--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555

โรคประหลาดคล้ายเอดส์ แต่ไม่ใช่เอดส์ !!?

โดย ศ.พญ.ยุพิน ศุพุทธมงคล

เมื่อเร็วๆนี้มีข่าวที่ทำให้ผู้คนตื่นตระหนกกับโรคประหลาดที่มีอาการคล้ายเอดส์ และยังหาสาเหตุไม่พบ เพื่อให้เข้าใจถึงโรคดังกล่าว เรามีความรู้มาฝาก

โรคประหลาดคล้ายเอดส์ที่ยังไม่มีชื่อเรียกนี้เป็นโรคที่ไม่ได้ติดเชื้อเอชไอวี พบมานับ 10 ปี เกิดจากภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ทำให้มีอาการป่วยจากโรคติดเชื้อฉวยโอกาสชนิดต่างๆ เช่น การติดเชื้อแบคทีเรียกลุ่มมัยโคแบคทีเรีย การติดเชื้อราที่มีอาการรุนแรง เป็นต้น ผู้ป่วยจะมีอาการไข้เรื้อรัง ต่อมน้ำเหลืองอักเสบหลายแห่ง ร่วมกับปอดอักเสบ ฝีตามอวัยวะต่างๆ รวมทั้งผิวหนังอักเสบเป็นหนอง

โรคดังกล่าวไม่ใช่โรคติดต่อ พบไม่บ่อย และไม่รู้สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันผิดปรกติเหมือนอย่างโรคเอดส์ที่รู้ว่าเกิดจากการติดเชื้อไวรัสภูมิคุ้มกันบกพร่อง และไม่ได้เกิดจากการรับการรักษาด้วยยากดภูมิคุ้มกันต่างๆ โรคนี้พบมากในชาวเอเชีย รวมทั้งคนไทย มักเกิดในผู้ใหญ่อายุเฉลี่ย 40-50 ปี

การรักษาผู้ป่วยในปัจจุบันเป็นการรักษาโรคติดเชื้อฉวยโอกาสด้วยยาต้านจุลชีพ ผู้ป่วยอาจมีการดำเนินโรคแตกต่างกัน การรักษาขณะนี้ทำให้โรคติดเชื้อฉวยโอกาสสงบ แต่อาจมีการกำเริบหรือพบการติดเชื้อฉวยโอกาสอื่นๆเป็นครั้งคราว

ขณะนี้คณะผู้วิจัยซึ่งเป็นแพทย์โรคติดเชื้อจากคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยต่างๆในประเทศไทย ได้แก่ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล รวมถึงคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับคณะผู้วิจัยจากสถาบันสุขภาพอเมริกา ทำการวิจัยพบว่าผู้ป่วยกลุ่มนี้มีการสร้างสารแอนติบอดีต่อสารอินเตอร์เฟอรอนแกมมา ทำให้ภูมิคุ้มกันซึ่งใช้ป้องกันการติดเชื้อฉวยโอกาสต่างๆดังกล่าวผิดปรกติ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการป่วยจากการติดเชื้อฉวยโอกาสเหล่านั้น ซึ่งขั้นต่อไปคณะผู้วิจัยกำลังวิจัยเพื่อให้รู้สาเหตุการก่อโรค เพื่อจะได้วางแผนการรักษาโรคนี้ให้หายขาด

ดังนั้น หากมีอาการดังกล่าวข้างต้นควรมารับการตรวจตามขั้นตอนจากแพทย์โรคติดเชื้อ เพราะการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง แม้ไม่หายขาดแต่ผู้ป่วยสามารถดำเนินชีวิตได้ตามปรกติ

ข่าวประชาสัมพันธ์

คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ขอเชิญเข้าร่วมกิจกรรมภาคประชาชนในงานประชุมวิชาการเฉลิมพระเกียรติ 150 ปี พระราชสมภพสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวีฯ ระหว่างวันที่ 17-21 กันยายน 2555 พบกับการเสวนา การบริการและให้คำปรึกษาปัญหาสุขภาพ ตรวจความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือด และสอนตรวจเต้านมด้วยตนเอง ณ โถงอาคาร 100 ปี สมเด็จพระศรีนครินทร์ สอบถามข้อมูลและสำรองที่นั่งได้ที่งานสร้างเสริมสุขภาพ โทร.0-2419-8802 และ 0-2419-9981-83

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2555

เลขาฯชูวิทย์ โดนสาวเสียสติ ฟันยับ เย็บ17เข็ม !!?

ผกก.สภ.หาดใหญ่ เผย หญิงเสียสติ คลั่ง คว้ามีดพร้าไล่ฟันหัวเลขาฯ "ชูวิทย์" เลือดอาบ บนโรงพักหาดใหญ่ ขณะ นำคณะลุยบ่อนหาดใหญ่ ล่าสุด เย็บ 17 เข็ม

พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ผกก.สภ.หาดใหญ่ เปิดเผยกับ สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น.ว่า ได้มีหญิงเสียสติใช้มีดพร้าไล่ฟัน คณะกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายสมชาย โล่สถาพรพิพิธ เป็นประธาน กมธ. และมี นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ร่วมคณะด้วย เหตุเกิดบนสถานีตำรวจภูธรหาดใหญ่ จ.สงขลา ทำให้เลขาฯ ส่วนตัวของ นายชูวิทย์ ถูกฟันเป็นแผลฉกรรจ์เย็บหลายเข็ม จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า หญิงคนดังกล่าว มีอายุประมาณ 30 - 35 ปี ถูกจับตั้งแต่ช่วงเช้า เนื่องจากไปแย่งปืนจากตำรวจท่องเที่ยวหาดใหญ่ และนำตัวมาดำเนินคดีที่โรงพัก คลุ้มคลั่งขู่จะฆ่าตัวตาย และปีนขึ้นไปบนแท้งค์น้ำของโรงพัก จะกระโดดลงมา เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถเกลี้ยกล่อมได้อีกครั้ง แต่พอเห็นคณะของกรรมาธิการตำรวจ ที่เดินทางมาจากการประชุมเรื่องบ่อนการพนันในพื้นที่ ก็ตรงใช้มีดพร้า ที่ไม่ทราบว่านำมาจากไหน ฟันเข้าอย่างจังดังกล่าว ซึ่งดูจากรูปการแล้ว ไม่ได้ตั้งใจจะฟัน นายชูวิทย์ เป็นการฟันแบบไร้ทิศทาง จนถูกศีรษะเลขาฯ ล่าสุดก็นำตัวไปสงบสติอารมณ์พร้อมแจ้งข้อหาในห้องขังแล้ว

คืบหน้า ฟันเลขาฯชูวิทย์ เย็บ 17 เข็ม

เกิดเหตุหญิงสติไม่สมประกอบ ใช้มีดพร้าฟัน นายเทพทัต บุญพัฒนานนท์ อายุ 29 ปี เลขาฯของ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ได้รับบาดเจ็บถูกฟันเข้าที่บริเวณศีรษะเป็นแผลฉกรรจ์ ถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลหาดใหญ่ โดยแพทย์ต้องเย็บถึง 17 เข็ม เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากที่ คณะกรรมาธิการตำรวจ รวมทั้ง นายชูวิทย์ เดินทางมาประชุมที่ สภ.หาดใหญ่ เพื่อติดตามเรื่องบ่อนการพนันและซ่องที่ได้เปิดเผยคลิปไปก่อนหน้านี้ หลังจากประชุมเสร็จ และคณะได้ออกจากห้องประชุมมายืนรอขึ้นรถอยู่ที่หน้าศูนย์จราจร สภ.หาดใหญ่ มีหญิงสาวสติไม่สมประกอบ ถือมีดพร้าเข้ามาไล่ฟันคณะของ นายชูวิทย์ และถูก นายเทพทัต ได้รับบาดเจ็บ ส่วนหญิงสาวที่ก่อเหตุขณะนี้ตำรวจได้ควบคุมตัวไว้แล้ว และกำลังอยู่ระหว่างการสอบสวนว่ามีสติไม่สมประกอบจริงหรือไม่ ความคืบหน้าจะรายงานให้ทราบต่อไป

ตร. เผย สาวฟันหัวเลขาฯชูวิทย์ สติไม่สมประกอบจริง

ความคืบหน้าสาวสติไม่ดี ก่อเหตุฟันศีรษะเลขาฯ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ขณะเดินทางมากับคณะกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ผกก.สภ.หาดใหญ่ เปิดเผยว่า สำหรับ น.ส.คำหล้า มั่งมี อายุ 27 ปี ที่ก่อเหตุนั้น หลังจากที่ตำรวจได้ส่งตัวไปยังโรงพยาบาลหาดใหญ่ ให้แพทย์จิตเวชตรวจเช็กอาการทางประสาท ซึ่งได้รับการยืนยันจากแพทย์ ว่า น.ส.คำหล้า มีอาการทางประสาทจริงพร้อมกับออกหนังสือยืนยันก่อนที่จะส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวชสงขลาราชนครินทร์ โดยช่วงเช้านางสาวคำหล้า ได้เดินเข้ามาใน สภ.หาดใหญ่ และพยายามก่อเหตุแย่งปืนตำรวจ เจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวให้สงบสติอารมณ์ แต่ปรากฏว่าจากนั้น ก็ได้แอบปืนขึ้นไปอยู่บนแทงค์น้ำหลังโรงพัก พยายามกระโดดลงมาฆ่าตัวตาย ซึ่งตำรวจช่วยกันเจรจาเกลี้ยกล่อมจนยอมลงมา

พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยืนยันว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำของหญิงที่มีอาการทางประสาทจริงๆ ไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง หรือเกี่ยวกับเรื่องที่ นายชูวิทย์ เดินทางลงมาติดตามเรื่องขบวนการค้ากามในเมืองหาดใหญ่ และบ่อนการพนันที่ด่านนอก แต่อย่างใด

เฉลิมบอกเลขาชูวิทย์ถูกฟันศีรษะไม่เกี่ยวกม.

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้รับรายงานกรณีเลขาฯของ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครักประเทศไทย ถูกฟันศีรษะที่ สภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา แล้ว และเรื่องนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินคดีตามกฎหมาย และนำตัวหญิงคนดังกล่าวไปตรวจร่างกายอีกครั้ง ซึ่งก็เห็นว่า มีอาการผิดปกติตั้งแต่ช่วงเช้า ก่อนที่จะก่อเหตุ ทั้งนี้ โดยส่วนตัวยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการเมืองแน่นอน

"ได้ยินมา ในบ่ายที่มาก่อเหตุวันนี้ก็ผิดปกติ ไม่มี เรื่องการเมืองอะไร" ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว

อย่างไรก็ตาม ตนไม่ขอเข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่หาก นายชูวิทย์ ร้องขออยากให้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจัดกำลังไปคุ้มครอง ก็สามารถทำเรื่องเข้ามาได้ ส่วนกรณีที่ตนเอง อาจจะเลิกรับตำแหน่งหลักทางการเมืองนั้น เป็นเพราะว่า หากรัฐบาลชุดนี้ ทำงานครบวาระ 4 ปี ตนเองก็จะอายุครบ 68 ปี ซึ่งก็คงจะมากพอแล้วกับการทำงานด้านการเมือง แต่ก็คิดว่าจะยังไปช่วยปราศรัยหาเสียงอยู่บ้าง ทั้งนี้คาดว่า น่าจะไปดูแลกิจการท่าเรือของลูกชาย ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา

ที่มา.INN news
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

พลังเสื้อแดง คานเผด็จการ !!?

ท่านพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์พูดเมื่อไม่นานนี้ว่า จุดยืนสำคัญ ของพรรคคือการต่อต้านอำนาจเผด็จการทหารทุกรูปแบบที่ทำลายระบอบประชาธิปไตย เมืองไทยเรื่อยมา และนั่นคือผลงานในอดีตที่ประชาชนให้การต้อนรับด้วยความศรัทธา มายาวนาน

แต่แล้วศรัทธาประชาชนที่มีต่อพรรคนี้ ก็เสื่อมคลายลงนับแต่เกิดรัฐประหารครั้งล่าสุดปี 2549 โดยแกนนำและสมาชิกจำนวนหนึ่ง “แอบลอกคราบ” กลมกลืนไปกับมวลชนเสื้อเหลืองที่มีแผนยั่วยุให้ทหารตัดสินใจยึดอำนาจจากระบอบประชาธิปไตย

ทั้งๆ ที่กระแส “ทักษิณฟีเวอร์” ขณะนั้นถดถอยถึงจุด “เจียนอยู่เจียนไป” รอมร่ออยู่แล้ว

แม้ภาพที่ปรากฏพรรคไทยรักไทยครั้งสุดท้ายก่อนปฏิวัติ ชนะเลือกตั้งเกินครึ่ง สภา เป็นรัฐบาลพรรคเดียวในประวัติศาสตร์การเมืองไทย...แต่ก็เป็นภาพ “มายาคติ” ที่ครอบงำความคิดพรรคเก่าแก่ ซึ่งควรมีจุดยืนโดดเด่นของตัวเองอย่างมั่นคงมายาวนาน แม้จะสู้คู่แข่งไม่ได้ แต่หากมี “จิตสำนึกประชาธิปไตยที่แท้จริง” ก็ต้องยืนหยัดต่อสู้กับ “เผด็จการรัฐสภา” อย่างทระนง

เพราะที่สุดแล้ว ถ้าฝ่ายรัฐบาลเป็น “เผด็จการรัฐสภา” จริง...วันหนึ่งที่ถึงซึ่ง “ฟางเส้นสุดท้าย” พลังประชาชนก็จะลุกฮือขึ้นมาขับไล่ “อำนาจอยุติธรรม” เอง โดยพรรคประชาธิปัตย์ไม่ต้องออกแรงเปลี่ยนจุดยืนแต่อย่างใด แต่นักการเมืองที่เป็นฝ่ายค้านมานานจนอดรนต่อสภาวะที่เป็นอยู่ไม่ไหว จึงคิดเอาเองว่าขืนปล่อยเป็นฝ่ายค้านเนิ่นนานต่อไปอีก มีหวังพรรคทักษิณ “กินเมือง” เป็นแม่นมั่น ก็เลย “คิดสั้น” ยุส่งให้เกิดการยึดอำนาจเสียให้รู้แล้วรู้รอด

คิดว่ายังไงๆ ถ้าเกิดการต่อต้านทหารเผด็จการ ทหารต่างหากล่ะที่เสียหาย หาใช่ พวก “บ่างช่างยุ” ไม่นับเป็นกุศโลบายที่แสนเนียน และใช้กลยุทธ์ “ยืมดาบทหารฆ่าศัตรู” ที่เหนือชั้น สุดบรรยายแต่ด้วยอาราม “ย่ามใจ” คิดว่าคนทั่วไปโง่ “อ่านเกมไม่ออก” ก็เลยแสดงธาตุแท้ “เกลียดปลาไหล กินน้ำแกง” หันไปแสดงบท “รักงูเห่า” และ “กอดเผด็จการ” ต่อหน้าธารกำนัล ถึงขั้น “ตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร”

ภาพรังเกียจเผด็จการ และชูประชาธิปไตยในอดีตจึงเสมือน “แก้ผ้าล่อนจ้อน” ประจานตัวเองเพราะความโลภหวังกุมอำนาจรัฐเสียเองอย่างไม่สง่างาม ไม่ประทับใจชาวบ้านเอาเสียเลยเมื่อเจือสมกับได้อำนาจรัฐ ไม่รู้จักขีดจำกัดแห่งการใช้อำนาจ เมื่อเกิดกรณีม็อบ ประท้วงแล้วก็ยังลุแก่อำนาจ กล้าคิดใช้กำลังทหารล้อมปราบจนประชาชนต้องเสียชีวิต ร่วมร้อยศพและบาดเจ็บนับพัน กลับไร้สำนึกแห่งจิตวิญญาณนักการเมืองที่ศรัทธาระบอบประชาธิปไตยมันจึงกลับตาลปัตรเป็น รัฐบาลมือเปื้อนเลือด จารึกในประวัติศาสตร์การเมืองที่ไม่อาจลบเลือนได้กลายเป็นมวลชนคนเสื้อแดง เข้ากุมสภาพ “นักสู้ผู้ต้านเผด็จการ และทวงหา ความยุติธรรม” แทนที่จุดยืนเดิมของพรรคประชาธิปัตย์โดยอัตโนมัติ

และวันนี้ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มวลชนคนเสื้อแดงจึงได้เวลารวมพลังรำลึก ครบรอบ 2 ปีแห่งการต่อสู้ของพวกเขาอย่างแข็งแกร่ง เด็ดเดี่ยว และภาคภูมิใจที่ได้สละเลือดและชีวิต...เพื่อจะบอกให้ฝ่ายเผด็จการ หรือพวกที่ลืมตัว “ใช้เผด็จการเป็นเครื่องมือเข่นฆ่าประชาชน” ได้รู้ว่า พลังมวลชนยังเข้มแข็งและพร้อมผนึกกำลังเป็นอำนาจที่เข้มข้นเพื่อ “ต้านอำนาจเผด็จการทุกรูปแบบ” ต่อไป

หากคนเสื้อแดงสามารถดำรงพลังมวลชนคานอำนาจเผด็จการได้เป็นเอกภาพยิ่งใหญ่เพื่อปกปักรักษาประชาธิปไตยยืนระยะได้ยาวนาน รวมทั้ง “ต้านอำนาจนอกระบบ” ที่แอบบ่อนทำลายประชาธิปไตยให้ฝ่อไปเรื่อยๆ อย่างน้อยระบอบประชาธิปไตยจะได้มีโอกาสฟื้นฟูเดินหน้าพัฒนาไปเสียที... อย่างมากก็อาจลบล้างสมองของทหารที่ยังติดยึดกับอำนาจเบ็ดเสร็จได้เข้าใจและเข้าถึง ระบอบที่เป็นอิสระเสรีของประชาชนโดยรวมเสียบ้างไม่ใช่รำคาญอะไรนิด ก็คิดแต่จะเอาปืนมายึดอำนาจประชาชนร่ำไป!

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

มันมากับน้ำ หลอนผวา ปชป.รอเติมเชื้อร้าย !!?

