--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ วิพากษ์สงครามประชาธิปไตย 81 ปี !!?

ถนน สายประชาธิปไตย เวียนมาบรรจบครบรอบ 81 ปี ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองที่ยังแบ่งฝัก-แบ่งฝ่ายมีการตั้งคำถาม และวิเคราะห์ความขัดแย้งนี้ ไม่เพียงเกิดการปะทะกันระหว่างรัฐบาล ชนชั้นกลาง กับชนชั้นล่าง แต่ยังกระทบไปถึงโครงสร้างอำนาจระดับชนชั้นสูง จนถึงระดับบน

"ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ" อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ย้อนประวัติศาสตร์สงครามประชาธิปไตย ตลอด 81 ปีที่ผ่านมากับ "ประชาชาติธุรกิจ" เพื่อยกให้เห็นภาพการต่อสู้ทุกโครงสร้างอำนาจ

นับจากบรรทัดนี้ "ดร.ชาญวิทย์" เชื่อว่า กลุ่มอำนาจเก่าพยายามปรับตัวเพื่อล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

- ประชาธิปไตยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองกับปัจจุบันเหมือนหรือต่างกันอย่างไร

มี การชักเย่อกันอยู่ มีทั้งดันและดึงในแง่ของการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง คิดว่าในอดีตคล้ายกับมี 2 กลุ่มใหญ่ ๆ มีคณะราษฎรซึ่งต้องการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองสู้กับคณะเจ้า ซึ่งต้องพูดว่าคณะเจ้าปรับตัวไม่ทันสถานการณ์ จึงทำให้เกิดการยึดอำนาจขึ้นในวันที่ 24 มิถุนายน 2475

ถ้าเทียบกับสถานการณ์ปัจจุบัน มันมีชักเย่อทั้งดันและดึง กลุ่มอำนาจใหม่เกิดขึ้นมาแล้ว และกลุ่มอำนาจใหม่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ขณะที่กลุ่มอำนาจเก่า บารมีเก่า ก็ยังอยู่และดึงดันกันอยู่ เพราะฉะนั้น การเมืองในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มันเป็นผลพวงมาจากการเปลี่ยนแปลงในยุคเศรษฐกิจตกต่ำในปี 2540 และนำมาซึ่งรัฐธรรมนูญ 2540 และพรรคการเมืองใหญ่ ๆ เหลืออยู่ 2 พรรค คือพรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคของกลุ่มคุณทักษิณ (ชินวัตร) ซึ่งผมมองว่าเป็นกลุ่มอำนาจใหม่ บารมีใหม่ ก็ต่อสู้กันอย่างนี้

ขณะ เดียวกัน กลุ่มอำนาจเก่า บารมีเก่าก็ยังอยู่ ที่เราเรียกว่าฝ่ายทหาร ซึ่งอยู่ในการเมืองมาเป็นเวลานานและพยายามรักษาอำนาจและอิทธิพลของตัวเอง อาจไม่ค่อยมีบทบาทนำแล้ว ซึ่งบทบาทนำกลายเป็นกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งฝ่ายอำนาจเก่ามีลักษณะเป็นอนุรักษนิยมสูงมาก ๆ และสิ่งที่สำคัญคืออ้างและอิงสถาบันกษัตริย์

- กลุ่มอำนาจเก่าเบื้องหน้าอาจเป็น กลุ่มพันธมิตรฯ แต่เบื้องหลังคือกลุ่มไหน

ตอน นี้การเมืองมันกระจัดกระจายมาก มีความแตกแยกกันเองสูงมาก มีการจัดกลุ่มกันใหม่ มันกำลังอยู่ในบรรยากาศคล้าย ๆ กับจลาจลในระดับหนึ่ง มีความไม่แน่นอนสูงมาก ๆ

- หรือกลุ่มอำนาจเก่าพยายามปรับกลยุทธ์ใหม่ เพื่อสู้กับกลุ่มอำนาจใหม่

กลุ่ม อำนาจเก่า บารมีเก่า อาจปรับตัวไม่ทัน คล้าย ๆ กับระบอบราชาธิปไตยในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สมัยรัชกาลที่ 6 และ 7 ปรับตัวไม่ทัน คิดว่าตอนนี้กลุ่มอำนาจเก่า บารมีเก่า ก็อาจปรับตัวไม่ทัน อ่านจากกรณีที่ไม่รับรู้และไม่ตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจากการใช้กฎหมาย อาญามาตรา 112 อันนี้เป็นกรณีที่เห็นชัดว่าไม่ตระหนักพอที่จะปฏิรูป เปลี่ยนแปลง ทำให้กฎหมายมีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น

ถ้า ไม่ตระหนักถึงผลเสียของกฎหมายมาตรา 112 ก็แปลว่า ไม่ยอมรับว่าเมืองไทยมีปัญหาที่จะต้องปฏิรูป ก็อาจเหมือนกับสมัยรัชกาลที่ 6 และ 7 ที่บอกว่า ยังไม่ให้มีประชาธิปไตย แล้วให้ไปทดลองดุสิตธานี แล้วมาถึงสมัยรัชกาลที่ 7 ที่บอกว่าจะมีรัฐธรรมนูญ ก็ไม่มีในที่สุด จึงเกิดการยึดอำนาจวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ขึ้นมา และคิดว่าประชาธิปไตยหลัง
2475 กับปัจจุบัน ความเหมือนก็อาจจะตรงนี้

- ไม่สามารถใช้เงื่อนไขทหาร และสถาบัน มาเล่นงานอำนาจใหม่ได้เช่นในอดีต

คิด ว่าใช้ทหารปฏิวัติยากมาก เพราะการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ถือว่าเป็นความล้มเหลวของการยึดอำนาจมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ยึดแล้วทำอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราอาจคาดการณ์ได้คือการใช้ตุลาการภิวัตน์ แต่คิดว่าจะทำให้สถาบันตุลาการเสียเครดิตอย่างมาก ๆ ซึ่งตอนนี้ก็เสียแล้ว แต่จะเสียมากกว่านี้

- หลัง 2475 มาจนถึงปัจจุบัน ประชาธิปไตยไทยพัฒนาขึ้นบ้างหรือไม่

จะ ว่าพัฒนาก็พัฒนา เพราะการเมืองไม่เคยหยุดนิ่งใน 80 กว่าปีที่ผ่านมา ถ้ามองอีกด้านหนึ่ง ความตื่นตัวในแง่ประชาธิปไตยมันมีอย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนระดับล่าง ผมคิดว่าคนระดับบนกลายเป็นล้าหลังเลย

เรา เห็นชัดมากว่าคนชาวกรุง คนที่มีการศึกษาสูง กลับกลายเป็นคนที่ขัดขวางประชาธิปไตยมากกว่าคนระดับล่าง คือไม่สามารถยอมรับหลักการของประชาธิปไตยได้ ไม่สามารถยอมรับว่าคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน ตรงนี้สำคัญมาก จึงมีการต่อรองว่า มี ส.ว.สรรหาอยู่ ต้องมีสิทธิพิเศษ ซึ่งขัดกับหลักประชาธิปไตย

- ความหมายของคำว่าประชาธิปไตยถูกบิดเบือนไปหรือไม่ จึงทำให้กลุ่มชนชั้นนำ ชนชั้นกลางเข้าใจผิด

ผม เชื่อว่า elite (ชนชั้นนำ) ไทยไปยุโรป ไปอเมริกา ก็จะชื่นชมกับสังคมที่มันพัฒนา เจริญ แต่ elite ไทยคงรับไม่ได้ ถ้าเผื่อเอาหลักการอย่างที่มีในยุโรป อเมริกา มาใช้กับบ้านเรา เขาก็จะบอกว่าเมืองไทยยังไม่พร้อม แต่มองจริง ๆ แล้วมันเป็นด้านกลับ คือถ้าเป็นประชาธิปไตย เขาอยู่จะไม่ได้ มันเป็นการขัดผลประโยชน์ของเขา เขาจึงรับไม่ได้กับสิ่งที่เรียกว่า one man one vote - one woman one vote

- แสดงว่าเป็นเรื่องของผลประโยชน์ที่ยอมกันไม่ได้

ประชาธิปไตย เป็นเรื่องนามธรรมเยอะ มันต้องเอามาตีว่าเมื่อออกมาเป็นรูปธรรมแล้ว มันจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร เลือกตั้งทั้งหมดอย่างในรัฐธรรมนูญ 2540 หรือไม่ elite hiso อภิสิทธิ์ชนก็ไม่เอา มันถึงมาเอารัฐธรรมนูญ 2550 เพราะรัฐธรรมนูญ 2540 ทำให้เขาหมดความหมายไปเยอะ แล้วยังมาตีความว่าการแก้รัฐธรรมนูญผิดรัฐธรรมนูญอีก ผมคิดว่ามันเป็นการรักษาอำนาจของ elite hiso อย่างหน้าด้านที่สุด

- แต่เขามีข้ออ้างคือประชาธิปไตยต้องแบบไทย ๆ เท่านั้นจึงเหมาะสม

ไทย ๆ คือเขาต้องได้ประโยขน์ ถ้าเสียประโยชน์เขาไม่เอา เขาก็ต้องอธิบายอย่างนี้ว่าไม่เหมาะสม สมัยรัชกาลที่ 5-6-7 ก็บอกว่าไม่เหมาะสม ถึงมีการยึดอำนาจ พอมารัชกาลที่ 9 บอกไม่เหมาะสมอีก มันก็คงต้องปะทะกัน มันคงหนีไม่พ้น

- ต้องปะทะกันรุนแรงขนาดไหน

ก็ ไม่รู้นะ เราคุยกันเรื่องนี้มาเยอะ ว่าจะเกี้ยเซียะกันไหม ในด้านหนึ่งก็อาจจะเกี้ยเซียะ เพราะว่าถ้าปะทะกันก็พังกันทั้งหมดโดยเฉพาะข้างบน มันอาจจะต้องเกี้ยเซียะ แต่ผมก็ไม่แน่ใจนะตอนนี้ เมื่อมาถึงจุดนี้มันก็ลูกผีลูกคน 50 : 50 อาจผ่านไปโดยไม่นองเลือดมากไปกว่านี้ แต่ก็อาจจะมีสิทธิ์มากไปกว่านี้ก็ได้ ถึงจุดแตกหักก็ได้

- จุดแตกหักต้องเป็นอย่างไร และเมื่อไหร่

มัน ก็คงรุนแรงไปเรื่อย ๆ นะ ตอนนี้มันก็รุนแรงทีเดียว จะว่าไปแล้วถ้ายังไม่มีการผ่อน ไม่มีความพยายามปรองดองกัน มันก็แรงขึ้น ๆ มันก็ถึงจุดแตกหัก

- รัฐบาลที่เป็นกลุ่มอำนาจใหม่ กับกลุ่มอำนาจเก่าเวลานี้เกี๊ยเซียะกันไหม

มัน น่าจะเกี้ยเซียะ แต่มันยังไม่เกี้ยเซียะ ผมว่าสถานการณ์ปัจจุบัน สิ่งที่อำนาจเก่าพยายามทำให้ได้ คือล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ให้ได้ เหมือนอย่างล้มรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์

- 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่เกี้ยเซียะอำนาจเก่าเลย

ผมว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ปอดแหกไป (หัวเราะ) ประจบประแจงมากเกินไป

