--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

บทเรียนจากเมืองจีน: โครงข่ายรถไฟความเร็วสูงช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ-เชื่อมครอบครัวเข้าด้วยกัน



The New York Times มีบทความ “สำรวจผลกระทบจากรถไฟความเร็วสูง” ของประเทศจีน ว่าหลังจากเริ่มเปิดบริการรถไฟความเร็วสูงเมื่อ 5 ปีก่อนแล้วเป็นอย่างไร

ช่วงที่รถไฟความเร็วสูงของจีนเปิดบริการใหม่ๆ ต้องเรียกว่า “ร้าง” แต่ในปัจจุบัน สถานการณ์กลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ตั๋วที่นั่งทุกเที่ยวแทบจะถูกจองเต็ม คิวซื้อตั๋วที่สถานียาวเฟื้อย และสถานีรถไฟหลายแห่งต้องมีส่วนต่อขยายเพิ่มเพื่อรองรับผู้โดยสาร

ตอนนี้คนจีนเดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูงมากกว่าเครื่องบินโลว์คอสต์ในประเทศถึงเท่าตัว อัตราการเติบโตเฉลี่ยของผู้โดยสารในรอบ 3-4 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 28% ต่อปี

รถไฟความเร็วสูงยังทำให้การเคลื่อนย้ายแรงงานของจีนเปลี่ยนไป บทความยกตัวอย่างของคนงานทำรองเท้าคนหนึ่งในกว่างโจวที่ต้องกลับไปเยี่ยมลูกสาวที่เมืองฉางซาเป็นประจำทุกเดือน เดิมทีเธอต้องใช้เวลาเดินทางระหว่างมณฑลเป็นวัน แต่ตอนนี้เวลาเดินทางลดเหลือเพียง 2 ชั่วโมง 19 นาที

ผู้บริหารของตลาดหลักทรัพย์ในเสิ่นเจิ้นอีกคนหนึ่งเลือกเดินทางไปพบลูกค้าทั่วประเทศจีนด้วยรถไฟความเร็วสูง เขาให้เหตุผลว่าเครื่องบินมักมีปัญหาดีเลย์ เขายังบอกว่าไม่คิดว่ารถไฟความเร็วสูงจะเปลี่ยนชีวิตของคนจีนไปมากขนาดนี้ แต่ทุกวันนี้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปแล้ว

ความนิยมของรถไฟความเร็วสูงในจีนส่วนหนึ่งมาจากการตั้งราคาค่าโดยสารไม่แพงนัก โดยเทียบกับการเดินทางด้วยเครื่องบินแล้วถูกกว่ากันถึงครึ่ง และจีนก็พยายามไม่ขึ้นราคาค่าโดยสารรถไฟเลยตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ผลก็คือกระทบกับธุรกิจการบินพอสมควร ทำให้สายการบินต้องเลิกบริการเส้นทางที่ระยะน้อยกว่า 300 ไมล์ และหันไปจับตลาดการเดินทางไกลเกิน 300 ไมล์ถึง 470 ไมล์แทน

ถึงแม้รถไฟความเร็วสูงในจีนจะมีปัญหาอุบัติเหตุและคอร์รัปชั่น รวมถึงก่อให้เกิดหนี้สาธารณะปริมาณมหาศาล แต่มันก็กลายเป็นเครื่องจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศจีนไปแล้วเช่นกัน การศึกษาของธนาคารโลกระบุว่าจังหวัดต่างๆ ในจีนที่เชื่อมต่อกับรถไฟความเร็วสูง (ปัจจุบันมีมากกว่า 100 เมืองแล้ว) มีประสิทธิผลของคนทำงานเพิ่มขึ้น เนื่องจากพนักงานเดินทางสะดวกขึ้น และลูกค้าเองก็เดินทางสะดวกขึ้นด้วย

การศึกษาของธนาคารโลกพิจารณาประโยชน์ของรถไฟความเร็วสูงหลายประการ เช่น เวลาทำงานที่เพิ่มขึ้นจากการประหยัดเวลาเดินทาง มลภาวะที่ลดลงทั้งทางอากาศและทางเสียง และค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันเชื้อเพลิงที่ลดลง นอกจากนี้บริษัทต่างๆ เริ่มปรับวิธีการทำธุรกิจ โดยแรงงานฝีมือและมีการศึกษาของจีนใช้วิธีอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่อย่างปักกิ่งและเสิ่นเจิ้น แล้วนั่งรถไฟความเร็วสูงไปทำงานในเมืองรอบนอกที่ค่าแรงยังถูกเหมาะกับการตั้งโรงงานแทน

ผู้บริหารจากโรงงานเสื้อผ้าในฉางซาระบุว่า เดิมทีเขาเดินทางไปพบปะลูกค้าที่กว่างโจว ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางการค้าของจีนตอนใต้ปีละสองครั้ง แต่เมื่อมีรถไฟความเร็วสูงที่เดินทางสะดวกก็เปลี่ยนเป็นเดินทางแทบทุกเดือน ทำให้เขาปรับตัวตามกระแสแฟชั่นได้เร็วขึ้น ผลคือยอดขายเพิ่มขึ้น 50%

การก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงของจีนยังทำให้เกิด “เมืองใหม่” ที่เกิดจากการย้ายถิ่นฐานของประชากรที่บ้านเดิมถูกเวนคืนที่เพื่อทำทางรถไฟ-สถานีรถไฟ และการที่สถานีรถไฟความเร็วสูงไปตั้งที่เขตเมืองใหม่บางแห่งก็ช่วยให้เศรษฐกิจของเมืองนั้นเติบโตอย่างรวดเร็ว ตัวอย่างคือรอบสถานีรถไฟฉางซาในปัจจุบันเต็มไปด้วยการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยที่มีจุดขายเรื่อง “ใกล้สถานี”

จีนยังเตรียมรองรับการขนส่งระบบรางในเมืองมาเป็นอย่างดี โดยก่อสร้าง “รถไฟใต้ดิน” ในเมืองใหญ่หลายแห่งเพื่อเชื่อมต่อโครงข่ายการคมนาคมกับรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมระหว่างเมือง นายกรัฐมนตรีจีน Li Keqiang ยังประกาศจะลงทุนขยายโครงข่ายรถไฟเพิ่มอีก 100,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี แม้จะเผชิญปัญหาหนี้จากการสร้างรถไฟมาแล้ว 500,000 ล้านดอลลาร์ก็ตาม

บทความต้นฉบับจาก The New York Times

----------------------------------------

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

หมากกล คนเจ้าเล่ห์ !!?


โดย: ตอดนิดตอดหน่อย การบูร

จาก “ฆาตกร ๑๐๐ ศพ” พลิกมาเป็น ศูนย์กลางม๊อบ .. ในการหลบหนี ไปต่างประเทศ อย่างไม่ร่อนเร่
หากมีชนักติดหนัง สังหารหมู่ประชาชน ทั่วโลกก็ไม่ยอมรับ

เมื่อเข้าสู่โหมด เป็นโต้โผม๊อบ..ถือว่าเป็น “เหตุทางการเมือง” จะหนีไปประเทศไหน ก็ได้ครับ
ความร่ำรวยที่เป็น “อภิมหาเศรษฐี” ยามที่เล่นการเมือง กอบโกยจนหลังแอ่น...มีเงินมากมายก่ายกอง ไปอยู่แผ่นดินไหน ใช้ไม่มีหมด

ถึงบางอ้อกันแล้วสิทุกคน...ที่ลดตัวมาเป็นม๊อบข้างถนน...เพราะเขาคิดหนีถอยร่น อย่างฉลาดเป็นกรด

------------------------------
เขาเตรียมช่องหนี-ต้องตีให้แตก

“นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องแก้เกม “ฆาตกร ๑๐๐ ศพ” ให้ทะลุ ทะลวง กันอย่างเต็มแม็ก
อย่างปล่อยให้เขาใช้ เงื่อนไข เส้นทางการเมือง หลบหนี ออกไปเสวยสุข นอกประเทศ

“รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ต้องเอาข้อกฎหมาย มาเล่นงานให้อยู่หมัด กันอย่างเบ็ดเสร็จ

ต่อไปใครสั่งฆ่าคนตาย?...ก็นำเหตุว่า เกิดความขัดแย้ง ทางการเมือง หลบหนีไปเสวยสุข ได้เสร็จสรรพ
เมื่อ “ยิ่งลักษณ์” รู้แถวเต็มประตู...ต้องรับมือให้อยู่...อย่าให้มันหลบหลู่กฎหมายหนีไปได้นะครับ

--------------------------------
ความคิดบรรเจิด-แต่ไม่เกิดผล

เมื่อฝ่ายคิดนัก นักอ่าน ด้านประชาธิปไตย..เสนอไอเดียอะไรออกมา ก็ไม่เคยปฏิบัติให้เป็นจริงสักหน
ไปยอมรับในอำนาจ “เผด็จการ” ที่แฝงมาใน “รัฐธรรมนูญหน้าแหลมฟันดำ” และ “องค์กรอิสระ” ที่ถือ
ดาบจ้องประหาร กันทุกท่า

เมื่อคำตัดสินไม่ชอบ?...เราก็อย่ายอมรับดีกว่า

ที่ “นายกฯยิ่งลักษณ์” ถอยไม่เป็นขบวน...เพราะไปยอมรับในคำตัดสินนั้น อย่างดุษฎี
ไม่ยอมเขาเอง...ถึงได้เจ๊ง..หงายเก๋งซะทุกที

---------------------------------
อำนาจ-ใช้พิฆาตคนไม่ได้

“มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยิ่งแก้ตัว ยิ่งเห็นพฤติการณ์ เน่าใน

กล่าวหาประชาชนผู้รักประชาธิปไตย “เสื้อแดง” ที่ชุมนุมเมื่อ ๕๓ ที่ผ่านมา...มีอาวุธไว้ทำลายเจ้าหน้าที่
พูดเองเอ่อเอง เพื่อปัดสวะให้พ้น ในทุกกรณี

ใน “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ผู้ชุมนุม รุมทำร้ายเจ้าหน้าที่กลางวันแสก ๆ ไม่เห็นมีการใช้ “กระสุนจริง” หรือ “สไนเปอร์” เจาะกบาลผู้ที่มีทำลาย ให้ประชาชนต้องตายกลายเป็นศพ

มีการใช้กระสุนจริง....เหมือนฆ่าประชาชนทิ้ง..นี่คือสิ่งจริง ที่ได้ประสบ

---------------------------------
ต้องไม่ยอม-ให้เขาคร่อมเลน

หนุน “ขุนค้อน” สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ ที่ทำงานเป็น
รวมทั้ง “นิคม ไวยรัชพานิช” ประธานวุฒิสภาฯ ที่แอนนี้ “ตุลาการภิวัฒน์”โดย “ศาลรัฐธรรมนูญ”

สภาวะของ ฝ่ายนิติบัญญัติ ผู้ออกกฎหมาย ยอมเขาไม่ได้แล้วล่ะคุณ

เมื่อ “ตุลาการภิวัฒน์” เล่นล้ำเส้น ออฟไซด์ ไม่อยู่ในกฎกติกามารยาท ก็ไม่ต้องให้เกียรติ ซึ่งกันและกัน
ปล่อยให้เขาล้วงลูก...เปิดเกมบุก...มันไม่สนุก จริงๆ เลยนะท่าน

ที่มา.บางกอกทูเดย์
----------------------------------------

สร้างแผ่นดิน ใหม่ !!?