ประชาชนยังผวาน้ำท่วมเมื่อปลายปี ที่แล้วอยู่ไม่หาย ทั้งๆ ที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยเริ่มบริหารประเทศตั้งแต่ 25 สิงหาคม 2554 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แทบไม่ได้เริ่มต้นทำงานตามนโยบายหาเสียง เอาแต่ทุ่มเทแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากับน้ำท่วม “เอาอยู่ค่ะ...” น.ส.ยิ่งลักษณ์ เริ่มเป็น นายกรัฐมนตรีหมาดๆ ให้ความเชื่อมั่นกับประชาชนที่กำลังแตกตื่นกับน้ำที่ไหลมาจ่ออยู่ริมรั้วบ้านอย่างหวั่นวิตกขึ้นต้นปี 2555 วิกฤติน้ำท่วมผ่านพ้น อย่างทุลักทุเล น้ำทิ้งร่องรอยความเสียหาย มหาศาลไว้หลายพื้นที่สำคัญๆ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ตั้งงบประมาณ 1.2 แสนล้านบาทฟื้นฟูประเทศ ครั้งใหญ่ โดยส่วนใหญ่เป็นการจัดเตรียมป้องกัน น้ำท่วมปี 2555 และในอนาคต เป้าหมายหลักๆ อยู่ที่ลดปริมาณน้ำท่วมให้น้อยลงกว่าปี 2554 นั่นหมายถึงน้ำยังท่วมอยู่ แต่ไม่มากมายถึงขั้นเกิดอาการหลอนหวั่นผวา หรือประชาชนแตกตื่นกันยกใหญ่ซ้ำสอง

รัฐบาลวางยุทธศาสตร์ผจญกับน้ำท่วม ใน 4 กรณีสำคัญ คือ 1.น้ำต้องมีที่อยู่ 2.น้ำ ต้องมีที่ไป 3.การป้องกันพื้นที่สำคัญ และ 4.เตือนภัย กล่าวเฉพาะคือ รัฐบาลพยายามจัดการ ควบคุมทางไหลของน้ำ ตั้งแต่ต้นทางจาก ภาคเหนือมาสู่พื้นที่ภาคกลาง แล้วผ่าน กทม. ปลายทางน้ำไหลเพื่อไปออกทะเล กระบวนการ จัดการทั้งหมดนี้อยู่ที่วิธีการขุดลอกคูคลอง สร้างผนังกั้น ซึ่งไม่ยากเย็นเกินกว่าวิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์ของมนุษย์จะกระทำเลยเหมือนกับง่าย แต่มนุษย์ยากที่จะเอา ชนะธรรมชาติได้ เพราะธรรมชาติมีชีวิต สามารถปรับเปลี่ยนไปตามกับสิ่งแวดล้อมได้เสมอ

> เตรียมพร้อมรับมือ

ก่อนถึงฤดูมรสุมน้ำหลากปี 2555 มาถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ สั่งการไปยังจังหวัดภาคเหนือพื้นที่ต้นน้ำให้เตรียมพร้อมรับมือน้ำให้เสร็จในเดือนมิถุนายน จังหวัดกลางน้ำต้องเสร็จเดือนกรกฎาคม และจังหวัดปลาย น้ำควรเรียบร้อยในเดือนสิงหาคม

เมื่อทุกอย่างเข้ารูปเข้ารอยค่อนข้างแน่ใจว่า “เอาอยู่ค่ะ” การทดสอบระบบทางน้ำไหลตาม “เส้นทางต้น-กลาง-ปลาย” จึงเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ เอาอยู่จริงๆ เพราะผล ทดสอบออกมา “ราบรื่น น่าพอใจ และรัฐบาลป่าวประกาศน้ำไม่ท่วม (อีกแล้ว) แน่” น.ส.ยิ่งลักษณ์ ฉีกยิ้มอารมณ์ดีกับแผน ป้องกันน้ำท่วมอันเอกอุมาช่วยเติมแต่งสร้าง หน้าตารัฐบาลให้ดูดี มีกึ๋น มากฝีมือ ราวกับ ปัดข้อกล่าวหา “นายกรัฐมนตรีละอ่อน ไร้ประสบการณ์” จนแทบไม่เหลืออาการวอกแวกจากพรรคประชาธิปัตย์ได้แทบราบคาบ

ย่อมสมควรดีใจออกนอกหน้าอยู่ เพราะรัฐบาลได้ทุ่มเททำงานมาตลอดปีด้วย งบประมาณมหาศาลที่ทุ่มไปกับการขุดลอก คูคลอง สร้างผนังกั้นน้ำ กำหนดแผน ปล่อยน้ำในปริมาณการไหลที่ “คน” สามารถ ควบคุมจัดระบบการไหลของน้ำทั้ง “ต้น-กลาง-ปลาย” ให้ไหลเป็นระเบียบไม่มีแตกแถวมนุษย์ยังควบคุมเอาชนะธรรมชาติด้วยระบบการจัดการแบบวิทยาศาสตร์อย่างได้ผล...ช่างน่าสนใจ แต่เมื่อล่องมรสุมหอบเอาฝนห่าใหญ่ พัดผ่าน ฝนตกหนักต่อเนื่องมาตั้งแต่วันที่ 6 กันยายนที่ผ่านมา ถนนในกรุงเทพฯ บางสายเจิ่งนองด้วยน้ำในอึดใจไม่เพียงเท่านั้น เมืองใหญ่ๆ ตามเส้น ทางน้ำผ่าน ทั้งต้น-กลาง-ปลาย น้ำทะลักผนังกั้นน้ำไหลท่วมเป็นปกติ พร้อมๆ กับพัดเอางบประมาณที่ทุ่มเทไปแทบไม่มีความหมาย ธรรมชาติยังอยู่เหนือการควบคุม และ ปรับเปลี่ยนวิถีออกนอกคอก หนีระบบการจัดการของมนุษย์อยู่เป็นประจำรัฐบาลนิ่งอีกแล้ว ยิ้มหน้าบานเป็นกระด้งหุบลง น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังไม่ฟูมฟายสักแอะ

> “เอาอยู่”...ไม่ได้โม้!!!

วลี “เอาอยู่ค่ะ” ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ หลุดปากเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้ประชาชน ผจญน้ำท่วมเมื่อปี 2554 ได้มั่นใจ และวลีนี้ พรรคประชาธิปัตย์หยิบมาขยายผลต่อสาธารณะจนมีสีสันการเสียดสี ประชด-ประชัน นายกรัฐมนตรีหุ่นเชิด ไร้ประสบการณ์ทำงานการเมืองระดับชาติ

เมื่อถึงฤดูน้ำหลากในปี 2555 ลมมรสุมพัดกระหน่ำฝนตกมาอย่างหนักตั้งแต่ 6 กันยายน ระบบควบคุมน้ำไหลยังไม่พร้อม กับการทุ่มเทเงินเป็นแสนล้านบาท ปริมาณ น้ำสะสมมากขึ้นจนไหลออกนอกคูคลองและ ผนังกั้นมาท่วมพื้นที่นา ทะลักสู่ย่านเศรษฐกิจ และบ้านเรือนประชาชนอย่างหนักเมื่อวันที่ 9 กันยายน

ฝนห่าใหญ่กับน้ำท่วมในพื้นที่สำคัญของจังหวัดพิษณุโลกและสุโขทัย ช่างเป็นใจ ให้พรรคประชาธิปัตย์เยาะเย้ยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ อย่างสนุกครื้นเครง ฉากหลังรายการวิจารณ์ การเมือง “สายล่อฟ้า” ของสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมสีฟ้ายี่ห้อ “บลูสกาย” ขึ้นข้อความใหม่ ตัวใหญ่โดดเด่นว่า “ดีแต่โม้”

ไม่ผิดแน่ “ดีแต่โม้” คงเป็นวลีประชด-ประชันทางการชิ้นใหม่ที่มีความหมายเย้ยหยั่นการทำงานแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาลที่ออกข่าวคุยโต โอ้อวดว่า “เอาอยู่ค่ะ” สามารถควบคุมน้ำท่วมปี 2555 ได้ผล ประชาชนอย่าผวา โปรดรับทราบด้วยความเชื่อมั่น แต่ความจริงแล้ว ผลงานรัฐบาลแก้ปัญหาน้ำท่วม กลับกลายเป็นน้ำลายการเมือง เยิ้มท่วมปาก ราวกับนักการเมืองขี้โม้อะไรประมาณนั้น เพราะปริมาณน้ำเริ่มท่วมหนัก และมีแนวโน้มหนักขึ้น ย่อมเป็นรูปธรรมได้ ชัดเจนเหนือการอธิบายสนับสนุนเคียงข้างได้

สื่อโหมประโคมการรายการอย่าง ตื่นเต้น น้ำท่วมจังหวัดน่าน อุตรดิตถ์ จนประชาชนเก็บข้าวของหนี เมืองลำปาง นครสวรรค์เกิดการแตกตื่น แล้วไหลมาสร้างความ ลำบากให้เมืองพิษณุโลกและสุโขทัยในระดับ สูงเป็นเมตร เส้นทางคมนาคมถูกน้ำตัดขาด แล้วทะลักท่วมบ้านในจังหวัดพิจิตรเป็นหย่อมๆ

นอกจากนี้ ประชาชนจังหวัดอ่างทอง เริ่มออกอาการผวาน้ำเจ้าพระยาเริ่มล้นตลิ่ง เข้าท่วมบ้าน และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ถึงกับออกประกาศเตือนประชาชนริมตลิ่งให้เฝ้าระวังน้ำล้นตลอด 24 ชั่วโมง ผลกระทบจากวิกฤติน้ำท่วมส่อแววเป็นเหมือนปี 2554 และเริ่มมาตั้งแต่ “ต้น-กลาง ยันปลายน้ำ” เอาเสียด้วย คนทุกจังหวัดริมทางน้ำไหลในปริมาณมากๆ ย่อมออกอาการผวาแตกตื่นเป็นธรรมดา โดยเฉพาะคน กทม.ซึ่งเป็นปลายน้ำยากที่จะหลีกเลี่ยงได้เช่นกัน

ภาพถนนในที่สูงและทางด่วนกลายเป็น พื้นที่จอดรถหนีน้ำท่วมเต็มพรึบเมื่อปี 2554 ยังเป็นการสะท้อนวิกฤติหนักหน่วง ปริมาณ น้ำในปี 2555 อาจมีแนวโน้มให้ภาพเจ็บปวด เช่นนี้กลับคืนมาอีกครั้ง แน่ละ การคาดการณ์แนวโน้มที่มีชุด ความคิดแบบปี 2554 ย่อมไม่ใช่การประชด-ประชันเกินจริง และไม่ได้โม้สร้างความแตกตื่นซ้ำเติมประสาทประชาชนเข้าไปแบบล่องลอยตามจิตนาการเกมการเมืองเดิมๆ และซ้ำซาก

> มันผุดมากับน้ำแล้ว

ความจริงประชาชนเริ่มแตกตื่นกับน้ำท่วมอีกแล้ว พลังอาการหลอนผวาย่อมไม่เกิดผลดีทางการเมืองกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และพรรคเพื่อไทยแน่ วลีเอาอยู่หรือความมั่นใจในการจัดการควบคุมได้ อาจไม่ทำให้รัฐบาลเอาตัวรอดและได้รับความเห็นใจจาก ประชาชนอีกแล้วเป็นธรรมดาการเมืองปัจจุบันถูกแบ่ง ข้างชัดเจน แยกเป็นฝ่ายแดงกับอยู่ข้างสีเหลือง แบ่งกำลังใจให้รัฐบาลจนหมดตัวกลับหันมาสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์

ในสังคมแบ่งฝ่ายมากพวกเช่นนี้ ชุดข้อมูลของฝ่ายใดย่อมอยู่ในระบบความคิดของมวลชนฝ่ายนั้น ดังนั้น สังคมจึงไร้การไตร่ตรอง เพราะมุ่งมั่นเอาชนะกันเป็นธงคำตอบทางการเมือง...สิ่งนี้ถูกก่อรูปขึ้นในสังคมเปลี่ยนผ่านและสะท้อนถึงศูนย์กลางอำนาจเริ่มแผ่ว ผู้คนจึงโกลาหลขาดหลักเหตุผลมายึดมั่น

เมื่อถูกซ้ำเติมด้วยวิกฤติน้ำท่วมซ้ำซากเข้าไปอีก ความผิดหวังกับรัฐบาลย่อม สูงขึ้น การทดสอบระบบไหลของน้ำเมื่อ 5 กันยายน ซึ่งเป็นผลงานทางการเมืองครั้งสำคัญคงหมดมนต์ขลังสะกดให้ประชาชนมา สนับสนุนอีกแล้ว แนวโน้มเริ่มบ่งบอกเช่นนี้ ดังนั้น อาการหลอนผวาจากวิกฤติน้ำท่วม ถูกพรรคประชาธิปัตย์เริ่มผลักมาเป็นเกมการเมืองอย่างมีน้ำหนัก ไม่ได้เป็นรองรัฐบาลยิ่งลักษณ์อีกแล้ว ซ้ำร้ายพรรคประชาธิปัตย์ค่อยผุดชุดข้อมูลการทุจริตในงบประมาณน้ำท่วมจำนวน 1.2 แสนล้านบาท ย่อมกลายเป็นอาวุธเชือดรัฐบาลทาง การเมืองอย่างได้ผล และประชาชนคงตั้งใจ เอียงหูฟังอย่างตื่นเต้นคล้อยตาม

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ เริ่มออกลายเข้าไปผสมส่วนกับปริมาณน้ำท่วมแล้ว เขาผุดข้อมูล เปิดปมโกงกินงบประมาณแก้ปัญหาน้ำท่วม ทางภาคเหนือออกมาเรียกน้อยย่อย การโกงที่เป็นชุดข้อมูลไว้ “เตรียมซักฟอกรัฐบาล” ถูกปล่อยมาเบื้องต้น โดยนายนิพิฏฐ์อ้างว่า มีการหักหัวคิวกว่าครึ่งใน รูปแบบการซอยสัญญาเลี่ยงงานรับเหมาถึง 200 ล้านบาทเพื่อไปแบ่งจ่ายเป็นค่าหัวคิวทางการเมืองและราชการมากถึง 30% นี่เป็นเพียงชุดข้อมูลเรียกน้ำย่อย จาก พื้นที่การทุจริตในงบประมาณแก้ไขน้ำท่วมทางต้นน้ำภาคเหนือ แล้วสนับประสาอะไรกับพื้นที่กลางน้ำและปลายน้ำจะไม่มีการกินนอกกินใน เอาเป็นว่า การโกงงบประมาณน้ำท่วม กำลังไหลกลายเป็นข้อมูลของพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อน้ำยิ่งท่วมประชาชนยังหลอนผวาอยู่ การบริหารจัดการที่ผิดพลาด ย่อมเชื่อมประสานกับการสร้างเกมรุกทาง การเมืองของพรรคประชาธิปัตย์อย่างได้ผล

> เข้าทาง ปชป. หลอนผวา

ในยุทธการทดสอบน้ำไหลเมื่อ 5 กันยายนนั้น รัฐบาลฉีกยิ้มหน้าบานกับผลงาน อันราบรื่น พรรคประชาธิปัตย์ออกอาการซึมๆ ทางการเมืองที่ตกเป็นรอง ปล่อยให้รัฐบาลออกเกมรุกจนแทบถูกน้ำไหลพัดออก ทะเลไปไกลสุดตา แต่เพียงไม่กี่วัน มรสุมหอบฝนมาห่าใหญ่ น้ำเริ่มท่วมตั้งแต่ต้น-กลาง-ปลายทาง อย่าง กทม.คงไม่รอด พรรคประชาธิปัตย์ได้น้ำท่วมแล้วกลับฟื้น มีพลังทางการเมืองอย่างเหลือเชื่อ

ขณะนี้ในประเด็น “เกม” แล้ว พรรค ประชาธิปัตย์ยกชั้นจากฝ่ายรับทางการเมือง มาเคียงคู่ แบบหายใจรดคอรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ให้อึดอัด นับจากนี้ พรรคประชาธิปัตย์พูด ประชาชนย่อมรอฟัง และเมื่อเติมเชื้อร้ายการโกงด้านอื่นๆ ของรัฐบาล ย่อมทำให้ลด ทอนความน่าเชื่อถือของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้อย่างระทึกและหวั่นไหว คงจำกันได้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ดำเนินกลยุทธ์ทางการเมืองทุกช่วงสถานการณ์ ไม่ว่าอยู่ในฐานะรัฐบาลหรือเป็นฝ่าย ค้าน บทบาทที่พรรคนี้ถนัดคือ สร้างความเลวร้ายให้ฝ่ายตรงข้ามเสมอ เพราะคำนึงถึง เป้าหมายชนะเป็นสิ่งสูงสุด ดังนั้น พรรคนี้จึงเต็มไปด้วยชุดความคิด “วิธีการอะไรก็ได้ ขอให้ชนะ ย่อมเป็นคุณธรรมทางการเมือง ทั้งสิ้น”

แนวโน้มการสร้างเรื่องร้ายๆ เข้ากัน ได้ดีกับประชาชนที่ “อินกับละครน้ำเน่า” ดังนั้นการลดทอนผลงานรัฐบาลในทุกกรณี ทั้งเปิดปมสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ เป็นเนื้องานที่จะสร้างให้รุนแรงยิ่งขึ้นได้ไม่ยากหรือขยายผล “ทุจริตนโยบายจำนำข้าว” ยังเป็นประเด็นต่อเนื่องที่พรรคประชาธิปัตย์เตรียมพร้อมผุดขึ้นมาได้ทุกเมื่อ ประกอบกับพรรคประชาธิปัตย์ถนัดการประติดประต่อ ผสมส่วนการทุจริตเข้าสู่การโยกย้ายข้าราชการได้อย่างมึนๆ รวมความแล้ว หากปัดคุณธรรมทางการเมืองแบบ ประชาธิปไตยสากลออกไปแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่กับพรรคประชาธิปัตย์คือ ความมึนราว กับหน้ามืดได้ชัยชนะทางการเมืองในอนาคตสิ่งเหล่านี้ ล้วนไหลมากับน้ำ จนพรรค ประชาธิปัตย์มีพลังฟื้นขึ้นมาผุดเกมการเมือง ทำลายล้างตามบทถนัด ในส่วนรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ไม่มีทางเลี่ยงต้องถูกชุดข้อมูลโกงคอยหลอกหลอนให้ผวาแตกตื่นเป็นแน่สมรภูมิ “ซักฟอก” งวดนี้ หากประเมิน เพียงเกมล้วนๆ คอการเมืองซาดิสต์คงสมใจ แน่ กับเชื้อร้ายที่ไหลปะปนมากับวิกฤติน้ำท่วมปี 2555 มนุษย์เอาชนะธรรมชาติได้ยากลำบาก แต่ห้ำหั่นเอาชนะกันทางการเมือง เป็นการง่ายได้เสมอ

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

2 สิ่งที่ทำให้ Apple ต่างจากแบรนด์อื่น !!?