- การประจบประแจงก็ทำให้เขาอยู่ในอำนาจต่อ ไม่โดนล้ม

แต่ก็โดนรุกหนักใช่ไหม เหมือนกับมีอำนาจแต่ยังไม่กล้าใช้อำนาจเท่าที่ควร น่าจะใช้อำนาจมากกว่านี้

- ถ้ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ใช้อำนาจมากกว่านี้ ฝ่ายอำนาจเก่าก็จะรุกหนักเพื่อให้รัฐบาลล้มไป

ผม คิดว่ารัฐบาลคงปอดว่าถ้ารุกหนักเขาอาจพัง เพราะฉะนั้นอาจจะไม่กล้ารุก หลายอย่างที่สัญญาไว้กับประชาชนในการเลือกตั้งก็ยังไม่ไปไหน ที่น่าสนใจจะครบ 2 ปีของรัฐบาลแล้ว ฉะนั้นตอนนี้อาจเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญว่ารัฐบาลจะเล่นอย่างไร ผมคิดว่าฝ่ายค้านคือพรรคประชาธิปัตย์คงไม่สามารถล้มรัฐบาลในเกมรัฐสภาได้ มันต้องใช้กำลังทหาร หรือเอาความปั่น ป่วนทางการเมืองมาเป็นตัวทำให้เกิดการล้มรัฐบาล แต่ถ้ารัฐบาลประคองตัวเองให้เรื่องใหญ่ ๆ ผ่านไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องจำนำข้าว เรื่องเงินกู้โครงสร้างพื้นฐาน เงินกู้ป้องกันอุทกภัย การแก้ไขรัฐธรรมนูญก็อาจไปรอด

- ถ้าทหารใช้ไม่ได้ ตุลาการภิวัตน์ก็เสียเครดิตไปหมด แล้วจะใช้อะไรล้มรัฐบาล

มันยังไม่ถึงกับเสียเครดิตหมด ผมคิดว่าหนทางสุดท้ายของฝ่ายอำนาจเก่า บารมีเก่า อยู่ที่การใช้ตุลาการ แต่จะกล้าใช้ไหม...อันนี้ต้องเดา

- ถ้ารัฐบาลเพลี่ยงพล้ำเรื่องข้าว การแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะทำให้ฝ่ายอำนาจเก่าใช้

ช่องนี้พลิกเกมกลับมาขย่มรัฐบาลมันก็ขย่มไปเรื่อย ๆ แต่จุดที่มันจะคลิกอยู่ตรงไหน คงขย่มไปเรื่อย อันนี้เป็นเรื่องปกติมาก แต่ รัฐบาลก็เสียศูนย์เยอะนะเรื่องจำนำข้าว แต่จะบานปลายไปจนถึงล้มรัฐบาลหรือไม่ ยังไม่แน่ใจ แต่รัฐบาลเสียศูนย์แน่ ๆ อยู่ในเกมถอย แต่จะถอยแล้วพัง กับถอยแล้วยังมีคนเห็นใจอยู่ ยังไม่กล้าพูด

- หน้ากากขาวที่ออกมาชุมนุมตอนนี้ สามารถล้มรัฐบาลได้ไหม

ไม่รู้นะ ผมว่าไม่น่าจะเวิร์ก ลักษณะของมันเป็นกิจกรรมของคนชั้นกลางในเมือง อาจจะหามวลชนยาก เพราะมันไม่มีผู้นำ

การ ล้มคุณทักษิณ ล้มคุณสมัคร คุณสมชาย มันมีผู้นำ มีคุณสนธิ (ลิ้มทองกุล) มีคุณจำลอง (ศรีเมือง) แต่ตอนนี้ผู้นำมันไม่มี ถ้าดูผู้นำอย่าง พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร คุณไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ คุณแก้วสรร อติโพธิ มันก็นำไม่ได้ มันไม่มีบารมีแบบคุณสนธิ คุณจำลอง ถ้าหน้ากากขาวชุมนุมโดยไม่มีแกนนำ จะล้มรัฐบาลได้ยาก ยากมาก (เน้นเสียง)

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////

โต้ง.รับหากเศรษฐกิจจีนเดี้ยง สะเทือนถึงไทย !!??

คลังยอมรับรับหากเศรษฐกิจจีนชะลอตัว กระทบไทยแน่ เหตุเป็นคู่ค้าสำคัญ มั่นใจตลาดทุนไทยมีเสถียรภาพ เศรษฐกิจยังขยายตัวต่อเนื่อง

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยอมรับว่า หากเศรษฐกิจของจีนเกิดภาวะชะลอตัวย่อมส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจของไทยในฐานะที่เป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญ ซึ่งหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ ทั้งสำนักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) อาจพิจารณาปรับประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ และยังยืนยันที่จะเป็นคู่ค้าที่ดีกับจีนต่อไป

"แม้จีนจะชะลอตัว แต่ก็ยังเติบโตได้เร็วกว่าคนอื่นในโลก โตได้เร็วกว่าที่คาดไว้ เมื่อเป็นประเทศคู่ค้าก็ต้องมีผลกระทบ ซึ่งเราต้องระวังตัวด้วย แต่จีนยังมีบทบาทที่สำคัญ เรายังมุ่งมั่นที่เป็นคู่ค้าที่ดีกับจีนต่อไป"

ส่วนสถานการณ์ความผันผวนที่เกิดขึ้นในตลาดทุนส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากการเก็งกำไรโดยกองทุนนานาชาติ ซึ่งส่วนตัวเห็นว่ามีความผันผวนมากเกินไป หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ออกมาแสดงท่าทีที่จะชะลอมาตรการ QE ซึ่งอย่างไรวันนั้นคงต้องมาถึง และน่าจะเป็นผลดี

"แม้เศรษฐกิจของไทยจะชะลอตัวลงไปตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่สำคัญ แต่เชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจไทยจะยังขยายตัวต่อไปได้ และตลาดทุนยังมีเสถียรภาพ"

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2556

อปท.-กำนัน-ผญบ.หางดง ฮือไล่นายอำเภอ พ้นพื้นที่ใน 7 วัน !!?



กลุ่มผู้นำ อปท.-กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน ฮือไล่นายอำเภอหางดงพ้นพื้นที่ภายใน 7 วัน อ้างไม่มีประสิทธิภาพ ขาดการมีส่วนร่วมกับท้องถิ่น ทั้งที่เคยคัดค้านคำสั่งย้ายของกระทรวงมหาดไทยเมื่อคราวมารับตำแหน่งใหม่ๆ
     
 วันนี้ (25 มิ.ย.) นายพิทักษ์ ตุ้มอินมร ประธานชมรมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) อำเภอหางดง จ.เชียงใหม่ นายอธิวัฒน์ กาดกิตติ์ธนาพงศ์ ประธานชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้านอำเภอหางดง พร้อมผู้นำส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ชาวบ้านกว่า 100 คนรวมตัวกันที่ที่ว่าการอำเภอหางดง ประท้วงการทำงานของนายอาคม สุขพันธ์ นายอำเภอหางดง โดยให้พิจารณาย้ายออกนอกพื้นที่ ต่อมา นายสงัด บูรณภัทรโชติ ปลัดอำเภอหางดง ได้มารับหนังสือจากผู้ชุมนุมเพื่อนำเสนอตามขั้นตอนของทางราชการ
     
 โดยกลุ่มผู้นำท้องถิ่นเรียกร้องให้นายธานินทร์ สุภาแสน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ย้ายนายอำเภอหางดงออกนอกพื้นที่ภายใน 7 วัน เนื่องจากครั้งที่กระทรวงมหาดไทย ย้ายนายอาคม สุขพันธ์ นายอำเภอปาย มาดำรงตำแหน่งนายอำเภอหางดง ประชาชนมีความยินดี และหวังว่าจะสืบสานเจตนารมณ์อันดี ต่อยอดจากนายอำเภอคนก่อนเพื่อความสงบสุข สมัครสมานสามัคคีปรองดอง มีความเอื้ออาทร เข้าอกเข้าใจกัน ร่วมมือกันพัฒนาพื้นที่
     
 ต่อมากระทรวงมหาดไทยมีคำสั่งย้ายไปดำรงตำแหน่งนายอำเภอสันทราย หลังจากมารับตำแหน่งได้เพียง 2 เดือน ประชาชนจึงรวมตัวกันขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดประสานทางกระทรวงไม่ให้ย้าย แต่ตลอดระยะเวลากว่า 2 ปีนายอาคมได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าไม่มีประสิทธิภาพในการบริหารราชการ คือ 1. วางตนไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง ไม่มีวุฒิภาวะในฐานะนายอำเภอ ไร้การเป็นผู้นำที่ดี 2. สร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะท้องที่-ท้องถิ่น ขาดความร่วมมือโดยเด็ดขาด ไม่ใส่ใจกิจกรรมของท้องถิ่น หรือร่วมกิจกรรมน้อยมาก 3. ไม่สนองตอบนโยบายรัฐบาล และผู้บังคับบัญชา เช่น ปัญหายาเสพติดระบาดอย่างหนัก แต่ไม่เคยตั้งทีมงานรับผิดชอบปัญหา
     
 4. ไม่ให้ความสำคัญเรื่องศาสนาและวัฒนธรรม องค์กรอื่นจัดก็ไม่ไปร่วมกิจกรรม 5. ปัญหาอาชญากรรมจากบ่อนการพนันในพื้นที่ ทั้งบ่อนชนไก่ บ่อนการพนันทุกรูปแบบ ตู้เกมสลอตแพร่หลายจนเกิดปัญหาการลักเล็กขโมยน้อยเป็นคดีจำนวนมาก จนอำเภอหางดงขึ้นชื่อเรื่องบ่อนการพนันจนยากที่จะเยียวยาได้ และ 6. ขาดความร่วมมือต่อองค์กรสตรี ผู้สูงอายุ และกลุ่มเครือข่ายอื่น ไม่ให้ความสำคัญ และไม่ส่งเสริมกิจกรรม
     
 จากนั้นแกนนำได้เดินทางไปที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อประชุมหารือถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้ว่าราชการจังหวัดด้วย
     
 ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อสัมภาษณ์นายอาคมทางโทรศัพท์ ซึ่งนายอาคมระบุว่าปฏิบัติตามภารกิจหน้าที่ของนายอำเภอในการดูแลท้องที่เป็นอย่างดี ไปร่วมกิจกรรมต่างๆ พร้อมทั้งป้องกันปัญหาอาชญากรรมทุกรูปแบบ มีหลักฐานตลอด แต่เนื่องจากภารกิจมีมาก ต้องมอบหมายให้ทางปลัดอำเภอแบ่งเบาไปร่วมกิจกรรมแทนบ้าง เพราะตนคนเดียวไม่สามารถไปได้ทุกงาน
     
ส่วนสาเหตุที่กลุ่มดังกล่าวออกมาเรียกร้อง เพราะเรื่องการเมืองท้องถิ่นที่จะมีการเลือกตั้งกันในเดือนกันยายนนี้ โดยในช่วงบ่ายวันเดียวกันตนจะได้ไปพูดคุยกับผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อแก้ไขเรื่องที่เกิดขึ้นต่อไป

ที่มา.ผู้จัดการ
//////////////////////////////////////////////////////

ชำแหละทุน ต่างประเทศ ไทย-เวียดนาม-พม่า !!?

