--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2556

การแทรกแซงราคาพืชผล : บทเรียนที่ต้องจดจำ !!??

การออกมาชุมนุมประท้วงราคายางพาราตกต่ำของกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราและมีอาชีพเกี่ยวกับยางพาราทั่วประเทศ จนเหตุการณ์บานปลายกลายเป็นการปิดถนน ปิดทางรถไฟ ยึดสถานที่ราชการ สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย แน่นอนว่าย่อมเป็นสิ่งที่ไม่สมควร และไม่ใช่เป็นการชุมนุมประท้วงตามสิทธิที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ ตามที่กลุ่มผู้ชุมนุม กล่าวอ้างอย่างแน่นอน

เพราะการชุมนุมดังกล่าวมีการละเมิดสิทธิของผู้อื่นอย่างชัดแจ้ง และการชุมนุมในลักษณะเช่นนี้ ถ้าเกิดขึ้นในประเทศที่พัฒนาแล้ว เจ้าหน้าที่ของรัฐย่อมมีอำนาจอย่างเต็มที่ตามกฎหมายในการเข้าสลายการชุมนุม เพื่อรักษาสิทธิของประชาชนส่วนใหญ่ไม่ให้ได้รับผลกระทบ โดยไม่จำเป็นต้องรอฟังคำสั่งจากนักการเมืองหรือรัฐบาลแต่อย่างใด ซึ่งถ้าเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ปฏิบัติหน้าที่ในการสลายการชุมนุม อาจถูกกล่าวหาฟ้องร้องจากประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม ว่าเจ้าหน้าที่มีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม เรื่องของการชุมนุมประท้วงจนบานปลาย กลายเป็นม็อบและมีการปิดถนนไปหลายแห่งนั้น สาเหตุหลักก็คือ เรื่องราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่อยู่คู่กับประเทศไทยมาเป็นเวลาช้านานแล้ว ในอดีตก็มีการประท้วงกันอยู่เป็นประจำ รัฐบาลก็แก้ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง วิธีการแก้ไขก็วนเวียนกันไปมา ระหว่างการรับจำนำ การประกันราคา การให้เงินช่วยเหลือ ฯลฯ ซึ่งก็ทำกันอยู่อย่างนี้เรื่อยมา โดยไม่สนใจที่จะแก้ไขปัญหาในระยะยาวกันแต่อย่างใด

คำถามที่น่าสนใจก็คือ ในเมื่อเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นปกติเป็นประจำ ทำไมปีนี้บรรยากาศการประท้วงจึงรุนแรงกว่าทุก ปี ทั้งๆที่ราคายางก็ยังไม่ได้ตกต่ำอะไรมากมายจนเกินไปนัก ว่า กันที่จริงราคายางที่กิโลกรัมละ 70-80 บาท ก็ยังพออยู่กันได้ เพียง แต่ไม่มีกำไรมากมายนัก แต่แน่นอนว่าถ้าเอาไปเปรียบเทียบกับ ราคาที่เคยขึ้นไปสูงสุดถึง 140-150 บาท/กก. ก็จะรู้สึกว่าราคา ตกต่ำลงมามาก แต่ก็ต้องเข้าใจด้วยว่าราคานั้นเป็นราคาที่สูงเกินปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริง และเป็นราคาที่ไม่ยั่งยืน อยู่ได้ไม่นาน

ผมมาวิเคราะห์ดูแล้วก็เห็นว่า มีปัจจัยอยู่สองประการที่ทำ ให้การประท้วงในปีนี้ค่อนข้างจะรุนแรงกว่าทุกปี คือ

1.บรรยากาศทางการเมืองที่มีการแบ่งฝ่ายกันอย่างชัดเจน ระหว่างฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาล รวมทั้งมีความพยายามที่จะปลุก ระดมมวลชนนอกสภาให้เข้าร่วมต่อสู้ทางการเมืองของพรรค การเมืองทั้งสองฝ่าย ยิ่งทำให้การต่อสู้ทางการเมืองมีความเข้มข้นมากขึ้น และลุกลามออกมานอกสภา

ถึงแม้ว่าทางฝ่ายเกษตรกรผู้ชุมนุมจะปฏิเสธว่าไม่มีนักการเมืองหรือพรรคการเมืองหนุนหลัง แต่การที่การชุมนุมมีความเข้มข้นรุนแรงมากที่สุดในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่อิทธิพลของพรรคฝ่ายค้าน ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่าการประท้วงครั้งนี้ปลอดจากการเมืองโดยสิ้นเชิง

2.นโยบายรับจำนำข้าวในราคาสูงกว่าราคาตลาดมากถึง 40% ของรัฐบาล นโยบายนี้เป็นนโยบายดาบสองคมของรัฐบาล ทางหนึ่งทำให้รัฐบาลชนะการเลือกตั้ง และเมื่อทำได้จริง ก็ได้รับความนิยมจากเกษตรกรผู้ปลูกข้าว แต่อีกทางหนึ่งก็ทำให้รัฐบาลเผชิญกับปัญหาข้าวล้นสต็อก ขายไม่ออก ขาดทุนมหาศาลจากโครงการนี้ ถูกตรวจสอบอย่างหนักจากการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว

มาคราวนี้รัฐบาลยังถูกเกษตรกรชาวสวนยางย้อนรอยว่า รัฐบาลกำลังดำเนินนโยบายสองมาตรฐานกับเกษตรกร โดยรับจำนำข้าวในราคาสูงกว่าราคาในตลาดโลกมาก แต่กับยางพารารัฐบาลกลับไม่ยอมประกันราคาหรือรับจำนำในราคาสูงเช่นเดียว กันกับข้าว แต่กลับบอกว่าต้องเป็นไปตามราคาในตลาดโลก

ตรงนี้ผมคิดว่าเป็นประเด็นสำคัญครับ และรัฐบาลคงดิ้นไม่หลุด เพราะเป็นผู้ไปผูกปัญหาเอาไว้เอง โดยลืมไปว่า การรับจำนำข้าวในราคาสูงกว่าตลาดโลกมาก จะเป็นตัวอย่าง ให้เกษตรกรผู้ปลูกพืชชนิดอื่นเรียกร้องเอาอย่างตาม

เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องที่หาทางออกลำบากครับ เพราะรัฐบาลจะไปบอกว่าเกษตรกรผู้ปลูกข้าวมีความสำคัญกว่าเกษตรกรชาวสวนยางก็พูดไม่ได้ หรือจะบอกว่าข้าวสำคัญกว่า ยางพาราก็พูดได้ไม่ถนัดปากนัก พูดมากไปจะกลายเป็นการแบ่งพื้นที่ช่วยเหลือตามพื้นที่คะแนนเสียงที่ได้รับเลือกตั้งเสีย อีก ซึ่งเป็นจุดอ่อนของพรรครัฐบาลที่ถูกโจมตีในเรื่องนี้มาโดยตลอดอยู่แล้ว

ก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องของการกำหนดนโยบายที่ไม่รอบคอบ มองไม่รอบด้านเท่าที่ควร และข้อสำคัญไม่มีความเข้าใจว่า นโยบายประชานิยมนั้น เมื่อนำมาใช้ก็เหมือนยาเสพติด มีแต่จะต้องใช้ยาแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะนโยบายอุดหนุนหรือแทรกแซงราคาสินค้าทางการเกษตรนั้นกูรูทางการตลาดเขาบอกเอาไว้แล้วว่า เป็นประชานิยมขั้นสุดยอด ทำแล้วได้คะแนนเสียงเป็นกอบเป็นกำ แต่ต้องทำให้เป็นนะครับ ถ้าทำไม่เป็น มันก็จะหันกลับมาบาดมือจนเลือดสาดแบบนี้ละครับ

อย่างที่เขาเรียกกันว่า "ประชานิยมไร้เดียงสา" ไงล่ะครับ !!!

ที่มา.สยามธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////

จัดระบบเทรดทอง สกัดค่าเงินป่วน !!??

สมาคมค้าทองเตรียมเสนอแผนตั้งศูนย์กลางตลาดค้าทองในประเทศ จัดระเบียบการซื้อขาย ลดแรงกดดันค่าเงินผันผวน ก.ล.ต.ผนึกธปท.ดูแลการเก็งกำไรค่าเงิน

นายภควต โกวิทวัฒนพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทรีนีตี้ วัฒนา ผู้ถือหุ้นใหญ่ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า สมาคมค้าทองคำมีแนวคิดจัดตั้งศูนย์กลางตลาดซื้อขายทองคำ (Gold Exchange) เพื่อให้เป็นศูนย์กลางของนักลงทุนที่ต้องการซื้อและขายทองคำแท่ง สามารถมาซื้อขายในตลาดนี้ซึ่งอยู่ภายในประเทศ เนื่องจากปัจจุบันการซื้อขายทองคำแท่งจะเป็นลักษณะนักลงทุนแต่ละรายซื้อ สั่งซื้อขายทองผ่านผู้ประกอบการแล้วผู้ประกอบการค้าทองก็จะนำเข้าทองจากต่างประเทศ

ดังนั้น หากมีตลาดซื้อขายทองคำแท่งในประเทศ เชื่อว่าจะลดแรงกดดันต่อการเคลื่อนไหวอัตราแลกเปลี่ยน เพราะการสั่งซื้อ-ขายทองคำแท่งจากต่างประเทศ จะเกี่ยวข้องกับการซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งไปกระทบกับการดูแลของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพราะทำหน้าที่ดูแลอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ เนื่องจากปริมาณการเทรดทองคำแท่งในประเทศช่วง 2-3 ปีผ่านมามีปริมาณเพิ่มมากขึ้นมาก จนติดอันดับ 3 ของเอเชีย

"หากมีตลาดซื้อขายทองคำแท่งในประเทศ ถ้านักลงทุนซื้อทองแท่งมากกว่าที่มีนักลงทุนเสนอขาย ก็ค่อยนำเข้าทองแท่งมา เฉพาะส่วนต่างระหว่างซื้อกับขาย ก็จะช่วยลดแรงกดดันเรื่องการซื้อเงินตราต่างประเทศ เพราะจะซื้อเฉพาะที่เป็นส่วนต่างกันเท่านั้น" นายภควัต กล่าว

เขายังกล่าวอีกว่า ข้อดีของการมีตลาดซื้อขายทองคำแท่ง จะเป็นการรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (เออีซี) ทำให้ต่างชาติสามารถเข้ามาซื้อขายทองในประเทศไทยได้ด้วย แทนที่ผู้ประกอบการจะออกไปเทรดต่างประเทศ เช่น ที่ตลาดสิงคโปร์ ซึ่งได้ยื่นข้อเสนอมาให้ผู้ประกอบการค้าทองในประเทศไปตั้งบริษัท เพื่อดึงรายการซื้อขายทองแท่งในไทยไป

นอกจากนี้ยังเป็นการจัดระเบียบการค้าทองในประเทศด้วย โดยอาจให้ตลาดหลักทรัพย์มาวางระบบให้ เนื่องจากตลาดหลักทรัพย์มีประสบการณ์ทั้งตลาดหุ้นและตลาดล่วงหน้า (ฟิวเจอร์ส) ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง ก็จะช่วยให้ตลาดซื้อขายล่วงหน้า มีความคึกคักเพิ่มขึ้นด้วย เนื่องจากทั้งสองตลาดจะลิงค์ถึงกันได้