โฟกัส และ "การเป็นคนแรก" เป็น 2 สิ่งที่ทำให้ "แอปเปิล" ต่างจากแบรนด์อื่นๆ ถอดบทเรียนความสำเร็จ-ความล้มเหลวบนย่างก้าวของสารพัดแบรนด์ดัง

ที่ผ่านมา ผู้คนมักสับสนกับความเป็นแบรนด์ของบริษัท (company brand) กับแบรนด์ผลิตภัณฑ์ (product brand) ซึ่งเป็นเหมือน 2 เสาหลักแห่งความสำเร็จ แม้หลายๆ องค์กรจะสร้างแบรนด์ให้บริษัทได้ แต่กลับไม่สามารถปั้นแบรนด์ให้ผลิตภัณฑ์ประสบความสำเร็จได้ ผิดกับ "แอปเปิล" อาณาจักรเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่สามารถใช้ความเป็นแบรนด์ของบริษัทและแบรนด์ผลิตภัณฑ์เกื้อหนุนกันได้อย่างลงตัว จนขึ้นแท่นบริษัทที่มีมูลค่ามากสุดในโลกกว่า 6 แสนล้านดอลลาร์

ที่จริงแล้ว แบรนด์ดังอย่าง "พรอคเตอร์แอนด์แกมเบิล" (พีแอนด์จี) ก็มีแบรนด์บริษัทที่แข็งแกร่ง ไม่แพ้ "แอปเปิล" แต่พีแอนด์จีทำแบบที่แอปเปิลทำไม่ได้ นั่นคือ การนำแบรนด์บริษัทที่ทรงพลังมากระตุ้นผู้บริโภคให้ซื้อแบรนด์สินค้าหลากหลายในมือ ทั้งไอพอด ไอโฟน และไอแพด หรือกรณีของ "จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน" ที่แบรนด์บริษัทเข้มแข็ง แต่ก็มีผลต่อผู้บริโภคไม่มากนัก

คำถาม คือ จะมีผู้บริโภคสักกี่คนที่พกความตั้งใจตั้งแต่ก่อนออกจากบ้าน ว่าจะต้องซื้อสินค้าของบริษัทพีแอนด์จี ยูนิลีเวอร์ เป๊ปซี่โค หรือเจนเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม)

อาจมีกลยุทธ์การตลาดหลายอย่างที่ช่วยสร้างแบรนด์ให้บริษัทได้ ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารวัฒนธรรมองค์กร ความห่วงใยด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ความรับผิดชอบต่อสังคม จุดยืนที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้บริโภค ความเชื่อที่มีต่อนวัตกรรม การเปิดตัวผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีไซน์ทันสมัยและใช้งานได้ดี แต่แม้จะทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้จนครบ บางทีก็อาจไม่ได้ช่วยให้สร้างแบรนด์บริษัทสำเร็จเสมอไป

ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การไม่ติดโผฟอร์จูน 500 เพราะแบรนด์ดังเหล่านี้เป็นเพียงส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็ง บริษัทอเมริกันขนาดใหญ่ที่มีพนักงานกว่า 500 คน มีมากถึง 17,509 แห่ง จ้างพนักงานมากถึง 58.2 ล้านคน และจ่ายค่าเหนื่อยพนักงานรวมกันราว 2.7 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี หมายความว่า ไม่ได้มีพื้นที่เหลือมากนักสำหรับผู้บริโภคที่จะใส่ใจทุกรายละเอียดของบริษัทเหล่านี้ และผู้คนส่วนใหญ่ก็ก็ไม่ได้สนใจบริษัทสักเท่าไร พวกเขาสนใจเฉพาะตัวผลิตภัณฑ์ และแบรนด์สินค้าที่ตัวเองซื้อ ดังนั้น การมีแบรนด์บริษัทที่แข็งแกร่ง จึงหมายถึงสินทรัพย์มูลค่ามหาศาล

บริษัทระดับตำนานอย่าง "ดิสนีย์" และ "แอปเปิล" ขึ้นชื่อว่าประสบความสำเร็จในการสร้างแบรนด์อย่างมาก เพราะต่างก็มีแบรนด์บริษัทที่แข็งแกร่ง โดยทั้ง 2 บริษัทมี 2 ปัจจัยที่เหมือนกัน นั่นคือ 1.การมีโฟกัสที่ชัดเจน และ 2.มาเป็นคนแรก

อย่างกรณีของแอปเปิล โฟกัสอยู่ที่ผลิตภัณฑ์ไฮเทค อีกทั้งแอปเปิลยังบุกเบิกผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงและเป็นมิตรกับผู้บริโภคเป็นรายแรก ทั้งในตลาดเครื่องเล่นเอ็มพี 3 สมาร์ทโฟนทัชสกรีน และคอมพิวเตอร์แท็บเล็ต ส่วนดิสนีย์มีโฟกัสที่ความสนุกและจินตนาการ รวมทั้งเป็นรายแรกในเรื่องภาพแอนิเมชั่น และสวนสนุกแฟนตาซี

ผู้คนในแวดวงการตลาดรู้ดีถึงความสำคัญของการมาเป็น "คนแรก" แต่มีไม่กี่คนที่มองเห็นความสำคัญของ "โฟกัส" ซึ่งนี่เป็นตัวแปรที่ทำให้แต่ละแบรนด์แตกต่างกัน

ยกตัวอย่างพีแอนด์จี ที่เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เป็นรายแรกในหลายๆ แคธิกอรี แต่พีแอนด์จีไม่ได้มีสาวกในแบบที่แอปเปิลหรือดิสนีย์ทำได้ เพราะพีแอนด์จีไม่มีโฟกัส บริษัททำตลาดสินค้าแทบทุกสิ่งอย่าง ตั้งแต่เครื่องสำอาง เครื่องโกนหนวดไฮเทค ไปจนถึงสบู่ และผลิตภัณฑ์โลว์เทคอื่นๆ

อีกแบรนด์ที่น่าศึกษา คือ ยาฮู ซึ่งใช้ชื่อเดียวเป็นทั้งแบรนด์บริษัทและแบรนด์สินค้า หรือเรียกว่า 2 อิน 1 เช่นเดียวกับแบรนด์อีกมากมาย ทั้งเจนเนอรัล อิเล็กทริก โคคา-โคลา โตโยต้า และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความสับสน

สถานการณ์ที่ยากลำบากของยาฮูสะท้อนผ่านตัวซีอีโอ 6 คน ในรอบ 5 ปี "มาริสสา เมเยอร์" เป็นผู้นำหญิงคนล่าสุด ที่ต้องรับมือกับยอดโฆษณาแบบดิสเพลย์ที่ลดลงจาก 18.4% ในปี 2551 เหลือ 9.1% ในปีนี้ เนื่องจากยาฮูก้าวพลาด 2 เทรนด์ที่สำคัญในโลกอินเทอร์เน็ต ได้แก่ เครือข่ายสังคม และการขยับสู่อุปกรณ์พกพา

ยาฮู เลือกที่จะเก็บความเป็นแบรนด์สินค้าที่โฟกัสไอเดียดั้งเดิม มากกว่าการขยายไปสู่พัฒนาการอื่นๆ บนอินเทอร์เน็ต จึงไม่น่าแปลกใจที่ทุกวันนี้ผู้คนคลิกไปอะเมซอนดอทคอม เวลาที่อยากซื้อของ เลือกไปกูเกิลในยามที่ต้องการค้นหาข้อมูล เข้าเฟซบุ๊คเมื่ออยากติดต่อเพื่อนฝูง ไปกรุ๊ปปองถ้าหากอยากได้ข้อเสนอสุดคุ้ม และจบที่ทวิตเตอร์ เวลาที่อยากส่งหรืออ่านข้อความสั้นๆ

นี่ทำให้ยาฮูประสบความสำเร็จเพียงระยะสั้นๆ เพราะสร้างแบรนด์ที่อิงกับการเสิร์ชข้อมูล แต่ล้มเหลวในระยะยาว เพราะไม่สามารถสร้างความแตกต่างระหว่างบทบาทของแบรนด์สินค้า กับแบรนด์บริษัท ทั้งที่ยาฮูควรโดดเข้าหาพัฒนาการใหม่ๆ บนโลกอินเทอร์เน็ต พร้อมกับกลยุทธ์ใหม่ๆ และแบรนด์ใหม่

อนาคตบริษัทที่มีหลากหลายแบรนด์จะมีความสำคัญมากขึ้น แต่ก็จำเป็นต้องมีโฟกัสที่ชัดเจน ลองเปรียบเทียบโฟกัสของแอปเปิลและบริษัทไฮเทครายอื่นๆ จะทำให้เห็นความแตกต่าง

ไมโครซอฟท์ เป็นบริษัทซอฟต์แวร์ที่วอกแวกมองข้างทางมาตลอดหลายปี เพราะต้องการพัฒนาฮาร์ดแวร์ เห็นได้จากเครื่องเล่นเพลงซูน (Zune) คอนโซลเกมเอ็กซ์บ็อกซ์ แท็บเล็ตเซอร์เฟซ และแยมเมอร์ เว็บเครือข่ายสังคมสำหรับองค์กร เช่นเดียวกับกูเกิลที่พยายามจะลงหลักปักฐานกับการเป็นแบรนด์ฮาร์ดแวร์ ผ่านแท็บเล็ตเน็กซัส สมาร์ทโฟนโมโตโรลา

ขณะที่ เดลล์และฮิวเลตต์-แพคการ์ด (เอชพี) 2 บริษัทฮาร์ดแวร์ที่เคยยิ่งใหญ่ กลับพยายามจะรุกคืบในธุรกิจซอฟต์แวร์ เพราะเล็งเห็นว่าจะไม่สามารถทำเงินจากธุรกิจฮาร์ดแวร์ได้เป็นกอบเป็นกำ

แต่แอปเปิล มีจุดเริ่มต้นมาจากการผลิตฮาร์ดแวร์ และดำเนินมาถึงตอนนี้ หากต้องการสร้างแบรนด์บริษัทที่เข้มแข็ง ก็จำเป็นต้องมีโฟกัสที่แคบ ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับการสร้างแบรนด์สินค้าให้แข็งแกร่ง

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2555

ดับเครื่องเข้าเสย !!?

แต่ทุกอย่าง “เดอะตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ ว่าที่ “รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย” หรือ “มท.๒” ..เขาก็เปิดเผย
“ภรรยา” มีกี่คน ก็แจ้งให้สังคมรับทราบ
ไม่ปกปิดอำพราง ซ่อนอย่างนักการเมืองบางพรรค หรอกครับ
อีกทั้งไม่เคย “ตีท้ายครัว” ชิงเมียเพื่อน มานอนกกกอด ให้เกิดประวัติกระด่างกระดำ
เปิดโปง “ตู่-จตุพร”...แต่ไฉนถึงได้ย้อน..กระดอนเข้าตัวเอง ซะมิดด้าม

+++++++++++++++++++++++++++++++++

“ธุรกิจ” อำพราง
หากเจาะเวลาหาอดีต ดูการแต่งงาน ของ “อดีตรัฐมนตรีหลายคน”..ล้วนตกแต่งเพื่อหาสตางค์
บางคนเคยคุ้ม “สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค” มาก่อนนะลุง..
มี “เจ้าพ่อบ้านสรรจัด” ระดับล่าง ระดับกลาง ซึ่งเป็นมือหนึ่งตลาดหลักทรัพย์..ใส่ซองช่วยงานทีละเป็นล้าน เป็นการ “คอรัปชั่น” ระดับสูง
เหตุการณ์ถึงจะผ่านมา อยากให้ “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ “ป.ป.ช.”เข้าไปสอบ
เรื่องของรัฐบาลเก๊า..เก่า..แต่ทำเรื่องงี่เง่า...ต้องเล่นงานเค้า เพราะทำตัวเป็นผีปอป

+++++++++++++++++++++++++++++++++++

แก้หนี้สินอย่างเด็ดขาด
เดินหน้าเต็มร้อย สำหรับ “คุณพี่ฉลาด ขามช่วง” สส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานกรรมาธิการ แก้ปัญหาหนี้สินแห่งชาติ
ด้วยปัญหาหมักหมม จาก กองทุนกู้ยมเพื่อการศึกษา “กยศ” มีหนี้ค้างสะสมยอดสูงโด่ง ๘หมื่นล้าน
ผู้จบหลักสูตรการศึกษา ไม่สามารถปลดเปลื้องชำระได้..จำเป็นต้อง “พักหนี้สิน กยศ เหมือนกับที่ “พักหนี้เสีย” เกษตรกรเอาไว้ ..ดังที่ “กรรมาธิการแก้ปัญหาหนี้สินแห่งชาติ” เคยพักชำระมาก่อน ไงล่ะท่าน
เรื่องใหญ่อีกเรื่อง ที่ “ประธานฯฉลาด ขามช่วง” ลุยไม่เลี้ยง การตรวจสอบการใช้เงิน ๓.๕ แสนล้านบาท งบการป้องกันน้ำท่วม ไม่ยอมให้มีการ “รั่วไหล” เสร็จสรรพ
ใครมาโกงกินหรือตักตวง... “ท่านฉลาด ขามช่วง”...ไม่ยอมปล่อยเงินหลวง ถูกโกงได้หรอกครับ

+++++++++++++++++++++++++++++++

ว่าเขาอิเหนาเป็นเอง
ไม่เคยสำรวจกำพืดตัวเอง ว่าแสนจะเส็งเคร็ง
ใครกันหนอ ที่ไปถ่ายรูป กับ “บังรอน” พ่อค้ายาเสพติดระดับโลก ดูแล้วเป็นการจุนเจือ
เที่ยวไปฟ้องศาล?.. เพื่อเกื้อกูลคดี “ฆ่าตัดตอน”ที่กลุ่ม “ค้ายาเสพติด” ฆ่ากันเองเป็นเบือ
จริงอยู่เราไม่รู้ว่า ใครค้ายาเสพติด..แต่เมื่อพฤติการณ์ของเขาเปิดโปงแล้ว..เราควรที่จะหยุด
พฤติการณ์มันชัด...ยังไม่ช่วยนี่ช่างบ้าชะมัด...ดูแล้วให้ขัดหูขัดตาเป็นที่สุด

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ผลงานเด่น
เรื่องปราบปรามยาเสพติด ของ “บิ๊กออฟ” พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร.ใครก็เห็น
หลายฝ่ายต่างเข็น ที่จะให้ “พล.ต.อ.เพรียวพันธ์” เป็นตัวเลือก ชิง “ผู้ว่าฯ กทม.”
เท่าที่รู้ “บิ๊กออฟ” บอกต่อคนใกล้ชิด ว่าตนเองนั้น ขอปฏิเสธ “ตามคำขอ”
เรื่องการเป็น “ผู้ว่าฯ กทม.” ปล่อยให้ “นักการเมืองมืออาชีพ” เขาชิงธงกันไป
“บิ๊กออฟ”เป็นมือปฏิบัติ...เรื่องชิงเก้าอี้ท่านไม่ถนัด..ฉะนั้นใครอย่ามายัดเหยียดให้


โดย:คอลัมน์ ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

โกร่ง.เตือนแบงก์รับมือ AEC หวั่น เงินฝาก ไหลออก เฟอร์นิเจอร์-ปิโตรฯหนัก !!?

“โกร่ง” มองหลังเปิดเออีซี แบงก์ไทยเสียเปรียบแข่งขันเงินฝากไหลไปแบงก์ต่างประเทศ แนะปรับให้สอดคล้องกัน พร้อมประเมินผลงานผู้ว่า ธปท.แต่อุบไม่เปิดเผย "บัณฑิต" ชี้ผู้ประกอบการไทยหาประโยชน์จากการเปิดเออีซี

นายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงานปาฐกาพิเศษเรื่อง “เพิ่มพลังขีดแข่งขันรับบริบทใหม่ AEC” ว่า หลังเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 จะเกิดการไหลของปริมาณเงินฝากไปยังสถาบันการเงินต่างประเทศที่ไม่มีภาษีเงินฝาก ทำให้สถาบันการเงินไทยเสียเปรียบการแข่งขัน

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องการปรับโครงสร้างภาษี เช่น ภาษีเงินปันผล ซึ่งหากไทยยังมีอัตราภาษีสูง ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ไม่มีภาษี ทำให้เงินไหลไปลงทุนในประเทศที่ไม่มีภาษี เช่น ในฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย แม้ว่าขณะนี้ภาษีเงินได้นิติบุคคลของไทยจะได้ปรับลดเหลือ 23% ในปี 2555 และเหลือ 20% ในปี 2556 และจะมีการพิจารณาเรื่องภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งปัจจุบันมีอัตราภาษีสูงถึง 37% ก็ต้องเปรียบเทียบกับประเทศอื่นในอาเซียนเพื่อไม่ให้เกิดความแตกต่างกันมากด้วย

“ข้อแตกต่างด้านกฎระเบียบของแบงก์ไทยและแบงก์ในอาเซียนจำเป็นจะต้องทำให้สอดคล้องกัน เพื่อลดความได้เปรียบเสียเปรียบทางด้านการแข่งขัน แต่เชื่อว่าที่ประชุมธนาคารกลางอาเซียนคงมีการหารือในเรื่องนี้กันมามากแล้ว” นายวีรพงษ์ระบุ

พร้อมกันนี้ นายวีรพงษ์ยังเปิดเผยภายหลังการประชุม กกธ.เพื่อประเมินผลการทำงานของนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธปท. ว่า เรื่องนี้ถือเป็นความลับ คงไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ แต่โดยภาพรวมส่วนตัวอยากเห็น ธปท.เป็นองค์กรขุมทางวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์มหภาคและนโยบายการเงิน ที่สามารถอธิบายต่อสาธารณชนได้ชัดเจน โดยเฉพาะในการดำเนินนโยบายการเงิน เพราะเป็นเกียรติภูมิที่สำคัญของ ธปท.

ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า อุตสาหกรรมไทยที่ได้โอกาสจากการเปิด AEC คือกลุ่มยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เนื่องจากตลาดที่ใหญ่ขึ้น ทำให้สามารถส่งออกได้มากขึ้น แต่กลุ่มที่เสียโอกาส คือเฟอร์นิเจอร์ เนื่องจากลูกค้ามีทางเลือกมากขึ้น ส่วนกลุ่มที่เสียเปรียบอยู่แล้วและจะเสียเปรียบมากขึ้น คือกลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี เนื่องจากต้องแข่งขันกับประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย ที่มีความแข็งแกร่งในอุตสาหกรรมนี้อยู่แล้ว

นายบัณฑิต นิจถาวร กรรมการผู้อำนวยการ สมาคมส่งเสริมสถาบันบริษัทไทย เปิดเผยว่า ในโอกาสที่จะมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 นี้ นับเป็นโอกาสอันดีที่ผู้ประกอบการไทยจะได้หาตลาดใหม่ๆ ในการลงทุน ซึ่งผู้ประกอบการขนาดใหญ่นั้นไม่ค่อยน่าเป็นห่วงนักในเรื่องของความพร้อมสำหรับการหาประโยชน์จากเออีซี แต่ผู้ประกอบการขนาดเล็กนั้นค่อนข้างน่าเป็นห่วง

“ส่วนตัวคิดว่าเออีซีจะทำให้ผู้ประกอบการไทยได้รับประโยชน์ แต่ก็มีความกังวลในเรื่องของผู้ประกอบการขนาดเล็กที่อาจจะไม่สามารถแสวงหาโอกาสจากการเปิดเออีซีได้ เนื่องจากความไม่พร้อม ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่ผู้ประกอบการขนาดเล็กจะต้องหันมาให้ความสนใจกับการยกระดับผลิตภัณฑ์ และพัฒนาองค์กรให้อยู่ในเกณฑ์ที่สามารถแข่งขันได้”

นายพิชัย ชุณหวชิร นายกสภาวิชาชีพบัญชีในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยว่า การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนถ้าจะให้ดี ไทยกับประเทศในกลุ่มอาเซียนจะต้องร่วมมือกันทำการค้า และเปิดตลาดร่วมกัน ดีกว่าที่จะแสวงหาประโยชน์จากการค้ากันเองภายในกลุ่ม โดยตลาดที่ใหญ่และใกล้อาเซียนอย่างจีน กำลังอยู่ในช่วงดำเนินการพัฒนาและยกระดับพื้นที่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้อย่างในมณฑลกานซู กวางตุ้ง เซี่ยงไฮ้.