หลายคนอาจจะแปลกใจว่า ท่าม กลางความสับสนทางการเมือง และกระแสการย้ายฐานธุรกิจไปยังกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม) เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ทำไมยอดการขอรับส่งเสริมการลงทุนในประเทศไทยจึงโตเอา..โตเอา

ในปีที่ผ่านมามีนักลงทุนจากต่างประเทศขนเงินมาขอรับการส่งเสริมการลงทุนในบ้านเรา 1,479,000 ล้านบาท สูงสุดเป็น ประวัติการณ์ ในขณะที่ 4 เดือนแรกของปีนี้ ยอดการลงทุนโตกว่าปีที่ผ่านมา 20%

แสดงให้เห็นว่า นักลงทุนส่วนใหญ่ยังเชื่อมั่นว่าประเทศไทยยังเป็นฐานการ ลงทุนที่ดีที่สุดในอาเซียน?

หากวิเคราะห์จากสภาพความเป็นจริง การจะกล่าวว่าประเทศไทยยังน่าสนใจ ลงทุนสูงสุดในกลุ่มประเทศอาเซียนก็ไม่น่าจะผิด เพราะบรรยากาศการลงทุนใน 2 ประเทศคู่แข่งสำคัญอย่าเมียนมาร์กับเวียดนาม ไม่โสภาสถาพรเท่าที่ควร

เมียนมาร์เนื้อหอมอย่างมากเมื่อมีข่าว ว่ากำลังเดินหน้าโครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย แต่จนถึงวันนี้อนาคตทวายยังไม่มีความชัดเจน การก่อสร้างยังไม่มีความคืบหน้า โดยรัฐบาลอ้างว่าชนกลุ่มน้อยไม่ยอมย้ายออกจากพื้นที่ ต่อรองขอค่าเวนคืนเพิ่มขึ้น ในขณะที่ชาวบ้านในพื้นที่กลับให้ข้อมูลผ่าน สื่อมวลชนว่า สาเหตุที่พวกเขาไม่ยอมออกจากพื้นที่ไม่ใช่เพราะต้องการค่าเวนคืนเพิ่มขึ้น แต่รัฐบาลไม่ยอมจ่ายค่าเวนคืนตามข้อตกลง พูดง่ายๆ คือให้ออกไปตัวเปล่า

เช่นเดียวกับระบบสาธารณูปโภคในเมียนมาร์ยังไม่มีความคืบหน้ามากนัก ต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะเข้าที่ ส่วนข่าวว่าสถานที่พัก เช่น โรงแรม รีสอร์ต ถูกจองเต็มเหยียดในราคาสุดเว่อร์ ก็เป็นเพราะการเดินทางเข้าไปสำรวจลู่ทาง การลงทุนและการท่องเที่ยว โดยยังไม่มีการ ลงทุนแต่อย่างใด

หันกลับไปดูเวียดนาม กำลังเผชิญกับ ฟองสบู่แตก เช่นเดียวกับประเทศไทยเคยเจอเมื่อปี 2540 นั่นก็คืออสังหาริมทรัพย์ผุดเป็นดอกเห็ด แต่ขายไม่ได้ ทำให้เจ้าของ โครงการที่กู้เงินจากธนาคารไม่มีเงินไปจ่าย คืนธนาคาร จึงอาจทำให้บางธนาคารที่ปล่อย สินเชื่อให้กับกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ต้อง ถูกปิดหรือควบรวมกับสถาบันการเงินอื่น

ในขณะที่โครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่กลายเป็นโครงการขายฝัน ที่รัฐบาลเวียดนามรับปากว่าจะดำเนินการก่อสร้าง แต่เอาเข้าจริงไม่มีอะไรคืบหน้า แม้ กระทั่งแผนการสร้างสนามบินนานาชาติใหญ่ที่สุดในอาเซียนที่เตรียมการเมื่อเกือบสิบปีก่อน กำหนดเสร็จปี 2558 ก็ยังไม่มีการลงเสาเข็มแต่อย่างใด ไม่ต้องพูดถึงโครงการรถไฟความเร็วสูงหรือโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ที่รัฐบาลหมายมั่นปั้นมืออยากทำให้สำเร็จ

รวมถึงกฎหมายส่งเสริมการลงทุนที่ทั้งเวียดนามและพม่าต่างก๊อบปี้กฎหมายของไทยไปใช้ และไม่การันตีว่าจะเปลี่ยน แปลงเมื่อไหร่ นั่นทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจว่า หากเข้าไปลงทุนแล้วจะเกิดการสะดุดหรือไม่

บวก ลบ คูณ หารแล้ว ไทยจึงยังอยู่ ในฐานะได้เปรียบกว่าเมียนมาร์และเวียดนาม รวมถึงลาวกับกัมพูชาก็ยังต้องใช้เวลา อีกพักใหญ่กว่าจะก้าวขึ้นทาบชั้น สิ่งเดียวที่ CLMV มีดีกว่าไทยคือแรงงานราคาถูก ซึ่งก็เหมาะกับธุรกิจที่ไม่ต้องการทักษะ แต่ต้องไม่ลืมว่าเมื่อเป็นเออีซี หาก CLMV ไม่ปรับราคาค่าจ้างขั้นต่ำ โอกาสที่แรงงาน จะไหลบ่าเข้าประเทศไทยก็มีมาก ซึ่งปัจจุบัน รัฐบาลไทยได้ปรับกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ต่างด้าว ให้มีสิทธิ์เทียบเท่ากับแรงงานไทย ไม่ว่าจะเป็นค่าจ้างขั้นต่ำ การลาคลอด ลาป่วยหรือแม้กระทั่งลาพักร้อน

จึงไม่น่าแปลกใจที่การโรดโชว์ 5 ประเทศของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนเข้าไทยได้กว่า 100,000 ล้านบาท หลังกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดเล็ก-ใหญ่ มั่นใจลงทุนในไทยเพิ่ม บริษัทญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน ฝรั่งเศส และเยอรมนี ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนรวม 22 โครงการ อาทิ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน แม่พิมพ์ อิเล็กทรอนิกส์ พลังงานทดแทน เป็นต้น ขณะเดียวกันยังมีผู้ประกอบการอีกจำนวนมากที่อยู่ระหว่าง เตรียมการยื่นคำขอรับส่งเสริมการลงทุนในอนาคต

ประเด็นที่นักลงทุนให้ความสนใจมาก ที่สุดก็คือ โครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงที่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนโดยตรงจากรัฐบาลถึงความคืบหน้า แสดงความพร้อมของการเป็นศูนย์กลางทางด้านการเชื่อมโยงประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ในปี 2558 ซึ่งจะเป็นโอกาสที่ดีของนักลงทุนในการเข้ามาใช้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อกระจายสินค้าในภูมิภาค

เช่นเดียวกับไนเจล โนลส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมของบริษัทดีแอลเอ ไปเปอร์ (Global co-CEOof DLA Piper) ที่เข้ามาเปิดดำเนินธุรกิจให้บริการด้านกฎหมายแบบครบวงจรในประเทศไทย กล่าวว่า ประเทศไทยมีศักยภาพการเติบโตภายในประเทศค่อนข้างสูงแม้ว่าจะมีวิกฤติทางการ เมือง หรือภัยพิบัติบ้างก็ตาม เศรษฐกิจประเทศไทยกำลังเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคง ที่นี่คือศูนย์กลางของการดำเนินธุรกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
/////////////////////////////////////

พัฒนาการทางความคิดของ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน !!?

 การทำความเข้าใจแนวคิดเรื่องประชาคมเศรษฐกิจของอาเซียน สำหรับประเทศสมาชิกอาเซียนบนเขตลุ่มแม่น้ำโขงนั้น จะต้องเริ่มต้นรู้เรื่องของคณะกรรมการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission) เป็นอันดับแรก ซึ่งสร้างเป็นรูปแบบเชิงสถาบันในการวางแผน พัฒนาทุกด้านของเขตบริเวณลุ่มแม่น้ำโขงนี้ มาตั้งแต่ปีค.ศ.1977 (2520) มาแล้ว

คณะกรรมการแต่เดิมนั้น ประกอบด้วยประเทศไทย กัมพูชา และเวียดนามใต้ ภายหลังสงครามสิ้นสุดลงแล้ว จึงนำคณะกรรมการนี้เข้ากระบวนการของโครงการพัฒนาของสหประชาชาติ ในรูปของคณะกรรมการที่ปรึกษา และการเจรจาทำความตกลงร่วมกัน

กัมพูชา ลาว และไทย ลงนามข้อตกลงความร่วมมือเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของลุ่มแม่น้ำโขง (Cooperation for Sustainable Development of the Mekong River Basin) และในปีค.ศ.1995 (2538) จึงได้มีการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ที่กรุงเวียงจันทน์ ประเทศลาว เพื่อให้เป็นสำนักงานของคณะกรรมการ

ต่อมาในปี ค.ศ.1996 (2539) เมียนมาร์ และจีน ได้เข้ามาร่วมคณะกรรมการในฐานะผู้สังเกตการณ์ จุดมุ่งหมาย ของคณะกรรมการแม่น้ำโขง คือ "เพื่อส่งเสริมและประสานงานในการจัดการ และพัฒนาอย่างยั่งยืนด้วยน้ำ และทรัพยากรที่เกี่ยวข้อง" เพื่อประโยชน์ของประเทศที่อยู่รอบอาณา-บริเวณแม่น้ำโขง

เรื่องที่เกี่ยวกับน้ำ และทรัพยากรในน้ำหรือใต้น้ำนี้ จะเห็น ว่าบริเวณร่วมกันในอาเซียนนี้ เป็นทั้งจุดอันเป็นผลประโยชน์ยิ่งของภูมิภาค และกลายเป็นจุดของการแย่งชิงผลประโยชน์อันสำคัญในอาเซียน สองจุดดังกล่าวนี้ คือบริเวณลุ่มน้ำโขงแห่งนี้ กับบริเวณในเขตทะเลจีนใต้ (ซึ่งเคยเขียนถึงมาแล้ว)

เฉพาะในเขตบริเวณแม่น้ำโขงนี้ เห็นได้ง่ายในการแย่งชิงผลประโยชน์ของแม่น้ำโขง ซึ่งประเทศในบริเวณนี้ต่างแย่งชิงการ สร้างเขื่อนเพื่อพลังไฟฟ้าจากน้ำ ไม่ว่าจะเป็นจีนหรือลาวเป็นสำคัญ จุดนี้เองที่นำไปสู่ความขัดแย้งในบริเวณลุ่มน้ำโขง โดยผลอันเกิด แต่ผลกระทบของโครงการดังกล่าว ต่อวิถีชีวิตริมแม่น้ำโขง

เพราะฉะนั้นก็จะเห็นว่าในส่วนขององค์กรภาคประชาชน (NEOS) นั้น ต่างล้วนให้ความสนใจกับเรื่องของสภาพแวดล้อม และการจัดการลุ่มแม่น้ำโขง มีการกล่าวหาว่า คณะกรรมการคณะนี้ ต่างตกอยู่ในสภาพวิกฤติทางนิติธรรม และไม่เห็นว่าจำเป็น จะต้องมีกรรมการลุ่มแม่น้ำโขงไปทำไม อันเนื่องจากการทำงานที่ล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาซึ่งคุกคามแม่น้ำ และประชาชนในอาณาบริเวณนั้น กรณีดังกล่าวเห็นได้จากการสร้างเขื่อนไชยยะ-บุรีของลาว ซึ่งมีการประท้วงมากมาย

