--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2554

ถนน (ราชประสงค์) ข้าใครอย่าแตะ !!!



ภายหลังจากสี่แยกราชประสงค์กลายเป็นสถานที่นัดหมายชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์กระชับพื้นที่  จนมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก    ในช่วงพฤษภาคมปีที่แล้ว ที่ผู้ชุมนุมมาปักหลักชุมนุมที่ถนนราชดำริ ซึ่งเป็นศูนย์การกลางค้าขนาดใหญ่ใจกลางเมืองหลวง เหตุการณ์ได้บานปลายจนนำไปสู่ความรุนแรง มีการเผาห้างสรรพสินค้าในย่านนั้นวอดวายไปหลายแห่ง  ทุกคน ทุกฝ่ายล้วนได้รับการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน


 ต่างฝ่ายต่างสูญเสีย ต่างฝ่ายต่างมีบทเรียนที่เลวร้าย  วันนี้ ! ต่างฝ่ายต่างต้องการใช้พื้นที่ราชประสงค์ ในเป้าประสงค์ที่แตกต่างกัน

ผ่านไปกว่า 8 เดือนแล้วหลังจากการกระชับพื้นที่ของเจ้าหน้าที่บรรลุผลสำเร็จขับไล่ผู้ชุมนุมกลับบ้านหัวซุกหัวซุน ในการชุมนุมครั้งล่าสุดก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าคำเตือนจากชาวบ้านที่บอกว่า "ฉันจะกลับมา" และกลับมาแบบทวีคูณ(x)ไม่ใช่แค่บวก(+) ดังนั้นการกลับมารวมตัวกันอีกครั้งส่งผลให้กลุ่มผู้ประกอบการย่านราชประสงค์ แสดงความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกลุ่มเจ้าของร้านค้าที่ถูกทุบทำลายถูกเผาวายวอดแทบสิ้นเนื้อประดาตัว และไม่อยากให้วันวานย้อนกลับมาอีกครั้ง จึงได้แต่ขออ้อนวอนให้ผู้ชุมนุมและรัฐบาลเจรจาตกลงกันเพื่อหาทางออกให้เร็วที่สุดก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้อีก

การประท้วงของกลุ่มผู้ประกอบการในชุดสีขาวออกมาชุมนุมต่อต้านการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง ซ้อนทับกันลงบนพื้นที่เดียวกันในฐานะเจ้าถิ่นไล่แขกผู้มาเยือนให้ย้ายที่ชุมนุมไปที่อื่น แม้จะใช้เวลาเพียง 2-3 ชั่วโมงในการปิดถนนทุกวันอาทิตย์สัปดาห์เว้นสัปดาห์

 แต่ผู้ประกอบการร้านค้าต้องสูญเสียรายได้วันละหลายร้อยล้าน ซึ่งผู้ชุมนุมเสื้อแดงคงไม่มีทางชดใช้ต่อการสูญเสียนี้ได้นอกจากย้ายที่ชุมนุมไปที่อื่น ซึ่งเป็นไปได้ยากที่เสื้อแดงจะละทิ้งราชประสงค์ที่ผูกพันกันมาในสถานที่ ต่อสู้ กิน นอน และตาย

สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการที่เป็นเจ้าของธุรกิจย่านนั้นย่อมไม่มีใครพอใจกับการมาก่อม็อบใจกลางเมืองแน่นอน เพราะนั่นหมายถึงรายได้ในแต่ละวันขาดหายไปประกอบกับค่าเช่าที่ซึ่งต้องจ่ายทุกวัน โดยเฉพาะร้านค้าที่ขายสินค้าหลักล้านถึงหลายล้านต่อชิ้นจะต้องปิดร้านทุกครั้งที่ม็อบมา ผู้ประกอบการรายหนึ่งเล่าถึงความอึดอัด ว่า เดือดร้อนมากในแง่ที่ต้องทำธุรกิจเดี๋ยวปิดเดี๋ยวเปิดธุรกิจก็ไม่เดิน สร้างความเดือดร้อนให้คนระแวกนี้มาก เขามาวันอาทิตย์เป็นวันที่มีลูกค้ามากที่สุด ผลกระทบก็เยอะ ถ้าเสื้อแดงมาเราก็หยุด เพราะเราโดนทุบกระจกโดนขโมยของก็ต้องระวังเพราะเราไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะเขาเป็นผู้ยิ่งใหญ่มาก

"เห็นใจชาวบ้านไหมชาวบ้านต้องเห็นใจเรามากกว่า คุณเรียกร้องไปเรียกร้องที่ไหนก็ได้ที่ไม่กระทบคนอื่น มีที่เยอะแยะ ไม่ใช่ตรงไหนก็ได้ที่มีผลกระทบเยอะ เราว่ามันมีที่ที่ไม่กระทบกับคนหมู่มาก คือ ราชประสงค์ไม่ใช่ที่มาใช้สิทธิในรูปแบบประชาธิปไตยได้เหมือนที่อื่น ถ้าไปชุมนุมหน้าบ้านคนอื่นแล้วเขาออกบ้านไม่ได้จะทำอย่างไร สิทธิไม่ใช่แบบนี้สิทธิไม่ใช่ว่าเรียกร้องอะไรก็ได้ ถ้าวันหนึ่งผมไปเรียกร้องหน้าบ้านใครสักคนแล้วปิดถนน ตำรวจก็จับผม ไม่ใช่ระดมคนหมู่มากแล้วผิดกฎหมายอย่างไรก็ได้ "

ทางด้านผู้ประกอบกิจการอีกรายกล่าวว่า ถ้ามาเราก็กลัวเราไม่ได้จะบอกว่าไม่ชอบสีแดง แต่การแสดงออกทางการเมืองก็ต้องไปใช้สถานที่การเมือง เช่น สนามหลวงเราก็ยินดีที่จะแสดงออกทางการเมือง การเมืองไม่เกี่ยวก้บธุรกิจ ถ้าใครดีผู้ประกอบการก็สนับสนุนอยู่แล้ว  ถ้าไปรวมตัวที่สนามหลวงหรือสวนลุมพินีเป็นสิ่งที่ดี ถ้าเสื้อแดงทำให้การเมืองดีขึ้นมันก็ดีแต่การมาครั้งนี้มันไม่ใช่จุดที่ผู้ชุมนุมจะมา เพราะทำให้ผู้ประกอบการทำงานลำบาก พอลูกค้ารู้ว่าผู้ชุมนุมจะมามาดูได้เลยว่าในห้างนี้ไม่มีใครกล้ามาเดินเด็ดขาด ลุกค้ากลัว จริงๆภาพไม่ได้น่ากลัวแต่สิ่งที่เคยเกิดทำให้เขารู้ว่ามันจะน่ากลัว เขาเลยไม่กล้ามากัน อยากให้ผู้ชุมนุมเห็นใจผู้ประกอบการบ้างว่าเขาก็มีการลงทุนมีค่าใช้จ่าย อยากขอร้องว่าถ้าจะมีการชุมนุมก็อย่าให้ผู้ประกอบการเดือดร้อน ผู้คนจะได้ดูแล้วไม่น่ากลัวขึ้นจึงอยากขอร้องแค่นี้

ขณะที่เจ้าหน้าที่ขายของในห้างย่านราชประสงค์ นายพงษ์พรณ์ เดชชัยภูมิ อายุ 32 ปี พนักงานขายประจำบูทผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกาย  กล่าวว่า  ยอดขายไม่เหมือนแต่ก่อน ลดลงไปเยอะมาก เพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติจะขายได้กับกรุ๊ปทัวร์ แต่ตอนนี้ไม่ค่อยมีกรุ๊ปทัวร์มาลง จะไปที่พารากอนเพราะไม่มั่นใจว่าที่นี่เปิด 100 เปอร์เซ็นต์ ขนาดเริ่มต้นใหม่ยังไม่ถึงเป้าที่ตั้งไว้ วันที่เสื้อแดงมาชุมนุมแทบไม่ได้ขายเ พราะว่าถ้าเขาชุมนุมด้านหน้าข้างในก็แทบจะไม่มีคนเดิน ลูกค้านึกถึงความปลอดภัย การมาชุมนุมเดือนละสองครั้งไม่เห็นด้วย เพราะถ้าจะมาเรียกความเชื่อมั่นกลับมาก็ไม่น่าจะมาชุมนุมตรงนี้ซึ่งเป็นศูนย์รวมของนักช็อปปิ้ง  แม้เห็นใจผู้ชุมนุมที่มาเรียกร้องอะไรสักอย่างที่ต้องการแต่น่าจะมีขอบเขตและนึกถึงส่วนรวมบ้าง ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆก็มาเดือนละครั้งก็พอแล้ว มาแบบนี้ถึงจะบอกว่าไม่ทำให้กระทบก็กระทบอยู่ดี
ส่วนพนักงานขายสินค้าในห้างเกสร พลาซ่า ขายเสื้อผ้าแบรนด์ดังราคาอยู่ที่ชุดละห้าหมื่นบาทขึ้นไป ให้ความเห็นต่อการมาชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงว่า ทางห้างยังเปิดขายตามปกติ ยอดจำหน่ายยังดีเหมือนเดิม ถึงผู้ชุมนุมจะมาก็คงอยู่คนละส่วน แต่บางทีลูกค้าทราบว่าจะมีม็อบก็จะน้อยลงกว่าปกติ แต่ส่วนใหญ่ห้างนี้จะเป็นลูกค้าประจำมาซื้อแล้วกลับไม่ได้มาเดินนาน แบรนด์เราอาจจะไม่ได้เดือดร้อนเท่าไร พวกสินค้าเล็กๆน้อยๆอาจจะกระทบบ้างแต่ของเราจะเป็นลูกค้าประจำเพราะสินค้าไม่ซ้ำกันลูกค้ามาซื้อแล้วก็กลับไป ไม่ค่อยมีขาจร ถือว่าเรายังขายได้เหมือนเดิมดูจากยอดการขายและอยู่กับเจ้าของห้างสรรพสินค้าจะเปิดปิดอย่างไร ถ้าเปิดก็ยังขายได้เหมือนเดิม ถ้าปิดทุกร้านก็ต้องปิดหมด

มาฟังกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าข้างถนนกันบ้างว่าได้รับผลกระทบจากการมาชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงหรือไม่ นายบอล อายุ 25 ปี นั่งขายรูปภาพข้างถนนบอกว่า กลุ่มคนเสื้อแดงที่มาชุมนุมก็เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยในแบบของเขาซึ่งก็เสียเวลาเหมือนกัน แต่เราก็ต้องฟังเหตุผลทั้งสองฝ่ายว่าเป็นอย่างไรบ้าง พวกเราก็เดือดร้อนรัฐบาลบอกจะช่วยเยียวยาก็ไม่ช่วยอะไรเลย พ่อค้าแม่ค้าย่านนี้ได้รับเงินเยียวยาไม่ถึงครึ่งเลย ส่วนมากที่ได้เห็นๆคือคนที่ทำงานข้าราชการ

"เห็นใจผู้มาชุมนุมเพราะผมก็เจอกับตัวเพื่อนที่มาชุมนุมก็เสียชีวิตที่ดินแดง มาถูกยิงก็เดือดร้อนกันยันวันนี้ เงียบมากของขายไม่ได้เลยอย่างวันนี้มาก็ขายไม่ได้สักบาท ก็ต้องกลับไปไหนจะค่ารถ ค่ากิน แต่ขายไม่ได้ คือ จบ เสื้อแดงมาแม่ค้าบางคนก็ขายได้อย่างอาหารตามสั่งข้าวแกงจะขายดีมาก อย่าไปมองว่าเขามาแล้วจะไม่มีคนซื้อของ บางร้านก็ขายดีเหมือนกัน ส่วนห้างใหญ่ๆก็ต้องยอมรับว่าเดือดร้อนเพราะว่าคนต้องไปขอเข้าห้องน้ำ แต่ตอนที่เสื้อแดงมาช่วงแรกๆห้างบิ๊กซีจะขายดีมากคนเยอะ เขาก็กลัวเกิดการจลาจลเลยต้องปิดห้างและก็เกิดขึ้นจริงๆ"

แม่ค้าขายรองเท้า นางอุษณีย์ มงคลวิจิตรกุล อายุ 54 ปี  กล่าวว่า ขาดรายได้เดือนหนึ่งมาหลายครั้งก็แย่เพราะว่าเทศกิจสั่งให้หยุดทั้งแถบ เพราะเขาคงกลัวมีเรื่อง ทำไมต้องมาเรื่อยๆคนจะขายของก็ขาดรายได้ เขาก็สั่งให้หยุดทุกที วันหนึ่งก็หายไปกว่าพันบาท ถ้ามีชุมนุมบ่อยๆก็แย่เหมือนกัน

อีกหนึ่งผู้ประกอบการที่เปิดร้านในห้างบิ๊กซีราชดำริ ออกมาเดินบนถนนรอห้างเปิดกิจการอีกครั้ง นางสมถวิล กล่าวว่า เดือดร้อนเพราะเขามาเผาบ้านเผาเมืองทางร้านก็ได้รับการชดใช้จากร้ฐบาลที่เขาประกาศชดใช้ แต่ก็ไม่คุ้มแถมยังต้องมาก่อตั้งขึ้นใหม่ในอาคารใหม่ ค่าใช้จ่ายก็ต้องมากขึ้น แล้วการที่ผู้ชุมนุมจะมาเดือนละสองครั้งก็ทำให้ลูกค้าไม่กล้ามาซื้อของแถวนี้ จะเป็นผลเสียเพราะแหล่งนี้ไม่ใช่แหล่งชุมนุม คนต่างชาติไม่มายิ่งแย่ใหญ่เลย 

"ส่วนเรื่องที่เสื้อแดงบอกว่าสูญเสียเราก็ไม่เห็นสภาพนั้น เพราะว่าช่วงขณะที่เขาเผาบ้านเผาเมือง ช่วงเดือนเมษายนวันที่ 4 เมษายน พวกเราก็ปิดร้านกันหมดแล้ว เพราะเขามาชุมนุมกันมากไม่รู้ใครเป็นใคร ไม่อยากให้มาชุมนุมแถบนี้ พอมาแถวนี้แล้วทำให้เสื้อแดงรู้สึกมีคุณค่ามีพลัง แต่ถ้าไปจุดอื่นจะไปเมื่อไรก็ไป แต่ตรงนี้ไม่ใช่พื้นที่มาชุมนุมตรงถนน"

นางสมถวิล กล่าวว่า น่าจะคุยกับรัฐบาลจะได้จบ ว่า ผู้ชุมนุมเรียกร้องอะไรรัฐบาลทำได้ไหมอย่างพวกเราถ้าเปิดร้านมาก็ต้องเสียค่าเช่าแล้วไหนจะค่าใช้จ่ายอื่นๆอีก จะมีลูกค้าซื้ออีกหรือเปล่าไม่รู้ ไม่มีใครช่วยเราได้ ถ้าอยากค้าขายก็ต้องช่วยตัวเราเอง รัฐบาลก็ช่วยเท่าที่ช่วยได้แต่ก็ไม่ได้มากมาย ความสูญเสียการเผาบ้านไม่เหลืออะไรเลย ทุกอย่างในร้านใช้ไม่ได้เลย เห็นใจผู้ชุมนุมในส่วนที่เขามีปัญหาของเขาซึ่งเราก็ไม่รู้ แต่ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเจอแบบนี้ใครอยากทำอะไรทำเอาก็ไม่ได้หรอกนะ

ปิดท้ายด้วยแม่ค้าขายของใจกลางแยกราชประสงค์ที่หน้าศาลท่านท้าวมหาพรหมณ์ นางกัลยา สวัสดิบัว บอกว่า ไม่กล้าออกความคิดเห็นและบอกว่าคนที่ได้รับผลกระทบจากการมาชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง คือ ผู้ประกอบการตามห้างสรรพสินค้าที่เขามาชุมนุมประท้วง สำหรับแม่ค้าริมถนนไม่ได้รู้สึกว่าเสื้อแดงเป็นปัญหา ซึ่งรัฐบาลก็ประกาศออกมาแล้วว่า ให้คุยกันเองรัฐบาลช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ยังไงก็ตามน้ำเสื้อแดงมาแล้วก็ไป แค่ชั่วโมงสองชั่วโมง
ในฐานะประชาชนคนธรรมดาไม่ว่าจะมั่งมีหรือยากจน สุดท้ายทุกคนก็ต้องช่วยตัวเอง เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมาได้พิสูจน์ให้คนไทยเห็นแล้วว่า ไม่มีใครช่วยคุณได้ถ้าคุณไม่ช่วยเหลือตัวเอง

ที่มา.มติชนออนไลน์
---------------------------------------------------------------------------------------------------

ศึกเพื่อไทย...ก่อนสงครามอภิปราย (พรรค)"ทางเลือกใหม่"ของ เฉลิม อยู่บำรุง

จับตาหาก"ทักษิณ" ยก "มิ่งขวัญ" ขึ้นหิ้งเมื่อไหร่ ก็น่าจะได้เห็นใบลาออกของ "ขุนศึกฝั่งธนฯ"เตรียมตั้ง"พรรคทางเลือกใหม่"

