--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ปัญหาหนี้ครัวเรือน เป็นวิกฤติประเทศ !!??

กลายเป็นเรื่องที่ควรจับตาขึ้นมาทันที สำหรับปัญหา “หนี้ครัวเรือน” ที่ต้องยอมรับว่าก่อนหน้านี้มีทั้งนักวิชาการ และหน่วยงานทางด้านเศรษฐกิจมากมาย ออกมาส่งสัญญาณเป็นนัยๆ ว่า ปัญหาดังกล่าวเริ่มส่อเค้าความน่าเป็นห่วงขึ้นในสังคมไทยมากขึ้นไปทุกทีๆ เพราะทันทีที่ “ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)” ออกมาชี้แจงถึงสถานการณ์ของปัญหานี้ว่าเริ่มมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการกู้ยืมภาคครัวเรือนของสถาบันรับฝากเงินทั้งระบบ ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2556 ที่ผ่านมา มียอดการให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนอยู่ในระดับสูงถึง 8.97 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ระดับ 7.72 ล้านล้านบาท หรือนับเป็นการเพิ่มสูงขึ้นถึง 1.25 ล้านล้านบาท หรือ 16.24%
   
และการเพิ่มขึ้นของหนี้ครัวเรือนนี้ ส่วนหนึ่งก็มาจากสถาบันรับฝากเงิน ทั้งในส่วนของธนาคารพาณิชย์ ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ สหกรณ์ออมทรัพย์ และสถาบันรับฝากเงินอื่นๆ ที่มียอดการปล่อยสินเชื่อแก่ภาคครัวเรือนในไตรมาสแรกของปี อยู่ที่ 7.84 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 6.83 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 1 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 14.6% โดยในส่วนนี้นี่เองยังมีการเพิ่มขึ้นจากสถาบันการเงินอื่นๆ อาทิ บัตรเครดิต, ลีสซิ่ง, สินเชื่อบุคคล, บริษัทประกันภัยและประกันชีวิต และอื่นๆ ที่มียอดการให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนอยู่ที่ 8.84 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.44 แสนล้านบาท หรือ 27.66%
   
ขณะที่หนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นในส่วนของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ พบว่ามีการปล่อยสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 2.72 ล้านล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ปล่อยสินเชื่ออยู่ที่ 2.53 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 1.92 แสนล้านบาท 7.6% ส่วนสหกรณ์ออมทรัพย์ก็ถือเป็นเรื่องที่น่าจับตา  เพราะพบว่ามีการปล่อยสินเชื่ออยู่ที่ 1.35 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.77 แสนล้านบาท หรือ 15.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และนี่เองคือตัวเลขการเพิ่มขึ้นในเบื้องต้นจากการปล่อยสินเชื่อของภาคต่างๆ ที่สะท้อนถึงภาวะ “หนี้ครัวเรือน” ที่เริ่มเข้าสู่ระดับอันตราย
   
ขณะที่ “กอบศักดิ์ ภูตระกูล” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ยังออกมาชี้แจงอีกว่า  ระดับหนี้ครัวเรือนของประเทศไทยในปัจจุบันมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จากระดับ 40% ของจีดีพี เพิ่มเป็น 80% ของจีดีพี ซึ่งเป็นระดับที่น่าเป็นห่วง และใกล้เคียงกับสหรัฐ สิงคโปร์และมาเลเซีย และเรื่องนี้เองถือเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในอนาคตหากรัฐบาลยังต้องการพึ่งพาการใช้จ่ายภาคประชาชนในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ
   
แต่ความร้อนแรงของปัญหา “หนี้ครัวเรือน” ยังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะล่าสุด “เอแบคโพล” ออกมาเปิดเผยถึงผลงานวิจัยเรื่อง ภาระหนี้สินของประชาชน กรณีศึกษา หัวหน้าครัวเรือนที่มีอายุ 25-60 ปี ที่อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 1.2 พันตัวอย่าง พบว่ามากกว่า 61% มีภาระหนี้สินที่ต้องผ่อนชำระเมื่อเทียบกับรายได้ในแต่ละเดือน โดยตัวอย่าง 30.6% ระบุต้องผ่อนชำระ 26-50% ของรายได้ต่อเดือน และ 26.4% ระบุต้องผ่อนชำระหนี้สินไม่เกิน 25% ของรายได้ต่อเดือน รวมถึง 4% ระบุต้องผ่อนชำระมากกว่า 50% ของรายได้ต่อเดือน ในขณะที่ 39% ระบุไม่มีหนี้สินที่ต้องชำระหรือผ่อนชำระ
   
ขณะที่ตัวอย่างกว่า 60% ระบุมีหนี้สินที่เป็นหนี้ในระบบมากที่สุด รองลงมา คือ หนี้นอกระบบ และหนี้ทั้งในและนอกระบบ รวมถึงกลุ่มตัวอย่างยังได้แสดงความต้องการอยากให้รัฐบาลชุดปัจจุบันดำเนินการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ โดย 63.7% อยากให้นำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้อย่างจริงจัง รวมถึงอยากให้มีการปรับสมดุลราคาสินค้าให้มีความสอดคล้องกับรายได้และค่าแรงขั้นต่ำ จัดสวัสดิการให้ประชาชนอย่างครอบคลุม
   
“ปภาดา ชินวงศ์” ผู้จัดการโครงการวิจัยดังกล่าวระบุว่า  จากการศึกษาครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มตัวอย่างมีภาระหนี้สิน สำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยต้องเผชิญกับปัญหาหนี้สินนอกระบบ รวมถึงภาระการจ่ายอัตราดอกเบี้ยที่สูง ดังนั้น รัฐบาลควรเข้ามาแก้ไขนอกจากตัวกฎหมายในการควบคุม ยังรวมไปถึงการให้ข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนให้ทั่วถึง นอกจากนี้ผู้มีรายได้ตั้งแต่ 1 หมื่นบาทขึ้นไป ซึ่งส่วนใหญ่มีการกู้เงินมาซื้อรถยนต์ ซื้อบ้าน ซึ่งเป็นผลมาจากการผลักดันจากนโยบายรัฐบาล เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการขาดสภาพคล่องที่จะนำไปสู่ภาวะหนี้เสีย รัฐบาลควรออกมาปลูกจิตสำนักให้ประชาชนในการนำหลักแนวคิด “เศรษฐกิจพอเพียง” มาใช้ ซึ่งกลุ่มตัวอย่างเกือบ 2 ใน 3 ต้องการให้รัฐบาลนำหลักการดังกล่าวมาใช้อย่างจริงจังด้วย
   
ขณะที่ “เมธี สุภาพงษ์” ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ธปท. ระบุว่า ปัญหาดังกล่าวยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาและให้ความสำคัญ  เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีแรกมีสัญญาณที่ชะลอตัวลง ทำให้ประชาชนเริ่มระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น จึงอาจเป็นผลทำให้ช่วงนี้ “หนี้ครัวเรือน” ไม่เร่งตัวขึ้นแรงเหมือนช่วงที่ผ่านมามากนัก แต่จากสัญญาณกลับพบว่ายังมีแรงส่งให้อัตราหนี้ครัวเรือนดังกล่าวเร่งตัวขึ้นได้ จากโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล
   
“เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ออกมายืนยันด้วยว่า ขณะนี้แนวโน้มของอัตราหนี้ครัวเรือนของไทยเริ่มมีสัญญาณที่แผ่วลงจากช่วงก่อนหน้าที่ผ่านมา ซึ่งมีการขยายตัวอยู่ในระดับสูง จากแรงส่งในเรื่องนโยบายประชานิยมของรัฐบาล โดยเฉพาะโครงการรถคันแรก รวมไปถึงการเร่งปล่อยสินเชื่อเพื่อสนับสนุนการอุปโภคบริโภคที่มีการเติบโตอย่างสูง โดยเรื่องนี้ สศค.ยังอยู่ระหว่างการติดตามความเคลื่อนไหวของตัวเลขดังกล่าวอย่างใกล้ชิด  เนื่องจากเป็นปัจจัยที่น่าเป็นห่วง เพราะอาจมีผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศด้วย
   
ด้านภาคเอกชนอย่าง “ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี หรือ TMB” ระบุว่า หนี้ครัวเรือนของไทยที่เกิดจากระบบสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนมีขนาด 75% ของจีดีพี ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มขึ้นจากไตรมาสสุดท้ายของปี 2551 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 57% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นจากธนาคารพาณิชย์ 42% สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ 30% สหกรณ์ออมทรัพย์ 15% บริษัทบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล 10% และจากปัจจัยอื่นๆ อาทิ บริษัทประกัน โรงรับจำนำ เป็นต้น อีกราว 3%
   
โดยโครงสร้างหนี้ครัวเรือนตามการปล่อยกู้ของธนาคารพาณิชย์ แบ่งได้เป็นสินเชื่อที่เกี่ยวเนื่องกับภาคอสังหาริมทรัพย์ 46% สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และจักรยานยนต์ 29% รวมถึงสินเชื่อเพื่อการอุปโภค-บริโภค และอื่นๆ ซึ่งรวมถึงสินเชื่อเงินสดด้วยที่ 24% เพิ่มขึ้น 8% จากปี 2551 ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ไม่น่ามองข้าม เพราะเป็นหนี้ที่เกิดจากการซื้อรถยนต์ การใช้เงินผ่านบัตรเครดิต และสินเชื่อเงินสดต่างๆ หรือคิดง่ายๆ คือในช่วง 6 ปีที่ผ่านมาการใช้จ่ายด้านการอุปโภค-บริโภคในรายบุคคลเพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึง 5.4% ต่อปี
   
นี่ถือเป็นสัญญาณอันตรายประการสำคัญเรื่องหนึ่งที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมองข้ามเสียไม่ได้ เพราะการเพิ่มขึ้นของ “หนี้ครัวเรือน” สะท้อนถึงความเป็นอยู่ของประชาชนในประเทศ การพยายามจากรัฐบาลในการเร่งออกมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน ผ่าน “โครงการประชานิยม” อาจไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องเสมอไป นั่นเพราะเป็นการกระตุ้นให้ประชาชนดึงเงินในอนาคตออกมาใช้จ่ายก่อนเวลาอันสมควร
   
ซึ่งเรื่องนี้นักวิชาการหลายคนออกมาคัดค้านและต่อต้าน  “โครงการประชานิยม” สุดโต่งของรัฐบาลว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมและไม่ถูกต้อง และโครงการดังกล่าวยังไม่ได้ช่วยทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิต หรือมีฐานะที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง  เพราะเนื้อในแล้วกลับเต็มไปด้วย “หนี้สิน” ที่ถูกพอกพูนขึ้นจากแรงกระตุ้นของภาครัฐ แม้ว่าที่ผ่านมารัฐบาลจะอ้างว่า  “โครงการประชานิยม” จะช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศขยายตัวได้ดีขึ้น แต่นั่นคงเป็นเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น
   
เพราะเมื่อผ่านมาในช่วงระยะเวลาใดระยะเวลาหนึ่ง แรงส่งจากความสามารถในการใช้จ่าย การอุปโภค การบริโภคของประชาชนหมดหรือแผ่วลง ตามภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ ที่ยังขึ้นอยู่กับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกเป็นหนัก นั่นสะท้อนถึง ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศในเนื้อแท้ว่า ไม่ได้มีการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งเลย
   
โดยเรื่องนี้ “สมประวิณ มันประเสริฐ” รองคณบดี คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการเร่งการบริโภคของภาคประชาชน ผ่านโครงการประชานิยม เหมือนเป็นการดึงเงินในอนาคตมาใช้ และการบริหารประเทศด้วยนโยบายดังกล่าว ก็ไม่ได้ช่วยทำให้ประชาชน “รวย” ขึ้นได้ในอนาคต แต่กลับเป็นการสร้างภาระหนี้ภาคครัวเรือนให้เพิ่มสูงขึ้นเสียมากกว่า
   
ดังนั้น การสนับสนุนให้ประชาชนรู้จักคำว่า “เพียงพอ พอเพียง” น่าจะเป็นแนวทางที่ดีที่สุด การชี้แจง ทำความเข้าในและกระตุ้นให้คนรู้จักการ “ออม” น่าจะเป็นแนวทางที่ถูกต้องที่สุดสำหรับประเทศไทยในภาวะที่ต้องแบกรับหรือได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกเช่นนี้
   
นี่ถือเป็นความท้าทายและเป็นความเสี่ยงของรัฐบาลในการบริหารประเทศ ที่มีทั้งปัญหาภายในและนอกรุมเร้าเช่นนี้  นั่นเพราะปัญหา “หนี้ครัวเรือน” ที่เกิดขึ้นนั้น กำลังสะท้อนถึงความสามารถในการใช้จ่ายของประชาชน ที่รัฐบาลพยายามหมายหมั้นปั้นมือว่าจะใช้เป็นกลจักรสำคัญตัวใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศแทนภาคการส่งออกที่แผ่วแรงลงตามกำลังซื้อของทั่วโลก
   
หากรัฐบาลยังนิ่งนอนใจกับปัญหาดังกล่าว เชื่อได้เลยว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้ และในระยะต่อๆ ไปอาจถึงคราว “ติดหล่มหนี้ครัวเรือน” จนส่งผลกระทบต่อความสามารถในการขยายตัวในระยะยาวก็เป็นได้ เนื่องจากแนวโน้ม “หนี้ครัวเรือน” ที่แม้จะทุเลาความร้อนแรงลง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าปัญหาดังกล่าวจะหมดไป เพราะหลายฝ่ายยังประเมินว่า “หนี้ครัวเรือน” ยังมีความเป็นไปได้ที่จะขยายตัวอย่างช้าๆ อีกระยะหนึ่ง.

