รายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย (AHRC) ประจำปี 2553 ในภูมิภาคเอเชีย ถือเป็นการตอกย้ำสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยว่ายังมืดมนและน่าวิตกอย่างมากกับการใช้อำนาจรัฐ โดยเฉพาะภายใต้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินและศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ในช่วงกว่า 6 เดือนที่ผ่านมา
AHRC ระบุว่า ศอฉ. ใช้อำนาจราวกับประเทศไทยอยู่ในยุคของรัฐทหาร เพราะให้อำนาจเจ้าหน้าที่ออกหมายเรียกบุคคลเข้าไปสอบสวนได้ตามต้องการ ผู้ที่ถูกเรียกต้องไปรายงานตัวในค่ายทหาร และถูกแยกสอบปากคำนานถึง 6 ชั่วโมงจากเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งตำรวจ ทหาร และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รวมถึงการแจ้งข้อหากับประชาชนโดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จนบางคนต้องรับโทษคุมขังจนถึงขณะนี้
AHRC ยังระบุถึงแผนผังล้มเจ้าที่ ศอฉ. นำมากล่าวหาฝ่ายตรงข้ามเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2553 ซึ่งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และผู้อำนวยการ ศอฉ. ขณะนั้น ยืนยันว่ามีหลักฐานเพียงพอที่จะออกหมายจับและห้ามบุคคลที่ถูกกล่าวหาเดินทางออกนอกประเทศได้ แต่ไม่เคยนำหลักฐานดังกล่าวออกมาเปิดเผยเลย เช่นเดียวกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่ชุมนุมประท้วงรัฐบาลก็ถูกจับกุมด้วยการกล่าวหาว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
AHRC จึงเห็นว่าอำนาจของ ศอฉ. ไม่ต่างกับการใช้อำนาจในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐอยู่เหนือกฎหมายที่ผู้ถูกกล่าวหาไม่มีสิทธิจะโต้แย้งข้อกล่าวหาใดๆ ซึ่งขัดกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ AHRC ยังระบุว่าเคยเรียกร้องให้สหประชาชาติลดความน่าเชื่อถือและเพิกถอนสิทธิการเป็นสมาชิกในคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของไทยมาตั้งแต่ปี 2540 แล้ว เนื่องจากไม่ปฏิบัติสอดคล้องกับหลักการกรุงปารีสของสหประชาชาติ เพราะคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของไทยขาดความเหมาะสมทั้งในเชิงองค์ประกอบและกระบวนการสรรหาบุคลากร โดยคณะกรรมการมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ 1 คน นักการเมือง 2 คน และนักธุรกิจที่ติดบัญชีดำละเมิดสิทธิมนุษยชนจากคณะกรรมการชุดก่อนหน้านี้ ทั้งหมดไม่เคยมีประวัติอันเป็นสาธารณประโยชน์ทางด้านสิทธิมนุษยชนเลยแม้แต่คนเดียว ทั้งนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว เอกอัครราชทูตและผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ยังได้ดำรงตำแหน่งประธานคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติอีกด้วย
รายงานที่เผยแพร่ไปทั่วโลกยังถากถางคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของไทยว่าไม่น่าแปลกใจที่มีการละเมิดสิทธิเสรีภาพในไทย โดยเฉพาะเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่ผ่านมา
ที่มา. หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
**********************************************************************
วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553
ค่าแรงและการเมือง
บทบรรณาธิการ
คณะกรรมการไตรภาคีขานรับแนวทางของรัฐบาลด้วยการประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำสำหรับปี 2554 ขึ้นอีกวันละ 9-17 บาททั่วประเทศ ตามแต่สภาพค่าครองชีพของแต่ละพื้นที่ โดยจำนวนจังหวัดที่ปรับค่าแรงเพิ่มขึ้น 10-11 บาท/วันมากที่สุด
ค่าแรงขั้นต่ำที่ปรับเพิ่มขึ้นไม่ได้ทำให้อัตราคาแรงพุ่งไปถึงระดับวันละ 250 บาท ดังที่นายกรัฐมนตรีเคยแสดงเจตนาไว้ แต่ก็อยู่ในระดับที่ผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยเห็นว่า
เหมาะสม โดยมีกลุ่มผู้ใช้แรงงานอีกจำนวนหนึ่งแสดงความเห็นว่าน่าจะปรับเพิ่มมากขึ้นกว่านี้
ประเด็นว่าอัตราค่าจ้างที่เหมาะสมควรจะเป็นเท่าใด
เป็นหัวข้อที่มีการถกเถียงมานานนับสิบปี และมีปัจจัยที่แปรผันไปตามสถานการณ์เข้ามาเกี่ยวข้องหลายประการด้วยกัน ตั้งแต่มาตรฐานการครองชีพที่เหมาะสมของประชาชน ไปจนกระทั่งถึงต้นทุนการประกอบการของธุรกิจ และความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งประเภทเดียวกันใน
ต่างประเทศ
ซึ่งจะต้องมีกระบวนการที่ทำให้การตกลงและการต่อรองผลประโยชน์ของแต่ละฝ่าย เป็นไปอย่างเท่าเทียม เป็นธรรมให้มากที่สุด เพื่อให้ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่เป็นอยู่ตามธรรมชาติได้รับการแก้ไขด้วยกระบวนการสันติ
แต่สิ่งที่เป็นหัวข้อวิพากษ์วิจารณ์ของสังคม ซึ่งติดตามมาพร้อมกับการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และการปรับเงินเดือนของข้าราชการ ที่อยู่ในระดับไม่เกินอัตราร้อยละ 5-6 ก็คือเพิ่มค่าตอบแทนของ ส.ส. และวุฒิสมาชิกขึ้นไปอีกเกือบร้อยละ 15
ประการหนึ่งเป็นเพราะที่ผ่านมา ทั้ง ส.ส.และ ส.ว. มิได้พิสูจน์ตนเองให้สังคมเห็นว่าได้ปฏิบัติงานด้วยความรับผิดชอบอย่างเต็มกำลังและความสามารถ ในทางตรงข้ามกลับมี
ภาพของความย่อหย่อน ความไม่เอาใจใส่ และความไร้ประสิทธิภาพเกิดขึ้นบ่อยครั้ง
ยังไม่นับข้อครหาเรื่องการใช้อำนาจหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์อันมิชอบหรือกระทำการทุจริต ซึ่งจากผลสำรวจทั้งภายในประเทศและโดยการประเมินเปรียบเทียบชี้ว่า ระดับการทุจริตโครงการภาครัฐในเมืองไทย อันมีนักการเมืองและข้าราชการเป็นต้นตอนั้น สูงถึงร้อยละ 25-30 ของมูลค่าโครงการ และถูกจัดเป็นประเทศที่มีการทุจริตติดอันดับต้น ๆ ของโลก
ในขณะที่รัฐบาลซึ่งเสนอให้ขึ้นค่าตอบแทนกับนักการเมืองระดับชาติ อ้างเหตุผลแต่ว่าที่ผ่านมา ส.ส.และ ส.ว.มิได้รับการปรับค่าตอบแทนมาเป็นเวลานาน หรือมีภาระทางสังคมอื่น ๆ ที่ทำให้เงินเดือนในปัจจุบันไม่พอกับค่าใช้จ่าย
แต่กลับไม่ได้พูดถึงประเด็นของความสุจริต ความรับผิดชอบ และการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำหน้าที่ ให้สมกับที่นำเงินภาษีอากรของประชาชนมาเพิ่มค่าตอบแทนให้ตนเองหรือพวกพ้อง
จึงยากที่รัฐบาลและฝ่ายการเมืองจะหลีกเลี่ยงคำวิพากษ์วิจารณ์ และการต่อต้านจากคนอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งประสงค์ที่จะเห็นเงินของชาวบ้านได้รับการใช้จ่ายไปในทางที่เหมาะควรกว่านี้
รัฐบาลและนักการเมืองพึงน้อมรับคำวิจารณ์ และนำสาระที่อยู่ในนั้นไปปรับปรุงตน ให้สมกับความประสงค์ของเจ้าของเงิน และเจ้าของอำนาจที่ตนเองหยิบยืมมา
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
------------------------------------------------------
คณะกรรมการไตรภาคีขานรับแนวทางของรัฐบาลด้วยการประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำสำหรับปี 2554 ขึ้นอีกวันละ 9-17 บาททั่วประเทศ ตามแต่สภาพค่าครองชีพของแต่ละพื้นที่ โดยจำนวนจังหวัดที่ปรับค่าแรงเพิ่มขึ้น 10-11 บาท/วันมากที่สุด
ค่าแรงขั้นต่ำที่ปรับเพิ่มขึ้นไม่ได้ทำให้อัตราคาแรงพุ่งไปถึงระดับวันละ 250 บาท ดังที่นายกรัฐมนตรีเคยแสดงเจตนาไว้ แต่ก็อยู่ในระดับที่ผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยเห็นว่า
เหมาะสม โดยมีกลุ่มผู้ใช้แรงงานอีกจำนวนหนึ่งแสดงความเห็นว่าน่าจะปรับเพิ่มมากขึ้นกว่านี้
ประเด็นว่าอัตราค่าจ้างที่เหมาะสมควรจะเป็นเท่าใด
เป็นหัวข้อที่มีการถกเถียงมานานนับสิบปี และมีปัจจัยที่แปรผันไปตามสถานการณ์เข้ามาเกี่ยวข้องหลายประการด้วยกัน ตั้งแต่มาตรฐานการครองชีพที่เหมาะสมของประชาชน ไปจนกระทั่งถึงต้นทุนการประกอบการของธุรกิจ และความสามารถในการแข่งขันกับคู่แข่งประเภทเดียวกันใน
ต่างประเทศ
ซึ่งจะต้องมีกระบวนการที่ทำให้การตกลงและการต่อรองผลประโยชน์ของแต่ละฝ่าย เป็นไปอย่างเท่าเทียม เป็นธรรมให้มากที่สุด เพื่อให้ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่เป็นอยู่ตามธรรมชาติได้รับการแก้ไขด้วยกระบวนการสันติ
แต่สิ่งที่เป็นหัวข้อวิพากษ์วิจารณ์ของสังคม ซึ่งติดตามมาพร้อมกับการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และการปรับเงินเดือนของข้าราชการ ที่อยู่ในระดับไม่เกินอัตราร้อยละ 5-6 ก็คือเพิ่มค่าตอบแทนของ ส.ส. และวุฒิสมาชิกขึ้นไปอีกเกือบร้อยละ 15
ประการหนึ่งเป็นเพราะที่ผ่านมา ทั้ง ส.ส.และ ส.ว. มิได้พิสูจน์ตนเองให้สังคมเห็นว่าได้ปฏิบัติงานด้วยความรับผิดชอบอย่างเต็มกำลังและความสามารถ ในทางตรงข้ามกลับมี
ภาพของความย่อหย่อน ความไม่เอาใจใส่ และความไร้ประสิทธิภาพเกิดขึ้นบ่อยครั้ง
ยังไม่นับข้อครหาเรื่องการใช้อำนาจหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์อันมิชอบหรือกระทำการทุจริต ซึ่งจากผลสำรวจทั้งภายในประเทศและโดยการประเมินเปรียบเทียบชี้ว่า ระดับการทุจริตโครงการภาครัฐในเมืองไทย อันมีนักการเมืองและข้าราชการเป็นต้นตอนั้น สูงถึงร้อยละ 25-30 ของมูลค่าโครงการ และถูกจัดเป็นประเทศที่มีการทุจริตติดอันดับต้น ๆ ของโลก
ในขณะที่รัฐบาลซึ่งเสนอให้ขึ้นค่าตอบแทนกับนักการเมืองระดับชาติ อ้างเหตุผลแต่ว่าที่ผ่านมา ส.ส.และ ส.ว.มิได้รับการปรับค่าตอบแทนมาเป็นเวลานาน หรือมีภาระทางสังคมอื่น ๆ ที่ทำให้เงินเดือนในปัจจุบันไม่พอกับค่าใช้จ่าย
แต่กลับไม่ได้พูดถึงประเด็นของความสุจริต ความรับผิดชอบ และการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำหน้าที่ ให้สมกับที่นำเงินภาษีอากรของประชาชนมาเพิ่มค่าตอบแทนให้ตนเองหรือพวกพ้อง
จึงยากที่รัฐบาลและฝ่ายการเมืองจะหลีกเลี่ยงคำวิพากษ์วิจารณ์ และการต่อต้านจากคนอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งประสงค์ที่จะเห็นเงินของชาวบ้านได้รับการใช้จ่ายไปในทางที่เหมาะควรกว่านี้
รัฐบาลและนักการเมืองพึงน้อมรับคำวิจารณ์ และนำสาระที่อยู่ในนั้นไปปรับปรุงตน ให้สมกับความประสงค์ของเจ้าของเงิน และเจ้าของอำนาจที่ตนเองหยิบยืมมา
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
------------------------------------------------------
วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553
"ชาติพันธุ์และเขตปกครองตนเอง" จากจีน-เวียดนาม กับภาพ 3 จังหวัดชายแดนใต้
ที่ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร มีการจัดเสวนาเรื่อง "นโยบายพหุวัฒนธรรมและนโยบายเขตปกครองพิเศษที่ต่างแดน" จัดโดย กลุ่มวิจัยความขัดแย้งและพหุวัฒนธรรม ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร มีวิทยากรเข้าร่วมได้แก่ อ.วรศักดิ์ มหัทธโนบล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ผศ. ดำรงพล อินทร์จันทร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และผศ.ดร.ยุกติ มุกดาวิจิตร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
"พหุวัฒนธรรม" จากจีนสู่ 3 จังหวัดชายแดนใต้
นายวรศักดิ์ กล่าวว่า เขตปกครองตนเอง, จังหวัดปกครองตนเอง และอำเภอปกครองตนเอง เป็นหน่วยหลักที่มีขนาดใหญ่ของจีน ส่วนตำบลชนชาตินั้นจะมีชนชาติอื่นอยู่ร่วมกับจีนฮั่น แต่ว่าไม่มีสิทธิพิเศษในการปกครองตนเองซึ่งจริงๆแล้วตำบลปกครองตนเองก็มีกระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศมีลักษณะการบริหารที่แตกต่างกันเพราะ จีนมีชนชาติทั้งหมด 56 ชนชาติ
หนึ่งใน 56 ชนชาตินั้นคือฮั่น ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนถึง 90 % จากทั้ง 56 ชนชาติ ส่วนอีก 55 ชนชาติคิดเป็นแค่ 10 % ถ้าหากเป็นชนชาติที่มีจำนวนประชากรขนาดใหญ่ รัฐบาลจีนจะยกให้เป็นเขตปกครองเทียบเท่ามณฑล แต่บางชนชาติที่มีคนจำนวนน้อยบางชนชาติมีประชากร 3,000 คนเท่ากับหมีแพนด้า ก็ไม่สามารถให้มีสิทธิในการปกครองตนเองได้ ชนชาติที่มีจำนวนประชากรน้อยแค่หลักหมื่น รัฐบาลจีนก็ให้สิทธิเรื่องพิเศษอย่างเช่น ให้มีลูกได้มากกว่าหนึ่งคน เป็นนโยบายที่ต้องการรักษาประเพณี และวัฒนธรรมของชนชาติที่มีประชากรน้อย
เมื่อพูดถึงทั้งเขต จังหวัดและอำเภอแต่ละหน่วยมีสภาผู้แทนประชาชนเป็นของตนเอง โดยที่มาของสภาผู้แทนจะดูจาก"สัดส่วนของประชากร กับ จำนวนตัวแทนหนึ่งคน" เนื่องจากชนชาติพันธุ์มีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับจีนฮั่น ซึ่งมีการเลือกตั้งโดยตรงโดยแบ่งเป็นชนบทกับเมือง ถ้าชนบทประชากรอาจมีน้อย สองแสนต่อผู้แทนหนึ่งคน คนเมืองถ้ามากอาจเป็นสามแสนถึงสี่แสนต่อผู้แทนหนึ่งคน เมื่อเลือกตั้งเสร็จแล้ว พวกผู้เแทนเหล่านี้ในหน่วยที่เล็กที่สุด ซึ่งมีจำนวนหลายร้อยคนก็จะเลือกผู้แทนในเขตปกครองนั้นๆขึ้นมาจำนวนหนึ่งไปนั่งในผู้แทนประชาชนในสภาของหน่วยปกครองที่สูงขึ้นไปอีก
เมื่อผู้แทนหลายๆอำเภอมารวมก็จะมีผู้แทนเป็นหลักร้อย ในสภานั้นก็เลือกผู้แทนกันเองขึ้นไปในจังหวัดและจังหวัดก็เลือกในระดับมณฑล มณฑลก็เลือกกันเองเพื่อขึ้นไปนั่งในสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติที่อยู่ในปักกิ่ง ซึ่งระดับตำบลในจีนจะมีสภาแม้ว่าบางตำบลรัฐบาลไม่อนุญาตให้มี แต่โดยส่วนใหญ่แล้วผู้แทนที่ไปนั่งนั้นมีมากกว่า 70-80 เปอร์เซ็นต์เป็นชนชาติพันธุ์
นโยบายแต่ละนโยบายที่ออกมาคนชาติพันธุ์มีสิทธิในการกำหนดนโยบายค่อนข้างมาก ลักษณะแบบนี้เพึ่งเกิดขึ้นได้ไม่ถึง 30 ปี สิทธิตรงนี้ทำให้ชนชาติพันธ์ของเขามีสิทธิพิเศษนำเสนอเรื่องประเพณี วัฒนธรรมได้ แต่ละชนชาติจะมีความเชื่อไม่เหมือนกันเวลากำหนดกฎอะไรที่ใช้สำหรับตัวเองก็จะแตกต่างกัน อย่าเข้าใจว่ากฎใช้เหมือนกันหมด ต้องดูเป็นแต่ละหน่วยปกครองนั้นๆ
ที่กล่าวมานี้ ฟังดูเหมือนดีน่าศึกษา แต่จริงๆแล้วก็มีปัญหา เราพบว่าถ้ามีการประเมินผลภาพรวมถือว่ามีปัญหาน้อย ปัญหาใหญ่ๆที่เกิดคือทิเบต กับซินเจียง กล่าวคือเป็นพื้นที่ที่ถูกกระทำในช่วงแรกของการปกครองอย่างรุนแรงเป็นบาดแผลทางประวัติศาสตร์ เมื่อมีการปกครองตนเองอีกครั้งกลุ่มคนเหล่านี้ก็จะไม่เห็นด้วยกับรัฐ โดยเฉพาะนโยบายการพัฒนาทางเศรษฐกิจ เมื่อรัฐบาลจีนให้ชนชาติฮั่นเข้าไปในหน่วยปกครองของชนชาติเหล่านี้ทำให้เกิดความไม่พอใจขึ้น
ในกรณีทิเบต ก็มีความเคร่งครัดในแบบของเขา แต่สิ่งที่รัฐเอาไปพัฒนาเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจในรูปแบบธุรกิจอบายมุข เช่น บาร์ และสิ่งมอมเมา ฉะนั้น คนเมื่อเจอสิ่งเหล่านี้ก็หลงระเริง และทำให้ผู้นำชุมชนไม่พอใจ ซึ่งเป็นที่มาของความขัดแย้ง
จากการศึกษาเรื่องนี้ รู้สึกว่ากรณีสามจังหวัดชายแดนใต้น่าจะเป็นลักษณะแบบนั้น ซึ่งบางทีกรณีคนที่สื่อสารกรณีนี้มักเป็นชนชั้นนำที่กล่าวแล้วเข้าใจยาก ซึ่งจริงๆแล้วเราอาจสามารถนำปัญหาต่างๆมาประยุกต์ใช้แก้ปัญหาในบางด้านได้
ภาษากับชาติพันธุ์จีน
อ.ดำรงพล กล่าวว่า กรณีการใช้ภาษาจีนการจัดจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ พื้นที่จีนในแต่ละเขตมีกลุ่มชาติพันธ์จำนวนมาก มีกลุ่มชาติพันธุ์ที่กระจายอยู่มีความหลากหลายทางภาษาสามกลุ่มคือ จีนที่เรียกว่าไซแนติก, ฉาน หรือไต และทิเบต-พม่า แต่ก็ยังมีกลุ่มย่อยเป็นจำนวนมาก
โครงการจัดจำแนกกลุ่มชาติพันธ์ในจีนที่ใช้คำว่า MInzu (หมินฉู) นำไปสู่การจัดแบ่งเขตปกครองตนเอง ดังนั้นนักวิชาการบางท่านอาจกล่าวว่า เป็นการสถาปนาสถาบันทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมภายใต้โครงการนี้ ปัจจัยหลักที่จะบอกว่าเป็นหมินฉูหรือไม่นั้น คือการสำรวจกลุ่มชาติพันธุ์ที่เกิดขึ้นทั่วประเทศตั้งแต่หลังจากปฎิวัติเป็นต้นมา, ดูจากกลุ่มที่อยู่รอบๆที่ไม่ใช่ฮั่นคือใครบ้าง และรัฐให้นิยามการประกาศกลุ่มหมินฉูเป็นอย่างไร ซึ่งต้องใช้ภาษาในการกำหนด กระบวนการหมินฉู ก็หมายถึงรัฐเป็นผู้สร้างและกำหนดกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านั้นมีภาษาและอัตลักษณ์อย่างไร ซึ่งต่างกับคำว่า ความเป็นชาติพันธุ์ กล่าวคือเมื่อถูกกำหนดว่าเป็นหมินฉูแล้วจะคล้ายกับตายตัว แยกออกไปจากกลุ่มอื่นอย่างชัดเจน แต่ถ้าคำว่า "ชาติพันธุ์" บางครั้งมันสามารถเปลี่ยนได้
ภายใต้หลักการกลุ่มโครงการนี้ต้องการดูว่ากลุ่มที่ไม่ใช่ฮั่นคืออะไร ซึ่งเป็นการผสมผสานแนวคิดมาร์กซิสต์ กล่าวคือทฤษฎีที่ใช้เป็นการกำหนดว่าเป็นหมินฉูจะบอกด้วยเรื่อง ภาษา, เขตแดน, เศรษฐกิจ และจิตสำนึกทางวัฒนธรรมที่ใช้ร่วมกัน ก็ถือว่าเป็นกลุ่มที่สามารถจัดเข้าไปอยู่ในกลุ่มหมินฉูได้
เวลาที่จัดมีสามระยะ คือในช่วงปี 1949-1953 มี 38 กลุ่ม ระยะปี 1954-1964 มี 15 กลุ่ม และปี 1969-1979 มี 2 กลุ่มซึ่งยังคงมีความซับซ้อนอยู่ คือบางกลุ่มอาจไม่เคยสำนึกว่ากลุ่มตนเป็นอะไร ก็เริ่มเรียกตัวเอง การจัดสิ่งเหล่าเป็นเหมือนการสร้างความเข้มแข็ง หรือแม้แต่อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดสำหรับบางกลุ่มที่อาจถูกจัดเข้าไปอยู่ในกลุ่มย่อยไปด้วย ประการต่อมาคืออาจเกิดความพยายามนิยามตัวเองใหม่ ทั้งๆที่ตัวเองมีวัฒนธรรมของตัวเอง
ในกรณีพื้นที่ที่เข้าไปวิจัยภาคสนามนั้นเป็นเขตปกครองตนเอง ในบริเวณพื้้นที่เหล่านี้จ้วง แม้ว เหวินซาน มีการถกเถียงเรื่องนี้มาก ซึ่งการที่จะจัดแบ่งได้ก็ต้องมีการจัดแบ่งภาษาเพื่อใช้เป็นภาษาราชการ ส่วนในเชิงวัฒนธรรมเชื่อว่าฮั่นเข้าไปมีอิทธิพลมาก
เกณฑ์การแบ่งเรื่อง 56 ชนชาติแบบนี้อาจไม่ใช่เป็นเรื่องการบอกซะทีเดียวว่ากลุ่มแต่ละกลุ่มเป็นใคร แต่ก็มีกลุ่มประมาณกว่า 8 แสนกลุ่ม ที่รอการประกาศอยู่ เพราะฉะนั้น 56 ชนชาติที่ได้รับประกาศไปแล้ว นักวิชาการบางท่านในโลกตะวันตกเชื่อว่าอาจเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการการสร้างชาติของจีน และอาจเป็นการยกระดับเป็นมาตรฐานเดียวกัน และได้รับการยอมรับทางวิชาการ ได้รับการพิจารณาทางภาษาและวัฒนธรรม
สุดท้ายแล้วเราจะตีความกฎเกณฑ์การชี้วัดเหล่านี้ไม่เท่ากับเกณฑ์ตะวันตก จีนใช้เกณฑ์บางเรื่องที่ตรงไปตรงมาแต่บางเรื่องก็อาจซ่อนเร้น และอีกด้านหนึ่งก็อาจมีการปะทะกันระหว่างสำนึกของคนในแต่ละพื้นที่อย่างเช่น ยูนนาน เรียกตัวเองต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ ก็มีการถกเถียงกัน การจัดจำแนกอาจไม่ลงล็อคตามที่จัดก็ได้ กลุ่มชาติพันธุ์ของจีนนั้นจะเห็นได้ว่าบางกลุ่มอาจเป็นเขตปกครองตนเอง หรือจังหวัดตนเอง แต่นักวิชาการจีนเชื่อว่าอย่างน้อยยังประกาศว่าตัวเองเป็นใคร สามารถยืนอยู่บนเวทีเอเชี่ยนเกมส์ได้ เป็นตัวแทนของกลุ่มตัวเอง แต่ว่าจะอยู่แค่ในกระดาษหรือจะสามารถเป็นในเชิงวัฒนธรรมก็อีกเรื่องหนึ่ง
เวียดนามกับความล้มเหลวเรื่องเขตปกครองตนเอง
ดร.ยุกติกล่าวว่า เขตปกครองในเวียดนามตอนนี้้ถูกยกเลิกไปแล้ว เขตปกครองตนเองนั้นเกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างชนกลุ่มน้อยกับรัฐไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆแต่มีเงื่อนไขคือความเป็น"รัฐพหุชาติพันธุ์" ซึ่งการเกิดเขตปกครองตนเองแก้ปัญหาบางประการได้แต่ก็ก่อให้เกิดปัญหาหลายประการเช่นกัน
เวียดนามในช่วงปี 1890 เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสโดยสมบูรณ์ ต่อมาปี 1930 ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีน แต่อีกสิบปีต่อมาก็ถูกญี่ปุ่นยึดครอง(ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2) ปี1945 ญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกก็ออกไปจากเวียดนาม กองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์ในเวียดนามก็ยึดพื้นที่ในเวียดนามเหนือ และหลายพื้นที่ และประกาศอิสรภาพ 1947 ฝรั่งเศสกลับมายึดครองโดยทางการ แต่หลายพื่้นที่กว่าครึ่งอยู่ในอำนาจพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม พอหลัง 1954 จึงเป็นอิสระจากฝรั่งเศส จนตั้งเวียดนามเหนือซึ่งตั้งแต่ 1945 ก็พูดเรื่องเขตปกครองตนเองกันมาแล้ว
เมื่อดูข้อความในรัฐธรรมนูญปี 1945, 48 และ 55 ที่มีข้อความว่า "สาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม(เวียดนามเหนือ)เป็นประเทศหนึ่งเดียวที่ประกอบกันหลายชนชาติ" ส่วนมาตราหนึ่งระบุว่า "พื้นที่ใดที่กลุ่มชาติพันธ์ส่วนน้อยอาศัยเป็นชุมชนเฉพาะก็สามารถก่อตั้งเป็นเขตปกครองตนเองได้"
ลักษณะเขตปกครองพิเศษ เตย บัค (ตะวันตกเฉียงเหนือ), เบียค บัค และลาว ฮา เอียน สามเขตนี้อยู่ล้อมกับฮานอย พื้นที่เหนือส่วนใหญ่ถูกประกาศเป็นเขตปกครองตนเอง ตั้งแต่ปี 1955-1975 ซึ่งนโยบายฝั่งเหนือกับใต้แตกต่างกันมาก ใต้ดำเนินนโยบายลักษณะต้องการกลืนกลายชาติพันธุ์ แต่ทางเหนือพยายามดำเนินนโยบายที่ให้สิทธิมากกว่า ที่น่าสนใจคือพื้นเขตปกครองตนเองที่กินพื้นที่เกินกว่าครึ่งของเวียดนามเหนือ โครงสร้างของเขตปกครองตนเองแบ่งออกเป็น 3 ระดับด้วยกัน แต่มาเพิ่มเป็น 4 ในช่วงหลัง คู (เขตปกครองตนเอง ) ทิน(จังหวัด) โจว (เมือง)
