--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2556

รถใหญ่ผิดเสมอ !!?

ท่านผู้อ่านคงเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า "รถใหญ่ ผิดเสมอ" หรือ "รถเล็ก ยังไงก็ถูกเสมอ" ไหมครับ แล้วอะไรคือ "รถใหญ่" อะไรคือ "รถเล็ก"

รถ หมายถึง รถหลายประเภท ยกตัวอย่าง เช่น รถเก๋ง รถกระบะ รถสองแถว รถโดยสาร รถบรรทุก รถพ่วง รถไฟ รวมไปถึงรถจักรยานยนต์และจักรยาน การเรียก "รถใหญ่" หรือ "รถเล็ก" ใช้ในการเปรียบเทียบขนาดของรถ เช่น รถเก๋ง กับรถจักรยานยนต์ แน่นอนว่ารถเก๋งย่อมมีขนาดใหญ่กว่ารถจักรยานยนต์ แต่ถ้าเทียบระหว่างรถเก๋งกับรถบรรทุกแล้วรถเก๋งย่อมมีขนาดเล็กกว่ารถบรรทุก เป็นต้น

ในทางกฎหมายแล้ว ทั้งกฎหมายอาญาและกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ ไม่มีบัญญัติไว้หรอกครับว่าบุคคลที่ขับรถใหญ่กว่าคู่กรณีจะเป็นฝ่ายผิด จะมีก็แต่ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 39 บัญญัติไว้ในเรื่องการเดินรถในทางแคบ เมื่อเดินรถสวนกันผู้ขับขี่จะต้องลดความเร็วของรถเพื่อให้รถสวนกันได้อย่างปลอดภัย ผู้ขับขี่ที่ขับรถคันใหญ่กว่าจะต้องหยุดรถให้ชิดขอบทางรถด้านซ้าย เพื่อให้ผู้ขับขี่รถคันที่เล็กกว่าผ่านไปได้ หากผู้ขับขี่รถคันที่ใหญ่กว่าไม่ปฏิบัติตาม จะต้องระวางโทษปรับตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ ครับ

พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ ได้ตราขึ้นมาตั้งแต่ พ.ศ.2522 ซึ่งการคมนาคมในสมัยนั้นถนนหนทางไม่ได้มี 6 เลนหรือ 8 เลน เหมือนปัจจุบัน ขณะนี้ พ.ศ.2556 แล้วตามตรอกซอกซอยเล็กๆ ก็ยังคงใช้มาตรา 39 แห่ง พ.ร.บ.จราจรบังคับอยู่ คือรถใหญ่จะต้อง หยุดรถชิดขอบทางด้านซ้าย เพื่อให้รถเล็กไปก่อน เพราะถ้าหากสวน กันในทางแคบเกิดเฉี่ยวชนกัน เกิดความเสียหายขึ้นมา รถใหญ่ต้องผิดแน่นอนครับ

ส่วนในเรื่องที่พูดกันว่าเมื่อ "รถใหญ่" ชน "รถเล็ก" จะมีการตั้งข้อหาหรือสันนิษฐานไว้ก่อนว่ารถใหญ่เป็นฝ่ายผิด เป็นเรื่องของ "ความเสียหาย" ที่เกิดขึ้นครับ เมื่อรถใหญ่ชนกับรถเล็ก ความเสียหายในชีวิตและร่างกายมักจะเกิดกับผู้ที่ขับขี่ หรือคนที่โดยสารมากับรถที่เล็กกว่า ย่อมได้รับแรงปะทะจากการชนของรถใหญ่ รถที่เล็กกว่าจะได้รับความเสียหายมากกว่า ผู้ที่ขับขี่รถเล็กมีโอกาส ที่จะได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตมากกว่า อย่างที่มีคำเปรียบเปรยว่า ผู้ขับรถยนต์นั้นเป็น "เหล็กหุ้มเนื้อ" ส่วนคนที่ขับขี่รถจักรยานยนต์นั้นเป็น "เนื้อหุ้มเหล็ก" นั่นละครับ

จากสถิติการเสียชีวิตและพิการจากอุบัติเหตุบนท้องถนนมักเกิดขึ้นกับผู้ที่ขับขี่จักรยานยนต์ และเมื่อมีการบาดเจ็บ หรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุแล้ว คู่กรณีอีกฝ่ายซึ่งมักจะเป็นผู้ขับขี่รถที่ใหญ่กว่า จะโดนข้อกล่าวหาว่าขับขี่รถโดยประมาททำให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส หรือขับขี่รถโดยประมาททำให้ผู้อื่นเสียชีวิต แล้วแต่กรณี อันนี้เป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา

ในขณะที่หากเป็นกรณีรถจักรยานยนต์ชนท้ายรถเก๋ง รถเก๋งเสียหาย แต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ จะไม่โดนข้อหาว่าประมาททำให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย เพราะในประมวลกฎหมายอาญาไม่ได้ระบุหรือมีฐานความผิดฐานประมาททำให้ผู้อื่นเสียทรัพย์ครับ (ผมเคยเขียนถึงเรื่องประมาททำให้ผู้อื่นเสียทรัพย์มาก่อนหน้านี้แล้ว) อย่างไรเสียหากผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์จะต้องชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นก็เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ครับ

จะเห็นได้ว่าเมื่อเกิดเหตุ และมีความเสียหายต่อชีวิตและร่างกายเกิดขึ้นเจ้าพนักงานตำรวจจะแจ้งข้อหาผู้ขับขี่รถใหญ่เอาไว้ก่อน ผู้ที่ขับรถใหญ่กว่าจะพ้นข้อกล่าวหา ก็ต่อเมื่อมีการพิสูจน์ได้ว่าผู้ขับขี่รถเล็กกระทำผิดกฎจราจร เช่น ฝ่าสัญญาณไฟจราจร ฝ่าสัญญาณกั้นทางรถไฟ แซงทางซ้าย ขับรถไม่อยู่ในเลนของตน ทำให้เกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนกันขึ้น

ในทางประเพณีปฏิบัติเมื่อสอบสวนแล้ว ถ้าปรากฏว่าผู้ที่ขับขี่รถใหญ่กว่าไม่ผิด/ไม่มีความผิด แต่คู่กรณีซึ่งเป็นผู้ขับขี่รถเล็กกว่า ได้รับบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมักจะเจรจาให้อีกฝ่ายช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ หรือช่วยเหลือค่าปลงศพผู้ที่เสียชีวิต ซึ่งจริงๆ แล้วกฎหมายไม่ได้ บังคับไว้นะครับ ถือเป็นการให้ความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรม ที่ช่วยเหลือผู้ที่ร่วมประสบอุบัติเหตุ มีความทุกข์จากการสูญเสีย เพราะขึ้นชื่อว่าอุบัติเหตุไม่มีใครอยากให้เกิดหรอกครับ หากพอจะช่วยเหลือกันได้ ก็ช่วยเหลือกันไป แต่ถ้าช่วยไม่ได้ หรือไม่มีจะช่วยจริงๆ ก็ไม่ว่ากันครับ เพราะกฎหมายไม่ได้บังคับไว้ครับ

"รถใหญ่ ไม่ได้ผิดเสมอ" นะครับ เพราะเรื่องที่ว่าผิดหรือไม่ผิดนั้น กระบวนการทางกฎหมายให้ความ "ยุติธรรม" แก่ท่านได้แน่นอนครับ แต่ในเรื่องของ "คุณธรรม" แล้ว ขึ้นอยู่ กับจิตใจของคนแต่ละคนครับ

ที่มา.สยามธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////

สูตรเด็ดเศรษฐกิจไทย Reconstruction สู่ New Economy ชู เกษตร ท่องเที่ยว และ สุขภาพ สู่เวทีโลก !!?

วิเคราะห์เศรษฐกิจ : นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล ที่ปรึกษาอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย เศรษฐกิจไทยในปี พ.ศ.2556 คาดการณ์ว่าคงเติบโตอยู่ในระดับร้อยละ 4 – 5 ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ทำนายไว้ ทั้งนี้ เพราะปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยยังคงจำกัดอยู่ใน 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการส่งออก ด้านการลงทุนของภาคเอกชน และด้านการใช้จ่ายของภาครัฐ และเชื่อว่าในอีก 1–2 ปีข้างหน้าเศรษฐกิจไทยก็จะยังไม่เติบโตรุดหน้าเกินไปกว่านี้

การมองอนาคตประเทศไทยควรมองไปข้างหน้าและปรับกระบวนทัศน์ใหม่เพื่อให้ประเทศไทยสามารถก้าวเดินและเติบโตต่อไปบนเวทีโลกได้อย่างเต็มที่ สำหรับปัจจุบันการเปลี่ยนแปลง (Change) ประเทศไทยนั้นไม่เพียงพอ แต่จำเป็นต้องสร้างใหม่หมด (Reconstruction) เพื่อสร้างศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ เนื่องจากการบริหารโลกต่อจากนี้ไปจะอยู่ในระบอบใหม่ที่เรียกว่า "ข้อตกลง" ประเทศไทยจะต้องเผชิญหน้ากับข้อตกลงทุกรูปแบบที่เกิดขึ้นในทุกภูมิภาคของโลก ข้อตกลงเหล่านี้เป็นเครื่องมือหลักในการบริหารการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมของโลก และขับเคลื่อนให้โลกเป็นหนึ่งเดียวภายใต้มาตรฐานและกฎหมายเดียวกัน หรือที่เรียกว่า “1 มาตรฐาน 1 กฎหมาย = 1 โลก” เป็นการก้าวเดินสู่ระบบ “เศรษฐกิจใหม่” (New Economy)

การค้าในระบบเศรษฐกิจใหม่ จะทำให้ 1. ภาษีนำเข้าสินค้าลดลง 2.พื้นที่ตลาดกว้างขึ้น 3.การแข่งขันรุนแรงขึ้นทั้งปริมาณและคุณภาพ 4.การเคลื่อนย้ายทุนเพิ่มขึ้น 5.การเดินทางเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ภายใต้เศรษฐกิจใหม่ที่ว่านี้ นักธุรกิจจะต้องปรับตัวและเปลี่ยนวิธีคิด เนื่องจากปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงในการดำเนินธุรกิจที่เคยเรียงลำดับความสำคัญจาก 1.การเมือง (Politics) 2.เศรษฐกิจ (Economics) 3.สังคม (General Public) และ 4.สิ่งแวดล้อม (Environment) จะต้องเปลี่ยนใหม่เป็น 1.สิ่งแวดล้อม (Environment) 2.สังคม (General Public) 3.เศรษฐกิจ (Economics) 4. การเมือง (Politics)