ที่มา.ไทยโพสต์
//////////////////////////////////////////////////////

อำนาจ ไม่เที่ยง !!?

มีคนจำนวนมากตั้งเป้าหมายในชีวิตว่าอยากไต่เต้าขึ้นสู่ความเป็นใหญ่ ความมีอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นใหญ่ในบริษัท ในวงการสาขาอาชีพ หรือแม้แต่เป็นใหญ่ในบ้านในเมือง มีอำนาจล้นมือ เพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ปรารถนา สามารถทำอะไรได้ตามอำเภอใจในที่นั้นๆ โดยลืมสัจธรรมที่ว่า สรรพสิ่งเป็นอนิจจัง คือมีความไม่เที่ยงเป็นที่ตั้ง แปรเปลี่ยนไม่แน่นอน ทุกขัง ความแปรเปลี่ยน ไม่อาจคงอยู่ ทำให้เกิดความรู้สึกที่รับได้ยาก เป็นทุกข์ และอนัตตา ก็คือความไม่มีตัวตน คือสุดท้ายแล้วก็ไม่เหลืออะไร
   
เมื่อไม่อาจเข้าใจในสัจธรรมดังกล่าว ผู้คนจึงหลงติดอยู่กับอำนาจ หลงติดอยู่กับสิ่งที่ตนเองเชื่อว่าเป็น "ความพิเศษ" หรือ "สิทธิพิเศษ" ที่เข้าใจว่าเป็นสิ่งดี ดังนั้น ไม่ว่าจะเพื่อให้ได้มา หรือการรักษาอำนาจที่ได้มาไว้ จึงยอมทำทุกวิถีทาง โดยไม่ได้สนใจว่า สิ่งที่กระทำลงไปนั้นถูกต้องต่อศีลธรรมหรือไม่ หรือสิ่งที่กระทำลงไป ได้สร้างความเดือดร้อน ความลำบาก หรือความเสียหายต่อทรัพย์สินและชีวิตผู้ใด ด้วยหวังเพียงอยากจะได้เสพสุข หรือรักษาการเสพสุขของตนเองในอำนาจหรือความมั่งคั่งเหล่านั้นเอาไว้
   
หากใครที่ติดตามข่าวในประเทศจีน จะพบว่าเมื่อปีที่แล้ว มีข่าวที่ฮือฮามากข่าวหนึ่ง ที่แทบไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นในประเทศจีน ก็คือการปลดเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำสาขาฉงชิ่ง ที่มีชื่อว่า "ป๋อซีไหล" จากนั้นก็ทำการปลดจากทุกตำแหน่งทางการเมือง และไม่นานก็ถูกส่งเข้าสู่การดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม จากนั้นเราก็เห็นว่าป๋อซีไหล รวมไปถึงข่าวของเขา ได้หายไปจากหน้าของสื่อทุกประเภทเป็นเวลากว่า 1 ปี
   
จนกระทั่งล่าสุด ได้มีการเปิดเผยว่า ขณะนี้ทางอัยการได้เตรียมยื่นฟ้องป๋อซีไหลใน 3 คดีใหญ่ ซึ่งคดีนี้จะถูกพิพากษาในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ที่ศาลประชาชนชั้นกลางเมืองงจี้หนาน มณฑลซานตง ซึ่งมีการคาดเดากันว่า ศาลน่าจะทำการพิพากษาราวเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนการเปิดประชุมสภาประชาชนทั่วประเทศประจำปี
   
การที่คดีนี้เป็นคดีใหญ่ และเป็นที่จับตาไม่ว่าจะเป็นประชาชนชาวจีน หรือแม้แต่ในระดับโลกก็เพราะว่า "ป๋อซีไหล" เป็นบุคคลที่ "ไม่ธรรมดา" และเพื่อให้เห็นถึงความสำคัญของบุคคลผู้นี้ จึงอยากจะเท้าความถึงความเป็นมาให้ได้รู้จักกันอีกครั้งก่อน เพื่อจะได้เห็นถึงสภาพของคดี และความสำคัญมากยิ่งขึ้น
   
ป๋อซีไหลเป็นลูกชายคนที่ 2 ของป๋ออีปอ หนึ่งในผู้นำอาวุโสของพรรคคอมมิวนิสต์ โดยหัวหน้ากลุ่มนี้ถูกกวาดล้างในยุคปฏิวัติวัฒนธรรม ในข้อหาสนับสนุนการค้าขายกับตัวตะวันตก ป๋อและครอบครัวถูกจำคุก แม่ของเขาฆ่าตัวตายในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม แต่สุดท้ายพ่อของเขากลับมาอีอำนาจอีกครั้ง โดยได้รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีหลังยุคของเติ้งเสี่ยวผิง
   
ป๋อซีไหลได้เรียนจนจบการศึกษาภาควิชาประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง และได้เข้าทำงานในหน่วยงานที่เป็นคลังสมองของรัฐบาล เขาเริ่มก้าวเข้าสู่สายอาชีพเจ้าหน้าที่รัฐในช่วงปลายทศวรรษ 1970 ถือว่าเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีการศึกษา มีความสามารถที่เข้ามาอยู่ในพรรคคอมมิวนิสต์
   
ชีวิตของป๋อไต่เต้ามาเรื่อย ๆ เคยเป็นผู้ว่าฯเมืองต้าเหลียน และทำให้เมืองต้าเหลียนเจริญขึ้นจนเป็นที่อิจฉาของชาวเมืองอื่น ๆ จนอยากให้เขามาปกครองเมืองของตัวเองบ้าง ต่อมาก็ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์อยู่หลายปี จนกระทั่งล่าสุดที่ได้ถูกส่งตัวมา โดยถือเป็นความหวังในการพัฒนาหัวเมืองตะวันตกอย่างฉงชิ่ง
   
เมืองฉงชิ่งถือว่าเป็นการดำรงตำแหน่งทางการเมืองสุดท้ายของเขา เพราะเขาถูกปลดและจับกุมตัวในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำสาขาฉงชิ่ง ควบตำแหน่งคณะกรรมการประจำกรมการเมือง และคณะกรรมการกรมการเมือง เรียกว่าจุดสูงสุดของเขาก็คือจุดจบของเขาด้วยเช่นกัน
   
การมาเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำสาขาฉงชิ่งถือว่าเป็นตัววัดความสามารถของป๋อได้เป็นอย่างดี ผลงานของเขาในช่วงก่อนถูกจับกุม ถึงขั้นได้รับการขนานนามจากทั่วประเทศ และหลาย ๆ ประเทศว่าเป็น "ฉงชิ่งโมเดล" ซึ่งผู้เขียนยังจำได้ว่า ก่อนที่เขาจะถูกจับนั้น ตอนที่ไปเยือนเมืองฉงชิ่ง ก็เห็นได้ถึงความเจริญก้าวหน้าอย่างผิดหูผิดตา และคำชื่นชมจากชาวเมืองที่นั่นไม่ขาดปาก
   
เริ่มจากหลังดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำสาขาฉงชิ่ง ซึ่งถูกยกเป็นมหานครเทียบเท่าปักกิ่งกับเซี่ยงไฮ้ได้ไม่นาน ป๋อซีไหลได้ทำการปราบปรามอาชญากรรม และกลุ่มมาเฟียขนานใหญ่ และถึงขั้นรื้อระบบโครงสร้างของกรมตำรวจฉงชิ่งแบบนับหนึ่ง เพราะตำรวจในเมืองนี่แหละที่ถือเป็นตัวปัญหาในกระบวนการยุติธรรมปฐมภูมิ รวมถึงยังมีตำรวจระดับบิ๊กหลายคนที่เป็น "มาเฟียŽขาใหญ่ตัวจริงในเมือง ทำให้ฉงชิ่งที่เคยเป็นเมืองอาชญากรรม และเมืองซ่องสุมมาเฟียอันดับต้น ๆ ของโลกนั้นมีความสงบสุขขึ้นอย่างผิดหูผิดตา
   
นอกจากนั้นป๋อซีไหลยังได้เปิดมีนโยบายพัฒนาที่เรียกว่า "5 พัฒนาแห่งฉงชิ่ง" ได้แก่การพัฒนา "ระบบคมนาคม" ด้วยการซ่อมแซมถนนขนานใหญ่ และสร้างทางด่วนเพิ่มให้เป็น 3,000 กิโลเมตรในเมือง "สร้างเมืองสีเขียว" ที่กำหนดให้มีการเพิ่มพื้นที่สีเขียวร้อยละ 38 ของพื้นที่ใน 5 ปี และตั้งเป้าไว้ที่ร้อยละ 45 ในลำดับต่อไป จนคนที่ผ่านไปมาได้เห็นถึงการปลูกต้นไม้ควบคู่กับการก่อสร้างเต็มไปหมด
   
นโยบายอื่น ๆ อย่างเช่นเมืองน่าอยู่ ด้วยการปรับอัตราของสังคมเมืองกับสังคมชนบท นโยบายเมืองสุขภาพดี ที่รณรงค์ให้ออกกำลังกาย เสริมสร้างด้านสาธารณสุข และยกระดับอายุเฉลี่ยของประชาชนในเมืองจาก 71 เป็น 77 ปี และนโยบายเมืองปลอดภัยที่นอกจากปราบปรามอาชญากรรมแล้ว ยังมีการติดกล้องวงจรปิดเพื่อระวังภัย การลงโทษผู้ทรงอิทธิพลอย่างจริงจัง ฯลฯ และด้วยนโยบายเหล่านี้ ทำให้เขาถูกกล่าวขวัญและได้รับการยอมรับอย่างมากในเวลานั้น
   
นี่คือความยิ่งใหญ่ของป๋อซีไหลที่เรียกว่าอยู่ในวงการการเมืองจีนมาอย่างช้านาน แต่แล้วจุดจบหรือชะตากรรมในปัจจุบันของเขาที่สะท้อนความไม่จีรังแห่งอำนาจนั้นจะเป็นเป็นอย่างไร มาติดตามกันต่อในฉบับหน้านะครับ

ที่มา.สยามรัฐ
////////////////////////////////////////////////////////

เตือนจำนำข้าว ล้นโลก !!??


จำนำข้าว,สต็อกข้าวล้น

นักวิชาการเตือนรัฐบาลขาดทุนหนักโครงการรับจำนำข้าว เหตุสต็อกข้าวโลกพุ่งสูงขึ้น กดราคาร่วง ด้านสต็อกข้าวในเอเชียแนวโน้มทะยาน

นายสมพร อิศวิลานนท์ นักวิชาการอาวุโส สถาบันคลังสมองของชาติ กล่าวเตือนว่ารัฐบาลจะเผชิญกับภาวะการขาดทุนจากโครงการรับจำนำมากขึ้น หากไม่ลดราคารับจำนำ เนื่องจากขณะนี้เกิดภาวะข้าวล้นโลก เนื่องจากผลผลิตออกมามาก แต่หาคนซื้อได้น้อยลง

"ปัจจุบันสถานการณ์ค้าข้าวในตลาดโลกมีความตึงตัวมากขึ้น เนื่องจากความต้องการข้าวที่ลดลงและผู้ส่งออกข้าวในประเทศต่างๆ ที่เข้ามาแข่งขันในตลาดโลกมากขึ้น เช่น หลายประเทศในละตินอเมริกาวางแผนที่ส่งข้าวนึ่งไปขายยังแอฟริกาในระยะเวลาอีก 2 ปีข้างหน้า ขณะที่เวียดนามเองก็มีงบประมาณในการปรับปรุงพันธุ์ข้าวและเพิ่มผลผลิตข้าวปีละ 3 พันล้านบาท ในขณะที่ไทยมีงบประมาณด้านนี้เพียง 300 ล้านบาท" นายสมพร กล่าวในการบรรยายพิเศษเรื่อง “เปิดปมนโยบายข้าวไทย” จัดโดย ภาควิชาพืชไร่นา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

จากข้อมูลของสถาบันฯ พบว่าตลาดข้าวไทยในปี 2555 เทียบกับปี 2554 หดตัวลงในทุกตลาดการค้าทั้งในด้านปริมาณและมูลค่า เช่น ตลาดเอเชียปริมาณลดลง 64.8% มูลค่าการส่งออกลดลง 54.03% ตะวันออกกลางปริมาณลดลง 14.5% และมูลค่าลดลง 2.75% และตลาดเอเชียตะวันออกปริมาณลดลง 39.43% และมูลค่าการส่งออกลดลง 30.41%

"สาเหตุที่ปริมาณความต้องการข้าวในตลาดโลกลดลง เนื่องจากหลายประเทศเริ่มส่งเสริมการปลูกข้าวเพื่อบริโภคเองภายในประเทศ และการเก็บสต็อกข้าวเพื่อความมั่นคงทางอาหารที่อยู่ในอัตราสูง"