เป็นกระแสกรุ่นๆ มาตั้งแต่ปลายปี 2553 กรณีศึกชิง "ผู้นำเพื่อไทย" ที่ "มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์" ออกตัวแรงแซงคู่แข่งรายอื่นๆ โดยมี ส.ส.เคลื่อนไหวสร้างกระแส จนชื่อ "ติดโผ"

และมีความหวังยิ่งขึ้น เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เจ้าของพรรคตัวจิรง เปิดทางให้ "มิ่งขวัญ" พิสูจน์ฝีมือการทำงาน ด้วยการนำทีมอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล (พร้อมทั้งไฟเขียวให้แนบชื่อเป็นแคนดิเดทนายกรัฐมนตรีในท้ายญัตติ) ก่อนจะพิจารณาเลื่อนชั้นขึ้นเป็นผู้นำพรรคเพื่อไทย หลังจาก ส.ส.กลุ่มหนึ่ง เดินทางไปเสนอชื่อ มิ่งขวัญ ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ พิจารณา อย่างเป็นทางการ

ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ส.ส.กลุ่มหนุนมิ่งขวัญ ออกมาให้ข่าวดีว่า "ทักษิณ" โฟนอินเข้ามาในวงประชุมแกนนำและกรรมการประสานภารกิจพรรค ออกปากมอบหมายให้ "มิ่งขวัญ" เป็นหัวหน้าทีมอภิปรายไม่ไว้วางใจ พร้อมทั้งมอบหมายให้ สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ อดีตรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน (ที่ยังวนเวียนรับใช้ "ทักษิณ"อย่างใกล้ชิด) เป็นที่ปรึกษาและเป็นตัวหลักในการจัดทีมอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้

พลันที่ข่าวนี้สะพัดออกมา ก็ปรากฎปฏิกริยาจาก ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานส.ส.พรรคเพื่อไทย ก็ขอสละสิทธิ์ในการร่วมอภิปราย ทั้งที่เจ้าตัวหมายมั่นปั้นมือ ว่าจะโชว์ผลงานทิ้งทวนก่อนเลือกตั้งใหญ่อีกรอบ

"เฉลิม" ให้เหตุผลเบื้องหน้าว่า "ส่วนตัวก็ยินดีที่จะให้ข้อมูล แต่จะไม่ร่วมอภิปรายในครั้งนี้ เพราะส.ส.ที่ใกล้ชิดคุณมิ่งขวัญหลายคนให้สัมภาษณ์ว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้จะเป็นแนวใหม่ รูปแบบสมานฉันท์ ไม่ดุเดือดเลือดพล่าน หรือเลือดท่วมจอ พร้อมทั้งเสนอนโยบายควบคู่ไปด้วย ซึ่งไม่ตรงกับแนวทางของผม ที่คิดว่าการอภิปรายซักฟอกรัฐบาลนั้นจะต้องนำเรื่องการทุจริต การบริหารงานที่ล้มเหลวมาถล่มรัฐบาล เพื่อตีแผ่ให้ประชาชนได้เห็น แต่คุณมิ่งขวัญอาจจะมีข้อมูลที่ดีก็ได้ ผมก็ขอภาวนาให้คุณมิ่งขวัญประสบความสำเร็จ และยืนยันว่าผมไม่ได้มีความน้อยใจอะไร"

แม้ว่านักข่าวจะถามต่อว่า ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ร้องขอให้ช่วยในการอภิปรายฯ ครั้งนี้ด้วย จะว่าอย่างไร เจ้าตัวก็ ประกาศศักดิ์ศรีว่า "ผมเป็นลูกพรรค เป็นเพื่อน พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ไม่ใช่ลูกน้อง การอภิปรายครั้งนี้ถึงอย่างไรก็คงไม่ร่วมด้วย"

คำตอบผ่านสื่อเช่นนี้ มุมหนึ่งก็ถูกวิจารณ์ว่าเป็น "อาการน้อยใจ" ก็ไม่ผิดนัก เพราะที่ผ่านมา "เฉลิม" คือ "เดี่ยวมือ 1" ของเพื่อไทยในการอภิปรายทั้งในและนอกสภาฯ ไม่ว่าอภิปรายไม่ไว้วางใจ อภิปรายงบประมาณ อภิปรายผลงานรัฐบาล แม้กระทั่งกระทู้ถามสด ที่เขามักจะเป็นตัวหลักและเป็นสีสัน ไม่นับบทบาทการเป็น "แม่ทัพ" หาเสียงเลือกตั้ง ที่ผู้สมัคร และ ส.ส.เรียกใช้บริการกันตลอดฤดูหาเสียง

ที่สำคัญ "เฉลิม" ตรงไปตรงมา กับทุ่มเททำงานให้พรรคเพื่อแลกกับความเติบโตทางการเมือง ซึ่งเขาออกปากเรื่องนี้ทั้งในที่แจ้งและที่ลับมาตลอดว่า เขาไม่มีทุนมากพอจะดูแล ส.ส.ทั้งพรรคได้ เพราะสุดท้ายทุกคนก็ขึ้นอยู่กับ "ทักษิณ" ดังนั้น สิ่งที่เขาทุ่มเทได้คือ การสร้างมูลค่าให้ตัวเองในพรรคนี้ เพื่อพิสูจน์ฝีมือให้เจ้าของพรรคเห็นคุณค่า
เป้าหมายนี้ และการเคลื่อนไหวของเฉลิม ที่ผ่านมา ทั้งคนในพรรค คนนอกพรรค ก็รู้กันทั่วว่า"เฉลิม"ก็ไม่ต่างกับแกนนำในพรรคคนอื่น ที่ทำงานหนัก เพื่อหวังจะก้าวไปเป็นผู้นำพรรคเพื่อไทย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิด

นั่นจึงเป็นเหตุ ที่ทำให้คู่แข่งทั้งในพรรคและนอกพรรค ก็พยายามสร้างเครดิตและกระแสขึ้นมาชิง ซึ่ง"เฉลิม" เองก็รู้สึกว่า "ขาใหญ่" ในพรรคหลายคนเดินเกมสกัดเขา โดยเฉพาะ"กลุ่ม 111" อย่าง สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย และอดีตประธานภาคกทม.ที่ยังคงมีอิทธิพลในภาคกทม.อยู่เช่นเดิม และรวมไปถึง "จาตุรนต์ ฉายแสง" อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ที่หมายจะขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคตัวจริง หลังจากที่พ้นโทษการเมืองปลายปี 2555

วันนี้ ถึงแม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า เหตุที่ "เฉลิม" ลอยแพ "มิ่งขวัญ" แล้วปล่อยให้เล่นบทนำซักฟอกรัฐบาลรอบนี้ แต่ก็ชัดเจนว่า "เฉลิม" ต้องการให้ "ทักษิณ" และสังคม เห็นฝีมือและตัวตนที่แท้จริงของมิ่งขวัญ นั่นจึงเป็นเหตุให้เขาตัดสินใจไม่สังฆกรรมในการอภิปรายฯครั้งนี้

ที่สำคัญที่ผ่านมา "เฉลิม" เคยเหน็บแนม "มิ่งขวัญ" และกลุ่มส.ส.ที่หนุนมิ่งขวัญ ว่าเป็นพวก "นักรบห้องแอร์" ขณะที่เขาตะลุยนำทัพหาเสียงเลือกตั้งซ่อมทุกครั้ง แต่ยังถูกส.ส.กลุ่มนี้ ต่อว่าเรื่องชูประเด็นหาเสียงชูเรื่อง "เอาทักษิณกลับบ้าน"

อย่างไรก็ตาม ถ้า "มิ่งขวัญ" ต้องเป็นผู้นำซักฟอกรอบนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นัก เพราะที่ผ่านมา มิ่งขวัญไม่ทำการบ้าน คอนเนคชัน กับทีมต่างๆ ในพรรคแทบไม่มี ไม่ว่าจะเป็นทีมนโยบาย ทีมเศรษฐกิจ ที่เขาแทบไม่เคยเข้าร่วม

ล่าสุด มิ่งขวัญ และส.ส.กลุ่มหนุนเขา กำลังตามล่าหาคนทำข้อมูลอภิปราย ทั้งคนในและคนนอกพรรค ซึ่งคาดว่าหากจะมี "ข้อมูลเด็ด" ก็อาจจะได้จาก "ทีมทักษิณ" "ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง" และอาจรวมไปถึง "ฝ่ายแค้นในรัฐบาล"

หนึ่งในส.ส.ที่หนุนมิ่งขวัญ อย่างสุรสิทธิ์ เจียมวิจักษณ์ ส.ส.เชียงราย ได้ออกมาชี้แจง ปกป้องกรณีที่ส.ส.ในพรรคเดียวกัน ติติงว่ามิ่งขวัญว่า จนป่านนี้ ก็ยังไม่แสดงบทบาทผู้นำการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า

"เพราะพรรคยังไม่มีมติอย่างเป็นทางการว่าจะให้คุณมิ่งขวัญเป็นผู้นำการอภิปราย มีแค่เสียงสนับสนุนจาก ส.ส.เท่านั้น ทำให้คุณมิ่งขวัญยังไม่แสดงท่าทีใดๆ เพราะพรรคเองมีความพยายามจะสกัดกั้นคุณมิ่งขวัญอยู่ตลอด โดยเฉพาะพวกที่ไม่ลงทุนอะไร แต่ยึดติดอยู่กับพ.ต.ท.ทักษิณ แล้วอยากได้ตำแหน่ง เพราะกลัวว่าหากคุณมิ่งขวัญขึ้นมาแล้ว ตัวเองจะไม่ได้รับตำแหน่งในการจัดตัวเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี นอกจากนี้ ยังมีความพยายามเสนอชื่อคนอื่นขึ้นมาแทน เช่น คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาเป็นหัวหน้าพรรค ทั้งที่รู้ว่าพรรคมีโอกาสสุ่มเสี่ยงที่จะถูกยุบ อย่างกรณีคุณยิ่งลักษณ์ เหมาะสมที่เป็นหัวหน้าพรรคมากหากเป็นการตั้งพรรคใหม่ แต่การมารับตำแหน่งในช่วงนี้ไม่เหมาะสม"

ส.ส.เชียงรายผู้นี้ ยืนยันว่า ว่าที่หัวหน้าพรรคของเขา "เตรียมข้อมูลพร้อมหมดแล้ว หากพรรคมีมติให้เป็นผู้นำอภิปรายและเสนอชื่อแนบท้ายญัตติแล้ว คุณมิ่งขวัญจะแสดงตัวทันที"

บรรยากาศบาดหมางในพรรคเพื่อไทยอย่างนี้ คงไม่ส่งผลดีต่อกำลังใจของส.ส.ในช่วงเข้าสู่โหมดเลือกตั้งนัก เพราะแต่ละก๊ก ไม่พอใจกับการบริหารแบบ "แบ่งแยกแล้วปกครอง" ของเจ้าของพรรคอย่างทักษิณ ที่มุ่งเป้าหมายการเมืองของตัวเองมากกว่าความเป็นอยู่ของส.ส.ในพรรค จึงอาจจะต้องเสียมือทำงานให้ตัวเองไปอย่างน่าเสียดาย

ล่าสุด เริ่มมีความเคลื่อนไหวของ "เฉลิม" ที่เล็งมองหาอนาคตตัวเองในเส้นทางการเมืองอื่น จับตาดูว่า ถ้า "ทักษิณ" ยก "มิ่งขวัญ" ขึ้นหิ้งเมื่อไหร่ ก็น่าจะได้เห็นใบลาออกของ "ขุนศึกฝั่งธนฯ" ทิ้งเก้าอี้ประธานส.ส.พรรคเพื่อไทย เมื่อนั้น

ก่อนจะตัดสินใจ เลือกทางว่า ระหว่างโบกมือลาการเมือง หรือ แยกออกไปตั้งพรรคการเมืองของตัวเองเหมือนเดิม แต่แนวทางหลัง อาจจะเป็นไปได้สูง โดยเฉพาะ อนาคตกับพรรคที่ชื่อ "พรรคทางเลือกใหม่" หรือ New Alternative Party ที่ได้ข่าวว่าซุ่มไปจดทะเบียนไว้แล้ว

ขืนอยู่ไปจนถึง "กลุ่ม 111" หลุดจากคุกการเมืองปลายปี 2555 เมื่อไหร่ ศึกชิงกันเป็นใหญ่ในพรรคเพื่อไทยคงกลายเป็นสงครามเมื่อนั้น

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
------------------------------------------------------------------

วันอังคารที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2554

แฉสอบคดีเสื้อแดงมุ่งสนองคำสั่งผู้ใหญ่ไม่ยึดความยุติธรรม

อนุกรรมการสอบข้อเท็จจริงเหตุสลายการชุมนุมของ คอป. แฉหมดเปลือกพนักงานสอบสวนบางรายที่ทำคดีคนเสื้อแดงยอมรับมุ่งสนองคำสั่งผู้ใหญ่มากกว่ายึดความยุติธรรม แถมผู้ต้องหาบางรายที่ไม่มีทนายถูกหลอกให้รับสารภาพ อ้างโทษเบาเหมือนเล่นไพ่แต่พอขึ้นศาลกลับถูกสั่งจำคุกเป็นปี เผยได้ข้อมูลบางเรื่องที่ไม่เคยถูกเปิดเผยมาก่อนจากสื่อทั้งในและต่างประเทศ ขณะที่ ศอฉ. ไม่ยอมให้ข้อมูลใดๆ ยันวันที่ 24 ม.ค. มีรายงานฉบับแรกออกสู่สาธารณชนแน่ ศาลนัดสืบพยานคดีก่อการร้ายนัดแรกวันที่ 28 ก.พ. ห้ามคนไม่เกี่ยวข้องเข้าฟัง กำชับ “จตุพร-วีระ-การุณ” ที่ได้รับประกันตัวให้เข้าฟังสืบพยานด้วย นักวิชาการจวกรัฐบาลเวลาผ่านมาเกือบ 1 ปีชี้แจงไม่ได้ความรุนแรงเกิดจากอะไร ใครต้องเป็นคนรับผิดชอบ

ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 908 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก วันที่ 17 ม.ค. 2554 ศาลนัดสอบคำให้การและตรวจพยานหลักฐานคดีพนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ฟ้องนายวีระ มุสิกพงศ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นายจตุพร พรหมพันธุ์, นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช., นายการุณ โหสกุล ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคเพื่อไทย กับพวกรวม 19 คน เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันก่อการร้าย มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป กระทำการเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายและก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง โดยผู้กระทำความผิดคนหนึ่งคนใดมีอาวุธ เมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแล้วไม่เลิก และฝ่าฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548

เริ่มสืบพยานคดีก่อการร้าย 28 ก.พ.

ศาลอธิบายคำฟ้องให้นายจตุพรและนายการุณฟังจนเป็นที่เข้าใจแล้วสอบคำให้การ จำเลยให้การปฏิเสธ ประกอบกับทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยยื่นคำร้องเข้ามาหลายกรณี จึงนัดสืบพยานครั้งแรกวันที่ 28 ก.พ. โดยกำชับให้นายจตุพร นายการุณ และนายวีระ ที่ได้รับการประกันตัวให้มาฟังการสืบพยาน และสั่งห้ามไม่ให้ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องร่วมฟังการพิจารณา

นายคารม พลทะกลาง ทนายความ นปช. เปิดเผยว่า เตรียมยื่นคำร้องขอเปลี่ยนตัวผู้พิพากษาต่อนายบูรณ์ ฐาปนดุลย์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา เนื่องจากเห็นว่าไม่เปิดโอกาสให้จำเลยได้ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ ไม่พิจารณาคดีอย่างเปิดเผย

จวกรัฐบาลคิดปิดกั้นการชุมนุม

นายประแสง มงคลศิริ รักษาการเลขาธิการ นปช. กล่าวว่า รัฐบาลกำลังพยายามปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของประชนชนด้วยการเร่งผลักดันออกกฎหมายควบคุมการชุมนุมในที่สาธารณะ

“การชุมนุมของประชาชนทุกกลุ่มที่มีผู้เข้าร่วมจำนวนมากจำเป็นต้องใช้พื้นที่สาธารณะ แต่วันนี้เราไม่มีพื้นที่ใช้ชุมนุม สนามหลวงก็ถูกปิดกั้น เมื่อไม่มีสถานที่ที่จะชุมนุมได้ก็ต้องชุมนุมในพื้นที่ที่กระทบต่อประชาชน” นายประแสงกล่าวพร้อมยืนยันว่า การชุมนุมใหญ่ที่ราชประสงค์ในวันที่ 23 ม.ค. นี้จะมีตามกำหนดเดิม โดยจะมีการเคลื่อนการชุมนุมไปที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ส่วนกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจที่อ้างว่าได้รับความเดือดร้อนจากการชุมนุมนั้น อยากขอร้องว่าอย่าร่วมมือกับรัฐบาลเพื่อทำลายความชอบธรรมของผู้ชุมนุม ผู้ประกอบการควรตั้งหลักใหม่ เพราะทุกคนรู้ดีว่าคราวที่แล้วใครเป็นคนเผา