โดย.พญาไม้

เมื่อมีงานเฉลิมฉลองความสำเร็จหรือชัยชนะใดๆ คุณควรจะให้คนอื่นมายืนข้างหน้าของคุณ แต่เมื่อใดที่เกิดอันตรายใดๆ ขึ้น คุณควรจะออกมายืนข้างหน้า แล้วพวกเขาจะประทับใจในความเป็นผู้นำของคุณ"
เนลสัน แมนเดลา..ผู้นำการต่อสู้การแบ่งชนชั้นอันดับที่หนึ่งของงโลกในปัจจุบัน..ผู้พลิกแผ่นดินจากการปกครองของผู้กดขี่มาเป็นของผู้ถูกกดขี่..ประมุขในจิตวิญญานของคนลผิวขาวผิวดำแห่งแอฟริกาใต้

กล่าวไว้เช่นนั้น

ประเทศไทยวันนี้ต้องการวิธีคิดแบบแมนเดลา

ผู้ปกครองที่สามารถจะต้องมีวิธีคิดในแบบเดียวกัน..วิธีทำคำตอบที่ผิดนั้นมีมากมายหลายร้อยวิธี แต่วิธีทำคำตอบให้ถูกแบบสมบูรณที่สุดนั้นมีวิธีเดียว

ความแตกแยกมากมายในแผ่นดินที่เคยกลมกลืนที่สุดในโลก..รอยยิ้มที่หายไปจากแผ่นดินที่ถูกยอมรับจากคนทั้งโลกว่าเป็นแผ่นดินแห่งรอยยิ้ม..

คนไทยไม่ได้เปลี่ยนประเทศไม่ได้แปลกไปจากเก่า

วิตกจริตของคนชั้นนำ สงครามแย่งประโยชน์ของผู้มั่งคั่ง..กำลังสร้างประเทศไทยใหัเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่อยู่ตรงกันข้าม

จากกรุงแห่งเทพเป็นเมืองของมาร

เปลี่ยนเมืองที่เคยเป็นสวรรค์ให้กลายกลับเป็นเมืองนรก

เปลี่ยนคนรู้จักกันให้กลายเป็นศัตรูกัน..เปลี่ยนคนไม่รู้จักกันให้อยากหรือเข่นฆ่ากัน แค่ยืนฟังกันอยู่คนละเวที

ประชาชนทั้งหลาย..สิ่งที่พวกท่านทั้งหลายจะต้องนำกลับไปคิดหลังจากไปสดับรับฟังมาจากข้างถนน..คือการรวมตัวกันแล้วขับไล่พวกมันทั้งหมดไปให้พร้อมๆ กัน

เพราะพวกมันแย่งประโยชน์ได้ไม่จุใจ..มันจึงทะเลาะกันแล้วผลักประชาชนออกไปเข่นฆ่ากันแทนพวกมัน..

หลังจากศพของผู้ยากไร้ถูกเผาไหม้ผู้พิกลพิการจากการต่อสู้กลายเป็นปัญหาของครอบครัว
มันเป็นแค่ความขัดแย้งของผู้อิ่มสุขบนความทุกข์และการสูญเสียของผู้ยากไร้

มันจะไม่เป็นไปเช่นว่าตลอดกาล..ถ้ามวลชนต่ำใต้จะได้เรียนรู้กันขึ้นมาบ้างว่า..อนาคตของพวกเขากำหนดได้ด้วยตัวพวกเขาเอง..

ใช้ดวงตาแต่ละข้างใช้หูแต่ละฝั่ง..แล้วกลบฝังสิ่งที่ได้เห็นได้ยินไว้ใต้สติปัญญา แล้วชวนกันลุกขึ้นมาพร้อมๆ กัน

สร้างแผ่นดินใหม่ขึ้นมา ประเทศของคนยากไร้ที่ร่ำรวยความเป็นเสรี

ที่มา.บางกอกทูเดย์
////////////////////////////

คำวินิจฉัย ศาล รธน. เปิดช่อง ก.ม.ฟัน 312 ส.ส.-ส.ว.



วีรพัฒน์.ระบุคำวินิจฉัยศาลรธน. เปิดช่องทางกฎหมายดำเนินการกับ312 ส.ส. ,ส.ว.ที่ร่วมลงชื่อเสนอร่างแก้ไขรธน.ที่มาส.ว.

นายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักวิชาการอิสระ กล่าวถึงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในประเด็นที่มา ส.ว.ว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แบ่งเป็น 3 ประเด็น ประเด็นแรกมติ 6 ต่อ 3 ว่าการกระทำของ ส.ส. , ส.ว ผู้ถูกร้องมิชอบด้วยรัฐธรรมนูญ หลายมาตรา คือมาตรา122 ,มาตรา125 ,มาตรา126 ,มาตรา 291 และมาตรา 3 คือ ใช้อำนาจที่ขัดรัฐธรรมนูญทั้งกระบวนการและเนื้อหาสาระ และประเด็นที่สอง มติ 5 ต่อ 4 บอกว่า เป็นการได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศนอกวิถีทางตามรัฐธรรมนูญขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 68 และประเด็นที่สาม ศาลเห็นว่ายังไม่เข้าเงื่อนไขการยุบพรรค คำถามคือว่าต่อไปนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับการแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญที่ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของพระมหากษัตริย์

นายวีรพัฒน์ กล่าวอีกว่า ตามมาตรา 68 รัฐธรรมนูญ หากมีการกระทำที่เข้าข่ายตามมาตรา 68 ศาลต้องสั่งหยุดการกระทำ แต่กรณีนี้ศาลกลับไม่สั่งให้หยุดการกระทำ สิ่งนี้เป็นอันตราย เพราะว่าขณะนี้รัฐสภาแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเสร็จไปแล้ว ขณะนี้การกระทำที่เหลืออยู่คือกระบวนการของพระมหากษัตริย์ว่าจะทรงลงพระปรมาภิไธย หรือว่าจะพระราชทานคืนมา หรือปล่อยไว้ 90 วัน ตอนนี้ก็เลยเกิดสูญญากาศทางกฎหมายว่าศาลต้องการสื่ออะไร ดังนั้นก็ต้องติดตามทางราชเลขาธิการซึ่งเป็นผู้ถือเอกสารอยู่ว่าจะทำอย่างไรต่อไป คำวิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีผลแล้ว เมื่อศาลได้วินิจฉัยว่ากระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญมิชอบ กระบวนการขั้นตอนไม่ชอบ มีการเสียบบัตรไม่ถูกต้อง เวลาแปรญัตติน้อยเกินไป กระบวนการเหล่านี้มีความรุนแรงเข้าข่ายมาตรา 68 เป็นการได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยมิได้เป็นไปตามวิถีทางรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อเสียงเฉียดฉิว 5 ต่อ 4 จึงไม่นำไปสู่การยุบพรรค

"แต่ ส.ส., ส.ว. 312 คน ที่ร่วมลงชื่อเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มา ส.ว. ยังไม่ปลอดภัย เพราะศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่ามีการกระทำผิดหลายมาตรามาก ซึ่งทำให้กระบวนการเข้าชื่อยื่นถอดถอน ส.ส. , ส.ว ที่คุณสุเทพได้เริ่มดำเนินการไปแล้ว มีน้ำหนักขึ้นทันทีเพราะวันนี้มีการชี้ชัดจากศาลรัฐธรรมนูญแล้วว่ามีการกระทำที่ผิดต่อรัฐธรรมนูญ และเมื่อเรื่องไปถึง ป.ป.ช. ว่าเรื่องนี้มีการจงใจใช้อำนาจหน้าที่ในทางทุจริต ก็อาจโดน ป.ป.ช.ดำเนินการต่อไปได้ ดังนั้นคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้มีผลทันทีในวันนี้ต่อตัวส.ส. ส.ว. แต่ไปเปิดช่องทาง กม. ให้มีการใช้กระบวนการอื่นๆ เช่นกระบวนการถอดถอนโดยวุฒิสภา หรือกระบวนการโดย ป.ป.ช. ดำเนินการต่อไปแต่ในส่วนของวุฒิสภา เมื่อ ส.ว. ส่วนหนึ่งทำผิดเองเสียแล้ว แล้วจะวินิจฉัยว่าตัวเองทำผิดได้อย่างไร เป็นกระบวนการที่แปลกประหลาด ดังนั้น ก็ต้องรอดูว่า ป.ป.ช. จะว่าอย่างไร หรือ ผู้ตรวจการแผ่นดินจะว่าอย่างไร หรือศาลอื่นๆซึ่งอาจมีผู้นำเรื่องไปยื่นฟ้องต่อศาล หรือว่าจะไปสู่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ เพราะวันนี้ศาลรัฐธรรมนูญได้เปิดประตูไปสู่หลายสิ่งหลายอย่างที่เรายังมองไม่ออกว่าจะไปจบตรงส่วนไหน " นายวีรพัฒน์ กล่าว

นักวิชาการอิสระท่านนี้ กล่าวอีกว่า สิ่งที่ต้องจับตามองต่อไป คือ ส.ส.ฝ่ายค้าน และ ส.ว. เสียงข้างน้อยที่แพ้โหวตการแก้ไขรัฐธรรมนูญในเรื่องนี้ ก็จะไปร้องเรียนดำเนินการถอดถอน เอาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มาเดินเกมต่อให้ ป.ป.ช. ดำเนินการไต่สวน ตั้งอนุกรรมการ และชี้มูลว่าทำผิดหรือไม่

" วันนี้ศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าไม่เข้าเงื่อนไขยุบพรรค แต่ผมเสียดายที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้บอกว่าไม่เข้าเงื่อนไขที่ว่านี้คือเงื่อนไขอะไร ศาลไม่ได้แยกให้ชัดว่าอะไรคือการกระทำของพรรคการเมือง อะไรไม่ใช่การกระทำของพรรคการเมือง ทำให้กระบวนการตรงนี้คลุมเครือต่อไป "

ส่วนกรณีที่ว่ามีช่องทางให้นายกฯขอถอนร่างคืนมาหรือไม่ นายวีรพัฒน์ กล่าวว่า ในรัฐธรรมนูญไม่ได้เขียนเรื่องการถอนร่างเอาไว้ ตามรัฐธรรมนูญระบุ ว่าทันทีที่มีการนำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าถวาย เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ถ้าไปขอคืนมา ก็เป็นการกระทำนอกรัฐธรรมนูญ นำมาซึ่งการกระทำผิดอีก

"สำหรับ ส.ส. , ส.ว . 312 คนที่ร่วมลงชื่อเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มา ส.ว. ต้องแสดงความรับผิดชอบอย่างไรบ้างนั้น ต้องไปดูอุณหภูมิทางการเมืองภาคประชาชนว่ายืนข้างไหน ถ้าเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ประชาชนอาจจะยอมให้ ส.ส. ส.วปล่อยให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญตกไป แต่ถ้าจะให้แสดงความรับผิดชอบ ด้วยการลาออกคงจะยาก เพราะ ส.ส. ส.ว.ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ได้ออกมาแถลงก่อนหน้านี้แล้วว่าไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ " นายวีรพัฒน์ กล่าว