โครงสร้างการบริหารที่พรรคคอมมิวนิสต์ได้สร้างขึ้นมาใหม่คือคณะกรรมการประชาชน เป็นฝ่ายบริหารมาจากการแต่งตั้ง และสภาประชาชนที่เป็นฝ่ายตรวจสอบมาจากการเลือกตั้งโดยสมาชิกพรรคฯในท้องถิ่นระดับต่างๆ โครงสร้างสองอันนี้อยู่มาจนถึงปัจจุบัน ทั้งหมดนี้อยู่ใต้พรรคฯ โดยมีมวลชนระดับรากหญ้าประกอบด้วยสมาชิกพรรคในระดับต่างๆ จัดตั้งเป็นแนวหน้าคือ ปิตุภูมิ, สหภาพสตรี, ชมรมทหารผ่านศึก, สหภาพเกษตรกร และสหภาพเยาวชน (5 แฉกของดาวกลางธงชาติ)
แต่ที่สุดแล้วการมีเขตปกครองตนเองก็อยู่ภายใต้การควบคุมของพรรค แต่คนเหล่านี้ไม่ใช่เป็นคนที่ส่งมาจากส่วนกลาง แต่เป็นคนในท้องถิ่นเอง
สำหรับตัวสภาประชาชนแม้จะอยู่ใต้การดูแลของพรรคแต่ก็ได้รับการเลือกตั้งมาจากท้องถิ่นเอง ที่น่าสนใจคือสภาประระชาชนควบคุมการปกครองระบบท้องถิ่นหลายๆด้าน ตรวจสอบถอดถอนผู้พิพากษาท้องถิ่น ยับยั้งกฎหมายฝ่ายยบริหารท้องถิ่น และกำหนดนโยายได้พอสมควร
นโยบายที่น่าสนใจคือเรื่องภาษา ที่ใช้ภาษาชาติพันธ์เป็นภาษาทางการ สอนภาษากลุ่มชาติพันธุ์ในโรงเรียนประถม ซึ่งเห็นได้ชัดที่สุดมีผลอย่างจริงจังที่สุด แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะมีความหลากหลายในทางชาติพันธ์ซึ่งเกิดปัญหามากมาย
สาเหตุที่ต้องทำให้มีการปกครองตนเองคือ เรื่องนโยบายแบบ"มาร์กซ์และเลนิน" ที่เชื่อว่าความเป็นชาติพันธ์เป็นส่วนหนึ่งของสังคม ชนกลุ่มน้อยเองก็ครองพื้นที่กว่าครึ่งของชาติ พรรคก่อตั้งและเติบโตขึ้นมาในเขตกลุ่มชาติพันธุ์ส่วนน้อย แสดงให้เห็นความเป็นรัฐพหุชนชาติ การจัดตั้งเขตปกครองตนเองเป็นส่วนหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความสนใจในตัวชนกลุ่มน้อย
อย่างไรก็ตาม มีปัญหาของเขตปกครองพิเศษเกิดขึ้น เมื่อแต่เดิมรัฐสัญญาว่าจะสืบทอดเขตปกครองตนเอง แต่เมื่อ 1962 รัฐได้ตั้งจังหวัดซ้อนเข้าไปในเขตปกครองตนเอง ทำให้นโยบายเรื่องภาษาเริ่มมีปัญหา ว่าจะเลือกภาษาไหนเป็นภาษากลาง รวมไปถึงปัญหาการใช้ตัวอักษร จึงนำไปสู่ปัญหาความขัดแย้งในท้องถิ่น
นอกจากนี้ยังเกิดความขัดแย้งภายในระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ในเขตฯเพราะมีหลายกลุ่มชาติพันธุ์ การจัดสรรทรัพยากรตามกลุ่มชาติพันธุ์ที่แตกต่างกัน จนนำไปสู่การยกเลิกเขตปกครองตนเองในที่สุด
ที่มา.มติชนออนไลน์
******************************************************************************
"พหุวัฒนธรรม" จากจีนสู่ 3 จังหวัดชายแดนใต้
นายวรศักดิ์ กล่าวว่า เขตปกครองตนเอง, จังหวัดปกครองตนเอง และอำเภอปกครองตนเอง เป็นหน่วยหลักที่มีขนาดใหญ่ของจีน ส่วนตำบลชนชาตินั้นจะมีชนชาติอื่นอยู่ร่วมกับจีนฮั่น แต่ว่าไม่มีสิทธิพิเศษในการปกครองตนเองซึ่งจริงๆแล้วตำบลปกครองตนเองก็มีกระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศมีลักษณะการบริหารที่แตกต่างกันเพราะ จีนมีชนชาติทั้งหมด 56 ชนชาติ
หนึ่งใน 56 ชนชาตินั้นคือฮั่น ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนถึง 90 % จากทั้ง 56 ชนชาติ ส่วนอีก 55 ชนชาติคิดเป็นแค่ 10 % ถ้าหากเป็นชนชาติที่มีจำนวนประชากรขนาดใหญ่ รัฐบาลจีนจะยกให้เป็นเขตปกครองเทียบเท่ามณฑล แต่บางชนชาติที่มีคนจำนวนน้อยบางชนชาติมีประชากร 3,000 คนเท่ากับหมีแพนด้า ก็ไม่สามารถให้มีสิทธิในการปกครองตนเองได้ ชนชาติที่มีจำนวนประชากรน้อยแค่หลักหมื่น รัฐบาลจีนก็ให้สิทธิเรื่องพิเศษอย่างเช่น ให้มีลูกได้มากกว่าหนึ่งคน เป็นนโยบายที่ต้องการรักษาประเพณี และวัฒนธรรมของชนชาติที่มีประชากรน้อย
เมื่อพูดถึงทั้งเขต จังหวัดและอำเภอแต่ละหน่วยมีสภาผู้แทนประชาชนเป็นของตนเอง โดยที่มาของสภาผู้แทนจะดูจาก"สัดส่วนของประชากร กับ จำนวนตัวแทนหนึ่งคน" เนื่องจากชนชาติพันธุ์มีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับจีนฮั่น ซึ่งมีการเลือกตั้งโดยตรงโดยแบ่งเป็นชนบทกับเมือง ถ้าชนบทประชากรอาจมีน้อย สองแสนต่อผู้แทนหนึ่งคน คนเมืองถ้ามากอาจเป็นสามแสนถึงสี่แสนต่อผู้แทนหนึ่งคน เมื่อเลือกตั้งเสร็จแล้ว พวกผู้เแทนเหล่านี้ในหน่วยที่เล็กที่สุด ซึ่งมีจำนวนหลายร้อยคนก็จะเลือกผู้แทนในเขตปกครองนั้นๆขึ้นมาจำนวนหนึ่งไปนั่งในผู้แทนประชาชนในสภาของหน่วยปกครองที่สูงขึ้นไปอีก
เมื่อผู้แทนหลายๆอำเภอมารวมก็จะมีผู้แทนเป็นหลักร้อย ในสภานั้นก็เลือกผู้แทนกันเองขึ้นไปในจังหวัดและจังหวัดก็เลือกในระดับมณฑล มณฑลก็เลือกกันเองเพื่อขึ้นไปนั่งในสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติที่อยู่ในปักกิ่ง ซึ่งระดับตำบลในจีนจะมีสภาแม้ว่าบางตำบลรัฐบาลไม่อนุญาตให้มี แต่โดยส่วนใหญ่แล้วผู้แทนที่ไปนั่งนั้นมีมากกว่า 70-80 เปอร์เซ็นต์เป็นชนชาติพันธุ์
นโยบายแต่ละนโยบายที่ออกมาคนชาติพันธุ์มีสิทธิในการกำหนดนโยบายค่อนข้างมาก ลักษณะแบบนี้เพึ่งเกิดขึ้นได้ไม่ถึง 30 ปี สิทธิตรงนี้ทำให้ชนชาติพันธ์ของเขามีสิทธิพิเศษนำเสนอเรื่องประเพณี วัฒนธรรมได้ แต่ละชนชาติจะมีความเชื่อไม่เหมือนกันเวลากำหนดกฎอะไรที่ใช้สำหรับตัวเองก็จะแตกต่างกัน อย่าเข้าใจว่ากฎใช้เหมือนกันหมด ต้องดูเป็นแต่ละหน่วยปกครองนั้นๆ
ที่กล่าวมานี้ ฟังดูเหมือนดีน่าศึกษา แต่จริงๆแล้วก็มีปัญหา เราพบว่าถ้ามีการประเมินผลภาพรวมถือว่ามีปัญหาน้อย ปัญหาใหญ่ๆที่เกิดคือทิเบต กับซินเจียง กล่าวคือเป็นพื้นที่ที่ถูกกระทำในช่วงแรกของการปกครองอย่างรุนแรงเป็นบาดแผลทางประวัติศาสตร์ เมื่อมีการปกครองตนเองอีกครั้งกลุ่มคนเหล่านี้ก็จะไม่เห็นด้วยกับรัฐ โดยเฉพาะนโยบายการพัฒนาทางเศรษฐกิจ เมื่อรัฐบาลจีนให้ชนชาติฮั่นเข้าไปในหน่วยปกครองของชนชาติเหล่านี้ทำให้เกิดความไม่พอใจขึ้น
ในกรณีทิเบต ก็มีความเคร่งครัดในแบบของเขา แต่สิ่งที่รัฐเอาไปพัฒนาเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจในรูปแบบธุรกิจอบายมุข เช่น บาร์ และสิ่งมอมเมา ฉะนั้น คนเมื่อเจอสิ่งเหล่านี้ก็หลงระเริง และทำให้ผู้นำชุมชนไม่พอใจ ซึ่งเป็นที่มาของความขัดแย้ง
จากการศึกษาเรื่องนี้ รู้สึกว่ากรณีสามจังหวัดชายแดนใต้น่าจะเป็นลักษณะแบบนั้น ซึ่งบางทีกรณีคนที่สื่อสารกรณีนี้มักเป็นชนชั้นนำที่กล่าวแล้วเข้าใจยาก ซึ่งจริงๆแล้วเราอาจสามารถนำปัญหาต่างๆมาประยุกต์ใช้แก้ปัญหาในบางด้านได้
ภาษากับชาติพันธุ์จีน
อ.ดำรงพล กล่าวว่า กรณีการใช้ภาษาจีนการจัดจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ พื้นที่จีนในแต่ละเขตมีกลุ่มชาติพันธ์จำนวนมาก มีกลุ่มชาติพันธุ์ที่กระจายอยู่มีความหลากหลายทางภาษาสามกลุ่มคือ จีนที่เรียกว่าไซแนติก, ฉาน หรือไต และทิเบต-พม่า แต่ก็ยังมีกลุ่มย่อยเป็นจำนวนมาก
โครงการจัดจำแนกกลุ่มชาติพันธ์ในจีนที่ใช้คำว่า MInzu (หมินฉู) นำไปสู่การจัดแบ่งเขตปกครองตนเอง ดังนั้นนักวิชาการบางท่านอาจกล่าวว่า เป็นการสถาปนาสถาบันทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมภายใต้โครงการนี้ ปัจจัยหลักที่จะบอกว่าเป็นหมินฉูหรือไม่นั้น คือการสำรวจกลุ่มชาติพันธุ์ที่เกิดขึ้นทั่วประเทศตั้งแต่หลังจากปฎิวัติเป็นต้นมา, ดูจากกลุ่มที่อยู่รอบๆที่ไม่ใช่ฮั่นคือใครบ้าง และรัฐให้นิยามการประกาศกลุ่มหมินฉูเป็นอย่างไร ซึ่งต้องใช้ภาษาในการกำหนด กระบวนการหมินฉู ก็หมายถึงรัฐเป็นผู้สร้างและกำหนดกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านั้นมีภาษาและอัตลักษณ์อย่างไร ซึ่งต่างกับคำว่า ความเป็นชาติพันธุ์ กล่าวคือเมื่อถูกกำหนดว่าเป็นหมินฉูแล้วจะคล้ายกับตายตัว แยกออกไปจากกลุ่มอื่นอย่างชัดเจน แต่ถ้าคำว่า "ชาติพันธุ์" บางครั้งมันสามารถเปลี่ยนได้
ภายใต้หลักการกลุ่มโครงการนี้ต้องการดูว่ากลุ่มที่ไม่ใช่ฮั่นคืออะไร ซึ่งเป็นการผสมผสานแนวคิดมาร์กซิสต์ กล่าวคือทฤษฎีที่ใช้เป็นการกำหนดว่าเป็นหมินฉูจะบอกด้วยเรื่อง ภาษา, เขตแดน, เศรษฐกิจ และจิตสำนึกทางวัฒนธรรมที่ใช้ร่วมกัน ก็ถือว่าเป็นกลุ่มที่สามารถจัดเข้าไปอยู่ในกลุ่มหมินฉูได้
เวลาที่จัดมีสามระยะ คือในช่วงปี 1949-1953 มี 38 กลุ่ม ระยะปี 1954-1964 มี 15 กลุ่ม และปี 1969-1979 มี 2 กลุ่มซึ่งยังคงมีความซับซ้อนอยู่ คือบางกลุ่มอาจไม่เคยสำนึกว่ากลุ่มตนเป็นอะไร ก็เริ่มเรียกตัวเอง การจัดสิ่งเหล่าเป็นเหมือนการสร้างความเข้มแข็ง หรือแม้แต่อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดสำหรับบางกลุ่มที่อาจถูกจัดเข้าไปอยู่ในกลุ่มย่อยไปด้วย ประการต่อมาคืออาจเกิดความพยายามนิยามตัวเองใหม่ ทั้งๆที่ตัวเองมีวัฒนธรรมของตัวเอง
ในกรณีพื้นที่ที่เข้าไปวิจัยภาคสนามนั้นเป็นเขตปกครองตนเอง ในบริเวณพื้้นที่เหล่านี้จ้วง แม้ว เหวินซาน มีการถกเถียงเรื่องนี้มาก ซึ่งการที่จะจัดแบ่งได้ก็ต้องมีการจัดแบ่งภาษาเพื่อใช้เป็นภาษาราชการ ส่วนในเชิงวัฒนธรรมเชื่อว่าฮั่นเข้าไปมีอิทธิพลมาก
เกณฑ์การแบ่งเรื่อง 56 ชนชาติแบบนี้อาจไม่ใช่เป็นเรื่องการบอกซะทีเดียวว่ากลุ่มแต่ละกลุ่มเป็นใคร แต่ก็มีกลุ่มประมาณกว่า 8 แสนกลุ่ม ที่รอการประกาศอยู่ เพราะฉะนั้น 56 ชนชาติที่ได้รับประกาศไปแล้ว นักวิชาการบางท่านในโลกตะวันตกเชื่อว่าอาจเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการการสร้างชาติของจีน และอาจเป็นการยกระดับเป็นมาตรฐานเดียวกัน และได้รับการยอมรับทางวิชาการ ได้รับการพิจารณาทางภาษาและวัฒนธรรม
สุดท้ายแล้วเราจะตีความกฎเกณฑ์การชี้วัดเหล่านี้ไม่เท่ากับเกณฑ์ตะวันตก จีนใช้เกณฑ์บางเรื่องที่ตรงไปตรงมาแต่บางเรื่องก็อาจซ่อนเร้น และอีกด้านหนึ่งก็อาจมีการปะทะกันระหว่างสำนึกของคนในแต่ละพื้นที่อย่างเช่น ยูนนาน เรียกตัวเองต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ ก็มีการถกเถียงกัน การจัดจำแนกอาจไม่ลงล็อคตามที่จัดก็ได้ กลุ่มชาติพันธุ์ของจีนนั้นจะเห็นได้ว่าบางกลุ่มอาจเป็นเขตปกครองตนเอง หรือจังหวัดตนเอง แต่นักวิชาการจีนเชื่อว่าอย่างน้อยยังประกาศว่าตัวเองเป็นใคร สามารถยืนอยู่บนเวทีเอเชี่ยนเกมส์ได้ เป็นตัวแทนของกลุ่มตัวเอง แต่ว่าจะอยู่แค่ในกระดาษหรือจะสามารถเป็นในเชิงวัฒนธรรมก็อีกเรื่องหนึ่ง
เวียดนามกับความล้มเหลวเรื่องเขตปกครองตนเอง
ดร.ยุกติกล่าวว่า เขตปกครองในเวียดนามตอนนี้้ถูกยกเลิกไปแล้ว เขตปกครองตนเองนั้นเกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างชนกลุ่มน้อยกับรัฐไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆแต่มีเงื่อนไขคือความเป็น"รัฐพหุชาติพันธุ์" ซึ่งการเกิดเขตปกครองตนเองแก้ปัญหาบางประการได้แต่ก็ก่อให้เกิดปัญหาหลายประการเช่นกัน
เวียดนามในช่วงปี 1890 เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสโดยสมบูรณ์ ต่อมาปี 1930 ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีน แต่อีกสิบปีต่อมาก็ถูกญี่ปุ่นยึดครอง(ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2) ปี1945 ญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกก็ออกไปจากเวียดนาม กองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์ในเวียดนามก็ยึดพื้นที่ในเวียดนามเหนือ และหลายพื้นที่ และประกาศอิสรภาพ 1947 ฝรั่งเศสกลับมายึดครองโดยทางการ แต่หลายพื่้นที่กว่าครึ่งอยู่ในอำนาจพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม พอหลัง 1954 จึงเป็นอิสระจากฝรั่งเศส จนตั้งเวียดนามเหนือซึ่งตั้งแต่ 1945 ก็พูดเรื่องเขตปกครองตนเองกันมาแล้ว
เมื่อดูข้อความในรัฐธรรมนูญปี 1945, 48 และ 55 ที่มีข้อความว่า "สาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม(เวียดนามเหนือ)เป็นประเทศหนึ่งเดียวที่ประกอบกันหลายชนชาติ" ส่วนมาตราหนึ่งระบุว่า "พื้นที่ใดที่กลุ่มชาติพันธ์ส่วนน้อยอาศัยเป็นชุมชนเฉพาะก็สามารถก่อตั้งเป็นเขตปกครองตนเองได้"
ลักษณะเขตปกครองพิเศษ เตย บัค (ตะวันตกเฉียงเหนือ), เบียค บัค และลาว ฮา เอียน สามเขตนี้อยู่ล้อมกับฮานอย พื้นที่เหนือส่วนใหญ่ถูกประกาศเป็นเขตปกครองตนเอง ตั้งแต่ปี 1955-1975 ซึ่งนโยบายฝั่งเหนือกับใต้แตกต่างกันมาก ใต้ดำเนินนโยบายลักษณะต้องการกลืนกลายชาติพันธุ์ แต่ทางเหนือพยายามดำเนินนโยบายที่ให้สิทธิมากกว่า ที่น่าสนใจคือพื้นเขตปกครองตนเองที่กินพื้นที่เกินกว่าครึ่งของเวียดนามเหนือ โครงสร้างของเขตปกครองตนเองแบ่งออกเป็น 3 ระดับด้วยกัน แต่มาเพิ่มเป็น 4 ในช่วงหลัง คู (เขตปกครองตนเอง ) ทิน(จังหวัด) โจว (เมือง)
โครงสร้างการบริหารที่พรรคคอมมิวนิสต์ได้สร้างขึ้นมาใหม่คือคณะกรรมการประชาชน เป็นฝ่ายบริหารมาจากการแต่งตั้ง และสภาประชาชนที่เป็นฝ่ายตรวจสอบมาจากการเลือกตั้งโดยสมาชิกพรรคฯในท้องถิ่นระดับต่างๆ โครงสร้างสองอันนี้อยู่มาจนถึงปัจจุบัน ทั้งหมดนี้อยู่ใต้พรรคฯ โดยมีมวลชนระดับรากหญ้าประกอบด้วยสมาชิกพรรคในระดับต่างๆ จัดตั้งเป็นแนวหน้าคือ ปิตุภูมิ, สหภาพสตรี, ชมรมทหารผ่านศึก, สหภาพเกษตรกร และสหภาพเยาวชน (5 แฉกของดาวกลางธงชาติ)
แต่ที่สุดแล้วการมีเขตปกครองตนเองก็อยู่ภายใต้การควบคุมของพรรค แต่คนเหล่านี้ไม่ใช่เป็นคนที่ส่งมาจากส่วนกลาง แต่เป็นคนในท้องถิ่นเอง
สำหรับตัวสภาประชาชนแม้จะอยู่ใต้การดูแลของพรรคแต่ก็ได้รับการเลือกตั้งมาจากท้องถิ่นเอง ที่น่าสนใจคือสภาประระชาชนควบคุมการปกครองระบบท้องถิ่นหลายๆด้าน ตรวจสอบถอดถอนผู้พิพากษาท้องถิ่น ยับยั้งกฎหมายฝ่ายยบริหารท้องถิ่น และกำหนดนโยายได้พอสมควร
นโยบายที่น่าสนใจคือเรื่องภาษา ที่ใช้ภาษาชาติพันธ์เป็นภาษาทางการ สอนภาษากลุ่มชาติพันธุ์ในโรงเรียนประถม ซึ่งเห็นได้ชัดที่สุดมีผลอย่างจริงจังที่สุด แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะมีความหลากหลายในทางชาติพันธ์ซึ่งเกิดปัญหามากมาย
สาเหตุที่ต้องทำให้มีการปกครองตนเองคือ เรื่องนโยบายแบบ"มาร์กซ์และเลนิน" ที่เชื่อว่าความเป็นชาติพันธ์เป็นส่วนหนึ่งของสังคม ชนกลุ่มน้อยเองก็ครองพื้นที่กว่าครึ่งของชาติ พรรคก่อตั้งและเติบโตขึ้นมาในเขตกลุ่มชาติพันธุ์ส่วนน้อย แสดงให้เห็นความเป็นรัฐพหุชนชาติ การจัดตั้งเขตปกครองตนเองเป็นส่วนหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความสนใจในตัวชนกลุ่มน้อย
อย่างไรก็ตาม มีปัญหาของเขตปกครองพิเศษเกิดขึ้น เมื่อแต่เดิมรัฐสัญญาว่าจะสืบทอดเขตปกครองตนเอง แต่เมื่อ 1962 รัฐได้ตั้งจังหวัดซ้อนเข้าไปในเขตปกครองตนเอง ทำให้นโยบายเรื่องภาษาเริ่มมีปัญหา ว่าจะเลือกภาษาไหนเป็นภาษากลาง รวมไปถึงปัญหาการใช้ตัวอักษร จึงนำไปสู่ปัญหาความขัดแย้งในท้องถิ่น
นอกจากนี้ยังเกิดความขัดแย้งภายในระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ในเขตฯเพราะมีหลายกลุ่มชาติพันธุ์ การจัดสรรทรัพยากรตามกลุ่มชาติพันธุ์ที่แตกต่างกัน จนนำไปสู่การยกเลิกเขตปกครองตนเองในที่สุด
ที่มา.มติชนออนไลน์
******************************************************************************
ขึ้นเงินข้าราชการการเมือง: ร่างพระราชกฤษฎีกาอัปยศ
ข้าราชการประจำ ต้องมีระบบที่ดีเพื่อดึงคนดีมีความสามารถให้อยู่นานๆ จึงใช้บำเหน็จบำนาญเป็นเครื่องล่อใจ ส่วนขรก.การเมืองคืองาน"อาสา" วาระสั้นๆ
เหตุผลที่ผมไม่เห็นด้วยกับการขึ้นเงินเดือนข้าราชการการเมืองและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ คือ 1.นักการเมืองส่วนมากไม่ทำหน้าที่ของตัว และส่วนหนึ่งเป็นผู้ก่อการร้ายทำความเสียหายให้แก่บ้านเมืองมากที่สุด ในรอบ 7 ปีที่ผ่านมา ควรหาทางลดหรือตัดเงินเดือนของผู้ก่อการร้ายที่แฝงตัวอยู่ในคราบนักการเมืองดีกว่า
2.นักการเมืองที่ดีมีไม่ถึง 20% ของทั้งหมด ผมเชื่อว่าพวกนี้ไม่สนใจดอกว่ามีเงินดือนมากหรือน้อย ผลตอบแทนที่พวกนี้ได้รับคือความรัก-เคารพจากประชาชน ชื่อเสียง-คุณความดีคงอยู่ในประวัติศาสตร์ถึงชั้นลูกหลาน มีคุณค่ามากกว่าเงินทอง กินใช้ไม่หมดตลอดกาล
3.ข้าราชการ พนักงานอื่น ๆ ที่มีเงินเดือนต่ำควรเพิ่มมาก ๆ คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ลดน้อยลงตามลำดับตามขั้นเงินเดือนที่สูงขึ้น ระงับการขึ้นเงินเดือนสำหรับคนมีเงินเดือนสูงตั้งแต่ 40,000 บาทขึ้นไป
4.ผมเคยคัดค้านร่าง พ.ร.ฎ.อัปยศขึ้นเงินเดือนข้าราชการการเมืองสมัยรัฐบาลทักษิณมาแล้ว
5.ผมไม่อยากเห็น อภิสิทธิ์ หรือพรรคประชาธิปัตย์ ทำอัปยศอย่างทักษิณกับพรรคพวก
ต่อไปนี้ เป็นบทความของอาจารย์เขียน ธีระวิทย์ ที่เคยแสดงเหตุผลหนักแน่นต่อต้านการขึ้นเงินเดือนค่าตอบแทนข้าราชการการเมือง น่าจะสกิดใจพวกอย่างหนาบ้าง
O ผมตกใจจริง ๆ เมื่อได้อ่านคำสัมภาษณ์ของรองนายกฯ ดร.วิษณุ เครืองาม ที่ลงในมติชนรายวัน(14 กรกฎาคม 2548, น.11) เกี่ยวกับการออก พ.ร.ฎ.การให้บำเหน็จบำนาญข้าราชการการเมือง ท่านว่า “การให้บำนาญ ส.ส. เพิ่งเกิดขึ้นตามความคิดในรัฐธรรมนูญปี 2540...”
เข้าใจว่าเหตุผลข้อนี้คงจะถูกนำไปอ้างใน พ.ร.ฎ.ที่จะออกตามมาด้วย ผมตกใจเพราะเกรงว่ารัฐธรรมนูญกำลังถูกนำไปใช้อย่างบิดเบือนอย่างจงใจหรือไม่จงใจก็ไม่ทราบ ผมรีบไปเปิดรัฐธรรมนูญดู มีมาตราเดียวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ คือ มาตรา 229 ซึ่งบัญญัติว่า
"เงินประจำตำแหน่งและผลประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นขององคมนตรี ประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานและรองประธานวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภาให้กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา
บำเหน็จบำนาญหรือผลประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นขององคมนตรี ประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานและรองประธานวุฒิสภา นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งพ้นจากตำแหน่ง ให้กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา"
ผมสลดใจอย่างสุดซึ้ง เมื่ออ่านทบทวนหลายจบ ที่เศร้าใจก็เพราะตัวเองเป็นหนึ่งใน 99 สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.) และเป็นหนึ่งในคณะกรรมาธิการยกร่างและกรรมาธิการวิชาการของสภาร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ด้วย ทำไมปล่อยให้มาตรานี้หลุดออกมาได้ ผมขาดความรับผิดชอบปานนี้เชียวหรือ เมื่อได้อ่านบทความคุณนฤตย์ เสกธีระใน มติชนรายวัน (26 กรกฎาคม 2548) ซึ่งกล่าวไว้อย่างสมเหตุผล ก็ยิ่งทำให้รู้สึกเดือดร้อนมากขึ้น
ผมพยายามรื้อฟื้นความจำว่าอะไรเกิดขึ้นในขณะนั้น เรื่องทำงานลวกๆ ให้ผ่านไปโดยไม่อ่านร่างนั้นคงไม่มี แต่การขาดความรอบคอบนั้นมี ความปรารถนาอยากเห็นรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพทำงานเร็วนั้นมี ความหวาดระแวงนักการเมืองชั่วครองเมืองนั้นมี แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีขนาดที่เห็นอยู่ปัจจุบันนี้ การฉวยโอกาสใช้กฎหมายเพื่อผลประโยชน์และอำนาจของพรรคพวก เป็นเรื่องที่ผมและ ส.ส.ร. จำนวนมากคาดไม่ถึงจริง ๆ
ในที่สุด ผมได้คำตอบว่า เรามีปัญหาอยู่ที่การตีความ ผมกับรองนายกฯ วิษณุ ตีความรัฐธรรมนูญมาตรา 229 ไม่เหมือนกัน สำหรับผมนั้น ตอนร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 และปัจจุบันยังเชื่อว่ารัฐธรรมนูญมาตรา 229 มิได้กำหนดให้รัฐบาลมีอำนาจออก พ.ร.ฎ.ให้บำเหน็จบำนาญ ส.ส. และ ส.ว. ได้ ทั้งนี้ จะต้องดูรัฐธรรมนูญมาตรานี้ กฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง และปรัชญาในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยประกอบกัน
การปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น การใช้เงินภาษีอากรของราษฎรทุกบาททุกสตางค์ จะต้องได้รับอนุมัติจากรัฐสภา ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชน ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องมี พ.ร.บ.งบประมาณประจำปี ในกรณีบำเหน็จบำนาญ เรายังต้องมี พ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ.2494 เป็นกฎหมายหลักรองรับ (ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมมาแล้ว 22 ครั้ง) เราไม่มี (และไม่ควรมี) พ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญข้าราชการการเมือง การที่ข้าราชการการเมืองในระดับ นรม. และ รมต. ได้รับบำเหน็จบำนาญนั้นผมไม่เห็นด้วย แต่พวกเขาก็ได้สิทธินั้นโดยการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. บำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 ไม่ใช่ในรูป พ.ร.ฎ. ดังที่กำลังจะทำกัน
ถ้าอ่านรัฐธรรมนูญมาตรา 229 วรรคสองให้ดีแล้ว จะเห็นว่าข้อความนำในประโยคแรกใช้คำว่า "หรือ" ไม่ใช่ "และ" ถ้าใช้คำว่า "และ" เราไม่มีทางเลือก จะต้องตีความตามตัวบทกฎหมายดังที่รองนายกฯ วิษณุแนะนำไว้ คือรัฐธรรมนูญฉบับนี้บังคับให้นักการเมืองออก พ.ร.ฎ. เพิ่มประโยชน์ให้ตัวเองและพรรคพวก โดยไม่ต้องทำเป็น พ.ร.บ.