ที่มา.ไทยโพสต์
____________________________________________________________________________

สัปดาห์ร้อนของยูโรโซน !!?



สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ร้อนของยูโรโซน มีหลายเหตุการณ์สำคัญที่จะชี้ชะตาการคลายปมวิกฤติหนี้ 17 ชาติยุโรป

สัปดาห์นี้ เป็นสัปดาห์อันตรายสำหรับยูโรโซน เนื่องจากเต็มไปด้วยเหตุการณ์สำคัญๆ ที่อาจส่งผลต่อการแก้ไขวิกฤติหนี้สาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นการพิพากษาของเยอรมนี การลงคะแนนของเนเธอร์แลนด์ การตรวจสอบของไอเอ็มเอฟ และผู้คุมกฎระเบียบของเบลเยียม

วันพุธที่ 12 กันยายน เป็นวันที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นกำหนดที่ศาลรัฐธรรมนูญเยอรมนีจะตัดสินว่า กองทุนถาวรช่วยเหลือยูโรโซน หรือที่รู้จักกันในนาม กลไกรักษาเสถียรภาพยุโรป (อีเอสเอ็ม) เป็นกองทุนที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ขณะที่คณะกรรมาธิการยุโรป (อีซี) ก็จะเปิดเผยรายละเอียดแผนการสำหรับสหภาพธนาคารยูโรโซน และเนเธอร์แลนด์จัดการเลือกตั้งทั่วไป

จากนั้น ในวันศุกร์ที่ 14 กันยายน คณะรัฐมนตรีคลังยุโรปจะประชุมร่วมกันที่ไซปรัส เพื่อหาทางขจัดความเห็นแตกต่างเกี่ยวกับการกำกับดูแลธนาคาร และความเป็นไปได้ที่จะให้ความช่วยเหลือพิเศษแก่ สเปน ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 4 ของยูโรโซน และกรีซ ประเทศต้นตอการเกิดวิกฤติ

การตัดสินใจเกี่ยวกับสเปน และกรีซ มีแนวโน้มว่าจะยังไม่เกิดขึ้นก่อนเดือนตุลาคม แต่การเจรจาของเหล่ารัฐมนตรีคลังอาจมุ่งประเด็นว่า สเปนจะขอความช่วยเหลือจากยุโรปหรือไม่ แลกกับเงื่อนไขที่ไม่พึงประสงค์และการกำกับดูแล และอีกประเด็น คือ คณะผู้ตรวจสอบของสหภาพยุโรป (อียู) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) มีแนวโน้มช่วยให้กรีซอยู่รอดต่อไปหรือไม่

ช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ยุโรป ต้องกลั้นใจรอคำตัดสินของศาลเยอรมนี ซึ่งมีอำนาจมากพอที่จะชี้ชะตาอีเอสเอ็ม และข้อตกลงรักษาวินัยงบประมาณ แม้ผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายส่วนใหญ่คาดว่า ศาลเยอรมนีจะอนุญาตให้เดินหน้าจัดตั้งกองทุนอีเอสเอ็ม แต่ก็เชื่อว่าจะต้องมีเงื่อนไขอย่างเข้มงวดสำหรับการให้ความช่วยเหลือในอนาคต

ผลการตัดสิน อาจทำให้นายกรัฐมนตรี "แองเกลา แมร์เคิล" แห่งเยอรมนี ทำอะไรไม่ถนัดนัก หรืออย่างน้อยก็ทำให้การสนับสนุนแผนการช่วยเหลือเป็นไปอย่างยากลำบากขึ้น ดูจากการต่อต้านของสาธารณชนต่อการตัดสินใจของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ในการซื้อพันธบัตรของประเทศที่มีความสุ่มเสี่ยง

หากศาลรัฐธรรมนูญคัดค้านอีเอสเอ็ม ก็จะส่งผลกระทบรุนแรงต่อตลาดพันธบัตรและเงินตรา ทำให้ยูโรโซนประสบความยุ่งยากมากขึ้น จากความเคลือบแคลงถึงการให้ความช่วยเหลือประเทศสมาชิกทางตอนใต้ที่แบกภาระหนี้สินก้อนโต

แต่หากศาลรัฐธรรมนูญ เปิดไฟเขียวแบบมีเงื่อนไข ก็อาจสร้างทำให้การบริหารจัดการวิกฤติซับซ้อนขึ้น โดยเงื่อนไขอาจเป็นการให้สิทธิวีโต้แก่รัฐสภา ในการให้ความช่วยเหลือแต่ละครั้ง หรือกำหนดเพดานความรับผิดชอบของเยอรมนี ต่อภาระหนี้สินของประเทศอื่นๆ ในยูโรโซน

ผลสำรวจความเห็นผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายโดยสำนักข่าวรอยเตอร์ ประมาณ 1 ใน 4 คาดว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะระบุว่า การรวมตัวของยุโรปมาถึงจุดที่กฎหมายพื้นฐานของเยอรมนีกำหนดไว้แล้ว การผนึกกำลังใดๆ ที่ลึกซึ้งขึ้นจะต้องผ่านการลงประชามติสำหรับรัฐธรรมนูญใหม่

ด้านเนเธอร์แลนด์ ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ดูเหมือนการเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้จะลงเอยด้วยอัมพาตทางการเมือง หรือรัฐบาลต้องตกเป็นทาสของกลุ่มระแวงยูโรซ้ายจัดหรือขวาจัด ซึ่งจะทำให้การสนับสนุนจากรัฐสภาในการช่วยเหลือยูโรโซนในอนาคตเป็นเรื่องแทบเป็นไปไม่ได้

แต่การสำรวจความเห็นล่าสุด พบว่า พรรคลิเบอรัลสายกลางขวา ของนายกรัฐมนตรีรักษาการ "มาร์ก รัทเทอ" และพรรคแรงงานสายกลางซ้าย มีคะแนนสูสีกัน ขณะที่เสียงสนับสนุนพรรคประชานิยมซ้ายจัดและต่อต้านผู้อพยพ มีกระแสแผ่วลง บ่งชี้ว่าเนเธอร์แลนด์อาจได้รัฐบาลผสมที่สนับสนุนยุโรป

ถึงอย่างนั้น อาจต้องใช้เวลานานหลายเดือนในการเจรจา ก่อนที่เนเธอร์แลนด์จะมีรัฐบาลที่มีอำนาจเต็ม ก่อให้เกิดข้อสงสัยถึงความสามารถของประเทศแห่งนี้ ในการที่จะตกลงใดๆ ต่อขั้นตอนการรวมยูโรโซนใกล้ชิดยิ่งขึ้น

ขณะเดียวกัน ข้อเสนอจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลธนาคารร่วมโดยอิงจากอีซีบี และระบบแก้ปัญหาธนาคารในอนาคต ที่ "โฮเซ มานูเอล บาร์รอสโซ" ประธานอีซี จะเปิดเผยรายละเอียดในวันพุธนี้ (12 ก.ย.) มีความขัดแย้งเกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว

เยอรมนี ซึ่งต้องการสงวนสิทธิควบคุมธนาคารของรัฐ และธนาคารออมทรัพย์ ยืนยันว่า อีซีบี ควรกำกับดูแลเฉพาะธนาคารข้ามชาติชั้นนำ 25 ราย และปล่อยที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของผู้ควบคุมกฎระเบียบในประเทศ โดย "วูล์ฟกัง ชอยเบิล" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเยอรมนี กล่าวว่า อีซีบี ไม่สามารถดูแลธนาคารทั้งหมด 6,000 แห่งทั่วยูโรโซน

แต่อีซี และอีซีบี ต้องการคณะกรรมการกำกับดูแลชุดใหม่ที่มีอำนาจสอดส่องผู้ปล่อยกู้ทั้งหมด และมีแนวโน้มว่านายธนาคารส่วนใหญ่จะเห็นพ้องด้วย

สถานการณ์ของยูโรโซนจะไปในทิศทางใด อีกไม่กี่วันนี้ก็จะได้รู้กัน


ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

มติ : วุฒิสภา ถอดถอน สุเทพ ผจญปัจจัยเสี่ยงสูงร้อนรนและกลัดกลุ้ม !!?

ยังไม่รู้แน่ชัดว่า วุฒิสภาจะลงมติ ตัดสินอนาคตทางการเมืองของนาย สุเทพ เทือกสุบรรณ เมื่อใด แต่ปฏิทินคร่าวๆ ที่นายนิคม ไวยรัชพานิช ประธาน วุฒิสภากำหนดไว้คือ 18 กันยายน นี้ วุฒิสภาคงต้องลงมติถอดถอนนายสุเทพออกจากตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่

อันที่จริง ปัจจุบันนายสุเทพมีตำแหน่ง ทางการเมือง (ชัดเจน) เพียงตำแหน่งเดียว คือ เป็น ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ แต่ตำแหน่งที่ต้องถูกถอดถอนนั้น กลับเป็นตำแหน่ง ็รองนายกรัฐมนตรีิ เมื่อปี 2552 ซึ่งเป็นเรื่องเก่า ราวกับเป็นกรรมติดจรวดตามมาเอาคืนในปี 2555 ซ้ำร้ายเจ้ากรรมนายเวรกลับเลือกเวลาเอาคืนในยามที่นายสุเทพเป็นพรรคฝ่ายค้าน ไร้อำนาจวาสนาปกป้องตัวเองอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม การลงมติถอดถอนนายสุเทพของวุฒิสภาในปี 2555 กลับพัวพันและลากโยงไปกระทบกับตำแหน่ง "ส.ส." ในปัจจุบันอย่างยากจะหลีกเลี่ยงได้นั่นเป็นเพราะ ในผลบังคับของรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 105 (5 และ 6) ประกอบด้วยมาตรา 102 มาตรา 266 และ มาตรา 268 กำหนดลากโยงกันจนงงงวย แต่สรุปสั้นๆ ได้ว่า หากผลการประชุม วุฒิสภามีมติถอดถอนนายสุเทพแล้ว เขาต้องพ้นจากตำแหน่ง ส.ส.และถูกเว้นวรรค ทางการเมือง 5 ปีด้วยต้องขีดเส้นหนาๆ ใต้ "ตำแหน่ง ส.ส." เพราะถ้านายสุเทพพ้นจาก ส.ส. เท่ากับไม่มี "เอกสิทธิ์คุ้มครอง" ไร้เกราะปกป้องตัวจากคดีความข้อหาหนักๆ หลาย คดีที่เขาต้องผจญในปัจจุบัน

นายสุเทพคงถูกอำนาจโดดเดี่ยว และ อาจร้อนรนกับความผิดต่างๆ ที่หวนย้อนกลับมาเล่นงาน แน่ล่ะเป็นธรรมดาของมนุษย์ นายสุเทพต้องป้องกันตำแหน่ง ส.ส. ไว้เป็นเกราะป้องกันภัยของตัวเองจนสุดกำลังมีถึงที่สุดจำนวนเสียงของวุฒิสภาที่จะลงมติถอดถอนจึงเป็นเพียงช่องทางเดียวที่เปิดโอกาสให้นายสุเทพได้ดิ้นรนต่อสู้เพื่อเก็บตำแหน่ง ส.ส.ให้อยู่รอดปลอดภัย

"สุเทพ" คงเหนื่อยน่าดูชมเลยละ...ย้อนกลับไปต้นทางปัญหาที่นำไปสู่เรื่องราวให้วุฒิสภาต้องออกแรง ็ถอดถอนิ ในอนาคตอันใกล้นี้ต้นปัญหาเกิดจากนายสุเทพเมื่อสมัยเป็นรองนายกรัฐมนตรีในปี 2552 เขา ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีส่ง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์จำนวน 19 คนไปช่วยงานในกระทรวงวัฒนธรรม จนทำให้คณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตั้งกรรมการสอบสวนเอาผิด

ผลการสอบสวนของ ป.ป.ช.เป็นที่สิ้นสุดเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2555 ว่า นายสุเทพมีความผิดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 268 ประกอบมาตรา 266 (1) เพราะ ไป "ก้าวก่ายหรือแทรกแซง" การปฏิบัติราชการเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ของ ผู้อื่น ของพรรค ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมสงสัยกันทั่วบ้านทั่วเมือง เพราะคน ธรรมดาทั่วไปเข้าใจว่า ป.ป.ช. มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับพรรคประชาธิปัตย์ด้วยดีและไม่เสื่อมคลายอำนาจเสมอมา แต่ด้วยเหตุผลแห่ง "อำนาจ" อีกเช่นกันจึงทำให้นายสุเทพต้องถูก ป.ป.ช. เล่นงานอย่างเจ็บปวดและยิ่งเจ็บร้าวลึกๆ ชนิดต้องจดจำ เมื่อถูกนายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการและโฆษก ป.ป.ช. แถลงเอาผิด ด้วยการงัดพจนานุกรมมาเทียบเคียงถ้อยคำ "ก้าวก่าย" และ "แทรกแซง" แล้วนำไปชี้มูลความผิดเล่นงานนาย สุเทพว่า กระทำการขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 268 และมาตรา 266 (1)

"พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 คำว่า "ก้าวก่าย" หมายความว่า ล่วงล้ำเข้าไปยุ่งเกี่ยวหน้าที่ ผู้อื่น เหลื่อมล้ำ ไม่เป็นระเบียบ เช่น งาน ก้าวก่ายกัน ส่วนคำว่า "แทรกแซง" หมายความว่า "แทรกเข้าไปเกี่ยวข้องในกิจการของผู้อื่น" นายกล้าณรงค์ ยกพจนานุกรมมามัดความผิดนายสุเทพให้แน่นหนา นาย สุเทพจึงต้องรับกรรมทางการเมืองไปตาม คำนิยามของพจนานุกรม ดุจเดียวกับนาย สมัคร สุนทรเวช ถูกศาลรัฐธรรมนูญเล่นงานมาแล้วในข้อหา "ทำกับข้าวออกโทรทัศน์" นั่นเอง

ผลการชี้มูลความผิดของ ป.ป.ช. จึง นำไปสู่ขั้นตอนวุฒิสภาต้องลงมติถอดถอน ออกจากตำแหน่งทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 270 และ มาตรา 274 ทั้งหมดนั้น ล้วนเป็นปัญหามีต้นทาง อันระทึกของนายสุเทพ และการชี้มูลความผิดของ ป.ป.ช. ชนิดมึนตึ้บทั่วบ้านทั่วเมืองกันทีเดียวต้องเข้าใจว่า ป.ป.ช. ไม่ใช่ศาลสถิตยุติธรรม เป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งของกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเป็นต้นทางนำปัญหาข้อกฎหมายทางการเมืองไปสู่การตัดสินของศาลหรือวุฒิสภาเท่านั้นและที่สำคัญวุฒิสภา ย่อมไม่ได้ทำหน้าที่ของศาลเช่นเดียวกัน ผลการตัดสิน ของวุฒิสภาจึงเป็นเพียงการลงโทษทาง การเมืองไปตามกติกาของรัฐธรรมนูญ 2550 กำหนดหลักเกณฑ์ไว้เท่านั้น

ดังนั้น นายสุเทพจะรอดพ้นจากการ ตัดสินทางการเมืองได้ เขาต้องออกแรงทางการเมืองอย่างหนักด้วยเช่นกันที่แน่ๆ คือ การออกแรงทางการเมือง ย่อมมีนิยามอำนาจเข้าไปเกี่ยวข้องกับปัจจัยกำหนดผลแพ้-ชนะในเชิงตัวเลขการออกเสียงในที่ประชุมวุฒิสภาด้วยเหมือนกันตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 274 กำหนดจำนวนเสียงที่ต้องใช้ถอดถอนไว้มากถึง 3 ใน 5 จากจำนวนที่วุฒิสมาชิกมีอยู่จริง

ข้อเท็จจริงระบุว่า จำนวนวุฒิสภามีจำนวนเต็มทั้งสิ้น 150 คน มาจากการสรรหา 75 คน และมาจากการเลือกตั้งจังหวัดละคนจำนวน 75 คน แต่ปัจจุบันวุฒิสภาเหลืออยู่เพียง 146 คน ดังนั้น จำนวนเสียงที่จะใช้ถอดถอน นายสุเทพให้เป็นผลก็คือ 89 เสียง ซึ่งจัดว่ายาก แต่กลับทำให้นายสุเทพหนาวๆ ร้อนๆ ออกอาการรนๆ อย่างผิดวิสัยของนักการเมืองปากกล้า ผู้มีแต่ความองอาจในทางการเมือง ถ้าถอดแบบจำนวนเสียงวุฒิสภาออกเป็นชิ้นส่วนตามภาคแล้ว พบว่า จำนวนวุฒิสมาชิกสายสรรหา 75 คนนั้น ในจำนวนนี้ 40 คน เป็นเสียงฝ่ายภาคประชาชนที่เอนเอียงไปทางกลุ่มพันธมิตร ประชาธิปไตยเพื่อประชาชนเอามากๆ

โดยเฉพาะในสถานการณ์การเมือง ปัจจุบัน นายสุเทพและพรรคประชาธิปัตย์ นั้น อยู่ในอาการหมางเมินกัน ดังนั้นจำนวน เสียงในส่วนนี้ คงมาสนับสนุนนายสุเทพได้น้อยเต็มทนอย่างยิ่ง เมื่อพิจารณาจากวุฒิสมาชิกสายเลือกตั้ง 75 คนแล้ว แน่นอนสายจังหวัดอีสานและเหนือคงตัดขาดนายสุเทพไปแล้ว ส่วนทางภาคใต้จำนวน 14 คน คงยืนข้างนายสุเทพเช่นกันสิ่งสำคัญตัวเลขจากวุฒิสายภาคกลาง จำนวน 12 คนกับวุฒิสายสรรหาบางส่วน จึงเป็นเป้าหมายการอยู่รอดทางการเมือง ของนายสุเทพ

อนาคตการเมืองของนายสุเทพจะรอดจากถูกถอดถอนคือตัวเลข 14+12+ 9+30+จำนวนที่ต้องโน้มน้าวดึงจากสายวุฒิ 40 อีกบางส่วนตัวเลขทั้งหมดตรงนี้ จึงทำให้นายสุเทพต้องออกแรงกับปัจจัยอย่างมากเพื่อสร้างหลักประกันทางการเมืองอย่างเหนื่อยล้ายิ่ง
ว่ากันว่า ปัจจัยสนับสนุนความมั่นใจ ของนายสุเทพมีตัวเลขสูงพอดูทีเดียว เนื่องจากตัวเลขตามเป้าหมายการตัดสินอนาคตการเมืองอยู่ในอาการค่อนข้าง สุ่มเสี่ยง

เป้าหมายตัดสินอนาคตการเมืองของนายสุเทพมีอยู่ 2 ระดับคือ หนึ่งเขาต้องมีเสียงสนับสนุนมากกว่ากึ่งของจำนวน วุฒิสภา และสองต้องออกแรงอย่างหนักเพื่อไม่ให้เสียงถอดถอนมีถึงจำนวน 89 คน ตามเกณฑ์จำนวน 3 ใน 5 ของมาตรา 274 เพราะอนาคตตามเป้าหมายดังกล่าว นั้น คือ ศักดิ์ศรีทางการเมืองค้ำคอไว้อย่าง น่าระทึกด้วย ถ้านายสุเทพรอดจากถูกถอดถอน แต่ เสียงสนับสนุนไม่ถึงครึ่งของวุฒิสภาแล้ว ศักดิ์ศรีทางการเมืองคงดูไม่จืดค่อนข้างแน่ อนาคตการเมืองของนายสุเทพในยามนี้ ไม่ได้อยู่ที่เสียงถูกถอดถอนจำนวน ไม่น้อยกว่า 89 คน แต่อยู่ที่เสียงสนับสนุน ให้อยู่ต่อจะมีจำนวนเกินครึ่งของวุฒิสภาหรือไม่ถึงที่สุดจะออกมาแบบไหน นายสุเทพ ก็เหนื่อยจนเกิดอาการร้อนรนอย่างยิ่ง

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ไขวิวาทะ : WHITE LIE รัฐปลอบใจตัวเอง !!!?