ธุรกิจหลักที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนประเทศไทยภายใต้ระบบเศรษฐกิจใหม่ จะมีด้วยกัน 3 ธุรกิจ ได้แก่ 1.เกษตรและอาหาร ทั้งนี้ เพราะประเทศไทยมีน้ำมันบนดิน มีสินค้าเกษตรที่เป็นได้ทั้งอาหารและพลังงาน และต่อไปอนาคตอาหารจะถูกออกแบบให้เป็นยาด้วยเทคโนโลยีชั้นดี 2.การท่องเที่ยว ประเทศไทยมีทรัพยากรด้านการท่องเที่ยวที่สมบูรณ์โดยสิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการมากที่สุดคือ ในเรื่องของความปลอดภัย 3.การบริการด้านสุขภาพ แพทย์ และพยาบาลเป็นอาชีพที่มีความจำเป็นสูงในอนาคต ที่กระทรวงสาธารณสุขต้องสร้าง เพราะสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญ

ข้อตกลงต่างๆ นี้ถึงแม้จะเป็นเครื่องมือในการบริหารโลกที่กำหนดให้แต่ละประเทศเดินตาม แต่ในขณะเดียวกันก็ใช่เครื่องสกัดกั้นการเติบโต ต้องยอมรับว่าในระบบระบบเศรษฐกิจใหม่โลกจะขับเคลื่อนด้วยเครื่องมือนี้ จึงขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้นำในการพัฒนาประเทศ ประเทศไทยจะต้องให้ความสำคัญโดยผู้มีส่วนร่วมทุกภาคส่วน ได้แก่ 1.ผู้ประกอบการ 2.นักการเมือง 3.ข้าราชการ และ 4.NGO จะต้องร่วมกันระดมสมองวางแผนประเทศไทยให้เดินหน้าเพื่อเอาชนะข้อตกลงต่างๆ เหล่านี้ให้ได้

ที่มา.สยามธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////

สึนามิ AEC กำลังจะมา !!???

เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2559 มาถึง แม้ดวงตะวันจะยังมีขนาดเท่าเดิม หมุน แบบเดิม น้ำยังขึ้นยังลงเหมือนเดิม แต่ อาเซียนจะเปลี่ยนไป จะอยู่กันเหมือนประเทศเดียวกัน

การเคลื่อนย้ายแรงงาน การเคลื่อน ย้ายการลงทุน จะคึกคักตามกฎระเบียบที่เปิดกว้างขึ้น เมื่อวันนั้นมาถึงประเทศไทยมีความพร้อมจริงหรือ?

"สยามธุรกิจ" กะเทาะมุมมอง ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตเลขาธิการอาเซียน ต่อขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทยในเวทีอาเซียน ผ่านงานสัมมนา BU Asian Alumni Business Forum ซึ่งจัดโดยสมาคมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยบอสตันในประเทศไทย

ดร.สุรินทร์เปิดฉากด้วยคำพูดว่า 5 ปีที่อยู่ในตำแหน่งเลขาธิการอาเซียน พบว่าประเทศที่สร้างปัญหาให้มากที่สุดคือไทย เปลี่ยนนายกรัฐมนตรีทุกปี เมื่อผู้นำเปลี่ยน นโยบายก็เปลี่ยน จึงเป็นประเทศสุดท้ายที่ให้สัตยาบันกับอาเซียน เหตุผลที่เป็นประเทศสุดท้ายเพราะนโยบายไม่ลงตัว

"ฝรั่งถามผมว่าทำไมไทยจึงเป็นประเทศสุดท้ายที่ลงสัตยาบัน ผมยกอุปมา อุปไมยสมัยพุทธกาลปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ที่มีโกณทัญญะเป็นหัวหน้า โกณทัญญะฉลาดที่สุดแต่ตรัสรู้หลังสุดเพราะ ตั้งคำถามกับพระพุทธเจ้าเยอะ เขาฟัง แล้วก็ชื่นชมว่าคนไทยฉลาด แต่เหตุผล จริงๆ คือทะเลาะกันไม่เสร็จ"

ดร.สุรินทร์ กล่าวต่อไปว่า ไม่มีประเทศ ไหนที่จะแข่งขันในโลกยุคโลกาภิวัตน์โดยไม่ลงทุนเรื่องการวิจัย ญี่ปุ่นใช้งบประมาณ 2.4% ของรายได้ประชาชาติต่อปี ลงทุนด้านการวิจัย เกาหลี 2.8% จีน 1.8% สิงคโปร์ 2.8% ประเทศไทย 0.20% แถมงาน วิจัยของไทยส่วนใหญ่อยู่บนหิ้งหมด ไม่เคย เอามาใช้ จึงน่าเป็นห่วงว่าในอาเซียนเราจะสู้ใครไม่ได้ และอาเซียนเองก็จะสู้คนอื่น ไม่ได้ ถ้าไม่ให้ความสำคัญกับการวิจัย เรา ผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ของคนอื่น ขายสินค้าของคนอื่น เป็นแฟรนไชส์ของคนอื่น ใช้ลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ของคนอื่น ใช้สิทธิบัตรยาของคนอื่น ต้องเปลี่ยนจุดยืนใหม่

"การจะแข่งขันกับคนอื่นข้อมูลต้องแน่นอน ตัวเลขต้องทันสมัย เรียกมาใช้ได้ และใช้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในช่วง 2 ปีก่อนหมดวาระตำแหน่งเลขาธิการอาเซียนของผมคือ ผมเดินทางไปทุกพื้นที่ในประเทศ ไทย ทุกมหาวิทยาลัย เพื่อที่จะบอกว่าตื่นเถิด อันตรายกำลังมา อาเซียนกำลังมา โลกกำลังมา ปรากฏว่าตื่นกันทั่ว ตอนนี้ไปจังหวัดไหน อำเภอไหน โรงเรียนไหน จะเห็นธงชาติ 10 ชาติและธงอาเซียนติดหรา เพราะตื่นตัว แต่ ตื่นแบบตระหนกมากกว่าตื่นแบบมีสติ สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือตื่นเรื่องอะไรก็ขอ งบประมาณมาใช้ ปีนี้รัฐบาลให้งบเกี่ยวข้องกับการสร้างความรู้เรื่องอาเซียนกว่า 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งไม่รู้ว่าจะคุ้มค่า วัตถุประสงค์หรือเปล่า"

ประเทศไทยพร้อมกับการเป็นประชาคมอาเซียนแน่หรือ ประเทศไทยจะแข่งขันในอาเซียนได้จริงหรือ ในเมื่อการคัดสรรคนมาอยู่ในตำแหน่งทั้งระดับการเมืองและข้าราชการ ไม่สามารถผลักดันยุทธศาสตร์ประเทศไทยได้ เพราะไม่เข้า ใจพื้นฐานอาเซียน ทุกหน่วยงานมีข้อมูลแต่ไม่เคยมีการนำมาใช้ ถ้าเราไม่รู้จุดอ่อน จุดแข็ง เอาคนที่ทำงานไม่เป็นไปทำหน้าที่ สำคัญ จะสู้กับคนอื่นได้ยังไง

"สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือภาคราชการตามความเปลี่ยนแปลงไม่ทัน เพราะมีเงื่อนไขในระบบมากมาย เราเลือกคนมาสู่ตำแหน่งโดยไม่วางอยู่บนพื้นฐานความรู้ความสามารถ ขึ้นอยู่กับว่าเป็นคนของใคร ผมเป็นเลขาธิการอาเซียน 5 ปี มีโทรศัพท์ อีเมล แมสเสจ เกือบทุกวัน ขอให้ช่วยสนับสนุนให้ลูกได้รับการเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง จากทุกหน่วยงาน โดยคิดเพียงว่า ถ้าเขาไม่ทำคนอื่นก็ทำ"

เราจะวางตำแหน่งประเทศไทยยังไงในบริบทใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น ที่คนจะไหล กันมากขึ้น แรงงานจะไหลไปมาระหว่างกันมากขึ้น อุตสาหกรรมแปรรูปอาหารทะเลของไทยจะล้มทั้งยืนถ้าพม่ากลับบ้านหมด เพราะคนไทยไม่ทำงานในอุตสาหกรรมนี้ อุตสาหกรรมเกษตรหลายสาขาจะมีปัญหาถ้าเราไม่ดูแลแรงงานต่างด้าว รัฐบาลต้องมีนโยบายเรื่องแรงงานชัดเจน รวมถึงการสร้างแรงงานไทยให้แข่งขันกับคนอื่นได้

ประเทศไทยใช้จ่ายงบประมาณด้าน การศึกษามากที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง ประมาณ 28.5% ของงบประมาณแผ่นดิน ประเทศอื่นต่ำกว่านี้ทั้งนั้น แต่ปรากฏว่าคนที่เข้าเรียนอนุบาล 4 คนจะหลุดออกมาเรียนในระดับปริญญาตรี 2 คน หลังจบการศึกษา 1 คนได้งาน 1 คนว่างงาน เท่ากับ 50% ถือว่าล้มเหลว

"ผมตระหนักดีว่า 2 ปีที่เหลือไม่ทัน หรอกที่จะเข้าสู่อาเซียนด้วยความพร้อม และแข่งขันกับคนอื่นได้ ถ้ายังไม่ตระ-หนัก เราจะเผชิญกับกระแสโลกาภิวัตน์ เหมือนเผชิญคลื่นสึนามิ"

เราสะดวกสบายกับบริบทแบบไทยๆนานเกินไปเราอ้างว่าภาษาอังกฤษไม่ดีเพราะ ไม่เคยเป็นเมืองขึ้น แทนที่จะหาทางแก้ไข ปัจจุบัน ลาว เวียดนาม กัมพูชา พูดภาษา อังกฤษดีกว่าเรา เขาสอบโทเฟลได้คะแนนสูงกว่าเด็กไทย ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก แต่ตัวเลขที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือครูภาษาอังกฤษในโรงเรียนกทม.สอบโทเฟลได้น้อยกว่าเด็กไทย จะแก้ปัญหานี้อย่างไร