คำว่า "หรือ" มีความหมายสำคัญ ผมตีความตามตัวบทกฎหมายและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญว่าในบรรดาองคมนตรีและนักการเมืองที่กล่าวไว้ในวรรคนั้น (มี 10 ตำแหน่ง รวมทั้งองคมนตรี) ตำแหน่งใดที่มี พ.ร.บ. รองรับที่จะให้ผลประโยชน์ในรูปบำเหน็จบำนาญก็ตราเป็น พ.ร.ฎ. ได้ ถ้าไม่มีกฎหมายให้อำนาจก็อาจให้ผลประโยชน์ในรูปแบบอื่น (ซึ่งมักจะเป็นรายจ่ายเล็กน้อย) ไม่จำเป็นต้องให้บำเหน็จบำนาญครบทั้ง 10 ตำแหน่ง รัฐธรรมนูญ คณาธิปไตย เท่านั้น ไม่ใช่ ประชาธิปไตย ที่จะให้อำนาจนักการเมืองกำหนดบำเหน็จบำนาญให้ตัวเองโดยทำเป็น พ.ร.ฎ.ในขณะที่ข้าราชการอื่นๆ ทุกหมู่เหล่าต้องทำเป็น พ.ร.บ. กล่าวโดยสรุป
(1) การออก พ.ร.ฎ. กำหนดบำเหน็จบำนาญองคมนตรีนั้นย่อมทำได้ (ใช้ในกรณีที่องคมนตรีพ้นจากตำแหน่งโดยการลาออก หรือมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่ง ตามรัฐธรรมนูญ ม. 16)
(2) การออก พ.ร.ฎ. กำหนดบำเหน็จบำนาญ (ฉบับใหม่หรือแก้ไขเพิ่มเติมของเก่า) ให้แก่ นรม. และรมต.ที่ปฏิบัติกันมาแล้ว (โดยอาศัย พ.ร.บ. บำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494) นั้นย่อมทำได้
(3) สำหรับการออก พ.ร.ฎ กำหนดบำเหน็จบำนาญให้ ส.ส.- ส.ว. และตำแหน่งอื่นๆ อีก 5 ตำแหน่งนั้นทำไม่ได้ แต่ให้ประโยชน์ตอบแทนอื่นๆ หลังจากพ้นตำแหน่งแล้วย่อมได้ ฉะนั้น ถ้าแจกจ่ายคอมพิวเตอร์ให้ไปใช้ในระหว่างมีตำแหน่ง จะยกให้เป็นทรัพย์สินส่วนตัวก็ดี ต่อไปถ้ามีบ้านพักให้ ส.ส. และ ส.ว. เช่าในราคาถูก จะให้สิทธิอยู่ต่อได้สัก 2 ปีหลังจากพ้นจากตำแหน่งก็ดี หรือจะให้นักการเมืองตำแหน่งดังกล่าวได้สิทธิประกันสุขภาพ หลังพ้นจากตำแหน่งไปจนตายก็ดี ย่อมออกเป็น พ.ร.ฎ. ได้
ต้องยอมรับว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ มีข้อบัญญัติที่สร้างปัญหาให้ต้องตีความมาก และเปิดช่องให้ผู้มีอำนาจฉวยโอกาสนำไปใช้เพื่อประโยชน์ตนและพรรคพวกได้ง่าย
ผมไม่เห็นด้วยกับการให้บำเหน็จบำนาญแก่ข้าราชการการเมือง เหตุผลสำคัญอยู่ที่หลักการมากกว่าจำนวนเงิน (ภายใน 15-20 ปีข้างหน้า ถ้าฐานเงินเดือนหรือเงินประจำตำแหน่งคงที่ งบประมาณเพื่อการนี้คงอยู่ในราว 200 ล้านบาทต่อปี)
ประการแรก นักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยนั้น มีต้นกำเนิดมาจากชาวกรีกตั้งแต่ 2000 ปีเศษที่ผ่านมาแล้ว สมัยนั้นนักการเมืองเป็นอาสาสมัคร ได้รับยกย่องจากชุมชนอย่างสูง อริสโตเติลก็มองนักการเมืองในแง่ดี เพราะพวกเขาทำงานที่ต้องใช้ศาสตร์หลากหลายสาขา เป็นศาสตร์สูงสุดของมนุษย์เพื่อส่งเสริมให้คนในชุมชนมีชีวิตดีขึ้น งานนี้เหมาะเฉพาะคนที่มีคุณธรรม (virtue) ซึ่งพอใจในการได้รับเกียรติ (honors) ไม่เหมาะสำหรับพ่อค้าที่มุ่งแต่จะแสวงหากำไร ถ้าเอาคนบูชาเงิน แสวงหาสายสะพาย หรือค่าตอบแทนมากๆ การเมืองก็จะเสื่อม ผลก็คือคนไม่ศรัทธานักการเมือง ชีวิตของคนในชุมชนก็จะไม่ดีขึ้น แต่จะใกล้เคียงกับสัตว์ป่ามากกว่า
ประการที่สอง คุณนฤตย์ เสกธีระ กล่าวไว้ในมติชนรายวัน (19 กรกฎาคม 2548, น.6) อย่างน่าฟังว่า ความคิดจะให้บำเหน็จบำนาญ ส.ส. - ส.ว. เหมือนข้าราชการนั้นไม่ถูก เพราะข้าราชการนั้นทำราชการเป็นอาชีพ ประเทศชาติต้องการได้ข้าราชการดีๆ มีความสามารถอยู่ในระบบนานๆ จึงใช้บำเหน็จบำนาญเป็นเครื่องล่อใจ แต่ ส.ส. - ส.ว.นั้น "อาสาเข้ามาทำงาน" โดยมีกำหนดวาระครั้งละ 4 ปี (ส.ส.) หรือครั้งเดียว 6 ปี (ส.ว. ต้องห้ามมิให้เป็น 2 วาระต่อเนื่องกัน) ส.ส.-ส.ว. มีอาชีพอื่นเป็นหลักอยู่แล้ว ไม่ต้องให้บำเหน็จบำนาญเป็นเครื่องล่อใจก็แย่งกันอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อตำแหน่งอันทรงเกียรตินั้น
ผมขอขยายความเล็กน้อย ข้าราชการนั้นเริ่มทำงานด้วยเงินเดือนต่ำมากๆ คนที่มีวุฒิการศึกษาเท่ากับ ส.ส.- ส.ว.- ร.ม.ต. และนักการเมืองอื่นๆ ได้รับเงินเดือนเริ่มต้นประมาณเศษหนึ่งส่วนสิบของนักการเมือง แล้วค่อยๆ เลื่อนเงินเดือนขึ้นปีละเล็กน้อย คนดีมีความสามารถเมื่อรับราชการผ่านพ้นไป 30-40 ปี อาจไต่เต้าขึ้นไปถึงตำแหน่งอธิบดีหรือปลัดกระทรวงหรือเทียบเท่า ถ้าเป็นทหารก็มียศเป็น"นายพล" ประมาณ 1 ใน 40,000 คน ของคนในระบบราชการเท่านั้นที่มีโอกาสเช่นนั้น เงินเดือนที่ได้รับก็เพียง 50,000 - 60,000 บาท หรือประมาณครึ่งหนึ่งของ ส.ส. - ส.ว. ซึ่งเริ่มเข้าไปฝึกงานหรือทำงานในปีแรก ขอให้เราเทียบปริมาณและความรับผิดชอบของข้าราชการระดับอธิบดี-ปลัดกระทรวง-นายพล กับส.ส.-ส.ว. ดูด้วยความเป็นธรรม
ส่วนข้าราชการอีก 99.99% ต้องเกษียณอายุราชการ หรือออกไปด้วยสาเหตุต่างๆ บ้างก็ไม่ได้บำเหน็จบำนาญเลย (ถ้ารับราชการไม่ครบ 10 ปี) บ้างก็ได้แต่บำเหน็จ (ถ้ารับราชการไม่ครบ 25 ปี) คนที่รับราชการครบ 25 ปีเท่านั้นที่มีสิทธิ์ได้รับบำเหน็จหรือบำนาญ (มีข้อยกเว้นในกรณีพิเศษอยู่บ้างเล็กน้อย) ในกรณีที่รับบำนาญนั้น โดยมากฐานเงินเดือนที่ใช้ในการคำนวณบำนาญนั้นต่ำมาก เป็นบำเหน็จเล็กน้อยที่ประชาชนผู้เสียภาษีมอบให้เพื่อให้มีชีวิตรอดอยู่จนวันตาย ระบบการให้บำเหน็จบำนาญนี่เองที่มีส่วนส่งเสริมให้ข้าราชการที่ดีมีความรู้ความสามารถอยู่ในระบบราชการนานๆ มิเช่นนั้นคนดีมีความสามารถจะถูก “ซื้อตัว” ไปหมด
เหตุผลดังกล่าวเอามาใช้ไม่ได้กับนักการเมือง จริงหรือไม่
ประการที่สาม นักการเมืองของไทยในปัจจุบันเกือบ 100% มีฐานะร่ำรวย ถ้าไม่รวยมาก่อนเล่นการเมือง ก็รวยขึ้นในระหว่างดำรงตำแหน่งทางการเมือง บางคนรวยขึ้นรวดเร็วจนกระทั่งต้องซุกๆซ่อนๆ นักการเมืองที่มีคุณธรรม (ซึ่งมีน้อย) อาจจะไม่รวยขึ้น แต่พวกเขาก็คงพอใจและภูมิใจในฐานะและผลประโยชน์ที่ตนได้รับ ปัจจุบันข้าราชการการเมืองได้รับอภิสิทธิ์และผลประโยชน์ตอบแทนมากมายอยู่แล้วในขณะดำรงตำแหน่ง (นอกจากเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง เงินเพิ่ม เบี้ยประชุมแล้ว ยังมีสิทธิขึ้นเครื่องบิน และนั่งรถไฟได้ฟรี ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ง่ายมาก ฯลฯ) จึงไม่สมควรที่จะได้รับบำเหน็จบำนาญหลังจากพ้นจากตำแหน่งแล้ว
ควรศึกษาดูก่อนว่า มีประเทศประชาธิปไตยที่ไหนในโลก ที่ข้าราชการการเมืองมีอภิสิทธิ์และค่าตอบแทนเท่ากับของไทย เมื่อเปรียบเทียบกับข้าราชการฝ่ายอื่นๆ และรายได้ของคนส่วนใหญ่ในประเทศ มีประเทศใดบ้างที่ข้าราชการการเมืองมีสิทธิได้รับบำเหน็จบำนาญ และมีประเทศใดบ้างที่เป็นประชาธิปไตย ให้อำนาจนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลกำหนดผลประโยชน์ให้แก่พวกตัวเองโดยไม่ต้องผ่านรัฐสภา
ประการที่สี่ อย่าคิดว่าเมื่อประชาชนเลือกพรรคการเมืองใดให้จัดตั้งรัฐบาลแล้ว เท่ากับมอบอำนาจให้รัฐบาลทำอะไรก็ได้ เมื่อตอนเลือกตั้งเรื่องบำเหน็จบำนาญ ส.ส. - ส.ว. ไม่เป็นประเด็นนะครับ ถ้าท่านอยากได้สิทธิอันนี้ ลองไปขอให้ประชาชนลงประชามติดู ผมเชื่อว่าประชาชนส่วนมากไม่อนุมัติแน่นอน ทุกวันนี้ประชาชนเสื่อมศรัทธาต่อนักการเมืองมากๆ เคยถามตัวเองกันบ้างหรือเปล่าว่าในโลกนี้ยังมีสมาชิกรัฐสภาที่ไหนอีกที่ “โดดร่ม” ในเวลาประชุมเท่ากับของไทย มีประเทศไหนอีกที่รัฐบาลเปลี่ยนรัฐมนตรีบ่อยๆ (เหมือนเปลี่ยนกางเกงใน) เท่ากับของไทย
ประการที่ห้า เมื่อนักการเมืองให้บำเหน็จบำนาญแก่พวกตัวทั้ง 9 ตำแหน่งแล้ว ผมเชื่อว่า อีกไม่นานก็คงจะมี พ.ร.ฎ.ให้บำเหน็จบำนาญแก่ข้าราชการการเมืองตำแหน่งอื่น (อีกประมาณ 20 ตำแหน่ง) ตามมา ในจำนวนนั้นจะมีนายหน้าวิ่งเต้นหาเงินเข้าพรรคโดยมิชอบด้วยกฎหมายแฝงอยู่ในตำแหน่งการเมืองอัน “ทรงเกียรติ” นั้นด้วย นักการเมืองและคนไทยที่มีมโนธรรมคงจะไม่อยากเห็นประชาธิปไตยไทยที่ตกต่ำลึกลงไปถึงก้นเหวขนาดนั้น
ประการสุดท้าย ในขณะที่ข้าราชการประจำที่มีคุณวุฒิ ความรู้ความสามารถและมีส่วนอุทิศให้แก่สังคมสูงสุด ต้องใช้เวลา 30-40 ปี กว่าจะมีสิทธิได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์สูงสุดชั้น ม.ป.ช. ในขณะที่ นรม. รองนรม. รมว. และ รมช. มีสิทธิได้ในเวลา 2-4 ปี เลขาธิการ นรม. ใช้เวลา 3 ปี ประธานรัฐสภา ประธานวุฒิสภา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร รองประธานวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านฯ อาจได้ในเวลา 2 ปีเหมือน นรม. ส.ส.- ส.ว. เริ่มได้ ท.ม. และเมื่อครบ 9 ปีจะได้ ม.ป.ช. สิทธิที่จะได้รับเครื่องราชฯ ยังขยายไปถึงภรรยาของ นรม. รองนรม. รมว. รมช. ประธานรัฐสภา ประธานวุฒิสภา รองประธานฯ ส.ส. และ ส.ว. ด้วย ในระดับลดหลั่นลงมา รวมทั้งตำแหน่งการเมืองอื่นๆ ที่แต่งตั้งโดย “ผู้มีอิทธิพล” ในพรรคการเมืองที่อยู่ในอำนาจ (ที่ปรึกษา เลขานุการ ผู้ช่วย กรรมการและอื่นๆ อีกมากมาย) แจกกันได้ทั้งครอบครัว และพวกพ้องของนักการเมืองที่อยู่ในอำนาจ
ถ้าคณะรัฐมนตรีจะออก พ.ร.ฎ. ใหม่ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 229 ย่อมทำได้ ถ้าทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนก็ควรแก้จุดอ่อนต่างๆเสีย เช่นให้มีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นอิสระประเมินผลงานของข้าราชการการเมือง โดยพิจารณาถึงคุณธรรมและผลงาน (ที่ผ่านมาใครอยู่ในตำแหน่งครบเวลากำหนดก็ได้รับพระราชทานเครื่องราชฯ โดยอัตโนมัติ แม้จะมีความประพฤติเป็นข่าวอื้อฉาวก็ตาม)
โดยสรุป ข้าราชการการเมืองได้รับประโยชน์ตอบแทนในขณะดำรงตำแหน่งมากพอแล้ว (สำหรับคนดีมีความสามารถประมาณ 20%) หรือมากเกินไปแล้ว (สำหรับผู้ที่เข้าสู่ตำแหน่งและดำรงตำแหน่งอย่างไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม ซึ่งมีประมาณ 80%) กรุณาเลิกเสียเถอะที่จะให้พวกท่านเองรับบำเหน็จบำนาญเหมือนกับข้าราชการ ถ้าท่านยังดึงดันเข็นร่าง พ.ร.ฎ. อัปยศนี้ออกมา เราภาคเอกชนผู้เสียภาษีก็คงไม่มีอำนาจอะไรมาขัดขวาง แต่อย่าเอารัฐธรรมนูญมาใช้อย่างบิดเบือน ถ้าอยากได้สิทธินี้จริงๆ ก็ไปขอประชามติในการเลือกตั้งครั้งต่อไปดีกว่า พรรคการเมืองพรรคใดมีจุดยืนอย่างไรในเรื่องนี้ก็ขอให้ประกาศให้ประชาชนทราบด้วย
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ โดย : เขียน ธีระวิทย์
-------------------------------------------------------------
เหตุผลที่ผมไม่เห็นด้วยกับการขึ้นเงินเดือนข้าราชการการเมืองและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ คือ 1.นักการเมืองส่วนมากไม่ทำหน้าที่ของตัว และส่วนหนึ่งเป็นผู้ก่อการร้ายทำความเสียหายให้แก่บ้านเมืองมากที่สุด ในรอบ 7 ปีที่ผ่านมา ควรหาทางลดหรือตัดเงินเดือนของผู้ก่อการร้ายที่แฝงตัวอยู่ในคราบนักการเมืองดีกว่า
2.นักการเมืองที่ดีมีไม่ถึง 20% ของทั้งหมด ผมเชื่อว่าพวกนี้ไม่สนใจดอกว่ามีเงินดือนมากหรือน้อย ผลตอบแทนที่พวกนี้ได้รับคือความรัก-เคารพจากประชาชน ชื่อเสียง-คุณความดีคงอยู่ในประวัติศาสตร์ถึงชั้นลูกหลาน มีคุณค่ามากกว่าเงินทอง กินใช้ไม่หมดตลอดกาล
3.ข้าราชการ พนักงานอื่น ๆ ที่มีเงินเดือนต่ำควรเพิ่มมาก ๆ คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ลดน้อยลงตามลำดับตามขั้นเงินเดือนที่สูงขึ้น ระงับการขึ้นเงินเดือนสำหรับคนมีเงินเดือนสูงตั้งแต่ 40,000 บาทขึ้นไป
4.ผมเคยคัดค้านร่าง พ.ร.ฎ.อัปยศขึ้นเงินเดือนข้าราชการการเมืองสมัยรัฐบาลทักษิณมาแล้ว
5.ผมไม่อยากเห็น อภิสิทธิ์ หรือพรรคประชาธิปัตย์ ทำอัปยศอย่างทักษิณกับพรรคพวก
ต่อไปนี้ เป็นบทความของอาจารย์เขียน ธีระวิทย์ ที่เคยแสดงเหตุผลหนักแน่นต่อต้านการขึ้นเงินเดือนค่าตอบแทนข้าราชการการเมือง น่าจะสกิดใจพวกอย่างหนาบ้าง
O ผมตกใจจริง ๆ เมื่อได้อ่านคำสัมภาษณ์ของรองนายกฯ ดร.วิษณุ เครืองาม ที่ลงในมติชนรายวัน(14 กรกฎาคม 2548, น.11) เกี่ยวกับการออก พ.ร.ฎ.การให้บำเหน็จบำนาญข้าราชการการเมือง ท่านว่า “การให้บำนาญ ส.ส. เพิ่งเกิดขึ้นตามความคิดในรัฐธรรมนูญปี 2540...”
เข้าใจว่าเหตุผลข้อนี้คงจะถูกนำไปอ้างใน พ.ร.ฎ.ที่จะออกตามมาด้วย ผมตกใจเพราะเกรงว่ารัฐธรรมนูญกำลังถูกนำไปใช้อย่างบิดเบือนอย่างจงใจหรือไม่จงใจก็ไม่ทราบ ผมรีบไปเปิดรัฐธรรมนูญดู มีมาตราเดียวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ คือ มาตรา 229 ซึ่งบัญญัติว่า
"เงินประจำตำแหน่งและผลประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นขององคมนตรี ประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานและรองประธานวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภาให้กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา
บำเหน็จบำนาญหรือผลประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นขององคมนตรี ประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานและรองประธานวุฒิสภา นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งพ้นจากตำแหน่ง ให้กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา"
ผมสลดใจอย่างสุดซึ้ง เมื่ออ่านทบทวนหลายจบ ที่เศร้าใจก็เพราะตัวเองเป็นหนึ่งใน 99 สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.) และเป็นหนึ่งในคณะกรรมาธิการยกร่างและกรรมาธิการวิชาการของสภาร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ด้วย ทำไมปล่อยให้มาตรานี้หลุดออกมาได้ ผมขาดความรับผิดชอบปานนี้เชียวหรือ เมื่อได้อ่านบทความคุณนฤตย์ เสกธีระใน มติชนรายวัน (26 กรกฎาคม 2548) ซึ่งกล่าวไว้อย่างสมเหตุผล ก็ยิ่งทำให้รู้สึกเดือดร้อนมากขึ้น
ผมพยายามรื้อฟื้นความจำว่าอะไรเกิดขึ้นในขณะนั้น เรื่องทำงานลวกๆ ให้ผ่านไปโดยไม่อ่านร่างนั้นคงไม่มี แต่การขาดความรอบคอบนั้นมี ความปรารถนาอยากเห็นรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพทำงานเร็วนั้นมี ความหวาดระแวงนักการเมืองชั่วครองเมืองนั้นมี แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีขนาดที่เห็นอยู่ปัจจุบันนี้ การฉวยโอกาสใช้กฎหมายเพื่อผลประโยชน์และอำนาจของพรรคพวก เป็นเรื่องที่ผมและ ส.ส.ร. จำนวนมากคาดไม่ถึงจริง ๆ
ในที่สุด ผมได้คำตอบว่า เรามีปัญหาอยู่ที่การตีความ ผมกับรองนายกฯ วิษณุ ตีความรัฐธรรมนูญมาตรา 229 ไม่เหมือนกัน สำหรับผมนั้น ตอนร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 และปัจจุบันยังเชื่อว่ารัฐธรรมนูญมาตรา 229 มิได้กำหนดให้รัฐบาลมีอำนาจออก พ.ร.ฎ.ให้บำเหน็จบำนาญ ส.ส. และ ส.ว. ได้ ทั้งนี้ จะต้องดูรัฐธรรมนูญมาตรานี้ กฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง และปรัชญาในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยประกอบกัน
การปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น การใช้เงินภาษีอากรของราษฎรทุกบาททุกสตางค์ จะต้องได้รับอนุมัติจากรัฐสภา ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชน ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องมี พ.ร.บ.งบประมาณประจำปี ในกรณีบำเหน็จบำนาญ เรายังต้องมี พ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ.2494 เป็นกฎหมายหลักรองรับ (ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมมาแล้ว 22 ครั้ง) เราไม่มี (และไม่ควรมี) พ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญข้าราชการการเมือง การที่ข้าราชการการเมืองในระดับ นรม. และ รมต. ได้รับบำเหน็จบำนาญนั้นผมไม่เห็นด้วย แต่พวกเขาก็ได้สิทธินั้นโดยการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ. บำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 ไม่ใช่ในรูป พ.ร.ฎ. ดังที่กำลังจะทำกัน
ถ้าอ่านรัฐธรรมนูญมาตรา 229 วรรคสองให้ดีแล้ว จะเห็นว่าข้อความนำในประโยคแรกใช้คำว่า "หรือ" ไม่ใช่ "และ" ถ้าใช้คำว่า "และ" เราไม่มีทางเลือก จะต้องตีความตามตัวบทกฎหมายดังที่รองนายกฯ วิษณุแนะนำไว้ คือรัฐธรรมนูญฉบับนี้บังคับให้นักการเมืองออก พ.ร.ฎ. เพิ่มประโยชน์ให้ตัวเองและพรรคพวก โดยไม่ต้องทำเป็น พ.ร.บ.