ใต้ภาวการณ์ทางเศรษฐกิจที่ขยับลงกราวรูด! เวลานี้ทั้งภาครัฐและเอกชนต่างระดม “สรรพกำลัง” เข้ามาจัดการปัญหาเหล่านี้ ที่ล้วนมีผลกระทบต่อเนื่องจากปีนี้ไปจนถึงปีหน้า โดยเฉพาะการปั้นตัวเลขการส่งออก ที่รัฐบาลยังแก้ไม่ตก หลังจากเลวร้ายถึงขีดสุด เพราะโตแค่ 5% เท่านั้น หรือแม้แต่ราคาสินค้าเกษตร ที่วันนี้ยังคงตกต่ำไม่เลิก...

ด้วยเหตุและปัจจัยดังกล่าว พลันให้ “กิตติรัตน์ ณ ระนอง” รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ได้หลุดปาก ฝังกลบความจริงในเรื่องการส่งออก ประกาศชัดว่า...ปีนี้ไทยจะส่งออกได้เกิน 15% ทำให้พรรคการเมือง “ฝ่ายค้าน” ได้ออกมาโจมตีอย่างหนักว่า “ขุนคลัง” ริปั้นตัวเลขทางเศรษฐกิจ ด้วยการยกเอาวลีเด็ด “โกหกสีขาว” ออกมาประจาน และใช้เป็น “จุดอ่อน” ถล่มใส่รัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”

ทั้งหมดทั้งปวง ทำให้ “กิตติรัตน์” ตกอยู่ในภาวะ “กลืนไม่เข้า...คายไม่ออก” ทั้งการตอบคำถามกับสังคม และยังมีกระทู้ถามสดจาก “เกียรติ สิทธีอมร” ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ยังค้างอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร เรื่องนี้แม้จะมองว่า “กิตติรัตน์” มีเจตนาดีที่หวังจะเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนก็ตาม แต่คงรู้แจ้งเห็นชัดว่า ภาคการส่งออกจะโตถึง 15% ในปีนี้... ย่อมเป็นไปไม่ได้! เหนืออื่นใด เรื่องการเติบโตของตัวเลขส่งออก คงมิใช่แค่เรื่องที่ไม่ได้เสียเท่านั้น แต่การคาดการณ์ที่ผิดพลาด ย่อมทำให้การวางแผนบริหารประเทศล้มเหลวไปในคราวเดียวกัน

“สุกิจ คงปิยาจารย์” นายกสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย บอกว่า การประชุมที่รัฐบาลเรียกเอกชนไปร่วมนั้น “ไม่มีอะไรใหม่ พูดเรื่องเดิมๆ ซ้ำซาก” โดยเฉพาะเรื่องตัวเลข 4 เดือน ที่เหลือของปีนี้ ไม่มีผลอะไร เพราะปิดฤดูกาลสั่งซื้อสินค้าไปแล้ว สิ่งที่เอกชนเห็นว่ารัฐบาลควรทำคือมองไปข้างหน้า เพราะปีหน้าจะหนักและเหนื่อยกว่านี้ ส่วนตัวเลขเป้าหมายนั้น จะปรับลดลงเหลือเท่าไร เอกชนไม่สน ขอแค่ว่าภาครัฐจะช่วยทำอะไรให้มากกว่าเดิม สรุปได้ว่าภาครัฐกับเอกชน “พูดกันคนละภาษา” ทั้งๆ ที่ใช้ภาษาไทยเหมือนกัน เพราะทางการต้องการยกตัวเลขอัตราโตของการส่งออกมาเป็น “เป้า” ขณะที่เอกชนมองดูว่าจะ “บริหาร” ให้ผ่านการตกต่ำของการส่งออกได้อย่างไร โดยต้องแยกแยะลงไปที่แต่ละอุตสาหกรรม และแก้ปัญหาด้วยการลงไปลุยในแต่ละจุด รัฐมนตรีหลายกระทรวงจึงพูดกันไปคนละทาง แม้ต่างจะพยายามใช้วิธีการ “ปลอบใจตัวเอง” ว่าสถานการณ์ไม่ได้ย่ำแย่ถึงขนาดนั้น

ด้าน “พรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล” รองประธานกรรมการ “หอการค้าไทย” กล่าวว่า มุมมองภาคเอกชนคงไม่ได้กังวลมากในเรื่องดังกล่าว เพราะที่ผ่านมาก็ได้ระบุตลอดว่าการส่งออกในปีนี้จะไม่ถึงตามเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้แต่แรกอยู่แล้ว แต่ภาครัฐก็ยังยืนยันเป้าหมายดังกล่าวมาตลอด และปฏิเสธที่จะปรับลดเป้าหมายการส่งออกลงตามความเป็นจริง ซึ่งก็เข้าใจว่าส่วนหนึ่งภาครัฐอาจจะยังมีความมั่นใจอยู่ว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายจากที่เขาศึกษาข้อมูลดีอยู่แล้วจึงได้มีการยืนยันหนักแน่น

“การออกมายอมรับว่าต้องโกหกเพื่อสร้างความเชื่อมั่นนั้น คงจะไม่ส่งผลอะไรในครั้งนี้ แต่กังวลว่าในอนาคตหากรัฐบาลตั้งเป้าหมายอะไรขึ้นมาก็จะไม่มีใครให้ความเชื่อมั่นหรือให้ความไว้วางใจ เพราะไม่แน่ใจว่าจริงหรือเท็จ ซึ่งหากภาครัฐทำอย่างนี้บ่อยๆ ตัวเลขอะไรที่ออกมาจากภาครัฐมันจะไม่น่าเชื่อถือซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงโดยเฉพาะเครดิตของรัฐบาลในอนาคต”

ขณะที่ “รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์” นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง ย้ำหัวตะปูว่า รัฐบาลต้องพูดความจริง เพราะนักลงทุนเชื่อข้อมูลของรัฐบาลเป็นหลัก แต่การที่รัฐบาลออกมาบอกว่าตัวเลขเศรษฐกิจของรัฐบาล เป็นการ “โกหกสีขาว” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนนั้น เป็นสิ่งที่ไม่น่าถูกต้อง และในระยะต่อไปข้อมูลของรัฐบาลจะไม่ได้รับความเชื่อถือจากนักลงทุนอีกต่อไป

“การตั้งเป้าเศรษฐกิจของรัฐบาลที่จะมองเป็นภาพทางบวกนั้นไม่ใช่เรื่องผิดแต่ตัวเลขที่ประเมินต้องใกล้เคียง กับความเป็นจริงมากที่สุด และสุดท้ายเมื่อมีแนวโน้มว่าตัวเลขที่ประเมินไม่ใกล้เคียงกับความเป็นจริง ก็ควรเร่งปรับเป้าหมายให้ใกล้ความจริงที่สุด ไม่ใช่การออกมาพูดว่าเป็นการโกหกในเรื่องที่ดีแบบนี้”

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

แผนลับหักเหลี่ยม ศอ.บต. !!!?

ยังไงๆ ก็ยังไม่อาจพลิกมุมไปเป็นอื่นได้ ตราบใดที่เหตุการณ์ 3 จังหวัดภาคใต้ยังเป็นปริศนาคาใจประชาชนว่า ภาพที่เห็นธงมาเลเซียปักเรียงรายนับ ร้อยจุดที่นั่น เป็นสัญญาณบอกถึงการรุกเข้ามาของ “กลุ่มภักดีมาเลย์ในไทย”

หรือว่าเป็น “Power Play” ระหว่าง BRN กับฝ่ายความมั่นคง หรือพรรคการเมืองต่างขั้วกันแน่?

คนไทยที่ห่างไกลเหตุการณ์ จึงควร “ฟังหู ไว้หู” อย่างมีวิจารณญาณ เพราะกลุ่มคนที่กล้าไปไหนมาไหนในยามราตรีบนถนนสายเปลี่ยวได้มีแค่ 2 กลุ่มเท่านั้น คือกลุ่มก่อความไม่สงบ กับกองกำลังเจ้าหน้าที่รัฐ...จะให้ชาวบ้านธรรมดาเดินเล่นเพ่นพ่านท่ามกลางสถานการณ์ที่ไว้ใจใครไม่ได้เลย คงมีแต่คนบ้าเท่านั้นที่อยากถูกลูกปืนไร้สังกัด

แถม “ตัวการสุมไฟใต้” ก็หาใช่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนกลุ่มเดียว ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ที่นั่นก็หาได้เข้าข้างเสมอไปไม่ แต่ยังมีกลุ่มพ่อค้ายาเสพติด มีข้าราชการ บางแก๊งและ “มาเฟียท้องถิ่น” ที่กุมธุรกิจค้าของเถื่อนตามชายแดน ช่วยผสมโรงคุมพื้นที่ที่ตัวเองมีอิทธิพลอีกต่างหาก

นั่นก็ไม่ร้ายเท่าอำนาจนอกระบบที่แฝงตัวอยู่กับฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน ฝ่ายกองทัพ และการเมืองท้องถิ่นที่ขับเคี่ยวชิงไหวชิงพริบตลอดเวลา

แค่ตั้งคำถามลอยๆ ว่า 8 ปี ที่กองทัพมีอำนาจเต็มในการสยบผู้ก่อความไม่สงบ เป็นไปได้หรือที่กองทัพ “จับตัวการ”และควานหาต้นตอไม่พบ?

ถ้าจะอ้างว่า “ตัวการ” ผู้ก่อความไม่สงบ อาศัยแผ่นดินมาเลเซียเป็นฐานปฏิบัติการ ก็ต้องตั้งคำถามว่า 8 ปีที่นั่น ฝ่ายความมั่นคงเสียงบประมาณไปเกือบๆ 2 แสนล้านบาทแล้ว พวกท่านไม่มีแผนที่จะส่ง “สายลับ” ไปสืบหาความจริงบ้างเลยหรือ

หรือว่ารู้ และทำจนเห็นเส้นสนกลในหมดแล้ว แต่อุบเงียบ เพราะไม่อยากให้เหตุที่นั่นสงบ เพื่อหวัง “ครองสถานการณ์” ให้กลายเป็น “สนามรบ” เรื้อรังยาวนาน...งบประมาณจะได้บานปลาย “ไม่รู้จบ”

จังหวะเดียวกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มากุมอำนาจ แต่ไม่ประสีประสาปัญหาที่นั่นแม้แต่น้อย “โอกาสดี” อย่างนี้ มีหรือที่จะพลิกเป็น “วิกฤติ” เนียนๆ ขึ้นมาไม่ได้?

ขอยืนยันถึงนาทีนี้ว่า ไม่ว่ายุครัฐบาลประชาธิปัตย์จะส่งคุณถาวร เสนเนียม ไปดูแล 3 จังหวัดใต้ หรือรัฐบาลยิ่งลักษณ์จะไปฟังรายงานจาก สมช.หรือ กอ.รมน. ภาค 4 มันก็ล้วนเป็นข้อมูลอดีตที่ถูกขุดมาจากกรุเก่า แล้วแต่งแต้มเติมสีให้ดูทันสมัยกว่าเดิมเท่านั้น

ขณะนี้ข้อมูลฝ่ายความมั่นคงได้ละเลงก้าวข้าม 3 จังหวัดภาคใต้ให้ดูเสมือน ว่า สงครามกองโจรที่นั่นถูกสนับสนุนมาจากกลุ่มก่อการร้ายอาหรับชื่อ “ตอลีบัน” อันลือชื่อระดับโลกไปแล้ว

ตลกมั้ยที่ตัวแทนประชาคมชาติมุสลิมโลก (OIC) อุตส่าห์ยืนยันว่าเหตุไม่สงบที่นั่นเป็นเรื่องภายในประเทศ แต่เจ้าหน้าที่ไทยกลับบิดโยงให้ถึงพวกตอลีบัน ไปเสียฉิบ

ทำให้อดนึกถึงข้ออ้าง “ชายชุดดำ” ที่รัฐบาลประชาธิปัตย์ไม่คิดที่จะสืบจับในห้วงครองเมืองจากเหตุการณ์พฤษภาฯ 53 แล้วโพนทะนาว่าเป็นพวก “เผาบ้าน เผาเมือง”

หรือมันเป็นจินตนาการให้ 3 จังหวัดใต้ มีผู้ร้าย เป็น BRN เริ่มต้นก็อ้างได้แรงหนุนจากกลุ่มเจมาห์ อิสลามิยะฮ์ในอินโดนีเซีย แต่วันนี้กลับอ้างไปไกลถึงกลุ่มตอลีบันส่งเงินมาให้คน 3 จังหวัดแยกดินแดน

ดีไม่ดี ข้อมูลสุดลับคงอาจสืบพบว่า กลุ่มอัลเคด้า ก็ส่งเงินมาหนุนทั้งๆ ที่นายโอซามา บินลาเดน ถูกปิดฉาก “เก็บตาย” ไปตั้งแต่ปีมะโว้แล้วก็ได้

ดูแค่ฉากตำรวจนำคนขับรถเฟอร์รารี่ตัวปลอมในบ้านตระกูล “กระทิงแดง” มามอบให้ตำรวจด้วยกัน ก็พอจะจับเค้าลางได้หรือไม่ว่า “เจ้าหน้าที่มีมายากลได้ทุกท่า” ตั้งแต่คดีธรรมดายันคดีเพชรซาอุฯ

นับประสาอะไรที่นายกฯ ปู เดินทางลงไปฟังรายงานจากฝ่ายความมั่นคงก็ “จบข่าว” โดยไม่ฟังเสียงฝ่ายมวลชนคนท้องถิ่นเลย แล้วนายกฯ จะเฉลียวใจบ้างมั้ยว่า

เบื้องลึกของเหตุร้ายที่นั่น มันอาจเป็นเกม “เพื่อนรักหักเหลี่ยม ศอ.บต.” ก็ได้...ใครจะไปรู้?

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

New Think : สัมภาษณ์คนรุ่นใหม่ พระวินย์ สิริวฑฺฒโน.

พระวินย์ สิริวฑฺฒโน (พระป๊อป) เรื่องของสตินั้นสำคัญ

พระวินย์ สิริวฑฺฒโน จบปริญญาตรีและปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์และสิ่งแวดล้อม โดยกอ่นท่านบวชนั้นท่านคลุกคลีกับงานจิตอาสามา 6-7 ปี

สามารถกดฟังการสัมภาษณ์ได้จากเวป Transform Thailand คลิกที่นี่
ทั้งนี้ทาง siamintelligence อยากเชิญชวนเพื่อนๆเข้าไปคลิก Like Facebook โครงการ Transform Thailand อีก1ชุมชนในการแลกเปลี่ยนมุมมองของคนรุ่นใหม่ เพื่อที่เราจะก้าวไปข้างหน้าพร้อมๆกัน



SIU: พระป๊อป ปัจจุบันอายุ 29 ปี ไม่ทราบว่าพระป๊อปบวชมานานรึยังครับ

ตอนนี้บวชมาได้ 3 พรรษา และกำลังย่างเข้าสู่ พรรษาที่ 4

SIU: ก่อนที่จะบวชเป็นพระ ก่อนหน้านั้นทำอะไรอยู่ครับ

ตอนที่เป็นฆราวาสตั้งแต่ที่เรียนจบมาได้มีโอกาสไปทำงานให้กับเครือข่ายจิตอาสาตอนช่วงของสึนามิ โดยหลังจากสึนามิใหม่ๆ เราได้มีโอกาสได้ทำงานเป็นผู้ประสานงานของเครือข่ายจิตอาสา เพราะเป็นกลุ่มที่มองกันว่าหลังจากเหตุการณ์สึนามิควรจะมีการรวมตัวกันของกลุ่มคนที่ทำงานอาสาสมัครในเวลานั้นเพื่อที่จะทำงานขับเคลื่อนงานจิตอาสาต่อไป เพราะเรามองว่าเรื่องงานสึนามิเป็นเพียงแค่วิกฤติครั้งหนึ่งในสังคมเท่านั้นแต่จริงๆ แล้ววิกฤติต่างๆ ในสังคมยังมีอยู่อีกเยอะมาก แล้วการที่เราจะประคับประคองหรือการที่ต่อยอดงานอาสาสมัครได้อย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งที่จำเป็นขององค์กรเครือข่ายจิตอาสา

เราจึงมีความคิดว่าจะทำอย่างไรให้เรื่องของงานอาสาสมัครไม่ใช่แค่พอมีเรื่องของภัยพิบัติมาแล้วก็จบไปคนก็จะหายไป แล้วเมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้นมาอีกคนจึงค่อยมารวมตัวกันอีก เราจึงคิดว่าจะทำอย่างไรให้งานของจิตอาสามีความต่อเนื่องได้ นั่นก็เลยเป็นที่มาตอนที่เราเข้าไปช่วยเหลือกันไม่ว่าจะทำงานทั้งในเชิงของการขับเคลื่อนนโยบายที่เกี่ยวข้องกับงานอาสาสมัคร และการจัดการองค์ความรู้ งานวิจัยต่างๆ
แล้วก็การทำงานเรื่องของเครือข่ายให้พวกเราได้รู้กัน เพราะว่างานจิตอาสาจริงๆ แล้วต้องเข้าใจว่าองค์กรที่ทำงานนี้มีความหลากหลาย บางคนจะทำงานแบบเต็มรูปแบบ หรือเต็มเวลา หรือมูลนิธิกระจกเงาก็จะทำในเรื่องภัยพิบัติเป็นหลักรวมถึงเรื่องของโรงพยาบาลจิตอาสาด้วย ซึ่งองค์กรอาสาสมัครในปัจจุบันก็มีเยอะ ประมาณ 10 กว่าองค์กรและก็มีจุดยืนร่วมในเรื่องของการส่งเสริมงานอาสาสมัครแต่ในเรื่องของบริบทที่จะเข้าไปแก้ไขปัญหาของสังคมก็จะขึ้นอยู่กับความถนัดและกำลังใจของแต่ละองค์กรนั้นๆ