อย่างไรก็ตาม ประเด็นปัญหาที่ทำให้ตลาด Gold Exchange ยังไม่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่มีใครเป็นเจ้าภาพที่จะทำหน้าที่ในการกำกับดูแลความเรียบร้อย ซึ่งที่ผ่านมาสมาคมก็เคยไปหารือกับหลายหน่วยงาน แต่ไม่มีใครรับเป็นเจ้าภาพ ทั้งที่ตลาดซื้อขายทองแท่งในประเทศปัจจุบันมีมูลค่ามหาศาล บางรายเทรดกันปีละเป็นแสนล้านบาท

"เท่าที่ผมทราบคุณจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทอง ได้มีแนวคิดการเรื่องจัดตั้งตลาดค้าทองมานานแล้วประมาณ 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่ได้เป็นข้อสรุปในสมาคมฯ รวมทั้งยังไม่มีใครรับเป็นเจ้าภาพ ในการจัดตั้งและกำกับหากตั้งเป็นตลาดค้าทองแท่งในประเทศ"นายภควัตกล่าว

ทั้งนี้ไทยเป็นหนึ่งในประเทศเอเชีย ที่นิยมการบริโภคและลงทุนทองคำอย่างมาก ซึ่งที่ผ่านมา ผู้บริหารของ ธปท. และดีลเลอร์ในตลาดเงิน ระบุตรงกันว่า ความเคลื่อนไหวของราคาทองคำ จะมีผลต่อค่าเงินบาท โดยถ้าราคาทองคำปรับตัวลง จะมีการซื้อดอลลาร์เพื่อนำไปซื้อทอง แต่ในทางกลับกัน ถ้าราคาทองคำปรับขึ้น จะทำให้มีการขายทำกำไรทอง และขายดอลลาร์ เช่นกัน

ก.ล.ต.พร้อมร่วมมือธปท.สอบเก็งกำไร

ด้าน นายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ก.ล.ต.พร้อมหารือและให้ความร่วมมือกับ ธปท. ในการกำกับดูแลผู้ประกอบการทองคำในเรื่องการเก็งกำไรค่าเงิน อย่างไรก็ตาม บทบาทหน้าที่ของก.ล.ต.กำกับดูแลเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายล่วงหน้า หรือฟิวเจอร์สเท่านั้น

ขณะที่การซื้อขายทองแท่งหรือรูปพรรณอยู่ในความดูแลของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเข้าใจว่าทาง ธปท.มีความกังวลเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ดังนั้นหาก ธปท.เห็นว่ามีส่วนใด หรือแนวทางใดที่ ก.ล.ต.ช่วยเหลือได้ ก็ยินดี ซึ่งจะต้องมีการหารือกัน แต่ ปัจจุบัน ยังไม่ได้หารือกัน และ ธปท.เอง ก็ยังไม่ได้มีการข้อมูลใดๆ เข้ามา

ย้ำดูแลเฉพาะสัญญาซื้อขายล่วงหน้า

"หากเป็นการซื้อขายทองคำที่ไม่ใช่สัญญาซื้อขายล่วงหน้า ก.ล.ต.ไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ เพราะไม่ได้อยู่ในอำนาจ ก.ล.ต. อย่างไรก็ตามปัจจุบันผู้ประกอบการที่ได้ใบอนุญาตประกอบกิจการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าจาก ก.ล.ต. ก็มีทั้งส่วนที่เป็นโบรกเกอร์ และผู้ประกอบการร้านค้าทองคำ ซึ่ง ก.ล.ต.ได้มีการประชุมหารือกับผู้ประกอบการกลุ่มนี้อยู่เสมอ ในการหารือครั้งถัดไป อาจจะมีการสอบถามพูดคุย และตักเตือนว่าไม่ควรทำอะไรที่ไม่เหมาะสม"

สำหรับการซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์สนั้น ปริมาณการซื้อขาย (วอลุ่ม) อาจจะลดลงบ้าง แต่ไม่มาก และมองว่าไม่มีความสัมพันธ์กันกับประเด็นการเก็งกำไรค่าเงินของผู้ประกอบการร้านค้าทองคำ ขณะที่จำนวนการขออนุมัติวงเงินไปลงทุนต่างประเทศ ของนักลงทุนไทยก็อยู่ในระดับปกติ

เปิด 3 ขั้นตอนสอบซื้อขายล่วงหน้าทอง

ด้าน นายธวัชชัย พิทยโสภณ ผู้อำนวยการฝ่ายงานเลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า ในการกำกับดูแลผู้ประกอบการร้านค้าทองคำนั้น ก.ล.ต.ทำได้เฉพาะในส่วนที่ ก.ล.ต.รับผิดชอบเท่านั้น โดย ก.ล.ต.จะตรวจสอบใน 3 ส่วน คือ 1.ดูว่าการซื้อขายทองคำนั้น เป็นการซื้อขายล่วงหน้าล่วงหน้าหรือไม่ 2.หากพบว่าเป็นการซื้อขายล่วงหน้า ก็ต้องเข้าไปตรวจสอบว่า ผู้ประกอบการที่ทำธุรกรรมมีใบอนุญาตที่ถูกต้อง หรือเป็นผู้ประกอบการเถื่อนหรือไม่ และ 3.หลังจากนั้นถึงจะตรวจสอบว่าได้ดำเนินธุรกิจถูกต้องตามที่ใบอนุญาตกำหนดหรือไม่

เล็งพบธปท.แจงข้อมูลค้าทอง

นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า สมาคมฯ จะขอเข้าหารือกับธปท. เพื่อชี้แจงและกำหนดแนวทางการป้องกันปัญหาการเก็งกำไรค่าเงินผ่านตลาดทองคำ ซึ่งผู้ประกอบการไม่มีการเก็งกำไรค่าเงินผ่านการซื้อขายในตลาดทองคำ เนื่องจากได้มีการทำประกันความเสี่ยงค่าเงิน ผ่านสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าอยู่แล้ว และการซื้อขายทองคำในแต่ละครั้ง จะมีการรายงานข้อมูลให้กับทาง ธปท.รับทราบ ซึ่ง ธปท.จะมีข้อมูลในส่วนนี้ชัดเจน

นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกลุ่มบริษัท แม่ทองสุก เอ็มทีเอส โกลด์ กล่าวว่า ขณะนี้สมาคมผู้นำเข้าและส่งออกทองคำ อยู่ระหว่างการรอคำตอบจากทางผู้ว่าการธปท.ว่าจะให้เข้าพบเมื่อใด เพื่อชี้แจงและทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น ยังไม่แน่ใจว่าจะได้เข้าพบภายในสัปดาห์นี้หรือไม่ ทั้งนี้ปัจจุบันสมาคมผู้นำเข้าและส่งออกทองคำ มีผู้ประกอบการร้านทองเป็นสมาชิก 7 ราย มีสัดส่วนการนำเข้าส่งออกกว่า 90% ของประเทศ

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////

สัญญาณ.เลือกตั้ง !!??

จังหวะก้าว ของสองพรรคใหญ่ เพื่อไทยและประชาธิปัตย์ ในวันนี้ มองเป็นไปอย่างอื่นได้ยาก ต่างมองไปจุดข้างหน้า...

สนามเลือกตั้งที่ต้องพร้อมรับสถานการณ์ยุบสภา ได้ตลอดเวลา "

การเคลื่อนไหวของทั้งสองพรรคการเมือง วันนี้ไม่อาจคิดเป็นไปอย่างอื่น..!

โดยเฉพาะในประเด็น โครงการลงทุน 2 ล้านล้านบาท

เพื่อไทย โดยนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะประกาศคิ๊กออฟแคมเปญโรดโชว์ จุดดีของ ร่างพ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลัง กู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ วงเงิน 2 ล้านล้านบาท ในวันที่ 26 ก.ย.2556 ก่อนที่จะ ตะลุยโรดโชว์สัญจรไปต่างจังหวัด ในเดือน ต.ค.นี้ โดยเชื่อว่าประเทศต้องลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน หลังจากที่ล่าช้ามานาน จากอุปสรรคการเมือง จึงต้องออกเป็นกฎหมายพิเศษ

ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ โดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค เสนอ “อนาคตที่เลือกได้” แนวทางการลงทุนเงิน 2 ล้านล้านบาทใน 7 ปีข้างหน้า ที่อยู่บนพื้นฐานความเชื่อว่า "เพียงถนนกับรางไม่เพียงพอ แต่ถ้าคนเข้มแข็ง อนาคตไทยเข้มแข็งได้ โดยสามารถใช้งบประมาณปกติและลงทุนทั้งด้านคมนาคม การศึกษาและสาธารณสุขด้วย"

ทั้งสองพรรคประเมินตรงกัน ช่วงสิ้นปีนี้ จะมีจุดหักเหทางการเมือง ทั้งปัญหารุมเร้าทางเศรษฐกิจ ที่จะกดดันรัฐบาล ขณะที่กฎหมายสำคัญๆ 4-5 ฉบับจะเดินเข้าสู่การพิจารณาของศาล

ทางเลือกรัฐบาลมีไม่มากนัก การเลือกตั้งเพื่อ"Restartทางการเมือง"ใหม่ ช่วงชิงความได้เปรียบ และนโยบายในการหาเสียงแน่นอนว่า ชูโครงการลงทุน 2 ล้านล้านบาท และร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม เดินหน้าแผนปรองดองของประเทศ

ฝ่ายค้านเอง ก็ประเมินเบื้องต้นแล้ว หากยังเดินแผน"ค้าน"อย่างเดียวโดยไม่มี"ข้อเสนอ" ย่อมไม่เป็นทางเลือกให้กับประชาชน ในเชิงนโยบาย หากเลือกตั้งเกิดขึ้นเมื่อไร "จะเสียเปรียบมากขึ้น" ไม่มีทั้งเงินและนโยบาย เลือกตั้งเมื่อไร ส.ส.ในสภาอาจจะหายมากกว่าปัจจุบัน

จึงเป็นที่มากับข้อเสนอ “อนาคตที่เลือกได้” กับแนวทางการลงทุนเงิน 2 ล้านล้านบาท

ทั้งสองฝ่ายจึงมองไปข้างหน้า...สู่การเลือกตั้ง

การขับเคลื่อนที่ต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้...ฝ่ายหนึ่งจึงลุยโรดโชว์ ฝ่ายหนึ่งประกาศ"ทางเลือกใหม่"...ตัดสินกันที่สนามเลือกตั้ง

ทีมา.กรุงเทพธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2556

สื่อนอกวิพากษ์ 2 นโยบายประชานิยม รบ.ไทย !!??


ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร,ประชานิยม

สื่อนอกวิพากษ์ นโยบายประชานิยม รัฐบาลยิ่งลักษณ์ "รถคันแรก-จำนำข้าว" สร้างแรงกดดันเศรษฐกิจ บิดเบือนตลาด เป็นภาระงบประมาณ

สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน การตัดสินใจของรัฐบาลไทย ที่จะยืดระยะเวลาอุดหนุนราคาข้าว และยางพาราออกไป เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการประท้วงขึ้นมานั้น นับเป็นการบ่อนทำลายความพยายามที่จะควบคุมภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้น และยังเกิดขึ้นแม้ประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย และอินโดนีเซีย ต่างลดโครงการอุดหนุนต่างๆ แล้ว

รายงานระบุว่า รัฐบาลจะต้องจ่ายเงินรวม 21,200 ล้านบาท ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา เพื่อชดเชยราคาที่ร่วงลงมา เพิ่มขึ้นอย่างมากจากระดับ 10,000 ล้านบาท ที่เคยตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ จนทำให้เกิดการประท้วงขึ้นมา ทั้งยังให้คำมั่นถึงการรับซื้อข้าวในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดต่อไปอีก 1 ปีเพาะปลูก ซึ่งคิดเป็นมูลค่าราว 270,000 ล้านบาท หลังชาวนาขู่ที่จะออกมาเดินขบวนประท้วง

ปริมาณเงินอุดหนุนดังกล่าว อาจทำให้แผนการของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่จะจัดทำงบประมาณสมดุลภายในปี 2560 ต้องชะลอออกไป และทำให้สัดส่วนหนี้ต่อจีดีพี ทะยานขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 44.3% ในเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา จากระดับ 38.2 % ช่วงสิ้นปี 2551

นายยูเบน พาราคูลเลส นักเศรษฐศาสตร์จากโนมูระ โฮลดิ้งส์ อิงค์ ในสิงคโปร์ แสดงความเห็นว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นค่อนข้างจะประหลาด เมื่อพิจารณาจากความต้องการของผู้ประท้วง โดยรัฐบาลมีพื้นที่เหลืออีกไม่มานักสำหรับการอุดหนุนราคาสินค้าเกษตรดังกล่าว ความเสี่ยงของเรื่องนี้ ยังอยู่ตรงที่ว่า กลุ่มผู้ประท้วงอาจขยายวงออกไป และยิ่งการประท้วงยืดเยื้อไปนานเท่าใด ก็จะยิ่งสร้างความกังวลมากเท่านั้น และยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้กับเศรษฐกิจที่อ่อนแออยู่แล้ว

ทั้งนี้ นับแต่เดือนต.ค. 2554 เป็นต้นมา รัฐบาลไทยจ่ายเงินไปแล้ว 675,000 ล้านบาท ในการรับซื้อข้าวโดยตรงจากชาวนา ซึ่งรัฐบาลประเมินว่า ขาดทุนไปราว 137,000 ล้านบาท ในฤดูเพาะปลูก 2554/2555 จากการที่ต้องขายข้าวออกไปในราคาที่ต่ำกว่าราคาที่รับซื้อมา

นายสเตฟเฟน ดิค ผู้ช่วยรองประธานบริหาร มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ในสิงคโปร์ ระบุว่า โครงการรับจำนำข้าวของไทย ได้สร้างเงื่อนไขขึ้นมาสำหรับกลุ่มอื่นๆ ซึ่งความเสี่ยงของเรื่องนี้อยู่ตรงที่ว่า ในอนาคตรัฐจะมีการปรับ หรือเก็บโครงการนี้ไว้ต่อไปหรือไม่

นักวิเคราะห์ชี้ด้วยว่า ราคาโภคภัณฑ์ที่กำลังร่วงลง ได้สร้างแรงกดดันให้กับเศรษฐกิจไทย หลังในช่วง 3 เดือนนับถึงเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยปรับลดลงเหลือ 1.7% ทั้งยังมีการหั่นตัวเลขคาดการณ์สำหรับปีนี้ ลงมาอยู่ระหว่าง 3.8-4.3% จากเดิมที่ 4.2-5.2% ส่วนเป้าส่งออกอยู่ที่ 5%

ขณะที่บทวิเคราะห์จากแคปิตัล อิโคโนมิคส์ ประเมินว่า ราคาข้าวไทยอาจร่วงลงมาอยู่ที่ 425 ดอลลาร์ต่อตันภายในสิ้นปีนี้ จากปัจจุบันที่ 458 ดอลลาร์ และลดลงไปเหลือเพียง 400 ดอลลาร์ต่อตันในปี 2557 ซึ่งนายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย รองประธานบริหาร บล.ภัทรซิเคียวริตีส์ บอกว่า นอกจากภาคส่งออกแล้ว เศรษฐกิจไทยไม่มีแรงขับเคลื่อนที่แท้จริง โดยราคาสินค้าเกษตรที่ลดต่ำลง จะทำให้เกษตรกรมีรายได้ และการใช้จ่ายน้อยลง ขณะที่การลงทุนก็จะไม่เพิ่มขึ้น ในช่วงเวลาที่แนวโน้มเศรษฐกิจยังมืดหม่นอยู่

รถยนต์คันแรกทำความต้องการร่วง

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า โครงการรถคันแรกของไทยให้ผลไม่เป็นไปตามคาด เมื่อลูกค้ากว่าแสนคนผิดนัดชำระหนี้ ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่ครองตลาดในไทย ซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต้องดิ้นรนอย่างหนักเพื่อปกป้องผลกำไร

ผลวิจัยจากไอเอชเอส โกลบอล ออโตโมทีฟ บริษัทวิจัยในอุตสาหกรรมรถยนต์ แสดงให้เห็นว่าราว 10% ของผู้ซื้อรถในโครงการรถยนต์คันแรกจำนวน 1.2 ล้านราย เปลี่ยนใจไม่ซื้อรถ หรือผ่อนค่างวดรถยนต์ไม่ไหว ซึ่งเมื่อผู้ซื้อยกเลิกการผ่อน สถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่อรถยนต์ ก็จะเข้าไปยึดรถ และนำไปขายต่อเป็นรถมือ 2 สถานการณ์ที่ทำให้ในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ บรรดาค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น ที่ครองส่วนแบ่งตลาดท้องถิ่นรวมกันมากถึง 80% รายงานยอดขายร่วงลงโดยเฉลี่ย 30%

รายงานระบุด้วยว่า โครงการดังกล่าวของไทย ที่ธนาคารโลกประเมินว่า ทำให้รัฐบาลไทยต้องรับภาระค่าใช้จ่าย 2,500 ล้านดอลลาร์ มีผลลัพธ์ที่คล้ายคลึงกับโครงการ "รถเก่าแลกเงินสด" ที่สหรัฐประกาศเมื่อปี 2552 ที่แรงจูงใจดังกล่าว ทำให้ตลาดบิดเบือนไป เพราะความต้องการที่เฟื่องฟูจะหมดไปทันทีหลังจากที่กำหนดการลดหย่อนภาษีดังกล่าวยุติลงในเดือนธ.ค.

ผู้จัดการเซ็นเตอร์ ยูสคาร์ บริษัทจำหน่ายรถยนต์มือ 2 ที่มีสาขาอยู่ในกรุงเทพฯ 2 แห่ง เปิดเผยว่า ราคารถยนต์ที่มาจำหน่ายร่วงลงไปโดยเฉลี่ย 20% ในปีนี้ และว่า ดีลเลอร์รายย่อยจำนวนหนึ่งต้องประสบปัญหาในการขายรถ บางรายถึงขั้นต้องปิดกิจการ

"เมื่อลูกค้าเริ่มตระหนักว่าพวกเขาผ่อนค่างวดต่อไปไม่ไหว รถของพวกเขาก็กลายเป็นรถยนต์มือ 2 ไปแล้ว ซึ่งยิ่งทำให้ราคาตกลงไปอย่างมาก"

จำนวนรถยนต์ที่เรียกได้ว่าแทบจะใหม่เอี่ยม ที่มีอยู่ล้นตลาดรถยนต์มือ 2 นั้น ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อบรรดาค่ายรถยนต์ และกดดันให้บริษัทเหล่านี้ต้องหาวิธีส่งเสริมการขาย และลดราคารถยนต์ เพื่อให้รถยนต์ออกไปพ้นสต็อก

ช่วงเดือนเม.ย.-มิ.ย.ที่ผ่านมา มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ผู้ส่งออกรถยนต์รายใหญ่สุด ซึ่งมีโรงงาน 3 แห่งในไทย มียอดขายลดลง 24% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้านี้ เหลือประมาณ 20,800 คัน และคาดว่าจะลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทต้องดำเนินโครงการส่งเสริมการขายทั่วประเทศ ทั้งจับรางวัล และผ่อนรถปลอดดอกเบี้ยนาน 48 เดือน

เช่นเดียวกับค่ายรถยนต์จากสหรัฐ จากเจนเนอรัล มอเตอร์ส คอร์ป ที่ระบุว่า ช่วง 3 เดือนล่าสุด สภาพตลาดไม่ค่อยดีนัก ซึ่งบริษัทต้องทำงานร่วมกับดีลเลอร์อย่างใกล้ชิด เพื่อออกรถยนต์รุ่นใหม่ๆ และหาทางดึงความสนใจจากลูกค้า

ทั้งนี้ ข้อมูลจากสมาคมผู้ผลิตรถยนต์ระหว่างประเทศ องค์กรที่มีฐานการดำเนินงานอยู่ในฝรั่งเศส ระบุว่า ในปี 2555 อุตสาหกรรมรถยนต์ไทย ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ และคิดเป็นสัดส่วน 12% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) มียอดการผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้นถึง 70% มาอยู่ที่ 2.43 ล้านคัน และคาดว่า ในปี 2556 ยอดการผลิตจะพุ่งเกิน 2.5 ล้านคัน แต่ความต้องการที่ลดลงในประเทศ ทำให้บรรดาผู้ผลิตจำเป็นต้องส่งออกรถยนต์ไปยังตลาดยุโรป ญี่ปุ่น และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2556

อยู่ในความมืด !!??

คอลัมนิสต์ผู้ทรงคุณวุฒิ- พรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล

ไม่ทราบว่าใครประกาศว่าประเทศไทยเป็น "ครัวของโลก"  และผู้ประกาศนั้นเชื่อในสิ่งที่ตนประกาศไปหรือเปล่า  ที่เห็นชัดเจนคือไม่เคยมีแผนดำเนินการให้เป็นไปตามนั้น นอกจากการจัดรายการส่งเสริมการขายและส่งออกซึ่งเน้นไปในเชิงการตลาดเท่านั้น คำว่า "ครัว"

มีความหมายรวมถึงการผลิตให้ได้ปริมาณที่เพียงพอและสม่ำเสมอเพื่อการบริโภคภายในประเทศและส่งออก มีความปลอดภัยและสุขอนามัยที่ดี และสุดท้ายคือต้นทุนที่แข่งขันได้ ความล้มเหลวในโครงการนี้เป็นตัวอย่างที่บอกเราอีกครั้งว่าระบบการบริหารเศรษฐกิจยังมีปัญหา
   
ดังนั้นจึงเป็นโอกาสของภาคเอกชนที่จะดำเนินการด้วยตัวเอง แต่เมื่อเป้าหมายของธุรกิจคือการทำกำไร ความมั่นคงของ "ครัวของโลก" จึงสั่นคลอนไปตามสภาพของผลตอบแทน เช่น การย้ายฐานการผลิตข้ามประเทศ ความจริงแล้วการย้ายฐานการผลิตได้เกิดขึ้นทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง แต่จะเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะภาคการเกษตรและอาหาร ปัจจัยหลักที่เร่งให้มีการลงทุนเพิ่มในกลุ่มสินค้านี้คือ 1) จำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นแต่ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ที่ดินและน้ำ ลดลง 2) การลงทุนที่ผ่านมาถูกจำกัดอยู่ภายในประเทศ 3) มีการกีดกันทางการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศมากโดยประเทศพัฒนาแล้ว  4) น้ำมันจากธรรมชาติยังมีมากและราคาถูก พลังงานทดแทนจึงยังไม่คุ้มต่อการลงทุน
   
ที่น่าถามคือนโยบายประเทศไทยจะเป็นอย่างไร? เช่น 1)  เราควรจะส่งเสริมให้นักธุรกิจไทยไปขยายการลงทุนนอกประเทศให้มากขึ้น 2) ส่งเสริมให้นักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศเพิ่มขึ้น  3) ปิดประตูในประเทศแต่ส่งเสริมให้นักธุรกิจไทยไปลงทุนในต่างประเทศ ไม่ว่าเราจะเลือกนโยบายใดผลกระทบจะต้องเกิดขึ้นตราบเท่าที่เราไม่ปรับมาตรการการอุดหนุนสินค้าเกษตรที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

