่ายในครอบครัวเป็นจำนวนมาก ปรากฏหลักฐานตามสำเนาทะเบียนบ้าน ท้ายคำร้อง (เอกสารแนบท้ายหมายเลข 7) ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
สุดท้ายนี้ท่านผู้อ่านคงเห็นด้วยกับผมว่าเหตุผลที่ผมเรียบเรียงมาทั้ง 5 ข้อนี้หากศาลจะให้ความกรุณาโต้แย้งว่าไม่ถูกต้องอย่างไร ก็น่าจะเป็นความปลาบปลื้มใจของผู้ต้องหาและทนายความดีกว่าที่ศาลจะเขียนคำสั่งเพียงสั้นๆเสมือนท่านมิได้อ่านความคิดเห็นของประชาชนผู้เสียภาษีให้ท่านเลย
************************************************
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)