คำว่า "หรือ" มีความหมายสำคัญ ผมตีความตามตัวบทกฎหมายและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญว่าในบรรดาองคมนตรีและนักการเมืองที่กล่าวไว้ในวรรคนั้น (มี 10 ตำแหน่ง รวมทั้งองคมนตรี) ตำแหน่งใดที่มี พ.ร.บ. รองรับที่จะให้ผลประโยชน์ในรูปบำเหน็จบำนาญก็ตราเป็น พ.ร.ฎ. ได้ ถ้าไม่มีกฎหมายให้อำนาจก็อาจให้ผลประโยชน์ในรูปแบบอื่น (ซึ่งมักจะเป็นรายจ่ายเล็กน้อย) ไม่จำเป็นต้องให้บำเหน็จบำนาญครบทั้ง 10 ตำแหน่ง รัฐธรรมนูญ คณาธิปไตย เท่านั้น ไม่ใช่ ประชาธิปไตย ที่จะให้อำนาจนักการเมืองกำหนดบำเหน็จบำนาญให้ตัวเองโดยทำเป็น พ.ร.ฎ.ในขณะที่ข้าราชการอื่นๆ ทุกหมู่เหล่าต้องทำเป็น พ.ร.บ. กล่าวโดยสรุป
(1) การออก พ.ร.ฎ. กำหนดบำเหน็จบำนาญองคมนตรีนั้นย่อมทำได้ (ใช้ในกรณีที่องคมนตรีพ้นจากตำแหน่งโดยการลาออก หรือมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่ง ตามรัฐธรรมนูญ ม. 16)
(2) การออก พ.ร.ฎ. กำหนดบำเหน็จบำนาญ (ฉบับใหม่หรือแก้ไขเพิ่มเติมของเก่า) ให้แก่ นรม. และรมต.ที่ปฏิบัติกันมาแล้ว (โดยอาศัย พ.ร.บ. บำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494) นั้นย่อมทำได้
(3) สำหรับการออก พ.ร.ฎ กำหนดบำเหน็จบำนาญให้ ส.ส.- ส.ว. และตำแหน่งอื่นๆ อีก 5 ตำแหน่งนั้นทำไม่ได้ แต่ให้ประโยชน์ตอบแทนอื่นๆ หลังจากพ้นตำแหน่งแล้วย่อมได้ ฉะนั้น ถ้าแจกจ่ายคอมพิวเตอร์ให้ไปใช้ในระหว่างมีตำแหน่ง จะยกให้เป็นทรัพย์สินส่วนตัวก็ดี ต่อไปถ้ามีบ้านพักให้ ส.ส. และ ส.ว. เช่าในราคาถูก จะให้สิทธิอยู่ต่อได้สัก 2 ปีหลังจากพ้นจากตำแหน่งก็ดี หรือจะให้นักการเมืองตำแหน่งดังกล่าวได้สิทธิประกันสุขภาพ หลังพ้นจากตำแหน่งไปจนตายก็ดี ย่อมออกเป็น พ.ร.ฎ. ได้
ต้องยอมรับว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ มีข้อบัญญัติที่สร้างปัญหาให้ต้องตีความมาก และเปิดช่องให้ผู้มีอำนาจฉวยโอกาสนำไปใช้เพื่อประโยชน์ตนและพรรคพวกได้ง่าย
ผมไม่เห็นด้วยกับการให้บำเหน็จบำนาญแก่ข้าราชการการเมือง เหตุผลสำคัญอยู่ที่หลักการมากกว่าจำนวนเงิน (ภายใน 15-20 ปีข้างหน้า ถ้าฐานเงินเดือนหรือเงินประจำตำแหน่งคงที่ งบประมาณเพื่อการนี้คงอยู่ในราว 200 ล้านบาทต่อปี)
ประการแรก นักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยนั้น มีต้นกำเนิดมาจากชาวกรีกตั้งแต่ 2000 ปีเศษที่ผ่านมาแล้ว สมัยนั้นนักการเมืองเป็นอาสาสมัคร ได้รับยกย่องจากชุมชนอย่างสูง อริสโตเติลก็มองนักการเมืองในแง่ดี เพราะพวกเขาทำงานที่ต้องใช้ศาสตร์หลากหลายสาขา เป็นศาสตร์สูงสุดของมนุษย์เพื่อส่งเสริมให้คนในชุมชนมีชีวิตดีขึ้น งานนี้เหมาะเฉพาะคนที่มีคุณธรรม (virtue) ซึ่งพอใจในการได้รับเกียรติ (honors) ไม่เหมาะสำหรับพ่อค้าที่มุ่งแต่จะแสวงหากำไร ถ้าเอาคนบูชาเงิน แสวงหาสายสะพาย หรือค่าตอบแทนมากๆ การเมืองก็จะเสื่อม ผลก็คือคนไม่ศรัทธานักการเมือง ชีวิตของคนในชุมชนก็จะไม่ดีขึ้น แต่จะใกล้เคียงกับสัตว์ป่ามากกว่า
ประการที่สอง คุณนฤตย์ เสกธีระ กล่าวไว้ในมติชนรายวัน (19 กรกฎาคม 2548, น.6) อย่างน่าฟังว่า ความคิดจะให้บำเหน็จบำนาญ ส.ส. - ส.ว. เหมือนข้าราชการนั้นไม่ถูก เพราะข้าราชการนั้นทำราชการเป็นอาชีพ ประเทศชาติต้องการได้ข้าราชการดีๆ มีความสามารถอยู่ในระบบนานๆ จึงใช้บำเหน็จบำนาญเป็นเครื่องล่อใจ แต่ ส.ส. - ส.ว.นั้น "อาสาเข้ามาทำงาน" โดยมีกำหนดวาระครั้งละ 4 ปี (ส.ส.) หรือครั้งเดียว 6 ปี (ส.ว. ต้องห้ามมิให้เป็น 2 วาระต่อเนื่องกัน) ส.ส.-ส.ว. มีอาชีพอื่นเป็นหลักอยู่แล้ว ไม่ต้องให้บำเหน็จบำนาญเป็นเครื่องล่อใจก็แย่งกันอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อตำแหน่งอันทรงเกียรตินั้น
ผมขอขยายความเล็กน้อย ข้าราชการนั้นเริ่มทำงานด้วยเงินเดือนต่ำมากๆ คนที่มีวุฒิการศึกษาเท่ากับ ส.ส.- ส.ว.- ร.ม.ต. และนักการเมืองอื่นๆ ได้รับเงินเดือนเริ่มต้นประมาณเศษหนึ่งส่วนสิบของนักการเมือง แล้วค่อยๆ เลื่อนเงินเดือนขึ้นปีละเล็กน้อย คนดีมีความสามารถเมื่อรับราชการผ่านพ้นไป 30-40 ปี อาจไต่เต้าขึ้นไปถึงตำแหน่งอธิบดีหรือปลัดกระทรวงหรือเทียบเท่า ถ้าเป็นทหารก็มียศเป็น"นายพล" ประมาณ 1 ใน 40,000 คน ของคนในระบบราชการเท่านั้นที่มีโอกาสเช่นนั้น เงินเดือนที่ได้รับก็เพียง 50,000 - 60,000 บาท หรือประมาณครึ่งหนึ่งของ ส.ส. - ส.ว. ซึ่งเริ่มเข้าไปฝึกงานหรือทำงานในปีแรก ขอให้เราเทียบปริมาณและความรับผิดชอบของข้าราชการระดับอธิบดี-ปลัดกระทรวง-นายพล กับส.ส.-ส.ว. ดูด้วยความเป็นธรรม
ส่วนข้าราชการอีก 99.99% ต้องเกษียณอายุราชการ หรือออกไปด้วยสาเหตุต่างๆ บ้างก็ไม่ได้บำเหน็จบำนาญเลย (ถ้ารับราชการไม่ครบ 10 ปี) บ้างก็ได้แต่บำเหน็จ (ถ้ารับราชการไม่ครบ 25 ปี) คนที่รับราชการครบ 25 ปีเท่านั้นที่มีสิทธิ์ได้รับบำเหน็จหรือบำนาญ (มีข้อยกเว้นในกรณีพิเศษอยู่บ้างเล็กน้อย) ในกรณีที่รับบำนาญนั้น โดยมากฐานเงินเดือนที่ใช้ในการคำนวณบำนาญนั้นต่ำมาก เป็นบำเหน็จเล็กน้อยที่ประชาชนผู้เสียภาษีมอบให้เพื่อให้มีชีวิตรอดอยู่จนวันตาย ระบบการให้บำเหน็จบำนาญนี่เองที่มีส่วนส่งเสริมให้ข้าราชการที่ดีมีความรู้ความสามารถอยู่ในระบบราชการนานๆ มิเช่นนั้นคนดีมีความสามารถจะถูก “ซื้อตัว” ไปหมด
เหตุผลดังกล่าวเอามาใช้ไม่ได้กับนักการเมือง จริงหรือไม่
ประการที่สาม นักการเมืองของไทยในปัจจุบันเกือบ 100% มีฐานะร่ำรวย ถ้าไม่รวยมาก่อนเล่นการเมือง ก็รวยขึ้นในระหว่างดำรงตำแหน่งทางการเมือง บางคนรวยขึ้นรวดเร็วจนกระทั่งต้องซุกๆซ่อนๆ นักการเมืองที่มีคุณธรรม (ซึ่งมีน้อย) อาจจะไม่รวยขึ้น แต่พวกเขาก็คงพอใจและภูมิใจในฐานะและผลประโยชน์ที่ตนได้รับ ปัจจุบันข้าราชการการเมืองได้รับอภิสิทธิ์และผลประโยชน์ตอบแทนมากมายอยู่แล้วในขณะดำรงตำแหน่ง (นอกจากเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง เงินเพิ่ม เบี้ยประชุมแล้ว ยังมีสิทธิขึ้นเครื่องบิน และนั่งรถไฟได้ฟรี ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ง่ายมาก ฯลฯ) จึงไม่สมควรที่จะได้รับบำเหน็จบำนาญหลังจากพ้นจากตำแหน่งแล้ว
ควรศึกษาดูก่อนว่า มีประเทศประชาธิปไตยที่ไหนในโลก ที่ข้าราชการการเมืองมีอภิสิทธิ์และค่าตอบแทนเท่ากับของไทย เมื่อเปรียบเทียบกับข้าราชการฝ่ายอื่นๆ และรายได้ของคนส่วนใหญ่ในประเทศ มีประเทศใดบ้างที่ข้าราชการการเมืองมีสิทธิได้รับบำเหน็จบำนาญ และมีประเทศใดบ้างที่เป็นประชาธิปไตย ให้อำนาจนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลกำหนดผลประโยชน์ให้แก่พวกตัวเองโดยไม่ต้องผ่านรัฐสภา
ประการที่สี่ อย่าคิดว่าเมื่อประชาชนเลือกพรรคการเมืองใดให้จัดตั้งรัฐบาลแล้ว เท่ากับมอบอำนาจให้รัฐบาลทำอะไรก็ได้ เมื่อตอนเลือกตั้งเรื่องบำเหน็จบำนาญ ส.ส. - ส.ว. ไม่เป็นประเด็นนะครับ ถ้าท่านอยากได้สิทธิอันนี้ ลองไปขอให้ประชาชนลงประชามติดู ผมเชื่อว่าประชาชนส่วนมากไม่อนุมัติแน่นอน ทุกวันนี้ประชาชนเสื่อมศรัทธาต่อนักการเมืองมากๆ เคยถามตัวเองกันบ้างหรือเปล่าว่าในโลกนี้ยังมีสมาชิกรัฐสภาที่ไหนอีกที่ “โดดร่ม” ในเวลาประชุมเท่ากับของไทย มีประเทศไหนอีกที่รัฐบาลเปลี่ยนรัฐมนตรีบ่อยๆ (เหมือนเปลี่ยนกางเกงใน) เท่ากับของไทย
ประการที่ห้า เมื่อนักการเมืองให้บำเหน็จบำนาญแก่พวกตัวทั้ง 9 ตำแหน่งแล้ว ผมเชื่อว่า อีกไม่นานก็คงจะมี พ.ร.ฎ.ให้บำเหน็จบำนาญแก่ข้าราชการการเมืองตำแหน่งอื่น (อีกประมาณ 20 ตำแหน่ง) ตามมา ในจำนวนนั้นจะมีนายหน้าวิ่งเต้นหาเงินเข้าพรรคโดยมิชอบด้วยกฎหมายแฝงอยู่ในตำแหน่งการเมืองอัน “ทรงเกียรติ” นั้นด้วย นักการเมืองและคนไทยที่มีมโนธรรมคงจะไม่อยากเห็นประชาธิปไตยไทยที่ตกต่ำลึกลงไปถึงก้นเหวขนาดนั้น
ประการสุดท้าย ในขณะที่ข้าราชการประจำที่มีคุณวุฒิ ความรู้ความสามารถและมีส่วนอุทิศให้แก่สังคมสูงสุด ต้องใช้เวลา 30-40 ปี กว่าจะมีสิทธิได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์สูงสุดชั้น ม.ป.ช. ในขณะที่ นรม. รองนรม. รมว. และ รมช. มีสิทธิได้ในเวลา 2-4 ปี เลขาธิการ นรม. ใช้เวลา 3 ปี ประธานรัฐสภา ประธานวุฒิสภา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร รองประธานวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านฯ อาจได้ในเวลา 2 ปีเหมือน นรม. ส.ส.- ส.ว. เริ่มได้ ท.ม. และเมื่อครบ 9 ปีจะได้ ม.ป.ช. สิทธิที่จะได้รับเครื่องราชฯ ยังขยายไปถึงภรรยาของ นรม. รองนรม. รมว. รมช. ประธานรัฐสภา ประธานวุฒิสภา รองประธานฯ ส.ส. และ ส.ว. ด้วย ในระดับลดหลั่นลงมา รวมทั้งตำแหน่งการเมืองอื่นๆ ที่แต่งตั้งโดย “ผู้มีอิทธิพล” ในพรรคการเมืองที่อยู่ในอำนาจ (ที่ปรึกษา เลขานุการ ผู้ช่วย กรรมการและอื่นๆ อีกมากมาย) แจกกันได้ทั้งครอบครัว และพวกพ้องของนักการเมืองที่อยู่ในอำนาจ
ถ้าคณะรัฐมนตรีจะออก พ.ร.ฎ. ใหม่ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 229 ย่อมทำได้ ถ้าทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนก็ควรแก้จุดอ่อนต่างๆเสีย เช่นให้มีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นอิสระประเมินผลงานของข้าราชการการเมือง โดยพิจารณาถึงคุณธรรมและผลงาน (ที่ผ่านมาใครอยู่ในตำแหน่งครบเวลากำหนดก็ได้รับพระราชทานเครื่องราชฯ โดยอัตโนมัติ แม้จะมีความประพฤติเป็นข่าวอื้อฉาวก็ตาม)
โดยสรุป ข้าราชการการเมืองได้รับประโยชน์ตอบแทนในขณะดำรงตำแหน่งมากพอแล้ว (สำหรับคนดีมีความสามารถประมาณ 20%) หรือมากเกินไปแล้ว (สำหรับผู้ที่เข้าสู่ตำแหน่งและดำรงตำแหน่งอย่างไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม ซึ่งมีประมาณ 80%) กรุณาเลิกเสียเถอะที่จะให้พวกท่านเองรับบำเหน็จบำนาญเหมือนกับข้าราชการ ถ้าท่านยังดึงดันเข็นร่าง พ.ร.ฎ. อัปยศนี้ออกมา เราภาคเอกชนผู้เสียภาษีก็คงไม่มีอำนาจอะไรมาขัดขวาง แต่อย่าเอารัฐธรรมนูญมาใช้อย่างบิดเบือน ถ้าอยากได้สิทธินี้จริงๆ ก็ไปขอประชามติในการเลือกตั้งครั้งต่อไปดีกว่า พรรคการเมืองพรรคใดมีจุดยืนอย่างไรในเรื่องนี้ก็ขอให้ประกาศให้ประชาชนทราบด้วย
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ โดย : เขียน ธีระวิทย์
-------------------------------------------------------------
วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553
คนเสื้อแดงสิ้นหวังลากตัวผู้กระทำให้ประชาชนเจ็บ-ตายขึ้นศาลโลก
ศปช.-นักวิชาการชี้โอกาสที่ศาลอาญาระหว่างประเทศจะรับฟ้องคดีสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงมีน้อยเพราะสถานการณ์ยังไม่เข้าหลักเกณฑ์หลายข้อ ระบุการที่หวังพึ่งองค์กรระหว่างประเทศเพราะประชาชนหมดหวังต่อกระบวนการยุติธรรมในประเทศ แนะรัฐเร่งฟื้นฟูความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมด้วยการทำทุกเรื่องให้ปรากฏตามข้อเท็จจริง รักษาการประธาน นปช. ยันได้เห็นสำนวนสอบทหารลั่นไกยิง 6 ศพในวัดปทุมฯและช่างภาพญี่ปุ่น จี้รัฐบาลและกองทัพแสดงความรับผิดชอบ เตรียมนำกรรมการ นปช.ชุดใหม่เข้าพบ “คณิต” เพื่อให้กำลังใจและเรียกร้องให้ คอป. เร่งทำงานเพื่อให้ความจริงปรากฏต่อสายตาประชาชน พร้อมขอให้ช่วยกดดันให้คนเสื้อแดงและแกนนำได้รับสิทธิประกันตัว ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามกฎหมาย
นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ ภรรยาของ นพ.เหวง โตจิราการ รักษาการประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน กล่าวถึงกรณีที่สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานผลสอบการชันสูตรพลิกศพผู้เสียชีวิต 6 ราย ในวัดปทุมวนารามราชวรวิหาร และกรณีการเสียชีวิตของช่างภาพชาวญี่ปุ่น โดยอ้างอิงผลสอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่ระบุเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐว่า ได้เห็นหลักฐานที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. เอามาให้ดูแล้ว และนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ก็ยอมรับว่ารายงานที่นายจตุพรนำออกมาเผยแพร่เป็นความจริง แม้จะบอกว่าเป็นเพียงบางส่วนก็ตาม และการที่สำนักข่าวรอยเตอร์นำรายงานดังกล่าวออกมาเผยแพร่ไม่ใช่ว่าเขาจะอยู่ข้างคนเสื้อแดง แต่รอยเตอร์มีจุดยืนที่ไม่เข้าข้างฝ่ายใด
ลุ้นรอยเตอร์ช่วยแฉความจริง
“เท่าที่ประเมินการออกมาเคลื่อนไหวของสำนักข่าวรอยเตอร์พบว่า เขาต้องรับผิดชอบการตายของช่างภาพของเขาและรับผิดชอบต่อความจริงที่เกิดขึ้น ทำให้สำนักข่าวรอยเตอร์มีความกระหายและต้องการที่จะให้ความจริงปรากฏ เพื่อให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี รับผิดชอบต่อเรื่องที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะถ้าอำนาจรัฐทำให้เกิดการตายหรือบาดเจ็บต่อคนที่ทำงานในฐานะสื่อจากต่างประเทศถือเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะเป็นภารกิจในการปฏิบัติตามหน้าที่” นางธิดากล่าว
เป็นภาระหน้าที่ในทางสากล
รักษาการประธาน นปช. กล่าวว่า หากไม่ทำเรื่องนี้ให้กระจ่างเท่ากับว่าสำนักข่าวรอยเตอร์ไม่รับผิดชอบต่อคนของเขา ยังถือว่าไม่รับผิดชอบต่อภาระหน้าที่ของนักข่าว และจะทำให้อำนาจรัฐอื่นๆกระทำต่อนักข่าวที่ปฏิบัติตามหน้าที่ได้อีก ขอย้ำว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก ไม่ใช่เพราะว่าคนของเขามีค่ากว่าชีวิตคนไทย แต่หมายถึงภาระหน้าที่ของนักข่าวในทางสากลด้วยที่จะต้องต่อสู้กับอำนาจรัฐที่กระทำการคุกคามถึงชีวิต เพราะฉะนั้นสำนักข่าวรอยเตอร์จึงต้องทำให้การตายของนักข่าวของเขาไม่ไร้ค่า
ชี้เป็นบทเรียนของผู้กุมอำนาจรัฐ
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียนของผู้ที่กุมอำนาจรัฐ ในทุกประเทศจะกระทำแบบนี้กับนักข่าวอีกไม่ได้ ไม่เช่นนั้นต่อไปจะไม่มีหลักประกันอะไรสำหรับนักข่าวในการปฏิบัติหน้าที่ แม้แต่ช่างภาพจากเนชั่นที่ต้องทุพลภาพก็พูดชัดว่าทหารยิง” นางธิดากล่าวและว่า รัฐบาลและกองทัพจะปฏิเสธความรับผิดชอบเรื่องนี้ไม่ได้ แต่ถึงไม่รับผิดชอบก็เชื่อว่าชาวโลกจะไม่ยอม เพราะกรณีนี้เป็นการคุกคามยิ่งกว่าสิทธิมนุษยชนทั่วไป เป็นการใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธสงครามที่ใช้กระสุนจริงเข้าสลายการชุมนุม เรื่องนี้ถือเป็นความผิดพลาดของรัฐบาล ซึ่งไม่มีที่ไหนยอมรับ
กรรมการ นปช.ชุดใหม่เข้าพบ “คณิต”
นางธิดากล่าวว่า คณะกรรมการบริหาร นปช.ชุดใหม่จะเดินทางเข้าพบ ดร.คณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) เพื่อขอบคุณและให้กำลังใจที่ คอป. พยายามทำงานอย่างตรงไปตรงมาเพื่อให้ความจริงปรากฏต่อสาธารณชน รวมทั้งจะเรียกร้องให้ คอป. ช่วยเร่งดำเนินการเพื่อให้คนเสื้อแดงและแกนนำได้รับการประกันตัว ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามกฎหมาย
“เราจะพยายามผลักดันให้กระบวนการยุติธรรมที่แท้จริงเกิดขึ้นให้ได้ ไม่เช่นนั้นในอนาคตสังคมไทยจะไม่สามารถทำนายได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นถ้าหากถูกปิดบังความเป็นจริงและขาดความยุติธรรมในสังคมไทย” รักษาการประธาน นปช. กล่าว
ชี้ปัญหาในไทยไม่เข้าเกณฑ์ศาลโลก
น.ส.ขวัญระวี วังอุดม เจ้าหน้าที่ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมกรณี เม.ย.-พ.ค. 2553 (ศปช.) และนักสิทธิมนุษยชน กล่าวถึงกรณีที่ นปช. ยื่นฟ้องคดีต่อศาลอาญาระหว่างประเทศว่า ศาลดังกล่าวสามารถนำบุคคลที่ก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิในประเทศที่เป็นภาคีกับอนุสัญญากรุงโรมของศาลอาญาระหว่างประเทศขึ้นศาลได้ แต่ขึ้นอยู่คำนิยามเหมือนกันว่าความรุนแรงถึงขั้นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หรือไม่ และเป็นสงครามต่อมวลมนุษยชาติหรือไม่ สิ่งหนึ่งที่จะพิสูจน์ได้คือการกระทำที่เป็นระบบและเป็นรูปแบบอย่างต่อเนื่อง ส่วนตัวเห็นว่าการที่จะให้ประเด็นของประเทศไทยขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศยังมีความเป็นไปได้น้อย เพราะการเอาเรื่องเข้าศาลอาญาระหว่างประเทศจะต้องเป็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศที่เป็นภาคี ตรงนี้ต้องใช้หลักดินแดนเพื่อดูขอบเขตอำนาจของศาล และผู้ที่กระทำละเมิดมีสัญชาติที่เป็นภาคีของประเทศที่เป็นภาคีของอนุสัญญาหรือไม่ ถ้าดูประเด็นนี้ของเรายังไม่ใช่
สิ้นหวังกระบวนการยุติธรรมภายใน
ดร.ยุกติ มุกดาวิจิตร อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การที่ นปช. หรือญาติผู้เสียบางส่วนต้องการให้องค์กรระหว่างประเทศต่างๆเข้ามาช่วยเหลือ สะท้อนให้เห็นว่าคนเหล่านี้หมดความหวังจากกระบวนการยุติธรรมภายในประเทศแล้ว และถ้าประชาชนหมดความหวังต่อกระบวนการยุติธรรมในประเทศ สิ่งหนึ่งที่รัฐจะต้องรีบทำคือการฟื้นฟูกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งฟื้นฟูความเชื่อมั่นต่อระบบความยุติธรรมภายในประเทศขึ้นมา
ยังห่างไกลให้องค์กรต่างชาติแทรกแซง
“องค์กรระหว่างประเทศสามารถเข้ามาช่วยได้แค่ไหน โดยหลักการถ้าเปรียบเทียบกับหลายๆประเทศจะพบว่าปัญหาของไทยเป็นความขัดแย้งอย่างชัดเจนระหว่างประชาชนกลุ่มหนึ่งกับรัฐ กรณีอย่างนี้องค์กรระหว่างประเทศจะเข้ามาช่วยเหลือค่อนข้างลำบาก” ดร.ยุกติกล่าวและว่า ในกรณีที่องค์กรระหว่างประเทศเข้ามายุ่ง เช่น กรณีของกัมพูชา เพราะสังคมไม่สามารถจัดการได้เองและไม่รับรู้ว่ารัฐเป็นใคร ประเทศนั้นไม่มีสถาบันหลักใดที่จะดำเนินการต่อไปได้ และจะต้องมีกระบวนการที่จะมาสืบสวนสอบสวนในทางระหว่างประเทศว่าเป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่ แต่สำหรับประเทศไทยยังไม่ถึงขั้นนั้น เพียงแต่ว่าการยอมรับต่อกระบวนการยุติธรรมเสื่อมและถดถอยลงมาก ดังนั้น รัฐจะต้องเร่งฟื้นฟูความน่าเชื่อถือในกระบวนการยุติธรรมขึ้นมาด้วยการแสดงความยุติธรรมให้ปรากฏอย่างแท้จริง และช่องทางที่เราหวังอยู่คือการดำเนินคดีภายในประเทศจะต้องเกิดขึ้นให้ได้
ที่มา.จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************
นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ ภรรยาของ นพ.เหวง โตจิราการ รักษาการประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน กล่าวถึงกรณีที่สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานผลสอบการชันสูตรพลิกศพผู้เสียชีวิต 6 ราย ในวัดปทุมวนารามราชวรวิหาร และกรณีการเสียชีวิตของช่างภาพชาวญี่ปุ่น โดยอ้างอิงผลสอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่ระบุเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐว่า ได้เห็นหลักฐานที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. เอามาให้ดูแล้ว และนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ก็ยอมรับว่ารายงานที่นายจตุพรนำออกมาเผยแพร่เป็นความจริง แม้จะบอกว่าเป็นเพียงบางส่วนก็ตาม และการที่สำนักข่าวรอยเตอร์นำรายงานดังกล่าวออกมาเผยแพร่ไม่ใช่ว่าเขาจะอยู่ข้างคนเสื้อแดง แต่รอยเตอร์มีจุดยืนที่ไม่เข้าข้างฝ่ายใด
ลุ้นรอยเตอร์ช่วยแฉความจริง
“เท่าที่ประเมินการออกมาเคลื่อนไหวของสำนักข่าวรอยเตอร์พบว่า เขาต้องรับผิดชอบการตายของช่างภาพของเขาและรับผิดชอบต่อความจริงที่เกิดขึ้น ทำให้สำนักข่าวรอยเตอร์มีความกระหายและต้องการที่จะให้ความจริงปรากฏ เพื่อให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี รับผิดชอบต่อเรื่องที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะถ้าอำนาจรัฐทำให้เกิดการตายหรือบาดเจ็บต่อคนที่ทำงานในฐานะสื่อจากต่างประเทศถือเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะเป็นภารกิจในการปฏิบัติตามหน้าที่” นางธิดากล่าว
เป็นภาระหน้าที่ในทางสากล
รักษาการประธาน นปช. กล่าวว่า หากไม่ทำเรื่องนี้ให้กระจ่างเท่ากับว่าสำนักข่าวรอยเตอร์ไม่รับผิดชอบต่อคนของเขา ยังถือว่าไม่รับผิดชอบต่อภาระหน้าที่ของนักข่าว และจะทำให้อำนาจรัฐอื่นๆกระทำต่อนักข่าวที่ปฏิบัติตามหน้าที่ได้อีก ขอย้ำว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก ไม่ใช่เพราะว่าคนของเขามีค่ากว่าชีวิตคนไทย แต่หมายถึงภาระหน้าที่ของนักข่าวในทางสากลด้วยที่จะต้องต่อสู้กับอำนาจรัฐที่กระทำการคุกคามถึงชีวิต เพราะฉะนั้นสำนักข่าวรอยเตอร์จึงต้องทำให้การตายของนักข่าวของเขาไม่ไร้ค่า
ชี้เป็นบทเรียนของผู้กุมอำนาจรัฐ
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียนของผู้ที่กุมอำนาจรัฐ ในทุกประเทศจะกระทำแบบนี้กับนักข่าวอีกไม่ได้ ไม่เช่นนั้นต่อไปจะไม่มีหลักประกันอะไรสำหรับนักข่าวในการปฏิบัติหน้าที่ แม้แต่ช่างภาพจากเนชั่นที่ต้องทุพลภาพก็พูดชัดว่าทหารยิง” นางธิดากล่าวและว่า รัฐบาลและกองทัพจะปฏิเสธความรับผิดชอบเรื่องนี้ไม่ได้ แต่ถึงไม่รับผิดชอบก็เชื่อว่าชาวโลกจะไม่ยอม เพราะกรณีนี้เป็นการคุกคามยิ่งกว่าสิทธิมนุษยชนทั่วไป เป็นการใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธสงครามที่ใช้กระสุนจริงเข้าสลายการชุมนุม เรื่องนี้ถือเป็นความผิดพลาดของรัฐบาล ซึ่งไม่มีที่ไหนยอมรับ
กรรมการ นปช.ชุดใหม่เข้าพบ “คณิต”
นางธิดากล่าวว่า คณะกรรมการบริหาร นปช.ชุดใหม่จะเดินทางเข้าพบ ดร.คณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) เพื่อขอบคุณและให้กำลังใจที่ คอป. พยายามทำงานอย่างตรงไปตรงมาเพื่อให้ความจริงปรากฏต่อสาธารณชน รวมทั้งจะเรียกร้องให้ คอป. ช่วยเร่งดำเนินการเพื่อให้คนเสื้อแดงและแกนนำได้รับการประกันตัว ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามกฎหมาย
“เราจะพยายามผลักดันให้กระบวนการยุติธรรมที่แท้จริงเกิดขึ้นให้ได้ ไม่เช่นนั้นในอนาคตสังคมไทยจะไม่สามารถทำนายได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นถ้าหากถูกปิดบังความเป็นจริงและขาดความยุติธรรมในสังคมไทย” รักษาการประธาน นปช. กล่าว
ชี้ปัญหาในไทยไม่เข้าเกณฑ์ศาลโลก
น.ส.ขวัญระวี วังอุดม เจ้าหน้าที่ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมกรณี เม.ย.-พ.ค. 2553 (ศปช.) และนักสิทธิมนุษยชน กล่าวถึงกรณีที่ นปช. ยื่นฟ้องคดีต่อศาลอาญาระหว่างประเทศว่า ศาลดังกล่าวสามารถนำบุคคลที่ก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิในประเทศที่เป็นภาคีกับอนุสัญญากรุงโรมของศาลอาญาระหว่างประเทศขึ้นศาลได้ แต่ขึ้นอยู่คำนิยามเหมือนกันว่าความรุนแรงถึงขั้นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หรือไม่ และเป็นสงครามต่อมวลมนุษยชาติหรือไม่ สิ่งหนึ่งที่จะพิสูจน์ได้คือการกระทำที่เป็นระบบและเป็นรูปแบบอย่างต่อเนื่อง ส่วนตัวเห็นว่าการที่จะให้ประเด็นของประเทศไทยขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศยังมีความเป็นไปได้น้อย เพราะการเอาเรื่องเข้าศาลอาญาระหว่างประเทศจะต้องเป็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศที่เป็นภาคี ตรงนี้ต้องใช้หลักดินแดนเพื่อดูขอบเขตอำนาจของศาล และผู้ที่กระทำละเมิดมีสัญชาติที่เป็นภาคีของประเทศที่เป็นภาคีของอนุสัญญาหรือไม่ ถ้าดูประเด็นนี้ของเรายังไม่ใช่
สิ้นหวังกระบวนการยุติธรรมภายใน
ดร.ยุกติ มุกดาวิจิตร อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การที่ นปช. หรือญาติผู้เสียบางส่วนต้องการให้องค์กรระหว่างประเทศต่างๆเข้ามาช่วยเหลือ สะท้อนให้เห็นว่าคนเหล่านี้หมดความหวังจากกระบวนการยุติธรรมภายในประเทศแล้ว และถ้าประชาชนหมดความหวังต่อกระบวนการยุติธรรมในประเทศ สิ่งหนึ่งที่รัฐจะต้องรีบทำคือการฟื้นฟูกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งฟื้นฟูความเชื่อมั่นต่อระบบความยุติธรรมภายในประเทศขึ้นมา
ยังห่างไกลให้องค์กรต่างชาติแทรกแซง
“องค์กรระหว่างประเทศสามารถเข้ามาช่วยได้แค่ไหน โดยหลักการถ้าเปรียบเทียบกับหลายๆประเทศจะพบว่าปัญหาของไทยเป็นความขัดแย้งอย่างชัดเจนระหว่างประชาชนกลุ่มหนึ่งกับรัฐ กรณีอย่างนี้องค์กรระหว่างประเทศจะเข้ามาช่วยเหลือค่อนข้างลำบาก” ดร.ยุกติกล่าวและว่า ในกรณีที่องค์กรระหว่างประเทศเข้ามายุ่ง เช่น กรณีของกัมพูชา เพราะสังคมไม่สามารถจัดการได้เองและไม่รับรู้ว่ารัฐเป็นใคร ประเทศนั้นไม่มีสถาบันหลักใดที่จะดำเนินการต่อไปได้ และจะต้องมีกระบวนการที่จะมาสืบสวนสอบสวนในทางระหว่างประเทศว่าเป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่ แต่สำหรับประเทศไทยยังไม่ถึงขั้นนั้น เพียงแต่ว่าการยอมรับต่อกระบวนการยุติธรรมเสื่อมและถดถอยลงมาก ดังนั้น รัฐจะต้องเร่งฟื้นฟูความน่าเชื่อถือในกระบวนการยุติธรรมขึ้นมาด้วยการแสดงความยุติธรรมให้ปรากฏอย่างแท้จริง และช่องทางที่เราหวังอยู่คือการดำเนินคดีภายในประเทศจะต้องเกิดขึ้นให้ได้