ตัวอย่างของการเคลื่อนไหวของประเทศจีนและไต้หวันในเรื่องนี้เป็นที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง ประเทศจีนใช้กรอบข้อตกลง ASEAN+3 ส่วนไต้หวันใช้กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APEC) แม้ว่าทั้ง 2 กรอบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันโดยตรงแต่มีเป้าหมายเดียวกันคือการเพิ่มผลผลิตเพื่อแก้ปัญหาขาดอาหารเนื่องจากภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วม อากาศแล้ง บทบาทของกระทรวงเกษตรฯ ไทยมีค่อนข้างสูงในกรอบทั้งสอง แต่เนื่องจากขาดนโยบายรัฐที่ชัดเจน จึงไม่สามารถบอกได้ว่าจะมียุทธศาสตร์อะไรในการ "เจรจา" ที่ค่อนข้างจะยืดเยื้อ
   
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาผมได้เดินทางไปร่วมงานสัมมนาที่จัดโดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ภายใต้หัวข้อ How  Can Myanmar Prepare For AEC? ที่มัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมาร์ หรือพม่า โดยมีผู้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมาร์เป็นส่วนหนึ่งของ ASEAN และเป็นประเทศเกิดใหม่ภายใต้ระบบเศรษฐกิจทุนนิยม ดังนั้นการเรียนรู้และปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงจึงเป็นเรื่องต้องเร่งดำเนินการทั้งภาครัฐและเอกชน และผมก็เชื่อว่าเขาสามารถทำได้ดีเพราะมีตัวอย่างจากหลายประเทศ เมียนมาร์จึงเป็นประเทศที่เราต้องจับตามองว่าจะเป็นคู่แข่งหรือคู่ค้าของเราในด้านเกษตรและอาหาร แต่ไม่ว่าเขาจะเลือกเป็นแบบไหนประเทศไทยก็ต้องเดินหน้าต่อไปโดยการปรับนโยบายการผลิต การค้า การลงทุน และมาตรการการอุดหนุนให้สอดคล้องกันซึ่งผมยังไม่เห็นสิ่งเหล่านี้แม้แต่เงา

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ
.................................................................

จับตา ดีลลับ : สภาปฏิรูปการเมือง ฉบับ เติ้ง vs สปท. !!??



ช่วง เวลาที่อุณหภูมิทางการเมืองเข้าโหมดร้อน อันเนื่องมาจากฝ่ายบริหารโดย รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เริ่มเดินหน้าขับเคลื่อนงานการเมืองเรื่องร้อนๆ ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือออกกฎหมายนิรโทษกรรม

แม้ก่อน หน้านี้รัฐบาลจะทำงานตามนโยบายอย่างมีอุปสรรคบ้างราบรื่นบ้าง แต่ก็ยังไม่ถือว่าเป็นภัยต่อเสถียรภาพความมั่นคง เพราะไม่มีเรื่องการเมืองร้อนๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง ถึงกระนั้นเรื่องต่างๆ ที่ทำก็ยังไม่สามารถตอบโจทย์ตามแนวคิดของพรรคเพื่อไทย (พท.) และมวลชนผู้สนับสนุน

เมื่อการเมืองเข้าโหมดร้อน รัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เลือกที่จะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส โดยใช้ช่วงเวลาที่หลายฝ่ายพูดถึงและวิพากษ์การเมืองอย่างเข้มข้น มาเป็นประตูเพื่อนำไปสู่ทางออกของปัญหาในอนาคต ด้วยการเดินหน้าแนวคิดสภาปฏิรูปประเทศ

พร้อมกับเชิญฝ่ายต่างๆ มาร่วมถกเถียง เสนอทางออกกับประเทศ

เวที ปฏิรูปอย่างเป็นทางการเริ่มขึ้นครั้งแรกในวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา มีบุคคลสำคัญระดับประเทศเข้าร่วมประชุมอย่างคับคั่ง จะขาดก็แต่คู่ขัดแย้งอย่างพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.)

แต่ปัญหาหลักของ เมืองไทย คือความขัดแย้งทางการเมืองที่มีมาก่อนรัฐประหารปี 2549 ดังนั้น "นายกฯ ปู" จึงมอบหมายให้ นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งมีความอาวุโสและบารมีทางการเมือง เดินสายทาบทามคนอื่นๆ ที่ยังไม่เข้าร่วม ให้มาอยู่ในเวทีเดียวกันให้ได้

ถาม ว่าทำไมเป็นงานที่หนักหรือไม่ งานนี้หินแค่ไหน ก็ต้องตอบได้เลยว่า ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะ ปชป. และพันธมิตรฯ ต่างมีจุดยืนที่อยู่คนละขั้วกับรัฐบาลเพื่อไทย (พท.)

ถามว่าที่ รัฐบาลเลือกใช้บริการ "บรรหาร" คำตอบคือ "เชื่อมือ" หมายถึงเชื่อว่าจากประสบการณ์ที่อยู่ในแวดวงการเมืองมาเกือบทั้งชีวิตจะทำ งานนี้ได้ดีกว่าใครเพื่อน อีกทั้งจะเห็นว่า "บรรหาร" สามารถเข้าได้กับทุกฝ่าย ที่สำคัญ เขาเป็นผู้ที่มีเครือข่ายคอนเน็กชั่นอย่างดีเยี่ยม

ดังนั้น นายกฯ จึงมอบความไว้ใจให้เต็มร้อย แม้ด้วยบุคลิกจะคล้ายเป็นคนพูดไม่เก่ง ไม่เหมาะกับการตอบโต้กับ ปชป. และพันธมิตรฯ แต่ทุกคนต่างมองข้ามเรื่องนี้อย่างไม่ต้องเหลียวหลัง

อย่าง ที่รู้กันว่า "บรรหาร" ผู้มีความอาวุโสทางการเมือง สามารถเข้านอกออกในได้อย่างทั่วถึง เมื่อใดก็ตามที่ปิดห้องคุยหรือพูดคุยเป็นการส่วนตัว ดีลในครั้งนั้นแทบจะลุล่วงเหมือนโปรยกลีบกุหลาบ

ทว่า งานประสานคู่ขัดแย้งทางการเมืองให้มาร่วมลงเรือปฏิรูปการเมืองลำเดียวกัน ของ "บรรหาร" ในครั้งนี้ถือว่าไม่ง่าย เพราะก่อนหน้านี้เดินสายเข้าหา "สนธิ ลิ้มทองกุล" และ "พล.ต.จำลอง ศรีเมือง" แห่งบ้านพระอาทิตย์ ก็มีคนปล่อยข่าวพร้อมโชว์ภาพว่าเป็นกิ๊กกับดาราสาว "มะนาว" น.ส.ศรศิลป์ มณีวรรณ์ แห่งวิก 7 สี ยังดีที่ "อาบรรหาร" และ "หลานมะนาว" ออกมาแจงได้ทันถ่วงที ไม่งั้นเรื่องนี้เห็นทีจะยาว

งานนี้เห็นได้ ชัดเจนว่ามีคนต้องการทำลายความชอบธรรม หรือดิสเครดิตการเดินหน้าในฐานะผู้ประสานงานเวทีปฏิรูปของ "บรรหาร" แต่ด้วยความที่เป็นคนตรงไปตรงมา บวกกับบารมีบุญเก่าจึงรอดตัวมาได้

แม้ การเดินหน้าเข้าหา ปชป. พันธมิตรฯ รวมถึง นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี จะไม่ได้รับการตอบรับ ซ้ำยังถูกสวนกลับอย่างรุนแรง แต่ก็ต้องนับถือน้ำใจของนายบรรหาร เพราะนี่เป็นงานหิน ซึ่งรู้อยู่แล้วว่าผลรับจะออกมาแบบไหน แต่ก็ต้องทำด้วยความเต็มใจ

เพราะ เจ้าตัวรู้อยู่เต็มอกอยู่แล้วว่า ปชป. และพันธมิตรฯ ซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรงย่อมไม่ตอบรับการเข้าร่วมเวทีปฏิรูปกับรัฐบาลอย่าง เป็นแน่ เนื่องจากเห็นว่าฝ่ายบริหารกำลังสร้างความขัดแย้งเสียเอง เช่น การออกกฎหมายนิรโทษกรรม รวมถึงแก้รัฐธรรมนูญ

ไม่ร่วมด้วยเพราะยังไม่มีความไว้เนื้อเชื่อใจรัฐบาล ไม่ใช่ไม่เชื่อใจนายบรรหาร

งาน นี้ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล อย่าง "ปชป." นอกจากจะไม่เข้าร่วมแล้ว ยังผุดเวทีปฏิรูปของตัวเองขึ้นมาเป็นคู่ขนานอีก เหมือนกับเวทีผ่าความจริงที่เดินสายตามเวทีของเสื้อแดงอย่างไม่ผิดเพี้ยน

รวม ทั้งเพื่อนเก่าของเหล่าพันธมิตรฯ อย่าง "สุริยะใส กตะศิลา" พร้อมมิตรสหาย ร่วมกันเปิดตัวสภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย 2556 หรือ สปท. ก็ถือเป็นคู่ขนานกับเวทีปฏิรูปของ "ยิ่งลักษณ์" อีกเวทีหนึ่ง

ดู อย่างไรก็มองไม่เห็นว่าแนวทางที่นายกฯ ต้องการจะเกิดขึ้นได้ จากเดิมที่รัฐบาลต้องการเปิดพื้นที่รับฟังความเห็นแล้วนำไปสู่การแก้ไขปัญหา ก็กลับกลายเป็นว่ามีเวทีคู่ขนานพูดคนละเรื่อง จึงทำให้หลายฝ่ายมองว่าเวทีปฏิรูปของรัฐบาลจะไปไม่ถึงจุดหมายในที่สุด

แต่มังกรเมืองสุพรรณ อย่าง "บรรหาร" กลับบอกว่า "อยากให้ตั้งหลายๆ สภา และหลายๆ เวที เพื่อจะได้มีความเห็นที่หลากหลาย"

เขา เห็นว่า การที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างใดอย่างหนึ่งนั้นไม่ใช่เรื่องที่เกิด ขึ้นได้ในเร็ววัน จึงเป็นไปได้ที่ระหว่างนี้ ไม่ว่าจะเป็นทั้งในส่วนเวทีปฏิรูปของรัฐบาล ปชป. และ "สปท." จะเดินหน้าในแบบต่างคนต่างทำ ต่างดำเนินไปในรูปแบบของตัวเอง

รัฐบาลจะเฝ้าดูทั้ง 2 เวทีนี้อยู่เนืองๆ ขณะที่อีก 2 เวทีก็จะจับตาดูเวทีของรัฐบาลด้วยเช่นกัน

เชื่อ ว่าวันหนึ่ง เมื่อฝ่าย "ปชป." และ "สปท." มีมติออกมาแล้วรัฐบาลคิดว่า สามารถเดินเข้าไปพูดคุยกันต่อได้ วันนั้น "บรรหาร" คนเดิม จะถือธงนำหน้าเข้าหากลุ่มเหล่านี้อีกครั้ง

ที่สำคัญเวลานี้ "บรรหาร" ยังไม่ได้ใช้ความสามารถพิเศษอย่างเต็มขั้นในการดีลแบบลับๆ เลยแม้แต่น้อย ที่เห็นอยู่เป็นเพียงฉากหน้าที่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลจัดขึ้นมาเพื่อแสดงออก ผ่านสื่อเพียงเท่านั้น

และทั้ง ปชป. และพันธมิตรฯ ที่ต่างจับจ้องมายังรัฐบาลเพื่อเช็กว่า แผนการเกี่ยวกับแนวทางปฏิรูปนั้น จะออกมาหน้าตาอย่างไร แน่นอนหากออกมาดี แล้วกลุ่มดังกล่าวไม่เข้าร่วมก็ถือว่าตกขบวน

การตั้งเวทีคู่ขนานอย่างที่เป็นอยู่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย

ข้อดี นั่นคือ เป็นไปได้ที่ทุกฝ่ายจะได้มาร่วมกันกำหนดแนวทางปฏิรูปประเทศในอนาคต

ส่วน ข้อเสีย ก็เป็นไปได้ที่เมื่อต่างฝ่ายต่างยืนยันในจุดยืนของตัวเอง ไม่ยอมผ่อนปรนยอมรับเงื่อนไขของอีกฝ่าย ย่อมเป็นการเพิ่มความขัดแย้ง และจะนำไปสู่ฉากจบของ "สภาปฏิรูปทางการเมือง" ไปในที่สุด

จากนี้ไปคง ต้องจับตาดูปฏิกิริยาของทุกฝ่าย และการเดินหน้าประสานสิบทิศในแบบฉบับจัดเต็มสไตล์ "บรรหาร" ว่าจะฝ่าด่านหินปฏิรูปการเมืองไปสู่ "ความปรองดอง" ได้จริงหรือไม่

ที่มา:มติชน
//////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2556

ท่าเรือไทยใน เออีซี !!??

