--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

สงครามชิงมวลชน !!??

เห็นอาการ นายฮัสซัน ตอยิบ หัวหน้า BRN เปิดข้อเสนอนอกโต๊ะการพูดจาที่มาเลเซีย ผ่านยูทูบแล้ว ก็ยิ่งเห็น "ลิ้นไก่" ของกลุ่ม BRN เหิมเกริมและหวังรุกไล่รัฐบาลไทยให้จนตรอกคาจอให้ได้

ผมไม่จำเป็นต้องรู้จักนายทหารระดับสูงของไทยแม้แต่คนเดียว และก็เดาใจทุกคนถูกว่า ข้อเสนอให้ถอนทหารที่มาจากภาคอื่นกลับ พร้อมทหารพรานและตำรวจ ตระเวนชายแดนเอย หรือให้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลงนามเป็นลายลักษณ์อักษรในวันที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมาเอย แถมบังอาจเสนอให้นำเรื่องเข้ารับรองในสภาผู้แทนตามกระบวนการรัฐสภาไทย โดยพ่วงข้อเสนออื่นอีก 3-4 ข้อ

ไปถามรัฐบาลไหนทั่วโลกที่เปิดเกมเจรจาแบบนี้ มีแต่เขาหัวร่อให้ขำกลิ้งเท่านั้น

เป็นมุกตื้นๆ เพื่อหวังจะให้ BRN เป็นกลุ่มที่น่าเชื่อถือในสายตากลุ่มก่อ การร้ายอื่นๆ ที่ "กล้าหักหน้า" รัฐบาลไทยได้ แล้วกลายเป็นศรัทธาที่กลุ่มอื่นๆ ต้องไป "ขึ้นตรง" ต่อกลุ่ม BRN

นายฮัสซัน อาจลืมไปสนิทว่า การเริ่มต้นพบปะครั้งแรกนั้น ฝ่าย สมช.และ ศอ.บต.บอกมาตั้งแต่ต้นว่าขอให้พุดคุยกันภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญไทย และยกที่ 2 ก็จะ "ปรับทุกข์ ผูกมิตร" มีปัญหาอะไรที่จะร้องทุกข์ก็คุยกันฉันมิตรได้

แต่นายฮัสซัน เล่นรุกไล่ด้วยเงื่อนไข "สุดโต่ง" นอกโต๊ะ โดยผ่านยูทูบอย่างผิดกาลเทศะมาตลอด

มาเลเซียเป็นพี่เลี้ยงประสานงานให้แท้ๆ ก็ทำทีเป็น "ตีลูกเซ่อ" แทนที่จะสั่งสอนฝ่าย BRN ควรต้องมีมารยาทของคู่เจรจาอย่างไรบ้าง กลับเมินเฉย

ตอนคนฟิลิปปินส์บุกไปขอคืนดินแดนซึ่งเป็นแผ่นดินมาเลย์ในปัจจุบันเมื่อไม่นานมานี้ ไม่เห็นมาเลย์เปิดโอกาสให้พูดคุย แต่ตั้งหน้าส่งกองกำลังเผด็จศึกแบบบู๊ล้างผลาญจนเจ้าถิ่นเดิมไม่ทันได้ชักประวัติศาสตร์เก่ามาทวงคืนซักคำ ต้องล้มตายแบบไม่ไว้หน้า

การเดินเกมของนายฮัสซัน จึงต้องเหล่ไปที่มาเลเซียด้วยว่า เขาเป็นผู้ใหญ่พอ หรือเป็นผู้ใหญ่แบบ "ให้ท้ายเด็ก" กันแน่ ?

การเปิดเกม "รุกแล้วจะขี่คอให้ได้" ของนายฮัสซัน คงคิดว่ารัฐบาลไทยจนแต้มง่ายๆหรืออย่างไร

ผมมองว่า นายฮัสซันทำตัวเป็น "เด็กงอแง ขอขนมกินไม่ได้ ก็ทำเป็นล้มกลิ้งดีดดิ้นเรียกความสนใจไปยังงั้น" ดีไม่ดียัง "เปิดไต๋" ให้เห็นว่า แท้จริงแล้วเป็นแค่ "เบี้ยมาเลย์" ตัวเล็กๆ ที่ทำท่าหมดราคาลงไปเรื่อยๆ

เพราะหากถึงเดือนบวช "รอมฎอน" แล้ว เสียงปืนและระเบิดยังระงม นายฮัสซันก็หน้าแตก

ถ้าข้อเสนอของนายฮัสซัน รัฐบาลไทยไม่สนใจ (ยังไงก็เป็นไปไม่ได้) นายฮัสซันก็เสียคนอยู่ดี...แถมที่ผ่านมา เกิดเหตุร้ายรายวันใน 3 จังหวัดภาคใต้ ก็ทำลายความน่าเชื่อถือของกลุ่ม BRN ทุกวัน

แม้หากไม่มีการนัดพบพูดคุยใดๆ ที่กัวลาลัมเปอร์เลย การไล่ฆ่าคนที่ 3 จังหวัดนั่นก็เป็น "Killing Zone" ปกติอยู่แล้ว

มีฮัสซัน หรือไม่มีฮัสซัน มันมีค่าต่างกันตรงไหน?

ยิ่งถ้ารัฐบาลไทยเพียง "เปลี่ยนกลุ่มใหม่คุย" เท่านั้น ไพ่เกมนี้จะกลายเป็น "ฮัสซันเสียหมา มาเลย์เสียมวย" ทันที

ข้อเสนอของผมจึงอยากให้หน่วยที่รับผิดชอบพิจารณาดังนี้... 1.พูดคุยกับนายฮัสซันต่อไป ดีกว่าไม่พูดอะไรเลย แถมยังอ่านเกมบางเกมได้อีกด้วย 2.ถ้าจะคุยแบบ "ปรับทุกข์ ผูกมิตร" ด้วยความจริงใจ ก็ค่อยๆ แก้ทีละเรื่องไปตามข้อเท็จจริง 3.ข้อเสนอที่อยู่นอกโต๊ะเจรจาผ่านยูทูบ ถือว่าเป็นเกมยั่วยุเท่านั้น เพื่อจะได้อ่านเกมมาเลย์ง่ายขึ้นด้วย 4.รัฐบาลและหน่วยที่รับผิดชอบรีบคิด "เกมนอกกรอบ" ให้สำเร็จโดยเร็ว

เช่น คิดตั้ง "กองกำลังกันชน" ดังในอดีตที่ 3 จังหวัดภาคใต้เคยมี ขจก.ที่ มาเลย์สนับสนุน แล้วไทยก็หนุน "จคม." รุกเข้าไปในแดนมาเลย์ จนสุดท้ายต่างฝ่ายต่างกดดันจน "เจ๊า" กันไป

เช่น รัฐบาลตั้งหน่วย ฉก.ปลุกระดมมวลชน เพื่อดึงชาวไทยมุสลิมสายกลางที่ไม่ชอบการก่อเหตุร้าย เอามาเป็นพวก แล้วหนุนและปกป้องให้รุกเข้าไปถึงก้นครัวและจิตวิญญาณ เพื่อ "ชิงมวลชน" ให้ได้มากที่สุด