SIU: ดูจากประวัติการศึกษาของพระป๊อปพบว่าจบการศึกษาในระดับปริญญาตรีและปริญญาโทในสาขาเศรษฐศาสตร์ ซึ่งตอนที่เป็นฆราวาสนั้น อยากทำอาชีพอะไรครับ

จริงๆ ตอนแรกที่เรียนปริญญาตรี ได้มีโอกาสเข้าเรียนเศรษฐศาสตร์ ภาคภาษาอังกฤษ ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หรือที่เรียกกันว่า BE ก็ทำให้เราได้วิธีคิดมุมมองของทั้งโลก โดยเฉพาะระบบเศรษฐกิจ แล้วเราก็นำไปเชื่อมโยงกับเรื่องของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหรือสังคม ซึ่งในช่วงที่เรียนปริญญาตรีได้มีโอกาสได้ทำกิจกรรมนักศึกษาหลายอย่าง จึงทำให้เราได้เรียนรู้ว่าจะทำอย่างไรให้เศรษฐศาสตร์ เรียกได้ว่ามีชีวิตชีวา ไม่ใช่แค่เรื่องของตำรา

แต่ก็ต้องขอออกตัวก่อนนะว่าตัวเองก็ไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์ ซึ่งก็ยอมรับว่าตัวเองจบมานั้นถ้าเทียบกับเพื่อนหลายๆ คนตัวเองก็ไม่ได้นำวิชาเศรษฐศาสตร์โดยตรงมาใช้อย่างเต็มที่ แต่เราก็นำเอาแนวคิดของเศรษฐศาสตร์มาช่วยคิดว่าเราจะแก้ไขปัญหาของสังคมได้อย่างไรบ้าง โดยในหลายๆ ครั้งตอนที่เรียนอยู่ในคณะเศรษฐศาสตร์ ก็จะมีรุ่นพี่บอกว่าเศรษฐศาสตร์ต่างจาก บัญชี พาณิชย์ ธุรกิจ คือ เศรษฐศาสตร์จะมองในระดับ Macro(มหภาค) และ Micro(จุลภาค) แล้วเวลาคิดจะไม่ได้คิดแค่ Profit ในเชิงธุรกิจเพียงอย่างเดียวแต่เรามองถึงกำไรของประเทศด้วย ซึ่งก็หมายถึง มองผลประโยชน์ของชาติด้วย

ซึ่งในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าเราจะมองเพียงกำไรในเชิงธุรกิจเพียงอย่างเดียว แต่เราจะมองว่าสังคมจะเป็นอย่างไรหรือผลกระทบต่อสังคมจะเป็นอย่างไรด้วย ซึ่งพอได้มาเรียนปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ ด้านเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ เราก็ได้รู้จัก EIA และ SIA เรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจึงทำให้ทราบว่าจริงๆ แล้ว ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมนั้นสามารถที่จะวัดผลได้ในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ

แต่ถึงกระนั้นเราก็ได้เรียนรู้ว่าไม่ว่าคุณจะเรียนมาเยอะขนาดไหนก็ตาม สุดท้ายจริงๆ แล้วอยู่ที่จิตสำนึกมากกว่ายกตัวอย่างเช่น กรณีของมาบตาพุด หรือกรณีของนิวเคลียร์ ซึ่งหลายครั้งในพัฒนาการทางสังคมที่พบเห็นได้ คือ เราจะพูดเรื่องของความเก่ง ความดี มีความสุข ซึ่งจริงๆ แล้วทุกคนต้องการมีความสุขทั้งนั้น โดยเราก็เชื่อว่าความเก่งจะนำมาซึ่งความสุข แต่ในปัจจุบันมีกระแสว่าความเก่งเพียงอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีความดีด้วยจึงเริ่มพัฒนามากขึ้น หากเราพิจารณาจากพัฒนาการต่างๆ จะพบว่าการส่งเสริมเรื่องความดีหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าคุณธรรมและจริยธรรมนั้นน้อยมาก

เราจะเห็นว่า ทำไมคนเก่งถึงไม่ใช่คนดี หลายๆ ครั้งคนที่จบการศึกษาในระดับสูงๆ มักจะไม่ค่อยดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนนะ มีข้อสงสัยอย่างหนึ่งคือในอดีตสังคมไทยในชนบทมีความเชื่อว่า พอให้ลูกมีการศึกษาในระดับที่สูง อัตราการเป็นอาชญากรจะลดลงหรือมีโอกาสในการทำความผิดน้อยลง แต่ในปัจจุบันเมื่อคนมีความรู้เพิ่มมากขึ้น มีระดับการศึกษาสูงขึ้น ซึ่งคนเหล่านี้อาจจะไม่ได้ติดคุกแต่เขาก็มีวิธีการอื่นๆ ที่จะหลีกเลี่ยงกฎหมายในแง่ของการที่เขาทำความผิดในเชิงระบบมากขึ้นซึ่งกลายเป็นว่าจะส่งผลกระทบต่อสังคมมากกว่าคนที่ไม่ดีในเชิงปัจเจกหรือคนชั่วทั่วๆ ไป

ดังเช่นที่เราได้เห็นข่าวเรื่องการบุกรุกทำลายป่าที่ห้วยขาแข้ง จ.อุทัยธานี ซึ่งชาวบ้านเข้าไปขโมยตัดไม้มาเผาถ่าน ซึ่งจริงๆ อาจจะไม่ใช่การขโมยเพราะเป็นวิถีชีวิตของเขามานาน แล้วก็โดนจับโดนปรับ แต่ในขณะที่บางแห่งตัดไม้แล้วขนออกมาเป็นคันรถเลยแต่ไม่โดนจับ นั่นแสดงถึงอะไร ซึ่งตอนที่เป็นนักศึกษาได้มีโอกาสไปทำเรื่องบูรณะชนบท ได้ออกค่ายไปศึกษาชนบทในช่วงเวลาหนึ่ง ก็พบว่าในหลายๆ ครั้งวิชาเศรษฐศาสตร์เองไม่สามารถนำมาใช้ได้อย่างเป็นรูปธรรมจริงๆ จนกระทั่งในปัจจุบันได้เรียนรู้ด้านของเศรษฐศาสตร์ในแนวพุทธ ซึ่งก็คือเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียง จึงทำให้เราได้เข้าใจว่าเศรษฐศาสตร์นั้นมีประโยชน์อย่างไรบ้าง แล้วจึงมาจับในเรื่องของงานอาสาสมัครนี่แหละ

SIU: อะไรที่ทำให้พระป๊อปตัดสินใจบวช และสามารถจำพรรษาอยู่ได้เป็นเวลานาน

คือตอนนั้นเอง ก็ได้เรียนจบและทำงานให้กับเครือข่ายจิตอาสาที่มูลนิธิบูรณะชนบทแห่งประเทศไทย เรียกว่าทำงานตามรอยอาจารย์ ป๋วย อึ้งภากร ก็คือเรียนรู้ว่าอาจารย์ ป๋วย ทำงานอะไรและท่านมีร่องรอยอะไรไว้ให้เราได้เรียนรู้บ้าง ซึ่งพอทำมาได้สักระยะหนึ่งคิดว่าทุกคนก็คงรู้จักเรื่องของงานจิตอาสา โครงการด้านจิตอาสาต่างๆ ก็เติบโตมากขึ้น จริงๆ แล้วแต่ก่อนก็เป็นเรื่องของกระแสงานด้านจิตอาสาเท่านั้น แต่ปัจจุบันได้ยกระดับจากการเป็นเพียงแค่กระแสงานจิตอาสา กลายเป็นกระแสของสังคมเป็นการจริงจังมากขึ้น ซึ่งก็ทำงานตรงนี้มา 7 ปี

ก็ได้เห็นการเติบโตของงานด้านจิตอาสาและก็ยังคงมีการเติบโตต่อไปในอนาคตเพราะเกิดความตื่นตัวทางสังคม ไม่ว่าจะมาจากเหตุปัจจัยของภัยพิบัติในรูปแบบต่างๆ เช่น เรื่องของสิ่งแวดล้อม เรื่องของเศรษฐกิจ หรือปัญหาด้านสุขภาพที่เพิ่มมากขึ้น ทุกอย่างได้รุมเร้าให้คนต้องเปลี่ยนกระบวนทัศน์วิธีคิดใหม่ ซึ่งสิ่งนี้เองก็ส่งผลกระทบถึงจิตสำนึกภายในด้วย คนก็มีการตื่นตัวมากขึ้นโดยจะเห็นได้จากการที่มีกระแสเจริญสติ แต่อาจจะเป็นเรื่องของฆราวาสมากกว่า ซึ่งกระแสนี้ก็ควบคู่กันไปทั้งภายในและภายนอก ดังคำพูดที่ว่า การระเบิดภายในออกมา แต่ส่วนตัวของเรานั้นการที่เราทำงานด้านสังคม เราก็จะมีความคาดหวังเยอะ และเราก็จะผิดหวังกับเรื่องภายนอกเยอะเพราะมันไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราต้องการ

ซึ่งจริงๆ แล้วพระพุทธเจ้าก็บอกไว้ว่าสิ่งที่เราคาดหวังไว้อาจจะไม่เป็นไปอย่างที่เราต้องการ ซึ่งคนที่ทำงานด้านสังคมก็จะเจอกับความผิดหวังเยอะ รวมถึงตัวของเราเองด้วยซึ่งเราก็ยอมรับว่าในตอนนั้นก็ยังไม่ถึงตามที่เราตั้งใจไว้ แต่มันก็มีข้อดีคือทำให้เราเห็นว่าความทุกข์ไม่ได้อยู่ที่สังคม แต่ความทุกข์มาจากตัวของเราเองเพราะเรามีความคาดหวัง ใจเราไปยึดติดทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี เรายอมรับว่าในช่วงนั้นเรายึดติดว่าสิ่งที่ดีนั้นยังไม่พอมันต้องดีกว่านี้ แต่ในหลายๆ คนอาจจะมองว่ามันดีแล้วนะ ซึ่งเหมือนกับว่าหากเรามีฉันทะ กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเยอะเราก็จะอยู่กับมันตลอด ซึ่งบางครั้งก็ทำให้เราหมกมุ่นกับมันเกินไปแม้แต่ความดีก็ตาม ทีนี้หลายครั้งเองเมื่อเราวางใจไม่เป็นเราก็พบว่าเราเกิดความทุกข์ขึ้น

แต่ข้อดีของเราก็คือ เรามีฐานของธรรมะบ้างก็ทำให้เราประคับประคองทำงานต่อไปได้ คนอื่นๆ จะเห็นว่าภาคสังคมเป็นภาคที่หากไม่มีแรงดึงดูดในเชิงจิตวิญญาณหรือเชิงภายในก็จะถูกดึงไปกับเรื่องของธุรกิจบ้าง ซึ่งบางคนก็จะผันตัวไปทำธุรกิจ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดีนะ ทำให้เราได้เห็นว่าภาคสังคมกับภาคธุรกิจมันไปด้วยกันได้ แต่ส่วนตัวของเราเองก็ไม่ใช่นักค้ากำไร ไม่ได้สนใจเรื่องของเงินทองเป็นที่ตั้ง ก็เลยทำให้เราทำงานไม่ง่าย และคิดว่าน่าจะลองพักบ้าง อยากจะมีเวลาได้ทบทวนตัวเองได้มากขึ้นว่าที่ทำงานมา 6-7 ปีนั้นเราได้ทำอะไรไปบ้าง แล้วได้เรียนรู้อะไรบ้าง คล้ายๆ กับว่าหลายๆ ครั้งเวลาเราทำงานไปเราจะเข้าไปอินกับมัน หรือวิ่งตามโลกหรือตามงานต่างๆ ที่เข้ามา

เราจะไม่ใช่เป็นผู้ดู แต่พอเราได้เข้ามาเรียนรู้เรื่องธรรมะมากขึ้น ก็ทำให้เราเห็นการเป็นผู้ดูหรือผู้สังเกตการณ์มากขึ้น และก็ทำให้เรามีความนิ่งมากขึ้น นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราตัดสินใจบวช ซึ่งก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะบวชตลอดชีวิตนะ จริงๆ การบวชแล้วสึกก็เป็นเอกลักษณ์หนึ่งของพระพุทธศาสนาแบบไทยๆ ซึ่งเดิมตามพระวินัยนั้นการบวชคือบวชตลอดชีวิตเลย แต่ในช่วง 700 ปีที่ผ่านมา คติของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่สุโขทัยเป็นต้นมาก็จะมีคติว่า พระมหากษัตริย์จะบวชชั่วคราวแล้วก็กลับมาปฏิบัติหน้าที่เป็นพระมหากษัตริย์และกลายเป็นธรรมราชาตามคตินิยมเดิม ซึ่งก็เป็นการดีเพราะคนที่ผ่านการบวชแล้วนั้นอย่างน้อยจะเข้าใจในเรื่องของศีล 5 เข้าใจเรื่องบุญ – บาป เข้าในเรื่องของการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

ซึ่งในปัจจุบันคนในสังคมมีความเข้าใจผิดในเรื่องนี้มาก ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การมองว่าคนที่ผ่านการบวชแล้วจะเป็นคนดี แต่คนที่ผ่านการบวชแล้วจะเข้าใจโดยตัวของเขาเองว่าความดีคืออะไร ความชั่วคืออะไร ไม่ใช่ความเข้าใจเรื่องของกรรมที่ผิดเพี้ยนอย่างในปัจจุบัน ซึ่งนี่ก็เป็นข้อดีของการบวช ซึ่งตอนที่บวชนั้นพระอาจารย์เจ้าอาวาสวัดระฆังได้เมตตาให้เราไปศึกษาปฏิบัติธรรมกับพระอาจารย์ไพศาล จำพรรษาอยู่ที่วัดป่ามหาวัน

ซึ่งเป็นแนวทางตามหลวงพ่อเทียน คือการเจริญสติภาวนา ก็พบว่าแนวทางนี้นั้นเป็นการเจริญสติแบบใหม่ ที่ทำให้เราได้เรียนรู้การรู้สึกตัวมากขึ้น และผลที่ได้ก็แตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล ซึ่งก็มีสิ่งที่ทำให้เราได้เข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นตนเองหรือสังคมมากขึ้น ต่อมาเมื่อออกพรรษาแล้วก็คิดว่ายังมีโอกาสได้เรียนรู้อยู่ แล้วงานที่ทำอยู่ก็ยังมีน้องๆ ที่ยังพอทำกันได้ เราก็เลยคิดว่าเราควรจะเรียนรู้ต่ออีกสักหน่อย เพราะจริงๆ การบวชนั้นก็คือการศึกษา เป็นการศึกษาในเรื่องของพระธรรมวินัย ทั้งศีล สมาธิ ปัญญา และสุดท้ายก็คือการศึกษาเรื่องของกายนี้ ใจนี้ เป็นเรื่องของตัวเราเอง ให้เราเข้าใจได้มากขึ้น

SIU: มีปรัชญาในการดำเนินชีวิตอย่างไรบ้างครับ

เวลาเราพูดถึงปรัชญานั้น โดยหลักแล้วจะเป็นเรื่องของความคิด แล้วส่วนใหญ่นักปรัชญาทางตะวันตกก็จะมีกับดักทางความคิดทั้งนั้น ซึ่งเมื่อเราพูดถึงเรื่องของปรัชญาก็จะขอกล่าวถึงปรัชญา บนพื้นฐานของตะวันออก โดยปรัชญาบนพื้นฐานของตะวันออกจะเน้นเรื่องการไปให้พ้นความคิดมากกว่า หลายครั้งเราจะตกเป็นทาสทางความคิด คือคิดเรื่องตนเอง คิดเรื่องคนอื่น จนฟุ้งซ่าน และจมอยู่กับเรื่องภายนอก แล้วเราก็จะเรียกว่าปรัชญา แต่ตัวศาสนาพุทธเอง หรือสิ่งที่เรียกว่าธรรมวินัยเองนั้น ไม่ใช่เรื่องของปรัชญา แต่ใครจะตีความเป็นปรัชญา หรือเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ หรือแม้กระทั่งเป็นเรื่องของการเมือง ก็เป็นเรื่องของเขา

ส่วนปรัชญาในความคิดของเราก็คือการมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน มีชีวิตอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป สิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เราก็พยายามมีชีวิตอย่างเป็นปกติที่สุด พยายามดำเนินตามศีลที่พระพุทธเจ้าได้บัญญัติไว้ได้อย่างครบถ้วน ถึงแม้จะมีบกพร่องไปบ้าง แต่ก็จะพยายามให้ครบ แล้วก็จะพยายามเจริญสมาธิภาวนา เจริญสติ

หากถามว่าสิ่งเหล่านี้คือปรัชญาหรือไม่ มันก็เป็นสิ่งที่ทำอยู่ คือการพยายามทำให้เป็นวิถีได้นั่นคือปรัชญาการดำเนินชีวิตของเรา คือทำอย่างไรให้สิ่งที่ตนเองคิดนั้นออกมาเป็นวิถีชีวิต หรือเป็นการกระทำได้อย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง เพราะเวลาที่เราคิดเรามักจะไม่ค่อยกระทำกัน แม้แต่การคิดดีก็ไม่ทำ แต่สิ่งที่ไม่คิดในบางครั้งกลับไปทำชั่วๆ ก็มี เพราะฉะนั้นเรื่องของสตินั้นสำคัญ เราจะทำอย่างไรให้เราเจริญสติ หรือมีสติอยู่ได้ในทุกขณะ นี่แหละเป็นปรัชญาของเรา

SIU: หากมองในทางโลกคนที่เป็นฆราวาสจะต้องมีแรงขับเคลื่อนเพื่อการดำเนินชีวิต ซึ่งในส่วนของพระ
ป๊อปที่เป็นพระสงฆ์ มีแรงขับเคลื่อนในชีวิตอะไรบ้างครับ

ในตอนแรกที่เราทำงานเพื่อสังคมก็อยากจะให้คนอื่นพ้นทุกข์ อยากช่วยเหลือคนอื่น อยากทำงานจิตอาสาเพื่อช่วยเหลือคนอื่น แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งก็ค้นพบว่าสิ่งที่เราตั้งใจทำอยู่นั้นเป็นเรื่องที่ดีแต่ยังไม่ใช่ที่สุด เพราะเรายังทุกข์กับคนอื่นอยู่และจะทำอย่างไรที่จะช่วยให้คนอื่นพ้นทุกข์ได้โดยที่เราก็มีความสุขมากขึ้นด้วย อันนี้ก็เป็นสิ่งที่เราทำอยู่คือทำอย่างไรให้เราสงบเย็น และเป็นประโยชน์ คือมีความสุขด้วย แต่ไม่ใช่ความสุขทางโลกมากนัก คือเป็นความสุขแบบละเอียดหน่อย เช่น เห็นคนอื่นมีความสุขเราก็มีความสุขกับเขาด้วย หรือเห็นคนอื่นมีความทุกข์เราก็อยากจะเข้าไปช่วยให้เขามีความสุขมากขึ้นโดยที่ไม่เบียดเบียนตนเอง

SIU: มีจุดพลิกผันอะไรในชีวิตหรือไม่ ?