โดย ณกฤช เศวตนันทน์

การรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ของประเทศสมาชิกอาเซียนในอีก 2 ปีข้างหน้า จะส่งผลให้มีการเปิดเสรีทางด้านการค้าการลงทุนทั้งภายในอาเซียนและระหว่างอาเซียนกับภูมิภาคอื่น ๆ ทั่วโลกที่ขยายตัวสูงขึ้น ซึ่งหากเราพิจารณากันตามความเป็นจริงแล้วการค้าทั่วโลกพึ่งพาการขนส่งทางทะเลเป็นหลักราว 90% ของปริมาณขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทั้งหมด



ส่งผลให้ ท่าเรือ มีความสำคัญในฐานะ ประตู เปิดรับการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ ดังนั้น ความพร้อมและศักยภาพของท่าเรือในอาเซียนจึงเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งของความสำเร็จของ AEC ในคอลัมน์นี้เราจะนำเสนอเกี่ยวกับแนวนโยบายการขนส่งของไทยใน AEC

สำหรับประเทศไทยนั้นปัจจุบันมีท่าเรือสินค้าถึง 147 แห่ง แต่มีท่าเรือสินค้าเพียง 10 กว่าแห่งเท่านั้นที่มีกิจกรรมการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ มีหน่วยงานที่บริหารจัดการ ได้แก่ การท่าเรือแห่งประเทศไทย การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และบริษัทเอกชน ทั้งนี้ แต่ละหน่วยงานมีวัตถุประสงค์ในการสร้างท่าเรือที่ต่างกันไปตามประเภทสินค้าและผู้ใช้บริการ

ในการขนส่งสินค้าผ่านท่าเรือนั้น นอกเหนือจากการให้บริการด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ ซึ่งได้แก่ การให้บริการเรือและการขนส่งสินค้าโดยทั่วไปแล้ว ยังประกอบด้วยงานพิธีการศุลกากร การตรวจตรา

สินค้า กฎระเบียบและขั้นตอนการดำเนินงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในที่นี้เราจะเรียกสิ่งเหล่านี้รวมกันว่า สิ่งอำนวยความสะดวกทางการค้า (Trade Facilitation) การปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกทางการค้าที่ท่าเรือ ได้แก่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งตัวท่าเรือเอง ระบบคมนาคมขนส่งที่เข้าสู่ท่าเรือ กฎระเบียบทางด้านศุลกากรที่เอื้ออำนวยต่อการนำเข้า/ส่งออกสินค้า การปฏิบัติงานที่โปร่งใสและสอดคล้องกับข้อตกลงของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน



ทั้งหมดนี้จะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ช่วยลดต้นทุนทั้งด้านเวลาและค่าใช้จ่าย รวมถึงส่งผลให้การค้าระหว่างประเทศของไทยสามารถดำเนินไปได้อย่างสมบูรณ์

ล่าสุดทางสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ได้ให้การสนับสนุน สถาบันการขนส่งแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการศึกษาสิ่งอำนวยความสะดวกทางการค้าที่ท่าเรือระหว่างประเทศของไทย เพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งได้มีการสำรวจท่าเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศที่สำคัญรวม 9 แห่ง ทั้งของการท่าเรือและของเอกชนเอง

โดยพิจารณาท่าเรือที่มีการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศปริมาณสูง ได้แก่ ท่าเรือแหลมฉบัง ท่าเรือกรุงเทพ ท่าเรือ BMTP ท่าเรือ TPT ท่าเรือ UNITHAI ท่าเรือศรีราชา ฮาร์เบอร์ ท่าเรือเคอรี่ สยามซีพอร์ต ท่าเรือมาบตาพุด และท่าเรือน้ำลึกสงขลา รวมถึงสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ

ได้แก่ ผู้บริหารท่าเรือ/ศุลกากร สายเรือ ผู้ประกอบการนำเข้าหรือส่งออก และบริษัทผู้รับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศรวมกว่า 60 หน่วยงาน นอกจากนี้ คณะผู้วิจัยจะเก็บข้อมูลที่ท่าเรือสิงคโปร์ ซึ่งเป็นท่าเรือต้นแบบมีปริมาณการขนส่งสินค้าสูง และมีศักยภาพในการดำเนินงานอันดับต้นในภูมิภาคอาเซียนมาเปรียบเทียบด้วย

ผลการสำรวจคณะวิจัย พบว่าท่าเรือที่อยู่ภายใต้การดูแลของการท่าเรือฯ ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยตรงจากรัฐบาลในด้านงบประมาณการก่อสร้างตัวท่าเรือเอง หรือระบบสาธารณูปโภค (เช่น ถนน ทางรถไฟ ไฟฟ้าต่าง ๆ) สำหรับการใช้งานท่าเรือจะเป็นท่าเรือที่สำคัญ มีปริมาณสินค้าผ่านท่าจำนวนมาก มีการติดตั้งอุปกรณ์ที่จำเป็น เช่น เครื่อง X-ray ตู้สินค้าภายในท่าเรือ

แต่ทว่าท่าเรือของการท่าเรือฯก็ยังมีจุดอ่อนในการประสานงานร่วมกับศุลกากรที่ไม่ดีเท่ากับท่าเรือเอกชน

เนื่องจากติดปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างในระบบราชการ ทำให้การปรับปรุงสถานที่เพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งนั้นใช้เวลานาน นอกจากนี้ การพัฒนาต่าง ๆ ก็ยังขึ้นกับนโยบายของภาครัฐซึ่งขาดความชัดเจน

สำหรับท่าเรือเอกชนนั้น เนื่องจากต้องลงทุนหาพื้นที่เองไม่สามารถเวนคืนที่ดินได้ จึงมีขนาดเล็กและมีปริมาณการขนส่งสินค้าที่น้อยกว่าการพัฒนาปรับปรุงระบบสาธารณูปโภค (ถนนสาธารณะ ทางแยกต่าง ๆ ไฟฟ้า)

สำหรับท่าเรือเอกชนก็ต้องใช้งบฯลงทุนของบริษัทเองทั้งหมด ในด้านศุลกากรนั้นท่าเรือเอกชนยังไม่มีเครื่อง X-ray ตู้สินค้าในท่าเรือ ทำให้เสียเวลาและเพิ่มต้นทุนขนส่งหากต้องเปิดตรวจตู้สินค้า

อย่างไรก็ตาม ท่าเรือเอกชนมีความยืดหยุ่นต่อผู้ใช้บริการมากกว่า ทั้งด้านราคาและบริการที่ครบวงจร มีการประสานงานร่วมกับศุลกากรดีกว่า โดยพบว่าท่าเรือเอกชนจะดูแลเจ้าหน้าที่ศุลกากรประจำท่าเป็นอย่างดี และมีความรวดเร็วในการดำเนินงานตามที่ศุลกากรร้องขอเพื่อให้ไทยได้ประโยชน์จากการเข้าสู่ AEC อย่างเต็มที่ ภาครัฐควรมีนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับท่าเรือ กระตุ้นให้ทุกฝ่ายปรับปรุงและพัฒนามาตรฐานของระบบท่าเรือให้เข้ากับยุคสมัยปัจจุบัน ทั้งของรัฐกับเอกชน นอกจากนั้น รัฐควรวางแผนให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างท่าเรือ ศุลกากรและท่าเรือของประเทศสมาชิก AEC ด้วยกัน

เพื่ออำนวยความสะดวกต่อผู้ขนส่งสินค้าในภูมิภาค และเพิ่มความน่าสนใจในการเข้ามาลงทุนในภูมิภาคอาเซียนเมื่อ AEC เปิดแล้ว

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////

1ปีรัฐบาลประชานิยม ภาระคลังกว่า 5.4 แสนล้าน !!??


ประชานิยม,1ปีรัฐบาลยิ่งลักษณ์,กมธ.การเงินวุฒิสภา

กมธ.การเงินวุฒิสภา เผยรายงานสอบรัฐบาลยิ่งลักษณ์ครบ 1 ปี ทำ 10 โครงการประชานิยมสร้างภาระการคลังกว่า 5.4 แสนล้านบาท

คณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน วุฒิสภา ที่มีนายวิทวัส บุญญสถิ่ตย์ ส.ว.สรรหา เป็นประธานกรรมาธิการฯ ได้จัดทำรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง “ความห่วงใยนโยบายประชานิยม ต่อหนี้สาธารณะสาธารณะของประเทศ" และมีการนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมวุฒิสภาเพื่อรอพิจารณา

สำหรับสาระสำคัญของรายงานดังกล่าวเป็นการศึกษาและติดตามนโยบายประชานิยมของรัฐบาลที่มีผลกระทบเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง ตามที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแถลงไว้ต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2554 โดยในรอบ 1 ปีแรกของการเข้ามาบริหารประเทศ สรุปได้ว่า การใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเพื่อบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตการณ์ต่างๆ อาทิ ออก พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ.2555 วงเงิน 3.5 แสนล้านบาท ออกพ.ร.ก.กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ พ.ศ.2555 วงเงิน 5 หมื่นล้านบาท และเมื่อรวมกับเงินที่ใช้ไปในโครงการประชานิยมต่างๆ ทำให้นโยบายการคลังของรัฐบาลเข้าสู่ทางตัน จึงต้องหันไปพึ่งการลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการลงทุนอยู่บ่อยครั้งซึ่งอาจสะท้อนให้เห็นว่านโยบายการคลังใกล้หมดประสิทธิภาพ