เช่น ทำทีเป็นยอมถอนทหารกลับ แต่แปรสภาพไปเป็นชาวบ้านแทรกซึมเข้า ไปในใจกลางของหัวใจชุมชนที่คลุกเคล้าระหว่างไทยพุทธและไทยมุสลิมเป็นเนื้อเดียวกัน กลายเป็นกองทัพประชาชนยุคใหม่

เช่น จัดอาสาสมัครย้ายถิ่นฐานเป็นชุมชนใหญ่ โดยฝ่ายรัฐจัดหาที่ทำกินใหม่ใน 3 จังหวัดอย่างถาวร เหมือนแผนย้ายถิ่นฐานของคนกลันตันในอดีตมาอยู่ ชานเมืองกรุงเทพฯ จนกลายเป็นชาวไทยมุสลิมคลองตันในปัจจุบัน

ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก หรือ พล.อ.สำเร็จ สาหร่าย 2 นายทหารใหญ่ หรือ เสธ.ทหารอีกหลายท่านที่รับผิดชอบสรุปสถานการณ์ 3 จังหวัดใต้ว่าจะหาทางออกอย่างไร ผมไม่เชื่อว่าท่านคิดไม่ออกที่ จะ "พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส" แห่งการแสวงหาความสงบสันติอย่างถาวรในรูปแบบใดแบบหนึ่งจึงจะเหมาะกับยุคสมัยและความต้องการอย่างแท้จริงของมวลชน ที่ไม่ใช่เขตปกครองพิเศษ หรือมหานครปัตตานีก็ได้

อิ๊กคิวซัง ยังคิดได้มากกว่านี้เยอะเลยครับ!

ที่มา.สยามธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ฟันธง. ไทยเบอร์ 1 เออีซี !!??

หากฟังมุมมองของ บุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบี ภายหลังเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี ประเทศไทยยังน่าลงทุนที่สุด เรียกว่า เป็นศูนย์กลางการธุรกิจและการ ลงทุนของอาเซียน นั่นเอง

ซีอีโอทีเอ็มบีกล่าวในงานสัมมนาเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันธุรกิจไทย Borderless on Stage ตอน "ธุรกิจไทยจัดทัพ...สร้างฮับ AEC" ว่า ผู้ประกอบการไทยจะมีโอกาสจากการเป็นเออีซีมากขึ้น ได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงสมร-ภูมิเศรษฐกิจ แม้จะไม่ออกไปลงทุนในต่างประเทศ ก็จะได้รับอานิสงส์จากทุนต่างชาติที่ถาโถมเข้ามา ถ้าปรับตัว

"โดยพื้นฐาน ไทยมีความได้เปรียบกว่า ประเทศอื่นๆ ในฐานะที่เป็นฐานธุรกิจการ เกษตร อุตสาหกรรมการผลิตและบริการที่พร้อมในการตอบสนองความต้องการของตลาดในประเทศเพื่อนบ้านภูมิภาคนี้มากที่สุด"

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบี ชี้ให้เห็นถึงมุมมองใหม่สำหรับผู้ประกอบการในประเทศว่า หลังจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในปี 2558 ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่น่าลงทุนที่สุดในภูมิภาคนี้ ด้วยความได้เปรียบด้านที่ตั้งของประเทศ และ โครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ แม้หลายๆ องค์กรจะสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยขยายธุรกิจไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน แต่ทีเอ็มบีมองว่า แทนที่จะส่งเสริมธุรกิจให้พยายามออกไปลงทุนในต่างประเทศ เพียงด้านเดียวเมื่อเปิดประชาคมอาเซียน ทุกภาค ส่วนควรเร่งมือในการเตรียมความพร้อม และ สนับสนุนผู้ประกอบการในประเทศให้สามารถ รองรับการเติบโตของการลงทุนและธุรกิจในประเทศไทยที่กำลังจะเกิดขึ้น

"ไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพที่ดีมาก และมีความพร้อมที่สุดที่จะเป็นศูนย์กลางของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ดึงดูดการ ลงทุนจากต่างประเทศเข้ามา เพราะเรามีความสามารถที่จะตอบสนองความต้องการ ด้านผลิตภัณฑ์และบริการของตลาดในภูมิภาคนี้ จึงนับเป็นการเปิดโอกาสทางธุรกิจ ครั้งใหญ่สำหรับผู้ประกอบการในประเทศไทยที่จะเติบโตไปข้างหน้า"

นายบุญทักษ์ กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า ประเทศไทยตั้งอยู่ในจุดที่ได้เปรียบทางภูมิ-ศาสตร์ที่เสมือนเป็นประตูสู่อาเซียน การคมนาคมไปยังประเทศอื่นในอาเซียนสะดวก และเหมาะสำหรับการติดต่อไปยังจีน อินเดียและญี่ปุ่นอีกด้วย นอกจากนี้ ไทยยังเป็นฐานการผลิตสินค้าเกษตร อุตสาหกรรมและบริการที่สำคัญ อาทิ อุตสาหกรรมประกอบ ชิ้นส่วน อิเล็กทรอนิกส์ อาหาร/เครื่องดื่ม บริการส่งออกสินค้า ศูนย์กลางการค้า จัดหา วัตถุดิบ การท่องเที่ยว

จากรายงานของ Global Competitiveness Report ระบบโครงสร้างพื้นฐานของไทยอยู่ในอันดับ 3 ของอาเซียน ซึ่งช่วยสนับสนุนด้านการขนส่ง กระจายสินค้าไปยังประชากรในกลุ่มอาเซียนที่มีมากกว่า 600 ล้านคน หรือ 10% ของประชากรโลก

นายบุญทักษ์ แนะนำว่า ผู้ประกอบการจะต้องมีการปรับกลยุทธ์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับธุรกิจใน 4 ยุทธศาสตร์ต่อการเป็นศูนย์กลางของประชาคม เศรษฐกิจอาเซียน ได้แก่

การสร้างนวัตกรรม ปัจจุบันการใช้จ่ายในด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศ ไทย อยู่ที่ 1,460 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 0.25% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ นับเป็นอันดับที่ 3 ในอาเซียน และอันดับที่ 41 ของโลก รองจากสิงคโปร์ (2.2% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ) และ มาเลเซีย (0.63% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ) ถือว่าไม่ขี้เหร่ แต่จะทำยังไงที่จะนำงานวิจัยมาสร้างนวัตกรรมเพื่อมูลค่าผลิตภัณฑ์ได้อย่างเป็นรูปธรรม

คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นอีกหนึ่งส่วนที่ผู้ประกอบการไทยต้องให้ความสำคัญมากขึ้น เพราะเป็นการแสดงออกถึงความรับผิดชอบต่อสภาพแวดล้อมของโลก ปัจจุบันมีบริษัทได้รับอนุมัติให้ติดฉลากลดคาร์บอน (Carbon Footprint) บนผลิตภัณฑ์รวม 190 บริษัท โดยส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมอาหาร และเครื่องดื่ม สิ่งทอ วัสดุก่อสร้าง พลาสติก และผลิตภัณฑ์ ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับบริษัทในประเทศไทยที่มีมากถึง 3 ล้านบริษัท