ญี่ปุ่นเกาะติดความคืบหน้าคดีช่างภาพ

ที่พรรคเพื่อไทย นายโนบุอากิ อิโตะ อัครราชทูตญี่ปุ่นฝ่ายการเมืองประจำประเทศไทย เข้าพบ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย โดยใช้เวลาพูดคุยกันนานกว่า 1 ชั่วโมง จึงเดินทางกลับโดยไม่มีใครเปิดเผยรายละเอียดของการหารือครั้งนี้ แต่คาดการณ์ว่าน่าจะมาติดตามเรื่องช่างภาพญี่ปุ่นเสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อปีที่แล้ว เนื่องจากคดีไม่คืบหน้าเท่าที่ควร

ทั้งนี้ มีรายงานข่าวจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แจ้งว่า จะมีการสรุปผลสอบสวนการเสียชีวิตของประชาชนจากเหตุการณ์วุ่นวายทางการเมือง 89 ศพภายในสัปดาห์นี้ และจะแถลงให้ประชาชนได้รับทราบ แต่ส่วนใหญจะไม่ระบุว่าใครเป็นคนทำให้เสียชีวิต

อนุ คอป. แจงคืบหน้าสอบข้อเท็จจริง

ด้านการประชุมคณะกรรมการติดตามสถานการณ์บ้านเมือง วุฒิสภา ที่มีนายจิตติพจน์ วิริยะโรจน์ ส.ว.ศรีสะเกษ เป็นประธาน ได้เชิญนายสมชาย หอมลออ ประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุวุ่นวายทางการเมืองช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. 2553 ซึ่งเป็นคณะอนุกรรมการในคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) มาชี้แจงความคืบหน้าการทำงาน

นายสมชายชี้แจงกับที่ประชุมว่า คอป. ทำงานภายใต้กรอบ 3 ข้อคือ ค้นหาความจริงของเหตุการณ์ หามาตรการเยียวยาช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบทุกฝ่าย และหาเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง

ยันวันที่ 24 ก.พ. สรุปรายงานรอบแรก

“คอป. ต้องรายงานความคืบหน้าการทำงานต่อรัฐบาลทุก 6 เดือน ซึ่งวันที่ 24 ม.ค. นี้จะสรุปรายงานความคืบหน้าครั้งที่ 1 นอกจากเสนอต่อนายกรัฐมนตรีแล้วยังจะเปิดเผยต่อสาธารณชนด้วย ซึ่งในรายงานจะไม่มีการสรุปว่าฝ่ายใดผิด ฝ่ายใดถูก แต่จะเป็นการนำเสนอข้อมูลเพื่อให้เกิดความปรองดองมากกว่า”

นายสมชายระบุว่า การทำงานของคณะอนุกรรมการมีข้อจำกัดตรงที่ไม่มีอำนาจบังคับผู้เกี่ยวข้องมาชี้แจงหรือให้ข้อมูลได้ ได้แต่ขอความร่วมมือ แต่ก็พยายามทำความเข้าใจกับทุกฝ่าย ซึ่งได้รับความร่วมมือด้วยดีทั้งผู้ชุมนุม ญาติผู้ชุมนุม แกนนำ และเจ้าหน้าที่รัฐ

ได้ข้อมูลที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อน

“ข้อมูลที่ได้จากผู้สื่อข่าวทั้งในและต่างประเทศมีประโยชน์มาก เพราะว่ามีพยานหลักฐานที่เชื่อถือได้ทั้งที่เป็นภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว การทำงานของคณะอนุกรรมการได้ข้อมูลบางอย่างที่ไม่เคยเปิดเผยต่อสาธารณชนมาก่อน อย่างไรก็ตาม คณะอนุกรรมการยังไม่ได้ข้อมูลในส่วนของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ทั้งที่ขอความร่วมมือไป 2 ครั้งแล้ว หากยังไม่ได้คงต้องรายงานต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อให้สั่งการ”

นายสมชายกล่าวอีกว่า การทำงานของ คอป. หากเห็นว่ามีเรื่องจำเป็นสามารถเสนอต่อรัฐบาลได้ตลอดเวลา ซึ่งที่ผ่านมาอย่างเรื่องข้อเสนอให้ประกันผู้ชุมนุมที่อยู่ในเรือนจำทั้งผู้ชุมนุมทั่วไปและแกนนำ โดย คอป. เห็นว่าหากปราศจากเหตุผลอันควรในการควบคุมตัวจะทำให้มีปัญหาจนเป็นอุปสรรคต่อการสร้างความสมานฉันท์ปรองดองได้

แฉเสื้อแดงโดนหลอกให้รับสารภาพ

“รัฐบาลก็ตอบสนองข้อเสนอดี แต่ติดที่บางคนถูกตั้งข้อหาแรงไป เช่น ก่อการร้าย แม้การให้หรือไม่ให้ประกันจะเป็นดุลยพินิจของศาล แต่คู่ความคือพนักงานสอบสวนสามารถให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อจำเลยได้ คอป. จึงแนะไปว่าหน่วยงานฝ่ายรัฐต้องคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพและหนทางไปสู่ความปรองดอง ซึ่งการทำงานที่ผ่านมาพบว่าผู้ต้องหาคดีเล็กน้อย เช่น ละเมิดเคอร์ฟิว หรือละเมิดข้อห้ามในการชุมนุม แต่ไม่มีทนายช่วยสู้คดีเพราะไม่มีเงินก็ได้รับความเสียหายเกินจำเป็น เช่น มีคนร้องเรียนว่าพนักงานสอบสวนให้คำแนะนำให้รับสารภาพเพราะโทษเบาเหมือนเล่นไพ่ ศาลก็จะรอลงอาญา แต่สุดท้ายเมื่อรับสารภาพศาลก็ลงโทษสถานหนักจำคุก 1 ปี ตรงนี้ คอป. อาจเสนอให้มีกองทุนช่วยเหลือประชาชนที่ตกเป็นจำเลยด้านกฎหมาย เพราะถ้ามีทนายก็อาจจะสู้ในชั้นอุทธรณ์หรือขอประกันตัวออกมาก่อนได้ ไม่เช่นนั้นคนจนจะยิ่งรู้สึกกระทบจิตใจ ตอกย้ำสิ่งที่เขารู้สึกว่ามี 2 มาตรฐาน” นายสมชายกล่าวและว่า อีกประเด็นสำคัญที่ คอป. พบคือ มีพนักงานสอบสวนบางคนยอมรับว่าการทำงานคำนึงถึงการตอบสนองผู้ใหญ่บางรายที่สั่งการมามากกว่าความยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน เรื่องนี้สำคัญ เพราะถือว่าไม่เป็นมืออาชีพ ไม่ยึดหลักนิติรัฐ จึงต้องเสนอให้ปรับปรุงกระบวนการยุติธรรมต่อไป

ห่วงใช้อำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่สุด

นายสมชายกล่าวอีกว่า ในประเด็นละเมิดสิทธิมนุษยชนผู้คุมขังเท่าที่ตรวจพบไม่มีอะไรร้ายแรง อาจมีบางรายที่ได้รับบาดเจ็บระหว่างการจับกุมหรือถูกขังในสถานที่ไม่สมควรระหว่างใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่สิ่งที่ คอป. ห่วงมากที่สุดคือการใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินมากกว่า เพราะมีคนตั้งคำถามเข้ามามากโดยเฉพาะชาวต่างชาติว่ามากเกินไปหรือไม่ ในวงการทูตแต่ละประเทศมีความเห็นแตกต่างกัน มีทั้งที่เห็นด้วยกับการกระทำของรัฐบาลและไม่เห็นด้วย

ไม่ควรปิดกั้นการแสดงความคิดเห็น

ส่วนเรื่องการชุมนุมเชิงสัญลักษณ์หลังเหตุการณ์ นายสมชายกล่าวว่า สิทธิการชุมนุมเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตย หากไม่สามารถใช้กลไกอื่นๆในการปกป้องสิทธิอันชอบธรรมของตนเองได้ สิ่งที่เกิดขึ้นได้สะท้อนให้เห็นว่าพื้นที่ทางการเมืองที่เคยมีไม่เพียงพอต่อการพัฒนาความ คิดทางการเมืองที่เติบโตมากขึ้นของคนกลุ่มต่างๆ แต่ฝ่ายรัฐยังไม่เข้าใจจึงไปปิดพื้นที่การแสดงความคิดเห็น ซึ่งไม่ใช่แนวทางที่เหมาะสมในการสร้างความปรองดอง โดยเฉพาะการอ้างเรื่องความั่นคงในการปิดสื่อ ซึ่ง คอป. เห็นว่าจะกระทบต่อการสร้างความปรองดอง การควบคุมสื่อควรให้องค์กรวิชาชีพทำกันเอง หลักคือควรเปิดกว้างให้มีการพูดคุยกันมากกว่าไปปิดปาก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมของคณะกรรมการครั้งต่อไปในวันที่ 24 ม.ค. ได้เชิญเจ้าของเว็บไซต์ที่ได้รับผลกระทบจากการสั่งปิดของรัฐบาลมาให้ข้อมูลต่อที่ประชุม

จวก 1 ปีไม่สรุปใครต้องรับผิดชอบ

รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกูล นักวิชาการมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน กล่าวในงานเสวนาเรื่อง “นักโทษ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อนมนุษย์ที่ถูกลืม” ที่กลุ่มนักศึกษาและอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง ในนามชมรมกังหันความคิดเป็นผู้จัด ตอนหนึ่งว่า ความรุนแรงทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาถูกคนในสังคมลืมและละเลย ทั้งที่มีผู้เสียชีวิตและถูกจับเป็นจำนวนมาก แต่ผ่านมาเกือบ 1 ปียังคงไม่มีคำตอบจากรัฐบาลว่าอะไรเป็นสาเหตุ และผู้กระทำความผิดที่แท้จริงเป็นใคร

ที่มา:หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

**********************************************************************

เตี้ยอุ้มค่อม !!!???

คนเดินตรอก โดย...วีรพงษ์ รามางกูร

เวลาไปไหนมาไหนมักจะมีหัวข้อที่ผู้คนไต่ถามอยู่เสมอก็คือ เศรษฐกิจโลกจะเป็นอย่างไร เศรษฐกิจ อเมริกาและยุโรปจะเป็นอย่างไร ดอกเบี้ยในตลาดโลกจะขึ้นหรือไม่ ราคาน้ำมันจะเป็นอย่างไร เป็นประเด็นสนทนาที่ผู้คนในวงการธุรกิจถามไถ่กันเป็นนักหนา

เวลากลับไปบ้านเวลาว่างก็พยายามนั่งคิดอยู่เสมอ เพราะเวลานี้มีเวลาว่างมาก เพราะเลิกอ่านข่าว เลิกดูข่าว เลิกฟังข่าวมานานแล้ว กลับไปซื้อภาพยนตร์ที่เป็นละครของไทย ญี่ปุ่น และเกาหลี เรื่องยาว ๆ มาดูเป็นที่เบิกบานสำราญใจ แต่สำหรับเรื่องเศรษฐกิจแล้วจะทำอย่างไร ก็ยังผ่านเข้ามาในมโนวิญญาณ ตั้งใจจะไม่สนใจอย่างไรก็ยังเข้ามาในสมอง ต้องเอาไปคิดไตร่ตรองอยู่อย่างตัดไม่ได้ขายไม่ขาด

ถ้าจำกันได้ปัญหาเศรษฐกิจระยะปานกลางคือ 5 ปี และระยะยาวคือ 10 ปีนั้น เป็นเรื่องที่สำคัญกว่าปัญหาระยะสั้น เพราะเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกานั้นเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ การจะเปลี่ยนทิศทางเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา เคยเปรียบเทียบว่าเหมือนเรือเอี้ยมจุ๊นที่บรรทุกทรายเต็มลำเรือ จะจมก็ค่อย ๆ จม และดึงขึ้นได้ยาก จะฉุดขึ้นต้องใช้แรงจากภายนอกมหาศาล เช่นมีการค้นพบวิทยาการผลิตหรือเทคโนโลยีใหม่ที่ทำให้สามารถผูกขาดได้เป็นเวลา 10 ปี รวมทั้งกิจการต่อเนื่อง เหมือนคราวก่อนที่พบเทคโนโลยีสารสนเทศแล้วนำมาประยุกต์กับกิจการธนาคาร สถาบันการเงินต่าง ๆ สามารถสร้างกลไกที่ผูกขาดการบริหารเงินออมของทั้งโลกได้ เพราะประดิษฐ์สินค้าทางการเงินออกมาได้ ทำให้สามารถสร้างมาตรฐานต่าง ๆ ที่ทำให้สำนักงานบัญชีและกฎหมาย ที่ปรึกษาทางการเงินในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกต้องจ่ายเป็นค่าธรรมเนียมในการใช้บริการทางบัญชี กฎหมายและการเงินให้กับบริษัท ของอเมริกาทั้งสิ้น เท่ากับสหรัฐอเมริกา เข้าผูกขาดตลาดทุนของทั้งโลกไว้ได้

หลังจากเกิดวิกฤตการณ์สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ ตลาดทุนของอเมริกาก็พังทลายลง กองทุนอีแร้งหรือกองทุนตรึงมูลค่าที่เขาเรียกว่า Hedge Funds ทั้งหลาย ก็เลยหมดอาชีพ บริษัทผลิตละมุนภัณฑ์ทั้งหลายก็ย้ายไปอยู่อินเดีย กองทุนต่าง ๆ ในอเมริกาก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามย่ามใจอย่างแต่ก่อน เพราะธนาคารกลางกับธนาคารพาณิชย์ที่เป็นรัฐวิสาหกิจของจีนทำตัวเป็นก้างขวางคอ บางครั้งก็ทำตัวเป็น กองทุนตรึงมูลค่า หรือกองทุนอีแร้งที่คอยตอบโต้กับกองทุนต่าง ๆ ของสหรัฐที่เก็งกำไรค่าเงินดอลลาร์ เงินยูโร เงินเยน รวมทั้งทองคำ นักเก็งกำไรทั้งหลายไม่กล้าทำมาก เพราะถ้าจีนตอบโต้ก็จะขาดทุนมหาศาล และจีนก็จะได้กำไรกลับไปอย่างมาก

ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมัน ถ่านหิน แร่ธาตุ และสินค้าอุตสาหกรรมที่เป็นวัตถุดิบ จีนก็เข้าคุมตลาดทั้งในด้านปริมาณและราคา กองทุนเก็งกำไรจะ ปั่นราคาขึ้นลงก็ลำบากมากขึ้น สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เคยสร้างกำไรให้อเมริกาก็หมดโอกาส มีแต่ขาดทุนให้จีนและประเทศอื่นมากขึ้น รายได้จากส่วนนี้ที่เคยเป็นของอเมริกาก็หายไป และยังไม่มีทีท่าว่าจะ กลับคืนมาง่าย ๆ

ส่วนที่เป็นสินค้าและบริการอื่น เช่น รถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน คอมพิวเตอร์ ดาวเทียม จรวดส่งดาวเทียม เครื่องมือเครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ ก็แข่งขันกับใครไม่ได้เลย และสินค้าของจีนที่ราคาถูกก็พัฒนาคุณภาพขึ้นเรื่อย ๆ กำลังไล่ญี่ปุ่นและเยอรมนีขึ้นมา ตลาดของอเมริกาไม่ว่าจะเป็นละตินอเมริกา แคนาดา ก็ถูกญี่ปุ่น เยอรมนี และจีนแย่งไปหมด จะเหลือก็แต่ยุโรปที่กองทุนของอเมริกายังทำมาหากินได้ เพราะความเชื่อมโยงระหว่างตลาดทุน ตลาดเงินของอเมริกากับยุโรปนั้นเชื่อมโยงกันอย่างหนาแน่น สินค้าทางการเงินที่นักการเงินของกองทุนและสถาบันการเงินของอเมริกาคิดขึ้น ก็จะขายในอเมริกาและยุโรปเป็นสำคัญ ความที่ตลาดทุนของอเมริกาและยุโรปเป็นตลาดทุนที่สำคัญผู้ออมในยุโรปและอเมริกาจึงได้ผลตอบแทนจากธุรกิจการเงินเหล่านี้เป็นจำนวนมาก

เมื่ออเมริกาทรุดลง อเมริกาก็หวังว่าเมื่อค่าเงินของตนทรุดลงเมื่อเทียบกับเงินยูโรและเงินเยนแล้วจะทำให้อเมริกามีความสามารถในการแข่งขัน แต่การณ์กลับเป็นว่ายิ่งทำให้ยุโรปทรุดหนักลงไปมากกว่า สาเหตุส่วนหนึ่งและเป็นส่วนใหญ่ เพราะค่าเงินยูโรแข็งขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์และเงินหยวนของจีน

ค่าเงินยูโรที่แข็งขึ้นเกินธรรมชาติ ทำให้เศรษฐกิจทั้งยุโรปอ่อนแอลง สถาบันการเงินในยุโรปโดยเฉพาะประเทศที่อ่อนแอ เช่น กรีซ ไอร์แลนด์ โปรตุเกส และสเปน มีปัญหาและหนักขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดกรีซและไอร์แลนด์ก็ต้องเข้าโครงการของกองทุนยุโรปและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ นโยบายการเงินที่สำคัญคือ อัตราแลกเปลี่ยนและดอกเบี้ยก็ใช้ไม่ได้ เพราะประเทศต่าง ๆ ไม่มีเงินของตนเอง

ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่เป็นวัตถุดิบที่ตั้งราคาเป็นดอลลาร์ แทนที่จะอยู่คงเดิม ก็แข่งขันกันขึ้นราคา ต้นทุน การผลิตซึ่งแข่งขันไม่ได้อยู่แล้วก็แพงขึ้น

ค่าเงินยูโรที่เคยแข็งขึ้นก็อ่อนตัวลดค่าลงอย่างรวดเร็ว ค่าเงินดอลลาร์จึงกลับมาแข็งค่าก็ยิ่งซ้ำเติมอเมริกาและยุโรปจึง กลายเป็นเตี้ยอุ้มค่อมไป ดูแล้วคงลำบาก

เมื่อประธานาธิบดีอเมริกาประกาศใช้เงิน 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ และยุโรปใช้เงิน 8 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจตามแนวความคิดของสำนักชิคาโก หรือสำนักนโยบายการเงิน กล่าวคือ เอาไปอุ้มสถาบันการเงิน และบริษัทยักษ์ใหญ่ไม่ให้ล้มเท่านั้น ไม่ได้เอาไปลงทุนเพื่อสร้างงาน

ไม่เกิดผลอะไรในภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง เพียงแต่ทำให้ดอกเบี้ยระยะสั้นลดลง แต่ดอกเบี้ยระยะยาวไม่ยอมลด เพราะราคาพันธบัตรของอเมริกาและยุโรปที่หมุนเวียนอยู่ในตลาดอยู่แล้วมีราคาลดลง เป็นเหตุ มาจากการที่รัฐบาลนำพันธบัตรใหม่ออกมาขายเพื่อเอาเงินไปกระตุ้นเศรษฐกิจของอเมริกาและยุโรปมีรวมกันถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์ การเพิ่มปริมาณพันธบัตรให้มีมากขึ้น ราคาพันธบัตรเก่าก็ตกผลตอบแทนของพันธบัตรระยะยาวก็ขึ้นดอกเบี้ยระยะยาวแทนที่จะลดลงตามปริมาณเงินที่มากขึ้นกลับไม่ลดลง

กองทุนภาคเอกชนไม่เกิด การสร้างงานไม่มี การว่างงานสูงขึ้นเรื่อย ๆ แต่สถาบันการเงินและบริษัทใหญ่ที่อุ้มไว้ไม่ล้ม
เมื่อสถานการณ์ไม่ดีขึ้น อเมริกาก็ประกาศมาตรการเพิ่มปริมาณเงินอีก8 แสนล้านบาท คราวนี้ไม่ทำเหมือนเดิมแต่ทำตรงกันข้าม กล่าวคือ เพื่อให้ดอกเบี้ยระยะยาวลดลง ธนาคารกลางจึงปล่อยเงินให้กระทรวงการคลังกู้เอาไปซื้อพันธบัตรคืนเป็นระลอก ๆ เมื่อกระทรวงการคลังอเมริกาซื้อพันธบัตรคืน ราคาพันธบัตรก็ขึ้นผลตอบแทนของพันธบัตรระยะยาวก็ตก ดอกเบี้ยระยะยาวก็คงจะต้องตกเหมือนกัน แต่ปริมาณเงินดอลลาร์ในอเมริกา ในยุโรป และในตลาดโลกก็จะมากขึ้น ทำให้สภาพคล่องมีเพิ่มขึ้น แต่ค่าเงินดอลลาร์เทียบกับยุโรปกลับแข็งขึ้น สถานการณ์จึงเป็นสถานการณ์ที่แปลก นโยบายครั้งแรกกับครั้งที่สองซึ่งกลับกันก็เลยเหมือนลิงแก้แห

สำหรับญี่ปุ่นเงินเยนแข็งขึ้นอย่างรวดเร็ว รัฐบาลเอาไว้ไม่อยู่ แต่ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมญี่ปุ่นจะไม่เหมือนเมื่อครั้งทศวรรษที่ 1980 และ 1990 เพราะหลังวิกฤตการณ์ค่าเงินเยนเที่ยวนั้น ญี่ปุ่นได้ย้ายฐานการผลิตออกจากญี่ปุ่นไปอเมริกา ยุโรป บราซิล เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผลกระทบครั้งนี้จึงน้อยลง แต่ก็คงจะเกิดการย้ายฐานผลิตออกจากญี่ปุ่นอีก แต่ คราวนี้คงไม่ไปอเมริกาและยุโรป คงไปจีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และละตินอเมริกาอีกระลอกหนึ่ง เราควรจะตั้งรับการย้ายฐานการผลิตที่สำคัญ เช่น อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสูงขึ้น ผลของการที่ค่าเงินเยนแข็งขึ้นครั้งนี้ ผลกระทบต่อญี่ปุ่นจึงวิเคราะห์ได้ยาก เพราะฐานการผลิตของญี่ปุ่นมีกระจายอยู่ทั่วโลก แต่สำนักงานใหญ่ของทุกที่ยังอยู่ที่ญี่ปุ่น

การที่สภาพคล่องของดอลลาร์สหรัฐมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะ 3-4 ปีมานี้ จะทำให้ราคาสินค้า โดยเฉพาะ อย่างยิ่งของที่มีอยู่อย่างจำกัด เช่น น้ำมัน ถ่านหิน พลังงานอื่น ๆ ทองคำ ทองแดง เหล็ก อะลูมิเนียม รวมทั้งสินค้าทางด้านเกษตร เช่น ยางพารา อ้อยและน้ำตาล และธัญพืชอื่นที่ใช้เป็นพลังงานทดแทน เช่น ข้าวโพด มันสำปะหลัง และธัญพืชที่ใช้เป็นอาหารมีราคาสูงขึ้น เป็นการปรับราคาครั้งใหญ่ เหมือนกับครั้งที่อเมริกาประกาศ ออกจากมาตรฐานทองคำ เหมือนกับเมื่อเกิดวิกฤตการณ์น้ำมันครั้งที่หนึ่ง ประเทศต่าง ๆ ที่เป็นเจ้าของทรัพยากรเหล่านั้นจะยังไม่เดือดร้อน ประเทศที่มีฐานะการแข่งขันสูงกว่าอเมริกาและยุโรปก็จะได้ประโยชน์

การปรับราคาครั้งใหญ่เกิดจากปริมาณเงินหรือปริมาณสภาพคล่องเพิ่มขึ้น ส่วนการปรับราคาเมื่อตอนเกิดวิกฤตการณ์น้ำมันครั้งที่หนึ่งก็เกิดจากสภาพคล่องมีจำนวนมากขึ้น อันเนื่องมาจากดอลลาร์สหรัฐออกจากมาตรฐานทองคำแล้ว การเพิ่มปริมาณดอลลาร์สหรัฐทำให้กลุ่มโอเปกขึ้นราคาน้ำมันเพื่อชดเชยการลดลงของค่าเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับทองคำ ซึ่ง เมื่อก่อนสหรัฐกำหนดไว้ที่ 36 ดอลลาร์ต่อ 1 ทรอยออนซ์ กลายเป็น 350-400 ดอลลาร์ต่อ 1 ทรอยออนซ์
ต่อจากนั้นก็เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง ภาวะเศรษฐกิจของโลกก็เริ่มทรุดลง เพราะการพุ่งขึ้นของดอกเบี้ย การยอมให้ดอกเบี้ยสูงขึ้นเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อจึงเป็นเรื่องที่ผิด เพราะสาเหตุของเงินเฟ้ออยู่ที่ ค่าเงินดอลลาร์ตก

ถ้าราคาน้ำมันและพลังงานยังสูงขึ้นต่อไปเพื่อชดเชยกับค่าเงินดอลลาร์ที่ตกลงไปอีก ภาวะเศรษฐกิจซบเซาแต่มีเงินเฟ้อก็จะเกิดขึ้น จนเกิดวิกฤตการณ์น้ำมันครั้งที่สองที่ซ้ำเติมโดยธนาคารกลางสหรัฐ โดยประธานธนาคารกลางสหรัฐ ชื่อพอล วอล์กเกอร์ ประกาศขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ซึ่งไม่ได้ผล แต่ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐและโลกซบเซาอย่างหนักในทศวรรษ ที่ 1980 จนกระทั่งเกิดเทคโนโลยีใหม่ คือ เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ IT

ก็ได้แต่หวังว่าเมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อเพราะการเพิ่มปริมาณเงินอย่างมโหฬารครั้งนี้ อเมริกาคงไม่เบาปัญญาอย่างคราวที่แล้ว ที่ประกาศขึ้นดอกเบี้ยอย่างบ้าเลือดในสมัยประธานาธิบดีรีแกน ปล่อยให้ ธปท.ขึ้นไปประเทศเดียวเถิด
อนาคตของอเมริกาและยุโรปยังคงมืดมนหนักต่อไป

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ

สะพัด!!"เฉลิม"เตรียมทิ้ง"พท." เหตุขัดแย้งด้านแนวคิดชู"แม้ว" เล็งตั้งพรรคใหม่ดึง"เสี่ยอ่าง-นิติภูมิ"ร่วม

รายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทย (พท.) แจ้งว่า หลังศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจในสมัยประชุมสภาสามัญที่จะถึงนี้ มีแนวโน้มว่า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน จะลาออกจากตำแหน่งประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย และมีแนวโน้มเป็นไปได้สูงว่า ร.ต.อ.เฉลิม อาจจะลาออกจากตำแหน่ง ส.ส.สัดส่วน ในลำดับต่อมา คาดว่าจะเป็นในช่วงราวเดือนกรกฎาคม ทั้งนี้เนื่องจาก ร.ต.อ.เฉลิม มีความเห็นที่ขัดแย้งกับแกนนำของพรรคบางคนเรื่องการชูหรือขายภาพลักษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ ร.ต.อ.เฉลิม เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยยังคงต้องดำเนินตามแนวทางนโยบายของ พ.ต.ท.ทักษิณ และยังต้องขายภาพลักษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในการเลือกตั้งครั้งหน้าต่อไป แต่แกนนำสำคัญของพรรคหลายคนไม่เห็นด้วย เพราะจะทำให้พรรคเพื่อไทยตกเป็นเป้าทางการเมืองแบบไม่รู้จักจบสิ้น

รายงานข่าวจากคนใกล้ชิด ร.ต.อ.เฉลิมยืนยันว่า กระแสดังกล่าวเป็นความจริง เนื่องจาก ร.ต.อ.เฉลิมได้เรียกครอบครัวและคนใกล้ชิดประชุมหารือถึงแนวทางในการทำงานการเมืองต่อไป พร้อมตัดสินใจว่า จะเดินออกจากพรรคเพื่อไทยในเวลาที่เหมาะสม เพราะแม้อยู่พรรคเพื่อไทย ก็ไม่สามารถช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณได้ อีกทั้งครอบครัวก็สนับสนุนให้ทำงานการเมืองต่อไป โดยให้ตั้งพรรคการเมืองใหม่ขึ้นมา ที่มีลักษณะคล้ายพรรคมวลชนในอดีตที่ ร.ต.อ.เฉลิมเคยเป็นหัวหน้าพรรค โดยหวัง ส.ส.ในสภาแค่ 5-7 ที่นั่ง เน้นในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล ภายใต้สโลแกน ลดความขัดแย้ง เน้นการปรองดอง

"ครอบครัวอยู่บำรุงเห็นพ้องต้องกันว่า ควรออกมาตั้งพรรคการเมืองเล็กๆ เพื่อทำงานการเมืองต่อไป โดยจะมีการขายที่ดินแถวลาดบัวหลวง เพื่อนำมาใช้ทำงานการเมือง โดยมีชูวิทย์ (กมลวิศิษฎ์ อดีต ส.ส.กทม. พรรคชาติไทย) และ ร.ต.อ.นิติภูมิ (นวรัตน์) เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการตัดสินใจครั้งนี้ และมี ส.ส.กทม. และผู้สมัคร กทม. บางส่วน จะติดสอยห้อยตามมาด้วยŽ แหล่งข่าวใกล้ชิด ร.ต.อ.เฉลิมระบุ

ข่าวแจ้งอีกว่า นอกจากเรื่องดังกล่าวแล้ว ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งคือความไม่ชัดเจนในการเป็นผู้สมัคร ส.ส.กทม.ของลูกชาย ที่ ร.ต.อ.เฉลิมพยายามเสนอแนวทางการแยกกรุงเทพฯ ออกเป็น 3 ส่วน เพื่อปกครองและคัดสรรตัวผู้สมัครไม่ให้อำนาจการตัดสินใจทั้งหมดไปตกอยู่ที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เพียงคนเดียว แต่ พ.ต.ท.ทักษิณก็ปฏิเสธแนวทางดังกล่าว อีกทั้งมีกระแสว่านายทหารระดับสูงและข้าราชการสายกระทรวงยุติธรรมที่ ร.ต.อ.เฉลิมคุ้นเคยหลายคนพยายามส่งสัญญาณเพื่อให้ ร.ต.อ.เฉลิมตัดสินใจในทางการเมือง

ที่มา.มติชนออนไลน์
---------------------------------------------------------

วันจันทร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2554

ทางตันและทางออกของชนชั้นนำไทย (2)

โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
เมื่อสังคมเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเมื่อเกิดคนกลุ่มใหม่จำนวนมากที่ต้องการเข้ามาแบ่งพื้นที่ทางการเมืองบ้าง ชนชั้นนำสามารถปรับตัวให้ทันการณ์ได้หรือไม่?

โอกาสเช่นนั้นเกิดขึ้นได้เหมือนกัน แต่ไม่ง่ายนัก และมักจะมีเงื่อนไขอื่นๆ ที่กดดันชนชั้นนำร่วมไปด้วย ดังกรณีอังกฤษหลังการปฏิวัตินองเลือดของครอมแวลล์ ชนชั้นนำสามารถประนีประนอมกันเองได้ เพื่อปราบปรามฝ่ายปฏิวัติ ในขณะเดียวกันก็จำกัดอำนาจของสถาบันกษัตริย์ลง โดยเชิญเจ้านายต่างประเทศขึ้นครองบัลลังก์ แล้วสร้างอำนาจที่แข็งแกร่งของสภาขึ้น

แต่เพราะชนชั้นนำอังกฤษมีรากฐานของผลประโยชน์ที่ขัดแย้งกัน ชนชั้นนำจึงไม่ได้ประสานกันจนเป็นกลุ่มก้อนเนื้อเดียวกันนัก การแข่งขันของชนชั้นนำในสภาจึงเป็นผลให้ขยายสิทธิประชาธิปไตยออกไปกว้างขึ้นเรื่อยๆ เพื่อดึงเสียงสนับสนุนจากประชาชนระดับล่าง ซึ่งกำลังต้องการพื้นที่ทางการเมืองของตนเองพอดี

แม้จะขัดแย้งกัน แต่ชนชั้นนำอังกฤษก็ยังมีฉันทามติร่วมกันอยู่อย่างน้อยสามประการคือ

1) รักษาสถาบันกษัตริย์เอาไว้เพื่อเป็นผู้อำนวยความชอบธรรมทางกฎหมายของอำนาจที่จัดสรรกัน และแย่งกันมาได้

2) แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่มีใครเรียกร้อง ม.7 เพราะทุกฝ่ายเห็นพ้องว่าต้องจำกัดอำนาจของสถาบันกษัตริย์เอาไว้

และ 3) ต้องหลีกเลี่ยงการปฏิวัติของประชาชนระดับล่าง

บทเรียนในสมัยครอมแวลล์ชี้ให้เห็นว่า การปฏิวัติจะนำมาซึ่งการรื้อทำลายโครงสร้างอำนาจจนเละเทะ

โอกาสแห่งความสำเร็จเช่นนี้ไม่เกิดกับชนชั้นนำรัสเซีย, เยอรมนี, ฝรั่งเศส, และไทย

ในกรณีของไทย แม้ว่าก่อนการปฏิวัติใน พ.ศ.2475 ชนชั้นนำระดับบนแตกร้าวกันเองอย่างหนัก แต่ที่จริงแล้วรากฐานของผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของชนชั้นนำไทยในช่วงนั้น เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คืออภิสิทธิ์จากกำเนิด ความแตกร้าวจึงมาจากการแย่งชิงความโปรดปรานของอำนาจสูงสุด ไม่ใช่การปรับเปลี่ยนสังคมเพื่อตอบสนองผลประโยชน์ของตนเอง ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไทยจึงออกจะแข็งทื่อ ไม่สามารถปรับตัวเองเพื่อรองรับการขยายตัวของคนชั้นกลางผู้มีการศึกษาซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นได้

ชนชั้นนำไทยอาจมีชื่อเสียงในการปรับตัว เพื่อรับกับความเปลี่ยนแปลงที่มาจากภายนอก เช่นจักรวรรดินิยมของคริสต์ศตวรรษที่ 19 หรือสงครามมหาเอเชียบูรพา หรือสงครามเย็น แต่ชนชั้นนำไทยไม่เคยแสดงความสามารถเท่ากันเมื่อต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงที่มาจากภายใน

ร้ายไปกว่านั้น ชนชั้นนำไทยยังไม่มีองค์กร, สถาบัน หรือเครื่องมือสำหรับการปรึกษาหารือระดมความคิด แต่กลับเคยชินกับการตัดสินใจของผู้นำที่ชาญฉลาดและมีบารมีเพียงคนเดียว ปราศจากผู้นำลักษณะนั้น ชนชั้นนำก็เหลือกลวิธีในการเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงอยู่อย่างเดียว คือความรุนแรงซึ่งมักจะทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลง (ดังเช่นการจัดการกับ พคท.)