สำหรับโครงการประชานิยมที่มีเป้าหมายเน้นไปยังเพิ่มโอกาสให้คนจนเข้าถึงแหล่งทุนอาทิ การพักชำระหนี้และปรับลดอัตราดอกเบี้ยใหแก่เกษตรกร เป็ฯเวลา 5-10 ปี, การปรับโครงสร้างหนี้วงเงินเกิน 0.5-1 ล้านบ้าน ลดอัตราดอกเบี้ยเหลือร้อยละ 3 ต่อปี หรือออกบัตรเครดิตชาวนา ทำให้มาตรการทางการคลังมีข้อจำกัดและกระทบต่อระบบเศรษฐกิจมหภาค ส่งผลให้รัฐบาลต้องใช้นโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยด้วยการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการลงทุน และลดหนี้ภาคครัวเรือน ขณะที่นโยบายปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำอัตราเดียวทั่วประเทศ 300 บาทต่อวัน แม้จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำแต่มีผลเข้าไปแทรกแซงการประกอบธุรกิจของเอกชน ส่งผลให้มีการบิดเบือนกลไกตลาด ทำให้เกิดต้นทุนการผลิตที่สูงและกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศระยะยาว เพราะการเพิ่มค่าแรงเป็นวันละ 300 บาทท ตามผลการศึกษาของธนาคารแห่งประเทศไทยพบว่า จะทำผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงานจำนวนมาก มีกำไรลดลงร้อยละ 35 ขณะที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่มีกว่าร้อยละ 98 ของผู้ประกบการทั้งหมดได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน

นอกจากนั้นการใช้นโยบายประชานิคมได้ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ สังคมและความมั่นคงของประเทศ เพราะระบบเลือกตั้งที่คำนึงถึงเฉพาะการได้มาซึ่ง ส.ส.จำนวนมากเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐ แทนการคำนึงถึงประโยชน์ทางเศรษฐกิจในแต่ละพื้นที่จะทำให้เกิดความไม่สมดุลของระบอบการเมืองการปกครองด้วย

ทั้งนี้กรรมาธิการฯ ได้มีข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลโดยมีประเด็นที่สำคัญ คือ ช่วงที่เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงกับวิกฤษเศรษฐกิจโลก ทำให้ไทยไม่สามารถพึ่งการลงทุนจากต่างประเทศได้ ดังนั้นเมื่อรัฐบาลจะใช้นโยบายประชานิยมต้องมีการวางยุทธศาสตร์เพื่อรองรับและต้องสนับสนุนการบริหารเศรษฐกิจมหภาคด้วย คือ 1.ต้องสร้างความเชื่อมั่นกับนักลงทุนต่อเศรษฐกิจไทยและต้องกระตุ้นการบริโภคของภาคครัวเรือน ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องใช้จ่ายเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนำร่องไปก่อน เช่น การใช้จ่ายเงินเพื่อระบบบริหารจัดการน้ำเพื่อสร้างอนาคตของประเทศ ทำให้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนจากภาครัฐกับภาคเอกชน 2.นโยบายประชานิยมต้องรักษาเสถียรภาพทางการคลังและเศรษฐกิจ เช่น การลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจากร้อยละ 30 เหลือร้อยละ 23 ในแง่ดีถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่แง่ลบคือการลดความสำคัญของภาษีอากรที่เป็นเครื่องมือทางการคลังในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ 3.การใช้จ่ายในโครงการประชานิยมต้องเหมาะสมกับสถานการณ์และกลุ่มเป้าหมาย 4.นโยบายประชานิยมต้องสนับสนุนการออมของประเทศ เพื่อเป็นการชดเชยการขาดดุลงบประมาณ

กรรมาธิการฯ ยังได้สรุปนโยบายประชานิยมรัฐบาลของน.ส.ยิ่งลักษณ์ กับภาระทางการคลัง ในรอบปีแรกของการบริหารราชการแผ่นดิน 1.ลดหย่อนภาษีบ้านหลังแรก มีผลตั้งแต่ 22 ก.ย. 54 - 31 ธ.ค.55 ทำให้เกิดภาระการคลัง จำนวน 1.2 หมื่นล้านบาท , 2.คืนภาษีรถยนต์คันแรก มีผลตั้งแต่ 16 ก.ย.54 - 31 ธ.ค.55 ทำให้เกิดภาระการคลัง จำนวน 3 หมื่นล้านบาท , 3.ลดภาษีเงินได้นิติบุคคล จากร้อยละ 30 เหลือร้อยละ 23 และเหลือร้อยละ 20 ในปี 2556 ทำให้เกิดภาระการคลัง จำนวน 5.2 หมื่นล้านบาท ในปีงบประมาณ 2555 , 4.ลดภาษีน้ำมันดีเซล มีผลตั้งแต่ 21 ส.ค.54- ก.ย.55 ทำให้เกิดภาระการคลัง จำนวน 9,000 ล้านบาทต่อเดือน , 5.ปรับเพิ่มเงินเดือนข้าราชการและลูกจ้างของทางราชการที่มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรี เป็น 15,000 บาท มีผลตั้งแต่ 1 ม.ค.55 ทำให้เกิดภาระการคลัง จำนวน 1.8 หมื่นล้านบาทในปีงบประมาณ 2555 และ 2.3 หมื่นล้านบาทในปีงบประมาณ 2556

6.แจกแท็บเล็ตฟรี ให้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มีผลตั้งแต่เดือนต.ค.2555 ทำให้เกิดภาระการคลัง จำนวน 1,600 ล้านบาท ในปีงบประมาณ 2555 และจำนวน 1,200 บาทในปีงบประมาณ 2556, 7.พักชำระหนี้เกษตรกร ที่มียอดเงินกู้ค้างชำระ 5แสนบาท มีผลตั้งแต่ 1 ก.ย.55 - 31 ส.ค. 58 โดยรัฐบาลใช้งบสนับสนุนปีละ 1.5 หมื่นล้านบาท แต่ทางปฏิบัติรัฐบาลและสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้องจะรับภาระ 50:50 แต่ในที่สุดคาดว่ารัฐบาลจะชดเชยความเสียหายให้แก่สถาบันการเงินโดยลำพัง 8.โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ช่วงทำโครงการ 7 ต.ค. 54 -15 ก.ย.55 มีประมาณการค่าใช้จ่าย 3 แสนล้านบาทหรือร้อยละ 2.6 ของจีดีพีในปี 2555 ทั้งนี้จำนวนภาระทางการคลังจะเพิ่มขึ้นตามราคาข้าวที่รัฐบาลจะขายได้

9.การปรับเพิ่มขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ มีผลตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.55 ภาระทางการคลังภาคธุรกิจเอกชนเป็นผู้รับภาระโดยตรง และ 10.กองทุนพัฒนาสตรี เปิดรับสมัครตั้งแต่ 18 ก.ย. 55 ภาระทางการคลัง อยู่ที่จังหวัดละ 100 ล้านบาทรวมเป็นเงิน 7,700 ล้านบาท โดยรวมเป็นเงินที่ประเมินภาระทางการคลังได้ จำนวน 544,300 ล้านบาท

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2556

รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงโลก ลดภาวะเศรษฐกิจอ่อนแรงจาก สเตียรอยด์อีโคโนมิก !!??



โดย.รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดี สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์

จากกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ออกมาระบุว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ในปีนี้(2556) จะลดลงเหลือ 3 % จากปีก่อนอยู่ที่ 6.8 % สร้างความตื่นตระหนกให้กับสังคมไทยเป็นอย่างมาก จนหลายฝ่ายต้องออกให้ความมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยยังไปได้ดีอยู่

เรื่องนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลต้องทำความเข้าใจกับทุกฝ่ายเรื่องตัวเลข GDP ที่ต่ำลง เพราะหากไม่ทำความเข้าใจอาจกระทบต่อตลาดเงินและตลาดทุนได้ เพราะเพียงครึ่งปีแรกที่มีการประกาศตัวเลข GDP ออกมาว่าต่ำกว่าเป้าหมาย ตลาดก็วิตก และซวนเซ

การถดถอยของตัวเลขเศรษฐกิจในปีนี้เป็นผลจาก “การอัดฉีดนโยบายประชานิยมที่เร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือสเตียรอยด์อีโคโนมี” ไม่ว่าจะเป็นนโยบายรถคันแรก บ้านหลังแรก หรือค่าแรง 300 บาท/วัน ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคในปีนี้ถูกนำไปใช้ในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้กำลังซื้อผู้บริโภคที่มีสัดส่วน 55 % ของ GDP ขยายตัวได้เพียง 3% จากที่คาดว่าน่าจะขยายตัวได้ถึง 6 %

แต่สำหรับค่าแรง 300 บาท ถือเป็นสเตียรอยด์ที่ดี เพราะถ้าเราไม่มีเรื่องค่าแรง 300 บาท ปัญหาการขาดแคลนแรงงานจะรุนแรงกว่านี้มาก ภาคอุตสาหกรรมในเมืองจะดึงแรงงานไว้ไม่ได้ เพราะคนจะกลับชนบทไปทำนา เนื่องจากข้าวเกวียนละ 15,000 บาท ซึ่งในปัจจุบันนี้คนในภาคเกษตรมีประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนแรงงานทั้งหมด สร้างจีดีพีได้ไม่เกิน 10 % ฉะนั้นถ้าคนไหลเข้าไปในภาคเกษตรมากๆ ในระยะยาวจะไม่เป็นผลดีกับประเทศ

การใช้นโยบายประชานิยมของรัฐไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่ต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสม จึงอยากให้รัฐบาลทบทวนนโยบายประชานิยมหลายประการที่อาจมีผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจ และหันมาพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง 3 ภาคธุรกิจหลัก คือ ภาคการผลิต ภาคบริการ และภาคค้าปลีกและค้าส่ง ซึ่งไทยมีศักยภาพอยู่แล้ว

ดังนั้น สิ่งที่เราต้องคำนึงถึงมากในช่วงครึ่งปีหลัง รวมถึงอาจจะเป็นปีหน้า คือ การดูแลสภาวะเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ มากกว่าการเร่งความเจริญเติบโต

เพราะตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป อย่างน้อย 1-2 ปีข้างหน้า จะเกิดสภาวะความไม่แน่นอนที่สูงมาก ทั้งระดับในและต่างประเทศ

ในต่างประเทศจะมีความไม่แน่นอนในลักษณะที่เรียกว่า Triple uncertainty คือความไม่แน่นอนแบบ 3 จังหวะ

1. Economic uncertainty เป็นผลจากการถอนตัวออกจากคิวอีของสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจจะเริ่มตั้งแต่ปลายปีนี้ไปเป็นต้นไป รวมถึงปีหน้าอาจจะมีการขึ้นดอกเบี้ย ฉะนั้นเมื่อเกิดการกลับทิศของเศรษฐกิจโลก คืออเมริกาเริ่มถอนตัวออกจากคิวอี เสริมด้วยปัญหาของยุโรปที่ยังแก้ไม่ตก ยังไม่รวมเรื่องเศรษฐกิจอเมริกาและยุโรปที่ยังอยู่ในสภาวะที่ยังไม่มีพัฒนาการอย่างเห็นชัดเจนมาก ทำให้เกิดความไม่แน่นอนที่สูง เนื่องจาก GDP ของทั้ง 2 ประเทศรวมกันเท่ากับครึ่งหนึ่งของโลก

ข้อสังเกตุอีกประการหนึ่ง คือ ตอนนี้ทั่วโลกเกิดสภาวะ ที่เรียกว่า economic paradox(ความขัดแย้งของตัวแปรทางเศรษฐกิจ) เช่น ประเทศพัฒนาแล้วมีความกลัวปัญหาตรงกันข้ามกับประเทศกำลังพัฒนา ยกตัวอย่างสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น กลัวปัญหาเงินฝืด ญี่ปุ่นภายใต้อาเบ้โนมิกจึงต้องการเร่งให้เงินเฟ้อขึ้นมาอีก 2 % จึงอัดฉีดเงินออกมามาก ขณะที่ประเทศกำลังพัฒนา ยกตัวอย่างอินเดีย อินโดนีเซียและอีกหลายๆ ประเทศ กลัวปัญหาเงินเฟ้อ