นายสมพร ยกตัวอย่างจีนมีสต็อกข้าว 45.02 ล้านตัน อินเดีย 25.10 ล้านตัน อินโดนีเซีย 4.5 ล้านตัน ขณะที่ไทยมีประชากรน้อยกว่าอินโดนีเซียแต่ก็มีสต็อกข้าวไม่ต่ำกว่า 17 ล้านตัน ซึ่งการที่ตลาดข้าวรับรู้ปริมาณสต็อกข้าวจำนวนมหาศาล ส่งผลให้ราคาข้าวไม่ปรับเพิ่มขึ้น รวมทั้งมีทิศทางราคาที่ปรับตัวลดลงในบางช่วงเวลา

"ปริมาณข้าวเปลือกในสต็อกของรัฐบาลน่าจะมีสูงถึง 37 ตันข้าวเปลือก หรือประมาณ 20 ล้านตันข้าวสาร ซึ่งเป็นปริมาณที่สูงมากเพราะทั่วโลกมีการขายข้าวเพียงปีละ 32 ล้านตัน การเก็บข้าวมากๆ ทำให้โรงสีหลายแห่งของไทยขยายความจุจากเดิมที่โรงสีทั่วประเทศมีความสามารถในการเก็บข้าวได้เพียง 30 ล้านตัน แต่ในขณะนี้มีการขยายความจุในการเก็บข้าวไปเป็น 70 ล้านตัน"

นายสมพร กล่าวว่า โรงสีขนาดใหญ่เท่านั้นที่ได้ประโยชน์จากการขยายความจุในการเก็บข้าว ซึ่งเป็นรายได้เพิ่มขึ้นจากการเก็บข้าว ขณะที่โรงสีขนาดเล็กและโรงสีชุมชนไม่ได้ประโยชน์มากนัก

เมื่อรัฐบาลประกาศว่าจะมีการประมูลข้าวในสต็อกเพื่อส่งออก พบว่า ราคาข้าวในตลาดโลกลดลง และข้าว 5% ของไทยปรับลดลงจากประมาณ 550 ดอลลาร์ต่อตัน เหลือ 525 ดอลลาร์ต่อตัน ขณะที่ต้นทุนการผลิตข้าวของไทยอยู่ที่ประมาณ 799 ดอลลาร์ต่อตัน หรือ 24,777 บาทต่อตัน แบ่งเป็นต้นทุนของข้าวเปลือก 23,077 บาทต่อตัน ค่าสีแปรสภาพ 500 บาทต่อตัน ค่าการตลาด 1,200 บาทต่อตัน

"ราคาข้าวส่งออกของไทยจึงติดลบเมื่อเทียบกับราคาต้นทุนที่ 274 ดอลลาร์ต่อตัน หรือขาดทุนที่ราคาตันละเกือบ 9,000 บาท"

นายสมพร กล่าวว่า หากรัฐบาลไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายจำนำข้าวการใช้เงินในโครงการนี้จะอยู่ในระดับสูงต่อไป โดยจากการตรวจสอบกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ล่าสุด พบว่าโครงการรับจำนำข้าวตั้งแต่ปี 2554 มีการใช้เงินในโครงการไปแล้วทั้งสิ้นกว่า 6.7 แสนล้านบาท หากนโยบายนี้ยังถูกใช้ในปีต่อๆ ไป จะต้องใช้เงินปีละประมาณ 3 แสนล้านบาท

"หากรัฐบาลนี้บริหารประเทศอีก 2 ปี จะใช้เงินในโครงการรับจำนำข้าวมากกว่า 1 ล้านล้านบาทในโครงการนี้"

สื่อนอกรายงานล้นตลาดเอเชีย

หนังสือเดอะ วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานว่าจากสภาพอากาศในเอเชียที่เอื้ออำนวย ประกอบการที่รัฐบาลให้การสนับสนุนเกษตรกรในการผลิตพืชที่มีความสำคัญต่อประเทศ กำลังทำให้เกิดสถานการณ์ข้าวล้นตลาดเอเชีย

สต็อกข้าวที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก กลายเป็นปัจจัยที่ช่วยให้ราคาสำหรับผู้นำเข้ารายใหญ่ๆ ในแอฟริกา และจีน จ่ายเงินน้อยลง แต่บรรดาผู้บริโภคในประเทศที่เป็นผู้ผลิตข้าวรายใหญ่สุด รวมถึง ไทย และอินเดีย กลับต้องจ่ายเงินซื้อข้าวแพงขึ้น เพราะข้าวที่ผลิตได้เกินมายังคงถูกเก็บไว้ในโกดังของรัฐบาล

ทั้งผลผลิตที่มากเกินไปนี้ ยังส่งต่อสหรัฐเพียงเล็กน้อย เพราะข้าวที่ปลูกในสหรัฐ มีหลากหลายสายพันธุ์

หากนั่งรถไฟจากกรุงนิวเดลี เมืองหลวงของอินเดีย ไปยังรัฐข้างเคียง ภาพที่จะเห็นจนชินตาในชนบทก็คือ ข้าวที่กองสูงอยู่บนฐานไม้ และมีเพียงผ้าพลาสติกคลุมเอาไว้เท่านั้น ส่วนในไทย รัฐบาลได้ตัดสินใจใช้คลังสินค้าในสนามบินเก่าเป็นที่เก็บข้าว เพราะโกดังข้าวแห่งอื่นๆ เต็มหมดแล้ว

คาดสต็อกข้าวโลกเพิ่ม 2%

ปริมาณที่ล้นออกมานี้ เป็นผลมาจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย และโครงการของรัฐบาลที่กระตุ้นให้มีการปลูกข้าวมากขึ้น โดยข้อมูลของอินเตอร์เนชั่นแนล เกรนส์ เคาน์ซิล (ไอจีซี) ในกรุงลอนดอน อังกฤษ คาดว่า ในปีนี้สต็อกข้าวโลกอาจเพิ่มขึ้น 2%

บรรดานักวิเคราะห์มองสถานการณ์ข้าวล้นตลาดในเอเชียว่าจะย่ำแย่ลงไปอีก จากปัจจัยหลายอย่าง รวมถึง การที่ไทย ประเทศผู้ส่งออกข้าวแถวหน้าของโลก พยายามเทขายข้าวในสต็อกจำนวน 17 ล้านตันออกมา โดยปริมาณที่มากถึงขนาดนี้เป็นผลมาจากโครงการรับจำนำข้าว ที่กำหนดราคารับซื้อไว้สูงกว่าราคาตลาด

ส่วน อินเดีย ผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่สุดของโลก คาดว่า ในอีก 2-3 เดือนข้างหน้าจะมีการเก็บเกี่ยวข้าวในปริมาณที่ใกล้แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เหมือนกับปากีสถาน ในขณะที่ความต้องการจากประเทศผู้นำเข้ารายใหญ่ๆ อย่าง ฟิลิปปินส์ และไนจีเรีย กลับร่วงลง

"หากไทยประสบความสำเร็จในการระบายข้าวที่เก็บไว้ แน่นอนว่าจะสร้างแรงกดดันขาลงให้กับราคา" นายดาร์เรน คูเปอร์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส จาก ไอจีซี ระบุ

ดัชนีราคาข้าวโลกร่วงต่ำสุดรอบ 3 ปี

ทั้งนี้ ดัชนีราคาข้าวโลกของไอจีซี ร่วงลงมาอยู่ที่ระดับ 200 จุด แตะระดับต่ำสุดนับแต่เดือนก.ย. 2553 เป็นต้นมา และปรับตัวลงมาแล้วเกือบ 5% ในปีนี้

อย่างไรก็ดี ราคายังมีช่วงห่างกันอย่างมากเมื่อเทียบเป็นรายประเทศ เพราะตามปกตินั้นข้าวจะขายกันอยู่ภายในประเทศที่ผลิต มีเพียง 8% เท่านั้นที่ซื้อขายอยู่ในตลาดโลก เทียบกับข้าวสาลีที่ 20% และถั่วเหลืองที่ 36%

ในตลาดข้าวเวียดนามนั้น ราคาข้าวในปีนี้ลดลงไปราว 5% โดยที่ข้าวขาว 5% หนึ่งในข้าวที่มีการซื้อขายกันมากที่สุด มีราคาซื้อขายอยู่ที่ราว 390 ดอลลาร์ต่อตัน ส่วนข้าวขาว 5% สำหรับการส่งออกของไทยนั้น ซื้อขายที่ราว 475 ดอลลาร์ต่อตัน ลดลงมาแล้ว 16% ตั้งแต่ช่วงต้นปี

ส่วนตลาดค้าข้าวล่วงหน้า ที่มีการซื้อขายเป็นวงกว้างเพียงแห่งเดียวของซีเอ็มอี กรุ๊ป อิงค์ และเป็นการซื้อขายที่สะท้อนถึงราคาข้าวสหรัฐด้วยนั้น ขยับขึ้นมา 7% ในปีนี้

การที่ตลาดข้าวมีการควบคุมอย่างเข้มงวด และแบ่งออกเป็นส่วนๆ นั้น หมายความว่าผู้บริโภค และผู้ที่ต้องการซื้อข้าว จะได้ประโยชน์จากการจัดหาที่ล้นตลาดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งนักวิเคราะห์บางรายให้คำแนะนำว่า รัฐบาลควรกระตุ้นให้เกษตรกรหันไปปลูกพืชผลอย่างอื่น ด้วยการลดราคาค้ำประกันสำหรับชาวนา

ในขณะที่ ชาวนาไทยจะได้รับประโยชน์จากราคาข้าวที่สูงขึ้น ตามโครงการรับจำนำของรัฐบาล ราคาข้าวที่จำหน่ายในซูเปอร์มาร์เก็ต ก็ขยับขึ้นมาถึง 10% นับแต่ปี 2554 เป็นต้นมา เพราะการจัดหาที่ตึงตัว และแม้สต็อกข้าวของรัฐบาลจะมีอยู่จนล้นโกดัง แต่เทรดเดอร์ไทยก็ยังนำเข้าข้าวจากกัมพูชา และเวียดนาม เนื่องจากรัฐไม่อยากที่จะระบายข้าวออกสู่ตลาดท้องถิ่นในราคาถูก

นโยบายเกษตรของอินเดีย ก็ส่งผลกระทบทำนองเดียวกันต่อราคาในท้องถิ่น ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ชี้ว่า จนถึงขณะนี้ ไทย และประเทศผู้ผลิตข้าวรายอื่นๆ ต่างติดอยู่ในกับดักนโยบายของตัวเอง

เทรดเดอร์ห่วงคุณภาพเมินซื้อข้าวไทย

เมื่อตัดสินใจที่จะระบายข้าวออกมา ไทยยังประสบปัญหาในการหาเทรดเดอร์ซื้อตามราคาที่ต้องการ โดยเทรดเดอร์ ชี้ว่า ราคาข้าวในตลาดอยู่ที่ 480 ดอลลาร์ต่อตัน แต่การยื่นประมูลซื้อนั้น ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 380 ดอลลาร์ต่อตัน เพราะกังวลในเรื่องคุณภาพข้าว

ไทย ยังพยายามที่จะนำข้าวออกขายในรูปแบบรัฐต่อรัฐ และเพิ่งจะประกาศขายข้าว 250,000 ตัน ให้กับ อิหร่าน โดยจะมีการจ่ายเงินในสกุลเงินยูโร แต่ไม่มีการเปิดเผยมูลค่าการซื้อขาย ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่อิหร่านซื้อข้าวจากไทย นับแต่ปี 2550 เป็นต้นมา

ขณะที่ นายเทจินเดอร์ นาราง ที่ปรึกษาของบริษัทเทรดเดอร์โภคภัณฑ์โลก เอมสันส์ อินเตอร์เนชั่นแนล ในกรุงนิวเดลี อินเดีย มองว่า ราคาที่รัฐบาลไทยต้องการนั้น อาจเป็นตัวกำหนดว่า ราคาข้าวจะร่วงลงไปถึงระดับใด โดยในปัจจุบัน ราคาข้าว 5% เวียดนาม ซึ่งเป็นข้าวเอเชียที่มีการซื้อขายกันมากที่สุดนั้น ร่วงลงมาอยู่ที่ราว 390 ดอลลาร์ต่อตัน จากที่เคยอยู่สูงถึง 560 ดอลลาร์ต่อตัน เมื่อปี 2554

เมื่อเดือนที่แล้วเวียดนามก็เพิ่งประกาศแผน ที่จะปล่อยกู้ปลอดดอกเบี้ยให้กับผู้ส่งออก เพื่อเพิ่มความสามารถในการเก็บสำรองข้าวได้มากขึ้น ในความพยายามที่จะดันราคาข้าวในตลาดให้สูงขึ้น

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การเมืองไม่ธรรมดา ทางเลือกเพื่อเดินหน้า !!??