ที่มา.จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************
แม่ทัพภาค 1 เผยที่ผ่านมาได้ประโยชน์จาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ผบ.สส.ชี้เสียเวลามาหลายปีแล้ว อยากให้ประเทศชาติเดินหน้าต่อไปด้วยความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่ห่วงเรื่อง "จตุพร" ชี้แจง ด้านแม่ทัพภาค 1 ไม่ห่วงหากเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แล้วแต่จะพิจารณา แต่ที่ผ่านมาได้รับประโยชน์จากการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ผบ.สส.เผยเราเสียเวลามาหลายปีแล้ว อยากให้ประเทศเดินหน้า
วันนี้ (13 ธ.ค.) เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ รายงานโดยอ้างคำพูดของ พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) ซึ่งกล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลมีแนวโน้มจะยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ว่า ในส่วนของกองทัพคงไม่ต้องมีการปรับลดกำลัง หรือเปลี่ยนแผนการอะไร เราทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งหากประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็ยังมีหน่วยงานด้านความมั่นคงอื่นๆ หรือกฎหมายปกติดูแลอยู่ อย่างไรก็ตาม ตนเห็นว่า หากยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไปแล้วก็ไม่ได้ทำให้หน่วยงานที่รับผิดชอบทำงานยากขึ้น เพราะตามปกติก็ดูแลกันได้
“พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ประกาศใช้เมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน เป็นการนำกฎหมายหลายๆ กระทรวง อำนาจแต่ละกระทรวงมารวมกันอยู่ที่นายกรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีได้จัดตั้งให้มีผู้ดูแลในนาม ศอฉ.โดยนำเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ ทั้งทหาร ตำรวจ และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องมารวมกันตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี เมื่อสถานการณ์กลับไปอยู่ในทิศทางที่ดี หรือไม่มีเหตุฉุกเฉินแล้ว หากมีการยกเลิก พ.ร.ก.อำนาจต่างๆ เหล่านั้นก็กลับเข้ามาสู่กระทรวง ทบวง กรมต่างๆ เหมือนเดิม และถ้าจะมีการร้องขอกำลังนอกเหนืออำนาจของแต่ละกระทรวง ก็จะมีการประสานงาน โดยมอบงานเป็นครั้งคราว นอกจากนี้ ยังมีกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ซึ่งมีภารกิจที่ดูแลเรื่องความมั่นคงภายใน ก็จะเป็นหน่วยงานหลักที่จะประสานการดำเนินการในโอกาสต่อไป”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า วันที่ 19 ธ.ค.คนเสื้อแดงจะนัดชุมนุมทางการเมือง กองทัพมีความเป็นห่วงหรือไม่ พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า ไม่เป็นห่วง เพราะถ้าการชุมนุมเป็นลักษณะเพื่อการแสดงออก และอยู่ในกรอบของกฎหมาย ถ้าทุกคนเข้าใจว่าประเทศชาติต้องเดินหน้าต่อไปและเคารพสิทธิของผู้อื่นก็ สามารถชุมนุมได้ ไม่มีปัญหา
“การแสดงออกมีทั้งการแสดงออกในสภา ในระบบของรัฐสภา และนอกสภา ซึ่งนอกสภานั้นก็ขอให้เป็นไปตามกรอบของกฎหมาย ไม่ไปรบกวนสิทธิ์ของผู้อื่น ส่วนกรณีที่อาจจะมีกลุ่มที่ต้องการป่วนหรือสร้างสถานการณ์นั้นก็คงต้องเตรียมการในเรื่องกำลังเพื่อป้องกันเหตุ ประชาชนทุกคนก็ต้องช่วยกันสอดส่องดูแล ผมคิดว่าทุกคนในชาติอยากจะให้ประเทศชาติเดินหน้าต่อไป อยากจะอยู่อย่างมีความสุข อยากจะมีปีใหม่ที่แจ่มใส ไม่ใช่ปีใหม่ที่สลัวๆ ถ้าเราอยากจะให้ประเทศชาติเดินหน้าต่อไปเราก็ต้องทำ คิด ในสิ่งที่ดี ส่วนการเฝ้าระวังป้องกันเหตุ ทั้งตำรวจ ทหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำอยู่แล้ว”
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ภารกิจหนักจะอยู่ที่ กอ.รมน.หรือไม่ พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า ไม่มีใครมีภารกิจหนัก ภารกิจของคนไทยต้องเดินไปด้วยกันทุกฝ่าย เพื่อนำไปสู่ทิศทางที่ดีของประเทศชาติ จะปีใหม่แล้วพยายามมองประเทศชาติให้สดใสหน่อย
“ไม่ได้อยากฝากอะไรถึงใคร แต่อยากบอกแค่ว่าเราเสียเวลามาหลายปีแล้ว ตนอยากให้ประเทศชาติเดินหน้าต่อไปด้วยความสามัคคีและอยากให้ทุกคนร่วมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เราช้ามาหลายปีแล้วที่จะก้าวหน้า ไม่ใช่หยุดแต่ไม่ก้าวหน้า แล้วเราทำไมจะต้องหยุด เราควรจะก้าวหน้าต่อไปเพื่ออนาคตของเรา อนาคตของลูกหลาน และอนาคตของประเทศไทย” พล.อ.ทรงกิตติ กล่าว
ส่วนที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ออกมาอ้างว่า ทหารมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของกลุ่มคนเสื้อแดง พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า ตนไม่มีอะไรจะชี้แจง เพราะสังคมไทยอยู่ในการกล่าวหาและพูดจาในลักษณะนี้มานานแล้ว ตนก็มีหน้าที่ทำงานของตนอยู่ในกรอบของกฎหมายตามข้อบังคับต่างๆ ถ้าหากเราทำในสิ่งที่ดีแล้ว ประชาชนก็คงจะเข้าใจว่าเราทำอย่างไร ซึ่งตนคงไม่หวั่นไหว
ส่วนที่กลุ่มคนเสื้อแดงได้นำหลักฐานไปเรียกร้องที่หน้าสถานทูต ญี่ปุ่นประจำประเทศไทย โดยอ้างว่า ทหารเป็นคนทำให้นักข่าวชาวญี่ปุ่นเสียชีวิต พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า มีกระบวนการตรวจสอบ มีกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว ไม่มีอะไรเลย ส่วนจะมีการชี้แจงหรือไม่นั้น ตอนนี้สถานทูตก็ยังไม่ได้เชิญให้กองทัพไปชี้แจงถึงเรื่องดังกล่าว ซึ่งตนคิดว่า สถานทูตเข้าใจ
ส่วนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางไปชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อคณะกรรมาธิการด้านความมั่นคงและความ ร่วมมือในยุโรป (ซีเอสซีอี) ของสหรัฐอเมริกานั้น ผบ.สส.กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางไปหรือไม่ เพราะเรื่องนี้ยังไม่เกิดขึ้น เป็นเหมือนการพยากรณ์ว่าเรื่องนี้ เรื่องนั้นจะเกิดขึ้น มันยังไม่ได้เกิด จะห่วงอะไรไปถึงไหน ทั้งนี้ ข้อมูลต่างๆ ที่ออกมาก็พูดกันมาตลอด แล้วแต่จะมองในแต่ละแง่ แต่ตนใช้ข้อเท็จจริงมาใช้ในอนาคต
แม่ทัพภาคหนึ่งชี้ได้รับประโยชน์จาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ด้าน พล.ท.อุดมเดช สีตบุตร แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าวถึงการดูแลความเรียบร้อยในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ในวันที่ 19 ธ.ค.นี้ และสถานการณ์ช่วงปีใหม่ หากยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินว่า ไม่มีปัญหาอะไร สุดแล้วแต่ผู้บังคับบัญชาจะพิจารณา หากมี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะสะดวกในการปฏิบัติงาน ซึ่งที่ผ่านมาเราได้รับประโยชน์ ทั้งนี้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่รัฐบาลประกาศ เราได้ใช้ให้อยู่ในความเหมาะสมไม่กระทบกระเทือนประชาชนทั่วไป แต่กลับให้ความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินและความเรียบร้อย และส่งผลดีด้วยซ้ำไป แต่คงเป็นเรื่องความเหมาะสมที่รัฐบาลจะพิจารณาต่อไป ซึ่งทางกองทัพภาคที่ 1 ได้นำข้อมูลเรียนศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ไปแล้ว ส่วนแนวโน้มสถานการณ์ภายหลังการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงเมื่อวันที่ 10 ธ.ค.ที่ ผ่านมานั้น คิดว่า ไม่น่ามีปัญหาอะไร ทางกลุ่มผู้ชุมนุมคงได้รับการประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจจนมีความเข้าใจแล้ว ซึ่งคิดว่า จะสามารถผ่านพ้นไปด้วยความเรียบร้อย
ส่วนที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง จะนำเรื่องที่ทหารมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของประชาชนไปร้องต่อคณะ กรรมาธิการของสหรัฐอเมริกานั้น พล.ท.อุดมเดช กล่าวว่า ผู้บังคับบัญชาชั้นสูงพูดชัดเจนแล้ว เราพยายามอธิบายว่า ในการปฏิบัติทุกอย่าง ไม่มีความจำเป็นต้องทำอย่างนั้น เรามีแต่จะปกป้องชีวิต ทรัพย์สินประชาชน ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้น ตนเชื่อว่า ประชาชนจะมีความเข้าใจ แต่บางส่วนที่อาจไม่เข้าใจ ต้องพยายามอธิบายให้เข้าใจ แต่สุดท้ายหวังว่า สิ่งที่ดีจะปรากฏขึ้น และทุกส่วนจะเข้าใจ ขอให้มั่นใจว่า ทางผู้บัญชาการทหารบก เป็นห่วงประชาชน ไม่ต้องการให้ประชาชนเดือดร้อน การปฏิบัติอยู่ในความรอบคอบ และอยู่ในกรอบที่เหมาะสม
ส่วนถึงความเหมาะสมกรณีที่กลุ่มเสื้อแดงไปยื่นข้อมูลพร้อมนำนกกระดาษ สีแดงไป ที่สถานทูตญี่ปุ่น เพื่อแสดงว่า ทหารมีส่วนทำให้นักข่าวญี่ปุ่นเสียชีวิต พล.ท.อุดมเดช กล่าวว่า เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะไปสื่ออย่างนั้น เพราะที่ผ่านมาได้ถูกพิสูจน์แล้ว และกำลังจะได้รับการพิสูจน์ต่อไป ตนยังยืนยันว่า ไม่มีสิ่งที่เกิดขึ้นจากทางทหาร เรารักประชาชน และเราคือประชาชน เราจะทำสิ่งที่เป็นอันตรายต่อประชาชนทำไม ผู้สื่อข่าวทั้งหมดร่วมกันติดตามข่าวสารเพื่อให้ความจริงปรากฏ ซึ่งทหารต้องดูแลทุกส่วนทั้งประชาชนและผู้สื่อข่าว ดังนั้น สิ่งที่ออกมาไม่เป็นความจริง ไม่ถูกต้อง ต่อไปคงจะได้รับการพิสูจน์
ที่มา: เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์
--------------------------------------------
ผบ.สส.เผยเราเสียเวลามาหลายปีแล้ว อยากให้ประเทศเดินหน้า
วันนี้ (13 ธ.ค.) เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ รายงานโดยอ้างคำพูดของ พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) ซึ่งกล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลมีแนวโน้มจะยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ว่า ในส่วนของกองทัพคงไม่ต้องมีการปรับลดกำลัง หรือเปลี่ยนแผนการอะไร เราทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งหากประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็ยังมีหน่วยงานด้านความมั่นคงอื่นๆ หรือกฎหมายปกติดูแลอยู่ อย่างไรก็ตาม ตนเห็นว่า หากยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไปแล้วก็ไม่ได้ทำให้หน่วยงานที่รับผิดชอบทำงานยากขึ้น เพราะตามปกติก็ดูแลกันได้
“พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ประกาศใช้เมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน เป็นการนำกฎหมายหลายๆ กระทรวง อำนาจแต่ละกระทรวงมารวมกันอยู่ที่นายกรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีได้จัดตั้งให้มีผู้ดูแลในนาม ศอฉ.โดยนำเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ ทั้งทหาร ตำรวจ และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องมารวมกันตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี เมื่อสถานการณ์กลับไปอยู่ในทิศทางที่ดี หรือไม่มีเหตุฉุกเฉินแล้ว หากมีการยกเลิก พ.ร.ก.อำนาจต่างๆ เหล่านั้นก็กลับเข้ามาสู่กระทรวง ทบวง กรมต่างๆ เหมือนเดิม และถ้าจะมีการร้องขอกำลังนอกเหนืออำนาจของแต่ละกระทรวง ก็จะมีการประสานงาน โดยมอบงานเป็นครั้งคราว นอกจากนี้ ยังมีกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ซึ่งมีภารกิจที่ดูแลเรื่องความมั่นคงภายใน ก็จะเป็นหน่วยงานหลักที่จะประสานการดำเนินการในโอกาสต่อไป”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า วันที่ 19 ธ.ค.คนเสื้อแดงจะนัดชุมนุมทางการเมือง กองทัพมีความเป็นห่วงหรือไม่ พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า ไม่เป็นห่วง เพราะถ้าการชุมนุมเป็นลักษณะเพื่อการแสดงออก และอยู่ในกรอบของกฎหมาย ถ้าทุกคนเข้าใจว่าประเทศชาติต้องเดินหน้าต่อไปและเคารพสิทธิของผู้อื่นก็ สามารถชุมนุมได้ ไม่มีปัญหา
“การแสดงออกมีทั้งการแสดงออกในสภา ในระบบของรัฐสภา และนอกสภา ซึ่งนอกสภานั้นก็ขอให้เป็นไปตามกรอบของกฎหมาย ไม่ไปรบกวนสิทธิ์ของผู้อื่น ส่วนกรณีที่อาจจะมีกลุ่มที่ต้องการป่วนหรือสร้างสถานการณ์นั้นก็คงต้องเตรียมการในเรื่องกำลังเพื่อป้องกันเหตุ ประชาชนทุกคนก็ต้องช่วยกันสอดส่องดูแล ผมคิดว่าทุกคนในชาติอยากจะให้ประเทศชาติเดินหน้าต่อไป อยากจะอยู่อย่างมีความสุข อยากจะมีปีใหม่ที่แจ่มใส ไม่ใช่ปีใหม่ที่สลัวๆ ถ้าเราอยากจะให้ประเทศชาติเดินหน้าต่อไปเราก็ต้องทำ คิด ในสิ่งที่ดี ส่วนการเฝ้าระวังป้องกันเหตุ ทั้งตำรวจ ทหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำอยู่แล้ว”
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ภารกิจหนักจะอยู่ที่ กอ.รมน.หรือไม่ พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า ไม่มีใครมีภารกิจหนัก ภารกิจของคนไทยต้องเดินไปด้วยกันทุกฝ่าย เพื่อนำไปสู่ทิศทางที่ดีของประเทศชาติ จะปีใหม่แล้วพยายามมองประเทศชาติให้สดใสหน่อย
“ไม่ได้อยากฝากอะไรถึงใคร แต่อยากบอกแค่ว่าเราเสียเวลามาหลายปีแล้ว ตนอยากให้ประเทศชาติเดินหน้าต่อไปด้วยความสามัคคีและอยากให้ทุกคนร่วมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เราช้ามาหลายปีแล้วที่จะก้าวหน้า ไม่ใช่หยุดแต่ไม่ก้าวหน้า แล้วเราทำไมจะต้องหยุด เราควรจะก้าวหน้าต่อไปเพื่ออนาคตของเรา อนาคตของลูกหลาน และอนาคตของประเทศไทย” พล.อ.ทรงกิตติ กล่าว
ส่วนที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ออกมาอ้างว่า ทหารมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของกลุ่มคนเสื้อแดง พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า ตนไม่มีอะไรจะชี้แจง เพราะสังคมไทยอยู่ในการกล่าวหาและพูดจาในลักษณะนี้มานานแล้ว ตนก็มีหน้าที่ทำงานของตนอยู่ในกรอบของกฎหมายตามข้อบังคับต่างๆ ถ้าหากเราทำในสิ่งที่ดีแล้ว ประชาชนก็คงจะเข้าใจว่าเราทำอย่างไร ซึ่งตนคงไม่หวั่นไหว
ส่วนที่กลุ่มคนเสื้อแดงได้นำหลักฐานไปเรียกร้องที่หน้าสถานทูต ญี่ปุ่นประจำประเทศไทย โดยอ้างว่า ทหารเป็นคนทำให้นักข่าวชาวญี่ปุ่นเสียชีวิต พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า มีกระบวนการตรวจสอบ มีกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว ไม่มีอะไรเลย ส่วนจะมีการชี้แจงหรือไม่นั้น ตอนนี้สถานทูตก็ยังไม่ได้เชิญให้กองทัพไปชี้แจงถึงเรื่องดังกล่าว ซึ่งตนคิดว่า สถานทูตเข้าใจ
ส่วนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางไปชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อคณะกรรมาธิการด้านความมั่นคงและความ ร่วมมือในยุโรป (ซีเอสซีอี) ของสหรัฐอเมริกานั้น ผบ.สส.กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางไปหรือไม่ เพราะเรื่องนี้ยังไม่เกิดขึ้น เป็นเหมือนการพยากรณ์ว่าเรื่องนี้ เรื่องนั้นจะเกิดขึ้น มันยังไม่ได้เกิด จะห่วงอะไรไปถึงไหน ทั้งนี้ ข้อมูลต่างๆ ที่ออกมาก็พูดกันมาตลอด แล้วแต่จะมองในแต่ละแง่ แต่ตนใช้ข้อเท็จจริงมาใช้ในอนาคต
แม่ทัพภาคหนึ่งชี้ได้รับประโยชน์จาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ด้าน พล.ท.อุดมเดช สีตบุตร แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าวถึงการดูแลความเรียบร้อยในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ในวันที่ 19 ธ.ค.นี้ และสถานการณ์ช่วงปีใหม่ หากยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินว่า ไม่มีปัญหาอะไร สุดแล้วแต่ผู้บังคับบัญชาจะพิจารณา หากมี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะสะดวกในการปฏิบัติงาน ซึ่งที่ผ่านมาเราได้รับประโยชน์ ทั้งนี้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่รัฐบาลประกาศ เราได้ใช้ให้อยู่ในความเหมาะสมไม่กระทบกระเทือนประชาชนทั่วไป แต่กลับให้ความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินและความเรียบร้อย และส่งผลดีด้วยซ้ำไป แต่คงเป็นเรื่องความเหมาะสมที่รัฐบาลจะพิจารณาต่อไป ซึ่งทางกองทัพภาคที่ 1 ได้นำข้อมูลเรียนศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ไปแล้ว ส่วนแนวโน้มสถานการณ์ภายหลังการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงเมื่อวันที่ 10 ธ.ค.ที่ ผ่านมานั้น คิดว่า ไม่น่ามีปัญหาอะไร ทางกลุ่มผู้ชุมนุมคงได้รับการประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจจนมีความเข้าใจแล้ว ซึ่งคิดว่า จะสามารถผ่านพ้นไปด้วยความเรียบร้อย
ส่วนที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง จะนำเรื่องที่ทหารมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของประชาชนไปร้องต่อคณะ กรรมาธิการของสหรัฐอเมริกานั้น พล.ท.อุดมเดช กล่าวว่า ผู้บังคับบัญชาชั้นสูงพูดชัดเจนแล้ว เราพยายามอธิบายว่า ในการปฏิบัติทุกอย่าง ไม่มีความจำเป็นต้องทำอย่างนั้น เรามีแต่จะปกป้องชีวิต ทรัพย์สินประชาชน ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้น ตนเชื่อว่า ประชาชนจะมีความเข้าใจ แต่บางส่วนที่อาจไม่เข้าใจ ต้องพยายามอธิบายให้เข้าใจ แต่สุดท้ายหวังว่า สิ่งที่ดีจะปรากฏขึ้น และทุกส่วนจะเข้าใจ ขอให้มั่นใจว่า ทางผู้บัญชาการทหารบก เป็นห่วงประชาชน ไม่ต้องการให้ประชาชนเดือดร้อน การปฏิบัติอยู่ในความรอบคอบ และอยู่ในกรอบที่เหมาะสม
ส่วนถึงความเหมาะสมกรณีที่กลุ่มเสื้อแดงไปยื่นข้อมูลพร้อมนำนกกระดาษ สีแดงไป ที่สถานทูตญี่ปุ่น เพื่อแสดงว่า ทหารมีส่วนทำให้นักข่าวญี่ปุ่นเสียชีวิต พล.ท.อุดมเดช กล่าวว่า เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะไปสื่ออย่างนั้น เพราะที่ผ่านมาได้ถูกพิสูจน์แล้ว และกำลังจะได้รับการพิสูจน์ต่อไป ตนยังยืนยันว่า ไม่มีสิ่งที่เกิดขึ้นจากทางทหาร เรารักประชาชน และเราคือประชาชน เราจะทำสิ่งที่เป็นอันตรายต่อประชาชนทำไม ผู้สื่อข่าวทั้งหมดร่วมกันติดตามข่าวสารเพื่อให้ความจริงปรากฏ ซึ่งทหารต้องดูแลทุกส่วนทั้งประชาชนและผู้สื่อข่าว ดังนั้น สิ่งที่ออกมาไม่เป็นความจริง ไม่ถูกต้อง ต่อไปคงจะได้รับการพิสูจน์
ที่มา: เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์
--------------------------------------------
วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553
ท่องคาถา ความกลัวทำให้เสื่อม!
นักศึกษาเรียกร้อง 3 ข้อ
ปล่อยนักโทษการเมือง!
เสียงเพรียกหาประชาธิปไตย จริงๆแล้วไม่ได้มีเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น หากแต่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ทั่วโลก
หากว่าคนในสังคมนั้นมองว่า ประเทศของตนยังไร้ซึ่งประชาธิปไตยที่แท้จริง
อย่างเช่นในประเทศพม่า การต่อสู้เรียกร้อง “ประชาธิปไตย” จากรัฐบาลทหาร ก็มีมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน แม้กระทั่งว่า นางอองซาน ซูจี จะถูกปล่อยตัวแล้วก็ตาม แต่การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริงก็ยังคงไม่จบสิ้น
เช่นเดียวกับในประเทศไทย วันนี้แม้ว่ารัฐบาลจะกุมอำนาจเบ็ดเสร็จ มีกำลังทหาร-กำลังกองทัพให้การสนับสนุนอย่างเต็มเปี่ยมสุดลิ่มทิ่มประตู จนสามารถที่จะจับใครต่อใครใส่ตะกร้าล้างน้ำอย่างได้ผลเสมอ
แต่ลึกๆแล้วการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยที่แม้จริงยังคงมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง
ไม่ใช่แค่เฉพาะสีเหลือง หรือแค่เฉพาะสีแดง ที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พยายามที่จะป่าวประกาศตลอดเวลาว่า เป็นมวลชนที่มีกระบวนการจัดตั้ง
แต่ในความเป็นจริง ถึงวันนี้หากรัฐบาลยอมรับความเป็นจริง จะรู้ว่า ยิ่งรัฐบาลได้รับการเกื้อหนุนจากทหาร จากขั้วอำนาจพิเศษต่างๆ แม้แต่กระทั่ง “อำนาจในระบบยุติธรรม” รวมไปถึงแม้กระทั่งนักการเมืองหลายแก๊งหลายก๊วนที่เอื้ออำนาจและผลประโยชน์ร่วมกันคอยค้ำยันอย่างเต็มที่
จนดูราวกับว่ารัฐบาลชุดนี้แข็งแกร่งเอามากๆก็ตาม
แต่ลึกๆแล้ว อาจจะไม่เป็นเช่นที่บรรดากลุ่มอำนาจวาดฝันไว้ก็เป็นได้......??
เพราะขณะนี้ “พลังบริสุทธิ์” หลายภาคส่วนเริ่มที่จะตื่นขึ้นมาต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว โดยเฉพาะในส่วนของนักศึกษา อาจารย์ และนักวิชาการทั้งหลาย ที่ทนเห็นปรากฏการณ์ลำเอียงที่แปลกพิศดารมากขึ้นเรื่อยๆไม่ไหวแล้ว
อย่างล่าสุด กลุ่มนิสิตนักศึกษาจากประชาคมธรรมศาสตร์คัดค้านอำนาจนอกระบบ และกลุ่มประชาคมจุฬาฯเพื่อประชาชน ได้มีการไปอ่านแถลงการณ์ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยต่อหน้ากลุ่มคนเสื้อแดงที่มารวมตัวกันรำลึกถึงผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์สลายการชุมนุมและเรียกร้องให้ปล่อยนักโทษการเมืองที่ถูกจองจำ
ซึ่งข้อเรียกร้องของทั้ง 2 ประชาคม มีเนื้อหาดังนี้
1. ต้องเร่งให้ดำเนินการตั้ง”สภาร่างรัฐธรรมนูญ” ขึ้นใหม่ เพื่อออกกฎหมายใหม่ เพื่อออกกฎหมายร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ร่างโดยผู้แทนที่ชอบธรรมจากประชาชนทั้งประเทศ โดยมีเนื้อหาอยู่บนบรรทัดฐานแห่งเจตนารมณ์ของระบอบประชาธิปไตยที่มาจากประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน แทนฉบับปัจจุบันที่ไม่มีความชอบธรรมในที่มาและกระบวนการร่างทั้งฉบับ
2.รับผิดชอบต่อการเสียชีวิตและบาดเจ็บของประชาชนจากการสลายการชุมนุม โดยการเร่งดำเนินการสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด และเปิดโอกาสให้องค์กรระหว่างประเทศเข้ามามีส่วนร่วม
3.รัฐบาลต้องปล่อยตัวนักโทษการเมืองทั้งหมด และหยุดคุกคามผู้มีความคิดแตกต่างจากรัฐบาลด้วยการยกเลิกพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และหลักสิทธิมนุษยชน
น.ส.รวิวรรณ รักถิ่นกำเนิด นักศึกษา ปี 1 สาขาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พูดชัดเจนว่า เป็นการมาเพื่อเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวนักโทษทางการเมืองและามาเพื่อหาผู้รับผิดชอบจากการสลายการชุมนุม และยกเลิกรัฐธรรมนูญบนกองเลือด
"กลุ่มของพวกเราดำเนินงานตั้งแต่การจัดงาน "รำลึก19 กันยา ประเทศชาติไม่ดีขึ้น" งาน "6 ตุลา ใครฆ่าพี่เราไม่ลืม" นอกจากนี้ยังมีการเคลื่อนไหวใน social network กับเครือข่าวนักศึกษาทั่วประเทศ เพียงแต่ว่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กับจุฬาฯ เป็นแกนหลัก
เรามาแสดงออกในเรื่องสิทธิทางการเมืองที่พวกเราพึงมี พวกเราเข้ามาเพื่อจุดประเด็นให้เพื่อนนักศึกษาคนอื่นที่ยังไม่กล้าได้เห็นว่า ยังมีคนที่คิดเหมือนเขานะเรายังกล้าออกมาทำและเชื่อว่าถ้าเราเป็นจุดเริ่มต้นให้เขา เขาก็จะกล้าออกมาเหมือนกับเรา" นักศึกษารัฐศาสตร์กล่าว
ทั้งนี้เพราะ ผ่านไป 8 เดือนแล้วยังไม่มีใครออกมารับผิดชอบกับโศกนาฏกรรมในครั้งนี้ ทางกลุ่มนักศึกษาเรียกร้องกันมากี่ครั้งก็ยังถูกเมินเฉย และไม่มีผู้ออกมารับผิดชอบ แต่ก็จะเรียกร้องต่อไป เพราะไม่ว่าจะเรียกร้อง 1 ครั้ง 10 ครั้ง 100 ครั้ง หรือ 1000 ครั้ง ก็ต้องทำเพื่อคนที่ตายไป
"เราเชื่อว่าเมื่อเทียบกับผู้ที่ตายไปเรื่องแค่นี้มันไม่เหลือบ่ากว่าแรงของพวกเรา เราต้องพูดซ้ำๆให้เขาได้ยินว่าพวกเราไม่ลืมเหตุการณ์ในครั้งนี้ จนกว่าฆาตกรตัวจริงจะออกมาแสดงความรับผิดชอบ ถึงแม้ใครจะเมินเฉยต่อโชคชะตาของพวกเราต่อการเสียชีวิตของพวกเราจะเย็นชาไม่ดูดำดูดี แต่ตอนนี้พวกเราชาวไพร่ที่กำลังต่อสู้เป็นพลเมืองจะไม่ขอเรียกร้องให้ผู้ใดมากำหนดโชคชะตาของพวกเรา เพราะพวกเราทุก
คนจะเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของตัวเอง" น.ส.รวิวรรณ กล่าว
น่าทึ่งที่กลุ่มนักศึกษามีการประกาศเจตนารมณ์อย่างชัดเจนว่า........
"ขอให้พี่น้องทุกคนสู้ต่อไป อย่ายอมแพ้ นักศึกษาทุกคนยืนอยู่ข้างความยุติธรรมเสมอ เพราะพลังต่อสู้ที่แท้จริงไม่ใช่นักศึกษา ไม่ใช่ชนชั้นกลาง ที่เมินเฉยต่ออำนาจรัฐที่เข่นฆ่าประชาชน แต่พลังที่แท้จริง คือ พลังของพี่น้องทุกคนที่อยู่ที่แห่งนี้ ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการเปลี่ยนแปลงประเทศ"
นอกจากนี้นักศึกษาชายที่มาร่วมทำกิจกรรมในกลุ่ม ฝากไปถึงเพื่อนๆนักศึกษาว่า อยากให้เพื่อนนักศึกษาเข้าใจโลก เข้าใจสังคม เปิดใจให้กับสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงไปในสังคม สังคมนี้ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงไปได้ถ้าไม่มีพลังจากพวกคุณ
"กิจกรรมของพวกเราจะมีเรื่อยๆ ไหนๆก็ต้องออกจากบ้านมาเพื่อเรียกร้องอยู่แล้ว และคิดว่าเราคงไม่กลับไปตราบใดที่ยังไม่มีความรับผิดชอบจากตรงนี้......