อย่างไรก็ตาม เพื่อที่จะทำความเข้าใจความพยายามที่จะเชื่อม เศรษฐกิจและการพัฒนาของอาเซียนเข้าด้วยกัน จะเห็นว่ากัมพูชา จีน ลาว เมียนมาร์ และประเทศไทย ได้ทำความตกลงกันในระดับ ย่อย เพื่อขยายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจร่วมกัน และเพื่อสร้าง ความน่าเชื่อถือในการสร้างความเติบโตในเขตที่กำหนดขึ้นนี้

ที่เห็นผลตามมาจากข้อตกลงนี้ ก็คือการที่ธนาคารพัฒนาแห่งเอเชีย ได้กลายเป็นองค์กรในการประสานงาน ส่งเสริมการร่วมลงเงินลงทุนพัฒนา ประสานงานร่วมกันกับหน่วยงานให้ความ ช่วยเหลืออย่างเป็นทางการ (Official Development Agency) ทั้งด้านการวางแผนทางยุทธศาสตร์ และความช่วยเหลือทางวิชาการ

จะสรุปย่อๆ ตรงนี้ก่อนว่า จีนซึ่งเป็นคู่ร่วมพัฒนาใหญ่ที่สุด และมีโครงการเชื่อมยูนนานมาถึงภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียง ใต้ คณะกรรมการอนุภูมิภาคในอาณาบริเวณมหานทีแม่น้ำโขง (Greater Mekong Subregion = GMS) จึงอนุมัติโครงการร่วมทุน (Cost sharing) สร้างประตูเชื่อมเหนือใต้ขึ้นมา

ประตูเชื่อมเหนือใต้ที่ว่านี้ คือ การสร้างถนนจากยูนนาน ผ่าน ตลอดลาวมารอจ่ออยู่ ที่อำเภอเชียงของที่เชียงราย ข้ามมาต่อเชื่อมที่หัวเมืองห้วยทรายในลาว แล้วโค้งตรงมาที่จังหวัดเชียงราย เข้าสู่ถนนสายหลัก เชื่อมต่อลงไปถึงสิงคโปร์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของอาเซียนด้านใต้ และเชื่อมประเทศสมาชิกของอาเซียนที่ตั้งอยู่บริเวณหมู่เกาะต่างๆ

เพื่อที่จะทำความเข้าใจชัดเจนขึ้น ในการขยายเขตแดนความร่วมมือในการพัฒนาทางเศรษฐกิจ เราต้องสนใจโครงการด้านเศรษฐกิจของอาเซียนในอนุภูมิภาคแม่น้ำโขงอีกบางโครงการ ที่เป็นกรอบงานของอาเซียนปัจจุบัน และที่จะขยายตัวทางเศรษฐกิจเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่กำลังจะเกิดขึ้น ความ เข้าใจอนุภูมิภาคการพัฒนาเศรษฐกิจเหล่านี้เองจะช่วยให้เข้าใจภาพของการเตรียมตัว เตรียมพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ให้สอดประสานและส่งเสริมไปพร้อมกันอย่างไร

โครงการระดับย่อมที่จะต้องทำความเข้าใจในรายละเอียด เหล่านี้ มีอย่างน้อย 3 โครงการที่ต้องศึกษาทำความรู้จัก และเข้าใจเพิ่มเติม หนึ่ง คือ โครงการที่เรียกว่า "ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง" (ACMECS) เพื่อให้คุ้นกับชื่อภาษาอังกฤษ คือ (Ayeyawa dy-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy)

อีกโครงการหนึ่ง คือ "โครงการความร่วมมือ กัมพูชา เมียนมาร์ และเวียดนาม" (Cambodia, Laos. Myanmar. Vietnam Cooperation = CLMV) และโครงการสุดท้ายคือ โครงการสามเหลี่ยมพัฒนาระหว่างลาว กัมพูชา เวียดนาม (Cambodia-Laos Vietnam Development Triangle)

จุดน่าสนใจของโครงการความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาในระดับอนุภูมิภาคทั้งหมดนี้ ก็คือการแบ่งอาเซียนบนผืนแผ่นดินใหญ่ ออกเป็นเขต (Zone) ต่างกันออกไป เช่น เขตบริเวณลุ่มน้ำโขง ซึ่งรวมทุกเขตเข้ามารวมกัน ขณะที่แบ่งเขตของอินโดจีน เช่น กัมพูชา ลาว และ เวียดนาม ไว้ชัดเจน โดยที่พม่าไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของอินโดจีน หากแยกเรียกตัวเองเป็นแผ่นดินทอง เช่นเดียวกับที่ไทย เรียกตัวเองว่า สุวรรณภูมิ

ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาอย่างยั่งยืนของอนุภูมิภาคเหล่านี้ จะมีการดำเนินการในเรื่องการคมนาคม ขนส่ง พลังงาน การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การค้าการลงทุน การท่องเที่ยว และโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ มากมาย

นี่คือจุดเชื่อมต่อในโครงสร้างทางเศรษฐกิจของอาเซียน ซึ่งจะเห็นต่อมาว่าได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการ สร้างประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนขึ้นมา

ที่มา.สยามธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2556

Unintended Consequences : ผล (ร้าย) ที่ไม่ได้ตั้งใจ !!?

โดย:วีระ  มานะคงตรีชีพ

Consequences หรือ ผล (ร้าย) ที่ไม่ได้ตั้งใจจะเป็นหลักเศรษฐศาสตร์ที่รู้กันมานมนานกาเล แต่จนแล้วจนรอดผู้มีอำนาจก็ยังคงออกนโยบายประเภท “รู้ทั้งรู้ถึงผลร้ายที่จะตามมา” หลังจากนั้นก็ช่วยกัน “ดันทุรัง” ปกป้องคุ้มครองนโยบายดังกล่าว ประเภท “สีข้างแดงเถือก” บ้าง “น้ำตาไหลท่วมจอ” บ้าง จนในที่สุดก็ค่อยๆ ชิ่งหนีจากนโยบายดังกล่าว โดยวิธีหาแพะ (เช่นปรับออกรัฐมนตรีบางคนที่น่าจะโยงให้เกี่ยวข้องกับนโยบายดังกล่าวได้ชัดที่สุด) หรือไม่ก็ถือโอกาสยุบสภา (หากคะแนนเสียงของพรรคตนในสนามเลือกตั้งยังไม่บอบช้ำเท่าไหร่นัก) ฯลฯ
   
ในตอนท้ายผมก็ได้พูดถึงสาเหตุ และยอมรับว่ายากที่จะป้องกันไม่ให้เกิดปรากฏการณ์ “นโยบายที่มีเจตนาดี” แต่ “ผลลัพธ์เลวร้าย” ในประเทศไทย
   
สัปดาห์นี้ผมจะอธิบายเพิ่มเติมว่าทำไม และในฐานะที่เป็นประชาชนคนไทย เราจะยังสามารถคาดหวังอะไรจากนโยบายรัฐได้อีกหรือ?
ประชานิยมกับ Unintended Consequences
   
ศาสตราจารย์ Robert K. Merton ศึกษาวิเคราะห์วิจัย และสรุปสาเหตุที่ทำให้เกิด Unintended Consequences ไว้ตั้งแต่ปี 1936 ซึ่งผมได้สรุปย่อไว้ในตอนที่แล้ว ฉะนั้นจะไม่นำมาพูดซ้ำอีก
   
แต่จะขออนุญาตย้ำว่า นโยบายของรัฐแทบจะทุกนโยบายล้วนแต่มีโอกาสเกิด Unintended Consequences ทั้งสิ้น ฉะนั้นต้องขออนุญาตให้กำลังใจรัฐบาลทุกรัฐบาลก่อนว่าหากท่านมีเจตนาดีต่อประชาชนแล้วล่ะก็ อย่ากลัวว่านโยบายของท่านจะเกิด Unintended Consequences แล้วจะถูกก่นด่า หรือทำให้พรรคของท่านแพ้เลือกตั้ง ฯลฯ จนทำให้ไม่กล้าจะดำเนินนโยบายอะไรเลย     ผมขออนุญาตยกตัวอย่างการดำเนินนโยบายแก้ปัญหาวิกฤติการเงินหลังปี 2540 ในช่วงเวลาดังกล่าวรัฐบาลเป็นห่วงภาพพจน์ของประเทศไทยในสายตาประชาคมโลก ในสายตาไอเอ็มเอฟ ในสายตานักลงทุนต่างชาติ ฯลฯ วิตกกังวลว่าหากเข้าไปอุ้มกิจการต่างๆ จะถูกหาว่าเล่นพรรคเล่นพวก ยังติดอยู่ในระบบ Cronyism ฯลฯ ทำให้ออกนโยบายที่ค่อนข้างจะไม่ Realistic และค่อนข้าง Destructive กับระบบการค้าการผลิต และระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ เช่น สั่งปิดบริษัทเงินทุนเกือบหมด สั่งตัดวงเงินสินเชื่อ แช่แข็งเงินฝาก และทำการขายทอดตลาดสินทรัพย์โดยไม่มีการแบ่งแยก (Good Bank/Bad Bank) ทั้งยังห้ามลูกหนี้กลับมาซื้อของตนเองคืน (Moral Hazard) ฯลฯ
   
ทั้งหมดล้วนเป็นนโยบายที่มุ่งหวังจะก่อให้เกิดผลดีต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม ซึ่งท้ายที่สุดก็คือทำให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้น (แม้ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลในยุคนั้น จะชี้ว่าเป็นนโยบายตามใบสั่งคุณพ่อ  และเป็นขบวนการปล้นชาติปล้นประชาชนที่มโหฬารที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยก็ตาม)
   
ทว่า สิบห้าสิบหกปีให้หลัง แทบทุกคนในประเทศไทย และนักวิชาการทุกคน นักธุรกิจทุกคนต่างตระหนักดีว่า การดำเนินนโยบายของรัฐบาลในครั้งนั้น (ไม่ว่าจะแก้ตัวว่าไม่มีทางเลือก ฯลฯ หากไม่ทำเช่นนั้นประเทศอาจจะ “เจ๊ง” ไปแล้วก็ได้ ฯลฯ) ก่อให้เกิด Unintended Consequences มากมายเหนือคณานับ (หลายคนบอกว่าไม่ใช่ Unintended ตรงกันข้าม รัฐบาลในยุคนั้น “ตั้งใจ” ให้เกิดผลร้ายต่างๆ ตามมา ซึ่งส่วนตัวผมยังไม่ปักใจเชื่อ เพราะหนึ่งผมไม่ชอบมองคนในทางเลวร้ายขนาดนั้น และสองผมคิดว่าเป็นความโง่เขลาของคนมากกว่า)
   
ผู้คนจำนวนมากได้สัมผัส หรือได้รับผลจาก Unintended Consequences เหล่านั้นด้วยตัวเอง หลายคนเจ็บปวดทนทุกทรมานอย่างแสนสาหัส เสียชีวิตไปก็มีจำนวนไม่น้อย แม้กระทั่งบางคนที่มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายดังกล่าวก็มีชีวิตอยู่อย่างไม่ค่อยมีความสุขเท่าใดนักจนถึงทุกวันนี้
   