ฉะนั้น เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีตแล้ว ความเป็นไปได้ที่ชนชั้นนำไทยจะปรับตัวเพื่อเผชิญวิกฤตที่เกิดจากความเปลี่ยนแปลงภายในในครั้งนี้ จึงดูจะเกิดขึ้นได้ยาก แต่ในทางตรงกันข้าม วิกฤตครั้งนี้ก็ดูจะไม่ร้ายแรงเท่ากับวิกฤตในอดีต

อย่างน้อยการเคลื่อนไหวของคนชั้นกลางระดับล่างไม่ได้มุ่งไปสู่การ "ปฏิวัติ" ไม่ถึงกับมุ่งจะโค่นล้มอำนาจและผลประโยชน์ของกลุ่มอื่นอย่างเด็ดขาด จึงแตกต่างจากการเคลื่อนไหวของ พคท. ไม่น่ากลัวเท่าการเคลื่อนไหวของคณะราษฎร (ซึ่งในขณะนั้นถูกคนบางกลุ่มตีความว่าเป็นสาธารณรัฐนิยม) และไม่น่าหวั่นวิตกเท่ากับการเคลื่อนไหวของนักศึกษาหลัง 14 ตุลาด้วยซ้ำ

จนถึงนาทีนี้ คนเสื้อแดงเพียงแต่ต้องการเปิดพื้นที่ทางการเมืองผ่านระบบเลือกตั้ง และให้ทุกฝ่ายเคารพผลของการเลือกตั้งเท่านั้น

ในแง่นี้ หากชนชั้นนำต้องการปรับตัวเพื่อตอบรับกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมไทย จึงไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไปนัก นั่นคือยอมให้การเมืองเลื่อนไหลเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย โดยไม่ขัดขวางบิดเบือนอำนาจอธิปไตยอันเป็นของประชาชน

อย่างน้อยก็ต้องไม่ลืมว่า การเมืองระบอบนี้เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้ต่อรอง และในเกมการต่อรอง ชนชั้นนำมีพลังในการต่อรองสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ นับเป็นการสิ้นคิดอย่างมาก หากชนชั้นนำไปเข้าใจว่า เครื่องมือของการต่อรองมีแต่เพียงอำนาจดิบจากกองทัพ

ชนชั้นนำควรผลักดันให้มีการเลือกตั้งทั่วไปโดยเร็ว และไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาอย่างไร ก็ต้องยอมรับผลนั้นโดยไม่แทรกแซง ไม่ว่าใครจะจัดตั้งรัฐบาล ชนชั้นนำก็ยังเป็นฝ่ายต่อรองได้สูงสุดอยู่นั่นเอง ชนชั้นนำจึงควรเลิกอุ้มพรรคการเมืองที่ไม่มุ่งจะเล่นการเมืองในระบบเลือกตั้งเสียที

การกลับคืนสู่บรรยากาศประชาธิปไตยยังหมายถึง การปลดปล่อยนักโทษทางมโนธรรมสำนึกซึ่งต้องจำขังหรือติดคดีใดๆ เวลานี้ทั้งหมด ประกันสิทธิพลเมืองตามกฎหมายอย่างจริงจัง รวมทั้งเสรีภาพของสื่อทุกชนิด ซึ่งจะไม่ถูกคุกคามโดยทางลับหรือเปิดเผย

อย่าลืมว่าบรรยากาศประชาธิปไตยนั้น แม้จะให้โอกาสแก่คนกลุ่มอื่นๆ แต่ก็ให้โอกาสการต่อสู้แก่ชนชั้นนำได้เหมือนกัน ซ้ำชนชั้นนำยังมีทรัพยากรทางการเมืองและวัฒนธรรมเหนือกลุ่มใด ที่จะใช้หลักประกันสิทธิเสรีภาพของประชาธิปไตยอย่างได้ผลกว่าด้วย

ในขณะที่การต่อสู้ทางการเมืองที่อาศัยการโฆษณาชวนเชื่อไม่ได้ผลแล้ว บรรยากาศประชาธิปไตยจะทำให้ต้องหันมาต่อสู้กันด้วยเหตุผลและข้อมูลความรู้ ชนชั้นนำกุมทรัพยากรการเมืองประเภทนี้ไว้มากที่สุด จึงไม่ควรคิดว่าบรรยากาศประชาธิปไตยจะนำความอัปราชัยย่อยยับแก่ตนง่ายๆ

ยิ่งกว่านั้นการโต้เถียงกันด้วยเหตุผลยังช่วยทำให้ชนชั้นนำรู้ตัวว่า จะต้องปรับตัวในก้าวต่อไปอย่างไร จึงจะสามารถรักษาการนำทางการเมืองของตนไว้ได้

การปิดกั้นความคิดเห็นของผู้อื่นจึงมีผลเท่ากับปิดกั้นตนเอง

กองทัพหมดความสำคัญทางการเมืองเสียแล้ว ฉะนั้นควรเร่งนำกองทัพกลับกรมกอง กองทัพจะไม่สามารถได้งบประมาณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนเดิม และจะหมดภาวะการนำไปจนสิ้นเชิงในอนาคต ในส่วนกองทัพเองก็ยังอาจมีบทบาทใหม่ ปรับตัวเองให้มีศักยภาพในการเผชิญกับภัยคุกคามทางทหารจากศัตรูภายนอก ในสถานการณ์ใหม่ ไม่เกี่ยวอะไรกับการเมืองภายใน กองทัพก็จะเป็นที่ต้อนรับของประชาชน เพราะไม่คุกคามใคร เป็นกลไกของรัฐที่คนส่วนใหญ่เห็นว่าจำเป็นขาดไม่ได้ สถานะของกองทัพกลับจะมีความมั่นคงทางการเมืองมากกว่าการเป็นเครื่องมือของกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด

นี่เป็นเพียงตัวอย่างว่า ชนชั้นนำจะสามารถปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงเท่าใดนัก แต่ในความเป็นจริงแล้ว โอกาสที่จะเกิดขึ้นได้มีน้อยมาก

ชนชั้นนำไทยนั้นประกอบขึ้นจากหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มไม่ได้มีการนำภายในกลุ่มของตนเอง และมักจะแก่งแย่งผลประโยชน์กันพอสมควร ฉะนั้นในแง่ของบทบาทและสถานะทางการเมืองของชนชั้นนำ จึงต้องอาศัยการนำของผู้ที่มีอำนาจทางวัฒนธรรมสูง เกาะเกี่ยวกันอยู่ได้ด้วยการยอมรับการนำของผู้นำ

แต่ภาวะการนำของผู้นำหลังรัฐประหาร 2549 เป็นต้นมา อ่อนแอลงตามลำดับ เป็นผลให้กลุ่มต่างๆ ในเครือข่ายเกิดความแตกร้าวภายในมากขึ้น (เช่นผู้สื่อข่าวต่างประเทศบางรายวิเคราะห์ว่า มีความหวาดระแวงและแตกร้าวในกองทัพมากขณะนี้ ยังไม่พูดถึงทุนธุรกิจและพรรคการเมือง)

ปีกเสรีนิยมของชนชั้นนำที่เคยอาศัยบารมีของผู้นำสร้างการปรับตัวครั้งใหญ่ในพ.ศ.2540 สูญเสียอิทธิพลของตนลง การจัดระบบของรัฐธรรมนูญ 2540 ไม่ได้รับความเชื่อถือว่าจะประกันความมั่นคงของชนชั้นนำได้ (จนนำมาสู่การรัฐประหาร) ในขณะที่ตัวบุคคลในปีกนี้ก็ได้รับความนิยมในหมู่ประชาชนน้อยลง ไม่เฉพาะในหมู่คนเสื้อแดงเท่านั้น แต่รวมถึงคนชั้นกลางระดับบนบางส่วนด้วย

ดังนั้นผมจึงเชื่อว่า แม้การปรับตัวของชนชั้นนำไทย เพื่อเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ-สังคมที่เกิดในประเทศไม่ใช่เรื่องยากเกินไป แต่โอกาสที่จะทำได้มีน้อยมาก

และหากชนชั้นนำไม่ปรับตัว ก็จำเป็นต้องเลือกทางเลือกที่เลือกไม่ได้ อันจะนำไปสู่ความระส่ำระสายครั้งใหญ่ในสังคมไทย

คนกลุ่มเดียวที่ผมหวังว่า จะเป็นผู้นำปรับระบบการเมืองไทยโดยสงบ เพื่อเปิดพื้นที่ให้แก่คนชั้นกลางระดับล่างซึ่งขยายตัวอย่างรวดเร็วก็คือคนชั้นกลางระดับกลางและระดับบน มีช่องทางมากกว่าที่คนชั้นกลางระดับนี้จะประสานประโยชน์ทางการเมืองกับคนชั้นกลางระดับล่าง เช่นการเลื่อนไหลเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยมากขึ้น ย่อมเพิ่มอำนาจต่อรองของคนชั้นกลางระดับกลางและระดับบนไปด้วยในตัว ไม่ว่าจะเป็นการต่อรองเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวทางเศรษฐกิจหรือการเมือง ในทางเศรษฐกิจ ตัวเองก็ถูกเอาเปรียบจากชนชั้นสูงอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน การเมืองในระบอบประชาธิปไตยเท่านั้นที่จะสามารถต่อรองเพื่อสร้างกติกาที่เป็นธรรมในตลาดขึ้นได้

ในทางการเมือง แม้ว่า ส.ส.ของตนจะเป็นคนละกลุ่มกับคนชั้นกลางระดับล่าง แต่การต่อรองทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยไม่ได้มีอยู่เฉพาะในสภา ยังมีพื้นที่ต่อรองอื่นๆ อีกมาก ซึ่งคนชั้นกลางระดับกลางย่อมได้เปรียบกว่า เช่น พื้นที่สื่อ, พื้นที่วิชาการ, พื้นที่เคลื่อนไหวอื่นๆ หรือพื้นที่ทางศิลปวัฒนธรรม เป็นต้น ในระยะยาว คนชั้นกลางระดับล่างเองเสียอีกที่จะหันมาเลือก ส.ส.คนเดียวกับคนชั้นกลางระดับกลางและบน

แท้ที่จริงแล้ว การนำเอาสถานะและความมั่นคงของตนไปผูกไว้กับชนชั้นสูง ไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรที่แท้จริงแก่คนชั้นกลางระดับกลางและบนมากนัก ยกตัวอย่างเช่น การที่พวกเขาต้องซื้อที่อยู่อาศัยในราคาแพงลิบลิ่วขึ้นทุกทีในเวลานี้ ก็เพราะชนชั้นสูงเก็งกำไรกับที่ดินอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ที่ดินไปกระจุกตัวอยู่ในมือของคนไม่กี่คน เงินฝากที่คนชั้นกลางระดับกลางถือบัญชีอยู่ในธนาคาร ประกอบเป็นสัดส่วนเพียงยี่สิบกว่าเปอร์เซ็นต์ ส่วนที่เหลือทั้งหมดอยู่ในมือของคนเพียงหมื่นกว่าคนซึ่งเป็นชนชั้นสูง ทรัพย์สินจำนวนมากของชนชั้นสูงนี้เกิดขึ้นได้ ก็เพราะระบบที่ทำให้การเฉลี่ยทรัพย์สินเป็นไปอย่างไร้ความเป็นธรรม หากจะมีการเฉลี่ยทรัพย์สินที่ดีกว่านี้ คนชั้นกลางระดับกลางก็มีส่วนที่จะเป็นฝ่ายได้เหมือนกัน ไม่เฉพาะแต่คนชั้นกลางระดับล่างและคนจนเท่านั้น

สำนึกเช่นนี้ในหมู่คนชั้นกลางระดับกลางคงจะเกิดขึ้นได้ไม่ยาก และเมื่อเกิดสำนึกเช่นนี้ขึ้นแล้ว พวกเขาก็จะคิดได้เองว่า จะเป็นหนูที่กระโจนลงจมทะเลเมื่อเรือล่ม หรือควรจะยึดเรือเสียก่อนที่จะล่ม โดยร่วมมือกับคนชั้นกลางระดับล่างในการพัฒนาประชาธิปไตยให้ก้าวหน้าขึ้นในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเมือง, สังคม หรือเศรษฐกิจ
ที่มา.มติชนออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ทำไมเศรษฐกิจสหรัฐจึงจะกลับมาฟื้นตัวในปีนี้

โดย สุรศักดิ์ ธรรมโม

ในสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้เกริ่นถึงบทวิเคราะห์ของสถาบันการเงินชั้นนำของโลก Goldman Sachs ที่เชื่อมั่นค่อนข้างมาก โดยคาดว่าในปีนี้ เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวอย่างแท้จริง โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐ ความมั่นใจของ Goldman Sachs ยังสะท้อนออกมาที่อดีตนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังที่สุดคนหนึ่งของโลก นายจิม โอนีลส์ ซึ่งปัจจุบันเป็นประธาน Goldman Sachs Asset Management ได้ออกจดหมายถึงลูกค้าในวันที่ 8 ม.ค. 2554 (A Reasonably Kind Start to 2011, Jan 8 2011) และเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ Financial Times ในวันที่ 10 ม.ค. 2554 (This will be the year of US comeback, Jan 10, 2011) ซึ่งผมเห็นว่าเนื้อหาและสาระที่นายโอนีลส์ได้เขียนนั้น มีความน่าสนใจมากเลยทีเดียว จึงได้สรุปมาให้ผู้อ่านได้ทราบกัน
นายโอนีลส์ ประเมินว่า ในอดีตก่อนวิกฤตเศรษฐกิจโลกในปี 2551 นั้น เศรษฐกิจสหรัฐมีอาการน่ากังวลในเรื่องของความยั่งยืนของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ จากปัญหาอัตรากรออมที่ต่ำและการที่ระดับการบริโภคของคนสหรัฐซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 70% ของจีดีพีนั้นโดยมากมาจากการกู้ และประการสำคัญแหล่งเงินที่ให้กู้นั้นมาจากต่างประเทศ แต่ ณ ขณะนี้ นายโอนีลส์มองสถานะเศรษฐกิจสหรัฐนั้นแตกต่างจากอดีตสองประการ

ประการแรก มาจากอำนาจทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มประเทศ BRIC ซึ่งประกอบไปด้วย บราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน ผนวกของกลุ่มประเทศที่เศรษฐกิจขยายตัว เช่น อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ และตุรกี ด้วยอำนาจทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเหล่านี้ ผลคือ เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวได้ง่ายกว่าที่นักวิเคราะห์และนักเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายได้คาดไว้ ซึ่งนี่คือเรื่องน่าประหลาดใจของนายโอนีลส์ในปีที่ผ่านมา

ประการที่สอง ด้วยลักษณะของผู้บริโภคสหรัฐ ทำให้นายโอนีลส์เชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะไม่เผชิญชะตากรรมที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นนั้นได้เผชิญกับภาวะเงินฝืดและเศรษฐกิจขยายตัวในอัตราที่ต่ำมากใน 2 ทศวรรษก่อน ซึ่งนายโอนีลส์ประเมินว่า นี่จะเป็นเรื่องประหลาดใจของตลาดในปีนี้

โดยนายโอนีลส์ได้ขยายความว่า ในอดีตก่อนวิกฤตอัตราการออมส่วนบุคคลของสหรัฐอยู่ในอัตราที่ต่ำมาก คือ เกือบ 0% ซึ่งนำไปสู่การที่คนสหรัฐกู้เงินมาบริโภคและสถาบันการเงินออกตราสารทางการเงินที่ซับซ้อนรวมทั้งการที่เศรษฐกิจสหรัฐต้องพึ่งพาเงินจากต่างประเทศทั้งหมดล้วนมีรากเหล้ามาจากการที่คนสหรัฐมีอัตราการออมส่วนบุคคลที่ต่ำทั้งสิ้น ทั้งนี้เศรษฐกิจใดเศรษฐกิจหนึ่งนั้นไม่สามารถจะพึ่งการยืมนั้นมาจากต่างประเทศ

ปัจจุบันเศรษฐกิจสหรัฐมีพัฒนาการที่ดีขึ้นกว่าในอดีตมาก โดยอัตราการออมส่วนบุคคลได้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 5-6% แต่อัตราการออมที่นายโอนีลส์คิดว่าเหมาะสมนั้นอยู่ที่ 8-10% แต่ในอัตราการออมปัจจุบันนี้ นายโอนีลส์เห็นว่าก็ใกล้เคียงกับอัตราที่เหมาะสมแล้ว

ประการสำคัญคือ หลังวิกฤตเศรษฐกิจพบว่าองค์กรธุรกิจของสหรัฐที่มีบทบาทอย่างสูงในเศรษฐกิจ ไม่ได้เสียหายอย่างรุนแรง ซึ่งสะท้อนถึงประสิทธิภาพการผลิตที่สูงของเศรษฐกิจสหรัฐ ผนวกกับโครงสร้างของปนระชากรสหรัฐที่มีลักษณะพลวัต คือ สหรัฐเปิดกว้างให้มีการเคลื่อนย้ายประชากรจากต่างประเทศเข้ามาทำงานในสหรัฐ ผลคือ เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มที่จะขยายตัวในอัตราที่ใกล้เคียงกับ 3% ต่อปี ด้วยจุดแข็งของลักษณะพลวัตในการจ้างงานนี้เอง ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐแตกต่างจากเศรษฐกิจญี่ปุ่น

นอกจากนี้ ปัจจัยอีกประการ คือ การที่รัฐบาลมีการตัดสินใจที่เด็ดขาดในการแก้ไขปัญหาทางเศรษบกิจ แม้ว่าจะมีความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันในรัฐสภาสหรัฐให้ได้ทราบกันก็ตาม นี่คือจุดเด่นที่แตกต่างจากญี่ปุ่นและยุโรป ยิ่งไปกว่านั้น พฤติกรรมของธนาคารกลางสหรัฐและผลการเลือกตั้งสหรัฐในปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งพรรคเดโมแครตแพ้การเลือกตั้งในสภาผู้แทนราษฎรจำนวนมากนั้น กลับมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐได้ขยายตัวตามศักยภาพ

กล่าวคือ ในปีที่แล้วธนาคารกลางสหรัฐ ได้สิ่งที่ควรต้องทำด้วยการสู้กับปัญหาเงินเฟ้อด้วยการพิมพ์เงินขึ้นมา และการที่นักการเมืองได้ข้อตกลงร่วมกันในการขยายการขาดดุลการคลังเป็นการชั่วคราว แต่ให้คำมั่นในการควบคุมขนาดของการขาดดุลการคลังให้ลดลงในอนาคตนั้น ทำให้ภาคธุรกิจมีความมั่นใจมากขึ้น กล่าวคือ ทั้งธนาคารกลางและนักการเมืองได้แก้ปัญหาเงินฝืดในระยะสั้นและมุ่งมั่นในการลดปัญหาการขาดดุลการคลัง ซึ่งจะลดความเสี่ยงที่อนาคตเศรษฐกิจสหรัฐจะเผชิญปัญหาเงินเฟ้อ

สัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐได้เห็นชัดตั้งแต่เดือน พ.ย. ในปลายปีที่ผ่านมา ทั้งการขยายตัวของภาตคการผลิตและการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นในเดือน ธ.ค.