"ผมหวังว่าความตระหนกจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นความตระหนัก ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างต้องแก้ไข แต่อย่าตกใจว่าจะเสียเปรียบทุกอย่าง ข้อได้เปรียบก็มี เช่นเรายังเป็นศูนย์กลางผลิตรถยนต์ของอาเซียน ซึ่งต้องยกความดีความชอบให้กับรัฐบาลเมื่อ 35 ปีก่อนที่การันตีกับค่าย รถยนต์ระดับโลกว่าเราจะไม่ผลิตรถไทยออกมาแข่ง ใครใคร่ผลิตเชิญ ทำให้ปัจจุบัน อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ของไทยเจริญมากที่สุดในอาเซียน ซึ่งวันนี้อินโดนีเซียกำลังใช้นโยบายของไทยดึงค่ายรถยนต์ใหญ่ๆ เข้าไปตั้งฐานการผลิตรถยนต์สำหรับประชากร 240 ล้านคน การท่องเที่ยวของเรายังเป็นที่ 1 ซึ่งอาเซียนกำลัง คุยกันว่าจะทำการท่องเที่ยวตลาดเดียว คือนักท่องเที่ยวมาประเทศไหนในอาเซียน แล้วไปอีก 9 ประเทศได้ เพราะฉะนั้นที่เคยมาประเทศไทย 7 วัน 7 คืน ต่อไปอาจ จะอยู่แค่ 3 วัน อีก 4 วันไปประเทศข้างเคียง ทำอย่างไรให้เขาใช้จ่ายในประเทศไทยในระดับสูงกว่าที่อื่น นอกจากนี้ทุกอุตสาหกรรมต้องตั้งเป้าการออกไปเติบโตนอกประเทศ เพราะตลาดข้างในจะมีคนอื่น เข้ามาแข่งขันมากขึ้น เหมือนโรงงานทอผ้าย้ายจากกรุงเทพฯ ไปอยู่ชายแดน หรือ ย้ายจากชายแดนไปอยู่ในพม่า ลาว เขมร เพราะกระแสโลกาภิวัตน์ผลักออกไป"

ดร.สุรินทร์ปิดท้ายว่าวันที่ 1 มกราคม 2559 ดวงตะวันยังคงเท่าเดิม น้ำขึ้นน้ำลงเหมือนเดิม โลกหมุนแบบเดิม แต่อาเซียนจะเปลี่ยนไป!!

ที่มา.สยามธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ความมั่นคงทางอาหารอย่างยั่งยืน !!?

โดย ดร.พรศรี เหล่ารุจิสวัสดิ์ รองกรรมการผู้จัดการที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด

เนื่องจากทรัพยากรบนโลกนี้มีอยู่อย่างจำกัด การผลิตอาหารเพื่อใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่าสูงสุดจึงมีความสำคัญต่อการ ผลิตอาหารให้มีเพียงพอต่อทุกส่วน หากมีการบริหารจัดการทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ย่อมทำให้ได้ผลผลิตที่เพิ่มขึ้นมากกว่ากระบวนการจัดการที่ใช้ทรัพยากรอย่างไม่มีประสิทธิภาพ รูปแบบความร่วมมือที่ก่อให้เกิดความมั่นคงทางอาหารเพิ่มมากขึ้น มีได้หลาย

รูปแบบ โดยขอเสนอบางรูปแบบเพื่อรองรับกับประชากรโลกของโลกที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ที่คาดว่าจะเป็น 9 พันล้านคนในเร็ววันนี้ ได้แก่ 3Ps (Public Private Partnership) โดยมี 2P ที่มีบทบาทแตกต่างกัน คือภาคเอกชน (Private) ที่เป็นผู้ผลิตและผู้ค้า และภาครัฐ (Public) ซึ่งเป็นผู้ที่ดูแลกฎระเบียบ เพื่อชี้ให้เห็นว่าภาคเอกชนที่เผชิญกับการแข่งขันในยุคโลกาภิวัตน์ ต้องหาเครื่องมือมาช่วยทำให้การผลิตและการตลาดให้มีความคล่องตัว

จากความคล่องตัวดังกล่าวจะส่งผลให้ผลิตอาหารได้ดีขึ้นทั้งปริมาณและคุณภาพ ก่อให้เกิดความมั่นคงทางอาหารที่มากขึ้น โดยในที่นี้มีเครื่องมือ 2 ชนิด ได้แก่ ระบบเทคโนโลยี/นวัตกรรม และการจัดการที่บริหารแบบตลอดห่วงโซ่การผลิตและการตลาด โดยเครื่องมือทั้ง 2 รูปแบบนี้มีส่วนสนับสนุนให้เกิดความมั่นคงทางอาหารมากขึ้นได้ เพราะเครื่องมือทั้งสองจะทำให้ระบบการผลิตใช้วัตถุดิบในปริมาณที่



เท่าเดิม หรือน้อยลง แต่ได้รับผลผลิตที่มากขึ้น โดยปัจจัยทั้งเทคโนโลยี/นวัตกรรม และการจัดการที่บริหารแบบตลอดห่วงโซ่การผลิตและการตลาดล้วนเป็นส่วนหนึ่งของ "องค์ความรู้"

องค์ความรู้ดังกล่าวเกิดจากกระบวนการการพัฒนาองค์ความรู้ของภาคเอกชน ที่ถูกผลักดันให้เกิดขึ้นได้ เนื่องจากการแข่งขันในยุคโลกาภิวัตน์ ในขณะที่ภาครัฐเป็นผู้กำหนดและดูแลกฎระเบียบ ดังนั้น หากสร้างความร่วมมือกันในภาครัฐและภาคเอกชนจะก่อให้เกิดความมั่นคงทางอาหารภายใต้กฎเกณฑ์ที่เป็นที่ยอมรับ และเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคมากขึ้นตามรูปแบบ 3Ps

นอกจากนี้ ในสังคมจะมีผู้ผลิตหลายขนาด หากผู้ผลิตขนาดใหญ่ร่วมมือกับผู้ผลิตขนาดเล็ก และถ่ายทอด "องค์ความรู้" ซึ่งกันและกัน ในห่วงโซ่การผลิตอาหารที่ซับซ้อน และยาวหลายขั้นตอน จะทำให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ ซึ่งจะเป็นอีกรูปแบบที่เรียกว่า 4Ps ((Public Private (P-Big) (P-SMEs) Partnership))

ในทำนองเดียวกัน หากในชุมชนอาเซียน ซึ่งแต่ละประเทศมีทรัพยากรที่แตกต่างกัน มาแลกเปลี่ยนทรัพยากรที่แตกต่างกันเหล่านั้น จะทำให้สังคมในอาเซียนได้ประโยชน์ร่วมกันมากยิ่งขึ้น เกิดองค์ความรู้เพิ่มพูนขึ้น และความมั่นคงทางอาหารก็จะเพิ่มขึ้น

แบบสุดท้าย คือรูปแบบ 5Ps เนื่องจากสังคมยังคงมีกลุ่มคนที่ยากจน ประชากรที่อยู่ห่างไกลและขาดโอกาส แต่ยังคงต้องการความมั่นคงทางอาหารอยู่ ดังนั้น Principle of Social หรือ P ที่ 5 นั้นจะหมายถึงใครก็ได้ที่เกี่ยวข้องกันในสังคม สามารถช่วยเหลือร่วมมือกันได้ เช่น สถาบันการศึกษา ซึ่งได้รับการลงทุนจากรัฐทำให้มีบุคลากร เทคโนโลยี และองค์ความรู้มากขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีสถาบันต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น สถาบันวิจัย ผู้นำชุมชน เช่น องค์การบริหารส่วนตำบล หรือแม้แต่ภาคเอกชนที่ต้องการจะทำ Social Enterprise หรือแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมมาร่วมกัน

สร้างความมั่นคงทางอาหารร่วมกัน จะก่อให้เกิดสังคมที่มีความสุขได้อย่างยั่งยืน

หากจะถามว่า 3Ps กับความมั่นคงทางอาหารเกี่ยวโยงกันอย่างไร คงอยู่ที่ปัจจัย 2 ตัวที่มีบทบาททำให้ความมั่นคงทางอาหารมีเพิ่มขึ้น
1.จากการจัดการซัพพลายเชนทั้งห่วงโซ่การผลิตและการตลาด ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือปัญหาขาดแคลนสินค้าอาหารในช่วงภาวะน้ำท่วม ซึ่งน่าจะมีสาเหตุมาจากผู้บริโภคเกิดการตื่นตระหนกจากเหตุการณ์น้ำท่วม ดังนั้น หากมีการใช้องค์ความรู้เรื่องการตลาดตามทฤษฎีการลดความตื่นตระหนกของผู้บริโภค (Consumers panic theory) และระบบการจัดการซัพพลายเชนที่ดี (Supply chain management) เช่น นำไข่ไก่จากพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศ

เข้ามายังส่วนกลางให้เพียงพอต่อการบริโภคให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบการจัดจำหน่ายอื่นที่เหมาะกับสถานการณ์ในช่วงนั้น ก็จะทำให้ปัญหารุนแรงน้อยลงได้

อย่างไรก็ตาม ระบบการจัดการซัพพลายเชนที่ดีจะก่อให้เกิดอาหารที่ปลอดภัยเพิ่มขึ้นด้วย เนื่องจากสามารถควบคุมความปลอดภัยตลอดทั้งกระบวนการผลิต รวมถึงสามารถสืบย้อนกลับได้ง่าย อีกทั้งยังก่อให้เกิดแนวคิดในการสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากขึ้น ส่งผลให้ระบบการผลิตอาหารของโลกดีขึ้น ถึงแม้กระบวนการผลิต

ต่าง ๆ ก็สร้างความมั่นคงทางอาหารให้เกิดขึ้นเหมือนกัน แต่หากมีระบบการจัดการที่ดีตลอดทั้งห่วงโซ่ ย่อมทำให้ได้อาหารที่มากขึ้น ปลอดภัยกว่า รวมถึงยังให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจที่ดีกว่า ส่งผลให้สังคมโดยรวมเกิดความพึงพอใจสูงสุด