การเชื่อมโยงระหว่างกัน การผลิตชิ้น ส่วนยานยนต์ในเมืองไทยสามารถส่งต่อให้กับอาเซียนได้ นอกจากนี้ยังมีอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งไทยมีข้อได้เปรียบการเป็น ศูนย์กลางของภูมิภาคและศักยภาพด้านการ บิน ทำให้สามารถเชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับ ประเทศอื่นในลักษณะส่งผ่านนักท่องเที่ยว เช่น มาเลเซีย ไทย ลาว พม่า

การเพิ่มประสิทธิภาพผู้ประกอบการไทยควรมีการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตสร้างคุณค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ เช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอ ซึ่งส่วนใหญ่ใช้แรงงานในการผลิต ควรปรับตัวโดยการนำเครื่องจักรเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มผลผลิต รวมถึงมีการพัฒนาศักยภาพแรงงานและการออกแบบสินค้า เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมสิ่งทอของไทย

"หากผู้ประกอบการไทยสามารถเร่งพัฒนาใน 4 ยุทธศาสตร์ดังกล่าวได้ ทีเอ็มบีเชื่อมั่นว่าไทยจะเป็นศูนย์กลางธุรกิจอาเซียนที่แข็งแกร่งมีศักยภาพสูง และผู้ประกอบการก็จะได้รับประโยชน์อย่างมากจากโอกาสที่เปิดกว้างขึ้นในครั้งนี้ และทีเอ็มบีพร้อมที่จะสนับสนุนผู้ประกอบการในการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนไปพร้อมๆ กับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน"

ที่มา.สยามธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

อนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง :โอกาสและความท้าทาย SMEsไทย !!??

คอลัมน์ Smart SMEs

โดย วีรศักดิ์ สุตัณฑวิบูลย์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ

เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสเข้าร่วมงานสัมมนาการลงทุนนานาชาติ Euromoney Conference ซึ่งปีนี้จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ "Greater Mekong Investment Forum" หรือการลงทุนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง โดยได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในวิทยากรในการเสวนาหัวข้อ "The Greater Mekong Sub-region and the ASEAN Economic Community : Convergence, Opportunities and Challenge" (อนุภูมิ

ภาคลุ่มน้ำโขง และประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในบริบทการควบรวม โอกาส และความท้าทาย) ร่วมกับ ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี กรรมการคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย คุณเนียฟ จันทนา รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศกัมพูชา และ คุณพรเลิศ ลัธธนันท์ กรรมการผู้อำนวยการ งานรัฐกิจสัมพันธ์และพัฒนาธุรกิจ กลุ่มบริษัทจีอีในประเทศไทย พม่า ลาว และกัมพูชา

วิทยากรต่างเห็นตรงกันว่า ประชาชนในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม) มีความใกล้ชิดกับคนไทยมากกว่าที่เราคิด ซึ่งจะช่วยให้การหลอมรวมกันเป็นไปได้ดียิ่งขึ้น เช่น คนในเมืองใหญ่ของเวียดนามและพม่า จำนวนไม่น้อยที่พูดภาษาไทยได้ ส่วนคนที่อาศัยอยู่พื้นที่การค้าขายตามแนวชายแดนก็สามารถพูดได้หลายภาษา นอกจากนี้ ประชากรส่วนใหญ่ของภูมิภาคนับถือศาสนาพุทธ ก็เป็นผลดีอีกประการหนึ่งเช่นก้น

ในอีกด้านหนึ่ง อนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงก็มีบทบาทสำคัญต่อประเทศไทย ทั้งในด้านพลังงาน แรงงาน และทำเลในการประกอบอุตสาหกรรม แต่การติดต่อสื่อสารระหว่างกันของประเทศสมาชิกยังต้องได้รับการพัฒนาต่อไปเพื่อให้ภูมิภาคนี้เข้มแข็งยิ่งขึ้น โดยเฉพาะจังหวัดที่มีการค้าตามแนวชายแดนที่สามารถเจริญก้าวหน้าได้อย่างดีในอนาคต

ทั้งนี้ การหลอมรวมเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอย่างเต็มรูปแบบ จะทำให้การแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ ตลอดจนการเคลื่อนย้ายเงินทุนและแรงงานระหว่างประเทศสมาชิกเป็นไปอย่างเสรี เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ทั้งยังจะช่วยให้ประชาชนและธุรกิจในพื้นที่แผ่นดินใหญ่สามารถเข้าถึงชายฝั่งทะเลของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผ่านประเทศที่มีอาณาเขตติดต่อกันได้ดียิ่งขึ้น

ส่วนผมมองว่า การขาดแคลนแรงงานจะเป็นความท้าทายที่สำคัญทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยที่ไม่ได้เป็นตลาดที่มีแรงงานราคาถูกอีกแล้ว เห็นจากธุรกิจจำนวนมากที่ต้องใช้แรงงานเป็นหลักได้ย้ายฐานการผลิตไปยังกัมพูชา ขณะเดียวกันไทยก็ไม่สามารถพึ่งพาแรงงานราคาถูกจากพม่าได้อีกต่อไป เนื่องด้วยเศรษฐกิจพม่าเติบโตและต้องการแรงงานมากขึ้น ดังนั้นธุรกิจไทยควรลดการพึ่งพิงแรงงาน และหันไปลงทุนในเทคโนโลยี เพื่อปรับตัวรับกับความท้าทายข้างต้นให้ทันท่วงที

นอกจากนี้ คุณนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ในขณะนั้น) ในฐานะรัฐมนตรีประจำแผนงานการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ได้กล่าวถึงโครงการทวายในพม่าว่า จะเป็นแหล่งรวมนิคมอุตสาหกรรม ถนน ท่าเรือน้ำลึก โรงไฟฟ้าพลังถ่านหิน ก๊าซ และพลังน้ำ โดยภายใน 10 ปี ทวายจะกลายเป็นศูนย์กลางการค้า การลงทุน จากการเป็นท่าเรือน้ำลึกและแหล่งนิคมอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค ตามรอยความสำเร็จของการพัฒนาอีสเทิร์นซีบอร์ดในไทยซึ่งเริ่มต้นเมื่อ 20 ปีก่อน ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นแหล่งสร้างมูลค่าธุรกิจ คิดเป็นร้อยละ 16 ของจีดีพีของประเทศไทยแล้ว

ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่าความร่วมมือในระดับภูมิภาคอาเซียน จะนำมาซึ่งโอกาสมากมายในเชิงเศรษฐกิจ แต่ขณะเดียวกันก็มีความท้าทายใหม่ ๆ เกิดขึ้นด้วย

ดังนั้นจึงจำเป็นที่เอสเอ็มอีไทยต้องมีข้อมูลที่ถูกต้องรอบด้าน และมีการวางแผนรับมือสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////

งดแถลงหยุดยิง ตลอดเดือนรอมฎอน : ใครได้-ใครเสีย !!??