ฉะนั้น หากมองย้อนกลับ ทำไมรัฐบาลยุคนั้นจึงดำเนินนโยบายเช่นนั้น
    หากจะใช้ทฤษฎีของ Robert Merton ก็คงหนีไม่พ้น
    หนึ่ง โง่และเขลา
    สอง ผิดพลาด (เพราะโง่)
    สาม ผลประโยชน์เฉพาะหน้าแก่ตนเองและพวกพ้อง (คอรัปชั่น?)
    สี่ คติความเชื่อ
    ห้า ขี้กลัว กลัวจนกระทั่งสิ่งที่กลัวเกิดขึ้นเป็นจริงในที่สุด
   
ส่วนตัวผมไม่อยากปักใจเชื่อว่าผู้เยี่ยมยุทธ์ในรัฐบาลยุคนั้นเป็นคนโง่ หรือเขลา จริงอยู่อาจจะขาดประสบการณ์อยู่บ้าง แต่ไม่ถึงกับโง่อย่างแน่นอน ส่วนเรื่องคติความเชื่อและความเป็นคนขี้กลัว น่าจะเป็นอะไรที่ควรวิเคราะห์เจาะลึก  เพราะผมสังเกตจากรัฐบาลถัดมา (รัฐบาลคุณทักษิณ) ท่านมี “ความกล้า” ที่จะทำอะไรตามคติความเชื่อ ที่ค่อนข้าง “ก้าวหน้า” และมีความเด็ดขาดที่จะดำเนินนโยบายอย่างเร่งด่วน ทันกาล
   
ซึ่งผลก็คือ ระบบการเงินฟื้นตัวเร็วขึ้น และระบบเศรษฐกิจกลับมามีชีวิตชีวาได้อย่างน่าทึ่ง
   
และที่ทุกคนยอมรับ (ด้วยความรู้สึกลึกๆ ในใจที่ต่างกัน)  เหมือนกันก็คือ นโยบายของรัฐบาลทักษิณเป็น “นโยบายประชานิยม” ที่สมบูรณ์แบบที่สุดตั้งแต่มีระบบพรรคการเมืองในประเทศไทย และเป็นนโยบายประชานิยมที่ “โดนใจ” ประชาชนในระดับรากหญ้ามากที่สุดอีกด้วย
   
เช่นนี้ แปลว่านโยบายที่ไม่มี Unintended Consequences หรือมีก็น้อยมาก ก็คือ “นโยบายประชานิยม” ใช่ไหม?
   
ผู้ที่น่าจะตอบคำถามนี้ได้ดีที่สุดก็คงหนีไม่พ้น “รัฐบาลปัจจุบัน” เพราะนโยบายประชานิยมที่ฮือฮาที่สุดของรัฐบาลปัจจุบัน และที่กำลังก่อให้เกิด Unintended Consequences ที่อาจจะ Snow-balling รัฐบาลจนเสียศูนย์ได้ก็คือ “นโยบายจำนำข้าว (ทุกเม็ด)” นั่นเอง

นโยบายจำนำข้าว (ทุกเม็ด) :  ในที่สุดก็หนีไม่พ้น The Law of Unintended Consequences
   
นโยบายจำนำข้าว (ทุกเม็ด) ทำท่าจะเข้าตำราโบราณที่ว่า “ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชา”
   
เริ่มต้นจากการเป็นนโยบายประชานิยมที่ทรงพลัง ฟาดกวาดพรรคคู่แข่งจนแทบจะตกเวทีการเมือง แทบจะไม่เหลือที่ยืนหยัดกาย
   
วันนี้ จะทำอะไรก็ยากที่จะไม่ถูกตำหนิติเตียน จะเดินหน้าต่อก็ถูกก่นด่า ด้วยตัวเลขขาดทุนมหึมา จะลดราคาจำนำ ก็ถูกแฟนต่อว่าหาว่าหลอกลวง จะเลิกเสียก็เหมือนขาไก่ที่แม้เนื้อจะเหลือน้อยนิด แต่ก็ยังดูดได้หวานๆ เค็มๆ
   
ชะรอยจะเข้าตำรา “เอียวสิ้ว” ในสามก๊กเสียแล้วกระมัง?  (อ่านต่อตอนจบสัปดาห์หน้า).
                       
ที่มา.ไทยโพสต์
////////////////////////////////////////////

เรื่องหวิวๆ ของ นายกฯ ปู !!??

ในขณะที่ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ถูกนโยบายประชานิยมย้อนกลับมากัดกร่อนตัวเอง หลังบิดนโยบาย-หั่นราคารับจำนำข้าว จากเดิม 15,000 บาท/ตัน เหลือ 12,000 บาท/ตัน เนื่องจากไม่สามารถแบกหนี้หลักแสนล้านบวกๆ ได้อีกต่อไป

ล่าสุดชาวนาภาคกลาง 22 จังหวัดประกาศยกพลบุกทำเนียบรัฐบาลในวันที่ 24 มีนาคม เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน

ส.ส.พรรคเพื่อไทย (พท.) บางส่วนออกมาไล่บี้รัฐมนตรีร่วมพรรค ทั้ง “บุญทรง เตริยาภิรมย์” รมว.พาณิชย์ และ “กิตติรัตน์ ณ ระนอง” รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ให้เข้าประชุมพรรค-ยอมขึ้นเวทีซักฟอกภายใน เพื่อให้ผู้แทนฯ มีชุดคำอธิบายไปตอบคำถาม “ชาวรากหญ้า” ต่อ

จนหลายฝ่ายวิเคราะห์ว่าปม “จำนำข้าวเจ๊ง” อาจทำให้ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” เดินไปพบจุดจบหรือไม่?

เป็นผลให้คนในฝากฝั่งรัฐบาลที่กลัวการสูญเสียอำนาจสามัคคีกันออกมาปกป้องตัวเองด้วยการ “ปั่นข่าวใหม่-ให้ข่าวลวง” โดยหมายเบี่ยงเบนความสนใจของสื่อและสังคมออกจาก “ข่าวฉาว” ของรัฐบาล

ไม่ว่าจะเป็น รองนายกฯ ผู้จงใจขับโรลส์-รอยซ์เข้าทำเนียบฯ ในขณะที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กำลังตรวจสอบขบวนการเลี่ยงภาษีของรถหรูจดประกอบ

หรือแหล่งข่าวพรายกระซิบผู้จงใจปล่อยโผ “ครม.ยิ่งลักษณ์ 5” ล่วงหน้าตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่

ทว่าข่าวที่พลพรรครัฐบาลร่วมด้วยช่วยกันปูดจากทำเนียบ-รัฐสภา-พรรค หนีไม่พ้น ข่าวขบวนการล้มรัฐบาล ซึ่งผู้ให้ข่าวบ้างก็อ้างว่ามีการข่าวส่วนตัว บ้างก็อ้างข้อมูลของหน่วยงานความมั่นคง โดยจับความเคลื่อนไหวของกลุ่มหน้ากากขาว กลุ่มไทยสปริง กลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ นักธุรกิจ รวมถึงฝ่ายค้านและองค์กรอิสระบางส่วนผูกโยงเป็นโครงข่ายเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม “กลุ่มหลัก” ที่รัฐบาลเคยแกะรอย ตามไปจนพบความเคลื่อนไหว-ได้ชื่อ “คีย์แมน” ที่มีบทบาททางความคิดและกำหนดแผนเคลื่อนพลกระแทกรัฐบาลคือ “ผู้มีอำนาจในเครื่องแบบ” ทว่าไม่มีใครกล้าก้าวล่วงโดยตรง อย่างมากก็อ้อมไปกระทบชิ่ง “นายทหารนอกราชการ” แทน

ซ้ำร้ายกว่านั้น “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ยังออกหน้าอาสาหาตำแหน่งใหญ่ให้นั่งหลังเกษียณอีกด้วย แต่ไม่มีสัญญาณตอบรับจาก “ตึกไทยคู่ฟ้า”

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ “กุนซือยิ่งลักษณ์” รู้ว่าลีลาแอ๊คอ๊าทของ “ร.ต.อ.เฉลิม” เป็นอาการปกติของคนที่ขยาดทหารขึ้นสมอง เนื่องจากมีประสบการณ์ด้านร้ายจาก “ชายชุดเขียว” ในเหตุการณ์ปฏิวัติหลายหน เมื่อถูกขอจึงคิดว่าเป็นคำขู่และไม่กล้าปฏิเสธ

ทว่าเหตุผลส่วนสำคัญ สืบเนื่องจาก “การข่าวลับ” ที่รายงานตรงขึ้น “ตึกไทยคู่ฟ้า” ระบุว่า “นายพลคนดัง” เกี่ยวข้องกับการจัดรูปขบวนของ “ม็อบแช่แข็งประเทศไทย” ภายใต้การนำของ “เสธ.อ้าย-พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์” ที่ออกมารวมพลขับไล่รัฐบาลเมื่อปลายปี 2555

แม้สุดท้ายมวลชนจะแตกกระจายไปอย่างไม่เป็นขบวนท่า หลัง “เสธ.อ้าย” ชิงประกาศสลายตัวเอง

แม้ไม่มีคำสั่งจาก “ประมุขตึกไทยคู่ฟ้า” ให้จัดการ “นายพลคนดัง” เพราะไม่ต้องการให้เกิดปัญหากระทบกระทั่งระหว่างรัฐบาลกับกองทัพ

แต่ชื่อของเขาไม่เคยหายไปจากบัญชี “บุคคลที่ต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด” จึงเป็นไปไม่ได้ที่ “ยิ่งลักษณ์” จะจัดตำแหน่ง-แบ่งบทบาทคุมกำลังพลและกำลังเงินให้ใครคนนั้นตามที่ “ร.ต.อ.เฉลิม” ร้องขอ เพราะนั่นเท่ากับเป็นการโยนดาบให้ศัตรู ช่วยสืบทอดอำนาจให้ “ขั้วตรงข้าม”

ตลอดครึ่งค่อนปีที่ผ่านมา หากดูเผินๆ อาจเห็น “ยิ่งลักษณ์กับพวก” ปฏิบัติกับ “นายพลคนดัง” ปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่คนวงในยืนยันว่าเรื่องแต่หนหลังคือปมคาใจแบบสุดๆ

ถึงวันนี้เมื่อรัฐบาลเริ่มระส่ำจากปมจำนำข้าว ชาวรากหญ้าซึ่งถือเป็นฐานเสียงหลักพรรคเพื่อไทย-เกราะป้องกันภัยชั้นดีของรัฐบาล กำลังจะกลายร่างเป็น “ม็อบ” เสียเอง

ไม่มีใครรู้ว่า “นารี 1” รู้สึกหวิวแค่ไหนเวลาเห็นหน้า “ทั่นนายพล”!!!

 ที่มา.สำนักข่าวอิศรา
/////////////////////////////////////////////////////////

ชาวนาผู้สร้างชาติ !!?