การที่นักการเมืองรุ่นใหญ่อย่างนายอุทัย พิมพ์ใจชน อดีตประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญฉบับสีเขียว พ.ศ.2540  อดีตประธานรัฐสภาสมัยพรรคไทยรักไทย  ออกมาแสดงบทบาทยื่นหนังสือถึงประธานรัฐสภาคนปัจจุบันให้ถอนญัตติร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม และร่างพ.ร.บ.บัญญัติปรองดอง

  ในจังหวะที่ฝ่ายรัฐบาลกำลังเร่งเครื่องผลักดันเต็มสูบ  ส่วนฝ่ายค้านก็ตั้งกำแพงต้านอย่างเต็มที่  คือเพียงภาพของคนแก่ว่างงานที่อยากร่วมวงสนุก   หรือเรื่องที่ผู้ใหญ่ที่หวังดีต่อประเทศชาติออกมาส่งสัญญาณเตือนภัยที่มิอาจมองข้าม
   
ข้ออ้างของอดีตประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคไทยรักไทย  นักการเมืองรุ่นเก๋าที่ยุติบทบาทไปนานแล้ว  ที่ว่าสังคมไทยยังเป็นปกติดี  ไม่มีความจำเป็นต้องมีกฎหมายทั้งสองรูปแบบ  อาจจะฟังดูบางเบาในภาพรวมเพราะสังคมไทยนั้นไม่ปกติมาหลายปีแล้ว  ประกอบกับร่างกฎหมายทั้งสองฉบับก็ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์มามากมายจนถึงจุดว่าจะเอาหรือไม่เอาแล้ว  ดังนั้นการขับเคลื่อนของนายอุทัยครั้งนี้จึงมีคำถามว่าเพราะ ได้ข้อมูลวงใน  หรือเพราะเห็นอะไรที่จะเกิด
   
เป็นเพราะเห็นรัฐบาลประกาศใช้พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร ช่วงวันที่ 1-10 สิงหาคม และการระดมกำลังตำรวจเข้ารักษาพื้นที่สำคัญในเขตพระนคร ดุสิต ป้อมปราบฯ  โดยอ้างอิงข้อมูลของสันติบาลและหน่วยข่าวกรองที่ว่าจะมีผู้ชุมนุมประมาณ 2 หมื่นคน  ที่จะมาชุมนุมอย่างยืดเยื้อ  มีกลุ่มที่ต้องการสร้างสถานการณ์เพื่อยกระดับการชุมนุมสู่การจลาจลรุนแรงเพื่อหวังผลต่อเนื่อง
   
หรือเพราะว่าเห็นวงจรอุบาทว์ทางการเมืองกำลังย้อนกลับมาเล่นงานประเทศไทยอีกรอบ  ด้วยกระแสประชาธิปไตยข้างถนน  มีความพยามยามปลุกม็อบสร้างสถานการณ์รุนแรง  นำไปสู่การยึดอำนาจล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง  นำประเทศไทยถอยหลังกลับสู่ระบอบเผด็จการอีกครั้ง  ซึ่งนักประชาธิปไตยอย่างนายอุทัยมีจุดยืนต่อต้านอำนาจเผด็จการมาโดยตลอด
   
แต่ถ้าไม่ใช่เช่นนั้นก็คงเพราะนายอุทัยเห็นว่าประเทศไทยต้องมองข้ามปัญหาที่ฉุดยึดประเทศไทยเอาไว้นานแล้ว  เช่นเรื่องพาพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีกลับบ้าน  เพราะนายอุทัยก็เคยขึ้นเวทีขับไล่มาก่อน  การมองข้ามเรื่องปรองดอง  เพราะนายอุทัยเชื่อว่าร่างพ.ร.บ.ปรองดองจะทำให้เกิดความแตกแยกรุนแรง  และมองข้ามการนิรโทษกรรม  เพราะนายอุทัยเห็นว่าเป็นแค่ปัญหาของคน 200-300 คนที่ถูกคุมขังในคุกอันเนื่องจากการชุมนุม  ไม่ใช่ปัญหาของคนทั้งประเทศ
   
เมื่อเป็นเช่นนั้นประเทศไทยก็คงต้องเดินหน้าด้วยกฎหมายที่ชัดเจนเด็ดขาดทุกกรณี  ใครโกงบ้านโกงเมืองก็ต้องนำตัวกลับมาลงโทษ  ใครก่อม็อบยึดทำเนียบยึดสนามบินสร้างความเสียหายแก่ประเทศชาติก็ต้องลงโทษดำเนินคดี  ใครก่อม็อบเผาบ้านเผาเมืองเผาศาลากลางก็ต้องดำเนินคดี  ใครสั่งสลายม็อบขอคืนพื้นที่และสั่งฆ่าผู้ชุมนุมด้วยกระสุนจริงก็ต้องดำเนินคดี
   
นายอุทัยเป็นนักกฎหมายและคงเชื่อมั่นในกฎหมายที่เป็นมาตรฐานเดียว  แต่กับยุคตุลาการภิวัตน์ที่เราได้เห็นการใช้กฎหมายสองมาตรฐาน   นายอุทัยจะมองเห็นบ้านเมืองสงบสุขหรือไม่

ที่มา.นสพ.ฐานเศรษฐกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////

โพลเผย คะแนนความนิยม รัฐบาล ลดฮวบ !!??

เนื่องด้วยในเดือนสิงหาคมนี้ รัฐบาลของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะบริหารงานประเทศครบ 2 ปีบริบูรณ์ ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) จึงได้ดำเนินการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเรื่อง ประเมินผลงาน 2 ปี รัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยเก็บข้อมูลจากประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 1,419 คน จากทุกภูมิภาคทั่วประเทศ พบว่าประชาชนให้คะแนนความพึงพอใจการทำงานของรัฐบาล 4.49 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน ซึ่งลดลงจากการทำงานครบ 1 ปี 6 เดือน 0.38 คะแนน ทั้งยังเป็นระดับต่ำที่สุดตั้งแต่เริ่มเข้ามาบริหารประเทศ และเป็นการปรับลดลงในทุกด้านที่ทำการประเมิน โดยได้คะแนนความพึงพอใจผลงานด้านการต่างประเทศมากที่สุด (5.04 คะแนน) แต่พึงพอใจผลงานด้านเศรษฐกิจน้อยที่สุด (3.98 คะแนน)

ด้านคะแนนการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อยู่ที่ 4.94คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน ซึ่งลดลงจากการทำงานครบ 1 ปี 6 เดือน 0.48 คะแนนและเป็นระดับต่ำที่สุดตั้งแต่เริ่มเข้ามาบริหารประเทศ โดยได้คะแนนความขยันทุ่มเทในการทำงานเพื่อแก้ปัญหาของประเทศมากที่สุด(5.49 คะแนน) แต่ได้คะแนนด้านความเด็ดขาด กล้าตัดสินใจน้อยที่สุด (4.56 คะแนน)

ด้านคะแนนความพึงพอใจต่อการทำงานของพรรคแกนนำรัฐบาล พรรคร่วมรัฐบาล พรรคแกนนำฝ่ายค้าน และพรรคร่วมฝ่ายค้าน พบว่า พรรคเพื่อไทยได้ 4.94 คะแนน พรรคร่วมรัฐบาลได้ 4.40 คะแนน ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคแกนนำฝ่ายค้าน ได้ 3.81 คะแนน และพรรคร่วมฝ่ายค้านได้ 3.50 คะแนนจากคะแนนเต็ม 10 คะแนน

ส่วนเรื่องที่บั่นทอนหรือทำลายภาพลักษณ์ของรัฐบาลชุดปัจจุบันมากที่สุด อันดับ 1 คือ การคอร์รัปชั่น โกงกิน ในโครงการต่างๆ (ร้อยละ 19.9) อันดับ 2 คือ โครงการรับจำนำข้าวล้มเหลว ขาดทุน (ร้อยละ 19.3) อันดับ 3 คือ การไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้เลย เพราะข้าวของแพง น้ำมันแพงและค่าครองชีพยังสูงอยู่(ร้อยละ 11.1)

สำหรับความเห็นต่อระยะเวลา 2 ปี ของรัฐบาลที่นำโดยนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าสามารถนำพาประเทศ เดินทางไปถูกทางหรือไม่ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 55.2 ยังเห็นไม่ชัดเจนว่าจะนำพาประเทศไปในทิศทางใด รองลงมาร้อยละ 27.7 เห็นว่านำพาไปถูกทางแล้ว และร้อยละ 17.1 เห็นว่ายังไม่ถูกทาง

หากมีโอกาสได้เป็นนายกรัฐมนตรี จะนำพาประเทศไทยให้มีลักษณะอย่างไร ประชาชนระบุว่าให้ทุกคนมีโอกาสในด้านต่างๆ เท่าเทียมกันมากที่สุดร้อยละ 34.8 รองลงมาคือ มีคอร์รัปชั่นให้น้อยที่สุด หรือไม่มีเลย ร้อยละ 25.7 และมีกฎหมายศักดิ์สิทธิ์เด็กขาดที่ทุกคนเคารพ ร้อยละ 17.2

ที่มา.เนชั่น
////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2556

คิกออฟ สภาเกษตรกร ฝันที่เป็นจริงของคนจน !!??



หลังจากที่ได้มีการผลักดันกันมาอย่างยาวนานมากกว่า 30 ปี วันนี้ความฝันของพี่น้องเกษตรกร ก็เป็นจริง โดยได้มีการจัดตั้งสภาเกษตรกรแห่งชาติขึ้นมาร่วมมือทำงานกับรัฐบาลในการร่วมคิด วิเคราะห์ และลงมือแก้ไขปัญหาความ ทุกข์ยากของพี่น้องเกษตรกรให้หมดสิ้นไป นับจากนี้ไปจะมีองค์กรที่ตั้งขึ้นมาทำหน้าที่ในการเป็นปากเสียง แทนเกษตรกรในการแก้ปัญหา ปากท้องและปัญหาทำกิน

11 กรกฎาคม 2556 ที่ผ่านมา สภา เกษตรกรแห่งชาติและรัฐบาลได้ประกาศ "คิกออฟ" เดินหน้าขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ และจัดทำแผนแม่บทพัฒนาภาคเกษตรกรรมจากล่างสู่บน หวังพลิกมิติใหม่ในการพัฒนาภาคเกษตรไทย และเสริมสร้างความเข้มแข็งเครือข่ายเกษตรกรทั่วประเทศ ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี

นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ ได้กล่าวในการแถลงข่าวการจัดประชุมสัมมนา "การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์สภาเกษตรกรแห่งชาติสู่มิติใหม่แห่งการพัฒนาภาคเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน" ว่า หลังจากใช้เวลากว่า 4 ปี ในการผลักดันสภาเกษตรกรแห่งชาติตามพระราชบัญญัติสภาเกษตรกรแห่งชาติ พ.ศ.2553 สภาเกษตรกรฯ ได้เดินหน้า ขับเคลื่อนภารกิจของตัวเองในทันที โดยเข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายด้าน การเกษตรร่วมกับภาครัฐในหลายด้าน และนับเป็นครั้งแรกที่มีตัวแทนเกษตรกรอย่างแท้จริงเข้ามามีส่วนร่วมและเป็นกระบอกเสียงในการทำงานร่วมกับรัฐบาล ซึ่งแตกต่างจากที่ผ่านมาการกำหนดนโยบาย ด้านการเกษตรไม่เคยผ่านความเห็นจากเกษตรกรทำให้แก้ปัญหาไม่ตรงจุด

ดังนั้น เพื่อเป็นการประกาศทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์สภาเกษตรกรแห่งชาติอย่างเป็นรูปธรรมเป็นครั้งแรก รวมทั้งเป็นเวทีในการระดมความคิดของเกษตรกรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบูรณาการจัดทำแผนแม่บท เพื่อพัฒนาเกษตรกรรมจากล่างสู่บน เสริมสร้างความเข้มแข็งของเครือข่ายเกษตรกร ทั่วประเทศ สมาชิกสภาเกษตรกรแห่งชาติ สมาชิกสภาเกษตรกรจังหวัดทั่วประเทศ 1,732 คน พนักงานสำนักงานสภาเกษตรกร 261 คน ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องรวมทั้งหมด 2,200 คน จะมีการประชุมสัมมนา เพื่อประกาศเจตนารมณ์สร้างความร่วมมือพัฒนาประเทศชาติ โดยอาศัยพลังจากเกษตรกรทั่วประเทศ

นายประพัฒน์ กล่าวด้วยว่า ในการดำเนินงานของสภาเกษตรกรแห่งชาติ ช่วง 5-6 เดือนที่ผ่านมานับแต่ถ่ายโอนการกำกับ ดูแลจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขึ้น ตรงต่อนายกรัฐมนตรี ได้ช่วยลดช่องว่าง ระหว่างรัฐบาลและเกษตรกร ช่วยให้ปัญหา ต่างๆ ไม่ลุกลามมาบนท้องถนน หรือปิดล้อม ทำเนียบรัฐบาล เพราะสภาเกษตรกรฯ ได้เป็นตัวแทนในการนำปัญหาความเดือดร้อน ของพี่น้องเกษตรกรพูดคุยกันบนโต๊ะ แทนการพูดคุยบนท้องถนน ซึ่งเชื่อว่าบทบาทหน้าที่ของสภาเกษตรกรฯ ดังกล่าว จะช่วย ให้เกิดความเป็นปึกแผ่นในมวลหมู่พี่น้องเกษตรกร ช่วยให้พี่น้องเกษตรกรไทยมีศักดิ์ศรีในอาชีพ และเป็นที่ยอมรับของสังคม ในอนาคต

"ในช่วง 2 ปีแรกของการจัดตั้งนับตั้งแต่ปี 2553 เป็นการเตรียมความพร้อมเลือกตั้งสมาชิกสภาเกษตรกรจังหวัดทั่วประเทศ สมาชิกสภาเกษตรกรแห่งชาติ การจัดตั้งสำนักงานสภาเกษตรกร จังหวัด สำนักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติ ภายใต้การสนับสนุนดูแลของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยนายกรัฐมนตรีได้รับโอนงานของสภาเกษตรกรแห่งชาติ จากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไว้ในการกำกับดูแลของสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว" นายประพัฒน์ กล่าว

นอกจากนี้ ภายในงานยังจัดให้มีการ ปาฐกถาในหัวข้อ "ภาคเกษตรไทยในทศวรรษหน้าจะไปทางไหน?" โดย นาย วีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) การซักซ้อมเสวนา แนวทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์สภาเกษตรกรแห่งชาติ ปี 2556-2559 สู่การปฏิบัติเพื่อการพัฒนาภาคเกษตรกรรมอย่าง ยั่งยืน โดยประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ รวมถึงการจัดนิทรรศการทางวิชาการ และ การแสดงผลผลิตผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร

นายประพัฒน์ ยังกล่าวถึงวัตถุประสงค์ที่สำคัญของการจัดการประชุมสัมมนาครั้งนี้ว่า ก็เพื่อแสดงการขอบคุณต่อ รัฐบาลที่ได้ให้การสนับสนุนงานของสภาเกษตรกรแห่งชาติเป็นอย่างดี รัฐบาลเห็นปัญหาความทุกข์ยากความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกรให้การช่วยเหลือแก้ไขปัญหา ไม่เมินเฉยต่อปัญหาดังเช่นกรณีล่าสุด ในเรื่องการปรับราคารับจำนำข้าวเปลือกของ รัฐบาลในรอบการผลิตปัจจุบันจากตันละ 12,000 บาท เป็น 15,000 บาท จนถึงวันที่ 15 กันยายน 2556 ตามข้อเรียกร้องของพี่น้องเกษตรกร

ที่มา.สยามธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////

จีน ปรับนโยบายเศรษฐกิจ !!??