เช่นเดียวกัน ประเทศพัฒนาแล้วกลัวค่าเงินแข็ง ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนากลัวค่าเงินอ่อน สิ่งเหล่านี้นำไปสู่นโยบายที่แตกต่างกัน ทำให้การแก้ปัญหาเศรษฐกิจในภาพรวมยากขึ้น

2. Political uncertainty ปีหน้าในหลายประเทศจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นมากมาย ทั้งในอินโดนีเซีย อินเดีย เยอรมันนี จึงเกิดความไม่แน่นอนทางการเมืองสูง

3.Security uncertainty เช่น ปัญหาซีเรีย จะนำไปสู่ปัญหาบานปลายสู่อิหร่านหรือไหม ถ้าไปถึงอิหร่าน น้ำมันถูกกระทบแน่นอน

จากการที่เราอยู่ Triple uncertainty รัฐบาลจะบริหารประเทศอย่างไร? องค์กรธุรกิจต้องเตรียมตัวเองอย่างไร? ประชาชนต้องเตรียมตัวอย่างไร? ตรงนี้คือ คำถามใหญ่ที่เราต้องคำนึงถึง เพราะนอกจาก Triple uncertainty ในต่างประเทศ ในประเทศไทยยังมี Double uncertainty หรือความไม่แน่นอนในหลายด้าน เช่น political uncertainty ตอนนี้มีปัญหาการแก้รัฐธรรมนูญ ปัญหาเรื่องนิรโทษกรรม ที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ ทำให้การบริหารจัดการด้านการเมืองในประเทศไทยเริ่มแกว่งตัวมากกว่าช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ economic uncertainty แกว่งตัวมากขึ้น การแก้ไขปัญหาจึงยากลำบากมากยิ่งขึ้น เพราะการแก้ไขปัญหา economic uncertainty ซึ่งเป็นผลการลดทอน จากเตียลอยด์อีโคโนมี จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอาศัยความเข้มแข็งทางการเมืองซึ่งจะนำไปสู่การบริหารจัดการด้านนโยบายที่มีความน่าเชื่อถือ

สิ่งเหล่านี้ทำให้เราต้องคำนึงถึงเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมากกว่า การหาทางเร่งสารเนื้อแดงใหม่

แนวทางการตั้งรับจึงต้องรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคปัจจุบันแล้ววางยุทธศาสตร์ชาติให้มีความยืดหยุ่นคล่องตัว มีความพร้อมอยู่ตลอดเวลา แล้วใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เกิดขึ้น เช่น การรวมตัวของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี)ที่กำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆนี้ ประเทศไทยต้องวางตัวเองให้เป็นศูนย์กลาง 3 ด้าน คือ

1. ศูนย์กลางการค้าสินค้าเกษตร (Agriculture Supply Chain) วางตัวเองไม่ใช่แค่ประเทศผู้ผลิต แต่ต้องขยับไปเป็นผู้แปรรูปและส่งออกไปยังตลาดโลก เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มโดยใช้การผลิตจากประเทศเพื่อนบ้านให้เกิดประโยชน์

2. ศูนย์กลางด้านอุตสาหกรรมตั้งแต่อุตสาหกรรมรถยนต์ จักรยานยนต์ ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ไทยเหนือกว่าประเทศในอาเซียนจึงสามารถพัฒนาต่อยอดด้วยนวัตกรรมที่ส่งไปขายในอาเซียนได้ เมื่อกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนพัฒนาก็จะต้องการสินค้ากลุ่มนี้มากขึ้น รวมถึงด้านเครื่องใช้ไฟฟ้า ตั้งแต่ตู้เย็น หม้อหุงข้าว และโทรทัศน์ เมื่อเพื่อนบ้านเติบโตทางเศรษฐกิจหมายถึงความต้องการการสินค้ากลุ่มนี้ก็เพิ่มขึ้นด้วย

และ 3. ศูนย์กลางด้านการบริการตั้งแต่ท่องเที่ยว โลจิสติกส์, บริการสุขภาพ, ธุรกิจกีฬา, การศึกษา และด้านค้าปลีกค้าส่ง เนื่องจากประเทศไทยถือได้ว่ามีความโดดเด่นด้านนี้อย่างสูง

ต่อไปทิศทางเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกจะอิงภาคการเงินมากขึ้น เราต้องใช้ความได้เปรียบของประเทศไทยที่มีศักยภาพสูงและความพร้อมสูงกว่าหลายประเทศในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) รองรับการไหลเวียนทางการเงินโลกที่เข้ามาลงทุน เพราะตรงนี้ถือเป็นจุดสำคัญที่จะดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยได้ในอนาคตอันใกล้ เศรษฐกิจไทยก็จะมีเสถียรภาพมากขึ้น

ที่มา.สยามธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556

อย่าภูมิใจที่ได้เปรียบ ดุลการค้าชายแดน !!??

โดย. ธีรภัทร เจริญสุข

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้เขียนมีโอกาสได้ไปนำทางให้นักวิจัยท่านหนึ่งเพื่อเก็บข้อมูลด้านการค้าชายแดนตามจุดผ่อนปรนการค้า ท่าเรือ ด่านศุลกากร และตรวจคนเข้าเมืองในเขตจังหวัดหนองคาย ก็ได้พบกับข้อมูลเพิ่มเติมหลายๆ อย่างในส่วนรับผิดชอบของทางราชการ ที่เพิ่มเติมจากความรู้เดิมที่มีมาในสายตาพ่อค้าและบุคคลทั่วไปที่น่านำมาเล่าสู่กันฟัง

จากสถิติการค้าชายแดนที่ผ่านมา ประเทศไทยได้เปรียบดุลการค้าจากประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะ สปป.ลาว เป็นมูลค่าสูงมากในแต่ละปี ซึ่งผู้หลักผู้ใหญ่ในแวดวงราชการและหอการค้า ก็นำมาเป็นประเด็นภาคภูมิใจและกล่าวขวัญถึงในทางที่ดี ว่าเราสามารถหาเงินเข้าประเทศจากการค้าชายแดนได้เป็นจำนวนมาก และเป็นข้อได้เปรียบในการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน

แต่ที่จริงแล้ว หากเรามองกลับกัน เอาใจเขามาใส่ใจเรา ประเทศเพื่อนบ้านย่อมไม่น่าจะพอใจในภาวะที่ต้องพึ่งพาสินค้าจากประเทศไทยจนขาดดุลการค้าเป็นจำนวนมหาศาลเช่นนี้มาโดยตลอด

ที่ผ่านมา ประเด็นนี้ยังไม่ถูกจับตามองจากผู้บริหารภาครัฐของ สปป. ลาว เนื่องจากสินค้าที่นำเข้าหลักที่มีมูลค่าสูง เป็นสินค้าทุน เช่น น้ำมันเชื้อเพลิง เครื่องจักรกล

ชิ้นส่วนอุตสาหกรรม โดยสินค้าอุปโภคบริโภคมีมูลค่าคิดเป็นอัตราส่วนแล้วต่ำกว่ามูลค่าสินค้าทุนต่างๆ มาก เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะว่า การซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคเกิดขึ้นอย่างไม่เป็นทางการ เป็นการซื้อของประชาชนที่ข้ามชายแดนมาจับจ่ายรายครอบครัวแล้วขนเครื่องใช้ของกินเหล่านั้นกลับไปเองโดยไม่ผ่านระบบตรวจสอบภาษีศุลกากรของทั้งฝั่งไทยและฝั่งลาว

หลักฐานที่พบได้ว่าสินค้าและการบริโภคที่เกิดขึ้นจากการซื้อหาของประชาชนจากอีกฝั่งเห็นได้ชัดเจนจากการเพิ่มขึ้นของภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่จัดเก็บได้ในจังหวัดหนองคายที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปีกว่าปีละ 10% โดย VAT เหล่านี้แตกต่างจาก VAT ที่ได้จากการส่งออกอย่างเป็นทางการ เนื่องจากไม่มีการขอคืนภาษี (Tax Refund) ไม่ว่าจะเป็นการขอคืนภาษีเพื่อสนับสนุนการส่งออก (Export Tax Refund) หรือการขอคืนภาษีเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว (Tourist Tax refund) ทำให้รายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่มเหล่านี้ส่งตรงเข้าสู่คลังของรัฐเต็มๆ

แน่นอนว่า หากเราเป็นผู้บริหารประเทศของประเทศเพื่อนบ้าน คงเป็นเรื่องไม่น่าพิสมัยนัก ที่ประชาชนในประเทศนำเงินออกไปใช้จ่ายและเสียภาษีให้แก่ประเทศอื่นมากกว่าที่จะกินอยู่และใช้จ่ายในประเทศของตน

ดังนั้น ระยะหลังจึงเริ่มมีมาตรการจำกัดการค้าต่างๆ เกิดขึ้นจากฝั่ง สปป. ลาว เริ่มจากความเข้มงวดในการแลกเปลี่ยนเงินตรา โดยเฉพาะเงินบาทไทย ที่หากจะแลกเงินบาทจำนวนมากเพื่อมาซื้อสินค้าจากฝั่งไทย ก็ต้องผ่านการตรวจสอบและขออนุญาตจากทางรัฐมากขึ้น เริ่มมีมาตรการตรวจสอบการซื้อสินค้าของบุคคลธรรมดาที่ขับรถข้ามมาเที่ยวฝั่งไทยอย่างละเอียด รวมถึงการรณรงค์ให้ใช้เงินกีบและซื้อของที่ผลิตในประเทศ

คุณเผดิมเดช มั่งคั่ง นักวิชาการศุลกากร ด่านศุลกากรหนองคาย ได้ให้ข้อคิดที่น่าสนใจว่า ต่อไปนี้เราต้องเลิกมองแค่ว่าคนลาวเป็นลูกค้า เพราะลูกค้าถึงวันหนึ่งเขาก็มีทางเลือกจะไปซื้อสินค้าของพ่อค้ารายอื่น แต่เราต้องมองให้เขาเป็นนักลงทุน มาลงทุนค้าขายหรือผลิตสินค้าร่วมกับเรา หากเขาได้มาเป็นเจ้าของร่วมกันกับเราแล้ว เงินของเขาที่มาใช้จ่าย ก็เหมือนได้กลับคืนไป และสามารถนำมาใช้จ่ายใหม่ได้ตลอด ไม่ใช่เพียงจ่ายเงินไปซื้อของๆ คนอื่น แต่เป็นการอุดหนุนสินค้าของตัวเอง

อีกวิธีการหนึ่งที่อาจช่วยลดความตึงเครียดของดุลการค้าชายแดนคือ การนำมูลค่าการซื้อไฟฟ้าของ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เข้ามาคำนวณเป็นมูลค่าการค้าชายแดนด้วย เนื่องจากประเทศ ไทยได้พึ่งพาไฟฟ้าจากเขื่อนของประเทศลาวคิดเป็นมูลค่าซื้อไฟฟ้าจำนวนมากถึงปีละ 25,000-30,000 ล้านบาท ซึ่งถ้านำมาหักลบกับมูลค่าส่งออกแล้ว จะช่วยลดตัวเลขได้เปรียบดุลการค้าได้หลายส่วน

สุดท้ายคือ เราต้องร่วมกันเปลี่ยนแนวคิด จากการค้าเพื่อได้เพียงฝ่ายเดียว มาเป็นการค้าเพื่อเติบโตและเจริญก้าวหน้าไปด้วยกัน และร่ำรวยไปด้วยกันเพื่อสร้างความยั่งยืนของการค้าชายแดน

ที่มา.มติชน
////////////////////////////////////////////////////////////////

อุกฤษ มงคลนาวิน : ชี้คนทำรัฐประหารไม่มีแผ่นดินอยู่ !!??