คุณประสิทธิ์ บุญเฉย เป็นนายกสมาคมชาวนาไทย ออกมายืนยันว่า

ขอให้รัฐบาลเดินหน้าโครงการรับจำนำข้าวต่อไปเพราะเป็นนโยบายที่ชาวนาได้ประโยชน์อย่างแท้จริง เพียงแต่รัฐบาลปรับตัวเลขราคาจำนำจากตันละ 1.5 หมื่นบาท เหลือตันละ 1.2 หมื่นบาท ที่เป็นราคาที่ชาวนาปลูกข้าวแล้วไม่ขาดทุน

แค่ปลูกแล้วไม่ขาดทุน มันจะเป็นการช่วยชาวนาได้อย่างไร

ย้อนกลับหันหลังมองกลับกันเข้าไปในอดีต

ที่ดินราคาวาละล้านกว่าบาทในชานกรุงเทพ มหานครในวันนี้ เมื่อไม่ถึงห้าสิบปีที่แล้วมัน เป็นที่ดินทำนาเป็นกรรมสิทธิ์ของชาวนา

แล้ววันนี้มันเป็นที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของใคร

พ่อค้าคนกลางที่เคยหากินอยู่กับชาวนาใน คราวนั้น กลายเป็นเจ้าของที่ดินที่เคยเป็นท้องนา ในวันนี้ที่ดินของชาวนาสร้างธนาคารที่มีเงินหมุน เวียนเป็นล้านๆ แสนล้าน ราคาข้าวในตลาดยามที่ข้าวยังอยู่ในมือชาวนากับราคาข้าว ในวันที่ผ่านโรงสีและเข้าไปเก็บไว้ฉาง ก็กำหนดกันขึ้นมาจากห้องประชุมในธนาคารแห่งนั้น

มันจะเป็นเช่นนั้นอีกนานแสนนาน หากว่าไม่มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เข้ามาแก้ไขดำเนินการเพราะจะพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาไม่ได้ หากยังปล่อยให้คนไทยครึ่งประเทศ มีปัจจุบันและอนาคตที่น่ารันทดและเศร้าสลด

พรรคประชาธิปัตย์ เป็นพรรคมาแล้ว กว่าหกสิบปี ท่านมีหน้าที่แต่ท่านไม่เคยทำ วันนี้ ยังจะกลับมาขัดขวาง จะยืนตรงข้ามกับความกินดีอยู่ดีของชาวนา วันข้างหน้า ชาวนาที่ไหนจะมาเลือกท่าน

ถ้าจะเล่นงานรัฐบาล ประชาธิปัตย์ต้องไล่ ให้ได้จับให้ทันกับการฉ้อราษฎร์บังหลวงที่มากับโครงการนี้

ถ้าจะล้มรัฐบาล ก็ดูที่พวกเขาเข้าไปโกงกิน หรือไม่ใช้นโยบายเพื่อประโยชน์ของกลุ่มเขาหรือไม่

ถ้ามันจะขาดทุน เพราะทำกำไรให้ชาวนา ก็ต้องถามว่า เมื่อเงินในมือไหลกลับเข้ามาใน ตลาดก่อนจะกลับเข้าไปสู่ท้องพระคลังนั้นมันเป็นเรื่องดีหรือไม่

โดย .พญาไม้,บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////////////////////////////////

รัฐปั้นตัวเลขนาปี กลบขาดทุน !!?

 ข้าวงอก 2.5 ล้านตัน ชี้รัฐบาลปั้นตัวเลขข้าวนาปีเพิ่มมูลค่าข้าวคงเหลือในสต๊อก หวังลดขาดทุนโครงการรับจำนำข้าวนาปี 2555/56 ส่งผลจำนำข้าว 3 โครงการขาดทุนไม่เกิน 175,000 ล้านบาท ด้าน "บุญทรง" หนีตาย ยอมขายข้าวให้ผู้ซื้อต่างประเทศ

แม้ว่ารัฐบาลจะออกมา "ยอมรับ" ตัวเลขการขาดทุนจากการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก (นาปี 2554/55-นาปรัง 2555) จำนวน 136,896.80 ล้านบาท ของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวเปลือกตามนโยบายรัฐบาล ชุดของ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลังไปแล้วก็ตาม แต่ตัวเลขการขาดทุนดังกล่าวเป็นตัวเลขขาดทุนที่ยังไม่รวมโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี 2555/56 เข้าไปด้วย โดยโครงการรับจำนำล่าสุดนี้ คณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯได้ประมาณการขาดทุนเบื้องต้นไว้สูงถึง 84,071 ล้านบาท ส่งผลให้ผลการดำเนินโครงการรับจำนำทั้ง 3 โครงการ จะต้องมีตัวเลขขาดทุนสูงถึง 220,967.80 ล้านบาท

น.พ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก แสดงความสงสัยตัวเลขข้าวสารที่นายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพิ่งค้นพบว่า ไม่มีการลงบัญชีโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี 2555/56 อีก 2.5 ล้านตันถึงที่มาที่ไปของตัวเลขดังกล่าว โดยเชื่อว่า เป็นไปไม่ได้ที่องค์การคลังสินค้า (อคส.)-องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) จะไม่ลงบัญชีข้าวที่อ้างว่าอยู่ในระหว่างการสีแปรของโรงสีสูงมากมายถึงเพียงนี้

เพราะหากมีการ "ยอมรับ" ให้ตัวเลขข้าวชุดนี้สามารถลงบัญชีได้ เท่ากับมูลค่าปริมาณข้าวคงเหลือในสต๊อกรัฐบาลปีปัจจุบันจะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผลการขาดทุนของโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี 2555/56 ที่รัฐบาลยังไม่ยอมนำไปรวมกับผลการขาดทุนอีก 2 โครงการข้างต้น (นาปี 2554/55-นาปรัง 2555) "ลดลงทันที"

ด้านรัฐบาลเองได้พยายามที่จะ "ยืนยัน" การมีอยู่ของข้าวที่ไม่ได้ลงบัญชีจำนวน 2.5 ล้านตัน หลังจากที่ตัวเลขชุดนี้ถูกสร้างขึ้นมาแล้ว ด้วยการตั้งคณะทำงานตรวจสอบสต๊อกข้าว มี พล.ต.ต.ธวัช บุญเฟื่อง รองเลขาธิการสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ล่าสุดได้มีการประชุมเพื่อกำหนดกรอบการทำงานไปแล้ว โดยมีการประเมินว่า หากนำข้าวสารที่ได้จากการรับจำนำปี 2555/56 ในส่วนที่องค์การคลังสินค้า (อคส.) กับองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) อ้างว่า ลงบัญชีไม่ครบ 2.5 ล้านตันมาคำนวณตามมูลค่าตลาด ณ ราคาตันละ 18,000-19,000 บาท จะมีมูลค่ารวม 45,000-48,000 ล้านบาท เมื่อนำมาหักลบจากตัวเลขขาดทุนปี 2555/56 รอบแรกที่คณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯเคยคำนวณไว้ 84,071 ล้านบาท จะมีผลทำให้ยอดขาดทุนโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี 2555/56 ลดลงเหลือ 36,000-39,000 ล้านบาท

"หากเรายอมรับว่ามีตัวเลขข้าวสารยังไม่ได้ลงบัญชีอีก 2.5 ล้านตันเกิดขึ้นมาจริง ๆ แล้ว ผลการขาดทุนโครงการรับจำนำข้าวเปลือกทั้ง 3 โครงการของรัฐก็จะมีตัวเลขการขาดทุนอยู่ระหว่าง 172,896.80-175,896.80 ล้านบาท หรือไม่ถึง 220,967.80 ล้านบาท ตามผลการคำนวณของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯ ตรงนี้จึงเป็นคำอธิบายที่ว่า ทำไมรัฐบาลจึงมีความพยายามอย่างเหลือเกินที่จะต้องมีตัวเลขข้าว 2.5 ล้านตันเข้ามาเพื่อเพิ่มมูลค่าข้าวคงเหลือในสต๊อกรัฐบาลให้ได้ ส่วนตัวเลขชุดนี้จะมีความเป็นจริงได้มากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับผลการตรวจสอบสต๊อกของคณะทำงานชุด พล.ต.ต.ธวัช บุญเฟื่อง แต่ก็เกิดข้อครหาขึ้นมาอีกว่า รัฐบาลตั้งขึ้นมาเพื่อตรวจสต๊อกข้าวของรัฐบาลเอง จะมีความน่าเชื่อถือได้แค่ไหน" แหล่งข่าวในวงการค้าข้าวตั้งข้อสังเกต

ส่วนการประกาศลดราคารับจำนำข้าวเปลือกนาปรังปี 2556 (จำนำข้าวรอบ 2) ลงเหลือตันละ 12,000 บาท (ข้าวขาว) แหล่งข่าวในวงการค้าข้าวกล่าวว่า น่าจะนำมาจากสูตรการคำนวณสูตรที่ 2 ในระหว่างการหารือเรื่องการลดราคารับจำนำข้าวเปลือกในที่ประชุม คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) กล่าวคือ คิดราคาต้นทุนตันละ 8,400 บาท บวกกำไรให้เกษตรกร 25% และให้ค่าขนส่งข้าวอีก 10%

"การเลือกใช้สูตรที่ 2 รวมทั้งจำกัดปริมาณข้าวที่ชาวนาจะนำมาจำนำกับรัฐบาล จะช่วยให้รัฐบาลลดภาระค่าใช้จ่ายในการรับจำนำข้าวเปลือกลงไปได้ตันละ 3,000 บาท สำหรับข้าวนาปรังปี 2556 (จำนำข้าวรอบ 2) ที่คาดว่าจะมีคงเหลือค้างอยู่ในมือของเกษตรกรราว 2.5 ล้านตันข้าวเปลือก หรือ คิดเป็นเม็ดเงินรับจำนำที่จะลดลงได้ราว 7,500 ล้านบาท แก้ปัญหาการหมุนเงินจากการระบายข้าวในสต๊อกรัฐบาลให้กับ ธ.ก.ส.ที่ไม่เป็นไปตามแผนของกระทรวงพาณิชย์ได้ระดับหนึ่ง" แหล่งข่าวกล่าว

ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังคงยืนยันว่า ยอดการใช้เงินในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกยังเป็นไปตามกรอบวงเงินเดิมที่ให้สำนักงานบริหารหนี้สิน (สบน.) กู้ 410,000 ล้านบาท และจากสภาพคล่องของ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) 90,000 ล้านบาท โดย ธ.ก.ส.ยังไม่มีการสำรองเงินเพิ่มเติม นอกจากนี้ แม้ว่าในส่วนของ ธ.ก.ส.จะแจ้งว่า ใช้เงินไปแล้ว 6.6 แสนล้านบาทก็ตาม แต่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติให้ตั้งงบประมาณชดเชยส่วนที่จ่ายเกินได้ปีละ 100,000 ล้านบาท จึงยังถือว่ายังไม่เกินกรอบวงเงินข้างต้น

"หลังจากที่รัฐบาลตัดสินใจลดราคารับจำนำข้าวลง จะส่งผลให้ราคาข้าวภายในประเทศปรับลดลงบ้างเล็กน้อย ส่วนราคาข้าวส่งออกคาดว่าจะปรับลดลงมาอยู่ที่ 500 เหรียญ/ตัน ซึ่งจะส่งผลดีกับการระบายข้าวในสต๊อกรัฐบาล และยังเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ส่งออกข้าวไทย โดยมีการประเมินว่า ตัวเลขการส่งออกข้าวปี 2556 น่าจะเพิ่มขึ้น จากที่วางเป้าหมายไว้ 8.5 ล้านตันได้ แต่ขึ้นอยู่กับแนวทางการระบายของคณะอนุกรรมการระบายข้าวว่า จะมีรูปแบบใหม่อย่างไร" แหล่งข่าวกล่าว

ล่าสุดมีรายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์เข้ามาว่า กรมการค้าต่างประเทศกำลังอยู่ระหว่างจัดทำแนวทางปฏิบัติเพื่อระบายข้าวในสต๊อกรัฐบาล ตามแนวทางที่ขอความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ควรจะมีการระบายด้วยการเปิดประมูลรูปแบบอื่น อาทิ การให้ผู้ซื้อต่างประเทศ/โบรกเกอร์ เข้ามาซื้อข้าวในสต๊อกรัฐบาลได้

แต่วิธีการซื้อขายตรงกับผู้ซื้อข้าวต่างประเทศ รัฐบาลไม่อาจจะดำเนินการได้ เพราะอาจจะขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 89 ดังนั้นจึงมีการประสานไปยังสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ขอให้เข้ามาเป็น "คนกลาง" ในการซื้อข้าวระหว่างผู้ซื้อต่างประเทศกับรัฐบาล โดยใช้ชื่อเอกชนไทยเป็นผู้ซื้อข้าวรัฐแทน เบื้องต้นทางสมาคมตอบรับในหลักการ ต่อจากนั้น นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะเสนอต่อที่ประชุม กขช.ต่อไป

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556

คำเตือน : สีจิ้นผิงเรื่องกระสุนเคลือบน้ำตาล !!??