2.ความมั่นคงทางอาหารกับเทคโนโลยี/นวัตกรรม เป็นอีกองค์ความรู้หนึ่งในการทำให้เกิดความมั่นคงที่มากขึ้น เนื่องจากความมั่นคงทางอาหาร สามารถทำให้เกิดความมั่นคงที่มากขึ้นภายใต้ทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดเท่าเดิม เพียงแค่นำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ เพราะเทคโนโลยีทำให้ผลิตอาหารเพียงพอ ปลอดภัย มีคุณค่าทางโภชนาการมากขึ้น นอกจากนี้ เมื่อมีระบบการจัดการซัพพลายเชนที่ดีร่วมกับการใช้เทคโนโลยีแล้วจะทำให้เกิดความมั่นคงทางอาหารที่มากขึ้น โดยใช้ทรัพยากรของโลกเท่าเดิม

ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีจะทำให้สามารถผลิตอาหารได้มากขึ้น มีความปลอดภัย และมีคุณค่าทางโภชนาการมากขึ้น แต่การนำเทคโนโลยี หรือระบบการจัดการซัพพลายเชนที่มีศักยภาพ หรือความรู้ชุมชนมาประยุกต์ใช้ จำเป็นต้องอาศัยเงินทุนสูง ทั้งนี้ กลุ่มองค์กรที่ไม่มีความมั่นคงทางอาหารมักเป็นชุมชนที่ยากจนอยู่แล้ว ประเด็นที่น่าสนใจคือแนวทางที่จะให้ชุมชนเหล่านั้นเข้าถึงเทคโนโลยีและระบบการจัดการซัพพลายเชนที่มีศักยภาพ หรือองค์ความรู้เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารภายในชุมชน

อาเซียนกับการเพิ่มความมั่นคงทางอาหาร

ในปี 2558 สมาชิกกลุ่มอาเซียนจะมีการรวมตัวกันเป็นประชาเศรษฐกิจอาเซียนอย่างสมบูรณ์ ซึ่งนับเป็นโอกาสดีของไทย เนื่องจากสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ นับว่าเป็นผู้ที่มีวัฒนธรรมในฐานการผลิตสินค้าเกษตรและอาหาร และก่อให้เกิดการแบ่งงานทำ รวมถึงเป็นการสร้างตลาดในภูมิภาคให้มีการขยายตัวมากขึ้น เช่น ในอดีต สมาชิกอาเซียน เช่น พม่า และกัมพูชามีการเลี้ยงไก่ในปริมาณที่
น้อยมาก แต่หลังจากมีการลงทุนในประเทศดังกล่าวมากขึ้น

เป็นผลมาจากการรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ทำให้ปริมาณการผลิตและตลาดเนื้อไก่ในอาเซียนมีการขยายตัวมากขึ้น ประชาชนโดยส่วนใหญ่ของอาเซียนเริ่มเข้าถึงและมีโอกาสได้บริโภคโปรตีนจากไก่ เนื้อมากขึ้นภายใต้การเลี้ยงที่มีความปลอดภัยจากการใช้เทคโนโลยีที่ดี

นอกจากอาเซียนจะเป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตรและอาหารแล้ว อาเซียนยังเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ของโลก โดยมีประชากรเกือบ 600 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 10 ของประชากรโลกทั้งหมด อีกทั้งเมื่อพิจารณาในแง่ของกำลังซื้อของกลุ่มอาเซียนเปรียบเทียบกับกำลังซื้อรวมทั้งโลก พบว่าอาเซียนมีกำลังซื้อในระดับปานกลาง หรือประมาณ 2,198 เหรียญต่อคนต่อปี ทั้งนี้ การส่งออกสินค้าเกษตรกรรมไปยังอาเซียนของไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี

บทบาทของภาคเอกชนยังมีความร่วมมือกันในภาคเอกชนกันอีก ได้แก่ ภาคเอกชนขนาดเล็ก-กลางและขนาดใหญ่กับความร่วมมือเกษตรกรในบทบาทของ Contract farming/Outsourcing รวมทั้งภาคเอกชนขนาดเล็ก SMEs กับความร่วมมือกับภาคเอกชนขนาดใหญ่ ในการเชื่อมโยงซัพพลายเชนให้ครบวงจรทั้งการผลิตและการตลาด ตลอดจนการสร้างความพอใจให้ผู้บริโภคมากขึ้น

SMEs นับว่าเป็นกลุ่มที่มีบทบาทมากในการสร้างความมั่นคงทางอาหาร และการสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจ เนื่องจากธุรกิจ SMEs นับเป็นผู้ประกอบการประมาณร้อยละ 90 ของผู้ประกอบการทั้งหมดของไทย ดังนั้น ถ้าภาครัฐมีนโยบายสนับสนุน SMEs จะนับเป็นการสนับสนุนในภาพรวมด้วย

เนื่องจากวงจรของการผลิตอาหารจะมีห่วงโซ่การผลิตที่ยาวมาก และมักพบว่าในหลายห่วงโซ่ กลุ่มเกษตรกรรายย่อย หรือ SMEs มีบทบาทที่ทำให้วงจรของการผลิตอาหารครบวงจร เช่น หากไม่มีผู้ผลิต ผู้ขนส่งสินค้า ร้านค้าจัดจำหน่าย หรือห่วงโซ่ย่อย

ที่มีบทบาทเหล่านี้ อาจไม่ก่อให้เกิดกระบวนการผลิตอาหาร หรืออาหารมีความมั่นคงน้อยลง เพราะการผลิตไม่มีศักยภาพ

รูปแบบการผลิตและการตลาด ตามแนวคิดดังกล่าว ไม่เพียงแต่สร้างความมั่นคงทางอาหารที่มากขึ้น แต่ยังเป็นการกระจายรายได้แก้ปัญหาความยากจน เพราะไม่ว่าจะเป็นชุมชนขนาดใหญ่หรือเล็กต่างได้ประโยชน์ร่วมกัน ในการมีส่วนร่วมสร้างความมั่นคงทางอาหารภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ

///////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ธ.ก.ส.เยียวยาเกษตรกร 2 แสนราย ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับลดราคาจำนำ !!?

นายลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธนาคารได้เตรียมมาตรการที่จะดูแลเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการปรับราคารับจำนำข้าวให้สอดคล้องกับราคาตลาด โดยเตรียมแนวทางที่จะเสนอที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) 2 แนวทางคือ ลดภาระดอกเบี้ย สำหรับสินเชื่อปัจจุบันของธนาคารให้เหมาะสมกับต้นทุนการผลิตและ จัดสินเชื่อใหม่เพิ่มอีกประมาณ  20% ในอัตราดอกเบี้ยที่ผ่อนปรน และยังให้สิทธิกับผู้ถือบัตรสินเชื่อเกษตรกรได้ใช้บัตรได้เต็มที่ พร้อมกับเข้าร่วมโครงการประกันภัยพืชผลเกษตร โดยจะนำเสนอในที่ประชุมบอร์ดโดยเร็ว

นายลักษณ์กล่าวต่อว่า หลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)มีมติปรับลดราคารับจำนำข้าวจากตันละ 1.5 หมื่นบาทเหลือ 1.2 บาท พร้อมกับจำกัดปริมาณไม่เกิน 5 แสนบาทต่อครัวเรือน ซึ่งจะมีผลกระทบกับเกษตรกรกลุ่มที่ได้รับในรับรองการปลูกข้าว รอบ 2 ของปีการผลิตปี 2555/56 ที่จะเก็บเกี่ยวข้าวหลังวันที่ 20 มิถุนายน เพราะจะถูกจำกัดเหลือไม่เกิน 5 แสนบาทต่อครัวเรือน และหลัง 1 กรกฎาคม นอกจากถูกจำกัดปริมาณแล้วยังได้รับราคาที่ลดลงด้วย โดยจะมีเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบประมาณ 2 แสนราย เป็นปริมาณข้าว 3 ล้านตัน ซึ่งพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมาก ใน 16 จังหวัด คือ ภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันตก โดยจะหาแนวทางช่วยเหลือทั้งที่เป็นลูกค้า ธ.ก.ส.และที่ยังไม่ได้เป็นลูกค้าด้วย

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ธ.ทหารไทย เตือนไทยอาจติดหล่มเศรษฐกิจ หากคลังถังแตก !!?

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics ประเมินแรงส่งเศรษฐกิจไทยกำลังแผ่วลงต่อเนื่อง หลังนโยบายภาครัฐหนุนการใช้จ่ายในประเทศหมดลง ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังฟื้นตัวช้า ทำให้ภาคส่งออกยังไม่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่หลังภาครัฐกังวลต่อระดับการแข็งค่าของเงินบาท จนอาจทำให้กระทบต่อเศรษฐกิจและแสดงความพร้อมในเรื่องนโยบายเพื่อรับมือกับเงินทุนไหลเข้า กอปรกับจังหวะที่นักลงทุนกังวลกับความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจลดปริมาณเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจลง ทำให้ต่างชาติขายสุทธิทั้งในตลาดทุนและตลาดตราสารหนี้ของไทย ผลพวงดังกล่าวทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงอย่างมาก จากระดับ 28.5 บาทต่อดอลลาร์ฯ เป็น 31 บาทต่อดอลลาร์ฯ ด้วยระยะเวลาอันสั้นเพียงสองเดือนเศษ