นอกจากนี้นายวีรพัฒน์ ยังกล่าวถึงประเด็นที่ว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีผลผูกพันให้ทุกองค์กรต้องปฏิบัติตามว่า หากเป็นคำวินิจฉัยที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญก็ต้องปฏิบัติตาม แต่วันนี้เมื่อสภาเชื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจวินิจฉัยเรื่องนี้ ก็ยังโต้เถียงกันได้แต่เป็นการโต้เถียงที่นอกเหนือจากเรื่องกฎหมาย แต่เป็นการโต้เถียงทางการเมือง แต่สิ่งที่จะต้องจับตาต่อไปอีกอย่างหนึ่งก็คือ จะมีการนำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับตามมาตรา 291 ที่ค้างคาอยู่ในสภามาโหวตในวาระ 3หรือไม่ เพราะว่าวันนี้ศาลรัฐธรรมนูญระบุว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราที่เกี่ยวกับ ส.ว. ผิด ทำไม่ได้เสียแล้ว และต้องดูมาตรา 270 รัฐธรรมนูญที่สามารถเข้าชื่อยื่นถอดถอน ส.ส. ส.ว 312 คน ที่ร่วมลงชื่อเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ประเด็นที่มา ส.ว.ว่ากระทำการขัดต่อรัฐธรรมนูญนูญได้และก็ต้องรอดู ป.ป.ช. ว่าจะวินิจฉัยอย่างไร จะวินิจฉัยต่างจากศาลรัฐธรรมนูญได้หรือไม่ ในเมื่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กรและเพียงแค่ ป.ป.ช. มีมติว่ามีมูลก็ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่แล้ว ซึ่งทำให้เสียงในสภาเปลี่ยนไปทันที โดยเฉพาะ ส.ส.เพื่อไทย ที่เสียงต้องหายไปมาก

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
------------------------------------------

วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

พม่า' ปลอดภัยสูงสุด

สัมภาษณ์พิเศษ : ประจวบ สุภินี อดีตอัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายการพาณิชย์ ณ กรุงย่างกุ้ง ประเทศพม่า

พม่าถือเป็นประเทศที่เนื้อหอมที่สุดในอาเซียนสำหรับการเข้าไปทำการค้า การลงทุน แต่สำหรับใครที่ยังไม่เคยไปพม่าก็คงยังนึกภาพไม่ออกว่าบรรยากาศแท้จริงในพม่าเป็นอย่างไร  มีมุมมองของ ประจวบ สุภินี อดีตอัครราชทูต ที่ปรึกษาฝ่ายการพาณิชย์ ณ กรุงย่างกุ้ง ประเทศพม่า มาเล่าสู่กันฟัง...

- อยากให้เล่าบรรยากาศในพม่าสักเล็กน้อย?

ผมไปเป็นทูตพาณิชย์ที่พม่าเมื่อปี 2551-2556 รวมระยะเวลา 5 ปี ซึ่งผมก็เหมือนกับหลายคนที่มองพม่าในด้านลบ ฝังใจว่าพม่าเป็นประเทศปิด เรารู้สึกสนิทกับลาวและกัมพูชามาก กว่าเพราะสองประเทศเปิดเผยข้อมูลมากกว่า ใน ขณะที่แทบไม่รู้จักพม่าเลย ตอนไปแรกๆ ผมมีความรู้สึกว่ามาประเทศที่ปิด แถมปกครองโดยทหาร จะทำอะไรก็คงลำบาก กลัวไปหมด แต่พอ เข้าไปถึงได้สัมผัสกับคนพม่า ไม่ใช่เลย ทุกอย่าง เขาเปิดให้กับเรา คนอื่นบอกว่าเขาปิดประเทศ แต่ตัวเขาไม่ได้ปิด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทำอะไรได้แบบอิสระเสรีทุกอย่าง ถ้าเราเข้าไปในลักษณะทำธุรกิจก็ทำธุรกิจอย่างเดียว อย่าเอาธุรกิจมายุ่งการเมือง อันนั้นไม่มีปัญหา แต่ถ้าเมื่อ ไหร่เราเข้าไปทำธุรกิจแบบอิงการเมือง อิงฝ่ายมีอำนาจ เอาคอนเซปต์แบบนี้เข้าไปไม่ได้ จะเห็น ว่าธุรกิจไทยบางธุรกิจเข้าไปตั้งแต่ 17-18 ปีแล้ว แสดงว่าเขาอยู่ได้แบบไม่มีปัญหา

อาจมีความลำบากบ้าง เช่น น้ำประปา ไฟฟ้าไม่ค่อยสมบูรณ์ ระบบอำนวยความสะดวกยังไม่ลงตัว แต่ถ้าคนไม่กลัวเรื่องนี้เข้าไปทำธุรกิจได้ เคยมีการทำวิจัย ของนักวิจัยในโลกตะวันตก ระบุว่าประเทศพม่ามีความปลอดภัยอันดับต้นๆ ของโลก หมายถึงการใช้ชีวิตประจำวันในเมือง ไม่ใช่บรรยากาศตามแนวชายแดน เราพูดถึงชีวิตประจำวันในเมือง อย่างในย่างกุ้ง ในมัณฑะเลย์ มีความปลอด-ภัยมากที่สุด ผมไปอยูที่นั่น 5 ปีไม่เคยได้ยินเรื่อง ฉกชิงวิ่งราว มีเคสเดียวคือกรณีคนท้องถิ่นข่มขืนนักท่องเที่ยวญี่ปุ่น บางคนอาจบอกว่าระบบการสื่อสารไม่ดี มีแล้วผมไม่รู้ ไม่ใช่เลย เนื่องจากผมอยู่ในระบบราชการ มีสายข่าวรายงาน ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นเราต้องรู้ จะช้าจะเร็วต้องรู้ ดูอย่างนักท่องเที่ยวไทยที่เข้า ไปท่องเที่ยวในพม่า ถ้ามีเรื่องไม่ดีเกิด ขึ้นเขาต้องนำมาบอกต่อกันอยู่แล้ว

- ฟังดูแล้วน่าเข้าไปลงทุน?

ผมอยากให้มองพม่าเป็นจังหวัด ที่ 78 ของประเทศไทย มีความคล้าย คลึงกับคนไทย แตกต่างกันเพียงเรื่องภาษา เขาสื่อสารด้วยภาษาพม่า และภาษาเผ่าอีก 100 กว่าภาษา อาหารการกินก็ไม่ต่างกัน ในน้ำมีปลา ในนา มีข้าว ปลูกผักสวนครัวเหมือนบ้านเรา แต่อาหารของเขาส่วนใหญ่จะหนักไปทางน้ำมันพืช นำเข้าน้ำมันพืชอันดับ 1 อันดับ 2 ของโลก บริโภคมากจริงๆ โดยนำเข้าจากมาเลเซีย

- สินค้าที่นำเข้าจากเมืองไทย?

มุมมองของเรามองว่าพม่าซื้อของจากเราเยอะ แต่เมื่อดูสถิติจริงๆไม่มาก เขาจะนำเข้าจากจีนค่อนข้างเยอะ นำเข้าจากเราไม่เกิน 15% เนื่อง จากการค้าขายกับจีนมีความสะดวกมากกว่า ประกอบกับโครงสร้างของรัฐบาลพม่าให้การสนับสนุนรัฐบาลจีนมากกว่าเรา

- เห็นว่าพม่าจะส่งออกข้าวแข่งกับไทย?

ที่ผ่านมาเขาปลูกเพื่อบริโภคเอง 100% ข้าว ถือเป็นสินค้ายุทธปัจจัยของพม่า เป็นสินค้าควบคุม ส่งออกบ้างแต่ไม่เสรี ส่วนคุณภาพของข้าวมีหลายเกรด แต่เฉลี่ยแล้วเป็นเกรดข้าวแข็ง ของเราเป็นข้าวหอมมะลิ ซึ่งคุณภาพเปรียบเทียบระหว่างเขากับเราใครดีกว่ากันขึ้นอยู่กับคนชอบ ถ้าคนชอบข้าวหอมมะลิก็บอกว่าของเราดีกว่า พม่าไม่มีข้าวหอมมะลิ อาจจะมีใกล้เคียงกันนิดหน่อย คุณสมบัติ ที่แตกต่างจากเราอย่างชัดเจนคือข้าวพม่าเม็ดเล็กสั้น แต่เวลาหุงจะยาวและขยายใหญ่ได้ 6 เท่า

- มีแหล่งบันเทิงยามค่ำคืนไหม?

มี แต่น้อยมาก บ้านเขายังไม่เปิดเสรีเหมือนบ้านเรา ตอนที่ผมไปอยู่กิจกรรมต่างๆ 4 ทุ่มจบ ทุก คนกลับบ้านนอน ใครจะมีสังสรรค์ก็อยู่ในบ้าน หาก จะมีเปิดบริการก็เฉพาะในโรงแรมใหญ่ๆที่อนุญาตให้เปิดได้ ร้านคาราโอเกะในย่างกุ้งมีบ้าง ในเมืองอื่นที่ยังไม่เจริญเป็นศูนย์

- รายได้ต่อหัวของคนพม่า?

สมัยก่อนต่ำมาก เนื่องจากโครงสร้างของเขา อยู่ด้วยพืชเกษตร ปลูกพืชในบ้าน หาปลาตามคลอง ระบบการใช้เงินในแต่ละวันจึงน้อยมาก ยิ่งในสังคม ต่างจังหวัดแทบจะไม่มีการใช้เงินเลย อัตราการคำนวณรายได้ต่อหัวจึงลำบาก การใช้จ่ายส่วนใหญ่ กระจุกอยู่ในเมืองใหญ่ เช่น ย่างกุ้ง อัตราค่าจ้างสมัย ก่อนประมาณวันละ 30 บาท ทุกวันนี้เพิ่มขึ้นเพราะ อุตสาหกรรมเริ่มเข้าไปมาก วันละ 90-120 บาท

- คนรวยเยอะหรือเปล่า?

ประมาณ 5-10% ของประชากรทั้งประเทศ ประชากรของเขา 60 ล้านคน อย่างไรก็ตามคนรวย บ้านเขาดูลำบากกว่าบ้านเรา บ้านเราดูคนรวยจาก ระบบไฟแนนซ์ระบบธนาคาร แต่ในพม่าเก็บข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้ คนมีเงินของพม่าส่วนใหญ่จะมีเงินเก็บ อยู่ต่างประเทศหมด เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ ดูไบ แม้แต่เมืองไทย

- นำเข้ารถยนต์มากไหม?

สมัยก่อนถือว่าเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยที่มีมูลค่าแพงอันดับ 1 ใครมีรถคนนั้นคือเศรษฐี เช่น โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ราคาประมาณ 10 ล้านบาท ที่แพงเพราะโครงสร้างจำกัดการมีรถ ใครจะมีรถต้องขอใบอนุญาต ราคาใบละ 9,000 บาท แต่หลังจากปรับ โครงสร้าง มีการเลือกตั้งใหม่ระบบเหล่านี้โดนยกเลิก หมด ทุกคนที่มีฐานะมีรถได้โดยไม่ต้องขออนุญาต ตอนนี้เลยนำเข้ามากขึ้น จากราคาแพงๆ ลดลงมาเผลอๆ ถูกกว่าบ้านเรา แต่เนื่องจากคนพม่ายังนิยมของถูก รถ 90% จึงเป็นรถมือสองจากประเทศญี่ปุ่น อายุประมาณ 5-10 ปี ไม่มีระบบไฟแนนซ์ ทุกอย่างซื้อด้วยเงินสด พอรถยนต์เยอะขึ้นการจราจรก็มีปัญหา ซึ่งกฎจราจรบ้านเขา ค่อนข้างแตกต่างจากบ้านเรา ประเด็นที่ 1 คนไม่กลัวรถ เวลาที่เราขับรถในเมือง อยู่ดีๆ คน ก็เดินข้ามถนน รถต้องหยุด ประเด็นที่ 2 บ้านเราขับรถชิดซ้าย พอถึงทางแยกเลี้ยวซ้ายผ่านตลอด เพื่อไม่ให้กีดขวางทางจราจร พม่าขับชิดขวา แต่พอถึงทางเลี้ยวขวาไม่ผ่านตลอด ต้องรอไฟเขียว เป็นเหตุให้รถติด อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ เวลาคุณไปย่างกุ้งจะไม่เห็นมอเตอร์ไซค์ เนื่อง จากสมัยก่อนมอเตอร์ไซค์กวนเมือง รัฐบาลจึงออกกฎหมายห้ามขับมอเตอร์ไซค์ในย่างกุ้ง ทุกวันนี้ยังห้ามอยู่

- มีคอนวีเนี่ยนสโตร์หรือเปล่า?