เมื่อคณะกรรมการกรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ได้ประกาศใช้กฎเหล็ก 11 ประการ ตามข้อเสนอของนายสีจิ้นผิงแล้ว นายสีจิ้นผิงได้กล่าวปราศรัยในเวลาต่อมา เตือนทั่วทั้งพรรค โดยเฉพาะผู้นำระดับสูงต่างๆ  ให้ผลักดันการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างจริงจัง

                นายสีจิ้นผิงย้ำว่า ถ้าไม่ปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างจริงจังแล้ว พรรคคอมมิวนิสต์จีนก็อยู่ไม่ได้ และให้ถือว่าภารกิจในการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นภาระใจกลางอย่างหนึ่งของจีนในสถานการณ์ปัจจุบัน และเป็นความเป็นความตายของพรรคคอมมิวนิสต์จีนด้วย

                นายสีจิ้นผิงย้ำเตือนว่า ผู้นำพรรคระดับสูงทั้งหมดและทั่วทั้งพรรคจะต้องระมัดระวัง“กระสุนเคลือบน้ำตาล” ที่เป็นอันตรายร้ายแรงต่อพรรคคอมมิวนิสต์จีน กองทัพปลดแอกประชาชนจีน รัฐบาลจีน ประเทศจีน และประชาชาติจีนทั้งมวลด้วย

                “กระสุนเคลือบน้ำตาล”คืออะไร? และหลังจากนายสีจิ้นผิงกล่าวความข้อนี้ ก็ทำให้ชาวพรรคคอมมิวนิสต์จีนและประชาชนจีนจำนวนมาก ต้องหวนย้อนไปศึกษาค้นคว้าสรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตุงกันอีกครั้งหนึ่ง

                เพราะคำว่า“กระสุนเคลือบน้ำตาล” เป็นส่วนหนึ่งของสุนทรพจน์ครั้งสำคัญของประธานเหมาเจ๋อตุงที่เตือนทั่วทั้งศูนย์การนำ เตือนทั่วทั้งผู้นำกองทัพ เตือนชาวพรรคคอมมิวนิสต์ทั้งมวลอย่างหนักแน่นจริงจัง

                ในครั้งนั้นหลังจากกองทัพปลดแอกประชาชนจีนได้รับชัยชนะในสามยุทธการใหญ่ คือ ยุทธการเหลียวเซิ่น ยุทธการหวายไห่ และยุทธการเป่ยผิง-เทียนสินแล้ว พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนก็ได้อำนาจรัฐทั่วภาคเหนือและภาคอีสานของจีนทั้งหมด

                มีการประชุมใหญ่ศูนย์กลางพรรค ศูนย์กลางการนำทางทหาร และศูนย์กลางการนำมวลชน ซึ่งในโอกาสนั้นประธานเหมาเจ๋อตุงได้ชี้นำสถานการณ์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงสู่ขั้นใหม่ว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนกำลังเข้าสู่สถานการณ์ครองอำนาจรัฐทั่วประเทศ สงครามที่ต่อสู้กันด้วยกำลังอาวุธและกระสุนเหล็กกำลังจะสิ้นสุดลง

                ประธานเหมาเจ๋อตุงได้ชี้นำสถานการณ์ขั้นใหม่ว่า เมื่อสถานการณ์สงครามด้วยอาวุธสิ้นสุดลงแล้ว พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้อำนาจรัฐทั่วประเทศจีนแล้ว การจัดตั้งรัฐบาลรวมของประชาชาติจีนก็จะเกิดขึ้น พรรคคอมมิวนิสต์จีนก็จะเข้าสู่สถานการณ์ขั้นใหม่

                นั่นคือสถานการณ์การเข้าสู่อำนาจรัฐ และในสถานการณ์นี้ประธานเหมาเจ๋อตุงได้เตือนว่าสิ่งที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนมีความชำนาญ(คือการทำสงครามปลดแอกและทำสงครามประชาชาติ) กำลังจะใช้ไม่ได้ สิ่งที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนไม่ถนัดและไม่มีประสบการณ์กำลังเป็นภารกิจหลักของพรรค นั่นคือการสถาปนาประเทศจีนใหม่ การปกครองประเทศจีน การนำพาประชาชาติจีนให้ก้าวพ้นจากความลำบากยากจนและมีความเป็นเอกภาพ แข็งแกร่ง มีศักดิ์มีศรี

                สิ่งใหม่ที่กำลังเผชิญหน้าอยู่เป็นสิ่งที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนไม่เคยมีและไม่เคยมีบทเรียน เป็นสถานการณ์ที่จะเข้าสู่สงครามแบบใหม่ที่มีความท้าทายและรุนแรงไม่แพ้สงครามแบบเก่าที่ใช้กำลังอาวุธ

                ประธานเหมาเจ๋อตุงได้ชี้ว่า ในสถานการณ์ที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้อำนาจรัฐนั้น สหายทั้งหลายจะต้องระมัดระวังกระสุนเคลือบน้ำตาล และกระสุนเคลือบน้ำตาลนี้จะเป็นอันตรายร้ายแรงยิ่งกว่าสงครามที่ต่อสู้กันด้วยกระสุนเหล็ก

                นั่นคือคำเตือนของผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของจีน ก่อนจะมีการประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน

                และแม้จะมีคำเตือนในสุนทรพจน์ครั้งสำคัญเช่นนั้นแล้ว ปรากฏว่าหลังจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้อำนาจรัฐได้ราว 20 ปี เหมาเจ๋อตุงก็ต้องเคลื่อนไหวปฏิวัติวัฒนธรรมอันลือลั่นในประเทศจีน

                การปฏิวัติวัฒนธรรมของจีนเนื้อหาสำคัญส่วนหนึ่งก็คือการต่อสู้กับการทุจริตคอร์รัปชั่น การฟื้นตัวขึ้นของลัทธิขุนนางและทุนนิยมภายในพรรค แต่ด้วยการปฏิบัติและการนำของศูนย์กลางพรรคในขณะนั้นมีลักษณะเอียงซ้าย รุนแรง และขาดการจำแนกดังที่ได้มีการประเมินฐานะทางประวัติศาสตร์ของเหมาเจ๋อตุงไว้ จึงก่อให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวง

                และผลการประเมินฐานะทางประวัติศาสตร์นั้นก็ชี้ว่าความผิดพลาดในการปฏิวัติวัฒนธรรมเป็นความผิดพลาด 30% ของผลงานทั้งปวงในชีวิตของเหมาเจ๋อตุง โดยมีผลงานที่ดีและถูกต้อง 70%

                เติ้งเสี่ยวผิง ผู้เป็นแกนหลักในการประเมินฐานะทางประวัติศาสตร์ของเหมาเจ๋อตุงสรุปไว้ว่า ในความผิดพลาด 30%ของสหายเหมาเจ๋อตุงนั้น จะโทษเหมาเจ๋อตุงคนเดียวไม่ได้ เพราะทุกคนมีส่วนร่วมรับผิดชอบด้วย

                หลังการปฏิวัติวัฒนธรรมผ่านไปใกล้จะ 40 ปีแล้ว วันนี้ศูนย์การนำรุ่นที่ 5 ที่มีสีจิ้นผิงเป็นศูนย์กลางก็ได้เปิดฉากดำเนินการปฏิรูปพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ที่ถึงขนาดระบุว่าการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นปัญหาความเป็นความตายของพรรค กองทัพ รัฐบาลและประเทศจีนด้วย

                นึกดูเอาเถิด หากไม่มีการต่อสู้กับการทุจริตคอร์รัปชั่นครั้งสำคัญ ๆ และอย่างต่อเนื่องแล้ว วันนี้สถานการณ์ในประเทศจีนจะเป็นอย่างไร? จะมิกลายเป็นสหภาพโซเวียตที่สองไปแล้วหรือ!

                สำหรับประเทศไทยของเรา ไม่เพียงแต่การทุจริตคอร์รัปชั่นขยายตัวเติบโตและรุนแรงอย่างไม่หยุดยั้ง อย่างต่อเนื่อง ชนิดไม่เกรงฟ้า ไม่อายดิน โกงทุกเรื่อง โกงทุกโครงการ โกงเย้ยฟ้าท้าดิน และไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น อย่างนี้บ้านเมืองของเราจะอยู่รอดได้อย่างไร?

                และนี่ก็คือภารกิจของชาวไทยทั้งประเทศที่ต้องร่วมแรงร่วมใจกันกำจัดกวาดล้างพวกโกงบ้านผลาญเมืองให้สิ้นซาก!


ที่มา.นสพ.แนวหน้า
////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2556

รถใหญ่ผิดเสมอ !!?