โดย อบู ยะมีนะฮ์

กรณีมาเลเซียงดแถลงมาตรการหยุดยิงในภาคใต้ของไทยตลอดเดือนรอมฎอน ใครได้-ใครเสีย?

ตามที่ปรากฏรายงานข่าวว่า มาเลเซียในฐานะผู้อำนวยความสะดวกสำหรับการพูดคุยสันติภาพระหว่างคณะผู้แทนรัฐบาลไทยที่นำโดยสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กับขบวนการ Barisan Revolusi Nasional (BRN) ได้แจ้งแก่ สมช.ว่า

มาเลเซียจะจัดการแถลงข่าวร่วมกับผู้แทน BRN เกี่ยวกับมาตรการลดเหตุรุนแรงในภาคใต้ของไทยช่วงเดือนรอมฎอน (เดือนถือศีลอดของมุสลิมซึ่งปีนี้มีกำหนดเริ่มขึ้นในวันที่ 10 กรกฎาคม)

ในเวลา 17.00 น. ของวันที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา ตามเวลาในมาเลเซียนั้น ปรากฏว่าก่อนถึงกำหนดการแถลงดังกล่าวเพียงครึ่งชั่วโมง พลโทภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการ สมช. กลับได้รับการประสานจากมาเลเซียว่า ของดการแถลงดังกล่าวทั้งในรูปของการแถลงด้วยวาจาและเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษร ความเคลื่อนไหวดังกล่าวที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน



พลโทภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการ สมช ภาพจาก Voice TV

นำไปสู่คำถามใหญ่ตามมาอย่างน้อย 2 ประการ
คำถามแรกคือ เกิดเหตุอะไรขึ้นที่ทำให้มาเลเซียไม่สามารถจัดการแถลงเกี่ยวกับการหยุดยิงในช่วงเดือนรอมฎอนได้ ทั้งที่มีการแจ้งให้ฝ่ายไทยทราบผ่านช่องทางที่เป็นทางการแล้ว
อีกคำถามที่สำคัญไม่แพ้กันและอาจสำคัญกว่าคำถามแรกด้วยซ้ำ คือการงดแถลงเกี่ยวกับการหยุดยิงครั้งนี้จะส่งผลต่อฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างไรบ้าง
สาเหตุของการงดแถลงหยุดยิงในเดือนรอมฏอน

เบื้องต้นพลโทภราดรเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ไม่ทราบสาเหตุที่ทางมาเลเซียของดการแถลงเกี่ยวกับการหยุดยิงของ BRN ในเดือนรอมฎอน แต่ทาง สมช.ได้ประสานกับมาเลเซียเพื่อสอบถามเหตุผลอย่างเป็นทางการจากมาเลเซียไปแล้ว และต้องการความชัดเจนว่าการงดแถลงดังกล่าวเป็นเพียงการเลื่อนหรือจะเป็นการยกเลิกการแถลงอย่างสิ้นเชิง

อย่างไรก็ดี พลโทภราดรยังคงยืนยันว่า ไม่ว่าการแถลงหยุดยิงจะมีขึ้นหรือไม่ก็ตาม ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อแนวทางขอหยุดยิงหรือลดความรุนแรงในช่วงรอมฎอนที่มีอยู่เดิม ตามที่ได้มีการพูดคุยไว้กับ BRN และมาเลเซียก่อนหน้านี้แต่อย่างใด โดยกำหนดกรอบเวลาที่ฝ่ายไทยต้องการจะลดความรุนแรงคือในช่วงระหว่างวันที่ 10 กรกฎาคม – 18 สิงหาคม

ส่วนท่าทีของมาเลเซียและ BRN ในชั้นนี้ ดาโต๊ะ ซัมซามิน อดีตผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองของมาเลเซีย ในฐานะผู้อำนวย

ความสะดวกในการพูดคุยสันติภาพระหว่างรัฐบาลไทยกับขบวนการ BRN ชี้แจงกับผู้สื่อข่าวที่กัวลาลัมเปอร์ว่า เหตุที่ต้องงดแถลงข่าวร่วมกับผู้แทนขบวนการ BRN เกี่ยวกับมาตรการลดเหตุรุนแรงในช่วงเดือนรอมฎอนอย่างกระทันหัน เป็นเพราะฝ่าย BRN ไม่พร้อมที่จะแถลงท่าทีต่อสาธารณชนในช่วงนี้

อย่างไรก็ดี ฝ่าย BRN ยังคงยืนยันว่าจะไม่ก่อเหตุรุนแรงตลอดเดือนรอมฎอน และหากมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น จะช่วยเจ้าหน้าที่สืบสวนว่าเป็นฝีมือของกลุ่มใด
ใครได้-ใครเสีย ?

BRN

คำชี้แจงของดาโต๊ะ ซัมซามิน ที่ระบุถึงเหตุที่ต้องงดการแถลงตามกำหนดเดิมว่าเป็นเพราะ BRN ไม่พร้อมที่จะแถลงท่าทีในช่วงนี้ ถือว่ายังไม่เพียงพอ และกลับชวนให้สงสัยว่า ความไม่พร้อมของ BRN ที่ว่านั้นมาจากการที่ฮะซัน ตอยยิบ หัวหน้าคณะผู้แทนของ BRN ไม่มั่นใจว่าจะสามารถโน้มน้าวให้สมาชิกคนอื่นๆ ในสังกัดยุติหรือลดเหตุรุนแรงในช่วงนี้ได้

หรือเป็นตามจริงแล้ว ฮะซัน ตอยยิบ ไม่ได้รับมอบอาณัติและอำนาจการตัดสินใจให้มาเป็นตัวแทนของ BRN อย่างแท้จริงตั้งแต่แรกอย่างที่มีหลายฝ่ายเริ่มตั้งข้อสงสัยในวงกว้าง หลังจากกระบวนการพูดคุยระหว่าง BRN กับรัฐบาลไทยที่ผ่านมายังไม่สามารถนำไปสู่การลดเหตุรุนแรงในพื้นที่ได้จริง

ทั้งนี้ หากมาเลเซียยังไม่สามารถให้เหตุผลที่เป็นทางการแก่ สมช. เพื่อขจัดข้อสงสัยตามที่กล่าวถึงข้างต้นได้ ก็จะส่งผลกระทบต่อสถานะและความเชื่อถือที่มีต่อฮะซัน ตอยยิบในกระบวนการพูดคุยสันติภาพกับไทยหลังจากนี้



ฮะซัน ตอยยิบ BRN ภาพจากไทยรัฐ

มาเลเซีย

การที่มาเลเซียแจ้งให้ สมช.ทราบล่วงหน้าอย่างเป็นทางการว่าจะมีการจัดแถลงข่าวร่วมกับ BRN เกี่ยวกับแนวทางลดความรุนแรงในเดือนรอมฎอนนั้น แสดงว่ามาเลเซียต้องมีความเชื่อมั่นในระดับหนึ่งแล้วว่าจะสามารถโน้มน้าวให้ BRN ยอมรับข้อเสนอของไทยที่ต้องการให้ลดเหตุรุนแรงในเดือนรอมฎอนได้