ยังไม่มี ส่วนใหญ่เป็นโชห่วย การเปิดร้าน แบบ 7-11 หรือ แฟมิลี่มาร์ท ยังไม่ได้เพราะระบบ ลอจิสติกส์ยังไม่สมบูรณ์ และระบบกระแสไฟฟ้ายังไม่เสถียร ไฟฟ้าเข้าถึงเฉพาะหัวเมืองใหญ่ๆ เนื่องจากคนยังไม่มีเงินจ่ายค่าไฟฟ้า รายได้ยังไม่ดี ชาวบ้านหลายพื้นที่ยังใช้เทียนและตะเกียง

- ระบบธนาคารเป็นยังไง?

มีทั้งหมด 17 แห่ง เป็นของรัฐบาล 3 แห่ง ที่เหลือเป็นของเอกชนชาวพม่า เขายังไม่อนุญาตให้ต่างชาติเข้าไปตั้งสาขา แต่อนาคต คงต้องเปลี่ยนเพื่อรองรับเออีซี แต่ทุกวันนี้ที่ไม่อนุญาตเพราะคนท้องถิ่นยังไม่แข็งแรงพอต่อการแข่งขัน ถ้าเขาปล่อยให้ต่างชาติเข้าไปก็จะไปเอาเปรียบคนท้องถิ่น จึงต้องทำให้คนท้องถิ่นแข็งแรงก่อน

- การลงทุนของไทยในพม่าติดท็อปเทนหรือเปล่า?

เวลาเราสำรวจข้อมูลการลงทุนในพม่าปรากฏว่ามูลค่าการลงทุนของไทยติดอันดับ 1 อันดับ 2 ผมมองว่ามีธุรกิจเดียวที่ทำให้มูลค่า สูงคือการลงทุนของ ปตท. แต่ถ้ามองภาพรวมแล้วยังสู้จีน ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ ไม่ได้ อย่าง ไรก็ตาม นักธุรกิจไทยจำนวนหนึ่งก็ลงทุนในนามคนท้องถิ่น คือใช้นอมินี เนื่องจากกฎระเบียบของ เขาให้สิทธิประโยชน์กับคนท้องถิ่นมากกว่า เช่น เรื่องระบบการเสียภาษี ใช้ไฟฟ้าราคาถูกกว่า ทำ ให้นักลงทุนจำนวนหนึ่งเข้าไปลงทุนโดยใช้คนท้องถิ่นเป็นนอมินี วันนี้อาจจะดีขึ้นมาบ้าง แต่ในทางปฏิบัติยังมีความแตกต่างอยู่

- จะมีการก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงไหม?

เขามีแพลนอยู่แล้ว เพราะญี่ปุ่นวางแนว ทางให้แล้ว โดยญี่ปุ่นจะขายรถไฟของตัวเองที่มีอายุ 5-10 ปีให้กับพม่า ได้กำไรสองต่อ คือขาย ให้พม่า และได้เข้าไปลงทุนโครงสร้างรถไฟความ เร็วสูงในพม่าด้วย

- ความประทับใจในพม่า?

พม่ามีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติเหมือนไทย คนพม่าจึงรู้สึกสนิทสนมกับคนไทย ผมมองว่าผู้ประกอบการไทยควรใช้โอกาสนี้เข้าไปลงทุนในพม่า แต่ต้องจริงใจ ไม่ใช่ฉาบฉวย

- อนาคตพม่าจะไล่ตามไทยทันหรือเปล่า?

ถ้าการเมืองไทยยังเป็นแบบนี้ ไม่เกิน 15 ปี ตามทันแน่นอน

ที่มา.สยามธุรกิจ
--------------------------------------------

หอกข้างแคร่อาเซียน..

วันนี้จะสรุปจบเรื่องความขัดแย้งเรื่องการอ้างสิทธิครอบครองเหนือเกาะแก่งต่างๆ ในทะเลจีนใต้เสียที ผมตั้งชื่อเรื่องนี้ไว้ว่า มันเป็นหอกข้างแคร่ของอาเซียนเพราะดูท่าว่าความขัดแย้งแย่งชิงกันเองในระหว่างสมาชิกของอาเซียน ด้วยกันเอง ซึ่งมี บรูไน มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ กับเวียดนาม กับจีน (มีไต้หวันรวมอยู่ด้วยแต่ไต้หวันไม่ได้อยู่ในอาเซียน) นับเป็นจุดสะดุดหนึ่งของเสาหลักเรื่องความมั่นคงของประชาคมอาเซียน

คือถ้าเป็นความขัดแย้งกันเองในอาเซียน การเจรจาทำความตกลงกันอย่างสันติ และหันมาร่วมมือสร้างโครงการพัฒนาร่วมกันขึ้นมา อย่างเช่น โครงการพัฒนาร่วมกันเรื่องแหล่งน้ำมันระหว่างไทยกับมาเลเซีย หรือที่อาจเป็นไปได้ระหว่างไทยกับกัมพูชา ในเขตพื้นที่ทับซ้อนในเขตทะเลของสองประเทศ การตกลงกันในอาเซียนก็น่าจะง่ายกว่าและตกลงกันได้มากกว่าที่จะค้างคา และตกลงอะไรกันไม่ไปถึงไหนเลย ระหว่างคู่กรณีในอาเซียนกับจีน

ที่จริงเคยคุยให้ฟังก่อนหน้านี้มาบ้างแล้ว ถึงความขัดแย้งต่างๆ ในระหว่างอาเซียนด้วยกัน ซึ่งกลายเป็นเหตุบาดหมาง ทางใจในประวัติศาสตร์ (Historical antagonism) ต่อกันตลอดมา แต่ก็จะเห็นว่าในระหว่างอาเซียนด้วยกันนั้นยังไม่เคยรบราต่อกันถึงขั้นทำสงครามต่อกันเลยตั้งแต่ก่อตั้งเป็นอาเซียนขึ้นมา

หอกข้างแคร่อาเซียนที่ผมพูดถึงสองหอกด้วยกันที่จะทิ่มแทงอาเซียน หอกหนึ่งคือหอกที่เป็นความขัดแย้งแย่งชิงผลประโยชน์จากลุ่มแม่น้ำโขง ในระหว่างประเทศอาเซียน 5 ประเทศ บนผืนแผ่นดินใหญ่ของอาเซียนกับอีกหอกหนึ่ง คือความขัดแย้ง ในทะเลจีนใต้ ซึ่งทั้งสองหอก ทั้งสองความขัดแย้งล้วนมีประเทศ สมาชิกในอาเซียนเป็นคู่กรณีกับจีนทั้งสิ้น

ความขัดแย้งทั้งสองด้านนี้เองที่ผมว่า คือหอกข้างแคร่ของอาเซียนต่อความพยายามในวิวัฒนาการของอาเซียนสู่เสาหลักเรื่องประชาคมความมั่นคงของอาเซียน เป็นสิ่งท้าทายที่ว่า ประ-ชาคมความมั่นคงของอาเซียน หรือประชาคมอาเซียนโดยรวมนั้น มันจะเป็นแต่จินตนาการหรือเป็นจริงที่จะเกิดขึ้น (Imagine or Virtual)

อาเซียนมีบรรทัดฐานที่สร้างขึ้นต่อแนวประพฤติปฏิบัติ ต่อกันในอาเซียน หรือกับประเทศคู่เจรจาต่างๆ ซึ่งได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง และบางครั้งบรรทัดฐานเหล่านั้นก็แก้ปัญหาในอาเซียนไม่ได้ ต้องนำเอากลไกนอกอาเซียนมาแก้ปัญหาให้ เช่น ศาลโลก อนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ หรือแม้แต่กฎหมายทะเลของสหประชาชาติ ค.ศ.1982 ในกรณีความขัดแย้งในทะเลจีนใต้นี้ก็ตาม

กฎจรรยาบรรณในทะเลจีนใต้ที่ประกาศร่วมกันออกนั้น สะท้อนข้อเท็จจริงที่ว่าจีนมองเห็นว่าจะต้องโอนอ่อนผ่อนตามคำประกาศนี้ เพราะการใช้การเผชิญหน้าทางทหาร ในกรณีความขัดแย้งในหมู่เกาะสแปรตลี่ย์นั้นไม่ก่อประโยชน์ให้กับผลประโยชน์ของจีนแต่อย่างใด

อีกประการหนึ่งที่จีนเห็นอาการอันเอนเอียงยอมรับประกาศ กฎจรรยาบรรณในทะเลจีนใต้มากขึ้นของจีนนั้น อาจเกิดจากจีนพอใจต่อคำประกาศนี้ ที่ไม่เอาไต้หวันเข้ามารวมเป็นคู่กรณีด้วย ข้อนี้น่าคิดได้ว่ามีส่วนทำให้จีนยอมรับและรับรองประกาศฉบับนี้ตั้งแต่ปี ค.ศ.2002 และยังคิดได้ว่าคำประกาศของฝ่ายอาเซียนเช่นนี้ ประหนึ่งอาเซียนยอมรับนโยบายจีนเดียว ของฝ่ายจีนก็เป็นได้โดยปริยาย

มีข้อถกเถียงโต้แย้งเช่นกันว่า การที่จีนยอมลดจุดยืนเรื่องหมู่เกาะสแปรตลี่ย์ลงไปบ้างนี้ เป็นเรื่องของยุทธวิธีของจีนในช่วง ที่จีนมีประเด็นของไต้หวัน ที่เป็นข้อกังวลต้องจัดการอยู่ การปล่อยวางเรื่องทางอาเซียนจะทำให้จีนมีเวลาจัดการกับเรื่องไต้หวันได้มากขึ้น นักยุทธศาสตร์ของจีนบอกว่า เหอะ! เมื่อไรที่จีนจัดการเรื่องไต้หวันเรียบร้อยแล้ว จีนก็จะหันมาจัดการเรื่องของทะเลจีนใต้อีก

เคยเขียนไว้ที่ไหนสักแห่งว่า สำหรับจีนแล้วเรื่องการเมืองในประเทศ เรื่องลัทธิคอมมิวนิสต์ และเรื่องเขตแดนของจีน ใครอย่ามาแตะต้องเชียว จีนไม่ยอมและพูดย้ำอยู่เสมอว่าจะ "บิดพลิ้วเป็นอื่นไปไม่ได้" เช่นเดียวกับการอ้างสิทธิครอบครองทะเล จีนใต้ทั้งหมดของจีน ซึ่งในที่สุดจีนไม่ปล่อยไปง่ายๆ หรอก และจะกลับมาจัดการเขตแดนของจีนในทะเลจีนใต้อีกแน่นอน

นี่ไงที่ผมบอกว่า มันจะยังเป็นหอกข้างแคร่ของอาเซียน

นักวิชาการและนักยุทธศาสตร์ทางทหารของจีน พูดถึงกรณีของเขตทะเลจีนใต้นี้ว่า มีอยู่ 3 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการที่จีนลดหรือละความพยายามชั่วคราว ไม่ให้เกิดความตึงเครียดขึ้นในเขตทะเลจีนใต้ 3 ปัจจัยที่ว่านี้ คือ

1) ความประมาทของจีน ต่อการต้องการมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อประเทศอาเซียน

2) มีความจำเป็นที่จะต้องเน้นความสำคัญเร่งด่วนของรัฐบาลต่อเรื่องอื่นๆ เช่น เรื่องไต้หวัน เป็นต้น