ในแง่ส่วนของผลกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศอื่น ๆ นั้น นายโอนีลส์เห็นว่าปัจจุบันความรู้สึกในการหาผู้ที่มีส่วนก่อให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจนั้นลดลง ผลคือ ความสัมพันธ์ระหว่างภาคธุรกิจกับรัฐบาลเริ่มดีขึ้น ซึ่งไม่เกิดแค่ในสหรัฐเท่านั้น

***********************************************

9 ปฏิบัติการฟรีภาษีประชาชน ทำจริง-จ่ายจริงปีละ 6 แสนล้าน

ทั้งผลงานรัฐบาล 2 ปี ทั้ง แคมเปญประชาวิวัฒน์ หรือของขวัญ 9 ข้อ และปฏิบัติการ ปฏิรูปประเทศไทย คือแนวทางต่อยอดนโยบายประชานิยม

บางแคมเปญถูกคิดค้นขึ้นใหม่จากไอเดียพรรคประชาธิปัตย์ แต่มีบางข้อที่ถูกปัดฝุ่นจากรัฐบาลเก่า

แต่ทุกข้อ-ทุกคำในแคมเปญ ครอบคลุมคนรายได้น้อย-ด้อยโอกาสทั้งประเทศ

เป็นแนวทางตามที่ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นายกรัฐมนตรี เคยประกาศเป็นวรรคทองไว้ว่า "ภายในปี 2560 ประเทศไทยจะเป็นสังคมที่มีสวัสดิการ คนไทยทุกคนมีหลักประกันครบถ้วน"

คำสั่งนายกรัฐมนตรีจึงถูกนำไปสู่การปฏิบัติการ ทำตัวเลข จัดตารางงบประมาณสำหรับสวัสดิการทุกด้าน ทั้งเรียนฟรี-เดินทางฟรี-ค่าไฟฟรี และมีหลักประกันค่ารักษาพยาบาลฟรี

แผนปฏิบัติการ-ปฏิรูปประเทศไทยจึงถูกมอบหมายให้ "ทีมงานนายกรัฐมนตรี" รับไม้ต่อไปดำเนินการ อาทิ ด้านการสร้างระบบเศรษฐกิจที่เท่าเทียมและเป็นธรรม อยู่ในมือของเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และ นายสาวิตต์ โพธิวิหค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี

ด้านการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและขยายระบบสวัสดิการสังคม ถูกมอบหมายให้ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ คุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี

ด้านการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม การเมือง และความไม่เท่าเทียมในสังคม ถูกสั่งการให้ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบร่วมกับ นายบัณฑิต ศิริพันธุ์ ที่ปรึกษาด้านกฎหมายของนายกรัฐมนตรี

ด้านการสร้างอนาคตของชาติด้วยการพัฒนาคน เด็กและเยาวชน นายกรัฐมนตรีอาสาเป็นผู้รับผิดชอบหลักด้วยตัวเองร่วมกับที่ปรึกษาคู่ใจ นายกนก วงษ์ตระหง่าน

หากนับจำนวนเด็กนักเรียนชั้นประถม-มัธยมต้น-มัธยมปลาย/สายสามัญ ที่ได้เรียนฟรีทั้งประเทศ

หากนับจำนวนแรงงานนอกระบบไม่น้อยกว่า 24 ล้านคน

หากนับผู้ได้รับอานิสงส์จากระบบสวัสดิการรักษาพยาบาล ทั้งข้าราชการและผู้อยู่ในระบบประกันสังคม และโครงการ 30 บาทรักษาฟรี การสงเคราะห์คนว่างงานและชราภาพ

และนับจำนวนผู้สูงอายุ กลุ่มผู้พิการและเด็กด้อยโอกาสแล้ว คาดว่ารัฐบาลอาจต้องใช้เงินอุดหนุนเฉลี่ยไม่น้อยกว่าปีละ 6 แสนล้าน (นับจากปีงบประมาณ 2555-2559) ที่มีอัตราเพิ่มตามจำนวนประชากร

ดังนั้น หากนับจำนวนอย่างหยาบ ๆ จะมีประชาชนที่ได้รับอานิสงส์จากแคมเปญ-ของขวัญ "9 ข้อประชาวิวัฒน์" ไม่ต่ำกว่า 31 ล้านครัวเรือน

แต่มีผู้ที่เสียประโยชน์ ขาดทุนกำไร เป็นเจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่วงการน้ำมันและสินค้าเกษตร ผู้ครอบครองส่วนแบ่งตลาดอันดับหนึ่งตลอดกาลไม่ต่ำกว่าปีละ 10,000 ล้านบาท

เพียงแค่ฝ่ายรัฐบาลจัดงบประมาณหว่านลงไป เพื่อชิมลางเป็นหัวเชื้อในแผนปฏิบัติการ-ปฏิรูปประเทศไทยในเดือนมกราคม ก็ใช้วงเงิน 9,190.30 ล้านบาท

โดยหวังจะช่วยให้คนไทย เด็ก เยาวชน ผู้พิการ คนจนและคนด้อยโอกาสได้รับอานิสงส์ และมีหลักประกันทางสังคมที่มีคุณภาพ ได้รับความเป็นธรรมและเท่าเทียม จากการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม

จำแนกประชาชนที่ได้รับผลจากนโยบาย "สวัสดิการ" เฉพาะการสร้างอนาคตของชาติด้วยการพัฒนาคนเด็กและเยาวชน มีผู้ได้รับประโยชน์ 11.1 ล้านคน แบ่งเป็นกลุ่มเด็กและเยาวชนที่อยู่ในวัยเรียนที่ขาดโอกาสทางการศึกษาและประชาชนที่ต้องการศึกษาและพัฒนาเด็กนอกระบบการศึกษาอายุ 3-17 ปีจำนวน 1.7 ล้านคน เด็กพิการ 0-17 ปี จำนวนประมาณ 100,000 คน

ส่วนเด็กที่อยู่นอกระบบการศึกษา ประชากรที่ต้องการพัฒนาขีดความสามารถตนเอง 8.8 ล้านคน เด็กนักเรียนในชนบทห่างไกล 500,000 คน เด็กที่ถูกดำเนินคดี 50,000 คน ครูสอนดีทุกจังหวัดทั่วประเทศ 60,000 คน

ด้านยกระดับคุณภาพชีวิตและสวัสดิการสังคม จากการจัดระบบสวัสดิการสังคม ให้ครอบคลุมแม่และเด็ก 5.1 ล้านคน โดยเป็นกลุ่มแม่และเด็กอายุ 0-2 ปี จำนวน 2.4 ล้านคน เด็กอายุ 3-5 ปี จำนวน 2.7 ล้านคน

การแก้ไขปัญหาที่ดินทำกิน ครอบคลุมราษฎรที่ไม่มีที่ดินทำกินของตนเอง 546,942 ครัวเรือน การแก้ไขปัญหา ที่อยู่อาศัยในชนบท กลุ่มเป้าหมาย 50,000 ครัวเรือน ใน 500 ตำบล

ด้านการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม การเมือง และความไม่เท่าเทียมในสังคม มีผู้ได้รับประโยชน์ในระดับตำบล 1,000 ชุมชนทั่วประเทศ มีอาสาสมัครยุติธรรมชุมชน 99,000 คน ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย ข้อพิพาท

ยุทธศาสตร์นี้สามารถลดข้อพิพาทในชุมชนได้มากกว่าร้อยละ 70 ซึ่งลดค่าใช้จ่ายในการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมรายละประมาณ 144,946 บาท

ด้านการสร้างระบบเศรษฐกิจที่เท่าเทียมและเป็นธรรม จะทำให้เกษตรกรกว่า 300,000 คน มีต้นทุนสุกรลดลง 4-7 บาทต่อกิโลกรัม และต้นทุนไข่ไก่ลดลง 30-60 สตางค์ต่อฟอง

ผู้บริโภคกว่า 67 ล้านคน ได้ซื้อไข่ไก่ ถูกลงจากการซื้อเป็นกิโลกรัมประมาณ 5-10 สตางค์ต่อฟอง และสามารถหา แหล่งซื้อที่ถูกลงจากการเปรียบเทียบ ราคาผ่านทางเว็บไซต์และรายการทีวี

มีผู้ที่รายได้น้อยกว่า 9.1 ล้านครัวเรือน ได้ประโยชน์จากมาตรการไฟฟ้าฟรี ประหยัดเงินได้เฉลี่ย 135 บาทต่อเดือน หรือเฉลี่ย 1,620 บาทต่อปี

คนไทยทั้งประเทศได้ประโยชน์จากการลดภาระอุดหนุนแอลพีจี นำเงินที่ประหยัดได้ไปใช้ในการลดราคาน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ และ/หรือใช้อุดหนุนราคาน้ำมันดีเซล

ผู้ที่อยู่ในเศรษฐกิจนอกระบบประกอบอาชีพได้อย่างถูกกฎหมายมีรายได้เพิ่มขึ้น เข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้ง่ายในอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมและเพียงพอต่อการประกอบอาชีพ และเข้าถึงสวัสดิการประกันสังคมได้มากขึ้น

ต้นทุนของ "สังคมสวัสดิการ" ถูกคำนวณเป็นประมาณการใช้จ่ายไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ต่อเนื่องทั้งฉบับที่ 10 ต่อเนื่องถึงแผนฯ 11

ประมาณการค่าใช้จ่าย ซึ่งครอบคลุมเรื่องการศึกษาเรียนฟรี 15 ปี ระบบสาธารณสุข 30 บาทรักษาทุกโรค และการประกันสังคมให้ครอบคลุมผู้ใช้แรงงาน นอกระบบ คนว่างงาน คนชราภาพ ผู้สูงอายุ ผู้พิการและเด็กด้อยโอกาส ในปี 2554 ใช้งบประมาณ 557,679.70 ล้านบาทต่อเนื่องในปี 2555 ซึ่งเป็นปีแรกของแผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 จะใช้เพิ่มขึ้นเป็น 601,189.16 ล้านบาท

ในช่วงที่อาจเป็นช่วงเริ่มต้นสมัยของรัฐบาลหน้า ตามตารางปีงบประมาณรายจ่าย 2556 จะต้องใช้เงิน 611,999.21 ล้านบาท ปีถัดไป 2557 ใช้วงเงิน 653,164.14 ล้านบาท และในปี 2558 ใช้เงินอุดหนุน อีก 700,330.21 ล้านบาท ในช่วงปีสุดท้ายของแผนฯ 11 ใช้วงเงินเพื่อระบบสวัสดิการทั้งสิ้น 750,401.66 ล้านบาท

งบประมาณทั้งหมดนี้ส่วนใหญ่เป็นภาระงบประมาณในตารางรายจ่ายประจำปี และส่วนหนึ่งมาจากงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น-กอนทุนระดับชาติ และรายจ่ายของภาคเอกชน

จากนี้ไปทั้งฝ่ายการเมืองและฝ่ายธุรกิจ และผู้มีรายได้สูงทุกคนต้องมี "ต้นทุน" ที่ต้องจ่ายเพิ่ม

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ

ผศ.ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ ถกแขมร์-แลทักษิณ-ชายแดน "มาร์ค"

สัมภาษณ์

ผศ.ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ ประธาน หลักสูตรรัฐศาสตรบัณฑิต วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์การเมืองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วิเคราะห์สถานการณ์ไทย-กัมพูชา ในห้วงเวลาที่ ส.ส.และนักเคลื่อนไหวคนไทยทั้ง 7 นอนคุกกัมพูชา และเพิ่งได้รับการประกันตัว

ผศ.ดร.ธำรงศักดิ์อธิบายว่า ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การเมืองภายในประเทศของทั้ง 2 ฝ่าย จุดเริ่มที่สำคัญใน 2-3 ปีที่ผ่านมา ประเด็นความขัดแย้งกับประเทศกัมพูชา เกิดจากกระบวนการขับไล่อดีตนายกรัฐมนตรีที่มาจากฝ่ายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ว่าจะเป็นการขับไล่ตัว พ.ต.ท.ทักษิณ หรือ นายสมัคร สุนทรเวช และ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็มีการนำประเด็นปัญหาเขตแดนขึ้นมาโจมตีกัน โดยเฉพาะเรื่องเขาพระวิหาร ถูกใช้เป็นเครื่องมือ โจมตีรัฐบาลที่อยู่ในเครือข่าย พ.ต.ท.ทักษิณ

ดังนั้น การเคลื่อนไหวประเด็นเขตแดนจึงมีเป้าหมายสุดท้ายคือการโจมตีรัฐบาลมากกว่าจะหาความชัดเจนในการเจรจาปักปันเขตแดน

แต่กรณีปัจจุบัน พรรคประชาธิปัตย์และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีภูมิคุ้มกันต่อการถูกกล่าวหาว่าขายชาติ เพราะโดยทั่วไปก็ยากที่จะทำให้คนเชื่อว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์อยู่ในแนวทางเดียวกับรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะรัฐบาลชุดนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งในการใช้ปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชา ในการโจมตีรัฐบาลรุ่นก่อน ดังนั้น เมื่อรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ถูกโจมตีในประเด็นนี้บ้าง ประชาชนจึงเชื่อการชี้แจงของรัฐบาลมากกว่าเชื่อกลุ่มที่เคลื่อนไหวโจมตีรัฐบาล ส่งผลให้ประเด็นการกล่าวหาว่าขายชาติ หรือเสียผลประโยชน์เสียดินแดนให้กับกัมพูชา จึงเป็นประเด็นที่อ่อน ในการใช้โจมตีรัฐบาลชุดนี้

สำหรับกลุ่มที่เคลื่อนไหวรณรงค์เรื่องเขตแดน ก็ยังคงนำเรื่องนี้ไปเป็นประโยชน์ในการปลุกระดมมวลชนของตัวเองให้ ออกจากบ้าน เพื่อมารวมเป็นกลุ่มพลังกันอีกครั้งหนึ่ง แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ 7 คนไทยถูกควบคุมตัวในกัมพูชาและอยู่ในกระบวนการศาลของกัมพูชา เรื่องนี้อาจจะลดทอนความน่าเชื่อถือของฝ่ายที่รณรงค์เรื่องรักชาติลงไปมาก

เพราะข้อมูลที่ฝ่ายรัฐบาลนายอภิสิทธิ์เปิดเผยต่อสาธารณะตลอดมา คือคนไทยทั้ง 7 ถูกจับในเขตของกัมพูชา ซึ่งสาธารณชนมีแนวโน้มที่จะเชื่อข้อมูลฝ่ายรัฐบาล เพราะมีกลไกสำคัญคือกองทัพ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการ ต่างประเทศ ซึ่งมีหน้าที่พิทักษ์ดินแดน ทุกตารางนิ้ว โดยกระทรวงความมั่นคงเหล่านี้ไม่ได้มีท่าที หรือให้ข้อมูลที่ตรงกันข้ามกับทางรัฐบาล ส่งผลให้รัฐบาลไม่มีปัญหาเรื่องความน่าเชื่อถือ