แม้ว่าการกลับมาอ่อนค่าของเงินบาท อาจทำให้ผู้ส่งออกวางใจเรื่องความสามารถด้านการแข่งขันได้ในระดับหนึ่ง ถึงแม้ในปีที่ผ่านมา ภาพรวมกำลังซื้อของประเทศคู่ค้าของไทย มีการฟื้นตัวต่อเนื่อง และยังคงเป็นไปอย่างช้าๆ ซึ่งทางศูนย์วิเคราะห์ฯ มองว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนรายได้จากการส่งออกมากกว่าอัตราแลกเปลี่ยน แต่ทว่าแนวโน้มเศรษฐกิจล่าสุดเริ่มบ่งชี้ว่าสถานะของคู่ค้าสำคัญเริ่มซวนเซ อาทิ จีน ซึ่งตอนนี้ขึ้นแท่นเป็นคู่ค้าเบอร์หนึ่งของไทยแล้วนั้น เศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่าคาดการณ์ในไตรมาสแรก แม้กระทั่งผู้นำจีนเองก็ออกมายอมรับว่า จีนอาจต้องยอมเผชิญกับการชะลอตัวของอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะสั้น เพื่อความมีเสถียรภาพในระยะยาว ล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศและธนาคารโลกได้ประกาศปรับลดการคาดการณ์เศรษฐกิจของจีนในเวลาไล่เลี่ยกัน ทั้งในปีนี้และปีหน้าลงมาต่ำกว่าระดับร้อยละ 8

ส่วนคู่ค้าอันดับสองของไทยอย่างสหรัฐฯ มีดัชนีภาคการผลิต (ISM manufacturing) ล่าสุดกลับมาอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งสะท้อนภาวะหดตัวของกิจกรรมเกี่ยวเนื่องในภาคดังกล่าว แม้ว่าดัชนีบ่งชี้ด้านเศรษฐกิจอื่นๆ ยังคงฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง แต่ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด

มองกลับมาด้านปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศ อานิสงค์จากนโยบายภาครัฐที่ได้ดำเนินการมาแล้วพักใหญ่ อาทิ นโยบายคืนภาษีรถคันแรก กำลังอ่อนแรงลงอย่างรวดเร็วในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ (ส่วนหนึ่งมาจากการเร่งผลิตเพื่อส่งมอบและยอดยกเลิกใบจองพุ่ง) รวมไปถึงโครงการบริหารจัดการน้ำ 3 แสนกว่าล้านบาท ที่มีความเป็นไปได้สูงมาก  ว่าอาจพลาดเป้าการเบิกจ่าย 7 หมื่นล้านบาท ภายในปี 2556 ตามที่คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยคาดหวังไว้ เพราะโครงการต่างๆ จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการอีกมากกว่าจะเริ่มเบิกจ่ายได้จริง ไม่ว่าจะเป็นการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม รวมทั้งขั้นตอนการทำสัญญาเงินกู้ ตลอดจนกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง

อีกทั้งส่อเค้าว่า นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ เมกะโปรเจคท์ 2 ล้านล้านบาท จะล่าช้าออกไปจนไม่สามารถเริ่มอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบอย่างแท้จริงได้ทันภายในสิ้นปี ซึ่งแนวโน้มการเบิกจ่ายงบประมาณที่ถูกเลื่อนออกไปจะส่งผลกระทบทางอ้อมมายังการลงทุนของภาคเอกชน (Crowding-in effect) ให้ชะลอตามออกไปด้วย อันเนื่องมาจากภาคธุรกิจขาดความเชื่อมั่นต่อความไม่แน่ชัดของระยะเวลาที่นโยบายโครงการลงทุนขนาดใหญ่จะเริ่มดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม

ดังนั้น แรงส่งจากนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปัจจุบันที่กำลังจะหดหายไป ในขณะที่เม็ดเงินคาดหวังก้อนใหม่ก็เหมือนจะไม่สามารถรับช่วงต่อได้อย่างทันท่วงที ความคาดหวังของการขยายตัวทางเศรษฐกิจแบบไร้รอยต่อ คงยากที่จะเกิดขึ้น และนั่นจะทำให้เกิดช่องว่างในการช่วยผลักดันให้การใช้จ่ายของภาคเอกชนในประเทศ สามารถช่วยต้านทานภาวะการส่งออกที่ยังไม่สามารถฟื้นตัวกลับมาเป็นกลไกขับเคลื่อนสำคัญทางเศรษฐกิจเหมือนเช่นในอดีต

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี ประเมินว่า ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าวทำให้มีความเป็นไปได้ยากที่เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี จะเติบโตได้สูงเกินกว่าระดับร้อยละ 4 และจะทำให้เศรษฐกิจไทยในปี 2556 นี้ อาจขยายตัวเพียงร้อยละ 4.2 เท่านั้น

กล่าวโดยสรุป เศรษฐกิจไทยในไครมาสแรกที่ขยายตัวต่ำกว่าหลายฝ่ายคาดการณ์นั้น แท้จริงแล้วอาจเป็นสัญญาณเตือนให้ทราบถึง "หล่มเศรษฐกิจ" ที่ไทยกำลังเผชิญอยู่นับจากนี้ไป หากนโยบายการคลังสะดุด ไม่สามารถผลักดันให้การใช้จ่ายในประเทศเดินต่อไปได้ บางทีเราอาจได้เห็น กระสุนดอกเบี้ยของนโยบายการเงิน อาจถูกนำมาใช้เพื่อให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนต่อไปก็เป็นไปได้

ที่มา.นสพ.ฐานเศรษฐกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////

รมว.คลัง ยันลดราคาจำนำไม่ขัดนโยบาย !!?

กิตติรัตน์.ยันรัฐบาลปฏิบัติตามนโยบายที่แถลงต่อสภาฯโดยได้รับจำนำข้าวในราคา 1.5 หมื่นล้านบาทต่อตันแล้ว อ้างราคาตลาดโลกไม่เป็นไปตามคาด

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวยืนยันว่า รัฐบาลได้ดำเนินโครงการจำนำข้าวตามนโยบายที่ประกาศไว้ต่อสภาผู้แทนราษฎรที่ราคา 15,000 บาทต่อตันแล้ว แต่เนื่องจาก ราคาข้าวในตลาดโลกไม่ได้ตอบสนองทิศทางตามอย่างที่คาดหวังไว้ ทำให้รัฐบาลต้องประกาศปรับลดราคาจำนำลงมา อย่างไรก็ดี ราคาขายข้าวไทยในตลาดถือว่า ยังดีกว่าคู่แข่ง เพียงแต่ราคาข้าวของคู่แข่งต่างๆล้วนตกลง

"เราต้องการที่จะดูแลเกษตรกรของเราให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หากว่า ราคาข้าวในตลาดโลกตอบสนองในทิศทางที่เราหวังไว้หรืออัตราแลกเปลี่ยนที่ใช้เมื่อแปลงมาเป็นเงินบาทก็จะเป็นรายรับของโครงการรับจำนำเพื่อมาดูแลต้นทุนค่าใช้จ่ายของโครงการ เราก็จะดำเนินการจนสุดความสามารถ"

ทั้งนี้ เมื่อผลของการปิดบัญชีจากคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวปรากฏชัดว่ามีผลขาดทุนมากกว่าที่รัฐพร้อมจัดสรรให้ รัฐบาลก็ต้องมีหน้าที่ดูแลภาพรวมทั้งประเทศ อย่างไรก็ดี ในความคิดเห็นส่วนตัวก็เชื่อว่า ไม่ได้เกิดผลเสียแต่อย่างใด เพราะการดูแลที่มากก็จะกลายเป็นรายได้ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวและความสามารถในการชำระหนี้ รวมทั้ง การใช้จ่ายเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

"ในเมื่อกรอบที่จะต้องดูแลมากกว่าที่กำหนด รัฐบาลก็มีหน้าที่ที่จะต้องปรับ โดยมีการพูดกันว่า หากราคาข้าวในตลาดโลกมีแนวโน้มที่จะดีขึ้นหรือรายได้ที่จะเกิดจากการขายสินค้าให้เกินกว่ากรอบ เราก็พร้อมที่จะปรับให้สอดคล้อง ดังนั้น จึงต้องการขอความเห็นใจจากชาวนาด้วยว่า การปรับลดราคาลงดังกล่าวเป็นเรื่องของการรักษาวินัยทางการคลัง"

เขากล่าวด้วยว่า ได้เรียนไปแล้วว่า หากเราเป็นประเทศที่มีความพร้อมที่จะขาดดุลการค้าจำนวนมากอย่างที่เคยเป็นมาก่อนหน้านี้ การที่จะดูแลในระดับที่ผ่านมาหรือต่อเนื่องไป ก็คงจะเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยากนัก แต่ด้วยความที่ประเทศจะต้องประกาศทิศทางของความเข้มแข็ง โดยให้วินัยการคลังเข้าสู่ภาวะสมดุลในปี 2560 แนวทางในการปรับลดราคาจำนำลงมา เพื่อให้สามารถดูแลชดเชยผู้ปลูกข้าวได้ในระดับที่เป็นกรอบวินัยทางการคลังที่เหมาะสม ก็ถือว่า เป็นเรื่องที่จำเป็น

"ขอยืนยันว่าเราจะดำเนินโครงการรับจำนำต่อไป เพราะสามารถตรวจสอบได้ว่ามีการปลูกจริง มีข้าวมาส่งมอบจริง อีกทั้ง หากราคาข้าวในระหว่างที่เกษตรกรมาจำนำไว้มีแนวโน้มในตลาดโลกที่ดีขึ้น เกษตรกรก็สามารถได้รับสิทธิ์ตรงนั้นด้วย เพราะเป็นเรื่องของการจำนำไม่ใช่ขายขาด"

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ปัญหาสภาพแวดล้อม : ทนยอม ดิ้นรนหนี หรือจะสู้ !!?