3) จีนต้องการหลีกเลี่ยงการแทรกแซงของฝ่ายที่สาม (ซึ่งหมายถึงสหรัฐฯ นั่นเอง) ที่จะเข้ามาแสวงประโยชน์จากความขัดแย้งเหล่านี้

แน่นอนในฝ่ายทหารของจีน ย่อมจะไม่ชอบใจนักกับการตัดสินใจของระดับการเมืองระดับสูง กับการหยุดชะลอไม่จัดการกับความขัดแย้ง และชะงักการขยายเขตแดนของจีน จุดยืนปัจจุบันของจีนนั้นดูเหมือนว่าจีนจะไม่เป็นคนแรกที่เริ่มต้นใช้กำลังในกรณีทะเลจีนใต้ และจะใช้ก็แต่เมื่อถูกยั่วยุให้ต้องตอบโต้เท่านั้น การสงครามใหญ่คงไม่มี แต่การใช้กำลัง กันปราบปรามคงหนีไม่พ้น

ในที่สุด น่าจะเห็นกันได้ว่า ภูมิหลังของเรื่องอันเกิดความ ขัดแย้งในทะเลจีนใต้ดังกล่าวเหล่านี้ กลายเป็นเรื่องกดดัน กลายเป็นเรื่องอันท้าทายต่อการจัดระเบียบของภูมิภาค (Regional Order) ของทั้งสองฝ่ายไม่ว่าจะเป็นฝ่ายจีน หรือประเทศในอาเซียนที่ต่างก็กล่าวอ้างเรียกร้องสิทธิของตนเหนือ เขตแดนหมู่เกาะในทะเลจีนใต้

ความขัดแย้งในทะเลจีนใต้นี้จะยังคงดำรงอยู่ เป็นดั่งหนึ่ง หอกข้างแคร่ของประชาคมความมั่นคงของอาเซียน ที่อาจ มองเห็นความคุกรุ่นรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ เพราะข้อกล่าวอ้างต่างก็ยืนยันขันแข็งไม่ยอมกัน แม้กระนั้นก็หวังกันว่า กฎจรรยาบรรณทะเลจีนใต้ที่สร้างขึ้นและยอมรับร่วมกันนี้จะตกลงกันได้ สารสู่สำนึกของการสร้างความมั่นคงของภูมิภาคขึ้น ในที่สุด

เฮ้อ! หวังกันไป เหนื่อย จบเรื่องนี้เท่านี้ละครับ

ที่มา.สยามธุรกิจ
---------------------------------

พันธบัตรสกุลเงินบาท : อนาคตของการเงินลุ่มแม่น้ำโขง

โดย ธีรภัทร เจริญสุข

การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Sub-Region) นั้น หากไม่นับประเทศไทยแล้ว ยังต้องพึ่งพาเงินลงทุนทั้งแบบให้เปล่าและแบบมีเงื่อนไขจากต่างประเทศอยู่มาก การที่ต้องพึ่งพาแหล่งทุนต่างชาติ เป็นเหตุให้ความต่อเนื่องและยั่งยืนของการระดมทุนมีปัญหา หากนโยบายด้านเงินทุนของชาติต่างๆ ที่เข้ามาลงทุนหยุดชะงัก หรือเกิดความเปลี่ยนแปลงด้านการเมือง

รัฐบาลของประเทศต่างๆ ในอนุภูมิภาค จึงพยายามจะก้าวออกจากระบบการเงินแบบสังคมนิยมเข้าสู่ตลาดพันธบัตร เพื่อระดมการลงทุนเป็นงบประมาณรายจ่ายภาครัฐโดยตรงโดยไม่ต้องรอเงินช่วยเหลือ เงินกู้แบบมีเงื่อนไขซึ่งผูกมัดรัฐบาลมากกว่าระบบการเงินเสรีในตลาดพันธบัตรที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ

รัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวนั้นได้ประสบความสำเร็จในการออกพันธบัตรสกุลเงินบาทเป็นประเทศแรกโดยมีกระทรวงการคลังของประเทศไทยและบริษัททวินไพนส์คอนซัลแตนทส์เป็นผู้ช่วยเหลือสนับสนุนทางเทคนิคโดยการออกพันธบัตรสกุลเงินบาทครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม 2013 มูลค่า 12 พันล้านบาท เป็นการออกพันธบัตรที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยมีผู้จองซื้อพันธบัตร ได้แก่ สถาบันการเงินต่างชาติและนักลงทุนรายใหญ่มากกว่ามูลค่าพันธบัตรที่รัฐบาลลาวได้ออกไปถึง 3 เท่าตัว ทางรัฐบาลลาวซึ่งขณะนี้ประสบปัญหาการเก็บภาษีได้ไม่ถึงเป้า จึงจำเป็นต้องออกพันธบัตรสกุลเงินบาทเพื่อปิดช่องว่างการขาดดุลงบประมาณเพิ่มเติมในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมนี้มูลค่ารวม3พันล้านบาทในอัตราดอกเบี้ย 4.7% ต่อปีสำหรับพันธบัตรอายุ 3 ปี และ 5.1% ต่อปี สำหรับพันธบัตรอายุ 5 ปี เนื่องจากรายจ่ายส่วนใหญ่ของรัฐบาลจ่ายเป็นสกุลเงินบาท และนักลงทุนต่างๆ ก็ทำการค้าในประเทศไทย ซึ่งสะดวกและทำธุรกรรมได้ง่ายและรวดเร็วกว่าการใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐหรือยูโรที่มีมาตรการทางการเงินที่เข้มงวดกว่า

อย่างไรก็ตามสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินระดับโลกเช่นมูดี้ส์ฟิตช์เรตติ้งหรือ สแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ส ยังไม่ได้เข้ามามีบทบาทจัดอันดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรสกุลเงินบาทของลาวแต่อย่างใด (อยู่ในสถานะ Unrated Papers) ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงในการลงทุนสูง เพราะแม้ว่าลาวจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยต่อปีสูงถึง 7-8% ต่อเนื่องมากว่าสิบปี แต่ผลผลิตและการจัดเก็บรายได้ของรัฐนั้นยังต่ำกว่าเกณฑ์ และมีปัญหาคอร์รัปชั่นในองค์กรของรัฐที่หนักหน่วง ซึ่งเป็นปัญหาที่รัฐบาลลาวต้องแก้ไขก่อนจะก้าวเข้าสู่ตลาดพันธบัตรระหว่างประเทศ

การนำร่องออกพันธบัตรสกุลเงินบาทของลาวอาจเป็นช่องทางให้ประเทศเมียนมาร์และกัมพูชาสามารถทำตามเพื่อระดมเงินทุนในต้นทุนต่ำเพื่อพัฒนาประเทศในช่วงเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเงินสงเคราะห์ให้เปล่าหรือเงินกู้แบบมีเงื่อนไขเพื่อหลีกเลี่ยงพันธะผูกมัดในการสัมปทานทรัพยากรธรรมชาติหรือการแก้ไขกฎหมายที่เสี่ยงต่อการแทรกแซงทางการเมืองจากต่างชาติในการนี้ประเทศไทยและสถาบันการเงินของไทยก็จะได้รับประโยชน์จากการเป็นศูนย์กลางและตัวกลางทางการเงินและการลงทุนรวมถึงความเชื่อมั่นในสกุลเงินบาทที่จะกลายเป็นสกุลเงินหลักของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงในที่สุด

เช่นเดียวกันกับการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานตามแผนพ.ร.บ.สร้างอนาคตไทย2020ของรัฐบาลไทยที่มุ่งเน้นการกู้เงินผ่านธนาคารและพันธบัตรรัฐบาลในสกุลเงินบาทเป็นหลัก เพื่อระดมทุนจากนักลงทุนภายในประเทศที่มีเงินออมสะสมส่วนเกินจำนวนมาก ซึ่งเมื่อระดมเงินทุนเพื่อการลงทุนเป็นสกุลเงินบาทแล้ว ก็สามารถลดความเสี่ยงการผันผวนของค่าเงินเมื่อสภาพเศรษฐกิจโลกและนโยบายของชาติมหาอำนาจทางการเงินเกิดความแปรปรวนได้ในระดับหนึ่งด้วย

พันธบัตรสกุลเงินบาทจึงอาจก้าวเข้ามามีบทบาทหลักในการกำหนดอนาคตด้านการเงินของประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงได้หากภาครัฐและสถาบันการเงินของไทยร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านสร้างมาตรฐานที่โปร่งใสและมั่นคงเอื้อต่อการลงทุนเพื่อพัฒนาทั้งระบบการเงินและคุณภาพชีวิตของประชาชนไปพร้อมกัน

ที่มา : นสพ.มติชน
------------------------------------------

เข็มทิศ...

โดย.พญาไม้

จะเอาชนะ..ทักษิณ ชิณวัตร..สุเทพ เทือกสุบรรณ..หากไม่มีวาระอะไรเคลือบแฝงแล้วละก้อจะต้องถอยออกให้ห่างจากถนนแล้วก็ไปประมวลกันใหม่

เหมือนใช้เครื่องนำทางค้นหาปลายทางที่จะเดินทางไป..ก่อนอื่นต้องบอกตำแหน่งที่ตั้งต้นก่อนว่าอยู่ที่ไหนจะไปจากสภาหรือข้างถนน

แล้วต้องบอกอีกว่า..จะไปโดยรถยนต์รถเก๋งหรือจะเดินไป

ต้องกำหนดปลายทางให้ใกล้เคียงความจริงมากี่สุด..เครื่องจะถามว่าในอดีตเคยไปที่ปลายทางมาก่อนหรือเปล่า..

ถ้าไม่..ปลายทางชนิดไหนที่ประสงค์จะเดินทางไป..เป็นร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยวสนามกีฬาหรือว่าปั้มน้ำมันฯลฯ

สถานที่ใกล้เคียงคืออะไร..ตัวอย่างมีเหตุการณ์ที่คล้ายเคียงกัน..ต้องเอามาเปรียบเทียบกันดูจุดแข็งจุดอ่อน

หาปลายทางพบแล้วยังต้องกำหนดลงไปว่า..จะตามทางธรรมดา ถนนลูกรังหรือทางด่วนซูปเปอร์ไฮเวย์
จากนั้นถึงกดหาเส้นทาง

ในระหว่างเดินทางหากพบความบกพร่องผิดพลาด..เครื่องมันยังทำจอดำแล้วประมวลกันใหม่เป็นครั้งไปจนกว่าจะไปถึงปลายทาง

ที่พลาดกันไปทุกครั้งที่วืดกันไปครั้งแล้วครั้งเล่า..เพราะมัวแต่มะงุมมะงาหราเหมือนตาบอดคลำช้างหาหางหาหัวทำอย่างไรก็ไม่ทั่วทั้งตัวสักที..

ทักษิณ ชิณวัตร..เป็นคนที่ประสพความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่..และอยู่ไกลเกินกว่าเครื่องนำทางเครื่องใดจะพาไปถึง

สุเทพ เทือกสุบรณ..หากไม่รู้กันหรือรู้เท่าทันทักษิณ..โอกาสจะคว้าชัยชนะริบหรี่เลือนลาง..

การเมืองข้างถนนวันนี้เป็นเวทีของทักษิณสมบูรณ์แบบ..ม็อบเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อจะไปต่อกรอะไรกับม็อบชาวนาชาวไร่..ที่มีผ้าขาวม้าผืนเดียวเป็นบ้าน.. ยังได้  !!?