ในทางตรงข้าม หากรัฐบาลไทยเชื่อว่าทั้ง 7 คนไทยถูกจับในเขตไทย รัฐบาลก็จะเล่นอีกเกม โดยใช้พลังชาตินิยมปลุกเร้าเรียกร้องให้ปล่อยคนไทยทั้ง 7 ซึ่งจะทำให้รัฐบาลได้ประโยชน์ในเรื่องคะแนนนิยมจากประชาชนไทย แต่เมื่อข้อเท็จจริงคือฝ่ายไทยเพลี่ยงพล้ำกัมพูชา รัฐบาลนายอภิสิทธิ์จึงต้องประนีประนอมและรักษาหน้าตา ของไทยในบริบทการเมืองโลก

สำหรับท่าทีของสมเด็จฮุน เซน ผู้นำกัมพูชา ที่ยืนยันว่ากรณีดังกล่าวขึ้นอยู่กับกระบวนการยุติธรรมและศาลของกัมพูชา การพูดแบบนี้ย่อมได้ใจประชาชน ว่าไม่ถูกมหาอำนาจเพื่อนบ้าน เช่น ประเทศไทยแทรกแซงต่อกระบวนการยุติธรรมของกัมพูชา และการแสดงตนเข้มแข็งของผู้นำกัมพูชา ก็เป็นประโยชน์ต่อผู้นำที่จะได้ ความนิยมจากประชาชนของตัวเองด้วย

อย่างไรก็ตาม คดีความบางคดีที่มีลักษณะพิเศษ ทำให้กระบวนการดำเนินไปอย่างรวดเร็วนั้น สาเหตุอาจเป็นเพราะมีเงื่อนไขปัจจัยหลายด้าน รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งหากปล่อยให้คดีนี้ยืดเยื้อต่อไป ก็จะไม่เป็นประโยชน์ต่อการค้าชายแดน ซึ่งก็อาจจะเกิดผลด้านลบต่อฝ่ายกัมพูชาด้วยเช่นกัน ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีความพอดี พอเหมาะพอควร ของระยะเวลาในการดำเนินคดี เพื่อประโยชน์ของผู้นำกัมพูชา

ส่วนกรณีของ นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรในกัมพูชา อดีตผู้ต้องหาคดีโจรกรรมข้อมูล ซึ่งเรื่องจบลงด้วยดี ได้รับพระราชทานอภัยโทษจากกษัตริย์กัมพูชาและการต้อนรับจาก สมเด็จฮุน เซน นั้น ผศ.ดร.ธำรงศักดิ์มองว่า ผู้นำของแต่ละประเทศ ต้องเล่นบทผู้มีพระคุณ มีเมตตาธรรม เป็นธรรมดา

แต่กรณี 7 คนไทยนี้ มีสถานะทางสังคม สถานะทางการเมือง ที่แตกต่างจากนาย ศิวรักษ์ เพราะกรณีคนไทยทั้ง 7 ทำให้เขารู้สึกว่ามาหยามหมิ่นกันเกินไป โดยเฉพาะคนไทยบางคน ก็เคยเข้าไปในลักษณะนี้ ไม่ใช่ครั้งแรก ดังนั้น ในแง่การเมืองภายในประเทศ การควบคุมตัวคนไทยไว้ จึงเป็นวิธีการตอบสนองอารมณ์ในประเทศวิธีหนึ่ง

หากการเคลื่อนไหวรณรงค์ของฝั่งไทย ทำอะไรที่เข้าข่ายดูหมิ่นเหยียดหยามชาวกัมพูชา ทำให้ประชาชนเขาโกรธเคืองขึ้นมา คดีนี้ก็อาจจะมีความยาวนาน เพราะผู้นำกัมพูชาก็จะต้องมีท่าทีสนองตอบอารมณ์ความรู้สึกต่อประชาชนตัวเอง ไม่ให้เสียความนิยมต่อผู้นำ และต้องไม่ลืมว่ากัมพูชาก็มีฝ่ายค้านที่พร้อมจะโจมตีรัฐบาลสมเด็จฮุน เซน หาว่ารัฐบาลอ่อนข้อให้ไทย หรือฮั้วผลประโยชน์ให้ฝ่ายไทย จึงรีบปล่อยตัวคนไทยกลับประเทศ เนื่องจากชาวกัมพูชาจำนวนไม่น้อย ก็อยากเห็นการลงโทษคนไทยให้จดจำ

ข้อสำคัญ คือหากฝ่ายที่เคลื่อนไหวรณรงค์เรื่องเขตแดนในฝั่งไทย ไปทำให้ประชาชนกัมพูชาโกรธ ยกตัวอย่างเช่น เผารูปกษัตริย์ของกัมพูชา หรือทำอย่างอื่นให้เกิดความไม่พอใจของประเทศเพื่อนบ้าน ก็จะยิ่งทำให้การเมืองภายในกัมพูชามีตัวแปร ให้ผู้นำประเทศต้องเปลี่ยนท่าทีต่อไทยทันที

แม้การควบคุมตัวคนไทยจะเป็นไปตามเหตุผลทางกฎหมายและเหตุผลทางการเมืองภายในกัมพูชา แต่กัมพูชาก็ไม่สามารถลงโทษด้วยระยะเวลายาวนานได้ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นประเด็นคาราคาซังต่อไป เป็นเงื่อนไขให้คนในฝั่งไทยนำมาเป็นประเด็นเคลื่อนไหวได้ตลอดเวลา

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
---------------------------------------------------------------

ป.ป.ช. กับระเบียบว่าด้วยการจ่ายเงินสินบน พ.ศ. 2553

โดย เมธี ครองแก้ว


คงมีผู้อ่านไม่มากนักที่จะทราบว่าเมื่อวันที่ 22 ตุลาคมที่เพิ่งผ่านมา คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ประกาศระเบียบว่าด้วยการจ่ายเงินสินบน พ.ศ.2553 ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 127 ตอนที่ 65 ก ซึ่งน่าจะมองได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญเหตุการณ์หนึ่งที่เกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตของไทย ทั้งนี้ก็เพราะว่า พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ได้บัญญัติไว้ในมาตรา 30 ว่า    
“ในการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีที่มีการกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐร่ำรวยผิดปกติ หรือการตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงของทรัพย์สินหรือหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หากมีผู้ใดชี้ช่อง แจ้งเบาะแส หรือให้ข้อมูล หรือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับทรัพย์สินหรือหนี้สินของผู้ถูกกล่าวหาหรือผู้ถูกตรวจสอบ รวมทั้งตัวการ ผู้ใช้หรือผู้สนับสนุนต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. และการชี้ช่อง แจ้งเบาะแส หรือให้ข้อมูลหรือข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นผลให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติ หรือทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นผิดปกตินั้นตกเป็นของแผ่นดินโดยคำสั่งถึงที่สุดของศาลแล้ว ให้ผู้นั้นได้เงินสินบนตามระเบียบที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.กำหนด” 

พูดง่ายๆ ก็คือว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.ใช้เวลาเกือบ 11 ปีจึงสามารถออกระเบียบว่าด้วยการจ่ายเงินสินบนตามกล่าวข้างต้นออกมาได้
 ผู้เขียนคงไม่สามารถตอบแทนคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ว่าทำไมถึงใช้เวลานานนักในการออกระเบียบนี้ออกมา  แต่ที่พูดได้เต็มปากเต็มคำก็คือว่าไม่มีการรวมหัวกันที่จะจงใจดึงเรื่องให้ช้าเพื่อวัตถุประสงค์หรือวาระซ่อนเร้นอย่างใดอย่างหนึ่งแน่นอน

 ในทัศนะของผู้เขียนเอง (ซึ่งเป็นทัศนะหรือความเห็นส่วนตัวไม่เกี่ยวกับความเห็นหรือฐานะอย่างเป็นทางการของคณะกรรมการ ป.ป.ช. แต่อย่างใด) คงเป็นความไม่แน่ใจของกรรมการ ป.ป.ช. แต่ละท่านมากกว่า ว่าระบบการให้เงินสินบนรางวัลที่เหมาะสมคืออย่างไร? และจะเกิดผลกระทบต่อสังคมหรือการปฏิบัติงานของ ป.ป.ช. อย่างไร? 

ในการพิจารณาเรื่องนี้ในคณะกรรมการฯ  ผู้เขียนได้แสดงจุดยืนด้วยซ้ำไปว่าไม่เห็นด้วยกับการให้เงินสินบนดังกล่าว เพราะเงินสินบนนี้จะไปทำลายลักษณะคุณความดี(moral character) ของผู้ได้รับสินบนดังกล่าวในทำนองว่า จะทำความดีให้สังคมก็ต่อเมื่อมีผลตอบแทนจากสังคมเท่านั้น  ในเมื่อเราให้นิยามการทุจริตคอรัปชั่นว่า คือ การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจในตำแหน่งเบียดบังเอาประโยชน์ที่เป็น (หรือควรเป็น) ของรัฐหรือสังคมไปเป็นประโยชน์ของตนเอง การจ่ายเงินสินบนโดยรัฐก็มีผลอย่างเดียวกัน คือ การเอาประโยชน์ที่เป็นของรัฐหรือสังคมไปให้แก่บุคคลเป็นการส่วนตัวนั้นเอง 

อย่างไรก็ตามจุดผ่อนปรนที่ผู้เขียนยอมรับได้ก็คือ เงินสินบนที่รัฐจ่ายให้นั้นเหมาะสมกับต้นทุนแห่งความพยายาม (efforts) ของผู้ให้ข้อมูลหรือเบาะแส มิใช่ลาภลอย (windfall) ที่กินเข้าไปในส่วนที่เป็นประโยชน์หรือผลได้ของสังคมที่เกินเลยไป
 

แต่ในเมื่อกฎหมายสูงสุดของประเทศบังคับให้ต้องมีระเบียบการจ่ายเงินสินบนแก่ผู้ชี้ช่อง แจ้งเบาะแส ให้ข้อมูลหรือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผู้กระทำผิดที่ทำให้รัฐได้ทรัพย์สินของรัฐคืนมา เราก็จำเป็นต้องปฏิบัติตามโดยที่อย่างน้อยในระเบียบที่เราออกมานั้นมีหลักเกณฑ์หรือกลไกที่จะทำให้การตอบแทนในความพยายามของผู้ให้เบาะแสหรือชี้ช่องนั้นมีความเหมาะสม ไม่เกินเลยไป 

 ดังนั้น ในประการแรก ข้อ 13 ของระเบียบที่คณะกรรมการป.ป.ช. ได้ออกมาจึงได้ระบุว่า ข้อมูลหรือข้อเท็จจริงที่แจ้งให้รับทราบนั้น ต้องเป็นสาระสำคัญของการตรวจสอบ ซึ่งหากไม่มีการแจ้งข้อมูลหรือข้อเท็จจริงเช่นว่านั้น จะไม่สามารถรู้หรือตรวจสอบการร่ำรวยผิดปกติหรือทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติได้ และจะต้องไม่เป็นปกติวิสัยที่จะตรวจพบได้อยู่แล้ว

ในประการที่สอง ข้อ 17  ของระเบียบนี้ได้กำหนดเพดานของเงินสินบนที่ ป.ป.ช.จ่ายได้ว่าให้จ่ายในอัตราร้อยละสิบของมูลค่าทรัพย์สินที่นำส่งกระทรวงการคลังแต่ไม่เกิน 10 ล้านบาท

 ในประการที่สาม ผู้มีอำนาจในการพิจารณาจ่ายเงินสินบนนี้มิใช่คนใดคนหนึ่ง แต่จะเป็นคณะกรรมการพิจารณาเงินสินบน ซึ่งประกอบด้วย เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย ป.ป.ช. ผู้อำนวยการสำนักบริหารงานกลาง ป.ป.ช. ผู้แทนกระทรวงการคลัง และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. แต่งตั้งขึ้นอีก 5 คน (ระเบียบ ข้อ 8) 

และในประการสุดท้าย คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบเป็นคนสุดท้ายซึ่งอาจจะเห็นชอบให้มีการจ่ายเงินสินบนทั้งหมดหรือบางส่วนก็ได้ (ระเบียบ ข้อ 20)

ตามหลักเกณฑ์ต้นทุนของความพยายามที่กล่าวถึงข้างต้น ผู้เขียนใคร่ขอเสนอเพิ่มเติมว่าน่าจะมีตัวแปรที่เป็นตัวปรับคุณภาพ (quality index) ของข้อมูลหรือเบาะแสให้คณะกรรมการพิจารณาเงินสินบนจะนำมาพิจารณาขนาดของเงินสินบนชั้นหนึ่งก่อน
 
 กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือจะมีการจำแนกคุณภาพ (quality grading) ของข้อมูล โดยข้อมูลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด อาจจะมีตัวปรับคุณภาพเท่ากับ 1 ข้อมูลที่มีความสำคัญลดหลั่นกันลงไป ก็จะมีตัวปรับคุณภาพลดหลั่นกันลงไปเช่นเดียวกัน  เพื่อความสะดวก และง่ายต่อการปฏิบัติ ระดับคุณภาพประมาณ 4 หรือ 5 ระดับ น่าจะเพียงพอที่จะทำให้การพิจารณาขนาดของเงินสินบนมีความเหมาะสมเป็นที่ยอมรับได้

ในขณะนี้ยังไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ว่าผลแห่งการประกาศระเบียบการจ่ายเงินสินบนของ ป.ป.ช. จะทำให้เกิดผลการเปลี่ยนแปลงในการทำงานด้านการต่อต้านการทุจริตของ ป.ป.ช.เป็นเช่นใด จะมีการแจ้งเบาะแสกันจน ป.ป.ช. ต้องเพิ่มงบประมาณรายจ่ายหมวดเงินอุดหนุน เพื่อนำมาใช้เป็นเงินสินบนหรือไม่? หรืออาจไม่ต้องใช้เงินในส่วนนี้เลย เพราะประชาชนให้ความร่วมมือกับ ป.ป.ช. ในฐานะ “พลเมืองดี” โดยมิได้หวังผลจากเงินสินบนจากภาครัฐแต่อย่างใด

ที่มา.มติชนออนไลน์
*****************************************************************

โสภณ พรโชคชัย: ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง กัมพูชาล้ำหน้าไทย

ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส

ในขณะที่ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของไทยยังไม่มีความคืบหน้า แต่ในกัมพูชา กลับจะได้นำมาใช้ในปี 2554 นี้แล้ว ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จึงขอนำเสนอความคืบหน้าของกัมพูชาเพื่อเป็นอุทธาหรณ์สำหรับประเทศไทย

ในกรณีประเทศไทย หลายฝ่ายอาจรู้สึกผวากับภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพราะคิดถึงการ “รีด” เอาเม็ดเงินออกจากกระเป๋าผู้เสียภาษี ดังนั้นเมื่อมีการนำเสนอภาษีใหม่นี้ มักจะถูกต่อต้าน แต่ในกรณีภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้น ความจริงแตกต่างจากภาษีอื่นโดยสิ้นเชิง นับเป็นภาษีที่ “ยิ่งให้ ยิ่งได้” แก่ผู้เสียภาษีเอง

ภาษีทรัพย์สินหมายถึงภาษีที่ประชาชนผู้ครอบครองทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นสังหาริมทรัพย์ (รถ เรือ ฯลฯ) และโดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ ต้องเสียให้กับท้องถิ่นเพื่อการพัฒนาท้องถิ่นของตนเองโดยตรง ในกรณีประเทศไทยกฎหมายภาษีทรัพย์สินที่จะออกมานั้นเก็บภาษีเฉพาะอสังหาริมทรัพย์จึงเรียกว่าภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีนี้เกิดขึ้นบนฐานคิดสากลที่ว่าใครครอบครองทรัพย์สิน ก็ต้องเสียภาษี เพื่อนำมาพัฒนาท้องถิ่น

ในปัจจุบันประเทศไทยเรามีภาษีโรงเรือน และภาษีบำรุงท้องที่ ซึ่งก็คล้ายกับภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง แต่จัดเก็บกับเฉพาะผู้ที่ให้เช่าทรัพย์สิน และมูลค่าทรัพย์สินที่ใช้ในการคำนวณภาษีก็ไม่เคยได้ปรับปรุงมาเกือบ 20 ปีแล้ว เมื่อมีการนำภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมาใช้ ก็จะได้ยกเลิกภาษีดังกล่าวเสีย

ในร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง กำหนดให้มีอัตราการจัดเก็บคือ ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย โดยไม่ประกอบการในเชิงพาณิชย์ จัดเก็บภาษีไม่เกิน 0.1% ของฐานภาษี อัตราภาษีสำหรับอสังหาริมทรัพย์เกษตรกรรม จัดเก็บไม่เกิน 0.05% นอกนั้นจัดเก็บไม่เกิน 0.5% และมีการยกเว้น คือ ให้ยกเว้นแก่ที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่ไม่เกิน 50 ตารางวาทั้งหลายและมีมูลค่าไม่เกิน 1 ล้านบาทในพื้นที่สำคัญ (กรุงเทพมหานคร หัวเมืองใหญ่และหัวเมืองท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต เมืองพัทยา) มูลค่าไม่เกิน 5 แสนบาทในพื้นที่เขตเทศบาล และมูลค่าไม่เกิน 3 แสนบาทในพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบล

ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส ได้สัมภาษณ์คณะเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการคลัง กัมพูชา ที่มาอบรมการประเมินค่าทรัพย์สินที่ ดร.โสภณ จัดขึ้นในกรุงเทพมหานครในช่วงวันที่ 13-14 มกราคม 2554 ได้ข้อคิดที่น่าสนใจหลายประการเพื่อให้คนไทยได้สังวร

กัมพูชามีแนวคิดที่จะมีภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมาตั้งแต่ พ.ศ.2550 แต่ไม่ผ่านสภาในปีดังกล่าว จนเมื่อช่วงสิ้นปี 2552 หลังจากการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 2551 แล้ว สภาผู้แทนราษฎรกัมพูชาก็ผ่านพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนี้ออกมา โดยมีกรอบเวลาให้นำมาใช้จริงในปีเดือนกุมภาพันธ์ 2554 อย่างไรก็ตาม ณ เวลานี้ กรอบเวลาได้ขยายไปเป็นประมาณกลางปี 2554 นี้

กรณีนี้ชี้ให้เห็นว่ากัมพูชามีความรวดเร็วในการกำหนดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกว่าไทยเป็นอย่างยิ่ง ในกรณีของไทย มีการนำเสนอไว้ตั้งแต่ยุค “ประชาธิปไตยเต็มใบ” พ.ศ.2518 มีการยกร่างใหม่และแก้ไขเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันและยังไม่อาจทราบแน่ชัดว่าจะมีพระราชบัญญัติฉบับนี้เมื่อใด ข้อสังวรในที่นี้ก็คือ ระบบราชการของไทยอาจมีประสิทธิภาพต่ำกว่ากัมพูชา และคงมีผู้ทรงอิทธิพลทางการเมืองและมีที่ดินมากมายที่ไม่ต้องการให้มีภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เพราะเข้าใจผิดว่าภาษีนี้จะเป็นภาระ ทั้งที่ภาษีนี้จะช่วยพัฒนาท้องถิ่น ทำให้ทรัพย์สินที่ผู้ครอบครองไว้กลับมีมูลค่าเพิ่มขึ้นรวดเร็วกว่าเดิม

สำหรับในรายละเอียดของภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกัมพูชานั้น มีการจัดเก็บเพียงอัตราเดียวคือ 0.1% โดยราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยกำหนดไว้ต่ำกว่าราคาตลาดประมาณ 30% การกำหนดราคาก็ไม่ได้กำหนดเป็นรายแปลง แต่กำหนดตามเส้นถนน สำหรับอาคารนั้น ก็มีอัตราค่าก่อสร้างอาคารมาตรฐานให้ใช้คำนวณราคา

ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกัมพูชา ก็มีการกำหนดข้อยกเว้น เช่น ที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม และบ้านที่มีราคาต่ำกว่า 100 รีล หรือ 740,000 บาทเป็นต้น นอกจากนี้วัดวาอาราม สถานทูตหรือสถานที่สาธารณะอื่น ๆ ก็ไม่มีการจัดเก็บภาษีแต่อย่างใด ในเบื้องต้นคาดว่าจะจัดเก็บภาษีได้จากอสังหาริมทรัพย์ได้ประมาณ 180,000 ราย และจะได้เงินภาษีไม่เกิน 300 ล้านบาท ซึ่งเป็นเพียงการเริ่มต้น

ในทางปฏิบัติของการจัดทำบัญชีราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้น โดยกัมพูชากำหนดให้แต่ละจังหวัด (24 จังหวัด) ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาสำรวจจัดทำบัญชี โดยเฉลี่ยแล้วจังหวัดหนึ่ง ๆ อาจมีเจ้าหน้าที่ดำเนินการประมาณ 30 คน โดยเน้นสำรวจเฉพาะในตัวเมืองเป็นสำคัญ และประมาณการราคาที่ดินตามถนนแต่ละสายไว้อย่างชัดเจน จากนั้นจะมีคณะกรรมการขึ้นมากำหนดราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพื่อนำมาใช้จัดเก็บภาษีในท้ายที่สุด บัญชีราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนี้อาจจะมีการปรับปรุงทุกรอบ 3 ปี

ภาษีที่คาดว่าจะจัดเก็บได้นี้เก็บเข้าท้องถิ่นโดยเฉพาะ โดยท้องถิ่นเป็นผู้นำเงินส่วนนี้มาใช้พัฒนาท้องถิ่นทั้งด้านสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ โดยไม่มีการหักเงินมาเพื่อใช้ในกิจการอื่นใด ผิดกับกรณีประเทศไทย ที่มีการเสนอให้หักเงินภาษีที่จัดเก็บได้ 2% มาเข้ากองทุนธนาคารที่ดิน ซึ่งสร้างความสับสน และทำให้ประเด็นแตกออกไปเป็นการถ่วงเวลาการให้มีภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในประเทศไทย

การนำเสนอเกี่ยวกับความก้าวหน้าในระบบภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของกัมพูชานี้ ไม่ใช่เพื่อนำมาข่มประเทศไทยของเราเอง แต่เพื่อให้ทุกฝ่ายในประเทศไทยได้ตระหนักถึงความก้าวหน้าของประเทศเพื่อนบ้าน และเป็นอุทาหรณ์ให้ประเทศไทยได้เร่งรัดการพัฒนาประเทศโดยเร็ว

ที่มา.ประชาไท

วันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2554

เสื้อแดง418คนถูกลืมรัฐเมินเยียวยาบรรเทาความเสียหาย

คอป. ขอเลื่อนส่งรายงานผลสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์สลายชุมนุมคนเสื้อแดงจากวันที่ 14 ม.ค. ไปเป็น 24 ม.ค. เนื่องจากกรรมการยังตกลงกันไม่ได้ในบางประเด็น “คณิต” เผยนอกจากรายงานจะมีข้อเสนอต่อนายกรัฐมนตรี 10 ข้อให้ไปปฏิบัติเพื่อสร้างความปรองดอง ระบุมีผู้เสียหาย 418 คนยังไม่ได้รับการช่วยเหลือเยียวยาจากหน่วยงานใดทั้งที่แจ้งไปแล้ว ด้านกรรมการสิทธิมนุษยชนฯยังไม่สรุปสอบเสนอรัฐบาล อ้างรายละเอียดของเรื่องเยอะทำให้เขียนรายงานยาก ตำรวจรับลูก “มาร์ค” เป็นตัวกลางนัดแกนนำเสื้อแดง ผู้ค้าย่านราชประสงค์หารือแนวทางบรรเทาความเดือดร้อนจากการชุมนุม เบื้องต้นเสนอให้ย้ายไปจัดกิจกรรมที่สวนลุมพินีแทน

จากกรณีที่กลุ่มผู้ประกอบการค้าย่านราชประสงค์ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลจัดระเบียบการชุมนุมของคนเสื้อแดงไม่ให้กระทบต่อการดำเนินธุรกิจ และนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ตำรวจเป็นผู้ประสานงานเจรจากับผู้ชุมนุมและผู้ประกอบการนั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 ออกมาระบุว่า ได้ประสานงานไปยังกลุ่มผู้ประกอบการและแกนนำผู้ชุมนุมแล้วเพื่อขอข้อมูลในแต่ละส่วนมาพิจารณาดูว่าจะยืดหยุ่นกันได้อย่างไร เช่น อาจมีการกำหนดเวลาตายตัวสำหรับการชุมนุม และให้ชุมนุมได้เดือนละครั้งเท่านั้น

เสื้อแดง-ผู้ค้าต้องพบกันครึ่งทาง

“ทั้งสองฝ่ายคงต้องมาพูดจากันเพื่อร่วมกันหาทางออกเรียกว่าพบกันครึ่งทาง ผู้ชุมนุมต้องเข้าใจความเดือดร้อนของคนอื่น ขณะเดียวกันก็ต้องมองการชุมนุมว่าเป็นการสะท้อนถึงปัญหาที่คนส่วนใหญ่ของประเทศได้รับผลกระทบด้วย ดังนั้น จึงต้องร่วมกันหาทางออกที่เหมาะสม” พล.ต.ต.วิชัยกล่าว

พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวว่า พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล จะประชุมหารือกับตำรวจที่เกี่ยวข้องเพื่อหามาตรการไปเจรจากับผู้ชุมนุมและกลุ่มผู้ประกอบการค้าย่านราชประสงค์

เสนอย้ายไปชุมนุมในสวนลุมพินี

“เบื้องต้นเป็นที่น่าพอใจเพราะทั้ง 2 ฝ่ายตอบรับที่จะพูดคุยกัน คาดว่าภายในไม่กี่วันนี้จะได้ข้อสรุปที่เป็นที่น่าพอใจของทุกฝ่าย เบื้องต้นจะเสนอให้คนเสื้อแดงย้ายสถานที่ไปชุมนุมที่อื่นที่ไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชน เช่น ที่สวนลุมพินี” พล.ต.ต.ปิยะกล่าว

ผศ.ทวี สุรฤทธิกุล ประธานสาขารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวว่า รัฐบาลต้องบริหารจัดการการชุมนุมของคนเสื้อแดงให้ดี อย่าปล่อยให้ท้าทายอำนาจหลังยกเลิกใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น

อ้างเสื้อแดงเป็นภัยต่อสาธารณะ

“หากปล่อยให้คนเสื้อแดงชุมนุมที่ราชประสงค์เดือนละ 2 ครั้งอย่างที่ประกาศไว้ จะทำให้คนเสื้อแดงเหิมเกริมก้าวร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ รัฐบาลต้องมีมาตรการออกมา เพราะการชุมนุมที่นำเครื่องขยายเสียงมาใช้หรือมีการปิดกั้นช่องทางการจราจรย่อมถือว่าเป็นภัยต่อสาธารณะ หากไม่ทำอะไรเท่ากับว่ารัฐบาลไม่มีประสิทธิภาพ” ผศ.ทวีกล่าวพร้อมเสนอว่า รัฐบาลควรใช้กฎหมายควบคุมการชุมนุมในที่สาธารณะที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาไปแล้ว ในขณะที่ตำรวจต้องทำหน้าที่ของตัวเองอย่างจริงจัง ไม่อย่างนั้นผู้ชุมนุมจะไม่กลัวกฎหมาย

ผศ.ทวียังเรียกร้องให้ประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมของคนเสื้อแดงออกมาแสดงพลังเพื่อไม่ให้คนเสื้อแดงออกมาเคลื่อนไหวอีก เชื่อว่าจะไม่มีการปะทะกันระหว่างประชาชน เพราะต่างได้รับบทเรียนถึงความสูญเสียมาแล้ว

กรรมการสิทธิฯยังไม่สรุปรายงาน

นางอมรา พงศาพิชญ์ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อพิจารณาตรวจสอบกรณีเหตุความรุนแรงจากการขอคืนพื้นที่จากกลุ่มผู้ชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553 กล่าวถึงความคืบหน้าในการทำงานว่า คณะอนุกรรมการแบ่งประเด็นพิจารณาออกเป็น 10 ประเด็น บางประเด็นเสร็จแล้วและอยู่ระหว่างการเขียนรายงาน ซึ่งจะพยายามทำให้เร็วที่สุด

รายละเอียดเยอะเขียนรายงานยาก

“ได้สั่งการไปแล้วว่าให้ทำให้เร็วที่สุด แต่คนที่รับผิดชอบเขียนรายงานอ้างว่าเขียนยากเพราะมีรายละเอียดเยอะ ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อความถูกต้อง หากเร่งทำเกรงว่าจะเกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้”

นางอมรายังกล่าวถึงการช่วยเหลือคนเสื้อแดงที่ถูกขังอยู่ในเรือนจำว่า คณะกรรมการสิทธิฯไม่มีหน้าที่เรื่องนี้โดยตรง แต่ได้ประสานงานกับกรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม และสภาทนายความ เพื่อให้ความช่วยเหลือแล้ว

เผย 10 ประเด็นสอบข้อเท็จจริง

สำหรับ 10 ประเด็นที่คณะอนุกรรมการแยกสอบประกอบด้วย 1.การชุมนุมและเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุมระหว่างวันที่ 12 มี.ค.-20 พ.ค. 2553 ทั่วกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด รวมทั้งการปิดล้อมสถานที่ราชการต่างๆ 2.กรณีนายกรัฐมนตรีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความรุนแรง เมื่อวันที่ 7 เม.ย. 2553 รวมทั้งการที่รัฐบาลสั่งให้มีการตัดสัญญาณผ่านดาวเทียมสถานีพีเพิล ชาแนล และระงับการเผยแพร่ข่าวสารของสถานีวิทยุชุมนุม สื่อสิ่งพิมพ์ และอินเทอร์เน็ต 3.การสั่งการของรัฐบาล รวมถึงการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุมในวันที่ 10 เม.ย. 2553

ครอบคลุมทุกเหตุการณ์ความรุนแรง

4.เหตุการณ์ยิงระเบิดเอ็ม 79 บริเวณแยกศาลาแดง ในวันที่ 22 เม.ย. 2553 กรณีมีผู้ใช้อาวุธปืนยิงเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ศาลาแดงและถนนพระราม 4 ในวันที่ 7 พ.ค. 2553 5.เหตุการณ์ปะทะระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่บริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติ วันที่ 28 เม.ย. 2553 6.การชุมนุมบริเวณโรงพยาบาลตำรวจ รวมถึงการเข้าไปตรวจค้นภายในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์และสภากาชาด 7.การสั่งการของรัฐบาล การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุม ระหว่างวันที่ 13-19 พ.ค. 2553 รวมทั้งเหตุการณ์จลาจล การวางเพลิง และการทำลายทรัพย์สิน อาคาร สถานที่ ในพื้นที่กรุงเทพฯและต่างจังหวัด

8.กรณีมีผู้เสียชีวิต 6 รายที่บริเวณวัดปทุมวนารามฯ ระหว่างวันที่ 19-20 พ.ค. 2553 9.กรณีการเสียชีวิตและบาดเจ็บ ตลอดจนความรุนแรงต่อสื่อมวลชนในรูปแบบต่างๆ และ 10.กรณีการเสียชีวิต บาดเจ็บ สูญหาย และถูกควบคุมตัว ระหว่างวันที่ 12 มี.ค.-20 พ.ค. 2553

คอป. ยังส่งรายงานนายกฯไม่ได้

ด้านความคืบหน้าในการทำงานของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน วันที่ 13 ม.ค. ที่ผ่านมาได้มีการประชุมหารือกันนานกว่า 4 ชั่วโมง เพื่อจัดทำข้อสรุปตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์กระชับพื้น แต่ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ อย่างไรก็ตาม ได้กำหนดว่าจะสรุปรายงานเสนอต่อนายกรัฐมนตรีภายในวันที่ 24 ม.ค. นี้

นายคณิตแถลงว่า ตามกำหนด คอป. ต้องทำรายงานเสนอต่อนายกรัฐมนตรีภายใน 6 เดือน ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 14 ม.ค. นี้ แต่ที่ประชุมยังไม่ได้ข้อสรุปในบางประเด็นจึงขอเลื่อนไปในวันที่ 24 ม.ค.

เบื้องต้นมีเนื้อหาแค่ 25 หน้า

“เบื้องต้นรายงานนี้จะมีเนื้อหาเพียง 25 หน้า ซึ่งจะเกี่ยวกับการทำงานของ คอป. ที่ผ่านมา พร้อมมีข้อเสนอ 10 ข้อถึงนายกรัฐมนตรี หลังเสนอรายงานต่อนายกฯแล้วจะจัดพิมพ์ฉบับภาษาอังกฤษเพื่อให้เป็นกรณีศึกษาของต่างประเทศด้วย” นายคณิตกล่าวพร้อมย้ำว่า คอป. ยังต้องการเห็นความจริงใจของรัฐบาลในเรื่องการประกันตัวคนเสื้อแดง โดยเฉพาะพวกแนวร่วมที่ไม่มีทนายความ ไม่มีหลักทรัพย์ ส่วนระดับแกนนำ คอป. ไม่ได้เน้น เพราะมีขีดความสามารถหาทนายความและเงินที่จะใช้ค้ำประกันและต่อสู้คดี

418 เสื้อแดงยังไม่ได้รับเยียวยา

นายคณิตระบุอีกว่า คอป. สำรวจพบมีผู้เสียหายจากเหตุการณ์ชุมนุมที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือเยียวยาจากหน่วยงานใดเลย 418 ราย ทั้งที่ยื่นเรื่องต่อรัฐบาลแล้ว ซึ่ง คอป. จะเข้าไปดูแลในส่วนนี้

“สำหรับการทำงานหลังจากนี้จะเชิญผู้เกี่ยวข้องมาให้ข้อเท็จจริงด้านต่างๆ เพราะตอนนี้ คอป. ได้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาแล้วแต่ยังมีความเห็นไม่ตรงกัน จึงต้องเชิญมาให้ข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเพื่อความสมบูรณ์ของเนื้อหา” นายคณิตกล่าว

ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

**********************************************************************