ยินข่าวว่าอีกสักระยะหนึ่งรัฐบาลท่านจะปรับคณะรัฐมนตรี แถมยังมีข่าวลือคาดเก็งกันอีกว่ารัฐมนตรีท่านใดจะถูกปรับออก
   
อย่าไปเครียดกับข่าวประเภทนี้ เพราะการทำงานของรัฐบาลนี้มีแนวทางชัดเจนอยู่แล้วว่าทำตามคำสั่งใคร ดังนั้นจะเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีกันกี่รอบ ๆ ก็ไม่มีอะไรต่างจากเดิม
   
ทิศทางที่เตรียมไว้สำหรับช่วงเปิดรัฐสภาก็คงจะเป็นไปตามแนวทางเดิม
   
ส่วนเรื่องที่หลง ๆ ลืม ๆ ก็จะเก็บเงียบ ๆ ไว้ต่อไป
   
เช่นปัญหาเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม แม้ขบวนการ CSR จะพยายามสร้างภาพลักษณ์ให้กับบรรษัทอภิทุนว่าดูแลเอาใจใส่สภาพแวดล้อมอย่างดี แต่ในทางเป็นจริง   ปัญหาสภาพแวดล้อมก็ยังจะรุนแรงต่อไป
   
เมื่อสื่อมวลชนเขียนบ่นเรื่องพวกนี้ หลายคนก็อาจเบื่อหน่าย เพราะรู้ ๆ กันอยู่แล้วว่า อำนาจรัฐในสังคมทุนนิยมนั้น ย่อมจะถูก "ทุน" บงการเสมอไป ไม่ว่าประเทศไหน
   
ในประเทศทุนนิยมศูนย์กลางนั้น การครอบงำบงการจะต้องแนบเนียน ไม่อาจละเมิดกฏหมาย โดยเฉพาะกฎหมายเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม และนี่ก็เป็นสาเหตุประการหนึ่งที่อุตสาหกรรมของต่างชาติหลายประเภท นิยมมาตั้งโรงงานในประเทศกำลังพัฒนาที่ละเมิดหรือหลีกเลี่ยงกฎหมายกันได้ง่าย ๆ
   
ในเรื่องทางการเมือง ท่านผู้อ่านคงคุ้นเคยกับ ข้ออ้าง "ข้อจำกัดทางการเมือง"
   
อย่าได้คาดหวังอะไรกับพรรคการเมืองแบบเก่า ๆ ที่ยังต้องพึ่งพาอำนาจ "ทุน" เลย
   
บ้านเมืองไทยเสื่อมโทรมลงทุกวัน ด้วยข้ออ้างเรื่อง "ข้อจำกัดทางการเมือง"
   
ท่านผู้อ่านอาจจะไม่นึกว่า ในทางเศรษฐกิจ ก็มีเรื่องทำนองเดียวกับ "ข้อจำกัดทางการเมือง" เหมือนกัน ซึ่งเราอาจจะเรียกว่า "ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ" ก็ได้
   
คำอ้างเรียกร้องให้พลเมืองในบางท้องที่เสียสละ ต้องยอมทนอยู่กับสภาพแวดล้อมที่เป็นปฏิกูล ต้องเสียสละพื้นที่ให้สร้างเขื่อนฯ ก็มักจะใช้คำว่า "เพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของชาติ"
   
ประเทศทุนนิยมศูนย์กลางเขาก็ถือ "ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ" เหมือนกัน แต่เมื่อพื้นที่หนึ่งรองรับอุตสาหกรรมที่มีผลต่อสภาพแวดล้อมเต็มที่ ไม่อาจจะเพิ่มเติมข้าไปอีก เขาก็ต้องไปตั้งนิคมในพื้นที่แห่งอื่น
   
สรุปแล้วก็คือ ผลกำไรของธุรกิจ มีความสำคัญเหนือกว่า "ธรรมชาติ" และ "ความเป็นมนุษย์" ของคนในประเทศด้อยพัฒนา?
   
อำนาจรัฐทุกแห่งก็เป็นอย่างนี้เหมือนกัน
   
แล้วพลเมืองเล่า จะมีท่าทีอย่างไรกับปัญหาที่ "ทุน" ทำลายสภาพแวดล้อมหนักอย่างนี้ พูดกันตรง ๆ ไม่ดัดจริต สรุปสิ่งที่ประชาชนจะทำได้มีเพียงสามทาง
   
1. ยอมทน ก็อยู่มันไปกับขยะปฏิกูลมลพิษจนกว่าจะตายไปเอง
   
2. หลบหนี กรณีนี้อาจทำได้สำหรับผู้มีอันจะกิน เช่น ย้ายบ้านหนีจากมาบตาพุด ไปอยู่เมืองเล็ก ๆ ที่ไม่มีโรงงานมาก เช่น นครพนม , หนองคาย , อำเภออมก๋อย แต่ท่านก็ทำมาค้าขายอะไรไม่ได้ใหญ่โตเพราะเป็นตลาดเล็ก
   
3. ลุกขึ้นสู้ ถึงแม้ท่านจะมีกำลังหนีไปได้ แต่สังคมทุนิยมสามานย์ก็จะไม่ปล่อยให้ท่านอยู่อย่างสมถะไปได้นาน มันจะติดตามไปทำลายสภาพแวดล้อมในถิ่นที่อยู่ของท่านจนได้สักวันหนึ่ง
   
เมื่อไม่อยากทนตายเปล่า ไม่มีกำลังทรัพย์จะหลบหนี ก็เหลือทางเดียวคือ "สู้" กับมัน

ที่มา.สยามรัฐ
//////////////////////////////////////////////////////////////////

เสียงสะท้อนชาวนา:ลดราคาจำนำข้าว !!?


เจ๊งจำนำข้าว ,ลดราคาจำนำ

การขาดทุนไม่ได้มาจากเกษตรกรแต่เป็นการจัดการของรัฐ : เสียงสะท้อนชาวนา รัฐจ่อลดราคาจำนำข้าว

นายประสิทธิ์ บุญเฉย นายกสมาคมชาวนาไทย เปิดเผย กรณีที่รัฐจะลดราคาโครงการรับจำนำข้าวเหลือ 12,000-13,000 บาท/ตันนั้น จะต้องหารือกับเกษตร และสมาคมเกษตรกรและชาวนาไทย หากเสียงส่วนใหญ่ยอมรับได้ ก็ไม่มีปัญหา

อย่างไรก็ตามปัจจุบันที่ราคาข้าวในโครงการรับจำนำกำหนดไว้ที่ ตันละ 15,000 บาทที่ความชื้น 15 % นั้น ในทางปฏิบัติเกษตรกรขายข้าวได้ที่ราคาตันละ 12,000-13,000 บาทเท่านั้นเนื่องจากโรงสีต้องหักค่าความชื้นที่เกินกว่ากำหนด

ดังนั้นหากรัฐบาลปรับลดราคารับจำนำมาที่ ตันละ 12,000-13,000 บาท ในขณะที่ค่าความชื้นยังอยู่ที่ 15 % นั้น จะส่งผลให้เกษตรกรได้รับราคาที่ตันละ 10,000-11,000 บาทหรืออาจจะหย่อนกว่า 10,000 บาทเล็กน้อย ทั้งนี้เพราะข้าวในเขตภาคกลางซึ่งเป็นพื้นที่ปลูกข้าวส่วนใหญ่จะมีการเก็บเกี่ยวช่วงที่ฝนตกทุกปี ในขณะที่ต้นทุนการผลิตข้าวยังสูงอยู่ประมาณไร่ละ 6,500 บาท ผลผลิตต่อไร่ หรือเฉลี่ยที่ตันละ 8,000 บาท จะเท่ากับว่าเกษตรกรได้รับกำไรจากการปลูกข้าวน้อยมาก อย่างไรก็ตามหากรัฐบาลต้องการปรับลดราคาลงเพื่อลดการขาดทุนนั้นทางเกษตรกรก็ยินดี แต่รัฐบาลควรพิจารณาในรายละเอียดอย่างรอบคอบด้วย

นายประสิทธิ์ กล่าวว่า เพื่อให้โครงการรับจำนำข้าวเป็นประโยชน์ ถึงเกษตรกรรายย่อยอย่างแท้จริง รัฐบาลควรทบทวนโครงการจากเป้าหมายที่ต้องการรับจำนำทุกเม็ด เป็นการกำหนดโควตารายได้เกษตรกรรายย่อยที่ครอบครัวละ 500,000 บาท วิธีการนี้จะดีกว่าที่รัฐบาลอยู่ระหว่างพิจารณา กำหนดเพดานรับจำนำไว้ที่ครอบครัวละ 25 ตัน ทั้งนี้เพราะเกษตรกรรายย่อยบางส่วนสามารถผลิตได้ถึง 30 ตัน ข้าวที่เกินกว่าโควตาที่ได้รับจำเป็นต้องขายในตลาดที่ราคาต่ำกว่า

นายภาณุพงศ์ ภัทรคนงาม รองประธานสภาเกษตรกร จ.ขอนแก่น กล่าวว่า ทางสภาเกษตรกรทั้งในส่วน จ.ขอนแก่นและทั่วประเทศ ต่างไม่เห็นด้วย เนื่องจากราคาจำนำข้าวที่กำหนดไว้ตันละ 15,000 บาทนั้น จริงๆ เกษตรกรจำนำได้ไม่ถึงอยู่แล้ว ได้ราคาอยู่ที่ตันละ 12,000-13,000 บาท หากมีการปรับราคาจำนำข้าวเหลือ 12,000-13,500 บาท เกษตรกรก็ไม่ได้อะไรเลย

เมื่อนำไปจำนำจริงๆ จะเหลือประมาณ 7,000-8,000 บาท เหมือนกับตอนไม่ได้มีโครงการรับจำนำข้าว หากได้เงินจากการจำนำข้าวเท่านี้ไม่คุ้มกับต้นทุนที่สูงขึ้น ทั้งค่าปุ๋ย แรงงาน แต่ปัญหาการขาดทุนของรัฐบาล ไม่ใช่ความผิดของเกษตรกร เป็นเรื่องการบริหารจัดการของรัฐบาลมากกว่า ที่ส่งผลกระทบทำให้เสียเงินโดยเปล่าประโยชน์

ดังนั้นสภาเกษตรกร จ.ขอนแก่น รวมทั้งสภาเกษตรกรจากทั่วประเทศ จึงได้ยื่นหนังสือถึงรัฐบาลเพื่อขอให้แก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุมากกว่าที่จะมาแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ

"ปัญหาที่มีผลต่อการขาดทุนเป็นเรื่องของข้าวในโกดังที่หายไป รวมทั้งการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบ เป็นผลทำให้รัฐบาลขาดทุนมากกว่า อยากให้รัฐบาลให้ความสนใจกับข้าวนึ่งส่งออกมากกว่า เพราะเป็นสินค้าที่ต่างประเทศต้องการ”นายภาณุพงศ์ กล่าว

นายสมัย สายอ่อนตา เกษตรบ้านหนองแต้ จ.ขอนแก่น กล่าวว่า เมื่อก่อนไทยเป็นผู้ส่งออกข้าวเป็นอันดับ 1 แต่ชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรไทยไม่ได้ดีตามไปด้วย ตอนนี้ไทยส่งออกข้าวเป็นอันดับ 3 แต่ชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรดีขึ้น

ปัญหาของรัฐบาลตอนนี้อยู่ที่ การบริการจัดการด้านการเงิน มากกว่าที่จะมาจากเกษตรกร หากรัฐบาลจะปรับลดราคาจำนำข้าวจริงคงไม่ได้แตกต่างจากเมื่อก่อน ดังนั้นไม่ต้องมีโครงการเลยจะดีกว่า

นายบุญเลี้ยง ศรีบัวขับ ชาวนา อ.วังทอง จ.พิษณุโลก กล่าวว่า หากรัฐลดราคาจำนำข้าวลง ชาวนาคงเดือดร้อนแน่นอนเพราะปีที่ผ่านมารัฐบาลประกาศราคาจำนำข้าวเปลือกตันละ 15,000 บาท แต่ฤดูเก็บเกี่ยวที่ผ่านมาตนนำข้าวเข้าโครงการแต่ขายได้ตันละ 11,500 บาท เพราะว่าถูกหักความชื้น และกว่าจะได้รับเงินก็ต้องรอถึง 3 เดือน หากรัฐบาลลดราคารับจำนำข้าวเปลือกลงอีก 15-20% รับไม่ไหวแน่นอน

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ปรับใหญ่ ครม. รบ.ตั้งลำอยู่ครบเทอม !!??