โดย วีระพงษ์ รามางกูร

ขณะนี้อาจจะกล่าวได้ว่าเศรษฐกิจของโลกยังอยู่ในช่วงเศรษฐกิจขาลง มีเพียงสหรัฐอเมริกาเท่านั้นที่อาจจะเรียกว่าพอทรงตัวอยู่ได้เพราะการผลิตพลังงานขึ้นใช้เองได้ นอกนั้นไม่ว่าจะเป็นยุโรป จีน อินเดีย และภูมิภาคอื่นต่างประสบกับปัญหาเศรษฐกิจกำลังจะชะลอตัวทั้งสิ้น รวมทั้งประเทศไทยของเราด้วย

สหรัฐนำเข้าสินค้าจากประเทศจีนเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือนำเข้าจากญี่ปุ่น แต่เมื่อญี่ปุ่นเปลี่ยนนโยบาย

ค่าเงินเยนเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐลดลงกว่าร้อยละ 20 ระบบเศรษฐกิจญี่ปุ่นสนองตอบต่อการลดค่าเงินดีเกินกว่าที่คาด ญี่ปุ่นสามารถกลับไปเป็นผู้ส่งออกไปตลาดสหรัฐอเมริกามากกว่าจีนเป็นครั้งแรกในรอบหลาย ๆ ปี จีนต้องถอยลงมาเป็นอันดับสองในการเป็นผู้ส่งสินค้าเข้าไปในสหรัฐอเมริกา

ประเทศอื่น ๆ จึงทยอยลดค่าเงินเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ของตนลงตามญี่ปุ่น เพื่อพยุงการส่งออกของตน แต่จีนกลับทำตรงกันข้าม จีนไม่ยอมลดค่าเงินหยวนของตนเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ ทำให้

ค่าเงินหยวนของจีนแข็งขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยน เงินยูโร และเงินตราสกุลอื่น ๆ ในภูมิภาคอย่างมาก

ด้วยเหตุนี้มูลค่าการส่งออกของจีนจึงชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด นักเศรษฐศาสตร์ที่ติดตามนโยบายเศรษฐกิจของจีนต่างตั้งข้อสังเกตและแสดงความสงสัยกันไปทั่ว

การที่จีนไม่ยอมลดค่าเงิน เหริน หมิน ปี้ หรือเงินหยวนของตนลง แสดงว่าจีนกำลังเปลี่ยนนโยบายภายในอย่างขนานใหญ่

เนื่องจากจีนได้สะสมทุนสำรองระหว่างประเทศไว้มากเป็นจำนวนกว่า 3.3 ล้านล้านดอลลาร์ มากกว่าทุนสำรองของญี่ปุ่นซึ่งเคยเป็นประเทศที่มีทุนสำรองมากที่สุดในโลกถึงกว่า 3 เท่า จีนคงจะคิดว่าตนมีทุนสำรองมากเกินระดับที่เหมาะสมไปแล้วก็ได้ ตามตำราเศรษฐศาสตร์ ทุนสำรองที่มากเกินระดับที่เหมาะสมทำให้เสียโอกาสในการยกระดับความอยู่ดีกินดีของประชาชน (Optimal Reserve)

ดังนั้น การจะดำเนินนโยบายเงินอ่อนผลักดันการส่งออกต่อไป ไม่น่าจะเป็นนโยบายที่ดีที่สุด ประกอบกับจีนถูกโจมตีเรื่องช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวย หรือการกระจายรายได้ที่ไม่ทั่วถึง ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจของโลกอยู่ในช่วงขาลง ขณะเดียวกัน ค่าจ้างแรงงานของจีนก็สูงขึ้น เพราะจีนเริ่มขาดแคลนแรงงาน

ผู้นำจีนชุดใหม่จึงเปลี่ยนนโยบาย สนับสนุนการบริโภคภายในและยกระดับคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ยังมีรายได้ต่ำภายในประเทศ โดยการตรึงค่าเงินของตนให้สูงกว่าประเทศอื่น ๆ อันจะเป็นการทำให้อุตสาหกรรมจีนสามารถซื้อวัตถุดิบ เช่น น้ำมัน ถ่านหิน แร่เหล็ก ทองแดง ได้ถูกลงในราคาเงินหยวน เมื่อจีนไม่เร่งในการแข่งขันใน

การส่งออก หันมาผลิตเพื่อใช้ในประเทศเป็นหลัก ลดการนำเข้าสินค้าขั้นปฐมต่าง ๆ ลง ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ขั้นปฐมในตลาดโลก ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ถ่านหิน แร่ธาตุต่าง ๆ จึงมีราคาถูกลง ประเทศที่ถูกกระทบมากที่สุดน่าจะเป็นออสเตรเลีย ทำให้คนจีนสามารถบริโภคสินค้าในราคาที่ถูกลง

ในขณะเดียวกัน จีนปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินอย่างรุนแรง โดยการลดสินเชื่อของธนาคารทั่วประเทศ เพื่อลดการใช้จ่ายที่เกินตัวของรัฐบาลท้องถิ่นลง

ขณะนี้รัฐบาลท้องถิ่นกู้เงินจากระบบธนาคารสูงถึง 3 ล้านล้านหยวน ส่วนมากเอามาลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ลงทุนสร้างโรงงาน สร้างถนนหนทาง และอื่น ๆ จนเกินตัว สินค้าที่บริษัทหรือรัฐบาลท้องถิ่นลงทุนต่าง ๆ หรือสินค้านำเข้ามีปริมาณล้นตลาดทั้งตลาดภายในและภายนอก

ประเทศจีนกำลังเป็นประเทศขาดแคลนแรงงาน หน่วยงานต่าง ๆ ประกาศรับพนักงาน แต่มีคนมาสมัครไม่เต็มตามจำนวนที่ต้องการรับ จากนโยบายมีบุตร 1 คนทำให้มีคนในวัยทำงานในสัดส่วนที่น้อยลง คนสูงอายุมีสัดส่วนที่สูงขึ้น

การประกาศลดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน เป็นการชะลอการขาดแคลนแรงงาน และการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างแรงงานที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

การที่จีนประกาศลดอัตราการขยายตัว จากที่เคยประกาศไว้ว่าจะขยายตัวร้อยละ 7.5 มาเป็นร้อยละ 6.3 อาจจะเป็นการปรับความสมดุลทางเศรษฐกิจระหว่างการ

ขยายตัวทางเศรษฐกิจ มาเป็นการเพิ่มคุณภาพชีวิตของคนในประเทศ จากที่มูลค่าสินค้าส่งออกขยายตัวในอัตราเลข 2 หลักนานกว่า 2 ทศวรรษ มาเป็นการ

ส่งออกลดลงถึงร้อยละ 3.1 ถือว่าเป็นการลดลงของการส่งออกเป็นประวัติการณ์ของจีน จีนจะไม่ยอมเป็นหัวรถจักรของเศรษฐกิจของโลกกระนั้นหรือ จีนกำลังคิดอะไรอยู่

เป็นไปได้ว่านโยบายของจีนเป็นไปตามกระแสของโลก ประกาศชะลอตัวลง ลดอัตราการขยายตัวของการส่งออก หันมาใช้ทรัพยากรทางการเงินของตน ปรับเงินเดือนข้าราชการ ลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ ลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน สนับสนุนการบริโภคภายในประเทศ ปรับปรุงโครงสร้างการเงินสินเชื่อเสียใหม่ ไม่ให้เกิดฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ ชะลอการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการเพื่อไม่ให้สินค้าล้นตลาด ซึ่งจะทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั้งในประเทศจีนและทั่วโลก ตามทฤษฎีของจอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ เพราะทฤษฎีเศรษฐกิจมหภาคของจีนเป็นไปตามทฤษฎีของเคนส์บวกกับทฤษฎีของคาร์ล มาร์กซ์ มาโดยตลอด

การที่ญี่ปุ่นลดค่าเงินลง เพิ่มการส่งออก สนับสนุนการท่องเที่ยวของชาวต่างประเทศในญี่ปุ่น จีนยืนค่าเงินของตัวเองไว้ กดการส่งออก เพิ่มการนำเข้า สนับสนุนการบริโภคในประเทศ ส่งเสริมการลงทุนนอกประเทศ ยุโรปยังแย่ต่อไป สหรัฐเริ่มทรงตัวได้ ล้วนมีผลต่อเศรษฐกิจของโลกอย่างมหาศาล หรือว่าจีนยอมพักเหนื่อย เลี้ยงญี่ปุ่น ยุโรป และอเมริกาให้ฟื้นตัว เพื่อเศรษฐกิจของโลกจะได้ไม่

แย่ไปกว่านี้ เป็นเรื่องที่น่าคิดว่าเราจะต้องวางตัวอย่างไร ควรจะวางนโยบายของเราอย่างไร เพื่อให้อยู่รอดปลอดภัยจากการเปลี่ยนนโยบายของยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจของโลกในคราวนี้ จะปรับเปลี่ยนตัวเองสำหรับโอกาสที่จะมาถึงอย่างไร

ถ้ามีโอกาสพบผู้ใหญ่ของจีนจะลองถามเขาดู

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////

พาณิชย์เตรียมเปิดประมูลมันสำปะหลัง 2.8 แสนตัน !!??

พาณิชย์เตรียมเปิดประมูลมันสำปะหลังจำนวน 2.8 แสนตัน คาดสัปดาห์หน้าจะประกาศร่างทีโออาร์ ส่วนภาคเอกชนมีสิทธิ์เข้าตรวจสต๊อกและคุณภาพมันสำปะหลังได้เต็มที่

นายนิวัฒน์ธำรงค์ บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลัง ว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลังครั้งนี้ ได้เชิญนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เข้าร่วมรับฟังแนวทางการใช้พืชเศรษฐกิจเพื่อนำมาใช้เป็นพลังงานทดแทน ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้มีการประกาศร่างหลักเกณฑ์การเปิดประมูลสำปะหลัง (ทีโออาร์) เพื่อให้ภาคเอกชนที่สนใจเข้ายื่นซองเพื่อเสนอาคาในการประมูลมันสำปะะหลังที่เหลืออยู่ในสต๊อกรัฐบาลโดยเฉพาะมันเส้นจำนวน 2 แสนตัน โดยจะประกาศประมูลเป็นการทั่วไป

ทั้งนี้ คาดว่าทางกรมการค้าต่างประเทศจะสามารถประกาศร่างทีโออาร์ได้ในวันที่ 5 สิงหาคมนี้ และให้เวลาภาคเอนที่สนใจสามารถตรวจสอบสต๊อกมันสำปะหลังของรัฐบาลได้ในโกดังต่างๆภายใน 10 วัน ก่อนที่จะเสนอยื่นซองประมูลในอีก 2 สัปดาห์ข้าวหน้า โดยการประมูล 2 แสนตันนั้น เป็นการประมูลเพื่อการส่งออกเท่านั้น นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้อนุมัติให้นำมันเส้นค้างสต๊อกของปี 51/52 ที่มีจำนวน 1.2 แสนตัน ที่เกิดจากกรณีมีปัญหาจากการฟ้องร้องว่าการรับจำนำที่ผ่านมา เกิดปัญหาทรุจริตช่วงการรับจำนำในช่วงนั้น แต่หลังจากที่ศาลพิจารณาตัดสินแล้ว หลังสิ้นสุดคดีความมีปริมาณมันสำปะหลังเหลือ 8 หมื่นตัน ซึ่งที่ประชุมจึงได้อนุมัติให้มันเส้นจำนวนมดังกล่าว นำออกมาประมูลในคราวเดียวกันด้วย โดยจะเป็นการเปิดประมูลเป็นการทั่วไป เพื่อนำมันเส้นไปใช้เกี่ยวกับอาหารสัตว์ ซึ่งรวมการประมูลครั้งนี้ทั้งเพื่อการส่งออกแะใช้ในประเทศ รวมทั้งสิ้น 2.8 แสนตัน และเชื่อว่าราคาประมูลก็น่าจะได้ราคาที่เท่าเป้าไว้

อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมยังได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงพลังงานจัดตั้งคณะทำงานเพื่อไปวิเคราะห์และศึกษารายละเอียดการรับจำนำมันสำปะหลัง รวมทั้งประเมิน กำหนดแผนการรับจำนำมันสำปะหลังในฤดูกาลหน้า เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เกิดความชัดเจน โดยคาดว่าปริมาณการรับจำนำในฤดูกาลหน้าไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา โดยผลผลิตมันสำปะหลังคาดอยู่ที่ 28 ล้านตัน โดยเป็นการส่งออก 18 ล้านตัน และใช้ในประเทศ 10 ล้านตัน ดังนั้นเชื่อว่าจะสามารถเปิดรับจำนำได้ในปริมาณ 10 ล้านตัน แต่ยังไม่สามารถบอกตัวเลขราคารับจำนำมันสำปะหลังได้ เพราะต้องให้คณะทำงานไปพิจารณารายละเอียดให้้เสร็จโดยเร็ว

ที่มา.ทีนิวส์
///////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2556

สธ.เฝ้าระวังสุขภาพ 5 ปี น้ำมันรั่วเกาะเสม็ด !!