ที่มา.บางกอกทูเดย์
----------------------------------------

วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ก่อสร้าง บุก CLMV

อุตสาหกรรมก่อสร้างและวัสดุก่อสร้างไทย กำหนดวิสัยทัศน์ไทยเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการผลิตวัสดุก่อสร้างทันสมัยอาเซียน กุมส่วนแบ่งตลาด 50% แนะไทยปูพื้นฐานอาเซียน เน้นเพิ่มR&D ภายใต้แผนกลยุทธ์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมในอนาคต

นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง เป็นคลัสเตอร์ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงอยู่ที่ระดับ 2 ล้านล้านบาทต่อปีคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20% ของผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) ของไทย มีทั้งผู้ประกอบการรายใหญ่ที่เป็นบริษัทระดับโลกสามารถพัฒนาศักยภาพ จนขยายธุรกิจสู่ตลาดสากล รัฐจึงกำหนดวิสัยทัศน์ ให้ประเทศไทยเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีการผลิตวัสดุก่อสร้างที่ทันสมัยที่สุดในอาเซียน โดยมีส่วนแบ่งตลาดในประชาคม เศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ไม่ต่ำกว่า 50% ภายในปี 2560 พร้อมกับการเป็นศูนย์กลาง ของการวิจัยและพัฒนา (R&D) ทางด้าน อุตสาหกรรมก่อสร้าง

นางนันทวัลย์ กล่าวต่อว่า ไทยจำเป็น ต้องส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการให้มีความเข้มแข็ง เพิ่มการวิจัยและพัฒนาด้านแรงงาน ด้านรูปแบบผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมใหม่ ในขณะเดียวกันต้องหาแนวร่วมกับหน่วยงานอื่น เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์หลากหลาย ภายใต้แผนกลยุทธ์พัฒนาเพื่อเป็นฐานสำหรับอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างในอนาคต

ทั้งนี้ การเชื่อมโยงตลาดเออีซีนับเป็นการปูรากฐานและเครือข่ายเพื่อสร้าง ความแข็งแกร่งก่อนก้าวอย่างมั่นคงในภูมิภาคอื่น โดยเน้นขยายตลาดธุรกิจก่อสร้างไปยังประเทศเพื่อนบ้าน การสร้างมูลค่าเพิ่มในผลิตภัณฑ์ การใช้ประโยชน์จากแหล่งวัตถุดิบในประเทศสมาชิกอาเซียน การเคลื่อนย้ายแรงงานได้อย่างเสรี และการปรับตัวต่อการแข่งขันในตลาดที่รุนแรงขึ้น อันเนื่องมาจากสินค้านำเข้ามีราคาที่ถูก

"เมื่อประเทศไทยเข้าสู่เออีซี แน่ นอนว่าโอกาสทางธุรกิจขนาดมหาศาล ก็รออยู่ด้วย แผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศนับเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ครั้งสำคัญ เพื่อเพิ่มขีดความ สามารถในการแข่งขันของประเทศในอนาคต และสนับสนุนการเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยเฉพาะชายแดนที่ติดกับกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม) ที่กำลังพัฒนาเมือง และโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศอย่างแข็งขัน ต่างต้องการสินค้าและวัสดุก่อสร้างของไทย เพราะเป็นที่ยอมรับเรื่องคุณภาพและมาตรฐาน" นางนันทวัลย์ กล่าว

+ พม่าตลาดใหม่ยิ่งนานยิ่งโต

นายบูรณ์ อินธิรัตน์ ผอ.สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงย่างกุ้ง เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมภาคบริการ มีศักยภาพมากในพม่า อาทิ ก่อสร้าง และ การท่องเที่ยว ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างเครือข่ายการค้าการลงทุนในธุรกิจต่อเนื่อง ได้แก่ วัสดุก่อสร้าง การตกแต่งภายใน โรงแรม ภัตตาคาร สปา สถาบันการศึกษา โรงพยาบาล คลินิกความงาม เป็นต้น โดยสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ ปูนซีเมนต์ เหล็ก เหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์ เป็นต้น

พม่าเป็นตลาดใหม่ที่นับวันจะเติบโต ขึ้นเรื่อยๆ การค้าระหว่างไทยกับพม่าในช่วง 9 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ย.) ของปีนี้ การ ส่งออกขยายตัวดีกว่า 22% คิดเป็นมูลค่า กว่า 2,777 ล้านเหรียญสหรัฐ (86,087 ล้านบาท) ขณะที่การนำเข้าขยายตัว 12% มีมูลค่า 2,912 ล้านเหรียญสหรัฐ (90,272 ล้านบาท)และทั้งปีคาดว่าจะขยายตัวได้ตามเป้าหมาย 25% ซึ่งในปี 57 ทูตพาณิชย์ ได้ประเมินในเบื้องต้นไว้ว่าจะขยายตัวราว 30% ทั้งนี้ในพม่าจะมีสถานการณ์สำคัญหลายอย่าง เช่น ในเดือนธันวาคมปีนี้จะเป็นเจ้าภาพซีเกมส์ ในปี 2558 จะมีการเลือกตั้งใหญ่ ซึ่งในปัจจุบันมีความพยายาม เปิดประเทศมากขึ้น และในปี 2557 จะเป็นประธานอาเซียน รวมทั้งเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจบิมสเทค (BIMSTEC) และการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS)

+ "WINDSOR" เจาะหัวเมืองรับโอกาส

นายธีรัตถ์ อุทยานัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท นวพลาสติกอุตสาหกรรม จำกัด เปิดเผยว่า WINDSOR ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในกลุ่มสินค้าประเภทประตูหน้าต่างไวนิล ด้วยการรุกเข้าสู่ตลาด รีเทล จากเดิมที่เน้นขายให้กับโครงการอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก ด้วยการเปิดโชว์รูม WINDSOR 25 แห่งทั่วประเทศ โดยจะเริ่มต้นเปิดตัวก่อน 4 แห่ง ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ประกอบด้วย สนามบินน้ำ รัตนาธิเบศร์ ลาดพร้าว และฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต เพื่อสร้าง experience ให้กับลูกค้า และเป็นการพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่ายเข้าสู่ผู้บริโภคโดย ตรง ขณะที่ในต่างจังหวัดอยู่ในหัวเมืองหลัก เช่น เชียงใหม่ เชียงราย ขอนแก่น อุดรธานี ภูเก็ต หาดใหญ่ เป็นต้น เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในภูมิภาค ขณะเดียวกันก็เป็นการรองรับลูกค้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ที่จะเดินทางเข้ามามากขึ้นเมื่อเป็นเออีซีด้วย

ที่มา.สยามธุรกิจ
----------------------------------

ไทยเฉยๆ

โดย ชลาทิพย์ ถิรสุนทรากุล

สถานการณ์การเมืองร้อนแรงติดตามกันวันต่อวัน ประเด็นเขยิบจากต่อต้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยเข้าสู่ประเด็นขับไล่รัฐบาล หลังจากสารพัดนักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ตั้งแต่สัปดาห์แรกที่ประชาชนออกมาชุมนุมต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแล้วว่า จังหวะนี้พรรคฝ่ายค้านอย่างประชาธิปัตย์คงพามวลชนจำนวนหนึ่งที่ยังต้องการร่วมอุดมการณ์ของพรรคปักหลักประท้วงต่อ แม้วุฒิสภาจะคว่ำร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมไปแล้ว ท่ามกลางบรรยากาศที่รัฐบาลส่งสัญญาณว่าถอยสุดซอยเช่นกัน ให้หัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลลงสัตยาบันโชว์ รวมทั้งถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรี

ในทางกฎหมายหากสภาจะหยิบมาเสนอใหม่ ยังต้องรอเวลาให้พ้น 180 วัน นั่นหมายถึงอีก 6 เดือนข้างหน้า

การชุมนุมในประเด็นนี้ต่อ จึงไม่ใช่เรื่องที่ใครจะมาว่างด้วยแล้ว...

บอกได้ชัด ๆ ว่า การถอยของร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม คือการออกมาของพลังประชาชนแน่นอน (ส่วนจะต้านแตกต่างกันในรายละเอียด เรื่องคนโกงกับเรื่องคนตายนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง)

กระนั้นไม่อาจบอกต่อไปได้อีกว่า การเคลื่อนไหวหลังจากนี้ แม้ตัวร่าง พ.ร.บ.จะกลับไปนอนแน่นิ่งแล้ว จะถูกเคลมว่าเป็นพลังของประชาชนทั้งประเทศได้อีกต่อไปอีก เมื่อสถานการณ์สัปดาห์ที่สองถูกยกระดับมาเป็นการขับไล่รัฐบาลโดยพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ


ประชาชนส่วนหนึ่งที่ชัดเจนในเรื่องคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ขีดเส้นลิมิตตัวเองไว้เพียงประเด็นนี้ ไม่ร่วมขบวนกับประชาธิปัตย์ต่อบนถนนราชดำเนิน

การเมืองของมวลชนไม่น้อยหยุดเท่านี้ เพราะกังวลผลที่ตามมาจะเป็นความขัดแย้งบานปลายของมวลชนขั้วอื่น ๆ ที่นำมาสู่ความรุนแรง บ้างก็เลือกกลับมาเป็น "ไทยเฉย" เมื่อสถานการณ์พัฒนาไปสู่สิ่งที่เรียกว่าการห้ำหั่นของนักการเมือง


ขณะที่ประชาธิปัตย์ยังหล่อเลี้ยงอารมณ์ผู้ชุมนุมให้คุกรุ่น

บรรยากาศห้วงนี้คล้ายคลึงกับช่วงปี 2548 และ 2551 ช่วงที่ผู้คนรวมตัวกันบนถนนส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งขัดแย้งกันในแนวคิดทางการเมือง และดูจะหนักกันไปเรื่อย ๆ พี่น้องคนในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน คุยกันเรื่องทัศนคติทางการเมืองด้วยกันไม่ได้ วงการบันเทิง หรือแม้กระทั่งนักธุรกิจถูกลากโยง เช่นกรณีคุณตัน ภาสกรนที ก็ต้องมาชี้แจงดับกระแสสังคมของกลุ่มสุดขั้ว


เมื่อสังคมถูกปลุกปั่นให้กลับมาขัดแย้งใหญ่ในแนวคิดกันได้อีก ประชาธิปัตย์ดูจะมีทางเลือกที่ดีก่อนหน้านี้ด้วยการหยุดตั้งแต่ความสำเร็จต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม แล้วหันมาเล่นในกติกาของสภา กลับมาใน "โลกสวย" ของกติกา แทนจะเลือกไปยัง "โลกมืด" ที่ขณะนี้ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าประเทศไทยจะไปสู่บทสรุปซอยไหน ยุบสภา ลาออก ล้มทั้งกระดาน หรือนัยทางใดรออยู่


แต่หลายภาคส่วนเริ่มเป็นกังวลและห่วงกับสถานการณ์ข้างหน้า ความน่าห่วงนี้หากประเมินความแรงของม็อบ ด้วยสไตล์ม็อบคนกรุง และประสบการณ์นำม็อบแบบที่อาจเรียกได้ว่าหน่อมแน้มของประชาธิปัตย์ว่าด้วยข้อเสนอยกระดับ หยุดงาน ชะลอจ่ายภาษี ตระเวนไปเป่านกหวีด ซึ่งก็มีอดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ 4-5 คน ไปเดินสายเป่านกหวีดไล่รัฐมนตรีบางคน

ผลตอบรับของการประกาศยกระดับ (ยกแรก) ไม่คึกคัก เพราะธรรมชาติของม็อบคนกรุงจะมาร่วมช่วงเย็นจนถึงดึกก็แยกย้าย กลางวันไปทำงาน ทั้งหมดที่ว่ามาดูเหมือนเบา ๆ หรือแม้แต่จะชำเลืองไปดูม็อบใกล้เคียงในพื้นที่แยกผ่านฟ้า-สะพานมัฆวานรังสรรค์ที่มีอดีตแกนนำพันธมิตรอย่าง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ขับเคลื่อนก็มีความเคลื่อนไหวที่เหมือนไม่สลักสำคัญ แต่ก็ดูเหมือนมีท่าที ?