นโยบาย "จำนำข้าว" ของรัฐบาล "นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ที่เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญหาเสียง โดยพรรคเพื่อไทยประกาศจะทำทันทีภายใน 1 ปี เมื่อคราวหาเสียง ปี 2554 ที่วันนี้กลายเป็นนโยบาย "เรียกแขก" มารุมกินโต๊ะ ทอดกฐินสามัคคี มีแนวร่วมรุมต่อต้านข่าวกันพรึ่บพรั่บ

ส่งผลให้ถึงจุดนี้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตกที่นั่ง "ขี่หลังเสือ" ถอยหลังลำบาก ล้มเลิกโครงการไม่ได้ "นายกฯปู" ยืนกราน ย้ำชัด "เป็นนโยบายที่ดี ต้องเดินหน้าต่อไป"

การเข้าเกียร์เดินหน้า สู้ไม่ถอย เท่ากับว่า "นายกฯยิ่งลักษณ์" พร้อมที่จะเล่นเกมวัดดวง เนื่องเพราะหากพลาด ท่าอาจพังทั้งรัฐบาล ในทางกลับกันหาก "จำนำข้าว" สัมฤทธิผล "ชาวนา" อยู่ดีมีสุข กระแสนิยมจะเพิ่มความร้อนแรงมากยิ่งขึ้น เพราะเท่ากับกุมฐานเสียงคนส่วนใหญ่ไว้ได้โดยอัตโนมัติ

วันนี้ จึงเห็นนายกฯปู "จัดแถว" เอาคนพูดจารู้เรื่อง ลำดับข้อมูลถูกต้อง แม่นยำ ด้วยการดัน "วราเทพ รัตนากร" รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ซึ่งกำกับดูแลงบประมาณอยู่แล้ว มาทำหน้าที่ชี้ แจงข้อมูลต่อสาธารณะ แทน บุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.กระทรวงพาณิชย์

รวมทั้งการ "เซ็ต" ทีมใหญ่ ระดมมันสมอง ทั้งรัฐมนตรี-ส.ส.-นักวิชาการ เพื่อรวมศูนย์ ร่วมกันขับเคลื่อนนโยบาย "จำนำข้าว" เน้นน้ำหนัก เพิ่มมาตรการเฝ้าระวังมากที่สุด โดยเฉพาะเรื่องอ่อนไหวอย่าง "ทุจริตคอร์รัปชั่น" ต้องสกัดให้อยู่หมัด โดยมอบหมายภารกิจให้ ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง รับผิดชอบ

"เผือกร้อน" ว่าด้วย "จำนำข้าว" จึงทำให้กระแส "ปรับ ครม.ยิ่งลักษณ์" กลับมากระหึ่มอีกครั้ง แม้ "นายกฯปู" จะประกาศสู้ไม่ถอย แต่ก็เป็นเงื่อนไขให้การปรับ ครม. "ยิ่งลักษณ์ 4" ลื่นไหล ปฏิบัติได้ฉับไวยิ่งขึ้น จากเดิมทีที่จะชิงลงมือในเดือนสิงหาคม หลัง "พ.ร.บ.งบประมาณ" ผ่านวาระ 3

แต่ข่าวล่ามาเร็ว อาจจะขยับมาเป็น ปลายเดือนมิถุนายน ด้วยสูตร "ปรับใหญ่" เพื่อตั้งลำอยู่ครบเทอม!

ข่าวที่ว่อนไปทั่ว โดยรัฐมนตรีที่เข้าข่ายว่าจะถูกปรับออกหรือปรับเปลี่ยนตำแหน่ง มีรายชื่ออย่าง นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.กระทรวงมหาดไทย คาด ว่าจะถูกปรับเปลี่ยนไปดำรงตำแหน่งอื่น หรือโดนปรับออกเพราะมีข้อร้องเรียนหลายเรื่องจาก ส.ส.ในพรรคเพื่อไทย

ส่วนพล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมช. กระทรวงมหาดไทย นายประชา ประสพดี รมช.กระทรวงมหาดไทย พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.กระทรวงยุติธรรม นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.กระทรวงพาณิชย์นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รมว.กระทรวง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี น.ส.ศันสนีย์ นาคพงศ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.กระทรวงพาณิชย์ คาดว่าจะถูกปรับออกหลุดเก้าอี้ไปเลย

ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี คาดว่าจะย้ายไปเป็น รมว. กระทรวงยุติธรรม โดยจะดึงพล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ที่ปรึกษานายกฯ กลับมา เป็นรองนายกรัฐมนตรีดูแลปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้

ส่วนนายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คาดว่า จะถูกปรับเปลี่ยนให้ไปรับ "เผือกร้อน" โดยเข้าไปดำรงตำแหน่งรมว.กระทรวงพาณิชย์ แทน นายบุญทรง จากโครงการ รับจำนำข้าว

ขณะที่รายชื่อ "แคนดิเดต" ที่คาดว่าจะถูกแต่งตั้งให้เข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีนั้น เช่น พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย โควตาเสื้อแดง ที่คาดว่าจะเป็น รมว.กระทรวงมหาดไทย โดยมาแทนโควตาของนายณัฐวุฒิ แต่ตำแหน่งนี้ รมว.กระทรวงมหาดไทยนั้น ยังมีชื่อนายโภคิน พลกุล ที่ปรึกษานายกฯ และพล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ อดีตรองนายกฯ และรมว.กระทรวง มหาดไทยเข้ามามีชื่อคั่วในตำแหน่งนี้ เช่นกัน

ส่วนนางสิริกร มณีรินทร์ สมาชิก บ้านเลขที่ 111 จะมาเป็นรมต.ประจำสำนักนายกฯ แทน น.ส.ศันสนีย์ นาคพงศ์ และนายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ บิดานางวิสาระดี เตชะธีราวัฒน์ ส.ส. เชียงราย เข้ามาเป็นรัฐมนตรีในโควตาเจ้าแม่วังบัวบาน

การขยับของนายกฯปู ด้วยการเดินหน้าเปิดโผรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ 1/5" นอกจากสร้างความแข็งแกร่งให้รัฐบาล ปูแล้ว ยังจะเป็นการปิดประตู "ยุบสภาฯ" เพราะการยุบสภาย่อมเป็นการชี้ชัดได้ว่า "ยิ่งลักษณ์" ยอมรับสารภาพต่อข้อกล่าวหาทั้งหมดว่าเป็นความจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโครงการรับจำนำข้าว

แต่ในทางกลับกัน การที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์เลือกที่จะอยู่ในตำแหน่งต่อไปเพื่อใช้อำนาจรัฐและกลไกที่ตัวเองมีแก้ข้อครหาทั้งหมด โดยมีความเป็นไปได้สูงที่รัฐบาลจะอยู่ให้ครบเทอมจนถึงปี 2558 เพื่อแสดงเป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์มีความชอบธรรม

ดังนั้น อย่าได้แปลกใจว่าทำไมกระแสข่าวการปรับครม.เริ่มมีเสียงดังขึ้น จนรัฐมนตรีที่อยู่ในข่ายถูกเขี่ยทิ้งถึงต้องออกมาเคลื่อนไหวทำทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอดและมัดใจนายกฯ ในระยะนี้

ที่มา.สยามธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////

ชาวนากับทักษิณ

ปัญหาของข้าวไม่ใช่ปัญหาการซื้อขายขาดทุนกำไร..แต่เพียงอย่างเดียว..
ปัญหาของชาวนา..ต้องถือว่าสำคัญกว่าปัญหาข้าว..เพราะชาวนาคือประชาชนส่วนใหญ่..ก่อนจะเป็น

ชาวไร่ชาวสวน..ปัญหาของชาวนาจึงเป็นปัญหาของประเทศ

กว่าหกสิบปีที่ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลมา..ปัญหาของชาวนาไม่เคยได้รับการแก้ไข..หรือได้รับการแก้ไขแต่ก็ไม่ทำให้ชาวนาดีขึ้น

ที่ดินทำนาแปลงแล้วแปลงเล่า..ถูกยึดไปเป็นของธนาคารและบริษัทค้าปุ๋ย..กับนายทุนพ่อค้าคนกลาง..
ก่อนการเมืองจะมี ทักษิณ ชินวัตร..ปัญหาของคนไทยไม่ได้รับการแก้ไข..ยิ่งโดยเฉพาะชาวนา..
จนเมื่อ พรรคไทยรักไทยได้เป็นรัฐบาล..มีนายกรัฐมนตรีชื่อ ทักษิณ ชินวัตร..ได้มีสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆเกิดขึ้นมาอย่างมากมาย..เม็ดเงินหลั่งไหล..เข้าไปสู่ชุมชนที่ยากจนและอ่อนแอ...กองทุนหมู่บ้านเกิดขึ้นมาสติ

ปัญญากับผลผลิตของแต่ละหมู่บ้านปรากฏตนขึ้นบนท้องตลาด

เงินเดือนขั้นต่ำกลายเป็นสามร้อยบาท..