แต่เมื่อมีเหตุที่ทำให้ต้องตัดสินใจงดการแถลงดังกล่าวอย่างกะทันหัน มาเลเซียก็กลายเป็นฝ่ายที่ต้องถูกตั้งคำถามด้วยอย่างเลี่ยงไม่พ้นว่า มาเลเซียประสบความล้มเหลวในการโน้มน้าว BRN ให้ฮะซัน ตอยยิบยอมลดเหตุรุนแรงในช่วงนี้หรือไม่ หรือเป็นเพราะมาเลเซียตระหนักแล้วว่า ฮะซัน ตอยยิบ ไม่มีอำนาจสั่งการให้สมาชิกคนอื่นๆ ใน BRN ปฏิบัติตามพันธกรณีที่จะมีขึ้นหลังจากนี้ได้

ซึ่งหากเป็นกรณีหลังก็เท่ากับว่า มาเลเซียดำเนินการผิดพลาดมาตั้งแต่แรกแล้วที่เอาบุคคลที่ไม่ใช่ “ตัวจริง” มาเป็นคู่สนทนากับฝ่ายไทย แต่หากไม่ใช่ด้วยปัจจัยทั้ง 2 ประการนี้แล้ว ก็คงต้องตั้งคำถามเพิ่มเติมว่า เป็นเพราะมาเลเซียเกรงว่าหากมีการประกาศมาตรการลดเหตุรุนแรงที่เป็นที่ยอมรับได้ทั้งจาก BRN และรัฐบาลไทยแล้ว แต่ยังคงมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นโดยการกระทำของสมาชิก BRN หรือสมาชิกขบวนการกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่เห็นด้วยกับกระบวนการพูดคุยสันติภาพ โดยแสดงพลังให้เห็นว่าพวกตนยังคงยืนหยัดในแนวทางสู้รบด้วยอาวุธต่อไป

ซึ่งหากเป็นกรณีหลังนี้ ก็เท่ากับว่า การพูดคุยที่มีมาเลเซียเป็นผู้ประสานงานกลับกลายเป็นเงื่อนไขที่ผลักดันผู้ที่มีความเห็นต่างเพิ่มการก่อเหตุรุนแรง แทนที่จะสามารถผลักดันให้กระบวนการสันติภาพเดินหน้าไปได้อย่างที่ควรจะเป็น

ไทย

การลดเหตุรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเป้าหมายหลักที่คณะผู้แทนการพูดคุยสันติภาพของฝ่ายไทยพยายามผลักดันผ่านการพูดคุยกับ BRN มาโดยตลอด และเมื่อเห็นโอกาสอันดีที่กำลังเข้าสู่เดือนรอมฎอนซึ่งเป็นเดือนสำคัญของมุสลิม จึงเสนอให้ทุกฝ่ายหาทางลดความรุนแรงในเดือนนี้ ซึ่งในเบื้องต้นก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากทุกฝ่าย

สถานการณ์ล่าสุด จากการพบปะหารือระหว่างนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับศาสตราจารย์อิกมาลุดดีน อิห์ซาโนกลู เลขาธิการองค์การความร่วมมืออิสลาม (Organization of Islamic Cooperation - OIC) ที่อิสตันบูล ระหว่างการเยือนตุรกีของนายกรัฐมนตรีไทยเมื่อ 6 กรกฎาคมที่ผ่านมา ก็มีการหยิบยกประเด็นเกี่ยวกับความพยายามของรัฐบาลไทยที่จะผลักดันให้มีการหยุดยิงในเดือนรอมฎอนร่วมกับกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดนต่างๆ ขึ้น เพื่อชี้แจงให้เลขาธิการ OIC ทราบ

ผลปรากฏว่า เลขาธิการ OIC ให้การตอบรับในเรื่องนี้เป็นอย่างดี และมีการออกข่าวสารนิเทศบนหน้าเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ OIC เมื่อ 8 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยมีสาระสำคัญว่า เลขาธิการ OIC สนับสนุนความพยายามหยุดยิงในพื้นที่ภาคใต้ของไทยตลอดเดือนรอมฎอนนี้ เนื่องจากรอมฎอนเป็นเดือนที่มุสลิมให้ความสำคัญกับการใช้ความอดทนอดกลั้นและการประกอบศาสนกิจเพื่อทำจิตใจให้สงบเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้ ยังหวังว่าการหยุดยิงที่จะมีขึ้นจะสามารถนำไปสู่การสร้างสันติสุขและแก้ไขปัญหาขัดแย้งในพื้นที่ได้ในที่สุด

อย่างไรก็ดี แม้ว่าการแถลงมาตรการลดเหตุรุนแรงในพื้นที่ภาคใต้ของไทยจะไม่เกิดขึ้นตามกำหนดที่มาเลเซียวางไว้ แต่การที่รัฐบาลไทยเป็นฝ่ายชิงความได้เปรียบทางการทูตด้วยการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองที่ดีให้ OIC ทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปก่อนหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น

รวมทั้งการยืนยันเจตนารมณ์ว่าจะลดความรุนแรงตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้ตามเดิมในช่วงระหว่างวันที่ 10 กรกฎาคม – 18 สิงหาคม ไม่ว่าจะมีการแถลงมาตรการลดความรุนแรงโดยฝ่าย BRN หรือไม่ก็ตาม ก็ทำให้ไทยกำลังเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบในเวทีการทูตอย่างชัดเจน

ประชาชนในพื้นที่

แม้ว่าทั้งไทย มาเลเซีย และ BRN จะยืนยันสอดคล้องกันว่า การงดแถลงมาตรการหยุดยิงในเดือนรอมฎอนจะไม่ส่งผลกระทบต่อเจตนารมณ์ของทุกฝ่ายที่ต้องการลดเหตุรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ตลอดเดือนรอมฎอน อีกทั้งได้รับการยืนยันจากมาเลเซียว่า หากเกิดเหตุรุนแรงขึ้น ก็ยังมีกลไกที่เปิดช่องทางให้สามารถประสานผ่านมาเลเซียในฐานะผู้อำนวยความสะดวกเพื่อแจ้งเหตุหรือสอบถามว่าเหตุที่เกิดขึ้นเกิดจากฝ่ายใดได้ตลอดเวลา

อย่างไรก็ดี หากไม่มีการแถลงด้วยวาจาหรือจัดทำเอกสารยืนยันอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรว่า BRN และไทยโดยการประสานงานของมาเลเซียสามารถบรรลุมาตรการลดความรุนแรงในเดือนรอมฎอนร่วมกันได้แล้ว ก็เท่ากับว่ายังคงไม่มีหลักประกันให้ประชาชนในพื้นที่เกิดความมั่นใจ “ในระดับหนึ่ง” ได้ว่า สถานการณ์ในพื้นที่ตลอดรอมฎอนปีนี้จะผ่อนคลายลง และคงทำให้ประชาชนในพื้นที่ต้องใช้ชีวิตด้วยความหวาดหวั่นกันต่อไป

ที่มา.Siam Intelligence Unit
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เฉลิม. ชี้คลิปพิฆาต จ้องทำลาย !!??