ท่านผู้อ่านคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า "รถใหญ่ ผิดเสมอ" หรือ "รถเล็ก ยังไงก็ถูกเสมอ" ไหมครับ แล้วอะไรคือ "รถใหญ่" อะไรคือ "รถเล็ก"

รถ หมายถึง รถหลายประเภท ยกตัวอย่าง เช่น รถเก๋ง รถกระบะ รถสองแถว รถโดยสาร รถบรรทุก รถพ่วง รถไฟ รวมไปถึงรถจักรยานยนต์และจักรยาน การเรียก "รถใหญ่" หรือ "รถเล็ก" ใช้ในการเปรียบเทียบขนาดของรถ เช่น รถเก๋ง กับรถจักรยานยนต์ แน่นอนว่ารถเก๋งย่อมมีขนาดใหญ่กว่ารถจักรยานยนต์ แต่ถ้าเทียบระหว่างรถเก๋งกับรถบรรทุกแล้วรถเก๋งย่อมมีขนาดเล็กกว่ารถบรรทุก เป็นต้น

ในทางกฎหมายแล้ว ทั้งกฎหมายอาญาและกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ ไม่มีบัญญัติไว้หรอกครับว่าบุคคลที่ขับรถใหญ่กว่าคู่กรณีจะเป็นฝ่ายผิด จะมีก็แต่ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 39 บัญญัติไว้ในเรื่องการเดินรถในทางแคบ เมื่อเดินรถสวนกันผู้ขับขี่จะต้องลดความเร็วของรถเพื่อให้รถสวนกันได้อย่างปลอดภัย ผู้ขับขี่ที่ขับรถคันใหญ่กว่าจะต้องหยุดรถให้ชิดขอบทางรถด้านซ้าย เพื่อให้ผู้ขับขี่รถคันที่เล็กกว่าผ่านไปได้ หากผู้ขับขี่รถคันที่ใหญ่กว่าไม่ปฏิบัติตาม จะต้องระวางโทษปรับตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ ครับ

พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ ได้ตราขึ้นมาตั้งแต่ พ.ศ.2522 ซึ่งการคมนาคมในสมัยนั้นถนนหนทางไม่ได้มี 6 เลนหรือ 8 เลน เหมือนปัจจุบัน ขณะนี้ พ.ศ.2556 แล้วตามตรอกซอกซอยเล็กๆ ก็ยังคงใช้มาตรา 39 แห่ง พ.ร.บ.จราจรบังคับอยู่ คือรถใหญ่จะต้อง หยุดรถชิดขอบทางด้านซ้าย เพื่อให้รถเล็กไปก่อน เพราะถ้าหากสวน กันในทางแคบเกิดเฉี่ยวชนกัน เกิดความเสียหายขึ้นมา รถใหญ่ต้องผิดแน่นอนครับ

ส่วนในเรื่องที่พูดกันว่าเมื่อ "รถใหญ่" ชน "รถเล็ก" จะมีการตั้งข้อหาหรือสันนิษฐานไว้ก่อนว่ารถใหญ่เป็นฝ่ายผิด เป็นเรื่องของ "ความเสียหาย" ที่เกิดขึ้นครับ เมื่อรถใหญ่ชนกับรถเล็ก ความเสียหายในชีวิตและร่างกายมักจะเกิดกับผู้ที่ขับขี่ หรือคนที่โดยสารมากับรถที่เล็กกว่า ย่อมได้รับแรงปะทะจากการชนของรถใหญ่ รถที่เล็กกว่าจะได้รับความเสียหายมากกว่า ผู้ที่ขับขี่รถเล็กมีโอกาส ที่จะได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตมากกว่า อย่างที่มีคำเปรียบเปรยว่า ผู้ขับรถยนต์นั้นเป็น "เหล็กหุ้มเนื้อ" ส่วนคนที่ขับขี่รถจักรยานยนต์นั้นเป็น "เนื้อหุ้มเหล็ก" นั่นละครับ

จากสถิติการเสียชีวิตและพิการจากอุบัติเหตุบนท้องถนนมักเกิดขึ้นกับผู้ที่ขับขี่จักรยานยนต์ และเมื่อมีการบาดเจ็บ หรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุแล้ว คู่กรณีอีกฝ่ายซึ่งมักจะเป็นผู้ขับขี่รถที่ใหญ่กว่า จะโดนข้อกล่าวหาว่าขับขี่รถโดยประมาททำให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส หรือขับขี่รถโดยประมาททำให้ผู้อื่นเสียชีวิต แล้วแต่กรณี อันนี้เป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา

ในขณะที่หากเป็นกรณีรถจักรยานยนต์ชนท้ายรถเก๋ง รถเก๋งเสียหาย แต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ จะไม่โดนข้อหาว่าประมาททำให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย เพราะในประมวลกฎหมายอาญาไม่ได้ระบุหรือมีฐานความผิดฐานประมาททำให้ผู้อื่นเสียทรัพย์ครับ (ผมเคยเขียนถึงเรื่องประมาททำให้ผู้อื่นเสียทรัพย์มาก่อนหน้านี้แล้ว) อย่างไรเสียหากผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์จะต้องชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นก็เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ครับ

จะเห็นได้ว่าเมื่อเกิดเหตุ และมีความเสียหายต่อชีวิตและร่างกายเกิดขึ้นเจ้าพนักงานตำรวจจะแจ้งข้อหาผู้ขับขี่รถใหญ่เอาไว้ก่อน ผู้ที่ขับรถใหญ่กว่าจะพ้นข้อกล่าวหา ก็ต่อเมื่อมีการพิสูจน์ได้ว่าผู้ขับขี่รถเล็กกระทำผิดกฎจราจร เช่น ฝ่าสัญญาณไฟจราจร ฝ่าสัญญาณกั้นทางรถไฟ แซงทางซ้าย ขับรถไม่อยู่ในเลนของตน ทำให้เกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนกันขึ้น

ในทางประเพณีปฏิบัติเมื่อสอบสวนแล้ว ถ้าปรากฏว่าผู้ที่ขับขี่รถใหญ่กว่าไม่ผิด/ไม่มีความผิด แต่คู่กรณีซึ่งเป็นผู้ขับขี่รถเล็กกว่า ได้รับบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมักจะเจรจาให้อีกฝ่ายช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ หรือช่วยเหลือค่าปลงศพผู้ที่เสียชีวิต ซึ่งจริงๆ แล้วกฎหมายไม่ได้ บังคับไว้นะครับ ถือเป็นการให้ความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรม ที่ช่วยเหลือผู้ที่ร่วมประสบอุบัติเหตุ มีความทุกข์จากการสูญเสีย เพราะขึ้นชื่อว่าอุบัติเหตุไม่มีใครอยากให้เกิดหรอกครับ หากพอจะช่วยเหลือกันได้ ก็ช่วยเหลือกันไป แต่ถ้าช่วยไม่ได้ หรือไม่มีจะช่วยจริงๆ ก็ไม่ว่ากันครับ เพราะกฎหมายไม่ได้บังคับไว้ครับ

"รถใหญ่ ไม่ได้ผิดเสมอ" นะครับ เพราะเรื่องที่ว่าผิดหรือไม่ผิดนั้น กระบวนการทางกฎหมายให้ความ "ยุติธรรม" แก่ท่านได้แน่นอนครับ แต่ในเรื่องของ "คุณธรรม" แล้ว ขึ้นอยู่ กับจิตใจของคนแต่ละคนครับ

ที่มา.สยามธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////

สูตรเด็ดเศรษฐกิจไทย Reconstruction สู่ New Economy ชู เกษตร ท่องเที่ยว และ สุขภาพ สู่เวทีโลก !!?

วิเคราะห์เศรษฐกิจ : นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล ที่ปรึกษาอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย เศรษฐกิจไทยในปี พ.ศ.2556 คาดการณ์ว่าคงเติบโตอยู่ในระดับร้อยละ 4 – 5 ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ทำนายไว้ ทั้งนี้ เพราะปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยยังคงจำกัดอยู่ใน 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการส่งออก ด้านการลงทุนของภาคเอกชน และด้านการใช้จ่ายของภาครัฐ และเชื่อว่าในอีก 1–2 ปีข้างหน้าเศรษฐกิจไทยก็จะยังไม่เติบโตรุดหน้าเกินไปกว่านี้

การมองอนาคตประเทศไทยควรมองไปข้างหน้าและปรับกระบวนทัศน์ใหม่เพื่อให้ประเทศไทยสามารถก้าวเดินและเติบโตต่อไปบนเวทีโลกได้อย่างเต็มที่ สำหรับปัจจุบันการเปลี่ยนแปลง (Change) ประเทศไทยนั้นไม่เพียงพอ แต่จำเป็นต้องสร้างใหม่หมด (Reconstruction) เพื่อสร้างศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ เนื่องจากการบริหารโลกต่อจากนี้ไปจะอยู่ในระบอบใหม่ที่เรียกว่า "ข้อตกลง" ประเทศไทยจะต้องเผชิญหน้ากับข้อตกลงทุกรูปแบบที่เกิดขึ้นในทุกภูมิภาคของโลก ข้อตกลงเหล่านี้เป็นเครื่องมือหลักในการบริหารการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมของโลก และขับเคลื่อนให้โลกเป็นหนึ่งเดียวภายใต้มาตรฐานและกฎหมายเดียวกัน หรือที่เรียกว่า “1 มาตรฐาน 1 กฎหมาย = 1 โลก” เป็นการก้าวเดินสู่ระบบ “เศรษฐกิจใหม่” (New Economy)

การค้าในระบบเศรษฐกิจใหม่ จะทำให้ 1. ภาษีนำเข้าสินค้าลดลง 2.พื้นที่ตลาดกว้างขึ้น 3.การแข่งขันรุนแรงขึ้นทั้งปริมาณและคุณภาพ 4.การเคลื่อนย้ายทุนเพิ่มขึ้น 5.การเดินทางเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ภายใต้เศรษฐกิจใหม่ที่ว่านี้ นักธุรกิจจะต้องปรับตัวและเปลี่ยนวิธีคิด เนื่องจากปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงในการดำเนินธุรกิจที่เคยเรียงลำดับความสำคัญจาก 1.การเมือง (Politics) 2.เศรษฐกิจ (Economics) 3.สังคม (General Public) และ 4.สิ่งแวดล้อม (Environment) จะต้องเปลี่ยนใหม่เป็น 1.สิ่งแวดล้อม (Environment) 2.สังคม (General Public) 3.เศรษฐกิจ (Economics) 4. การเมือง (Politics)

ธุรกิจหลักที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนประเทศไทยภายใต้ระบบเศรษฐกิจใหม่ จะมีด้วยกัน 3 ธุรกิจ ได้แก่ 1.เกษตรและอาหาร ทั้งนี้ เพราะประเทศไทยมีน้ำมันบนดิน มีสินค้าเกษตรที่เป็นได้ทั้งอาหารและพลังงาน และต่อไปอนาคตอาหารจะถูกออกแบบให้เป็นยาด้วยเทคโนโลยีชั้นดี 2.การท่องเที่ยว ประเทศไทยมีทรัพยากรด้านการท่องเที่ยวที่สมบูรณ์โดยสิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการมากที่สุดคือ ในเรื่องของความปลอดภัย 3.การบริการด้านสุขภาพ แพทย์ และพยาบาลเป็นอาชีพที่มีความจำเป็นสูงในอนาคต ที่กระทรวงสาธารณสุขต้องสร้าง เพราะสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญ

ข้อตกลงต่างๆ นี้ถึงแม้จะเป็นเครื่องมือในการบริหารโลกที่กำหนดให้แต่ละประเทศเดินตาม แต่ในขณะเดียวกันก็ใช่เครื่องสกัดกั้นการเติบโต ต้องยอมรับว่าในระบบระบบเศรษฐกิจใหม่โลกจะขับเคลื่อนด้วยเครื่องมือนี้ จึงขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้นำในการพัฒนาประเทศ ประเทศไทยจะต้องให้ความสำคัญโดยผู้มีส่วนร่วมทุกภาคส่วน ได้แก่ 1.ผู้ประกอบการ 2.นักการเมือง 3.ข้าราชการ และ 4.NGO จะต้องร่วมกันระดมสมองวางแผนประเทศไทยให้เดินหน้าเพื่อเอาชนะข้อตกลงต่างๆ เหล่านี้ให้ได้

ที่มา.สยามธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////