ทั้งหมดทั้งมวลเวลานี้ยังไม่มีสัญญาณที่ม็อบราชดำเนิน-ผ่านฟ้า-มัฆวานฯ จะนำไปสู่อะไร ไม่แม้แต่จะเห็นความรุนแรงแบบเห็นชัด แต่เป็นอาการเบา ๆ เลี้ยงความคุกรุ่นเหมือนสถานการณ์ปี 2548 หรือช่วงปี 2551 (คดียุบ 3 พรรค) ก่อนที่จะกลายเป็นคลื่นใหญ่ในเวลาต่อมา

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////

การเมืองหลัง 20 พ.ย.

ระทึก!การเมืองไทย หลัง 20 พ.ย. ถอดถอนสู่เด็ดล็อค? หรือสุดท้ายจะนำไปสู่...เซ็ตซีโร่!

หน้าไพ่การเมืองวันนี้ แน่นอนว่ายังมิอาจมองข้ามวันพุธที่ 20 พ.ย.ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมว่าด้วยที่มาของ ส.ว.ได้ เพราะอาจเป็นจุดเปลี่ยนการเมืองอันสำคัญ และส่งผลต่อการชุมนุม 3 เวทีบนถนนราชดำเนินในขณะนี้ได้เหมือนกัน

ข้อกล่าวหาฉกรรจ์ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยคือ ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมในประเด็นที่มาของ ส.ว.นี้ เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 68 หรือไม่ นั่นหมายถึงเข้าข่ายล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองในวิถีทางที่มิได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้หรือไม่

ทางออกมีด้วยกันหลักๆ 3 ทาง คือ

1.ศาลยกคำร้อง รัฐบาลเฮ บริหารประเทศต่อ ม็อบน่าจะฝ่อ

2.ศาลวินิจฉัยว่าขัดมาตรา 68 สั่งให้เลิกกระทำ แม้จะไม่มีบทลงโทษตามมา แต่ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะถูกกดดันอย่างหนัก เนื่องจากจะถูกตั้งคำถามเรื่องการนำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าฯ โดยไม่รอฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก่อน ทั้งๆ ที่มีหลายฝ่ายเตือนแล้ว เชื่อว่าม็อบราชดำเนินจะหยิบมา "ยกระดับขับไล่" แน่นอน

3.ศาลวินิจฉัยว่าขัดมาตรา 68 นอกจากสั่งให้เลิกกระทำแล้ว ยังสั่งยุบพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้อง และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองเหล่านั้นด้วย หากออกแนวทางนี้ มีโอกาสเกิดความรุนแรงสูง เพราะมวลชนคนเสื้อแดงน่าจะไม่ยอม

ประเด็นที่ม็อบราชดำเนินวาดหวังเอาไว้ คือ แนวทางที่ 2 เพราะสามารถนำไปเล่นเกมทางกฎหมายต่อได้อีก นั่นก็คือการล่ารายชื่อประชาชนให้ได้ 2 หมื่นชื่อเพื่อยื่นถอดถอน ส.ส.และ ส.ว. 312 รายที่ร่วมกันลงชื่อเสนอญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มาของ ส.ว. ออกจากตำแหน่ง

อย่าลืมว่าขณะนี้มีการล่ารายชื่อประชาชน 2 หมื่นชื่อในส่วนของ "ภาคประชาชน" เพื่อยื่นถอดถอน ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล 310 คนที่ลงมติเห็นชอบกับร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรมฯ ฉบับสุดซอย ส่งให้ประธานวุฒิสภาดำเนินการเรียบร้อยแล้ว และยังจะมีรายชื่อประชาชน 2 หมื่นชื่อจากทาง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำม็อบราชดำเนิน ตามไปอีกในวันพุธที่ 20 พ.ย.ด้วย

เมื่อผ่านกระบวนการตรวจสอบรายชื่อเรียบร้อย ก็ต้องส่งคำร้องถอดถอนทั้ง 2 ประเด็นไปให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไต่สวนตามขั้นตอนต่อไป

คาดว่าหลังจากวันที่ 20 พ.ย.เกมนอกสภาจะเปลี่ยน หากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมาในแนวทางที่ 1 ม็อบน่าจะต้องเก็บฉาก แล้วกลับบ้านไปรอฟังผลการพิจารณาของ ป.ป.ช. แต่ถ้าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมาในแนวทางที่ 2 ต้องรอดูว่านายกฯยิ่งลักษณ์จะทนแรงเสียดทานไหวหรือไม่ ถ้าไม่ไหวก็ต้องยุบสภา ถ้าไหวก็ไปรอลุ้นผลการไต่สวนของ ป.ป.ช.เช่นกัน

หาก ป.ป.ช.เห็นว่าข้อกล่าวหามีมูล ไม่ว่าประเด็นใดประเด็นหนึ่งหรือทั้งสองประเด็น ส.ส. และ ส.ว.ที่ถูกยื่นถอดถอนต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าวุฒิสภาจะลงมติว่าจะถอดถอนออกจากตำแหน่งหรือไม่

ปัญหาก็คือ 1.ในส่วนของ ส.ส.ที่ลงมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ถ้าถูกยื่นถอดถอน ส.ว.จะลงมติ "ไม่ถอดถอน" ได้ไหม เพราะ ส.ว.เป็นผู้คว่ำร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ด้วยมติเอกฉันท์

2.ในส่วนของ ส.ส. และ ส.ว.ที่เสนอญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นที่มาของ ส.ว. หากต้องถูกถอดถอนจริง ส.ว.ที่เหลืออยู่ (กลุ่มที่ไม่ได้ร่วมเสนอญัตติ) จะมีเสียงพอที่จะถอดถอนหรือไม่ จะตีความกฎหมายเรื่ององค์ประชุมกันอย่างไร หรือใช้จำนวนสมาชิกเท่าที่มี

โอกาสที่หมากการเมืองกระดานนี้จะเดินเข้าสู่ "ตาอับ" หรือ "เดดล็อค" มีค่อนข้างสูง แม้นายกฯจะยุบสภาได้ แต่สถานะของ ส.ส.ที่ถูกยื่นถอดถอนจะเป็นอย่างไร จะลงสมัครรับเลือกตั้งได้อีกหรือไม่

หรือสุดท้ายจะนำไปสู่...เซ็ตซีโร่!

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
-----------------------------

วันจันทร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ดารา + การเมือง ทำไมต้องถ่อย !!?

หากเป็นโลกบันเทิงไทย ผลงานภาพยนตร์ที่สะท้อนให้เห็นถึงเรื่องราวของการเมืองที่เห็นได้อย่างชัดเจนเลยคือ เรื่อง “14 ตุลา สงครามประชาชน” (The Moon Hunter) ออกฉายในปี 2544 กำกับการแสดงโดย บัณฑิต ฤทธิ์ถกล

เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวประวัติของ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล อดีตผู้นำนักศึกษาในช่วงเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 กับ จิระนันท์ พิตรปรีชา ภรรยา ที่ต้องหนีภัยจากการกวาดล้างของรัฐบาล เข้าป่าไปร่วมงานกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย จนกระทั่งออกจากป่าในปี 2524

อีกเรื่องคือ “คู่กรรม 2” (Sunset at Chaophraya 2) ของ ทมยันตี ภาคต่อคู่กรรม สร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2539 กำกับการแสดงโดย บรรจง โกศัลวัฒน์ และละครโทรทัศน์ทางช่อง 3 เมื่อปี 2547 กำกับ นพดล มงคลพันธ์ ซึ่งมีเรื่องของเหตุการณ์ 14 ตุลา เข้าไปเกี่ยวข้องเช่นกัน

เป็นเรื่องการเมืองที่เข้ามาในแวดวงบันเทิง ที่สังคมรับได้เพราะเป็นเรื่องของเหตุการณ์จริง ไม่ใช่เรื่องของอารมณ์

หรือแม้แต่เรื่องของชีวิตของคนบันเทิง ที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมือง ซึ่งสมัยก่อนอาจดูเป็นเส้นขนาน แต่มาในยุคหลังๆนี้ ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา ที่มีศิลปินดารารวมทั้งคนทีวี เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสนามการเมือง ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ

อาทิ กรุง ศรีวิไล, รณ ฤทธิชัย, ยุรนันท์ ภมรมนตรี, ลีลาวดี วัชโรบล, นาตยา แดงบุหงา, เจ๋ง ดอกจิก, ดนุพร ปุณณกันต์, อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง, เอกพจน์ วงศ์นาค, ศันสนีย์ นาคพงศ์, บุญยอด สุขถิ่นไทย, แทนคุณ จิตต์อิสระ

ยังไม่รวมศิลปินดาราที่ไปเป็นหลังบ้านนักเมืองอีก อาทิ กบ-สุวนันท์ คงยิ่ง, นุสบา วานิชกูร และ กบ-ปภัสรา ชุตานุพงษ์

ทั้งหมดเป็นเรื่องที่สังคมรับได้ ส่วนว่าใครจะสอบได้สอบตก ใครจะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด หือจะต้องดราม่าจากที่เคยเชิด ให้ประชาชนวิ่งตามขอลายเซ็น กลายเป็นวิ่งตามง้อประชาชน ไหว้ดะ เพื่อขอคะแนน ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา

แต่ที่ไม่ธรรมดาก็คือ เรื่องของดารา เรื่องของคนบันเทิง ที่อินกับกระแสการแบ่งแยกแตกขั้วในสังคมไทย แล้วนอกจากจะกระโดดเข้าสู่การเลือกข้าง ซึ่งนั่นก็ว่ากันไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของประชาธิปไตย ใครจะรักจะชอบขั้วไหนถือเป็นสิทธิส่วนบุคคล ดังนั้นสังคมก็ยังพอรับได้

ที่รับไม่ได้คือประเภทที่ไม่ใช่แค่เลือกข้าง แต่ยังเลือกที่สร้างกระแสด้วยถ้อยคำแรงๆที่ไม่เหมาะสมกับการเป็นบุคคลสาธารณะ ไม่เหมาะสมกับการที่เป็นคนซึ่งควรเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับสังคม

ดาราในสายตาของประชาชนนอกจากจะไม่ควรยุ่งกับยาเสพติด ไม่ควรประพฤติผิดในกาม ยังไม่ควรที่จะใช้ถ้อยคำ กริยาที่ไม่เหมาะสม ที่เป็นผลร้ายต่อเด็ก เยาวชน และสังคม หากนำไปกระทำตาม

การวิพากษ์วิจารณ์การเมืองนั้นสามารถทำได้ สามารถพูดให้แรงในเกมได้ด้วยเหตุผล แต่ไม่ใช่การดุเด็ดเผ็ดร้อนแบบปากตลาด หรือไร้สติ ที่อาจจะทำให้ต้องมานั่งเสียใจอยู่ลึกๆในภายหลัง

ยกตัวอย่าง ตั้ว-ศรัณยู วงษ์กระจ่าง ที่เคยเข้าร่วมชุมนุมในเหตุการณ์หลายครั้ง อาทิ พฤษภาทมิฬ ปี 2535 แล้วก็การขึ้นเวทีร่วมขับไล่ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีขณะนั้น เมื่อปี 2551 แล้วก็ไปเป็นแกนนำพันธมิตร จากนั้นก็ไปเป็น 1 ใน 100 คนที่ร่วมก่อตั้ง “พรรคการเมืองใหม่” จนได้เป็นรองเลขาธิการพรรค ของกลุ่มพันธมิตร และต้องทิ้งห่างวงการบันเทิง