เฉลิม ฟันธงคลิป"ทักษิณ-ยุทธศักดิ์"ตัดต่อจ้องทำลายรัฐบาล เล็งดันร่างพ.ร.บ.ปรองดองจ่อชงพท.ดัน3วาระ แนะ"ยุทธศักดิ์"ไม่ต้องลาออก

จากกรณีคลิปคล้ายเสียงพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พูดคุยแนวทางกลับบ้านกับพล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม โดยก่อนการแถลงข่าวร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้แจกบทวิเคราะห์คลิปเสียงดังฉาวความยาว 9 หน้า พร้อมเซ็นชื่อทุกหน้าเพื่อป้องกันการบิดเบือน

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ได้ฟังและวิเคราะห์คลิปเสียงดังกล่าวอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ซึ่งมีความยาว 32 นาที โดยนั่งวิเคราะห์เมื่อคืนที่กระทรวงแรงงาน ให้ชื่อว่า “บทวิเคราะห์คลิปเสียงฉาว” เชื่อว่าเป็นการตัดต่อของผู้ที่มุ่งทำลายรัฐบาล ตนขอยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนจงรักภักดีต่อสถาบัน และขอให้รู้ไว้ว่าเสียงในคลิปไม่สามารถนำไปเป็นหลักฐานการพิจารณาคดีได้ตนเคยอภิปรายในสภาเรื่องเทปซื้อเสียงปี2540 คดีดำเนินการในชั้นพนักงานสอบสวน และกรมตำรวจสมัยนั้นก็ยืนยันว่าเทปบันทึกเสียงใช้เป็นหลักฐานทางคดีไม่ได้ ศาลไม่รับฟัง นักการเมืองรุ่นใหม่ไม่รู้หรือบางคนก็แกล้งไม่รู้

"ผมยืนยันมีการพูดคุยจริงแต่มีการตัดต่อและในส่วนที่ไม่ตัดต่อก็แปลความผิด และการให้ดันพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ผ่านสภากลาโหม สภาความมั่นคง แล้วแปลงเป็นพระราชกำหนดเพื่อพาพ.ต.ท.ทักษิณ กลับบ้าน ข้อกล่าวหานี้เป็นไปไม่ได้ มันอิมพอสซิเบิ้ล พวกคิดแบบนี้เป็นพวกโง่ ไม่รู้กฎหมาย คนตัดต่อคลิปมีชั้นเชิงแค่ป.4 จริงๆ แล้วต้องออกเป็นร่างพ.ร.บ.ปรองดอง"ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวอีกว่า เช่นเดียวกับบทสนทนาเสียงช่วงที่มีการพูดเรื่องการสร้างภาพว่ารัฐบาลเอาด้วยกับการให้นำทหารไปบุกยิงพม่าที่มีเสียงสะดุดอ่า....เป็นการแก้ไขประโยคสนทนาจึงมีเสียงอ่า ทั้งที่ผู้พูดไม่ได้ติดอ่างและตามคลิปเสียงที่พูดถึงแต่กฎหมาย เป็นไปไม่ที่จะหมายถึงกฎหมายนิรโทษกรรม เพราะไม่ต้องเข้าสภากลาโหม และสภาความมั่นคง เพราะเป็นอำนาจของสภาผู้แทนราษฎร ขณะที่ถ้าเป็น พ.ต.ท.ทักษิณ จริงก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้อำนาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงานเพราะเคยบริหารประเทศมาแล้ว นอกจากนี้ยังมีความไม่ต่อเนื่องของบทสนทนา เช่น ช่วงที่มีการพูดคุยถึงการนำกฎหมายเข้าสภากลาโหม ชายอีกคนตอบรับแต่บทสนทนาต่อมากลับพูดว่าจะเอาเข้าสภาความมั่นคงและส่งให้รัฐบาลเป็นการลัดขั้นตอนแทนที่จะกลับมาพูดถึงสภากลาโหม

"ส.ส.ในพรรคบางกลุ่มเป็นพวกห่านตกใจง่าย ใครพูดอะไรหน่อยก็กลัว ไม่กล้าทำอะไร เรื่องนี้ผมคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างละเอียดหลายครั้ง ผมบินไปปักกิ่ง สิงคโปร์ดูไบ ให้พ.ต.ท.ทักษิณ อ่านและรอเวลาเสนอเข้าสู่สภา ท่านถามผมในฐานะจบดอกเตอร์กฎหมายว่าร่างพระราชบัญญัติปรองดอง จะออกมาเป็นร่างพระราชกำหนดปรองดองได้หรือไม่ ผมบอกไปว่าไม่ได้ เพราะการตราพระราชกำหนดต้องเป็นเรื่องเร่งด่วน แต่เหตุการณ์ปี 2549 ผ่านมาแล้ว 7-8 ปี จึงออกเป็นพระราชกำหนดไม่ได้ หลังจากนี้จะรณรงค์ให้คนในพรรคดันร่างพ.ร.บ.ปรองดองให้ผ่านการพิจารณาทั้ง 3 วาระ หลังจากนั้น 3 เดือน เชื่อว่าจะนำพ.ต.ท.ทักษิณ กลับบ้านได้ ผมจะดูว่าเป็นอย่างไร เพราะถือเป็นการทำตามกฎหมาย"ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว

รมว.แรงงาน กล่าวด้วยว่า ส่วนกรณีคลิปมีการกล่าวพาดพิงถึง พล.อ.เปรม ท่านเป็นผู้ใหญ่ที่น่าเคารพ การจะกล่าวถึงท่านไม่มีกฎหมายข้อไหนระบุว่าผิดที่พ.ต.ท.ทักษิณ พูดถึงก็เพื่อต้องการทำความเข้าใจ และเป็นไปในลักษณะหลักธรรมเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ถ้าตนบอกว่ารักพล.อ.เปรม อยากเข้าไปกราบท่านงามๆ ถ้าป๋าอนุญาตตนก็จะเข้าไปกราบทันที

ส่วนกรณีที่กล่าวหาว่าตามคลิปเสียงเสนอ"ป๋า"เป็นที่ปรึกษาสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษตริย์หลังกลับเข้าประเทศนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะเกี่ยวข้องกับกระทรวงกลาโหม เพราะมีรมว.กระทรวงการคลัง เป็นประธานคณะกรรมการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และมีกรรมการอื่นอีก 4 คน ซึ่งเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษตริย์ ที่จะทรงแต่งตั้งและไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีหรือ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ก็ไม่มีอำนาจใดๆ ที่จะแต่งตั้ง โดยเชื่อว่าทั้งหมดเป็นการหวังทำลายรัฐบาลต้อนรับนายกฯเป็นรมว.กลาโหม ยืนยัน กองทัพเข้าใจรัฐบาล ไม่อยากให้ไปยั่วยุให้แตกแยกกับกองทัพ รัฐบาลไม่เคยยุ่งกับกองทัพ และเชื่อว่าจะไม่เกิดปัญหาความขัดแย้งกับพม่า นอกจากนี้ การเข้าไปลงทุนในพม่าใครก็ไปลงทุนได้ เพราะพม่าเปิดประเทศ เชื่อว่าเรื่องนี้คนที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้มีเฉพาะสื่ออ้วนดำ แต่ยังมีลูกน้องของคนเมียสวยที่ยังไม่เลิกสนับสนุน ยังปล่อยข่าวออกมาเรื่อยๆ