ไม่กลัว ไม่มีอะไรต้องกลัว!! เราแค่ยืนอยู่บนความถูกต้อง สิทธิเสรีภาพในการพูด หลักประชาธิปไตยที่ต้องไม่มีอำนาจนอกระบบเข้ามาแทรกแซง ไม่จำเป็นต้องเลือกว่าอยู่สีไหน แค่ยืนอยู่บนหลักความถูกต้องแล้วต้องออกมา ไม่มีอะไรต้องกลัว
ความกลัวทำให้เสื่อม ความกลัวไม่ได้ช่วยอะไร ถ้าเขาปกครองเราด้วยความกลัวและถ้าเรากลัวเขา เราก็แพ้ครับ"
นักศึกษากลุ่มนี้บอกว่า การเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองของนิสิตนักศึกษาทั่วไปจะได้แนวร่วมเพิ่มครั้งละ 3-4 คน จากวงสัมมนาเล็กๆ ที่จัดกันเอง แม้จะมีคนบางกลุ่มที่ไม่พอใจพยายามออกมาคัดค้านกิจกรรมดังกล่าว แต่พวกเขาก็จะยังคงสู้ต่อไปในฐานะพลเมืองที่มีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน รวมพลทีละนิดเพื่อเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่
ในขณะที่ นายธีระ สุธีวรางกูร อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ หนึ่งในผู้ก่อตั้ง “เว็บไซต์ นิติราษฎร์” ก็มีการให้สัมภาษณ์ ในรายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว คลื่น FM 100.5 อสมท. โดยให้ความเห็นว่า
จริงๆแล้วรัฐธรรมนูญ ปี2550 มีคำถามทั้งทางวิชาการ ทั้งทางการเมือง สองสามเรื่อง ตั้งแต่เรื่องที่มาของรัฐธรรมนูญ กระบวนการในการยกร่างรัฐธรรมนูญ และในตัวเนื้อหารัฐธรรมนูญ แต่ว่าทั้งสามเรื่องเป็นคำถามที่บางเวลา บางปี จะมีความเข้มข้มตามสถานการณ์ทางการเมือง หรือน้อยลง แต่ถึงอย่างไรคำถามก็ยังมี
เพราะว่า ตั้งแต่มีการรัฐประหารในปี 2549 ตัวรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีที่มาจาก คณะรัฐประหาร แม้จะมีการลงประชามติก็ตาม ก็ยังมีคำถามจากกลุ่มในสังคม ทั้งในกลุ่มวิชาการ ทั้งกลุ่มการเมือง โดยเฉพาะเหล่าเสื้อแดงก็ยังมีคำถามอยู่เรื่อยๆ
ส่วนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยังถือเป็นประเด็นสำคัญ ถ้าหากต้องการแก้ไขรัฐธรรมนุญจริงๆ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งเห็นว่า รัฐธรรมนูญไม่ควรจะยกร่างแบบเดิมๆ มีเนื้อหาแบบเดิมไม่ได้ เพราะในความคิดเห็นของคนกลุ่มนี้เห็นว่า ในวันนี้รัฐธรรมนูญจะถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองไม่ได้อีกแล้ว และถ้าจะมีการแก้ไขก็ยืนยันหลักการมีอำนาจสูงสุดของประชาชน ให้ได้รับการปฏิบัติ
ฉะนั้น ถ้าแก้ไขเพียงเล็กๆน้อยๆก็แก้ปัญหาไม่ได้ เพราะรัฐธรรมนูญกลายเป็นเครื่องมือที่นำมาสู่ความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งคงปฏิเสธไม่ได้ ถ้าหากจะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพียงสองข้อ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง แก้ไขไปก็ไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งได้
ซึ่งโดยส่วนตัวไม่ได้สนใจข้อนี้เลย เพราะถ้ารากของปัญหาจริง อยู่ที่รัฐธรรมนูญ ก็ควรแก้ไขครั้งใหญ่ และแก้ไขบนพื้นฐานของความคิดทางการเมืองที่สอดรับประชาธิปไตยจริงๆ ไม่เช่นนั้นก็แก้ไขอะไรไม่ได้
และเกี่ยวกับการตรวจสอบข้อเท็จจริง การสลายม็อบเสื้อแดง เมษายน-พฤษภาคม 2552 นายธีระ กล่าวว่า จริงๆ แล้ว กระบวนการสอบสวนที่ล่าช้า ไม่ใช่แค่ประชาชนในประเทศเท่านั้นที่รู้สึก ในต่างประเทศเองก็รู้สึกเช่นกัน
ก็ต้องจับตาดูผลสืบสวนสอบสวน มาจะออกมาอย่างไร เพราะตอนนี้เริ่มมีหลักฐานบางส่วนเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต ว่า เจ้าหน้าของรัฐทำเกินกว่าเหตุ เป็นเรื่องที่ไม่ควรจะทำ ซึ่งจริงๆแล้วทำรึเปล่า ส่วนนี้ก็ต้องมีส่วนรับผิดบ้าง หลังจากนี้ไปหลายคนคงจะคอยดูผลสุดท้ายว่าจะเป็นอย่างไร หากเจ้าหน้ารัฐไม่มีความผิดเลย ทั้งที่มีหลักฐาน ตรงนี้ก็อาจเกิดความขัดแย้งเกิดขึ้นก็ได้
ก็ต้องคอยจับตาดูกันต่อไป เจ้าหน้าของรัฐจะรับผิดชอบมากน้อยเพียงใดต่อการสลายการชุมนุมในช่วงเมษายน พฤษภาคมที่ผ่านมา
ส่วนเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัย คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ทั้งสองคดี กลุ่มนิติราษฏร์จะมีคำแถลงการณ์ออกมาเมื่อใดนั้น
“ผมได้คำวินิจฉัยอย่างเป็นทางการเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา และได้มีการนัดพบปะพูดคุยกับเพื่อนๆในกลุ่ม ภายในวันจันทร์นี้ จะเอาคำวินิจฉัยมาดู เมื่อเจอสิ่งที่น่าสนใจก็จะทำเป็นบทวิเคราะห์ออกมา อาจใช้เวลาเขียนประมาณสามสี่วัน หากไม่มีสิ่งได้คลาดเคลื่อน วันพฤหัสบดี หรือวันศุกร์ก็จะมีบทวิเคราะห์ออกมาอย่างเป็นทางการ”
ความรู้สึก การแสดงออก และกระบวนการตรวจสอบเรียกร้องความจริง ของกลุ่มปัญญาชนอย่างนักศึกษา และอาจารย์ ที่ต้องถือว่าเป็นพลังบริสุทธิ์เหล่านี้ เป็นสิ่งที่รัฐบาลและขั้วอำนาจพิเศษต่างๆไม่ควรมองข้ามโดยเด็ดขาด
เพราะแม้จะมีอำนาจมากล้นในเวลานี้ จนอาจจะรู้สึกมั่นคงเหลือล้น แต่อย่าลืมว่าแม้แต่กิ้งกือร้อยขา ก็สามารถที่จะหกล้มได้เหมือนกัน หากหลงในอำนาจขืนประมาทพลังบริสุทธิ์ของนักศึกษา!!!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ปล่อยนักโทษการเมือง!
เสียงเพรียกหาประชาธิปไตย จริงๆแล้วไม่ได้มีเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น หากแต่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ทั่วโลก
หากว่าคนในสังคมนั้นมองว่า ประเทศของตนยังไร้ซึ่งประชาธิปไตยที่แท้จริง
อย่างเช่นในประเทศพม่า การต่อสู้เรียกร้อง “ประชาธิปไตย” จากรัฐบาลทหาร ก็มีมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน แม้กระทั่งว่า นางอองซาน ซูจี จะถูกปล่อยตัวแล้วก็ตาม แต่การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริงก็ยังคงไม่จบสิ้น
เช่นเดียวกับในประเทศไทย วันนี้แม้ว่ารัฐบาลจะกุมอำนาจเบ็ดเสร็จ มีกำลังทหาร-กำลังกองทัพให้การสนับสนุนอย่างเต็มเปี่ยมสุดลิ่มทิ่มประตู จนสามารถที่จะจับใครต่อใครใส่ตะกร้าล้างน้ำอย่างได้ผลเสมอ
แต่ลึกๆแล้วการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยที่แม้จริงยังคงมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง
ไม่ใช่แค่เฉพาะสีเหลือง หรือแค่เฉพาะสีแดง ที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พยายามที่จะป่าวประกาศตลอดเวลาว่า เป็นมวลชนที่มีกระบวนการจัดตั้ง
แต่ในความเป็นจริง ถึงวันนี้หากรัฐบาลยอมรับความเป็นจริง จะรู้ว่า ยิ่งรัฐบาลได้รับการเกื้อหนุนจากทหาร จากขั้วอำนาจพิเศษต่างๆ แม้แต่กระทั่ง “อำนาจในระบบยุติธรรม” รวมไปถึงแม้กระทั่งนักการเมืองหลายแก๊งหลายก๊วนที่เอื้ออำนาจและผลประโยชน์ร่วมกันคอยค้ำยันอย่างเต็มที่
จนดูราวกับว่ารัฐบาลชุดนี้แข็งแกร่งเอามากๆก็ตาม
แต่ลึกๆแล้ว อาจจะไม่เป็นเช่นที่บรรดากลุ่มอำนาจวาดฝันไว้ก็เป็นได้......??
เพราะขณะนี้ “พลังบริสุทธิ์” หลายภาคส่วนเริ่มที่จะตื่นขึ้นมาต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว โดยเฉพาะในส่วนของนักศึกษา อาจารย์ และนักวิชาการทั้งหลาย ที่ทนเห็นปรากฏการณ์ลำเอียงที่แปลกพิศดารมากขึ้นเรื่อยๆไม่ไหวแล้ว
อย่างล่าสุด กลุ่มนิสิตนักศึกษาจากประชาคมธรรมศาสตร์คัดค้านอำนาจนอกระบบ และกลุ่มประชาคมจุฬาฯเพื่อประชาชน ได้มีการไปอ่านแถลงการณ์ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยต่อหน้ากลุ่มคนเสื้อแดงที่มารวมตัวกันรำลึกถึงผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์สลายการชุมนุมและเรียกร้องให้ปล่อยนักโทษการเมืองที่ถูกจองจำ
ซึ่งข้อเรียกร้องของทั้ง 2 ประชาคม มีเนื้อหาดังนี้
1. ต้องเร่งให้ดำเนินการตั้ง”สภาร่างรัฐธรรมนูญ” ขึ้นใหม่ เพื่อออกกฎหมายใหม่ เพื่อออกกฎหมายร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ร่างโดยผู้แทนที่ชอบธรรมจากประชาชนทั้งประเทศ โดยมีเนื้อหาอยู่บนบรรทัดฐานแห่งเจตนารมณ์ของระบอบประชาธิปไตยที่มาจากประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน แทนฉบับปัจจุบันที่ไม่มีความชอบธรรมในที่มาและกระบวนการร่างทั้งฉบับ
2.รับผิดชอบต่อการเสียชีวิตและบาดเจ็บของประชาชนจากการสลายการชุมนุม โดยการเร่งดำเนินการสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด และเปิดโอกาสให้องค์กรระหว่างประเทศเข้ามามีส่วนร่วม
3.รัฐบาลต้องปล่อยตัวนักโทษการเมืองทั้งหมด และหยุดคุกคามผู้มีความคิดแตกต่างจากรัฐบาลด้วยการยกเลิกพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และหลักสิทธิมนุษยชน
น.ส.รวิวรรณ รักถิ่นกำเนิด นักศึกษา ปี 1 สาขาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พูดชัดเจนว่า เป็นการมาเพื่อเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวนักโทษทางการเมืองและามาเพื่อหาผู้รับผิดชอบจากการสลายการชุมนุม และยกเลิกรัฐธรรมนูญบนกองเลือด
"กลุ่มของพวกเราดำเนินงานตั้งแต่การจัดงาน "รำลึก19 กันยา ประเทศชาติไม่ดีขึ้น" งาน "6 ตุลา ใครฆ่าพี่เราไม่ลืม" นอกจากนี้ยังมีการเคลื่อนไหวใน social network กับเครือข่าวนักศึกษาทั่วประเทศ เพียงแต่ว่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กับจุฬาฯ เป็นแกนหลัก
เรามาแสดงออกในเรื่องสิทธิทางการเมืองที่พวกเราพึงมี พวกเราเข้ามาเพื่อจุดประเด็นให้เพื่อนนักศึกษาคนอื่นที่ยังไม่กล้าได้เห็นว่า ยังมีคนที่คิดเหมือนเขานะเรายังกล้าออกมาทำและเชื่อว่าถ้าเราเป็นจุดเริ่มต้นให้เขา เขาก็จะกล้าออกมาเหมือนกับเรา" นักศึกษารัฐศาสตร์กล่าว
ทั้งนี้เพราะ ผ่านไป 8 เดือนแล้วยังไม่มีใครออกมารับผิดชอบกับโศกนาฏกรรมในครั้งนี้ ทางกลุ่มนักศึกษาเรียกร้องกันมากี่ครั้งก็ยังถูกเมินเฉย และไม่มีผู้ออกมารับผิดชอบ แต่ก็จะเรียกร้องต่อไป เพราะไม่ว่าจะเรียกร้อง 1 ครั้ง 10 ครั้ง 100 ครั้ง หรือ 1000 ครั้ง ก็ต้องทำเพื่อคนที่ตายไป
"เราเชื่อว่าเมื่อเทียบกับผู้ที่ตายไปเรื่องแค่นี้มันไม่เหลือบ่ากว่าแรงของพวกเรา เราต้องพูดซ้ำๆให้เขาได้ยินว่าพวกเราไม่ลืมเหตุการณ์ในครั้งนี้ จนกว่าฆาตกรตัวจริงจะออกมาแสดงความรับผิดชอบ ถึงแม้ใครจะเมินเฉยต่อโชคชะตาของพวกเราต่อการเสียชีวิตของพวกเราจะเย็นชาไม่ดูดำดูดี แต่ตอนนี้พวกเราชาวไพร่ที่กำลังต่อสู้เป็นพลเมืองจะไม่ขอเรียกร้องให้ผู้ใดมากำหนดโชคชะตาของพวกเรา เพราะพวกเราทุก
คนจะเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของตัวเอง" น.ส.รวิวรรณ กล่าว
น่าทึ่งที่กลุ่มนักศึกษามีการประกาศเจตนารมณ์อย่างชัดเจนว่า........
"ขอให้พี่น้องทุกคนสู้ต่อไป อย่ายอมแพ้ นักศึกษาทุกคนยืนอยู่ข้างความยุติธรรมเสมอ เพราะพลังต่อสู้ที่แท้จริงไม่ใช่นักศึกษา ไม่ใช่ชนชั้นกลาง ที่เมินเฉยต่ออำนาจรัฐที่เข่นฆ่าประชาชน แต่พลังที่แท้จริง คือ พลังของพี่น้องทุกคนที่อยู่ที่แห่งนี้ ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการเปลี่ยนแปลงประเทศ"
นอกจากนี้นักศึกษาชายที่มาร่วมทำกิจกรรมในกลุ่ม ฝากไปถึงเพื่อนๆนักศึกษาว่า อยากให้เพื่อนนักศึกษาเข้าใจโลก เข้าใจสังคม เปิดใจให้กับสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงไปในสังคม สังคมนี้ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงไปได้ถ้าไม่มีพลังจากพวกคุณ
"กิจกรรมของพวกเราจะมีเรื่อยๆ ไหนๆก็ต้องออกจากบ้านมาเพื่อเรียกร้องอยู่แล้ว และคิดว่าเราคงไม่กลับไปตราบใดที่ยังไม่มีความรับผิดชอบจากตรงนี้......
ไม่กลัว ไม่มีอะไรต้องกลัว!! เราแค่ยืนอยู่บนความถูกต้อง สิทธิเสรีภาพในการพูด หลักประชาธิปไตยที่ต้องไม่มีอำนาจนอกระบบเข้ามาแทรกแซง ไม่จำเป็นต้องเลือกว่าอยู่สีไหน แค่ยืนอยู่บนหลักความถูกต้องแล้วต้องออกมา ไม่มีอะไรต้องกลัว
ความกลัวทำให้เสื่อม ความกลัวไม่ได้ช่วยอะไร ถ้าเขาปกครองเราด้วยความกลัวและถ้าเรากลัวเขา เราก็แพ้ครับ"
นักศึกษากลุ่มนี้บอกว่า การเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองของนิสิตนักศึกษาทั่วไปจะได้แนวร่วมเพิ่มครั้งละ 3-4 คน จากวงสัมมนาเล็กๆ ที่จัดกันเอง แม้จะมีคนบางกลุ่มที่ไม่พอใจพยายามออกมาคัดค้านกิจกรรมดังกล่าว แต่พวกเขาก็จะยังคงสู้ต่อไปในฐานะพลเมืองที่มีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน รวมพลทีละนิดเพื่อเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่
ในขณะที่ นายธีระ สุธีวรางกูร อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ หนึ่งในผู้ก่อตั้ง “เว็บไซต์ นิติราษฎร์” ก็มีการให้สัมภาษณ์ ในรายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว คลื่น FM 100.5 อสมท. โดยให้ความเห็นว่า
จริงๆแล้วรัฐธรรมนูญ ปี2550 มีคำถามทั้งทางวิชาการ ทั้งทางการเมือง สองสามเรื่อง ตั้งแต่เรื่องที่มาของรัฐธรรมนูญ กระบวนการในการยกร่างรัฐธรรมนูญ และในตัวเนื้อหารัฐธรรมนูญ แต่ว่าทั้งสามเรื่องเป็นคำถามที่บางเวลา บางปี จะมีความเข้มข้มตามสถานการณ์ทางการเมือง หรือน้อยลง แต่ถึงอย่างไรคำถามก็ยังมี
เพราะว่า ตั้งแต่มีการรัฐประหารในปี 2549 ตัวรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีที่มาจาก คณะรัฐประหาร แม้จะมีการลงประชามติก็ตาม ก็ยังมีคำถามจากกลุ่มในสังคม ทั้งในกลุ่มวิชาการ ทั้งกลุ่มการเมือง โดยเฉพาะเหล่าเสื้อแดงก็ยังมีคำถามอยู่เรื่อยๆ
ส่วนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยังถือเป็นประเด็นสำคัญ ถ้าหากต้องการแก้ไขรัฐธรรมนุญจริงๆ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งเห็นว่า รัฐธรรมนูญไม่ควรจะยกร่างแบบเดิมๆ มีเนื้อหาแบบเดิมไม่ได้ เพราะในความคิดเห็นของคนกลุ่มนี้เห็นว่า ในวันนี้รัฐธรรมนูญจะถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองไม่ได้อีกแล้ว และถ้าจะมีการแก้ไขก็ยืนยันหลักการมีอำนาจสูงสุดของประชาชน ให้ได้รับการปฏิบัติ
ฉะนั้น ถ้าแก้ไขเพียงเล็กๆน้อยๆก็แก้ปัญหาไม่ได้ เพราะรัฐธรรมนูญกลายเป็นเครื่องมือที่นำมาสู่ความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งคงปฏิเสธไม่ได้ ถ้าหากจะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพียงสองข้อ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง แก้ไขไปก็ไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งได้
ซึ่งโดยส่วนตัวไม่ได้สนใจข้อนี้เลย เพราะถ้ารากของปัญหาจริง อยู่ที่รัฐธรรมนูญ ก็ควรแก้ไขครั้งใหญ่ และแก้ไขบนพื้นฐานของความคิดทางการเมืองที่สอดรับประชาธิปไตยจริงๆ ไม่เช่นนั้นก็แก้ไขอะไรไม่ได้
และเกี่ยวกับการตรวจสอบข้อเท็จจริง การสลายม็อบเสื้อแดง เมษายน-พฤษภาคม 2552 นายธีระ กล่าวว่า จริงๆ แล้ว กระบวนการสอบสวนที่ล่าช้า ไม่ใช่แค่ประชาชนในประเทศเท่านั้นที่รู้สึก ในต่างประเทศเองก็รู้สึกเช่นกัน
ก็ต้องจับตาดูผลสืบสวนสอบสวน มาจะออกมาอย่างไร เพราะตอนนี้เริ่มมีหลักฐานบางส่วนเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต ว่า เจ้าหน้าของรัฐทำเกินกว่าเหตุ เป็นเรื่องที่ไม่ควรจะทำ ซึ่งจริงๆแล้วทำรึเปล่า ส่วนนี้ก็ต้องมีส่วนรับผิดบ้าง หลังจากนี้ไปหลายคนคงจะคอยดูผลสุดท้ายว่าจะเป็นอย่างไร หากเจ้าหน้ารัฐไม่มีความผิดเลย ทั้งที่มีหลักฐาน ตรงนี้ก็อาจเกิดความขัดแย้งเกิดขึ้นก็ได้
ก็ต้องคอยจับตาดูกันต่อไป เจ้าหน้าของรัฐจะรับผิดชอบมากน้อยเพียงใดต่อการสลายการชุมนุมในช่วงเมษายน พฤษภาคมที่ผ่านมา
ส่วนเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัย คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ทั้งสองคดี กลุ่มนิติราษฏร์จะมีคำแถลงการณ์ออกมาเมื่อใดนั้น
“ผมได้คำวินิจฉัยอย่างเป็นทางการเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา และได้มีการนัดพบปะพูดคุยกับเพื่อนๆในกลุ่ม ภายในวันจันทร์นี้ จะเอาคำวินิจฉัยมาดู เมื่อเจอสิ่งที่น่าสนใจก็จะทำเป็นบทวิเคราะห์ออกมา อาจใช้เวลาเขียนประมาณสามสี่วัน หากไม่มีสิ่งได้คลาดเคลื่อน วันพฤหัสบดี หรือวันศุกร์ก็จะมีบทวิเคราะห์ออกมาอย่างเป็นทางการ”
ความรู้สึก การแสดงออก และกระบวนการตรวจสอบเรียกร้องความจริง ของกลุ่มปัญญาชนอย่างนักศึกษา และอาจารย์ ที่ต้องถือว่าเป็นพลังบริสุทธิ์เหล่านี้ เป็นสิ่งที่รัฐบาลและขั้วอำนาจพิเศษต่างๆไม่ควรมองข้ามโดยเด็ดขาด
เพราะแม้จะมีอำนาจมากล้นในเวลานี้ จนอาจจะรู้สึกมั่นคงเหลือล้น แต่อย่าลืมว่าแม้แต่กิ้งกือร้อยขา ก็สามารถที่จะหกล้มได้เหมือนกัน หากหลงในอำนาจขืนประมาทพลังบริสุทธิ์ของนักศึกษา!!!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
78 ปีที่ก้าวพ้นได้อะไร?
ความเหลื่อมล้ำในสังคม‘รวยกระจุกจนกระจาย’หรือได้แค่ประชาธิปตาย
วันที่ 24 มิ.ย.2475 ถือเป็นวันเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์การปกครองของไทย จาก “ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์” มาเป็น “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข”
วันที่ 10 ธ.ค. 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยามฉบับถาวร โดยทรงลงพระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พระราชทานเป็นกฎหมายสูงสุดเพื่อเป็นหลักในการปกครองประเทศ จึงได้ถือว่าวันดังกล่าว...เป็น “วันรัฐธรรมนูญ”
วันที่ 10 ธ.ค.2553 ผ่านมา 78 ปี...ประเทศไทย มีการใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 อันเป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับที่ 18 เฉลี่ย 4.3 ปี เราจะมีการรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ออกมาใช้ 1 ฉบับ
ยิ่งเวลานี้...วาระแรกในการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ใน 2 ประเด็น คือมาตรา 93-98 และ มาตรา 190 ที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรี ก็เพิ่งผ่านการเห็นชอบจากที่ประชุมร่วมรัฐสภา ในวาระ แรกสดๆ ร้อนๆ
แต่เชื่อหรือไม่ว่า...การแก้รัฐธรรมนูญในระยะหลังนี้ รวมถึง การเขียนรัฐธรรมนูญหลายฉบับที่ผ่านมา...ล้วนมีแต่ “พวกหน้า เดิมๆ” และ “วาระการแก้ไข” ก็ล้วนแต่เป็นไปเพื่อ “อำนาจ” ของ “นักการเมือง” เท่านั้น...ไม่ใช่ทำเพื่อ “ประชาชน” อย่างแท้จริง
หากย้อนกลับไปดู...นับตั้งแต่ “ตุลาฯ 2516 / ตุลาฯ 2519 / พ.ค.ทมิฬ 2535 / 19 ก.ย. 2549” ประเทศชาติต้องจ่ายเงินเพื่อ คำว่า “ประชาธิปไตย” ด้วยเม็ดเงินที่มหาศาล แต่ขณะเดียวกัน... เราก็ต้องเสียชีวิต “ผู้บริสุทธิ์” ทั้งพวกที่หลงผิด-ถูกชักจูง...ไป ไม่น้อย...จนมีการเหน็บแนมกันว่า หรือจะเป็น “ประชาธิปตาย” กันแน่!!!
ยิ่งถ้ามองลึกไปถึง “การศึกษา” และ “จิตสำนึก” ของผู้คนในสังคมแล้ว...จะพบว่า “มีคนกลุ่มหนึ่ง” ที่ยังไม่พัฒนาทาง ความคิดในเรื่อง “ประชาธิปไตย” แต่ “คนกลุ่มนี้” กลับเป็นผู้มีบทบาทในการนำพาประเทศชาติ และมีเรื่อง “ผลประโยชน์” และ “สินบน” เข้ามาเกี่ยวข้องตลอดเวลา ที่น่าเจ็บปวดคือ... “เขาและเธอเหล่านี้” สามารถโน้มน้าวจิตใจให้ผู้คนทั่วไปยอมรับได้อย่างหน้าตาเฉยว่า “โกง...แต่ทำงาน ก็ไม่เป็นไร” ซึ่งเป็นวิธีปลูกฝังที่ผิดอย่างสิ้นเชิง
จะเห็นว่า...ตลอดเวลา 78 ปีที่ผ่านมา แม้เราจะได้ชื่อว่า ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ที่ประชาชนทุกคนมีสิทธิ์มีเสียงเท่าเทียมกัน...แต่กลายเป็นว่า “ความเหลื่อมล้ำทาง สังคม” ยังคงปรากฏให้เห็นตลอดเวลา ยังมีการแบ่งแยกระหว่าง “คนรวย-คนจน” “คนมีอำนาจ-คนไร้วาสนา” แต่ไม่เคยมีการตรวจสอบและทวงถามถึง “ที่มาของเงิน” ว่า “พวกเขาเหล่านั้น” มั่งมีศรีสุข...มาได้อย่างไร เป็น “เงินที่บริสุทธิ์ถูกต้อง...จริงหรือไม่”
ปัญหาเหล่านี้...สามารถแก้ไขได้ หาก “ผู้มีอำนาจ” คิดถึง “ประชาชน” อย่างแท้จริง...อย่าให้ถึงกับ “ต้องรอคอยวัน เวลา” ที่ “พลังมวลชนจริงๆ” ที่ไม่ได้จัดตั้ง...จะลุกขึ้นมา “เปลี่ยนแปลง” เลย...
ที่พูดนี้ต้องขอบอกตรงๆ ว่า “ผม” ไม่กล้าแนะนำ “ผู้มีอำนาจในเวลานี้” ว่าควรจะต้องทำอย่างไร...??? เพราะเชื่อว่า “คงรู้ดี” ว่า... “ถ้าคิดจะทำ-จะทำกันอย่างไร”...เวลานี้ได้แต่เฝ้ามองและหวังว่า...จะเปลี่ยนแปลง ไปในทิศทางที่ดีขึ้น...เพื่อให้เป็น “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” อย่างแท้จริง
ที่มา.สยามธุรกิจ
---------------------------------------------
วันที่ 24 มิ.ย.2475 ถือเป็นวันเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์การปกครองของไทย จาก “ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์” มาเป็น “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข”
วันที่ 10 ธ.ค. 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยามฉบับถาวร โดยทรงลงพระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พระราชทานเป็นกฎหมายสูงสุดเพื่อเป็นหลักในการปกครองประเทศ จึงได้ถือว่าวันดังกล่าว...เป็น “วันรัฐธรรมนูญ”
วันที่ 10 ธ.ค.2553 ผ่านมา 78 ปี...ประเทศไทย มีการใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 อันเป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับที่ 18 เฉลี่ย 4.3 ปี เราจะมีการรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ออกมาใช้ 1 ฉบับ
ยิ่งเวลานี้...วาระแรกในการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ใน 2 ประเด็น คือมาตรา 93-98 และ มาตรา 190 ที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรี ก็เพิ่งผ่านการเห็นชอบจากที่ประชุมร่วมรัฐสภา ในวาระ แรกสดๆ ร้อนๆ
แต่เชื่อหรือไม่ว่า...การแก้รัฐธรรมนูญในระยะหลังนี้ รวมถึง การเขียนรัฐธรรมนูญหลายฉบับที่ผ่านมา...ล้วนมีแต่ “พวกหน้า เดิมๆ” และ “วาระการแก้ไข” ก็ล้วนแต่เป็นไปเพื่อ “อำนาจ” ของ “นักการเมือง” เท่านั้น...ไม่ใช่ทำเพื่อ “ประชาชน” อย่างแท้จริง
หากย้อนกลับไปดู...นับตั้งแต่ “ตุลาฯ 2516 / ตุลาฯ 2519 / พ.ค.ทมิฬ 2535 / 19 ก.ย. 2549” ประเทศชาติต้องจ่ายเงินเพื่อ คำว่า “ประชาธิปไตย” ด้วยเม็ดเงินที่มหาศาล แต่ขณะเดียวกัน... เราก็ต้องเสียชีวิต “ผู้บริสุทธิ์” ทั้งพวกที่หลงผิด-ถูกชักจูง...ไป ไม่น้อย...จนมีการเหน็บแนมกันว่า หรือจะเป็น “ประชาธิปตาย” กันแน่!!!
ยิ่งถ้ามองลึกไปถึง “การศึกษา” และ “จิตสำนึก” ของผู้คนในสังคมแล้ว...จะพบว่า “มีคนกลุ่มหนึ่ง” ที่ยังไม่พัฒนาทาง ความคิดในเรื่อง “ประชาธิปไตย” แต่ “คนกลุ่มนี้” กลับเป็นผู้มีบทบาทในการนำพาประเทศชาติ และมีเรื่อง “ผลประโยชน์” และ “สินบน” เข้ามาเกี่ยวข้องตลอดเวลา ที่น่าเจ็บปวดคือ... “เขาและเธอเหล่านี้” สามารถโน้มน้าวจิตใจให้ผู้คนทั่วไปยอมรับได้อย่างหน้าตาเฉยว่า “โกง...แต่ทำงาน ก็ไม่เป็นไร” ซึ่งเป็นวิธีปลูกฝังที่ผิดอย่างสิ้นเชิง
จะเห็นว่า...ตลอดเวลา 78 ปีที่ผ่านมา แม้เราจะได้ชื่อว่า ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ที่ประชาชนทุกคนมีสิทธิ์มีเสียงเท่าเทียมกัน...แต่กลายเป็นว่า “ความเหลื่อมล้ำทาง สังคม” ยังคงปรากฏให้เห็นตลอดเวลา ยังมีการแบ่งแยกระหว่าง “คนรวย-คนจน” “คนมีอำนาจ-คนไร้วาสนา” แต่ไม่เคยมีการตรวจสอบและทวงถามถึง “ที่มาของเงิน” ว่า “พวกเขาเหล่านั้น” มั่งมีศรีสุข...มาได้อย่างไร เป็น “เงินที่บริสุทธิ์ถูกต้อง...จริงหรือไม่”
ปัญหาเหล่านี้...สามารถแก้ไขได้ หาก “ผู้มีอำนาจ” คิดถึง “ประชาชน” อย่างแท้จริง...อย่าให้ถึงกับ “ต้องรอคอยวัน เวลา” ที่ “พลังมวลชนจริงๆ” ที่ไม่ได้จัดตั้ง...จะลุกขึ้นมา “เปลี่ยนแปลง” เลย...
ที่พูดนี้ต้องขอบอกตรงๆ ว่า “ผม” ไม่กล้าแนะนำ “ผู้มีอำนาจในเวลานี้” ว่าควรจะต้องทำอย่างไร...??? เพราะเชื่อว่า “คงรู้ดี” ว่า... “ถ้าคิดจะทำ-จะทำกันอย่างไร”...เวลานี้ได้แต่เฝ้ามองและหวังว่า...จะเปลี่ยนแปลง ไปในทิศทางที่ดีขึ้น...เพื่อให้เป็น “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” อย่างแท้จริง
ที่มา.สยามธุรกิจ
---------------------------------------------
78 ปี..18 ฉบับ..นับลงคลอง!