โดย : ดวงกมล สจิรวัฒนากุล

อย่านำปลาทะเลหรือสัตว์ทะเลที่ตายและถูกคลื่นซัดเข้าฝั่งมารับประทาน ให้หลีกเลี่ยงการสัมผัสดิน สัตว์น้ำ ที่มีการปนเปื้อน"นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์

นอกจากปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ต้องเร่งแก้ไขเพื่อลดผลกระทบที่เกิดจากเรือบรรทุกน้ำมันรั่ว 50,000 ลิตร บริเวณอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด จังหวัดระยองแล้ว ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับสุขภาพเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยในพื้นที่ต่างรู้สึกกังวล ทั้งสารปนเปื้อนจากกลิ่นคราบน้ำมันที่ติดอยู่ตามชายหาด การปนเปื้อนในน้ำทะเล และอาหารทะเลที่อยู่ในบริเวณดังกล่าว

ซึ่งจากข้อมูลกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขระบุว่า น้ำมันดิบ ประกอบด้วย สารเคมีหลายชนิดที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ได้แก่ ละอองน้ำมัน (oil fumes) ฝุ่นละออง (particulate matter from controlled burns) สารอินทรีย์ระเหยง่าย (Volatile Organic Compounds, VOCs) สารโพลีไซคลิก อะโรมาติก ไอโดรคาร์บอน (Polycyclic Aromatic Hydrocarbons, PAHs) และ โลหะหนัก (Heavy Metals) เช่น สารปรอท (Mercury) สารหนู (Arsenic) และ สารตะกั่ว (Lead) 

ด้วยเหตุนี้กระทรวงสาธารณสุขจึงได้ดำเนินมาตรการในการเฝ้าระวัง โดยได้มอบหมายให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระยอง และสำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม ร่วมประเมินผลกระทบและวางแผนการดำเนินงานในการเฝ้าระวังสุขภาพประชาชนในพื้นที่ทั้งระยะเร่งด่วนและในระยะยาว

เบื้องต้นได้มีการจัดจุดตั้งรับที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพสต.) เกาะเสม็ด เพื่อดูแลสุขภาพประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ทั้งนี้หากประเมินพบว่ามีผลกระทบที่เป็นวงกว้าง อาจพิจารณาจัดเป็นหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ออกให้บริการประชาชนอย่างทั่วถึง

นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยถึงการลงพื้นที่เกาะเสม็ดเพื่อติดตามผลกระทบด้านสุขภาพอนามัยที่ผ่านมาว่า ในการวางแผนดูแลสุขภาพประชาชนจากผลกระทบของน้ำมันดิบรั่วในทะเล แบ่งเป็น 2 ระยะ โดยในระยะเร่งด่วน กระทรวงสาธารณสุขวางระบบไว้ 4 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.การเฝ้าระวังผลกระทบเฉียบพลันจากน้ำมันดิบ โดยตั้งจุดตรวจคัดกรองและเก็บปัสสาวะของผู้ปฏิบัติงานกู้ภัยในการตักน้ำมันและกำจัดคราบน้ำมันภายหลังเลิกงานแล้ว

ซึ่งมีทั้งพนักงานของบริษัท ปตท. อาสาสมัคร ทหารเรือและประชาชนทั่วไปที่อาศัยในพื้นที่ เพื่อตรวจหาสารทีที มิวโคนิค แอซิด (t-t muconic Acid) ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของสารเบนซีน ซึ่งเป็นสารที่อยู่ในน้ำมันดิบและเข้าสู่ร่างกายจากการสูดดม หากสะสมในร่างกายเป็นเวลานาน อาจก่อให้เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ โดยมีเจ้าหน้าที่จากศูนย์อาชีวอนามัย สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระยอง สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมือง โรงพยาบาลมาบตาพุด โรงพยาบาลระยอง ร่วมดำเนินการ โดยได้เก็บตรวจจำนวน 300 คน ส่งตรวจวิเคราะห์ที่โรงพยาบาลระยอง โดยค่าปกติสารนี้ในปัสสาวะต้องมีไม่เกิน 500 ไมโครกรัมต่อกรัมครีเอตินีน

2.ตั้งหน่วยปฐมพยาบาลที่อ่าวพร้าว ดูแลรักษาอาการป่วย โดยทีมจากโรงพยาบาลระยอง ร่วมกับหน่วยพยาบาลของบริษัท ปตท.ตลอด 24 ชั่วโมง 3.ตั้งจุดดูแลรักษาผู้ป่วยที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเกาะเสม็ด

และ 4.การเฝ้าระวังคุณภาพน้ำทะเล และอาหารทะเล เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยประชาชนผู้บริโภค โดยทางศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ ชลบุรี ได้เก็บตัวอย่างกุ้ง หอยแมลงภู่ ปู ปลา ในพื้นที่ที่เกิดเหตุน้ำมันรั่ว รวมทั้งน้ำทะเลเพื่อมาตรวจวิเคราะห์เป็นข้อมูลพื้นฐาน เนื่องจากในช่วง 1-2 วันนี้ คาดว่าผลกระทบจะยังไม่เกิด และอีก 15 วัน จะเก็บมาตรวจซ้ำ เพื่อวิเคราะห์ความแตกต่างหรือสิ่งผิดปกติ เพื่อติดตามการปนเปื้อนโลหะหนัก รวมทั้งสารพาห์ซึ่งเป็นตัวก่อมะเร็งได้

ด้าน นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข บอกว่า จากการติดตามผลกระทบต่อสุขภาพ ขณะนี้มีรายงานผู้ป่วยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเกาะเสม็ด ระหว่างวันที่ 30-31 กรกฎาคม จำนวน 102 ราย ส่วนใหญ่มีอาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ซึ่งมาจากการสูดกลิ่นของน้ำมันดิบเข้าไป

อย่างไรก็ตามปัญหาที่น่าห่วงจากการสอบถามผู้ที่ไปดำเนินทำลายคราบน้ำมันและเก็บปัสสาวะส่งตรวจพบว่า ส่วนหนึ่งไม่ได้ใช้อุปกรณ์ป้องกันการสูด จึงต้องมีการติดตามตรวจสุขภาพอย่างต่อเนื่อง

โดยกระทรวงสาธารณสุขได้ประชุมด้านการแพทย์กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและวางแผนจัดระบบโดยให้โรงพยาบาลระยองดูแลอาสาสมัคร อสม. ในกลุ่มทหารเรือได้ประสานโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ติดตาม ส่วนพนักงานบริษัทได้ประสานให้บริษัทติดตาม

"กระทรวงสาธารณสุขล่าสุดได้เก็บปัสสาวะผู้ปฏิบัติงานและประชาชนที่สัมผัสคราบน้ำมันดิบจำนวน 604 รายแล้ว เพื่อดำเนินการส่งตรวจเฝ้าระวังและมอบให้โรงพยาบาลระยองซึ่งเป็นศูนย์อาชีวเวชศาสตร์ของกระทรวงเป็นศูนย์ข้อมูลและเป็นศูนย์กลางในการติดตามดูแลผู้สัมผัสสารกลุ่มนี้อย่างต่อเนื่อง 2-5 ปี"ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าว และว่า นอกจากนี้กระทรวงสาธารณสุขยังได้วางแผนติดตามสุขภาพประชาชน โดยร่วมมือกับกรมประมง กรมควบคุมมลพิษ เพื่อร่วมติดตามประเมินความเสี่ยงต่อสุขภาพ โดยเฉพาะจากห่วงโซ่อาหาร

จึงขอแนะนำให้ประชาชนอย่านำปลาทะเลหรือสัตว์ทะเลที่ตายและถูกคลื่นซัดขึ้นมาที่ชายหาดมารับประทาน หลีกเลี่ยงการสัมผัสดิน สัตว์น้ำ หรือวัสดุต่างๆ ที่มีการปนเปื้อน เช่น ลงเล่นน้ำ เล่นกีฬาทางน้ำ หากสัมผัสคราบน้ำมัน ควรรีบล้างด้วยสบู่และน้ำสะอาดทันที สำหรับการเข้าไปอยู่อาศัยหรือท่องเที่ยวในบริเวณอ่าวพร้าว ควรงดเว้นจนกว่าการเก็บกวาดคราบน้ำมันจะเสร็จสิ้น 

ขณะที่ รศ.นพ.วินัย วนานุกูล หัวหน้าศูนย์พิษวิทยารามาธิบดี และรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามาธิบดี ได้แสดงความคิดเห็นต่อกรณีเหตุการณ์น้ำมันรั่วในครั้งนี้ว่า คิดว่ากรณีน้ำมันรั่วที่อ่าวพร้าว เกาะเสม็ด ในแง่สุขภาพต่อคนคงมีไม่มากและยังไม่น่าเป็นห่วง ซึ่งปัญหาขณะนี้น่าจะอยู่ที่ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศวิทยามากกว่า ทั้งสภาพแวดล้อม สัตว์ทะเล

และเท่าที่ติดตามสถานการณ์ปัญหาน้ำมันรั่วในต่างประเทศ แม้แต่อ่าวเม็กซิโก ประเทศอเมริกาก็เป็นในในทางเดียวกันที่ผลกระทบต่อสุขภาพมีไม่มาก และที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่ามาตรการของกระทรวงสาธารณสุขจึงเน้นเฝ้าระวังเฉพาะคนงานหรือประชาชนที่ลงไปสัมผัสและกำจัดน้ำมันดิบเท่านั้น ถือเป็นแนวทางที่ถูกต้อง

ทั้งนี้ ในตัวน้ำมันดิบแม้จะมีสารไฮโดคาร์บอน ซึ่งสารชนิดนี้ไม่ถือว่าเป็นอันตรายมากนัก ส่วนการปนเปื้อนโลหะหนักนั้น เนื่องจากน้ำมันดิบที่ขนถ่ายมาแต่ละที่จะมีความแตกต่างกัน จึงไม่มีใครบอกได้ถึงผลกระทบจากการปนเปื้อนนี้ ซึ่งในแง่สุขภาพคงต้องมีมาตรการเฝ้าระวังระยะยาวเท่านั้น โดยกระทรวงสาธารณสุขก็ได้มีการดำเนินการเช่นกัน

"ในแง่สุขภาพขณะนี้ประชาชนไม่ต้องตื่นตระหนก แต่ที่น่าเป็นห่วงน่าจะเป็นเรื่องของระบบนิเวศวิทยามากกว่า และเมื่อเปรียบเทียบกับการปนเปื้อนน้ำมันตามท่าเรือหรือตามลำคลองบางแห่งก็มีการปนเปื้อนน้ำมันในน้ำเช่นกัน เพียงแต่กรณีที่เกาะเสม็ดอาจมีมากกว่า"หัวหน้าศูนย์พิษวิทยารามาธิบดี กล่าว

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////

มาตรการ : สื่ออนาจารบนหลักเสรีภาพ !!??

เปิดดูมาตรการสงครามกับสื่ออนาจารของแคเมอรอน: ควรเอามาใช้หรือไม่?