จริงๆ แล้วการบวชนี่แหละเรียกว่าเปลี่ยนชีวิตมากเลย ซึ่งคนทั่วๆ ไปอาจจะคิดว่าการเปลี่ยนชีวิตคือการที่มีอะไรเข้ามาในชีวิตแล้วจะต้องเปลี่ยนไปในทันที แต่มันไม่ใช่นะ มันเป็นการสะสมมามากกว่า เหมือนการต้มน้ำร้อนนะ ต้มไปเรื่อยๆ จึงเดือด มันไม่ใช่เป็นแบบเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือในทันที มันคล้ายๆ กับว่าเป็นสิ่งที่สะสมมาส่วนหนึ่งแล้วก็บวกกับปัจจัยภายนอกส่วนหนึ่งด้วย กลายเป็นว่าการที่เรามาบวชครั้งนี้เราได้เรียนรู้เรื่องภายในเพิ่มมากขึ้น

ซึ่งก่อนหน้านั้นบางสิ่งบางอย่างเราก็คิดว่าเรารู้แล้ว แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งในชีวิตของเราจะพบว่าถ้าเกิดในชีวิตเราเจอเหตุการณ์ว่า สิ่งที่ตนเองเชื่อมาแล้วนั้นมันไม่ใช่ เราจะรับมือกับตรงนี้อย่างไร ทุกคนก็ต้องเคยเจออย่างนี้ ซึ่งเมื่อเราได้มาบวชแล้วเราได้เรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ ทั้งภายในและภายนอกเป็นลำดับไป หลายครั้งเราจะพบว่าสิ่งที่เราเคยเชื่อมันไม่ใช่ แล้วเราจะจัดการกับใจเราอย่างไร ประเด็นคือเรารู้เท่าไหร่เราก็ทำอย่างนั้น เราเรียนเท่าไหร่เราก็บอกได้อย่างนั้น เช่นกัน ในทางโลกหรือในทางธรรมเหมือนกันทุกอย่างว่าเรารู้เท่าไหร่เราก็ทำอย่างนั้นเอง ทีนี้คือถ้าเรารู้มากขึ้นอะไรที่มันไม่ใช่ เราก็จะลดมันลงไปเท่านั้นเอง
แต่อะไรที่มันใช่เราก็จะทำอย่างนั้นมากขึ้นแค่นั้นเอง หากพิจารณาจากข้อดีที่เป็นเรื่องของสังคมคือเราได้มีโอกาสรู้จักกับเศรษฐศาสตร์แนวพุทธมากขึ้นเนื่องมาจากการที่เราได้เข้าไปข้องเกี่ยวกับกลุ่มที่ทำเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงอย่างเป็นรูปธรรม เช่น เครือข่ายกสิกรรมธรรมชาติ และอีกหลายๆ เครือข่าย ที่ทำให้เห็นว่าเศรษฐศาสตร์ที่กินได้เป็นอย่างไร และเศรษฐศาสตร์นั้นไปถึงจิตวิญญาณได้อย่างไรบ้าง ซึ่งอาจจะเป็นแค่เบื้องต้นเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งหมดซะทีเดียวที่ทำให้คนได้ตื่นรู้ แล้วเราก็เห็นกลุ่มชาวบ้านหรือคนในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศหรือแม้แต่พระเองก็ได้เข้ามาทำงานเพื่อสังคมในรูปแบบต่างๆ ในขณะเดียวกันเราก็ได้ปฏิบัติธรรมควบคู่กันไปด้วย เราได้เรียนรู้ด้านธรรมะจาก พระอริยสงฆ์หลายๆ ท่านซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ ก็เรียกว่าได้ประคับประคองกันไปในสองด้านนี้

SIU: มองอย่างไรเกี่ยวกับบทบาทของพระสงฆ์ต่องานเพื่อสังคมในปัจจุบัน

คือ ต้องบอกก่อนนะว่าเป็นความเชื่อที่เข้าใจผิดว่า พระจะแผ่เมตตาอยู่ในกลด แล้วไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อสังคม ซึ่งคนส่วนใหญ่จะเข้าใจอย่างนั้น โดยเป็นความคิดที่มีมาแต่โบราณจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่เคยเปลี่ยนแปลง ซึ่งความเชื่อนี้นั้นเมื่อได้มาศึกษาดูแล้วจะพบว่ามันไม่ใช่ โดยเรื่องของจิตวิญญาณหรือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาจิตนั้นมีผลอยู่ แม้แต่การที่เราทำอะไรหากเราทำโดยที่ไม่มีเมตตาจิต เราทำด้วยโทสะ หรือโลภะ ผลที่ได้ก็จะต่างกัน

หรือแม้แต่ในทางวิทยาศาสตร์ที่นำมากล่าวถึงกันยกตัวอย่างเช่น ของดร.อาจองที่กล่าวไว้ว่าเวลาที่เราปลูกต้นไม้หากเรามีโอกาสได้แผ่เมตตาให้แก่ต้นไม้ จะทำให้ต้นไม้นั้นเติบโตเร็วกว่าต้นไม้ที่ไม่ได้รับการแผ่เมตตา ขณะเดียวกันเรื่องสวดมนต์ก็เช่นเดียวกัน แม้แต่น้ำเปล่าๆ นั้นก็มีการวิจัยออกมาว่าหากเราพูดไม่ดีกับน้ำแก้วนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับอีกแก้วหนึ่งที่เราสวดมนต์แผ่เมตตาให้แก่น้ำแก้วนั้น เมื่อเรานำน้ำทั้งสองแก้วมาส่องกล้องที่มีความละเอียดขนาดโมเลกุลของน้ำ จะพบว่าผลึกของน้ำแต่ละแก้วจะแตกต่างกันเลยนะ ซึ่งงานวิจัยนี้ในปัจจุบันก็ได้ไปไกลแล้ว

ซึ่งมันสามารถที่จะพิสูจน์ได้ว่าเรื่องของการพัฒนาจิตมันมีผลต่อการพัฒนาทางกายด้วย ทีนี้ก็กลับมาที่เรื่องบทบาทของพระสงฆ์นั้น โดยทั่วไปคนจะเข้าใจว่าพระสงฆ์ท่านไม่ได้ทำอะไร แต่ในความเป็นจริงแล้วท่านทำนะ ซึ่งเราเองต่างหากที่รู้หรือไม่ว่าท่านทำอะไร ถ้าหากเราปฏิบัติเราก็จะเข้าใจได้เอง และเผลอๆ ท่านทำมากกว่าพวกเราด้วยซ้ำ

ตัวอย่างเช่น หลวงตามหาบัว แม้แต่นักวิชาการก็ไม่เข้าใจว่าที่ท่านทำผ้าป่าช่วยชาตินั้น ท่านทำไปเพื่ออะไร ซึ่งคนจะมองอย่างผิวเผินว่าเป็นเรื่องของเงินทอง แต่จริงๆ แล้วถ้าเราศึกษาจริงๆ แล้วจะพบว่าหากท่านไม่ทำแล้วคลังหลวงจะเป็นอย่างไร พวกเรารู้เรื่องของคลังหลวงมากน้อยแค่ไหน ที่เงินคลังหลวงหมดไปนั้นเป็นอย่างไร จะมีสักกี่คนที่ได้รับรู้เรื่องของคลังหลวงอย่างแท้จริง หรือในกรณีของหลวงพ่อคูณคือการนำเอาปัจจัยที่ได้รับจากญาติโยม ไปสร้างโรงพยาบาล ไปสนับสนุนด้านสาธารณสุขต่างๆ ซึ่งหากเราทำการศึกษาจริงๆ จะพบว่าสาธารณประโยชน์ที่มาจากพระสงนั้นมีจำนวนมาก แสดงให้เห็นว่าพระสงฆ์ก็มีบทบาทในการสนับสนุนทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังภายในสังคมด้วย เพียงแต่คนทั่วไปจะติดภาพลักษณ์พระสงฆ์ในเรื่องของวัตถุมงคลเสียมากกว่า

SIU: แสดงว่าพระสงฆ์ก็ได้มีบทบาทมานานแล้วเพียงแต่ไม่มีสื่อไปประชาสัมพันธ์ว่าได้ทำอะไรบ้าง ???

ใช่ แล้วตามหลักคือเราทำงานแบบปิดทองหลังพระ ซึ่งพระองค์ท่านก็บอกว่า หากได้ทำแล้วก็จะปรากฏออกมาเอง ถ้าเรามัวแต่ปิดทองหน้าพระ ข้างหลังก็จะไม่เต็ม

SIU: อย่างกรณีของประเทศพม่าที่มีพระออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง ส่วนในประเทศไทยเองก็มักจะมีคำพูดที่ว่าพระควรจะตัดกิเลสทางโลก ไม่ยุ่งเกี่ยวทางโลก แล้วเข้าสู่ทางธรรม ซึ่งกรณีนี้จะขัดแย้งกันหรือไม่

คือตอนนี้ ส่วนใหญ่โยมมักชอบที่จะให้พระอยู่วัดเพียงอย่างเดียว แต่จริงๆ แล้วในทางธรรมมะประวัติศาสตร์ ต้องพิจารณาว่าวัดนั้นกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร ซึ่งเมื่อ 2,500 ปีที่แล้ว พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สร้างวัดก่อนแล้วค่อยไปตรัสรู้ที่วัดนะ ท่านได้ออกจากการเป็นพระราชา โดยในสมัยนั้นการเป็นพระราชาก็ถือเป็นที่สุดแล้ว แต่ท่านก็ทิ้งทุกอย่างเพื่อออกบวชมาปฏิบัติธรรมในป่า การปฏิบัติธรรมของท่านมีทั้งที่ใช้วิธีสุดโต่ง และอีกหลายๆ วิธีที่ไม่น่าเชื่อว่ามนุษย์จะสามารถทำได้ ในที่สุดท่านก็ได้บรรลุธรรม หรือที่เรียกว่าตรัสรู้ ภายใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ท่านนั่งบำเพ็ญอยู่

แสดงให้เห็นว่าท่านอยู่ในป่าตลอด จนกระทั่งเมื่อท่านได้ออกเผยแพร่พระธรรม ท่านก็ได้ไปเทศน์โปรดประชาชนตั้งแต่คนยากจน เศรษฐี และกษัตริย์ จึงทำให้เกิดความศรัทธาขึ้น เหล่าประชาชน เศรษฐี และกษัตริย์ จึงได้สร้างวัดขึ้นถวายพระพุทธเจ้า ทีนี้เมื่อท่านได้ค้นพบพระธรรมที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติ ท่านก็อยากจะเผยแพร่ เพื่อโปรดให้สัตว์โลกทั้งหลายสามารถเห็นพระธรรมได้อย่างที่ท่านได้ค้นพบเพื่อที่จะเกิดความสุขอย่างแท้จริง ก็คือการหลุดพ้นจากกิเลส หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร หรือที่เรียกว่าการปรินิพพาน

ซึ่งหากพิจารณาเปรียบเทียบกันแล้วเราอาจจะไม่มีปัญญาหรือความกรุณาเทียบเท่าท่าน แต่เราสามารถที่จะมีความบริสุทธิ์หรือการเป็นพระอรหันต์เทียบเท่าท่านได้ ตรงนี้เองทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนต่อบทบาทของพระสงฆ์ว่าไม่ได้มีประโยชน์ต่อสังคม จริงๆ แล้วความเข้าใจในเรื่องของจิตอาสาในปัจจุบันก็มีพื้นฐานมาจากเรื่องในอดีตกาลคือเรื่องของ มฆมานพ ซึ่งเป็นชาติหนึ่งของพระอินทร์ โดย มฆมานพ พร้อมกับเพื่อนอีก 33 คนได้ทำงานจิตอาสาโดยทำงานอย่างจริงจัง ทำให้ได้รับอานิสงส์ด้านทานบารมีสูง จึงมาเกิดเป็นพระอินทร์ แต่ในพระพุทธศาสนาบัญญัติไว้ว่ามีทางบำเพ็ญกุศลอยู่ 3 ทางคือ ทาน ศีล และภาวนา ซึ่งการให้ทานเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ เราต้องรักษาศีล แล้วก็ภาวนาด้วยจึงจะครบ
แต่ในยุคของปัจจุบันนี้เราอยู่ท่ามกลางกระแสทุนนิยม บริโภคนิยม เพราะฉะนั้นการที่เราจะปฏิบัติธรรมแบบตัดขาดโลกภายนอกไปเลยจะสามารถทำได้หรือไม่ คำตอบคือเราก็สามารถทำได้แต่ต้องปฏิบัติแบบพระป่า เข้าไปอยู่ในป่าเลย แต่ในบริบทของพระที่อยู่ในเมืองจะพบว่าไม่ได้อยู่แยกจากโยม พระเองก็แบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายคือ ฝ่ายหนึ่งศึกษาเล่าเรียนบาลี ศึกษาอภิธรรม ปริยัติ แต่ก็ศึกษาเรื่องการปฏิบัติไปด้วย อีกฝ่ายหนึ่งก็ศึกษาด้านการปฏิบัติบำเพ็ญให้ถึงจุดของการหลุดพ้นซึ่งก็คือนิพพาน โดยทั้ง 2 ฝ่ายก็ควบคู่กันไป

แต่เมื่อเราอยู่ในบทบาทตรงนี้เราจะเห็นว่าพระสงฆ์ที่อยู่ในเมืองจำนวนหนึ่งก็นำปัจจัยที่ได้รับจากญาติโยม ไปช่วยงานสาธารณกุศลต่างๆ แต่ท่านไม่ได้โปรโมท โดยในสังคมไทยนั้นเวลาที่มีคนทำดีเรามักจะมีคำถาม แต่เวลาที่คนทำชั่วเรามักจะชินชา ในสังคมปัจจุบันหากเราดูตามสื่อต่างๆ จะพบว่าข่าวของพระจะออกมาในเชิงลบเยอะ แต่สิ่งที่เราลืมถามคือทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เราจะเห็นแค่ว่ามันแย่ ซึ่งเรามักจะเห็นว่าความแย่เป็นสิ่งภายนอก เรามักจะไม่เห็นว่าความทุกข์หรือความรู้สึกแย่มันมาจากใจของเราเอง คนจะไม่มองเรื่องนี้และมักจะโยนความผิดให้เป็นของสิ่งอื่นมากกว่าตนเอง ไม่จำเป็นต้องเป็นพระหรอก
ซึ่งท่านเจ้าคุณ พระพรหมคุณาภรณ์ ได้กล่าวไว้อย่างน่าสนใจ คือ ทันใดที่เรื่องแย่ๆ ได้มาถึงพระ เมื่อนั้นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าสังคมเสื่อม เพราะตามคติเดิมนั้น พระเป็นคติของบุคคลที่มีศีลทรงธรรม เป็นคนที่อยู่ยอดของปิรามิด สังคมไทยเราถือว่าคติพระเป็นนักบวช ถือเป็นเพศที่สูงอยู่ข้างบน คือสละจากเพศฆราวาสเข้าสู่เพศบรรพชิตแล้ว ทันทีที่เรื่องแย่ๆ มันเสื่อมในสังคม ซึ่งหากเราพิจารณาจากประวัติศาสตร์จะพบว่าจริงๆ แล้วทางภาวะสังคมมันไปแล้ว คือเรื่องแย่ๆ ต่างๆ ข้างล่างมันไปหมดแล้ว จึงค่อยมากระทบพระ

เราลองไปดูก็ได้ว่าปัญหาสังคมในปัจจุบันนี้ถ้าลงมาจากข้างล่างลงไปมันแค่ไหน อัตราอาชญากรรม เรื่องของปัญหาการทำแท้ง เรื่องของโรคเอดส์ ฯลฯ ได้เพิ่มขึ้นสูงอย่างน่าใจหาย แต่เราไม่ได้พูด เพราะเราชินชากับเรื่องเหล่านี้แล้ว เราคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ แต่จริงๆ แล้วไม่ปกตินะ คือเราเสพสื่อแล้วเราเข้าใจ อย่างเช่นปัญหาของภาคใต้มันก็ยังเหมือนเดิม แต่คนได้ชินชากับความรุนแรงไปแล้ว โดยที่เราไม่คุ้นชินกับความดีจึงรู้สึกแปลกแยกกับความดีดังเช่นคนในปัจจุบัน ถ้าพูดจริงๆ ก็คือ แปลกแยกกับธรรมะนั่นเอง

SIU:มองประเทศไทยอีก 5 ปีข้างหน้าอย่างไร

จริงๆ คนจะรู้สึกกังวลเรื่องความเปลี่ยนแปลง เป็นความเปลี่ยนแปลงภายนอก ทั้งเรื่องของสภาพเศรษฐกิจสังคมในปัจจุบันหรือแม้กระทั่งเรื่องของโครงสร้างของสังคมในปัจจุบันนี้ ซึ่งจริงๆ แล้วตามหลักของพระพุทธศาสนากล่าวว่า เกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอๆ เพียงแต่เราไม่เห็นเท่านั้นเอง แต่ละวันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงให้เราเห็นอยู่แล้ว แต่เราไม่ได้สังเกตจนเราเข้าใจว่าทุกอย่างมันเที่ยงแท้ มันไม่ได้เปลี่ยน แล้วมันจะคล้ายๆ ความเปลี่ยนแปลงเหมือนสึนามิ คือเราจะเข้าใจว่าสังคมมันเป็นแบบนั้น ในอนาคตจะเกิดการเปลี่ยนแปลงยิ่งกว่านั้นอีก โลกจะแตกบ้าง อะไรต่างๆ