และวันที่สยามประเทศก็ได้มีรัฐธรรมนูญเป็นของตัวเองได้เวียนบรรจบครบรอบมา แล้ว 78 ปีแห่งการเป็นประชาธิปไตย ภายหลัง การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข78 ปีเรามีรัฐธรรมนูญมาแล้ว 18 ฉบับ ในขณะที่ประเทศอื่นๆ อย่างสหรัฐอเมริกาใช้ เพียง 1 ฉบับ สำหรับการก่อร่างสร้างประเทศ ในเวลา 223 ปี คือใช้มาแต่ต้นถึงปัจจุบัน
จะว่าไปแล้วการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ น่าจะนำไปสู่การพัฒนาที่ดีขึ้นมิใช่หรือ???... แต่เหตุใดประชาธิปไตยบ้านนี้เมืองนี้ถึงย่ำอยู่ กับที่...หรือที่ถูกน่าจะเรียกว่าถอยหลังลงคลอง เสียมากกว่ารัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวบางฉบับใช้บังคับเป็นเวลานาน เช่น ธรรมนูญการปกครอง ราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502 ซึ่งเกิดขึ้น โดยการทำรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ใช้บังคับเป็นเวลา 9 ปีเศษ แต่รัฐธรรมนูญฉบับถาวรหลายฉบับใช้บังคับในระยะเวลา สั้นๆ...อันที่จริงแล้วก็น่าคิดยิ่งนักว่าสาเหตุ ที่ต้องเปลี่ยนแปลงอยู่ที่เนื้อหาซึ่งไม่สอดคล้อง กับหลักประชาธิปไตย หรือไม่ถูกใจคนใช้ หรือเพราะผู้ใช้ใช้แบบผิดๆ มุ่งหาช่องว่างกอบโกย ผลประโยชน์เข้าตัวกันแน่
การฉีกรัฐธรรมนูญ!!!...มักถูกดำเนินการ โดยคณะนายทหารระดับสูง ด้วยกระบวนการ ที่เรียกว่า “กระทำรัฐประหาร” เมื่อคณะรัฐประหาร ซึ่งมีชื่อเรียกแตกต่างกันไป เช่น คณะปฏิวัติ คณะปฏิรูป หรือคณะรักษาความสงบเรียบร้อย ยึดอำนาจได้สำเร็จก็จะประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว แล้วจึงร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร และเมื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญที่มุ่งจะใช้บังคับเป็นการถาวรแล้วก็จะมีการเลือกตั้ง และตามด้วยการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ตามวิถีทาง ของรัฐธรรมนูญฉบับถาวร แต่เมื่อรัฐบาลดังกล่าว บริหารประเทศไปได้สักระยะหนึ่งก็จะถูกทำ การรัฐประหาร และประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับถาวร แล้วก็ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พร้อมทั้งจัดให้การร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับถาวรใหม่อีก หมุนเวียนเป็นวงจรการเมือง ของรัฐไทยมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานนับหลายสิบปี เสมือนวังวนที่หาทางออกไม่ได้ของการเมืองไทย....ซึ่งถ้าเป็นละครก็มักเรียก ว่าละครน้ำเน่า แต่เมื่อเป็นการเมืองเราจึงเรียก ว่าเป็น....การเมืองน้ำเน่า!!!
เฉลี่ยแล้ว รัฐธรรมนูญไทยเปลี่ยนแปลง ทุกๆ 4 ปี ต่างจากกรณีของประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีรัฐธรรมนูญเพียงฉบับเดียว ซึ่งนับ ตั้งแต่ประกาศใช้ จำนวน 7 มาตรา 55 อนุมาตรา ใน พ.ศ.2332 จนถึงปัจจุบันสองร้อยกว่าปีนั้น ก็มีแต่การแก้ไขให้ทันสมัยเท่านั้น ยังหาได้มีการยกเลิกทั้งฉบับเฉกเช่นกรณีของประเทศไทยแต่อย่างใด อย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
จะว่าไปแล้วเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็เป็นสิ่งที่ทำได้เพราะโลกหมุนเวียนเปลี่ยน ไปทุกวัน การแก้ไขเพื่อให้กฎหมายมีความทันสมัยขึ้นจึงถือเป็นสิ่งจำเป็นอยู่มิใช่น้อย อย่างกรณีของสหรัฐอเมริกา ที่กล่าวมาแล้วนั้น แม้ปัจจุบันยังไม่เคยเปลี่ยนรัฐธรรมนูญลายลักษณ์ อักษร ยังคงใช้ฉบับเดิมมาแต่แรก มีเพียงการ แก้ไขปรับปรุงส่วนที่จำเป็นเท่านั้น ดังนั้น การจะทำให้กลไกหรือมาตรการต่างๆ แต่กฎหมาย ไทยกลับแตกต่างกัน เรามีการฉีกแล้วเขียนรัฐธรรมนูญใหม่มา 18 ฉบับแล้วแต่กฎหมายเก่า ที่ล้าหลังหลายต่อหลายข้อกลับไม่ได้รับการชำระหากลองมาไล่เรียงรัฐธรรมนูญฉบับต่างๆ ได้ดังนี้...
1.พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครอง แผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475
2.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475
3.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489
4.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490
5.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492
6.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495
7.ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502
8.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511
9.ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2515
10.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517
11.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2519
12.ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2520
13.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521
14.ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2534
15.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534
16.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540
17.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549
18.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
นับมา 78 ปี ประชาชนชาวไทยก็ยังคงรอ ความหวังว่าจะได้รัฐธรรมนูญฉบับของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ฉบับสมบูรญ์ ด้วยจิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง
ที่มา.สยามธุรกิจ
จะว่าไปแล้วการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ น่าจะนำไปสู่การพัฒนาที่ดีขึ้นมิใช่หรือ???... แต่เหตุใดประชาธิปไตยบ้านนี้เมืองนี้ถึงย่ำอยู่ กับที่...หรือที่ถูกน่าจะเรียกว่าถอยหลังลงคลอง เสียมากกว่ารัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวบางฉบับใช้บังคับเป็นเวลานาน เช่น ธรรมนูญการปกครอง ราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502 ซึ่งเกิดขึ้น โดยการทำรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ใช้บังคับเป็นเวลา 9 ปีเศษ แต่รัฐธรรมนูญฉบับถาวรหลายฉบับใช้บังคับในระยะเวลา สั้นๆ...อันที่จริงแล้วก็น่าคิดยิ่งนักว่าสาเหตุ ที่ต้องเปลี่ยนแปลงอยู่ที่เนื้อหาซึ่งไม่สอดคล้อง กับหลักประชาธิปไตย หรือไม่ถูกใจคนใช้ หรือเพราะผู้ใช้ใช้แบบผิดๆ มุ่งหาช่องว่างกอบโกย ผลประโยชน์เข้าตัวกันแน่
การฉีกรัฐธรรมนูญ!!!...มักถูกดำเนินการ โดยคณะนายทหารระดับสูง ด้วยกระบวนการ ที่เรียกว่า “กระทำรัฐประหาร” เมื่อคณะรัฐประหาร ซึ่งมีชื่อเรียกแตกต่างกันไป เช่น คณะปฏิวัติ คณะปฏิรูป หรือคณะรักษาความสงบเรียบร้อย ยึดอำนาจได้สำเร็จก็จะประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว แล้วจึงร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร และเมื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญที่มุ่งจะใช้บังคับเป็นการถาวรแล้วก็จะมีการเลือกตั้ง และตามด้วยการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ตามวิถีทาง ของรัฐธรรมนูญฉบับถาวร แต่เมื่อรัฐบาลดังกล่าว บริหารประเทศไปได้สักระยะหนึ่งก็จะถูกทำ การรัฐประหาร และประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับถาวร แล้วก็ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พร้อมทั้งจัดให้การร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับถาวรใหม่อีก หมุนเวียนเป็นวงจรการเมือง ของรัฐไทยมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานนับหลายสิบปี เสมือนวังวนที่หาทางออกไม่ได้ของการเมืองไทย....ซึ่งถ้าเป็นละครก็มักเรียก ว่าละครน้ำเน่า แต่เมื่อเป็นการเมืองเราจึงเรียก ว่าเป็น....การเมืองน้ำเน่า!!!
เฉลี่ยแล้ว รัฐธรรมนูญไทยเปลี่ยนแปลง ทุกๆ 4 ปี ต่างจากกรณีของประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีรัฐธรรมนูญเพียงฉบับเดียว ซึ่งนับ ตั้งแต่ประกาศใช้ จำนวน 7 มาตรา 55 อนุมาตรา ใน พ.ศ.2332 จนถึงปัจจุบันสองร้อยกว่าปีนั้น ก็มีแต่การแก้ไขให้ทันสมัยเท่านั้น ยังหาได้มีการยกเลิกทั้งฉบับเฉกเช่นกรณีของประเทศไทยแต่อย่างใด อย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
จะว่าไปแล้วเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็เป็นสิ่งที่ทำได้เพราะโลกหมุนเวียนเปลี่ยน ไปทุกวัน การแก้ไขเพื่อให้กฎหมายมีความทันสมัยขึ้นจึงถือเป็นสิ่งจำเป็นอยู่มิใช่น้อย อย่างกรณีของสหรัฐอเมริกา ที่กล่าวมาแล้วนั้น แม้ปัจจุบันยังไม่เคยเปลี่ยนรัฐธรรมนูญลายลักษณ์ อักษร ยังคงใช้ฉบับเดิมมาแต่แรก มีเพียงการ แก้ไขปรับปรุงส่วนที่จำเป็นเท่านั้น ดังนั้น การจะทำให้กลไกหรือมาตรการต่างๆ แต่กฎหมาย ไทยกลับแตกต่างกัน เรามีการฉีกแล้วเขียนรัฐธรรมนูญใหม่มา 18 ฉบับแล้วแต่กฎหมายเก่า ที่ล้าหลังหลายต่อหลายข้อกลับไม่ได้รับการชำระหากลองมาไล่เรียงรัฐธรรมนูญฉบับต่างๆ ได้ดังนี้...
1.พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครอง แผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475
2.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475
3.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489
4.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490
5.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492
6.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495
7.ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502
8.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511
9.ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2515
10.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517
11.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2519
12.ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2520
13.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521
14.ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2534
15.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534
16.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540
17.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549
18.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
นับมา 78 ปี ประชาชนชาวไทยก็ยังคงรอ ความหวังว่าจะได้รัฐธรรมนูญฉบับของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ฉบับสมบูรญ์ ด้วยจิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง
ที่มา.สยามธุรกิจ
กมธ.สหรัฐ ขอเลื่อนกำหนดการให้"ทักษิณ"เข้าชี้แจง เจ้าตัวรับลูกบอกดีจะได้มีเวลาทำวีซ่า
"ซีเอสซีอี" ขอยืดเวลาเชิญ "แม้ว" แจงละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทย อ้างติดเปิดสมัยประชุมสภา เจ้าตัวบอกขอบคุณจะได้มีเวลาเตรียมเรื่องวีซ่า-ข้อมูลเพิ่มเติม
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แถลงที่พรรคเพื่อไทย อาคารโอเอไอ ทาวเวอร์ ย่านถนนเพชรบุรีถึงความคืบหน้าในการตัดสินใจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในการเดินทางไปชี้แจงกับ คณะกรรมาธิการด้านความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป หรือ ซีเอสซีอี ของสหรัฐอเมริกา กรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ในความวุ่นวายทางการเมืองช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 และเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 16 ธันวาคม ว่า ช่วงกลางดึกคืนวันที่ 12 ธันวาคม ตนได้รับการแจ้งจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าทาง คณะกรรมาธิการฯได้ตัดสินใจเลื่อนการพิจารณาปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยออกไป ซึ่งอาจจะเป็นช่วงเดือนมกราคมเนื่องจากสหรัฐอเมริกาเพิ่งมีการเลือกตั้ง ส.ส. เข้ามาใหม่ จะมีการเปิดสมัยประชุมสภาคองเกรสในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โดย พ.ต.ท.ทักษิณได้ตอบรับการเลื่อนทางจดหมายไปแล้วว่าขอบคุณที่ได้มีการเลื่อนออกไป เพราะตัวเองจะได้มีเวลาในการดำเนินการเรื่องวีซ่าให้เสร็จสิ้น รวมไปถึงรวบรวมหลักฐานใหม่ที่เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนเข้าสู่การพิจารณาของ คณะกรรมาธิการฯเพิ่มเติม
"การไต่สวนและพิจารณาของ คณะกรรมาธิการฯ มีผลเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้ชาวโลกตระหนักว่ามันยังไม่มีการไต่สวน โดยคณะกรรมการที่เป็นอิสระและเป็นกลางอย่างแท้จริง ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมเดือนเมษายนและพฤษภาคมที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่ครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บเรียกร้องมาตลอด นอกจากนี้รัฐบาลยังไม่ได้แสดงความรับผิดชอบใดๆ ต่อการตาย การบาดเจ็บและการละเมิดสิทธิมนุษยชน" นายนพดลอ้างคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในจดหมาย
เมื่อถามว่าหลายกระแสเริ่มมองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ลงทุนปั่นกระแสให้แฟนคลับออกมาใช้เสียงเลือกตั้งซ่อม นายนพดลกล่าวว่า เราดำเนินการทุกอย่างด้วยความระมัดระวัง เพราะเกรงว่าจะมีผู้เข้าใจว่าเราพยายามปั่นกระแส
ที่มา.มติชนออนไลน์
-----------------------------------------------------
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แถลงที่พรรคเพื่อไทย อาคารโอเอไอ ทาวเวอร์ ย่านถนนเพชรบุรีถึงความคืบหน้าในการตัดสินใจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในการเดินทางไปชี้แจงกับ คณะกรรมาธิการด้านความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป หรือ ซีเอสซีอี ของสหรัฐอเมริกา กรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ในความวุ่นวายทางการเมืองช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 และเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 16 ธันวาคม ว่า ช่วงกลางดึกคืนวันที่ 12 ธันวาคม ตนได้รับการแจ้งจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าทาง คณะกรรมาธิการฯได้ตัดสินใจเลื่อนการพิจารณาปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยออกไป ซึ่งอาจจะเป็นช่วงเดือนมกราคมเนื่องจากสหรัฐอเมริกาเพิ่งมีการเลือกตั้ง ส.ส. เข้ามาใหม่ จะมีการเปิดสมัยประชุมสภาคองเกรสในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โดย พ.ต.ท.ทักษิณได้ตอบรับการเลื่อนทางจดหมายไปแล้วว่าขอบคุณที่ได้มีการเลื่อนออกไป เพราะตัวเองจะได้มีเวลาในการดำเนินการเรื่องวีซ่าให้เสร็จสิ้น รวมไปถึงรวบรวมหลักฐานใหม่ที่เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนเข้าสู่การพิจารณาของ คณะกรรมาธิการฯเพิ่มเติม
"การไต่สวนและพิจารณาของ คณะกรรมาธิการฯ มีผลเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้ชาวโลกตระหนักว่ามันยังไม่มีการไต่สวน โดยคณะกรรมการที่เป็นอิสระและเป็นกลางอย่างแท้จริง ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมเดือนเมษายนและพฤษภาคมที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่ครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บเรียกร้องมาตลอด นอกจากนี้รัฐบาลยังไม่ได้แสดงความรับผิดชอบใดๆ ต่อการตาย การบาดเจ็บและการละเมิดสิทธิมนุษยชน" นายนพดลอ้างคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในจดหมาย
เมื่อถามว่าหลายกระแสเริ่มมองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ลงทุนปั่นกระแสให้แฟนคลับออกมาใช้เสียงเลือกตั้งซ่อม นายนพดลกล่าวว่า เราดำเนินการทุกอย่างด้วยความระมัดระวัง เพราะเกรงว่าจะมีผู้เข้าใจว่าเราพยายามปั่นกระแส
ที่มา.มติชนออนไลน์
-----------------------------------------------------
AHRC ออกรายงานประจำปีจวกไทยรื้อฟื้นรัฐทหาร
เมื่อเร็วๆ นี้ คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย Asian Human Rights Commission (AHRC) เผยแพร่รายงานประจำปี 2553 ซึ่งในส่วนของประเทศไทยมีเนื้อหาในรายงานประมาณ 20 หน้า สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
รายงานนี้เริ่มด้วยการเสนอว่า ในไทยมีการรื้อฟื้น “รัฐทหาร” ซึ่งเน้นความมั่นคงภายใน หลังรัฐประหาร 19 กันยาเรื่อยมา มีการเพิ่มอำนาจให้กับพวกที่ต่อต้านสิทธิมนุษยชนในหน่วยงานต่างๆ ของรัฐและแม้แต่ในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของไทย AHRC มีการเรียกร้องให้สหประชาชาติยกเลิกความสัมพันธ์กับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของไทย พร้อมกันนั้น AHRC วิจารณ์การเพิกเฉยของกรรมการสิทธิฯ ขององค์กรสหประชาชาติเอง โดยสาเหตุมาจากการที่ประธานคณะกรรมการนี้เป็นคนของรัฐบาลไทย
AHRC อธิบายว่าในรัฐทหาร มีการจงใจผูกพันสถาบันกษัตริย์ กับนิยามของ “ความมั่นคงภายใน” ทั้งๆ ที่บทบาทสถาบันกษัตริย์เป็นประเด็นถกเถียงอย่างรุนแรงภายในสังคมไทยปัจจุบัน
รายงานของ AHRC กล่าวถึง ดา ตอร์ปิโด ที่ถูกจำคุก 18 ปีในข้อหาหมิ่นกษัตริย์ จีรนุช เปรมชัยพร ผู้บริหารประชาไท ที่โดนข้อกล่าวหามากมาย สมบัติ บุญงามอนงค์ (บก.ลายจุด) ที่โดนกลั่นแกล้งจากการที่เขาเป็นนักเคลื่อนไหวแบบสันติ และกรณีการอุ้มฆ่าทนาย สมชาย และ อิหม่ามในภาคใต้ ฯลฯ ในกรณีภาคใต้ผู้กระทำความผิดยังคงลอยนวลอยู่
ในกรณีการสลายการชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้า และแยกราชประสงค์ปีนี้ AHRC ฟันธงว่า รัฐบาลไทยจงใจเลือกสังหารพลเมืองเสื้อแดงที่ออกมาประท้วง โดยที่รัฐบาลใช้อาวุธสงครามรุนแรงและสไนเปอร์ เมื่อพิจารณาการประท้วงของคนเสื้อแดงครั้งนี้ มันอาจจะเป็นภัยต่อการคงอยู่ของรัฐบาล แต่ไม่มีหลักฐานอะไรทั้งสิ้นที่บ่งบอกว่าเป็นภัยต่อประเทศชาติ ดังนั้นการเข่นฆ่าประชาชนที่ราชประสงค์ไม่มีความชอบธรรมตามหลักการสิทธิมนุษยชนสากล และแม้แต่ในกรอบของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเองก็ไม่มีความชอบธรรม
รายงานนี้มีการพูดถึงการทรมานคนเสื้อแดงโดยทหาร เช่น การเอาน้ำมันราดและข่มขู่ว่าจะเผาทั้งเป็น การที่ ศอฉ. ใช้อำนาจเผด็จการในการเรียกนักเคลื่อนไหวเข้าพบ รวมถึงนักศึกษาโดยที่ไม่ให้ทนายเข้าไปด้วย และการที่ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฟอกตัวเจ้าหน้าที่รัฐล่วงหน้าเพราะระบุว่า เจ้าหน้าที่รัฐทำอะไรก็ได้ภายใต้ พ.ร.ก.นี้ โดยที่ไม่มีความผิด การเผยแพร่แผนผัง “แนวร่วมล้มเจ้า” ของ ศอฉ. และรองนายกรัฐมนตรี สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นการกล่าวหาและข่มขู่พลเมืองโดยไม่มีหลักฐานอะไรทั้งสิ้น ทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงโดยรัฐบาลไทย
AHRC เปิดโปงระบบสองมาตรฐานในระบบยุติธรรม เช่น เรื่องของการจับกุมแม่ค้าเสื้อแดงที่ขายรองเท้าแตะ ทั้งๆ ที่ในสมัยพันธมิตรฯเคลื่อนไหวก็มีการขายรองเท้าแตะที่มีใบหน้าของอดีต นายกรัฐมนตรีทักษิณ โดยที่ไม่มีข้อกล่าวหาและการจับกุมแต่อย่างใด ในกรณีรองเท้าแตะคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของไทย ได้ทำให้เรื่องสิทธิมนุษยชนกลายเป็น “เรื่องไร้สาระ” โดยการพูดว่าการนำภาพนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ไปไว้บนรองเท้าเป็นการละเมิดสิทธิของนายอภิสิทธิ์
ผู้ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย คือ ทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล ทั้งก่อนและหลังรัฐประหาร 19 กันยา และจนถึงทุกวันนี้ไม่มีใครถูกลงโทษเพราะระบบศาลล้มเหลวในการปกป้องสิทธิ มนุษยชน ไม่ว่าจะเป็นกรณีความขัดแย้งในภาคใต้ หรือ สงครามปราบยาเสพติด หรือความขัดแย้งปัจจุบันระหว่างคนเสื้อแดง กับรัฐบาลอภิสิทธิ์
ท่ามกลางการปกป้อง “รัฐทหาร” นอกจากจะมีการจัดการกับผู้ที่เป็นปรปักษ์ต่อรัฐทหารนี้แล้ว ยังมีการข่มขู่คนที่ไม่เลือกข้างจนพื้นที่เสรีภาพในสังคมหายไป และมีการเซนเซอร์สื่ออย่างรุนแรง การรื้อฟื้น “รัฐทหาร” ในประเทศไทยครั้งนี้ มีลักษณะคล้ายคลึงกับรัฐเผด็จการเก่าในยุคเผด็จการทหาร แต่มีการพัฒนาความสามารถของรัฐในการโฆษณาชวนเชื่อ และการใช้เทคโนโลยีเพื่อปราบปรามฝ่ายตรงข้าม
ทุกวันนี้ ในการรื้อฟื้น “รัฐทหาร” ที่เน้นความมั่นคงภายใน ผู้ที่ประท้วงอย่างสันติ หรือแสดงออกด้วยวาจากับข้อเขียน เสี่ยงกับการติดคุกหลายสิบปี แต่การอุ้มฆ่าทนายสิทธิมนุษยชน การประทุษร้าย การทรมาน และจงใจฆ่า ผู้ประท้วงเสื้อแดงที่มีแต่หนังสติ๊ก ดอกไม้ไฟ ไม้ไผ่ และ ปลาร้า ได้รับคำชมและทหารผู้กระทำความผิดได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นรางวัล นี่คือประเทศไทย
อ่านฉบัยเต็มภาษาอังกฤษที่
http://www.humanrights.asia/resources/hrreport/2010/AHRC-SPR-011-2010.pdf
ที่มา.ประชาไท
**********************************************
รายงานนี้เริ่มด้วยการเสนอว่า ในไทยมีการรื้อฟื้น “รัฐทหาร” ซึ่งเน้นความมั่นคงภายใน หลังรัฐประหาร 19 กันยาเรื่อยมา มีการเพิ่มอำนาจให้กับพวกที่ต่อต้านสิทธิมนุษยชนในหน่วยงานต่างๆ ของรัฐและแม้แต่ในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของไทย AHRC มีการเรียกร้องให้สหประชาชาติยกเลิกความสัมพันธ์กับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของไทย พร้อมกันนั้น AHRC วิจารณ์การเพิกเฉยของกรรมการสิทธิฯ ขององค์กรสหประชาชาติเอง โดยสาเหตุมาจากการที่ประธานคณะกรรมการนี้เป็นคนของรัฐบาลไทย
AHRC อธิบายว่าในรัฐทหาร มีการจงใจผูกพันสถาบันกษัตริย์ กับนิยามของ “ความมั่นคงภายใน” ทั้งๆ ที่บทบาทสถาบันกษัตริย์เป็นประเด็นถกเถียงอย่างรุนแรงภายในสังคมไทยปัจจุบัน
รายงานของ AHRC กล่าวถึง ดา ตอร์ปิโด ที่ถูกจำคุก 18 ปีในข้อหาหมิ่นกษัตริย์ จีรนุช เปรมชัยพร ผู้บริหารประชาไท ที่โดนข้อกล่าวหามากมาย สมบัติ บุญงามอนงค์ (บก.ลายจุด) ที่โดนกลั่นแกล้งจากการที่เขาเป็นนักเคลื่อนไหวแบบสันติ และกรณีการอุ้มฆ่าทนาย สมชาย และ อิหม่ามในภาคใต้ ฯลฯ ในกรณีภาคใต้ผู้กระทำความผิดยังคงลอยนวลอยู่
ในกรณีการสลายการชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้า และแยกราชประสงค์ปีนี้ AHRC ฟันธงว่า รัฐบาลไทยจงใจเลือกสังหารพลเมืองเสื้อแดงที่ออกมาประท้วง โดยที่รัฐบาลใช้อาวุธสงครามรุนแรงและสไนเปอร์ เมื่อพิจารณาการประท้วงของคนเสื้อแดงครั้งนี้ มันอาจจะเป็นภัยต่อการคงอยู่ของรัฐบาล แต่ไม่มีหลักฐานอะไรทั้งสิ้นที่บ่งบอกว่าเป็นภัยต่อประเทศชาติ ดังนั้นการเข่นฆ่าประชาชนที่ราชประสงค์ไม่มีความชอบธรรมตามหลักการสิทธิมนุษยชนสากล และแม้แต่ในกรอบของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเองก็ไม่มีความชอบธรรม
รายงานนี้มีการพูดถึงการทรมานคนเสื้อแดงโดยทหาร เช่น การเอาน้ำมันราดและข่มขู่ว่าจะเผาทั้งเป็น การที่ ศอฉ. ใช้อำนาจเผด็จการในการเรียกนักเคลื่อนไหวเข้าพบ รวมถึงนักศึกษาโดยที่ไม่ให้ทนายเข้าไปด้วย และการที่ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฟอกตัวเจ้าหน้าที่รัฐล่วงหน้าเพราะระบุว่า เจ้าหน้าที่รัฐทำอะไรก็ได้ภายใต้ พ.ร.ก.นี้ โดยที่ไม่มีความผิด การเผยแพร่แผนผัง “แนวร่วมล้มเจ้า” ของ ศอฉ. และรองนายกรัฐมนตรี สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นการกล่าวหาและข่มขู่พลเมืองโดยไม่มีหลักฐานอะไรทั้งสิ้น ทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงโดยรัฐบาลไทย
AHRC เปิดโปงระบบสองมาตรฐานในระบบยุติธรรม เช่น เรื่องของการจับกุมแม่ค้าเสื้อแดงที่ขายรองเท้าแตะ ทั้งๆ ที่ในสมัยพันธมิตรฯเคลื่อนไหวก็มีการขายรองเท้าแตะที่มีใบหน้าของอดีต นายกรัฐมนตรีทักษิณ โดยที่ไม่มีข้อกล่าวหาและการจับกุมแต่อย่างใด ในกรณีรองเท้าแตะคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของไทย ได้ทำให้เรื่องสิทธิมนุษยชนกลายเป็น “เรื่องไร้สาระ” โดยการพูดว่าการนำภาพนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ไปไว้บนรองเท้าเป็นการละเมิดสิทธิของนายอภิสิทธิ์
ผู้ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย คือ ทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล ทั้งก่อนและหลังรัฐประหาร 19 กันยา และจนถึงทุกวันนี้ไม่มีใครถูกลงโทษเพราะระบบศาลล้มเหลวในการปกป้องสิทธิ มนุษยชน ไม่ว่าจะเป็นกรณีความขัดแย้งในภาคใต้ หรือ สงครามปราบยาเสพติด หรือความขัดแย้งปัจจุบันระหว่างคนเสื้อแดง กับรัฐบาลอภิสิทธิ์
ท่ามกลางการปกป้อง “รัฐทหาร” นอกจากจะมีการจัดการกับผู้ที่เป็นปรปักษ์ต่อรัฐทหารนี้แล้ว ยังมีการข่มขู่คนที่ไม่เลือกข้างจนพื้นที่เสรีภาพในสังคมหายไป และมีการเซนเซอร์สื่ออย่างรุนแรง การรื้อฟื้น “รัฐทหาร” ในประเทศไทยครั้งนี้ มีลักษณะคล้ายคลึงกับรัฐเผด็จการเก่าในยุคเผด็จการทหาร แต่มีการพัฒนาความสามารถของรัฐในการโฆษณาชวนเชื่อ และการใช้เทคโนโลยีเพื่อปราบปรามฝ่ายตรงข้าม
ทุกวันนี้ ในการรื้อฟื้น “รัฐทหาร” ที่เน้นความมั่นคงภายใน ผู้ที่ประท้วงอย่างสันติ หรือแสดงออกด้วยวาจากับข้อเขียน เสี่ยงกับการติดคุกหลายสิบปี แต่การอุ้มฆ่าทนายสิทธิมนุษยชน การประทุษร้าย การทรมาน และจงใจฆ่า ผู้ประท้วงเสื้อแดงที่มีแต่หนังสติ๊ก ดอกไม้ไฟ ไม้ไผ่ และ ปลาร้า ได้รับคำชมและทหารผู้กระทำความผิดได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นรางวัล นี่คือประเทศไทย
อ่านฉบัยเต็มภาษาอังกฤษที่
http://www.humanrights.asia/resources/hrreport/2010/AHRC-SPR-011-2010.pdf
ที่มา.ประชาไท
**********************************************
ชวรัตน์ ชาญวีรกูล ไขปมแพ้โหวตวัดใจ-โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี "หวังว่านายกรัฐมนตรีจะมีวุฒิภาวะมากขึ้น"
สัมภาษณ์พิเศษ
หากไม่มีพรรคภูมิใจไทยเป็น องค์ประกอบ รัฐบาล "เทพประทาน" ก็ยากจะ เกิดขึ้น
ตลอดเวลากว่า 2 ปีของการร่วมหอ-ลงโรง ระหว่างประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย จึงมีแต่ความราบรื่น แทบไม่มีโครงการใด ที่ภูมิใจไทยต้องการแล้วไม่ได้
แต่เมื่อประชาธิปัตย์รอดพ้นคดี ยุบพรรค-วาระการดำรงตำแหน่งอีก ไม่น้อยกว่า 9 เดือน
นาฬิกาการเมืองถูกนับถอยหลังไปสู่การเลือกตั้ง
ความสัมพันธ์ฉันพรรคร่วมจืดจาง-หมางเมิน
"นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล" หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ไขปมสัมพันธ์ร้าว
- เบื้องหลังการโหวตลงมติ ครม.ให้แก้ กฎกระทรวงมหาดไทย ฉบับที่ 22 เพื่อแก้ไขปัญหาบัตรสมาร์ทการ์ด
รัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทย งดออกเสียง ก็เพื่อป้องกันปัญหาหากมีการฟ้องร้องกันขึ้น และทุกฝ่ายจะได้ทราบจุดยืนของกระทรวงว่าไม่เห็นด้วยกับการแก้ไข กฎกระทรวงเพื่อรองรับบัตรที่ผลิตขึ้นไม่ ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ในเมื่อที่ประชุม ครม.นายกฯขอให้โหวตเพื่อให้แก้กฎกระทรวง มติส่วนใหญ่ออกมาก็ต้องกลับ ไปแก้ ถือเป็นทางออกเพื่อช่วยประหยัด งบประมาณ
- ถูกหักหน้าอย่างนี้ พรรครู้สึกเสียหน้าหรือไม่
ไม่ถือว่าพรรคภูมิใจไทยเสียหน้า แต่การที่กระทรวงมหาดไทยคัดค้านไม่รับรองบัตรสมาร์ทการ์ดที่ผลิตไม่ถูกต้องตามกฎกระทรวง เพื่อรักษาผลประโยชน์ให้ประชาชนได้ใช้บัตรที่ถูกต้อง เพราะบัตรที่ภาคเอกชนผลิตมาทำผิดกฎกระทรวง ข้อที่ 22
- ถ้าไม่เห็นด้วย ทำไมไม่โหวตสวนหรือวอล์กเอาต์
การไม่ออกเสียงก็ถือว่าเนกาทีฟ- negative (เป็นเรื่องลบ) แล้ว ที่มีมติอย่างนั้นก็แสดงให้เห็นว่าเราไม่เห็นด้วย ผมมองดูแล้วออกเสียงอย่างไรเราก็แพ้เขา (พรรคประชาธิปัตย์) วันยังค่ำ ท่านนายกรัฐมนตรีไม่น่าจะให้โหวตอยู่แล้ว เพราะถึงอย่างไรเขาก็ชนะอยู่แล้ว เราแพ้น็อกอยู่แล้ว ท่านนายกรัฐมนตรีจะให้โหวตไปทำไมไม่ทราบ
ท่านนายกรัฐมนตรีอาจจะอยากให้เห็นว่าเป็นประชาธิปไตย ผมคิดบวก ไม่อยากคิดลบให้เครียด
- ในเมื่อฝ่ายกระทรวงมหาดไทย ยืนยันโดยเอกสารในข้อเสนอเพื่อพิจารณาว่า ถ้าแก้จะผิดกฎหมาย ทำไมไม่ยืนยันให้ หนักแน่น เมื่ออภิปรายถกกันใน ครม.