ว่ากันว่าผลจากการเล่นการเมืองแบบรุนแรงนี่เอง ที่ทำให้เมื่อวกกลับเข้ามาในแวดวงบันเทิง ด้วยการ กำกับภาพยนตร์เรื่อง “คนโขน” ทั้ง ๆ ที่มีเนื้อหาสะท้อนถึงศิลปวัฒนธรรมไทย แต่กลับไม่ได้รับการต้อนรับจากผู้คนเท่าที่ควร ว่ากันว่าเพราะการเข้าร่วมทางการเมืองแบ่งขั้วนั่นเอง

คนโขน จึงกลายเป็นหนังที่ทำรายได้น้อย แตกต่างจากภาพยนตร์สะท้อนศิลปวัฒนธรรมเช่นกันคือ เรื่อง “โหมโรง” ที่สร้างรายได้ในขณะนั้น ปี 2547 มากเป็นประวัติการณ์ถึงกว่า 52 ล้านบาท

สุดท้าย ตั้ว ศรัณยู ได้ออกพ็อกเกตบุ๊ก เล่าเรื่องความในใจกับเหตุการณ์ทางการเมืองถึง 3 เล่มด้วยกันคือ บันทึกบทสุดท้าย ปลายทางพันธมิตร อีกเล่มคือ ตั้วเฮีย ไม่เสียชาติเกิดที่เป็นคนไทย และเล่มที่ 3 คือ ก้าวที่พลาด ซึ่งกล่าวถึงการตัดสินใจที่ผิดพลาดในการเข้าร่วมชุมนุมทางการเมือง

ตั้วเคยเปิดใจกับรายการทีวีช่องหนึ่งเมื่อปลายปีที่แล้วว่า ช่วงแรกที่เข้าร่วมการชุมนุมนั้นในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่มีความรู้สึกนึกคิดคล้ายกับผู้ที่ชุมนุม แล้วเมื่อมีคนเห็นว่ามาเข้าร่วมด้วย จึงชวนขึ้นเวที ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจว่าจะหลบให้กำลังใจอยู่ข้างหลัง

“วันที่เข้าร่วมชุนนุมนั้น ผมเข้าใจว่าทุกคนเป็นประชาชน ผมไม่ได้แยกว่าเป็นดารา จึงไม่ได้มีการประเมินว่าทำอย่างนี้แล้วจะสุ่มเสี่ยงต่ออาชีพ”

และวันนี้ตั้ว ศรัณยู คงรู้แล้วว่า วันนี้เส้นทางในแวดวงบันเทิงเป็นเช่นไร

เช่นเดียวกับอีกหนึ่งนักแสดงที่เปิดเผยตัวตนอย่างชัดเจน คือ จอย-ศิริลักษณ์ ผ่องโชค ดารามากฝีมือที่คนเคยเชื่อว่าเธอจะอยู่ในวงการได้นาน

ปี 2549 จอยได้ร่วมชุมนุมทางการเมืองกับกลุ่มพันธมิตร แต่ไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณชนมากนัก
กระทั่งในปี 2551 จอยได้เข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองอีกครั้ง และปรากฏตัวบนเวทีการเมืองอย่างชัดเจนหลายครั้ง

เชื่อกันว่าผลจากการไปร่วมชุมนุมทางการเมืองในลักษณะของการเลือกขั้วแบ่งข้าง ส่งผลกระทบต่องานละคร เพราะทั้งผู้สร้าง ผู้กำกับ หรือแม้แต่ช่อง ไม่รู้ว่าเมื่อสร้างเสร็จออกมาแล้ว จะได้รับผลกระทบจากคนดูที่เป็นการเมืองขั้วตรงข้ามสักเพียงใด

ขณะเดียวกันนอกจากประเด็นการเมืองที่ช่องไม่กล้าเสี่ยงแล้ว จอยยังมีกรณีความขัดแย้งกับผู้จัดละครช่อง 3 กลายเป็น “พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก” จนต้องเงียบหายไปพักใหญ่ ก่อนจะมีงานละครในปี 2554 เรื่อง “ตลาดอารมณ์” ค่ายเอ็กแซ็กท์ ซึ่งเธอต้องสลัดคราบนางเอกมารับบทนางร้ายครั้งแรก จนได้รับรางวัลเมขลามหานิยมแห่งปี แต่ก็ไม่สามารถกู้ความนิยมในอดีตกลับคืนมาได้

ที่สำคัญคือ เธอได้ถูกข้อหาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย กระทั่งได้ระบายความรู้สึกผ่านเฟสบุ๊กว่า รู้สึกอึดอัดมากที่ไม่สามารถจะแสดงออกทางการเมืองได้เป็นอิสระเหมือนก่อน แต่ข้อจำกัดของคดี ไม่สามารถจะมัดความคิดทางสติปัญญาได้ จะหาหนทางออกไปแสดงความเห็นทางการเมืองต่อไป

ในเหตุการณ์ล่าสุด การคัดค้าน พรบ.นิรโทษกรรม เธอก็ยังมีการได้โพสต์ข้อความลงเฟสบุ๊ก ด้วย แต่เห็นชัดเจนว่าเป็นการโพสต์ที่มีพัฒนาการของวุฒิภาวะมากขึ้น เป็นผู้ใหญ่ขึ้นโพสต์ของเธอจึงมีคนสนใจ แต่ไม่กระฉ่อนฉาว กระแสไม่แรง ซึ่งจริงๆแล้วถือเป็นเรื่องที่เหมาะสมด้วยซ้ำ

เพราะการเมืองเป็นเรื่องของเหตุผล ความคิด ไม่ใช่เรื่องของความดิบ หรือการแสดงความหยาบคาย
แต่ดูเหมือนว่าในการต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเหมาเข่ง ซึ่งมีผู้คนมากมายหลากหลายกลุ่มที่ร่วมกันคัดค้านต่อต้าน ซึ่งแน่นอนว่าก็มีกลุ่มศิลปินดาราและคนในวงการบันเทิงทั้งเข้าร่วมชุมนุมและขึ้นเวทีปราศรัยกันมาก และก็มีดาราที่เลือกใช้ความก้าวร้าวรุนแรงในคำพูด สร้างกระแสรวมอยู่ด้วย

อย่าง แตงโม-ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ นางเอกสาวช่อง 7 ที่ขึ้นเวทีราชดำเนิน ซึ่งจริงๆก็มีดาราไปขึ้นเยอะไม่ว่าจะเป็น นก สินจัย, นก ฉัตรชัย, อ๊อฟ พงษ์พัฒน์, แดง ธัญญา, หมอก้อง สรวิชญ์, เต๊ ศตวรรษ, “อะตอม สัมพันธภาพ” นักแสดงช่อง 7, ครูโจ้ เดอะสตาร์, กบ ปภัสรา, ไก่ วรายุฑ, ท็อป ดารณีนุช, หน่อย บุษกร, เคน ธีรเดช, ตลกหยอง ลูกหยี

แต่ที่แตงโมเป็นประเด็นมากที่สุดก็เพราะการระบุที่รุนแรง พาดพิงถึง“ทักษิณ” ว่าโกงกิน ฆ่าคน สันดานทำร้ายประชาชน ไม่ต้องกลับมากราบแผ่นดินอีก สาบานขอแลกด้วยชีวิตเพื่อรักษาความสุขประเทศไทย ถ้าไม่ใช่ให้มาเหยียบหน้าได้เลย

แน่นอนว่าเมื่อเป็นสไตล์คำพูดแรงๆแบบนี้ ก็ย่อมต้องเกิดเสียงสะท้อนกลับสารพัดด้วยเช่นกัน นอกเหนือจากที่มีข่าวออกมาว่า อาจจะถูกฟ้องร้องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ

แต่ส่วนหนึ่งที่สะท้อนสวนกลับในโลกสังคมออนไลน์ก็คือ มุมมองที่รุนแรงนั้น สืบเนื่องมาจากบิดาของแตงโม คือ นายโสภณ พัชรวีระพงษ์ นั้นเคยทำงานอยู่กับหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ใช่หรือไม่???

ขณะเดียวกันหลายส่วนก็ยังมองว่า หากดูถึงบุคลิกที่ผ่านมาของแตงโม ที่เป็นดาราคนหนึ่งที่นักข่าวบันเทิงมองว่าเป็นขาวีน จนเคยมีการบอยคอตกันมาแล้ว ก็น่าจะเป็นสไตล์ส่วนตัวของแตงโมเองเสียมากกว่า คงไม่ใช่เพราะนายโสภณปลูกฝังให้ใช้ความดุเด็ดเผ็ดมันแน่

อีกคนที่ใช้ความเผ็ดร้อนในวาจาก็คือ นก สินจัย เปล่งพานิช ที่เขียนข้อความผ่านอินสตาแกรมว่า “ผิดคือผิด เลวคือเลว ไม่ต้องมาวิเคราะห์ ไม่ต้องมาทำเป็นกลาง ๆ ไม่นิรโทษโว้ยยยๆๆๆๆๆ”

จนหลายคนงงๆว่า นางเอกยอดนิยมใช้วาจาดุเดือดถึงเพียงนี้เชียวหรือ

ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับ บอย โกสิยพงษ์ นักร้อง นักแต่งเพลงชื่อดัง ซึ่งก็ไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมด้วยเช่นกัน และเช่นเดียวกับคนจำนวนมาก แต่บอยก็โพสต์ลงในเฟซบุ๊ก Boyd Kosiyabong แบบสุภาพว่า “ในฐานะประชาชนคนไทยที่ทุกคนมีสิทธิในการแสดงความคิดเห็นส่วนตัว ผมขออนุญาตแสดงความคิดเห็น ว่า ผมไม่เห็นด้วยกับ พ.ร.บ. นิรโทษกรรม ครับ”

รูปแบบของบอย มิใช่หรือที่ควรเป็นแนวทางของดารา ของบุคคลสาธารณะที่จะเป็นตัวอย่างให้กับเยาวชน

และเพราะนิยมใช้ถ้อยคำรุนแรงในโลกออนไลน์เพื่อความสะใจกันหรือไม่ จึงได้เกิดถ้อยคำรุนแรงด้วยความรำคาญของ เสก โลโซ ออกมาให้ช็อกสังคมด้วยเช่นกัน

โดยเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน นักร้องมาดเซอร์ เสก-เสกสรรค์ ศุขพิมาย หรือ เสก โลโซ ทนไม่ไหวกับความขัดแย้งในครั้งนี้ จึงฉะบรรดาแฟนๆ ที่มาโพสต์เรื่องการเมืองในเฟซบุ๊คตนเอง ว่า
"FUCK OFF! *ไอ้พวกส้นตีนเรื่องการเมืองห่าไรเนี่ย มึงไปทะเลาะกันไกลๆเฟสกูและส้นตีนกูด้วย กูร้องเพลงให้ความสุขพวกมึงก็พอแล้ว มึงจะให้กูไปเดินประท้วงหาพ่อมึงหรือไง? มึงอย่ามาคอมเม้นท์กวนตีนกูไอ้สัตว์ กูจะร้องเพลง จบ!"S. Loso ...

ทั้งหมดคือปรากฎการณ์ที่น่าเป็นห่วงของสังคมไทย ในเรื่องของการแสดงอารมณ์ที่ก้าวร้าวรุนแรง เรื่องของการใช้ถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมใช่หรือไม่ โดยเฉพาะจากคนที่เป็นบุคคลสาธารณะ

การแสดงออกถึงจุดยืนทางการเมืองนั้นไม่เสียหายอะไร แต่การใช้ถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมนี่สิ เป็นเรื่องที่ทำร้ายสังคมเช่นกันมิใช่หรือ???

ที่มา.บางกอกทูเดย์
------------------------------------