"อุกฤษ"เผยทำงานแบบผู้ให้ ไม่มีผลประโยชน์ ย้ำการทำรัฐประหารปัจจุบันไม่ง่าย ชี้ประชาชนรู้ข่าวสารหมด ลั่นใครคิดทำจะไม่มีแผ่นดินอยู่

คณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) จัดเสวนาทางวิชาการเรื่อง "คอ.นธ. เพื่อประชาชน" โดยมีนายอุกฤษ มงคลนาวิน ประธานคอ.นธ. เป็นประธานกล่าวเปิดงาน และเสวนาผลการดำเนินการของคอ.นธ.ว่า วันนี้เป็นวันที่คอ.นธ.ครบ 2 ปี แต่ต้องลบออก 3 เดือนเพราะติดช่วงสถานการณ์น้ำท่วม ส่วนคอ.นธ.รอบ 2 ที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติคงไม่มีน้ำท่วม เพราะจะได้ทำงานเต็มที่ อย่างไรก็ตามการทำงานของคอ.นธ.เราเป็นคณะกรรมการชุดที่เป็นผู้ให้ ไม่ได้เป็นผู้รับ อาทิเช่น เราไม่มีการรับเบี้ยประชุม และเวลามีการประชุม หรือรับประทานอาหารก็จะใช้ค่าใช้จ่ายส่วนตัว ทั้งนี้การปกครองด้วยระบบนิติธรรมอย่างเดียวในปัจจุบันไม่เพียงพอ ต้องมีระบบทำนองครองธรรมด้วย ถึงอย่างไรก็ดีการทำงาน 2 ปีของคอ.นธ. ก็ให้รัฐบาลเป็นผู้ประเมินผล ซึ่งหลังจากครบ 2 ปี ก็ได้มีคนของรัฐบาล 6-7 คน มาขอร้องให้คณะกรรมการคอ.นธ.ชุดปัจจุบันดำรงตำแหน่งต่อไปเพื่อช่วยบ้านเมือง

ถ้าเราทำให้ประชาชนมีความสุข มีความเรียบร้อย มีความยุติธรรม มีมาตรฐานเดียว เมื่อนั้นพวกเราจะนอนตายตาหลับ ซึ่งสิ่งที่คอ.นธ.ทำไม่ได้มีผลประโยชน์อะไร แต่มีความสุขที่ได้ทำ ทั้งนี้เราใช้เงินน้อย เพราะไม่มีเงินตำแน่ง ไม่มีรถประจำตำแหน่ง ไม่มีเดินทางไปต่างประเทศ ดังนั้นงบประมาณที่ตั้งไว้ให้แต่ละปีเหลือทุกปี เราไม่ใช่นักบริหาร จึงบริหารงบประมาณไม่เป็น อย่างไรก็ตามการทำหน้าที่ขอให้นึกถึงประชาชน ขอให้ทุกคนเป็นผู้ให้ มากกว่าที่จะเป็นผู้รับ"นายอุกฤษ กล่าว

โดยภายลังเสร็จสิ้นงานเสวนา ศาสตราจารย์ ดร.อุกฤษ กล่าวถึงการครบรอบ 7 ปีการรัฐประหาร 19 ก.ย. ว่า ในมุมมองของตนการรัฐประหารในเดือนก.ย.ในขณะนั้น ต่อมาในดือนพ.ย.-ธ.ค. ตนก็ได้ออกรายการทีวีให้ความเห็นเกี่ยวกับการทำรัฐประหารไว้ชัดเจนแล้วว่า การทำรัฐประหารในครั้งนั้นทำให้บ้านเมืองเสียหายอย่างมาก เพราะเสียหายทั้งทางด้านเศรษฐกิจ ด้านการเมือง ด้านสังคม รวมถึงเรื่องระหว่างประเทศด้วย เพราะในปัจจุบันโลกเสรีเขาไม่ยอมรับการรัฐประหารแล้ว แต่ในขณะนั้นคงไม่มีใครกล้าพูดเท่าไหร่ แต่ตนก็ได้พูดเตือนแล้วว่าทีหลังอย่าทำอีก ถ้าทำบ้านเมืองจะเสียหายอีกเยอะ

อย่างไรก็ตามจากการทำรัฐประหารในปี 2549 ผู้ที่ทำรัฐประหารก็ยอมรับแล้วว่า คิดผิดที่ทำรัฐประหาร เพราะทำให้บ้านเมืองเสียหายจริง และปัญหาความแตกแยกที่คิดว่าจะทำให้ดีขึ้นกลับทำให้แตกแยกระเอียดมากกว่าเดิม

ส่วนคนที่มองว่าไม่มีใครชอบการทำรัฐประหารแต่ในขณะนั้นถ้าไม่หยุดด้วยวิธีนี้ก็จะทำให้บ้านเมืองเสียหายไปมากกว่านี้ นายอุกฤษ กล่าวว่า ไม่จริงเลย ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงภายหลังการรัฐประหารที่มีการเลือกตั้งทำไมคนไม่สนับสนุน แม้กระทั่งหัวหน้าการทำรัฐประหารเองที่มีการตั้งพรรคการเมือง นั้นก็แสดงให้เห็นว่าประชาชนไม่เอาด้วย

ส่วนสถานการณ์ปัจจุบันที่หลายฝ่ายกังวลว่าจะเกิดขึ้นอีก เพราะที่ผ่านมามีการปล่อยข่าวมาเป็นระยะจากฝ่ายการเมืองนายอุกฤษ กล่าวว่า สิ่งที่สำคัญคือเรื่องข่าวที่สื่อขยายข่าวออกไปเป็นวงกว้างมากขึ้น แต่ตนไม่ได้ตำหนิสื่อ แต่สื่อต้องฟังหูไว้หู และต้องศึกษาประวัติศาสตร์บ้าง และเวลาใครปล่อยข่าวอะไรออกมาก็ให้มีการกรองข่าวบ้าง เพราะการออกข่าวไปแบบไม่ได้มีการกรองข่าวก็เหมือนเป็นยาพิษให้แก่ประชาชน แต่อย่างไรก็ตามการรัฐประหารในปัจจุบัน ต่อไปใครที่คิดจะแก้ปัญหาด้วยการใช้กำลัง ประเทศไหนก็ตาม ไม่ง่ายเหมือนในอดีตแล้ว เพราะประชาชนรู้ข้อมูลทุกอย่างจากสื่อหมดแล้ว และถ้ามีการทำรัฐประหารก็จะมีคนต่อต้าน และผู้ที่ทำรัฐประหารจะไม่มีแผ่นดินอยู่แน่นอน

"ตั้งแต่ปี 2540 หมดสมัยไปแล้วที่จะมาใช้วิธีการทำรัฐประหาร ต้องเดินหน้าได้แล้ว เพราะเดี๋ยวนี้เราถอยหลังกลับไปอยู่หลังประเทศพม่า ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมาก เพราะเราเป็นคนนำ ทั้งนี้ถ้านักการเมืองบ้านเราเล่นการเมือง เหมือนกับเล่นกีฬา ที่ต้องทำตามกฎกติกามารยาท และไม่มีอคติ การเมืองก็จะเดินไปได้ และทุกปัญหาจะไม่เกิด บ้านเมืองเราตอนนี้เหมือนเราประคองสถานการณ์ไว้ ขอให้หวังดีกับบ้านเมือง หวังดีกับประชาชน และอย่าหวังว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยในเวลาอันรวดเร็ว แต่เมื่อทุกอย่างถึงจุดวิกฤติสุดแล้วทุกอย่างจะดีเอง.

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2556

กนอ.ชงบอร์ดตั้งนิคม !!??

 กนอ.เล็งชงบอร์ดอนุมัติ 2 โครงการตั้งนิคมเอสเอ็มอีที่นครราชสีมาและนครพนม ภายในเดือน ก.ย.56 นี้ คาดมีมูลค่าลงทุนกว่า 2.4 แสนล้านบาท เผยความคืบหน้าการส่งเสริมนิคมอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมมาเป็นนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ เริ่มแล้ว 15 แห่ง ยันภายในสิ้นปีนี้จะเป็น 18 แห่ง
   
นายวีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า ภายในเดือน ก.ย.นี้จะเสนอคณะกรรมการ (บอร์ด) กนอ.พิจารณากรณีที่เอกชนยื่นขอจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมใหม่ 13 โครงการ พื้นที่รวม 30,000 ไร่ ซึ่งคาดว่าการจัดตั้งนิคมฯ แห่งใหม่จะทำให้มีเงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐานรวม 240,000 ล้านบาทในช่วง 2 ปี
   
โดยเฉพาะในส่วนของนิคมฯ พลังงานทางเลือกนั้น มีเอกชนเสนอมา 2 โครงการในจังหวัดนครราชสีมา พื้นที่ 1,000 ไร่ ลงทุนประมาณ 8,000 ล้านบาท เป็นพื้นที่พัฒนามันสำปะหลังครบวงจร ตั้งแต่โรงงานมันฯ โรงงานผลิตไฟฟ้า เอทานอล รวมแล้วจะมีกว่า 10 โรงงาน ส่วนอีกที่จังหวัดนครพนม พื้นที่ 470 ไร่ ใช้ยางพาราและปาล์มน้ำมันเป็นวัตถุดิบ
   
ทั้งนี้ 2 โครงการ เป็น 1 ใน 13 โครงการก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมใหม่ที่ภาคเอกชนเสนอ และผ่านการคัดเลือก ซึ่ง ที่ผ่านมาเมื่อวันที่ 1 เม.ย. - 13 พ.ค.2556 กนอ.ได้ออกประกาศเชิญชวนเอกชนเสนอพื้นที่เพื่อจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเอสเอ็มอีทั่วประเทศ นิคมอุตสาหกรรมบริหารด้านโลจิสติกส์อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย และนิคมอุตสาหกรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบว่ามีผู้สมัคร 28 โครงการ แต่ผ่านเกณฑ์คัดกรอง 13 โครงการ แยกเป็นนิคมฯ เอสเอ็มอี 5 โครงการ นิคมฯ เชียงของ 2 โครงการ และนิคมฯ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 6 โครงการ
   
นายวีรพงศ์กล่าวถึงความคืบหน้าการส่งเสริมนิคมอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมมาเป็นแบบ Eco Industrial Town หรือนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ว่า ปัจจุบันรณรงค์ไปแล้ว 15 แห่ง และภายในสิ้นปีนี้จะเป็น 18 แห่ง โดยมีเป้าหมายรณรงค์ปีละ 3 แห่ง จากนิคมอุตสาหกรรมทั้งหมด 48 แห่ง นอกจากนี้ จะทบทวนนิมคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศที่ดำเนินการไปแล้วจำนวน 10 แห่ง เพื่อยกระดับให้ได้มาตรฐานที่ดีมากขึ้น เนื่องจากการประเมินนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศทั้ง 15 แห่ง พบว่ายังอยู่ในระดับ 2 ดาวจำนวน 3 แห่ง และระบดับ 3 ดาวจำนวน 12 แห่ง ดังนั้น กนอ.ต้องการให้นิคมอุตสาหกรรมขึ้นมาอยู่ในระดับ 5 ดาว โดยตั้งงบประมาณการยกระดับนิคมอุตสาหกรรมดังกล่าวไว้ที่ 8 ล้านบาท.

ที่มา.ไทยโพสต์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////