"เรื่องนี้ไม่ได้พูดคุยกับนายกฯ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่ได้สั่งมา ถ้าผมคุยกับนายกฯ คงไม่ถูกย้ายมาเป็น รมว.แรงงาน ผมออกมาชี้แจงเองด้วยจิตสำนึกความถูกต้อง และต้องการรักษาสถาบันพรรค ให้สังคมหูตาสว่าง ผมเหนื่อยมา 6 ปี คลิปนี้มันทำลายพรรคผม และผมไม่ได้หวังว่าจะไปอยู่ที่อื่น อยู่กระทรวงแรงงานก็มีความสุขดี เป็นรัฐมนตรี 8 สมัย เกิดจากท้องพ่อท้องแม่ ไม่เคยอยู่ห้องทำงานรัฐมนตรีใหญ่ขนาดนี้ เลยรีบขนข้าวขนของมา การที่ผมออกมาชี้แจงเพื่อความถูกต้อง รวมทั้งอยากฝากให้พล.อ.ยุทธศักดิ์ ไม่ต้องลาออก ให้อยู่ต่อไปยาวๆ ผมยินดีที่จะช่วยชี้แจงในสภา" ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวทิ้งท้ายว่าปัญหาจำนำข้าว การบริหารจัดการน้ำ และคลิปเสียง จะทำให้รัฐบาลสั่นคลอนจนถึงขั้นยุบสภาหรือไม่ไม่ขอพูด พูดไปจะเป็นการเขย่ารัฐบาล อย่างไรก็ตามโครงการจำนำข้าว รัฐบาลตั้งใจขาดทุน ให้ชาวนารวย ตอนนี้คนอุดรธานีใส่ต่างหูทองเต็มไปหมด หากเลือกตั้งใหม่พรรคเพื่อไทยก็ชนะดีกว่าตั้งองค์การปฏิรูประบบสถาบันการเงิน(ปรส.)ที่ทำรัฐบาลเสียหาย 7-8 แสนล้านบาท ดังนั้นคนที่อยากให้รัฐบาลยุบสภา เตรียมตัวร้องไห้ได้เลย วันนี้รัฐบาลเข้าใจกองทัพ กองทัพก็เข้าใจรัฐบาล พรรคเพื่อไทยไม่ก้าวก่ายทหาร ที่บอกว่านายกฯ มาเป็นรมว.กลาโหม จะเพิ่มสัดส่วนการโยกย้ายนายทหาร เรื่องนี้นายกฯฉลาด ท่านไม่ยุ่งถ้ายุ่งก็ถูกปฎิวัติ

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////

พื้นที่ทางสังคมของพุทธศาสนาแบบไทยๆ !!??

โดย.นักปรัชญาชายขอบ

ถามว่าตัวคำสอนพุทธศาสนามีมิติทางสังคม คือมีมโนทัศน์ (Concepts) คำอธิบายเกี่ยวกับสังคมการเมืองที่ดี ที่ควรจะเป็นหรือไม่ หรือว่าคำสอนของพุทธศาสนามีเพียงมิติปัจเจก คือมีมโนทัศน์ คำอธิบายเกี่ยวกับความหลุดพ้นทางจิตวิญญาณหรือการมีชีวิตที่ดีส่วนบุคคลเท่านั้น

คำตอบคือ คำสอนพุทธศาสนามีมิติทางสังคมแน่นอน และเมื่อว่าเฉพาะสังคมไทย อิทธิพลของการแปรมิติทางสังคมของพุทธศาสนา เช่น คำสอนเรื่องทศพิธราชธรรม จักรวรรดิวัตร ราชสังคหวัตถุ เป็นต้น มาเป็นปรัชญาการเมืองการปกครอง และสถาปนาสถานะความเป็นเทพ เป็นพระโพธิสัตว์ หรือกระทั่งเป็นพระพุทธเจ้าของชนชั้นปกครองในระบอบราชาธิปไตยนั่นเอง ที่สถาปนาพุทธศาสนาให้เป็น “ศาสนาแห่งรัฐ” ปลูกฝังความทรงจำและสำนึกร่วมทางประวัติศาสตร์ว่า พุทธศาสนากับชนชั้นปกครองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ความมั่นคงของพุทธศาสนากับความมั่นคงของรัฐ (ชนชั้นปกครอง) ไม่อาจแยกขาดจากกันได้ ความทรงจำและสำนึกร่วมนี้พัฒนามาถึงขีดสุดในนามของอุดมการณ์จงรักภักดีต่อ “ชาติ ศาสน์ กษัตริย์”

มองจากความทรงจำและสำนึกร่วมทางประวัติศาสตร์ดังกล่าว จะเห็นได้ชัดว่า “พื้นที่ทางสังคม” ของพุทธศาสนาครอบคลุมกว้างขวางและลึกซึ้งมาก ในเชิงนามธรรมเป็นส่วนหนึ่งของอุดมการณ์รัฐ ซึ่งกำหนดให้พุทธศาสนามีบทบาทหลักในการปลูกฝังความเชื่อที่ค้ำจุนสถานะ อำนาจ ของชนชั้นปกครอง ในเชิงรูปธรรมอุดมการณ์ดังกล่าวได้กำหนดโครงสร้างสถาบันสงฆ์ที่ขึ้นต่ออำนาจรัฐ และกำหนดเนื้อหาคำสอนของพุทธศาสนาส่วนไหนบ้างที่ควรนำมาศึกษา สั่งสอน เผยแผ่ แปรเป็นพิธีกรรม ในการอบรมปลูกฝังกล่อมเกลาศีลธรรมจรรยาของคนในชาติ กำหนดกรอบในการตีความ การกำกับควบคุมความหมายของธรรมวินัยอย่างไร ควรจัดให้มีการเรียนวิชาพุทธศาสนาในโรงเรียน สวดมนต์หน้าเสาธงอย่างไร เป็นต้น

นอกจากพื้นที่ทางสังคมของพุทธศาสนาจะแสดงออกผ่านอุดมการณ์รัฐ ผ่านบทบาทของสถาบันสงฆ์ และการศึกษาแบบทางการแล้ว พุทธศาสนาไทยๆ ยังเข้าไปแสดงบทบาทในพื้นที่ชีวิตส่วนตัวของปัจเจกบุคคลและพื้นที่ทางสังคมแทบทุกพื้นที่ เป็นบทบาทของ “ตำรวจทางศีลธรรม” คอยจ้องมอง จับผิด หรือตัดสินถูก ผิด ควร ไม่ควร มิบังควร ไปจนถึงประณาม สาปแช่ง