เกิดเรื่องร้อนแรงในบอร์ดกสทช. ช่วงกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ด้วยว่ามีสมาชิกบอร์ดฝั่งคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงท่านหนึ่ง ให้ความเห็นเป็นการส่วนตัวว่าเป็นห่วงเนื้อหาของซีรี่ส์ชื่อดังที่ฉายทางเคเบิลอยู่ในขณะนี้ว่า มีเนื้อหาล่อแหลมไม่เหมาะสม พร้อมถึงการเปรยว่ากรณีเช่นนี้อาจใช้อำนาจของกสทช. เข้าไปควบคุมเนื้อหา

ความเห็นส่วนตัวนี้เองที่สร้างเสียงแตกในบอร์ด จนทำให้มีเสียงวิจารณ์ว่าหากบอร์ดฝั่งกิจการกระจายเสียงใช้อำนาจควบคุมเนื้อหาทางโทรทัศน์และวิทยุแล้ว ท้ายที่สุดผู้บริโภคจะหันไปพึ่งช่องทางโทรคมนาคมด้วยอินเตอร์เน็ต ที่มีความเสรีกว่าเสียแทน

แต่ทันใด ความเชื่อที่ว่าอินเตอร์เน็ตเป็นโลกการสื่อสารที่เสรีสุดขีดนั้นก็ต้องถูกสั่นคลอน เมื่อนายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร เดวิด แคเมอรอน ประกาศผลักดันมาตรการควบคุมสื่ออนาจารบนอินเตอร์เน็ต ซึ่งหากทำสำเร็จแล้ว ก็จะถือว่าเป็นชาติตะวันตกเจ้าแรก ที่ออกมาตรการลักษณะนี้



photo from http://megawestgarth.blogspot.com/

“ในฐานะของนักการเมือง ในฐานะของการเป็นพ่อคนหนึ่ง ผมคิดว่าถึงเวลาต้องดำเนินการแล้ว นี่เป็นเรื่องของการที่ว่าเราจะปกปักษ์รักษาเยาวชน และความเยาว์วัย ของพวกเขาได้อย่างไร” คาเมรอนกล่าวปาฐกถา ก่อนนำเสนอมาตรการดังนี้
1. คำค้นหาที่เกี่ยวโยงกับภาพอนาจารเด็ก จะถูกบล็อก
2. ภาพอนาจารที่รุนแรงสุดโต่ง หรือมีลักษณะจำลองการข่มขืน จะผิดกฎหมาย
3. อินเตอร์เน็ตในบ้านทุกหลัง จะถูกตั้งค่าบล็อกเว็บไซต์อนาจารเป็นค่าเริ่มต้น หากต้องการเลิกบล็อก ผู้ใช้งานต้องทำเรื่องขอไปยังผู้ให้บริการเป็นรายกรณีไป

นี่เป็นความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ โดยเฉพาะสำหรับประเทศไทยที่กำลังวางรากฐานระบบการสื่อสารทั้งในแง่โทรคมนาคม และการกระจายเสียงในรูปแบบใหม่ การใช้มาตรการควบคุมเนื้อหาเป็นทางเลือกที่ต้องถูกยกมาถามทางถามความเห็นอยู่ไม่วันใดก็วันหนึ่ง และมันก็ชวนแตกแยกได้ในทุกครั้งที่ถูกหยิบยกขึ้นมา เช่นนี้แล้วในแง่ปรัชญา จะให้คำตอบอะไรได้บ้าง และจะให้ความเห็นอย่างไรกับมาตรการทั้ง 3 ข้อของคาเมรอน?
บล็อกภาพอนาจารเด็ก

มันเป็นหนังเก่าที่ฉายซ้ำชั่วกัลปาวสาน ฝั่งหนึ่งอ้างว่าการแทรกแซงของรัฐเพื่อปกปักษ์รักษาคุณค่าที่เชิดชูของพลเมืองเป็นเรื่องจำเป็น การควบคุมเนื้อหาการแสดงออกของสื่อจึงสามารถทำได้ ส่วนอีกฝั่งก็ไม่เชื่อถือเรื่องคุณค่าพลเมือง เพราะเชื่อว่าคนแต่ละคนเลือกเองได้ว่าอะไรดีที่สุดสำหรับชีวิตตนเอง ดังนั้นรัฐไม่ควรเข้าแทรกแซงการแสดงออกหรือทางเลือกการเสพสื่อของใคร ยกเว้นว่าใครเกิดใช้เสรีภาพนั้นไปขัดขวางทางเลือกของคนอื่น

แต่เดี๋ยวก่อน??! เรื่องภาพอนาจารเด็กนี้ อาจเป็นเพียงไม่กี่เรื่องที่ทั้งสองฝ่ายจับมือร้องเพลงสามัคคีชุมนุมกันได้ เพราะหลักการใช้เสรีภาพแบบคลาสสิคนั้น มีเงื่อนไขสำคัญอยู่ที่วุฒิภาวะ นั่นคือ หากมีวุฒิภาวะแล้ว เราจึงจะเชื่อได้ว่าบุคคลคนนั้นสามารถเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับชีวิตของตัวเองได้จริง

แต่หากยังไม่มีวุฒิภาวะ รัฐยังต้องคอยดูแลอยู่ และภาพอนาจารเด็กก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้ที่ยังไม่มีวุฒิภาวะ เด็กอาจยังไม่รอบรู้เพียงพอถึงผลกระทบหากภาพหรือคลิปของตัวเองถูกเผยแพร่ออกไปในวงกว้าง

ดังนั้น การบล็อกคำค้นภาพอนาจารเด็กเป็นเพียงการเสริมประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายให้หนักแน่นจนถึงต้นตอ ไม่ใช่เรื่องการนำเสนอประเด็นใหม่แต่อย่างใด
ตั้งค่าบล็อกเว็บไซต์อนาจารเป็นค่าเริ่มต้น

สื่ออนาจารกับพื้นที่สาธารณะไม่ใช่ของที่ไปด้วยกันได้ เรามักไม่ให้โฆษณาคอลเลคชั่นหนัง AV ใหม่ล่าสุดปะปกหราอยู่ในบิลบอร์ดกลางใจเมืองกันได้ง่ายๆ ซึ่งนี่เป็นเรื่องแปลกสำหรับผู้ที่เชื่อในหลักการเสรีภาพ เพราะถ้าการใช้สิทธิแสดงออกนั้นไม่ได้ไปขัดขวางการใช้สิทธิของผู้อื่นอย่างร้ายแรง คือไม่มีใครจะได้รับอันตรายทางกายหรือทางใจใดๆ แบบชัดแจ้ง สาเหตุใดจึงทำไม่ได้

เหตุการณ์จำลองนี้เปิดเผยให้เห็นว่ามีอีกหลักการสำคัญเกี่ยวกับการแสดงออกซ่อนอยู่ คือหลักการหลีกเลี่ยงการแสดงออกที่กระทบความรู้สึกต่อผู้อื่นอย่างร้ายแรง ด้วยการเลือกใช้มาตรการที่มีประสิทธิภาพที่สุด และมีผลกระทบน้อยที่สุด

เราจะพบว่าผู้คนในท้องถนนมีความหลากหลาย และเราก็ไม่มีทางรู้แน่ชัดได้ว่าใครจะโอเคหรือไม่โอเคกับการแสดงออกในเรื่องเพศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ใครที่ไม่โอเคมากๆ ถึงขนาดยินยอมจะเสียเงินเสียทองฟ้องร้องเอาความกับผู้เผยแพร่ให้จนได้ เมื่อเรายังไม่มีเทคโนโลยีราคาถูกที่ตรวจจับสมองคนดู เลือกสื่อสารแต่กับเฉพาะคนที่โอเคแล้ว ก็ต้องจำใจเลือกมาตรการที่มีประสิทธิภาพที่สุดในขณะนี้คือ ไม่ให้มีสื่ออนาจารในที่สาธารณะ แต่ให้หลบไปในสถานที่เฉพาะทางแทน

กลับมาดูมาตรการอินเตอร์เน็ตบ้าง เราจะเห็นว่าแคเมอรอน เหมือนจะสับสนกับสถานะทางอินเตอร์เน็ตพอสมควร จริงอยู่ที่ว่าสิ่งใดที่อยู่บนเว็บไซต์ ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ แต่การจะเข้าถึงได้นั้น ต้องมีขั้นตอน มีความตั้งใจจะเข้าถึงอย่างแท้จริงเท่านั้น จึงจะเข้ารับชม รับโหลดได้ อินเตอร์เน็ตจึงมีลักษณะ on-demand ต่างจากการวางภาพในที่สาธารณะ หรือบนจอโทรทัศน์ที่ผู้ไม่ได้ตั้งใจจะดู อาจเผลอดูโดยไม่ตั้งใจได้

ดังนั้น มาตรการตั้งค่าบล็อกอินเตอร์เน็ตนั้น ล้นเกินกว่าจะมีประสิทธิภาพได้ (เพราะคนที่ไม่คิดจะดู ก็ไม่ตั้งใจจะเข้าไปดูอยู่แล้ว และผู้ที่คิดจะดูไม่ว่าเขาจะมีวุฒิภาวะหรือไม่ เขาก็ย่อมหาทางขออนุมัติแก้บล็อกได้ในท้ายที่สุดอยู่แล้ว) ทั้งยังสร้างภาระกับผู้ใช้งาน และผู้ให้บริการมากเกินไป จึงเป็นมาตรการที่ไม่เหมาะสม



Kate Winslet by Titanic from Altfg.com
ทำให้ภาพอนาจารที่รุนแรงสุดโต่งผิดกฎหมาย

สตรีนิยมบางกลุ่ม แม้จะผูกพันกับเสรีนิยม แต่กลับเห็นว่าเราควรแบนสื่ออนาจารที่มีลักษณะกดขี่ผู้หญิง ใช้ความรุนแรง ทรมาน ใช้เป็นเครื่องมือบำเรอความสุข ฯลฯ นักสตรีนิยมเหล่านี้ไม่ได้ต่อต้านเพียงเพราะภาพเหล่านี้มันกระทบความรู้สึก แต่ต่อต้านด้วยข้อหาที่ร้ายแรงกว่านั้นคือ การขัดขวางสิทธิพลเมือง ในเรื่องความเท่าเทียมกันทางเพศ การไม่เลือกปฎิบัติ การหยุดใช้ความรุนแรงต่อสตรี

สื่ออนาจารที่มีภาพรุนแรงเหล่านี้ บิดเบือนเสียงของสตรี เช่น ทำให้คำว่า “ไม่” กลับกลายเป็นเสียงของการชี้ชวน ทำให้การบอกกล่าวเล่าเรื่องความรุนแรงในครัวเรือน กลายเป็นเรื่องตลกโปกฮาในสังคม ฯลฯ

ฟากฝั่งที่เสรีนิยมบางกลุ่มอาจมองว่านี่คือกระบวนการที่อันตรายในทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากสตรีนิยมกลุ่มนี้หันไปจับมือกับกลุ่มขวาจัด แต่ท้ายที่สุดกลุ่มเหล่านี้ก็ยังหาอะไรมาคัดง้างอย่างตรงประเด็นกับข้ออ้างของสตรีนิยมกลุ่มนี้ได้ ซึ่งนี่ทำให้เราต้องตั้งเครื่องหมายคำถามไว้ท้ายมาตรการนี้ เพราะคำตอบสุดท้ายยังไม่ชัดเจน

แต่ข้อสังเกตของข้ออ้างนี้คือ สตรีนิยมกลุ่มนี้ละเลยธรรมชาติของสื่ออนาจารกลุ่มนี้ที่มักวางไว้ในจุดที่ลึกของเว็บไซต์ หรือวางไว้ในเว็บไซต์เฉพาะทาง นั่นคือ หากไม่ตั้งใจไปดูก็จะไม่เห็น ดังนั้น ความแพร่หลายย่อมมีน้อยมาก เมื่อเทียบกับหนังอนาจารแบบปรกติ ไม่กดขี่

และประเด็นที่สองคือ สตรีนิยมกลุ่มนี้ละเลยการมีอยู่ของหนังอนาจารที่มีความรุนแรงในทางกลับกัน คือผู้หญิงใช้ความรุนแรงกับผู้ชายซึ่งแสดงให้เห็นว่าแม้แต่ในสื่ออนาจารก็มีการต่อสู้ ต่อรองพื้นที่ความหมายของเพศสภาพกันเองในแบบของวงการนี้ ไม่จำเป็นเลยที่ต้องยืมมือของรัฐเข้ามาร่วมต่อสู้ด้วย

สิ่งที่เห็นและเป็นอยู่จากข้อถกเถียงเรื่องการควบคุมเนื้อหาโดยเฉพาะกับเหตุการณ์นโยบายของแคเมอรอนนี้ ไม่ว่าผลลัพธ์ท้ายที่สุดจะออกมาเป็นอย่างไร แต่ท้ายที่สุดแล้ว เราทุกคนจะได้รับประโยชน์จากการได้รู้ว่าการถกเถียงในเรื่องนี้ ปัจจุบันมีมากกว่าแค่เรื่องอนุรักษ์ หรือเสรี เพราะแม้ผู้ที่เชื่อในความเสรี ก็อาจค้านเสรีภาพในบางอย่างได้ และข้ออ้างที่ดูเหมือนจะถูกต้องในสายตาเรา บางครั้งก็ยังต้องใช้ความพยายามมากกว่าปรกติในการสนับสนุนก็เป็นได้

ที่มา.Siam Intelligence Unit
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ปัญหาแผ่นดิน !!??

โดย.พญาไม้ทูเดย์,บางกอกทูเดย์

เป็นรัฐบาลมานานเกือบจะสองปีแล้ว..แต่ปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ก็คือปัญหาความไม่สามัคคีปรองดองของคนในชาติ..