เราหนักแน่น เรายืนยันว่าผิดกฎหมาย นี่ยังไม่หนักแน่นพออีกหรือ เรายืนยัน หลักการที่ถูกต้องเป็นหลัก
- ในที่ประชุมเลขาธิการสำนักงานกฤษฎีกาช่วยอธิบายว่า แก้ได้ไม่ผิดกฎหมายใช่หรือเปล่า
การแก้กฎหมายรองรับการ์ด-บัตรประชาชนที่ทำไว้แล้ว ไม่ได้ทำให้ใคร เดือดร้อน ถ้าถามว่าใครถูก ใครผิด ก็ตอบได้ว่า ถูกทั้งคู่ ฝ่ายเขา (ประชาธิปัตย์) ต้องการประหยัดงบประมาณ ฝ่ายเรา (ภูมิใจไทย) เรายึดกฎหมายเป็นหลัก
เราถือว่าเรา protect (ป้องกัน) ไว้แล้ว เราห่วงว่าจะถูกฟ้องร้องเพราะไปออกกฎกระทรวง แก้กฎหมายรองรับสิ่งที่ไม่ถูก เรา defend (ออกตัว) อีกครั้ง ประเด็นอื่นเราก็เห็นด้วยกับนายกรัฐมนตรีหมด
- ในเมื่อมหาดไทยมีหลักฐานว่าอาจจะถูกฟ้องร้อง ทำไมไม่แสดงหลักฐานออกมา
ผมไม่ทราบ ต้องไปถามท่านนายกรัฐมนตรี เพราะท่านก็ผ่านการกลั่นกรองมากแล้ว และต้องอนุมานได้ว่าการประมูลมีความโปร่งใส
- จากนี้ไปกระทรวงมหาดไทยต้องทำอย่างไร
เราก็ต้องแก้กฎหมาย เพราะเราแพ้โหวต เสียงคณะรัฐมนตรีส่วนใหญ่เขาเห็นด้วยที่จะแก้กระทรวง เมื่อ ครม.มีมติออกมาต้องรอให้กระทรวงไอซีทีส่งเรื่องมา กระทรวงมหาดไทยจะตั้งคณะกรรมการ ขึ้นมาแก้ มีกรมการปกครองเป็นเจ้าของเรื่อง คาดว่าจะเสร็จภายใน 2 สัปดาห์ แต่ขั้นตอนอื่น ๆ เช่น ขั้นตอนการพิมพ์บัตรและการส่งมอบคงต้องใช้เวลาอีก 1 เดือนจึงจะให้บริการบัตรสมาร์ทการ์ดกับประชาชนได้
- พรรคร่วมรัฐบาลที่สำคัญ 2 พรรคมีเรื่องขัดแย้งกันหนัก จะอยู่ด้วยกันไปอีกยาวหรือไม่
ไม่มีอะไรหรอกครับ ทำงานก็ต้องเห็นแย้งกัน ถ้าทำงานแล้วมีความเห็นเหมือนกันหมดก็เปลืองงบประมาณแย่
- ทำไมมีเรื่องขัดแย้งผลประโยชน์ในคณะรัฐมนตรีทีไร ต้องเป็นเรื่องระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับภูมิใจไทย
ก็เป็นเพราะ 2 พรรคนี้เป็นพรรคใหญ่ พรรคเราอันดับ 2 แต่ก็ต้องไปถามผู้กระทำ อย่ามาถามผู้ถูกกระทำ (หัวเราะ) ผมไม่น้อยใจ...ให้ตาย ไม่เลย เราต้องทำงาน มันก็เป็นอย่างนี้ตลอด สมัยก่อนผมทำธุรกิจ คุยกับลูกน้องในโต๊ะประชุม เขาเถียงกับ เราคอเป็นเอ็น แต่เราก็ต้องเข้าใจว่า ข้อมูลลูกน้องอาจจะถูกก็ได้
แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องกฎหมาย มันหมิ่นเหม่ที่จะถูกกล่าวหา เพราะฉะนั้นเราต้อง protect ตัวเอง ไม่งั้นอนาคตอาจต้อง ไปสำนักงานสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) หรือต้องไปสำนักงานป้องกันปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หลักทางด้านการบริหารราชการแผ่นดิน มันมีทุกข์มากว่าการบริหารธุรกิจเอกชนเยอะ
เปรียบเทียบกับงานภาคธุรกิจเอกชน มีการถกเถียงกัน แต่พอออกจากห้องประชุม ก็จบ แต่ราชการฝ่ายบริหารตัดสินใจอะไรไปแล้วยังมี consequence (ผลที่เกิดขึ้นตามมา) อีกเยอะ
- หากเป็นองค์กรธุรกิจ ผู้จัดการฝ่ายทะเลาะกับซีอีโอหนักทุกครั้ง ประชุมคราวหน้าจะมองหน้ากันติดหรือ
เราทะเลาะกันด้วยหลักการ ฝ่ายหนึ่งพิจารณาความจำเป็นตามหลักเศรษฐกิจ ฝ่ายหนึ่งก็ถือหลักกฎหมายไม่มีใครผิด ท่านนายกรัฐมนตรีในฐานะซีอีโอก็ต้องการประหยัดงบประมาณเพราะมันต้องใช้เงินหลายร้อยล้าน
- ท่านมีข้อสงสัยเรื่องกระทรวงไอซีทีมีเบื้องหน้าเบื้องหลังหรือไม่
เราไม่ทราบว่ากระทรวงไอซีทีไปเจรจากับใคร กระทรวงมหาดไทยมีหน้าที่พิมพ์บัตร ออกบัตร เราไม่มีหน้าที่ไป เจรจากับใคร
- 2 พรรคขัดแย้งกันหลายครั้งหลายโครงการ หากจัดตั้งรัฐบาลสมัยหน้ายังจะร่วมรัฐบาลกันได้อีกหรือไม่
ผมหวังว่าตอนนั้นท่านนายกรัฐมนตรีจะมี maturity (วุฒิภาวะ) มากขึ้น มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น (หัวเราะ)
- หมายความว่า หลังเลือกตั้งใหญ่สมัยหน้าก็ร่วมรัฐบาลกันอีก
ไม่มีปัญหา
- ในแง่พื้นที่เลือกตั้ง พรรคภูมิใจไทยก็ทำพื้นที่ภาคอีสานแทนพรรคประชาธิปัตย์หรือเปล่า
โอย...การทำพรรคการเมืองต้อง ขี้เหนียว...โลกนี้ไม่มีอะไรฟรีหรอก
- เป็นนักธุรกิจมาทำงานการเมือง ตอนนี้คิดเรื่องวางมือจากการเมืองบ้างหรือไม่
ผมอยากจะวางนะ แต่ยังไม่มีคนมาทำแทน เพราะเขาอยู่ในบ้านเลขที่ 111 บางส่วนก็อยู่ในกลุ่ม 109 คนที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง
ส่วนตัวผมไม่ค่อยซีเรียส ตอนอยู่ภาคธุรกิจโดนหนักกว่านี้ ผมยังอยู่นิ่งเฉยได้...เจ็บนะ แต่ทนได้ ก็ยึดหลักขันติให้ มากที่สุด
ตอนทำธุรกิจเป้าหมายคือกำไร สร้างผลิตภัณฑ์ของตัวเองให้ผู้ซื้อยอมรับ แต่ทำการเมืองเป้าหมายคือการสร้างพื้นที่ยุทธศาสตร์ไม่เหมือนกัน
ในใจผมไม่ได้อยากมาทำการเมือง แต่เมื่อมาทำแล้วก็ 50/50 ยังอยากจะมีอิสระ ไปไหนมาไหนได้บ้าง นี่ไปเที่ยวไหนไม่ได้เลย ออกทีวีถี่เกินไปคนจำได้หมด
- เลือกตั้งคราวหน้าพรรคภูมิใจไทย ชูนโยบายอะไรบ้าง
ผมกำลังวาง master plan (แผนแม่บท) ผมจะทำแคมเปญเลือกตั้งที่ยิ่งใหญ่มาก จะ change (เปลี่ยนแปลง) พลิกโฉมหน้าประเทศไทยอย่างชัดเจน ทำแล้วคนรากหญ้าสบายเลย ลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ ทำให้ประเทศไทยไม่มีคำว่า ยากจน ผมอยากให้ประเทศไทยมีรายได้ ต่อหัวไม่ห่างกันมาก
- คุณเนวิน ชิดชอบ ที่เป็นครูใหญ่ของพรรค ร่วมงานกับท่านได้ดี
เขาก็คิดด้วยกันกับผม เขาคิดเร็วทำเร็ว ทำงานเก่งจนทำให้คนอื่นอิจฉาเขาเยอะ ข้อเสียคือแก (เนวิน) เหยียบหลายคนขึ้นมา คนที่ถูกเหยียบไหล่ก็เลยแค้น แต่ตอนนั้นก็ไม่ค่อยมีบันไดให้เขาเหยียบเท่าไร (หัวเราะ)
- คุณเนวินมีศัตรูทางการเมืองเยอะ การเป็นรัฐบาลสมัยหน้าจะยากหรือไม่
ผมว่าสักวัน...ซึ่งก็ต้องใช้เวลานานพอควรที่จะพิสูจน์ว่าคนอย่างเขา (เนวิน) ก็อาจจะใช้มือดึงคนที่เขาเคยเหยียบไหล่ให้ขึ้นมาก็ได้ เพราะบางทีคุณเนวินแกก็เคยถูกเหยียบไหล่เหมือนกัน...แกคงเข้าใจ
- กระทรวงมหาดไทยจะขึ้นเงินเดือนให้ ผู้บริหาร อบต.ถูกประชาธิปัตย์ขวาง
การปรับเงินเดือนผู้บริหาร อบต.ไม่ได้หวังผลทางการเมืองหรือเตรียมเลือกตั้ง และไม่ใช่การหาเสียงเลือกตั้งแข่งขันกับพรรคประชาธิปัตย์ที่เตรียมขึ้นเงินเดือนข้าราชการในเดือน เม.ย. 2554 แต่เป็นการขึ้นค่าครองชีพให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจ และได้พิจารณาจาก พื้นฐานเงินเดือนค่าตอบแทนที่ผู้บริหารจะได้รับ เพราะเห็นว่ายังมีสัดส่วนที่ต่ำกว่าหน่วยงานอื่น การปรับครั้งนี้แต่ละคนจะได้รับเงินประมาณ 7,900-9,200 บาท ปรับขึ้นเพียงร้อยละ 60-70 เท่านั้น โดยใช้งบประมาณปีละกว่า 1,000 ล้านบาท หาก ส.ก.และ ส.ข.จะขึ้นเงินเดือนตาม โดยมีเหตุผลก็ต้องยอมรับ
- ที่สุดแล้วเงินเดือนของ อบต.ก็ได้ตามเสนอ เพียงแต่นายกรัฐมนตรีอยากร่วมพิจารณาในรายละเอียด
ใช่ครับ คงได้ขึ้น แต่ได้ให้อธิบดีกรม ส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นทำตารางตัวเลขเปรียบเทียบอัตราการขึ้นเงินเดือนและตัวเลขงบประมาณ เพื่อเสนอนายกฯให้ทันก่อนการประชุม ครม.สัปดาห์หน้า แต่ผมได้ลงนามการปรับขึ้นเงินเดือน ผู้บริหาร อบต.ไปแล้ว คงมีผลหลัง ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา
การขึ้นเงิน อบต.เรื่องนี้ไม่ได้เป็นการนำเรื่องเข้าพิจารณาใน ครม. แต่เป็นกรณีที่นายกรัฐมนตรีแสดงความเป็นห่วงและขอให้ยื่นตารางเปรียบเทียบค่าตอบแทนระหว่างองค์กรต่าง ๆ ทั้ง อบต. อบจ. เทศบาล และสภา กทม. ซึ่งไม่มีปัญหาอะไร
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
--------------------------------------------------------------
หากไม่มีพรรคภูมิใจไทยเป็น องค์ประกอบ รัฐบาล "เทพประทาน" ก็ยากจะ เกิดขึ้น
ตลอดเวลากว่า 2 ปีของการร่วมหอ-ลงโรง ระหว่างประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย จึงมีแต่ความราบรื่น แทบไม่มีโครงการใด ที่ภูมิใจไทยต้องการแล้วไม่ได้
แต่เมื่อประชาธิปัตย์รอดพ้นคดี ยุบพรรค-วาระการดำรงตำแหน่งอีก ไม่น้อยกว่า 9 เดือน
นาฬิกาการเมืองถูกนับถอยหลังไปสู่การเลือกตั้ง
ความสัมพันธ์ฉันพรรคร่วมจืดจาง-หมางเมิน
"นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล" หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ไขปมสัมพันธ์ร้าว
- เบื้องหลังการโหวตลงมติ ครม.ให้แก้ กฎกระทรวงมหาดไทย ฉบับที่ 22 เพื่อแก้ไขปัญหาบัตรสมาร์ทการ์ด
รัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทย งดออกเสียง ก็เพื่อป้องกันปัญหาหากมีการฟ้องร้องกันขึ้น และทุกฝ่ายจะได้ทราบจุดยืนของกระทรวงว่าไม่เห็นด้วยกับการแก้ไข กฎกระทรวงเพื่อรองรับบัตรที่ผลิตขึ้นไม่ ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ในเมื่อที่ประชุม ครม.นายกฯขอให้โหวตเพื่อให้แก้กฎกระทรวง มติส่วนใหญ่ออกมาก็ต้องกลับ ไปแก้ ถือเป็นทางออกเพื่อช่วยประหยัด งบประมาณ
- ถูกหักหน้าอย่างนี้ พรรครู้สึกเสียหน้าหรือไม่
ไม่ถือว่าพรรคภูมิใจไทยเสียหน้า แต่การที่กระทรวงมหาดไทยคัดค้านไม่รับรองบัตรสมาร์ทการ์ดที่ผลิตไม่ถูกต้องตามกฎกระทรวง เพื่อรักษาผลประโยชน์ให้ประชาชนได้ใช้บัตรที่ถูกต้อง เพราะบัตรที่ภาคเอกชนผลิตมาทำผิดกฎกระทรวง ข้อที่ 22
- ถ้าไม่เห็นด้วย ทำไมไม่โหวตสวนหรือวอล์กเอาต์
การไม่ออกเสียงก็ถือว่าเนกาทีฟ- negative (เป็นเรื่องลบ) แล้ว ที่มีมติอย่างนั้นก็แสดงให้เห็นว่าเราไม่เห็นด้วย ผมมองดูแล้วออกเสียงอย่างไรเราก็แพ้เขา (พรรคประชาธิปัตย์) วันยังค่ำ ท่านนายกรัฐมนตรีไม่น่าจะให้โหวตอยู่แล้ว เพราะถึงอย่างไรเขาก็ชนะอยู่แล้ว เราแพ้น็อกอยู่แล้ว ท่านนายกรัฐมนตรีจะให้โหวตไปทำไมไม่ทราบ
ท่านนายกรัฐมนตรีอาจจะอยากให้เห็นว่าเป็นประชาธิปไตย ผมคิดบวก ไม่อยากคิดลบให้เครียด
- ในเมื่อฝ่ายกระทรวงมหาดไทย ยืนยันโดยเอกสารในข้อเสนอเพื่อพิจารณาว่า ถ้าแก้จะผิดกฎหมาย ทำไมไม่ยืนยันให้ หนักแน่น เมื่ออภิปรายถกกันใน ครม.
เราหนักแน่น เรายืนยันว่าผิดกฎหมาย นี่ยังไม่หนักแน่นพออีกหรือ เรายืนยัน หลักการที่ถูกต้องเป็นหลัก
- ในที่ประชุมเลขาธิการสำนักงานกฤษฎีกาช่วยอธิบายว่า แก้ได้ไม่ผิดกฎหมายใช่หรือเปล่า
การแก้กฎหมายรองรับการ์ด-บัตรประชาชนที่ทำไว้แล้ว ไม่ได้ทำให้ใคร เดือดร้อน ถ้าถามว่าใครถูก ใครผิด ก็ตอบได้ว่า ถูกทั้งคู่ ฝ่ายเขา (ประชาธิปัตย์) ต้องการประหยัดงบประมาณ ฝ่ายเรา (ภูมิใจไทย) เรายึดกฎหมายเป็นหลัก
เราถือว่าเรา protect (ป้องกัน) ไว้แล้ว เราห่วงว่าจะถูกฟ้องร้องเพราะไปออกกฎกระทรวง แก้กฎหมายรองรับสิ่งที่ไม่ถูก เรา defend (ออกตัว) อีกครั้ง ประเด็นอื่นเราก็เห็นด้วยกับนายกรัฐมนตรีหมด
- ในเมื่อมหาดไทยมีหลักฐานว่าอาจจะถูกฟ้องร้อง ทำไมไม่แสดงหลักฐานออกมา
ผมไม่ทราบ ต้องไปถามท่านนายกรัฐมนตรี เพราะท่านก็ผ่านการกลั่นกรองมากแล้ว และต้องอนุมานได้ว่าการประมูลมีความโปร่งใส
- จากนี้ไปกระทรวงมหาดไทยต้องทำอย่างไร
เราก็ต้องแก้กฎหมาย เพราะเราแพ้โหวต เสียงคณะรัฐมนตรีส่วนใหญ่เขาเห็นด้วยที่จะแก้กระทรวง เมื่อ ครม.มีมติออกมาต้องรอให้กระทรวงไอซีทีส่งเรื่องมา กระทรวงมหาดไทยจะตั้งคณะกรรมการ ขึ้นมาแก้ มีกรมการปกครองเป็นเจ้าของเรื่อง คาดว่าจะเสร็จภายใน 2 สัปดาห์ แต่ขั้นตอนอื่น ๆ เช่น ขั้นตอนการพิมพ์บัตรและการส่งมอบคงต้องใช้เวลาอีก 1 เดือนจึงจะให้บริการบัตรสมาร์ทการ์ดกับประชาชนได้
- พรรคร่วมรัฐบาลที่สำคัญ 2 พรรคมีเรื่องขัดแย้งกันหนัก จะอยู่ด้วยกันไปอีกยาวหรือไม่
ไม่มีอะไรหรอกครับ ทำงานก็ต้องเห็นแย้งกัน ถ้าทำงานแล้วมีความเห็นเหมือนกันหมดก็เปลืองงบประมาณแย่
- ทำไมมีเรื่องขัดแย้งผลประโยชน์ในคณะรัฐมนตรีทีไร ต้องเป็นเรื่องระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับภูมิใจไทย
ก็เป็นเพราะ 2 พรรคนี้เป็นพรรคใหญ่ พรรคเราอันดับ 2 แต่ก็ต้องไปถามผู้กระทำ อย่ามาถามผู้ถูกกระทำ (หัวเราะ) ผมไม่น้อยใจ...ให้ตาย ไม่เลย เราต้องทำงาน มันก็เป็นอย่างนี้ตลอด สมัยก่อนผมทำธุรกิจ คุยกับลูกน้องในโต๊ะประชุม เขาเถียงกับ เราคอเป็นเอ็น แต่เราก็ต้องเข้าใจว่า ข้อมูลลูกน้องอาจจะถูกก็ได้
แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องกฎหมาย มันหมิ่นเหม่ที่จะถูกกล่าวหา เพราะฉะนั้นเราต้อง protect ตัวเอง ไม่งั้นอนาคตอาจต้อง ไปสำนักงานสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) หรือต้องไปสำนักงานป้องกันปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หลักทางด้านการบริหารราชการแผ่นดิน มันมีทุกข์มากว่าการบริหารธุรกิจเอกชนเยอะ
เปรียบเทียบกับงานภาคธุรกิจเอกชน มีการถกเถียงกัน แต่พอออกจากห้องประชุม ก็จบ แต่ราชการฝ่ายบริหารตัดสินใจอะไรไปแล้วยังมี consequence (ผลที่เกิดขึ้นตามมา) อีกเยอะ
- หากเป็นองค์กรธุรกิจ ผู้จัดการฝ่ายทะเลาะกับซีอีโอหนักทุกครั้ง ประชุมคราวหน้าจะมองหน้ากันติดหรือ
เราทะเลาะกันด้วยหลักการ ฝ่ายหนึ่งพิจารณาความจำเป็นตามหลักเศรษฐกิจ ฝ่ายหนึ่งก็ถือหลักกฎหมายไม่มีใครผิด ท่านนายกรัฐมนตรีในฐานะซีอีโอก็ต้องการประหยัดงบประมาณเพราะมันต้องใช้เงินหลายร้อยล้าน
- ท่านมีข้อสงสัยเรื่องกระทรวงไอซีทีมีเบื้องหน้าเบื้องหลังหรือไม่
เราไม่ทราบว่ากระทรวงไอซีทีไปเจรจากับใคร กระทรวงมหาดไทยมีหน้าที่พิมพ์บัตร ออกบัตร เราไม่มีหน้าที่ไป เจรจากับใคร
- 2 พรรคขัดแย้งกันหลายครั้งหลายโครงการ หากจัดตั้งรัฐบาลสมัยหน้ายังจะร่วมรัฐบาลกันได้อีกหรือไม่
ผมหวังว่าตอนนั้นท่านนายกรัฐมนตรีจะมี maturity (วุฒิภาวะ) มากขึ้น มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น (หัวเราะ)
- หมายความว่า หลังเลือกตั้งใหญ่สมัยหน้าก็ร่วมรัฐบาลกันอีก
ไม่มีปัญหา
- ในแง่พื้นที่เลือกตั้ง พรรคภูมิใจไทยก็ทำพื้นที่ภาคอีสานแทนพรรคประชาธิปัตย์หรือเปล่า
โอย...การทำพรรคการเมืองต้อง ขี้เหนียว...โลกนี้ไม่มีอะไรฟรีหรอก
- เป็นนักธุรกิจมาทำงานการเมือง ตอนนี้คิดเรื่องวางมือจากการเมืองบ้างหรือไม่
ผมอยากจะวางนะ แต่ยังไม่มีคนมาทำแทน เพราะเขาอยู่ในบ้านเลขที่ 111 บางส่วนก็อยู่ในกลุ่ม 109 คนที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง
ส่วนตัวผมไม่ค่อยซีเรียส ตอนอยู่ภาคธุรกิจโดนหนักกว่านี้ ผมยังอยู่นิ่งเฉยได้...เจ็บนะ แต่ทนได้ ก็ยึดหลักขันติให้ มากที่สุด
ตอนทำธุรกิจเป้าหมายคือกำไร สร้างผลิตภัณฑ์ของตัวเองให้ผู้ซื้อยอมรับ แต่ทำการเมืองเป้าหมายคือการสร้างพื้นที่ยุทธศาสตร์ไม่เหมือนกัน
ในใจผมไม่ได้อยากมาทำการเมือง แต่เมื่อมาทำแล้วก็ 50/50 ยังอยากจะมีอิสระ ไปไหนมาไหนได้บ้าง นี่ไปเที่ยวไหนไม่ได้เลย ออกทีวีถี่เกินไปคนจำได้หมด
- เลือกตั้งคราวหน้าพรรคภูมิใจไทย ชูนโยบายอะไรบ้าง
ผมกำลังวาง master plan (แผนแม่บท) ผมจะทำแคมเปญเลือกตั้งที่ยิ่งใหญ่มาก จะ change (เปลี่ยนแปลง) พลิกโฉมหน้าประเทศไทยอย่างชัดเจน ทำแล้วคนรากหญ้าสบายเลย ลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ ทำให้ประเทศไทยไม่มีคำว่า ยากจน ผมอยากให้ประเทศไทยมีรายได้ ต่อหัวไม่ห่างกันมาก
- คุณเนวิน ชิดชอบ ที่เป็นครูใหญ่ของพรรค ร่วมงานกับท่านได้ดี
เขาก็คิดด้วยกันกับผม เขาคิดเร็วทำเร็ว ทำงานเก่งจนทำให้คนอื่นอิจฉาเขาเยอะ ข้อเสียคือแก (เนวิน) เหยียบหลายคนขึ้นมา คนที่ถูกเหยียบไหล่ก็เลยแค้น แต่ตอนนั้นก็ไม่ค่อยมีบันไดให้เขาเหยียบเท่าไร (หัวเราะ)
- คุณเนวินมีศัตรูทางการเมืองเยอะ การเป็นรัฐบาลสมัยหน้าจะยากหรือไม่
ผมว่าสักวัน...ซึ่งก็ต้องใช้เวลานานพอควรที่จะพิสูจน์ว่าคนอย่างเขา (เนวิน) ก็อาจจะใช้มือดึงคนที่เขาเคยเหยียบไหล่ให้ขึ้นมาก็ได้ เพราะบางทีคุณเนวินแกก็เคยถูกเหยียบไหล่เหมือนกัน...แกคงเข้าใจ
- กระทรวงมหาดไทยจะขึ้นเงินเดือนให้ ผู้บริหาร อบต.ถูกประชาธิปัตย์ขวาง
การปรับเงินเดือนผู้บริหาร อบต.ไม่ได้หวังผลทางการเมืองหรือเตรียมเลือกตั้ง และไม่ใช่การหาเสียงเลือกตั้งแข่งขันกับพรรคประชาธิปัตย์ที่เตรียมขึ้นเงินเดือนข้าราชการในเดือน เม.ย. 2554 แต่เป็นการขึ้นค่าครองชีพให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจ และได้พิจารณาจาก พื้นฐานเงินเดือนค่าตอบแทนที่ผู้บริหารจะได้รับ เพราะเห็นว่ายังมีสัดส่วนที่ต่ำกว่าหน่วยงานอื่น การปรับครั้งนี้แต่ละคนจะได้รับเงินประมาณ 7,900-9,200 บาท ปรับขึ้นเพียงร้อยละ 60-70 เท่านั้น โดยใช้งบประมาณปีละกว่า 1,000 ล้านบาท หาก ส.ก.และ ส.ข.จะขึ้นเงินเดือนตาม โดยมีเหตุผลก็ต้องยอมรับ
- ที่สุดแล้วเงินเดือนของ อบต.ก็ได้ตามเสนอ เพียงแต่นายกรัฐมนตรีอยากร่วมพิจารณาในรายละเอียด
ใช่ครับ คงได้ขึ้น แต่ได้ให้อธิบดีกรม ส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นทำตารางตัวเลขเปรียบเทียบอัตราการขึ้นเงินเดือนและตัวเลขงบประมาณ เพื่อเสนอนายกฯให้ทันก่อนการประชุม ครม.สัปดาห์หน้า แต่ผมได้ลงนามการปรับขึ้นเงินเดือน ผู้บริหาร อบต.ไปแล้ว คงมีผลหลัง ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา
การขึ้นเงิน อบต.เรื่องนี้ไม่ได้เป็นการนำเรื่องเข้าพิจารณาใน ครม. แต่เป็นกรณีที่นายกรัฐมนตรีแสดงความเป็นห่วงและขอให้ยื่นตารางเปรียบเทียบค่าตอบแทนระหว่างองค์กรต่าง ๆ ทั้ง อบต. อบจ. เทศบาล และสภา กทม. ซึ่งไม่มีปัญหาอะไร
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
--------------------------------------------------------------
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)