แต่สารพัดความช่วยเหลือที่ประเทศจัดให้กับประชาชนคนของประเทศนั้น..กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปทันทีที่..ประเทศประกาศให้ราคาข้าวคือเกวียนละ หนึ่งหมื่นห้าพันบาท..

แน่นอนว่า..ถ้าประเทศไม่เป็นเจ้าภาพ..ข้าวราคาเกวียนละ หนึ่งหมื่นห้าพันบาท..จะไม่มีทางเกิดขึ้น..แน่นอนการปรับราคาข้าวให้สูงขึ้นขนาดนี้..มันเป็นการผ่าตัดใหญ่..ไม่มีการผ่าตัดไหนที่เลือดไม่ไหล..และไม่มีความเจ็บปวด

ความสุขที่ชาวนาได้รับย่อมส่งกลับเป็นความเจ็บปวดให้กับรัฐบาลผู้ดำเนินการ..แน่นอนว่า..ผู้เคยหากินอยู่บนหลังชาวนาจะต้องพากันต่อต้าน..และหากล่มรัฐบาลลงได้เขาก็จะพยายาม..

พรรคประชาธิปัตย์..ระวัง..ชาวนาจะเกลียดชังพรรคท่าน..เพราะพรรคท่านขัดขวางการช่วยชาวนา...และการสูญเสียชาวนาคือหายนะของคะแนนเสียง..ในวันเลือกตั้ง..

ใครก็ตามที่ขัดขวาง..ความกินดีอยู่ดีของชาวนา..ประวัติศาสตร์โลกจารึกไว้ว่า..เขาคือผู้ที่รอวันถูกทำลาย

โดย:พญาไม้,บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ส่องกล้อง มองค่าแรงกัมพูชา !!?

โดย ฌกฤช เศวตนันท์

กัมพูชา มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า "ราชอาณาจักรกัมพูชา" (The Kingdom of Cambodia) หรือชื่อที่คนไทยมักจะเรียกกันติดปากว่าเขมร กัมพูชานั้นเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดต่อกับประเทศไทยทั้งทางทิศ ตะวันตกและทิศเหนือ มีเมืองหลวงชื่อกรุงพนมเปญ มีประชากรเฉลี่ย 14.8 ล้านคน กัมพูชาเข้าร่วมกับสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน (ASEAN : The Association of South East Asian Nations) เป็นลำดับสุดท้ายในปี พ.ศ. 2542 ในการเกิดขึ้นของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในระยะเวลาอันใกล้จะถึงนี้นั้น ในคอลัมน์ฉบับนี้จะขอนำผู้อ่านไปทำความรู้จักแง่มุมต่าง ๆ ของประเทศกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นจุดอ่อนจุดแข็งของประเทศ รวมทั้งโอกาสและช่องทางการทำธุรกิจกับกัมพูชาสำหรับนักลงทุนชาวไทย

หลัง จากที่ประเทศกัมพูชาถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2496 ประเทศนี้เผชิญกับสงครามกลางเมืองโดยมีการแบ่งออกเป็นสองฝ่ายคือฝั่งรัฐบาล และฝ่ายสังคมนิยม หลังสงครามกลางเมืองนานหลายทศวรรษ สงครามการเมืองจบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายสังคมนิยมซ้ายจัดหรือเขมรแดง จากนั้นกัมพูชาได้มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วในด้านเศรษฐกิจและทรัพยากรมนุษย์

กล่าวคืออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ย 6.0% เป็นเวลานาน 10 ปี ภาค

สิ่ง ทอเกษตรกรรม ก่อสร้าง เสื้อผ้า และการท่องเที่ยวที่เข้มแข็งได้นำไปสู่การลงทุนจากต่างชาติและการค้าระหว่าง ประเทศ ต่อมาในปี พ.ศ. 2548 มีการค้นพบแหล่งน้ำมันและแก๊สธรรมชาติใต้น่านน้ำอาณาเขตของกัมพูชาเป็นที่ เชื่อกันว่าเมื่อมีการสำรวจและขุดเจาะภายในปี พ.ศ. 2556 นี้ จะพบน้ำมันและทรัพยากรธรรมชาติที่ช่วยพัฒนาเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของชาวกัมพูชาให้ดียิ่งขึ้นไปอีก

นอก จากการลงทุนของต่างชาติแล้ว การท่องเที่ยวก็ยังเป็นธุรกิจที่ทำรายได้ให้กัมพูชาอย่างมาก เนื่องจากกัมพูชาถือเป็นเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมากที่สุดประเทศ หนึ่งในทวีปเอเชีย ในทุก ๆ วันจะมีนักท่องเที่ยวเข้าไปชื่นชมความงามของอารยธรรมขอมโบราณและความงามทาง ประวัติศาสตร์ที่ยังคงหลงเหลือในสถานที่สำคัญต่าง ๆ อาทิ

นครวัด นครธม และปราสาทเขาพระวิหารของกัมพูชาจำนวนมาก

สาเหตุ หนึ่งที่ทำให้กัมพูชามีการลงทุนจากต่างชาติเพิ่มขึ้นก็เนื่องจากอัตราค่า จ้างแรงงานที่ต่ำที่สุดในประเทศอาเซียน คิดแล้วตกอยู่ที่ 61 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,830 บาทต่อเดือนเท่านั้น จึงทำให้ได้รับความนิยมจากนักลงทุนชาวต่างชาติเป็นอย่างมาก นอกจากนั้นนักลงทุนชาวต่างชาติยังได้รับการสนับสนุนที่ดีจากรัฐบาลกัมพูชา ผ่านมาตรการต่าง ๆ

ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนย้ายเงินทุนได้โดยเสรีไม่ มีข้อจำกัด นักลงทุนสามารถกำหนดราคาสินค้าเพื่อส่งออกได้ ชาวต่างชาติสามารถเป็นเจ้าของธุรกิจในกัมพูชาได้ 100% และสามารถซื้อทรัพย์สินทุกประเภทได้ยกเว้นที่ดิน แต่ทว่าชาวต่างชาติก็ยังมีสิทธิเช่าที่ดินทำกินระยะยาวถึง 99 ปี หลังจากนั้นสามารถต่อสัญญาได้ และในกรณีที่แรงงานภายในประเทศนั้นไม่พอ นักลงทุนสามารถนำแรงงานต่างชาติเข้ามาเพิ่มได้ โดยรัฐบาลได้ออกกฎหมายรองรับการอนุญาตแรงงานต่างชาติอีกด้วย

นอกจาก นั้นการทำธุรกรรมต่าง ๆ สามารถใช้เงินดอลลาร์สหรัฐแทนเงินเรียลของกัมพูชาได้โดยสะดวก เพราะนั้นแล้วจึงไม่น่าแปลกใจที่กว่า 60% ของธุรกิจทั้งหมดในกัมพูชาจะเป็นของคนต่างชาติ

อย่างไรก็ตาม กัมพูชาเองนั้นยังมีสาธารณูปโภคพื้นฐานในระดับที่ต่ำ การพัฒนาในเรื่องนี้ยังต่ำ รัฐบาลก่อสร้างได้น้อย และแม้แรงงานจะมีราคาถูกตามที่ได้เสนอไปในข้างต้น แต่ทว่าแรงงานที่ทักษะนั้นกลับมีค่อนข้างน้อย รัฐบาลกัมพูชาจึงพยายามสนับสนุนการลงทุนจากต่างชาติให้เข้าประกอบกิจการใน ประเทศเพื่ออาศัยเงินลงทุนเป็นรายได้เข้าประเทศ กับเพื่อไปจัดสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน และพัฒนาจำนวนแรงงานที่มีทักษะต่อไป

จุด อ่อนอีกประการของกัมพูชาคือการที่มีภูมิประเทศเพาะปลูกทำการเกษตรได้น้อย แต่จำนวนประชากรเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9% ทุกปี ทำให้ต้องนำเข้าสินค้าเกษตรและสินค้าอุปโภคต่าง ๆ จากต่างประเทศในแต่ละปีเป็นจำนวนมาก

แม้รัฐบาลกัมพูชาจะสนับสนุนการ ลงทุนจากต่างชาติ แต่ยังคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่นักธุรกิจจากไทยจะเข้าไปลงทุนในกัมพูชา เพราะความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลไทยกับกัมพูชานั้นในปัจจุบันไม่ค่อยจะราบ รื่นนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีพิพาทเรื่องแย่งชิงพื้นที่ทับซ้อนในเขาพระวิหาร ซึ่งล่าสุดได้มีการฟ้องร้องต่อศาลโลก

และในปัจจุบันยังรอฟังคำวินิจ ชี้ขาดอยู่ จึงมีผู้เกรงว่าความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาในประเด็นดังกล่าวอาจบั่น ทอนโอกาสขยายการค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศในอนาคตได้ แต่ถ้าหากรัฐบาลทั้งสองประเทศตกลงกันระงับข้อพิพาทดังกล่าวได้ก็จะเป็น ประโยชน์ต่อไทยหลายประการ

อนึ่งไทยสามารถที่จะส่งออกสินค้าเกษตร อุปโภค ซึ่งไทยผลิตได้มากไปยังกัมพูชา ซึ่งการขนส่งทำได้ง่ายกว่าชาติอื่น เพราะพรมแดนติดกันและคนกัมพูชายังนิยมสินค้าจากไทยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การเข้าไปลงทุนในกัมพูชาที่มีค่าแรงงานถูกน่าจะคุ้มค่าต่อนักลงทุนไทย ในส่วนของการท่องเที่ยวนั้นไทยและกัมพูชา

มีโอกาสที่จะพัฒนาการท่องเที่ยวร่วมกันโดยอาศัยพื้นที่ทับซ้อนให้เป็นประโยชน์ จะสามารถดึงดูดความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกได้มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม โอกาสของนักลงทุนไทยในกัมพูชายังขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมืองของทั้งสองประเทศเป็นหลัก

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////