คำว่า..คนในชาติ..ก็คือมวลมหาประชาชนทั้งสิ้นทั้งมวล..ไม่ใช่อ้ายอีไม่กี่คนที่เกาะกลุ่มรวมตัวกันสร้างปัญหาให้กับชาติสร้างเรื่องราวอุบาทว์ให้กับแผ่นดินกันมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน
คำว่า..คนในชาติ..คือพี่น้องประชาชนคนไทยที่เดินทางไปคูหาเลือกตั้ง..แล้วกาบัตรเลือกคนเลือกพรรคให้มาเป็นรัฐบาลและฝ่ายค้าน..

เขาเหล่านั้นคือท่านทั้งหลาย..ที่เป็นตัวจริงเสียงจริงของประชาชนชาวไทย..ไม่ใช่รากษกจกเปรตที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่กับการสร้างเรื่องราวร้าวฉานให้กับแผ่นดินไทย

ท่านทั้งหลายไม่ว่าจะใส่เสื้อสีไหน..ท่านก็คือประชาชนพลเมืองของประเทศไทย..ที่ใส่ใจในปัญหาของแผ่นดิน..และออกมาคัดค้านหรือสนับสนุนไปตามเหตุผลและความเชื่อส่วนตน..

แต่เพราะรากษกการเมืองทั้งหลาย ไปชักจูงให้เกิดการทำผิดกฏหมาย..กลายเป็นผู้ต้องหามีโทษปรับโทษจำ..

โทษเช่นว่า..ไม่ใช่เกิดจากกมลสันดาน..แต่เป็นพฤติกรรมของคนที่รักในชาติในแผ่นดิน..รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง..จึงมีหน้าที่ที่จะต้อง..คืนอิสระภาพให้กับท่านเหล่านั้น..

และเพราะท่านเหล่านั้น..รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนจึงได้เกิดขึ้นมา..ประชาธิปไตยที่สว่างไสวอยู่ในบัดนี้เวลานี้..เพราะการเสียสละของพวกท่านเหล่านั้น..หลายๆ ท่านอุทิศชีวิตเพื่อสิ่งนี้..
รัฐสภารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง..ต้องทำในสิ่งที่ต้องทำ..ต้องกล้าที่จะทำในสิ่งที่ต้องกล้า..ไม่ว่ามันจะต้องเผชิญหน้ากับอะไร..

เพราะในที่สุดของที่สุดแล้ว..ประชาชนจะเป็นผู้สร้างปรากฏการณ์..เดียรฉานจะไม่มีวันคงทนคงอยู่..
สนธิ ลิ้มทองกุล..ยังว่าไว้ว่า.."ประชาธิปัตย์เป็นคนเอาเชือกมาผูกคอพวกเรา แต่เป็นพรรคเพื่อไทยที่พยายมจะเอาเชือกออกจากคอเรา"

////////////////////////////////////////////////////////////////////////

เสียงสะท้อนชาวระยอง PTTGC ปิดข้อมูล !!??


น้ำมันรั่ว,คราบน้ำมัน,เกาะเสม็ด,พีทีทีจีซี,ปตท.

แม้จะมีการเก็บคราบน้ำมันดิบที่อ่าวพร้าวได้หมด ใน 1-2 สัปดาห์ แต่ผลกระทบต่ออาชีพประมง กลุ่มชาวประมงเรือเล็กพื้นบ้าน จะกระทบไปอีกเป็นปี

คราบน้ำมันดิบสีดำ บริเวณหาดทรายจำนวนมาก ค่อยๆ ถูกเก็บกู้ขึ้นมา หลังสถานการณ์ท่อขนถ่ายน้ำมันดิบขนาด 16 นิ้ว ของ บริษัท ปตท. โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ พีทีทีจีซี รั่วกลางทะเลเมื่อเช้าของวันเสาร์ที่ 27 ก.ค. ส่งผลให้น้ำมันดิบไหลทะลักออกสู่ทะเลประมาณ 50 - 70 ตัน แพร่กระจายบนผิวน้ำเป็นบริเวณกว้าง แม้ว่าตลอด 6 วันที่ผ่านมา ปตท.จะระดมกำลังเจ้าหน้าที่จากไออาร์พีซี และได้รับความช่วยเหลือจากทหารเรือ นำพลทหารเรือกว่า 200 ราย มาช่วยเก็บกู้คราบน้ำมันดิบที่ลอยเข้ามายังอ่าวพร้าว

ทว่าเสียงสะท้อนจากคนระยอง โดยเฉพาะภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ยังกังขาและต้องการคำตอบจากผู้บริหารพีทีทีจีซี ว่าเหตุใดการออกมาให้ข่าวในช่วงแรกหลังเกิดเหตุ จึงออกมาระบุว่าน้ำมันดิบที่รั่วออกมามีจำนวนไม่มาก และสามารถควบคุมสถานการณ์ได้

"ช่วงแรกหลังเกิดเหตุท่อน้ำมันรั่ว สื่อหลายสำนักโทรเข้ามาสอบถามสถานการณ์จำนวนมาก เพราะหากน้ำมันดิบลอยเข้ามาสู่เกาะเสม็ด ผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงก็คือธุรกิจท่องเที่ยว ผมจึงตอบสื่อไปว่ามันรั่วไม่เยอะ เพราะทาง ปตท.เขาบอกว่าไม่เยอะ สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ไม่ต้องเป็นห่วง แต่ที่ไหนได้เพียงชั่วข้ามคืน คราบน้ำมันจำนวนมากลอยเข้ามายังอ่าวพร้าว ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะเสม็ด กระทบผู้ประกอบและธุรกิจท่องเที่ยวอย่างหนัก" นายชัยรัตน์ ไตรรัตนจรัสพร นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดระยอง ลำดับเหตุการณ์ท่อน้ำมันดิบรั่วกลางทะเล ระหว่างการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชนจังหวัดระยอง(กกร.)

"เป็นที่ชัดเจนว่าเกิดความเสียหายค่อนข้างแรง จริงๆ แล้วเราอยากได้ความจริง แม้เหตุการณ์จะเกิดขึ้นไปแล้ว ไม่สามารถกลับมาแก้ไขได้ แต่ว่าตั้งแต่เกิดเหตุทำไมผู้บริหาร ปตท. ไม่ออกมาแจ้งให้กับผู้ประกอบการรู้เรื่องก่อน ให้ได้ทราบข้อมูลเบื้องต้นก่อน เพื่อที่จะได้หาลู่ทาง หาทางหนีทีไล่ รวมถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที ที่สำคัญคือตัวผมเองจะได้ตอบคำถามสื่อได้อย่างถูกต้อง"

นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดระยอง ประเมินว่า ผลจากคราบน้ำมันดิบลอยมาอ่าวพร้าว แม้จะเป็นเพียงแค่พื้นที่หนึ่ง เพียง 6% ของเกาะเสม็ดทั้งหมด แต่ภาคธุรกิจท่องเที่ยวถือว่าได้รับผลกระทบหนักมาก เพราะขณะนี้ภาพที่แพร่กระจายออกไป ดูเหมือนว่าเกาะเสม็ดได้รับความเสียหายทั้งเกาะ การท่องเที่ยวพังหมด จากเดิมที่ทางสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยว ประเมินไว้ว่ารายได้จากการท่องเที่ยวในปีนี้ ของจังหวัดระยองน่าจะสูงถึง 2 หมื่นล้านบาท แต่ขณะนี้ยอดจองห้องพักชะงัก แถมนักท่องเที่ยวแบบวันเดย์ทริปก็ไม่เดินทางเข้ามา ดังนั้นรายได้จึงตกฮวบ ซึ่งผลกระทบในครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับผู้ประกอบการโรงแรม รีสอร์ทที่พัก เท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงไปถึง ธุรกิจขนส่ง ธุรกิจร้านอาหาร และธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวด้วย เรียกได้ว่ากระเทือนไปทั้งระบบ

ขณะที่ นางอนุชิดา ชินศิรประภา ประธานหอการค้าจังหวัดระยอง บอกว่า หลังผลกระทบกับภาคธุรกิจการค้าและการท่องเที่ยว เริ่มเห็นภาพชัดเจน ทางหอการค้าจังหวัดระยองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ จึงอยากเรียกร้องให้ทางผู้บริหาร ปตท.ให้ข้อมูลตามข้อเท็จจริง จากนี้เราอยากทราบระยะเวลาที่แน่นอนในการเก็บคราบน้ำมัน รวมถึงระยะเวลาในการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ซึ่งตรงนี้เชื่อมโยงไปถึงบทบาทของทางผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง ดังนั้นผลการประชุมคณะกรรมการรวมภาคเอกชน จะถูกรวบรวมและจัดทำเป็นหนังสือส่งถึงยังผู้ว่าราชการจังหวัดระยองโดยเร็วที่สุด

"ข้อเสนอเฉพาะหน้าเพื่อกู้คืนภาพลักษณ์เกาะเสม็ด เราต้องการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง เป็นผู้ประสานไปยังผู้บริหาร ปตท. สอบถามเกี่ยวกับระยะเวลาในการเก็บกู้คราบน้ำมันที่บริเวณอ่าวพร้าว ว่าจะต้องใช้เวลาทั้งหมดนานขนาดไหน และเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการอีกกว่า 90% ที่ไม่โดนคราบน้ำมันน้อยที่สุด"

ทั้งนี้ การปิดรีสอร์ทที่ตั้งอยู่บริเวณอ่าวพร้าวอย่างน้อย 1 เดือน ซึ่งมีอยู่ 4 แห่ง ดำเนินการโดยผู้ประกอบการ 2 ราย และทำการประชาสัมพันธ์ออกไปว่ารีสอร์ทที่เหลือยังพร้อมเปิดรับนักท่องเที่ยว เนื่องจากผลกระทบไม่ได้ครอบคลุมวงกว้างอย่างที่หลายคนตกใจ แต่ทาง ปตท.ก็ต้องชัดเจนในเรื่องของการชดเชยผู้ประกอบการด้วยเช่นกัน ซึ่งตรงนี้ต้องเป็นหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดระยองเป็นคนประสานงาน

ด้าน นายจัตุรัส เอี่ยมวรนิรันดร์ นายกสมาคมประมงเรือเล็กพื้นบ้านระยอง บอกว่า มั่นใจว่าหลังเกิดเหตุท่อน้ำมันดิบรั่วกลางทะเล ทาง ปตท.จงใจบิดเบือนข้อมูล เพราะกระแสข่าวที่ออกมา มีการระบุว่าปริมาณน้ำมันดิบที่รั่วออกมา มีเพียงแค่ 5 หมื่นลิตร แต่ก่อนหน้านั้นได้รับรายงานจากสมาชิกชาวประมงเรือเล็ก ที่ออกเดินเรือจับสัตว์น้ำใกล้กับบริเวณที่เกิดเหตุ ว่าพบคราบน้ำมันจำนวนมากลอยอยู่กลางทะเล และประเมินกันว่าปริมาณน้ำมันที่ลอยอยู่นั้น น่าจะมากถึง 1 แสนลิตร โดยระยะเวลาที่สมาชิกชาวประมง โทรมาแจ้งเหตุประมาณ 06.00 น. ของเช้าวันที่ 27 ก.ค. ที่ผ่านมา แต่ทาง ปตท.กลับเพิ่งออกมาให้ข้อมูลตอน 06.20 น. ช้ากว่าที่เพื่อนสมาชิกพบเห็นถึง 20 นาที

เขาบอกว่า จริงๆ แล้วเหตุการณ์ท่อส่งน้ำมันรั่วกลางทะเล บริเวณจังหวัดระยอง เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อประมาณ 7-8 ปี ที่ผ่านมา แต่ว่าเหตุการณ์ในครั้งนั้น ปริมาณน้ำมันที่รั่วออกมาน้อยกว่าครั้งนี้มาก และก็มีการใช้สารเคมีโปรย เพื่อให้น้ำมันเกาะตัวกันจมลงก้นทะเลเช่นกัน ซึ่งหากถามว่ากระทบกับชาวประมงเรือเล็กพื้นบ้านหรือไม่ ตอบได้เลยว่ากระทบการจับสัตว์น้ำ ช่วงนั้นหากปู ปลาหมึก และปลา ได้น้อยมาก การชดเชยเยียวยา ให้ค่าชดเชยแบบเป็นกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบ กลุ่มหนึ่งมีประมาณ 10 กว่าคน ค่าชดเชยที่ได้รับกลุ่มละหมื่นกว่าบาท เฉลี่ยแล้วแบ่งกันได้คนละ 1,000 บาท เท่านั้น ถือว่าน้อยมาก

"แม้จะมีการเก็บคราบน้ำมันดิบที่อ่าวพร้าวได้หมด ในระยะเวลา 1-2 สัปดาห์ แต่ผลกระทบต่ออาชีพประมง กลุ่มชาวประมงเรือเล็กพื้นบ้าน จะกระทบไปอีกเป็นปี เพราะการใช้สารเคมีโปรยให้คราบน้ำมันจมลง แน่นอนว่าจะไปทับแนวปะการัง ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ ทั้ง ปู กั้ง หอย กุ้ง และปลาประจำถิ่นตายหมด ขณะที่ปลาอื่นๆ ก็จะไม่ว่ายเข้ามาในบริเวณที่คราบน้ำมันหลุดลอยไป การออกเดินเรือแต่ละครั้งจึงต้องออกไกลกว่าเดิม ค่าน้ำมันก็สูงขึ้นตามไปด้วย แต่จับสัตว์ทะเลมาขายได้น้อยลง"

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////