ซึ่งจริงๆ แล้วเรื่องนี้ก็ได้มีการพูดกันมาทุกยุคทุกสมัยแหละ เรื่องของความเปลี่ยนแปลงในอนาคต ทีนี้ประเด็นอยู่ที่ว่าใน 5 ปีข้างหน้าหากถามในเชิงบริบทภาพรวม ของสิ่งที่จะเกิดขึ้นในสังคม ก็คิดว่าคงมีการเปลี่ยนแปลงเยอะ หากถามว่าจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรนั้น คือเราจะเห็นได้ว่ากระแสที่ผ่านมาภัยพิบัติมันเยอะขึ้น ในแง่หนึ่งคือ ทั้งภัยพิบัติ ทั้งเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สังคมอะไรต่างๆ ที่เราเห็นนั้น จริงๆ แล้วเรามักจะมองว่าเป็นเรื่องภายนอก เป็นเรื่องของคนอื่น

แต่ถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์ของทุนนิยมในระยะเวลา 100 ปีที่ผ่านมา เราจะพบว่าการปฏิวัติอุตสาหกรรม มันเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดภัยพิบัติในปัจจุบันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเราก็แก้ไม่ได้ในเชิงปัจเจก แม้แต่การประชุมเรื่องโลกร้อนที่ผ่านมา ก็จะพบว่าไม่มีมติออกมาอย่างจริงจัง คือเราจะเห็นทั้งความเปลี่ยนแปลงเชิงธรรมชาติ สังคม รวมถึงความเปลี่ยนแปลงในเชิงปัจเจกด้วย คนจะมีกระแสที่ตื่นตัวกันมากขึ้นต่อปัญหาของสังคม

ตัวอย่างเช่น วิกฤติเสื้อเหลือง – เสื้อแดง ที่เราได้เห็นนั้น ก็เป็นข้อดีคือ ทำให้คนมีความตื่นตัวสนใจเรื่องของสังคมมากขึ้น เป็นการเรียนรู้ครั้งใหญ่ของสังคมไทย แต่อีกหลายคนก็ยังคงติดกับดักของการแบ่ง 2 ขั้วอยู่ แต่หลายคนเองก็ไม่ได้ประเมินของสีชมพูนะ อันนี้คืออาตมามองจากบทบาทที่ได้มาเห็น ซึ่งตรงนี้เองทำให้เราได้เห็นว่าคนจะแยกอย่างชัดเจน คือคนที่ทำชั่วหรือทำไม่ดีอะไรต่างๆ ก็จะไปอยู่อีกกลุ่มหนึ่งเลย แต่มีด้านดีคือว่าตรงนี้จะทำให้คนที่ดีๆ เกิดการรวมตัวอย่างสำคัญ เรา

จะเห็นว่าความขัดแย้งเรื่องเสื้อเหลือง – เสื้อแดงนั้นหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมได้หายไปหรือเบาบางลงไป คือถึงจุดหนึ่งคนจะรู้ว่า ไม่ว่าเสื้ออะไรก็ตาม หากไม่ช่วยกัน เราจะไม่รอด คนทุกคน รักสุข เกลียดทุกข์ ทั้งนั้นแหละ แต่ถึงจุดหนึ่งก็ต้องช่วยกัน ไม่งั้นจะล่มทั้งชีวิตตนเอง ครอบครัวตัวเอง จังหวัดตัวเอง บ้านเมืองตัวเอง ตลอดจนประเทศชาติตัวเอง จนถึงระดับโลก เราจะเห็นได้จากด้านของ Social Network ที่ทำให้คนตื่นตัวและทำให้คนมารวมตัวกัน

นี่ก็เป็นสิ่งที่อาตมาเห็นจากที่ผ่านมาและก็ต่อไปด้วย คือฝั่งหนึ่งนั้นเราจะเห็นว่าปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ครบรอบของงานอาสาสมัครสากล หรือเรียกว่าครบรอบ 10 ปีแห่งการเฉลิมฉลองงานอาสาสมัครสากล เราก็ได้เห็นว่ากระแสจิตอาสาได้เติบโตไปทั่วโลก จนเขาบอกว่างานจิตอาสานั้นไม่ใช่เป็นแค่เหลือบของสังคมอีกต่อไป แต่เรียกว่าอยู่ในทุกอณูของวิถีชีวิตของคนในสังคม

คือการที่มีวีถีชีวิตโดยคิดถึงคนอื่น ซึ่งก็คิดว่าเป็นสิ่งที่น่าจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันภายใต้บริบทของพระสงฆ์เราก็พบว่า จริงๆ มันเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว การเอื้อเฟื้อกัน วิถีชีวิตการทำบุญ ต่างๆ นั้นเคยมีอยู่ในสังคมไทย แต่มันได้หายไป อาตมาคิดว่ากระแสของวิกฤติการณ์ในปัจจุบันจะทำให้คนมีโอกาสได้มีพัฒนาการในการมีจิตสำนึกสาธารณะผ่านการกระทำจริงๆ มากขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ในขณะเดียวกันก็ทำให้คนตื่นตัวเรื่องภายในมากขึ้นด้วย

เราจะเห็นว่ากระแสเรื่องธรรมะจะเติบโตในทางตะวันตก ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ กระแสธรรมะในประเทศอิตาลีได้เติบโตขึ้นมากเลย คนในอิตาลีหันมานับถือพระพุทธศาสนากันมากขึ้น ประเทศอินเดีย จีน หรือแม้แต่รัสเซีย ประเทศที่ถือได้ว่าแบบ คิดว่าเป็นในอนาคตเราก็เห็นได้ว่า อินเดียและจีนจะมากขึ้นเรื่อยๆ หรือแม้แต่ในปัจจุบันอาเซียนที่เราเห็น พม่าเองก็เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญเหมือนกัน

แต่อย่างไรก็ตามถ้าเราไม่ได้มีการศึกษาเรื่องภายในมันก็จะเหมือนกับดักเดิมอย่างที่เราเห็น ที่อเมริกาผิดพลาดมาแล้ว ที่ประเทศในฝั่งอุตสาหกรรมก็ผิดหวังมาแล้ว ประเทศที่กำลังพัฒนาในปัจจุบันนั้นเรากำลังอยู่ในกับดักของอเมริกาอยู่ ทุกคนใช้โมเดลนี้หมดเลยนะ ในขณะที่อเมริกานั้นผิดพลาดมาแล้ว แต่จุดหนึ่งที่วิกฤติในยุคปัจจุบันจะทำให้เรามาทบทวน อย่างนิวเคลียร์ปัจจุบันที่เราเห็น นิวเคลียร์ที่ประเทศญี่ปุ่น พอเกิดขึ้นแล้วทำให้ประเทศเยอรมันทั้งประเทศทบทวนนโยบายพลังงานของประเทศใหม่ จากเดิมที่จะขยายโรงงานนิวเคลียร์ เขากลับจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย เขาใช้พลังงานทางเลือกมากขึ้น เปลี่ยนเป็นใช้พลังงานสีเขียว เช่นพลังงานลม พลังงานน้ำ ฯลฯ ซึ่งการลงทุนนั้นสูงแต่ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมนั้นน้อยกว่า เหมือนกับเรื่องของผลกระทบ EIA

เราเคยประเมินผลกระทบหรือไม่หากเกิดสึนามิกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศไทย หรือเกิดเหตุอะไรแบบนี้ ที่ญี่ปุ่นเขาอาจจะทำมาก่อนเรา ซึ่งเขาก็จะมีพัฒนาการที่สูงนะ แต่พอเกิดเรื่องนี้ขึ้นมาเราก็ต้องเพิ่มตัว Factor อื่นๆ ด้วย หลายครั้งเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเราไม่ได้ประเมินในเรื่องนี้ ใครจะไปคิดว่าจะเกิดสึนามิแบบนี้แล้วเกิดผลกระทบต่อนิวเคลียร์ ณ เวลานั้นคนไม่ได้คิด แต่เวลานี้คนตื่นตัวแล้ว แต่ขณะเดียวกันของเราเองกลับไม่ได้ตื่นตัวตรงนี้

ขณะเดียวกันเรื่องสุดท้ายที่จะบอกหรืออาจจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดก็ได้ คือจริงๆ แล้วปีนี้เป็นปีที่ครบ 2,600 ปีของการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ทั่วโลกได้มีการเฉลิมฉลองการครบรอบของการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ในปีที่ผ่านมาคือ ปี พ.ศ.2554 เขานับกัน 2,555 พรรษาบวกกับ 45 พรรษา ก็เป็น 2,600 ปีของการตรัสรู้ แต่ของเราจะนับต่างจากทั่วโลกประมาณ 1 ปีซึ่งของเราจะครบในปีนี้ ในทั่วโลกแม้แต่ ดาไลลามะ เองก็บอกชัดเจนว่าเราเองต้องปฏิบัติกันมากขึ้นทุกๆ คน ไม่ใช่แค่พระสงฆ์อย่างเดียวแต่รวมถึงต้องปฏิบัติกันทุกคน เวลาเราพูดอะไรเราต้องทำด้วย

ถ้าในระดับความรู้ในเชิงปกติทางโลก ถ้าเราพูดอะไรเราต้องทำด้วย หรือแม้แต่ความรู้ทางธรรมที่เราเรียนในสายธรรมะ เราเรียนอะไรมาเราต้องปฏิบัติด้วย ถึงจุดหนึ่งเมื่อเราได้เกิดเข้าใจธรรมะมากขึ้นแล้วเราจะพบว่าธรรมะไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัวเองอย่างเดียว มันสามารถที่จะใช้ประโยชน์ในด้านสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมได้ อย่างที่เราเห็นว่ามีการประชุมนักวิทยาศาสตร์ และการประชุมถึงบทบาทของพระพุทธศาสนาต่อการแก้ไขปัญหาโลก และมันก็มีความสนใจอย่างมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ อันนั้นก็เป็นสิ่งที่เราพบว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้นไม่ใช้แค่เรื่องส่วนตัวอย่างเดียว

แต่ในขณะที่สังคมไทยเราเองก็พบว่าเรื่องนี้มันถูกบิดเบือนเยอะ อย่างเมื่อวานเป็นวันพระ จะมีสักกี่คนที่รับรู้ แล้วคนที่เข้าใจวันพระจริงๆ คนที่รู้ว่าเป็นวันพระแล้วจะบอกว่าไม่กินเหล้าสักวันหนึ่งได้หรือไม่ ก็ไม่มี คือเราถูกทำให้วิถีชีวิตมันหายไป อย่างที่อาตมาบอกกลับไปที่คำถามตอนแรกคือเรื่องของวิถีนั้น หากเราเชื่อในสิ่งไหน เรามีความชอบในสิ่งไหน มีฉันทะในสิ่งไหน ขอให้ทำให้เต็มที่ในเรื่องที่ดีๆ แล้วสุดท้ายมันจะไปเจอกันเอง

เช่นกันในส่วนของเรื่องของที่พระก็ตาม ถ้าเกิดมันมีวิถีชีวิต หรือแม้แต่โยมนะ เหมือนอย่างวันพระถ้าเราได้ทำอย่างต่อเนื่อง หรือแม้แต่เรื่องทำความดีอย่างเช่น จิตอาสา นั้นถ้าเราทำอย่างต่อเนื่อง เราจะพบเองว่ามันจะไปสู่ที่ดีๆ เอง อย่างที่เขาบอกว่า คิดดี พูดดี ทำดี คบคนดีแล้วเราก็จะไปสู่สถานที่ดีๆ เป็นคำกล่าวของหลวงพ่อปัญญา อาตมาว่าคำนี้ก็ยังใช้ได้เสมอนะ

เราจะรู้ว่าตัวของเราเองเป็นอย่างไร เราก็ดูว่าเพื่อนเราเป็นอย่างไรก็ได้ เพราะเบื้องต้นเราจะไม่ค่อยมองตัวเองนะ ถ้าเราเห็นเพื่อนเป็นอย่างไร เราก็สามารถสะท้อนได้ว่าเราเป็นคนแบบนี้แหละ คนแบบเดียวกันก็จะมาเจอกัน คนดีก็จะไปกับคนดี คนชั่วก็จะไปกับคนชั่วแหละ แต่สิ่งที่สังคมในปัจจุบันนี้เป็นคือคนดีจะรวมตัวกันยาก แต่คนชั่วมันมองหน้ากันก็ปล้นแบงค์ได้แล้ว ไม่ต้องมีการวางแผน ไม่ต้องมีกำหนดการ ในขณะที่คนดีนั้นต้องทำ หรือแม้แต่ขอทุน ทำโครงการอะไรต่างๆ ต้องวางแผนเยอะ ต้องใช้เวลา วางโปรเจค Presentation ต่างๆ ซึ่งมันยาก คือต้องบอกว่า ระบบที่เอื้อต่อการสนับสนุนความดีนั้นมีน้อย

แต่มันไม่ใช่ว่าจะเป็นไปได้ เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วระบบนวัตกรรมต่างๆ ทั่วโลกมันจะเอียงไปในทางที่เอื้อให้คนทำดีมากยิ่งขึ้น นี่คือระดับ Trend นะ แต่ขณะเดียวกันในระดับของประเทศไทย คือระดับพุทธ จริงๆ แล้วเราโชคดีกว่าเขา แต่เราไม่รู้ เพราะว่าเรามีระบบนั้นอยู่แล้ว คือระบบวิถีพุทธ แต่ประเด็นคือเราใช้แค่ไหน เรื่องหลักชาวพุทธเรารู้หรือไม่ แล้วเรื่องของวิถีวันพระ การทำความดีอย่างต่อเนื่อง บุญบารมีต่างๆ ถ้าเราทำอย่างต่อเนื่อง มันจะไปได้ เราจะได้เรียนรู้ทั้งตัวเราเองมากขึ้นและก็ได้มีโอกาสที่จะทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมด้วย

ในหลายๆ ครั้งหากเราจะมองเรื่องการเปลี่ยนผ่านในอนาคต คนมักจะคิดไปในทางลบก่อนแต่ไม่ได้คิดในเชิงบวกเลยส่วนใหญ่ สังคมมีโอกาสที่เปลี่ยนไปในเชิงดีได้หรือลบก็ได้ ขึ้นอยู่กับคนในสังคม เช่นกัน แม้แต่ Trend ในแต่ละปีนั้น หากเราต้องการดูในแต่ละปีว่า Trend สังคมจะเป็นอย่างไร เราก็เริ่มดูจากต้นปี เช่น อย่างตอนต้นปีหากเราต้องการดูว่ากระแสทางจิตวิญญาณของสังคมจะเป็นอย่างไร เราก็ดูจากกระแสการสวดมนต์ข้ามปี ซึ่งตอนต้นปีเราได้เห็นกระแสของการสวดมนต์ข้ามปี เราจะใช้โอกาสนี้อย่างไรในการที่จะช่วยให้พวกเราทุกคนในสังคมสามารถฝ่าวิกฤติไปด้วยกันได้ คล้ายๆ กับเมื่อเราต้องการที่จะทำงานใหญ่เราก็ต้องทำเรื่องบุญใหญ่ด้วยกัน

ซึ่งอาตมาคิดว่าก็ต้องดูว่าอะไรที่สามารถทำได้ แล้วก็เห็นนะว่า ต้นปีนั้นพวกเราทุกคนที่ได้ผ่านวิกฤติน้ำท่วมมา ได้มารวมตัวกันทำในสิ่งที่ดีๆ หรือแม้แต่ในช่วงน้ำท่วมก็น่าอนุโมทนากับทุกคนด้วยที่ได้ช่วยกันทำทุกรูปแบบ เพื่อช่วยฟื้นฟูประเทศไทย ตรงนี้เองก็ได้เห็นว่ามันจะส่งผลแน่นอนไม่ใช่แค่ในปีนี้หรือในอีก 5 ปี แต่ในอีก 10 – 20 ปีข้างหน้าก็จะส่งผลต่ออนาคตของประเทศไทยอย่างแน่นอน

ที่สำคัญคือ อนาคตของประเทศไทยนั้นอยู่ที่ตัวของเรา อยู่ที่ตัวของพวกเราทุกคน ก็อยู่ที่กรรมของเราเอง ไม่ใช่สิ่งที่ขึ้นอยู่กับคนอื่น หากเรารู้เหตุปัจจัยใด เราก็ทำตามนั้นแค่นั้นเอง แล้วเราก็จะไปเจอกันเอง อาตมาเชื่อว่าเราน่าจะมีทิศทางแนวโน้มของอนาคตที่คิดว่าหากเราทำสิ่งต่างๆ ในเชิงกิจกรรมที่ส่งเสริมคุณงามความดี

อาตมาเชื่อว่าประเทศไทยจะผ่านไปได้ แล้วก็ขอจบอย่างที่บอกว่า ตอนช่วง พ.ศ.2519 หรือช่วงคอมมิวนิสต์ หลายคนจริงๆ เราจะไม่เรียนรู้เรื่องของประวัติศาสตร์ของประเทศเราเองนัก เราจะรู้เรื่องประวัติศาสตร์ของโลก หรือประวัติศาสตร์ยุโรปมากกว่า แต่จริงๆ แล้วของเราเองหากเราจำได้ในยุคของคอมมิวนิสต์ ซึ่งยุคนั้นเองนักวิเคราะห์ทั่วโลกก็มองเมืองไทยว่าจะเป็นโดมิโน เป็นคอมมิวนิสต์อย่างแน่นอน

ซึ่งอาตมาเคยได้ยินเรื่องเล่าจากดร.สุเมธ ตันติเวชกุลว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงถาม ดร.สุเมธ ว่าทำไมเมืองไทยถึงรอดจากการเป็นคอมมิวนิสต์ ดร.สุเมธ เห็นว่าเป็นคำถามที่ลึกซึ้งจึงยังไม่ได้ตอบ
พระองค์ท่านจึงบอกว่า ที่ประเทศไทยยังสามารถอยู่ได้โดยที่ไม่เป็นคอมมิวนิสต์เพราะคนไทยยังให้กันอยู่ อาตมาว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ ซึ่งปัจจุบันนี้หากเราให้ และเราสามารถที่จะมาสนใจในเรื่องของศีลด้วย จริงๆ ตรงนี้อาตมาว่าก็สามารถพูดได้เยอะ เราจะเห็นว่าในปัจจุบันนี้ที่เราอยู่กันได้เพราะเราให้กันจริงๆ เราจะเห็นคนช่วยกันในเรื่องน้ำท่วมเยอะ

พระพุทธศาสนาเองก็บอกว่า กรรมในปัจจุบัน หรือสิ่งที่เราเจอในปัจจุบันนี้ มันไม่ได้มีที่มาที่ไปอย่างไม่รู้ แต่มันเป็นเพราะสิ่งที่เราทำในอดีต เช่นกัน เหมือนกับสิ่งที่เราประสบในปัจจุบัน ก็เป็นผลจากที่เราและพวกเราทำกันในอดีต ไม่ใช่เพราะคนอื่น เพราะฉะนั้นกรรมในอนาคตก็ขึ้นอยู่กับกรรมในปัจจุบันของเราว่าเราจะทำอะไรบ้าง เราจะร่วมมือสร้างสรรค์อะไรได้บ้างเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นก็ฝากไว้ตรงนี้แหละว่าทุกอย่างอยู่ในกำมือของเรา ขึ้นอยู่กับเราทั้งนั้น

ที่มา.Siam Intelligence Unit
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////