เช่น ไปตัดสินว่าคนที่เกิดมาเป็นเพศที่สามที่สี่เป็นเพราะ “บาป” ในชาติก่อน เนื่องจากชาติที่แล้วประพฤติผิดศีลข้อสาม ผิดลูกผิดเมียคนอื่น กรรมเลยตามสนองให้เกิดมาผิดเพศในชาตินี้ กระทั่งคนที่มีองคชาติเล็ก กลาง ใหญ่ ก็เกิดจากกรรมเก่าในอดีตชาติ ไปจนถึงคอยกำกับจิตใจคนว่าคิดอย่างนี้อย่างนั้นบาป ไม่บาป โดยเฉพาะคิดเกี่ยวกับเรื่องด้านลบของบุคคลที่ถูกยกย่องศรัทธาว่ามีคุณธรรมสูงส่ง เป็นพระเป็นพระเป็นเจ้า แม้แต่คิดก็บาปแล้ว ไม่ควรคิด อย่าว่าแต่จะตั้งคำถาม และวิพากษ์วิจารณ์เลย

พุทธศาสนาไทยๆ เข้าไปยุ่มย่ามในพื้นที่ทางสังคมเต็มไปหมด เช่น ละครหลังข่าวจบ มีพระเซเลบไปเทศนาสอนว่าละครเรื่องนี้สอนธรรมะอะไร เพราะเป็นห่วงว่าชาวบ้านเขาคิดเองไม่เป็น เข้าไปในพื้นที่ทางการเมืองแต่เป็นการอ้างศีลธรรม อ้างคำพระประณามนักการเมือง กดเหยียดประชาชนว่าไม่มีศักยภาพจะใช้อำนาจอย่างมีศีลธรรม แต่สรรเสริญคุณธรรมของชนชั้นปกครองในระบบเก่า อ้างศีลธรรมสนับสนุนการรักษากฎหมายให้ศักดิ์สิทธิ์ในสถานการณ์ที่รัฐบาลใช้กำลังทหารและกระสุนจริงสลายการชุมนุม พระบางรูปเทศนาสนับสนุนความรุนแรงในการปราบปรามนักศึกษาประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตย

นอกจากนี้พุทธศาสนาไทยๆ ยังเข้าไปละเมิดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นในพื้นที่สื่อสาธารณะ เช่น กรณีที่พระสงฆ์และชาวพุทธบางกลุ่มกดดันให้รายการ “คิดเล่นเห็นต่าง” ทาง Voice TV ออกมาขอโทษกรณีวิจารณ์การสวดมนต์ข้ามปี เป็นเหตุให้รายการดังกล่าวงดพูดเรื่องเกี่ยวกับพุทธศาสนาไปเลย ผมพูดเรื่องนี้บ่อยเพราะถือเป็นเรื่องสำคัญมาก เป็นเรื่องที่ทำกันในนามปกป้องพุทธศาสนาสร้าง “ตราบาป” ละเมิดเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพของสื่อสาธารณะในโลกสมัยใหม่

นอกจากบทบาท “ตำรวจทางศีลธรรม” ที่คอยปลูกฝังควบคุมกำกับจิตสำนึกความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และแทรกแซงจับผิดเข้าไปในพื้นที่ชีวิตส่วนตัว พื้นทางสังคมการเมืองดังกล่าวแล้ว บทบาทนำในทางส่งเสริมเสรีภาพ ความเป็นธรรม สันติภาพของพุทธศาสนาไทยๆ แทบไม่ปรากฏเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่รัฐใช้ความรุนแรงปราบปรามประชาชนในประเทศ หรือเรื่องชาวพุทธด้วยกันเรียกร้องให้ใช้ความรุนแรงกับคนในศาสนาอื่น ก็ไม่เห็นองค์กรปกครองสงฆ์ไทยแสดงท่าทีอะไรเลย (หากจะมีก็เป็นเรื่องของพระหรือชาวพุทธรายบุคคล)

เพราะการที่พุทธศาสนาไทยแสดงบทบาทตำรวจทางศีลธรรมก้าวล้ำเข้าไปในพื้นที่ชีวิตและพื้นที่ทางสังคมในแทบทุกมิติ และเข้าไปในท่วงทำนองควบคุมกำกับด้วยมาตรฐานถูก ผิด ควร ไม่ควร มิบังควรอย่างคลุมเครือหรืออย่างลดทอนเสรีภาพและความเป็นมนุษย์อย่างโลกย์ๆ หรือความเป็นมนุษย์ที่มีเสรีภาพและความเท่าเทียมในความหมายของโลกสมัยใหม่ดังกล่าว จึงทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านมากขึ้นเรื่อยๆ ในโลกโชเชียลมีเดีย

เฟซบุ๊ก คือพื้นที่หนึ่งที่บรรดาผู้แสดงความเห็นทางการเมือง ศาสนา และเรื่องอื่นๆ ต้องการสิทธิแสดงออกบนพื้นฐานของหลักการสากล คือ “freedom of speech” ลำพังการถูกจำกัดสิทธิโดยกฎหมายที่คลุมเครืออย่าง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และ ม.112 ก็เป็นเรื่องที่หนักหน่วงอยู่แล้ว พวกเขาจึงไม่ต้องการ “ตำรวจทางศีลธรรม” ไปอ้างคำพระ อ้างคำสอนศาสนาจับผิด หรืออบรมสั่งสอนศีลธรรมว่าด้วยท่วงทีวาจาอะไรต่ออะไรอีกแล้ว ฉะนั้น ในโลกเฟซบุ๊กจึงมีคนจำนวนหนึ่งสร้างเพจล้อเลียนศาสนา ศีลธรรมจรรยา พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ขนบจารีตแบบไทยๆ กระทั่งเสนอให้ “ยกเลิกความเป็นไทย” หรือพุทธศาสนาไทยๆ ที่ชอบทำหน้าที่ตำรวจทางศีลธรรมด้วยการอ้างบรรทัดฐานที่คลุมเครือมาทับซ้อน แทรกแซง ลดทอนสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกตามมาตรฐานสากล ที่เป็นมาตรฐานการแสดงออกในเรื่องสาธารณะอย่างโลกย์ๆ

เพราะพวกเขาต้องการชีวิตทางสังคมการเมืองอย่างโลกย์ๆ ไม่ใช่สังคมการเมืองของผู้ทรงศีลธรรมสูงส่งที่นิยมใช้ศีลธรรมแต่งหน้าให้ตัวเองดูดี หรืออ้างศีลธรรมบังหน้า กระทั่ง “บังตา” ไม่ให้เห็นโครงสร้างอันอยุติธรรมและรุนแรง และประวัติศาสตร์ความโหดร้ายป่าเถื่อนที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาครั้งแล้วครั้งเล่า!

น่าสงสัยเหลือเกินว่า บรรดาตำรวจทางศีลธรรมเขาเคยสำเหนียกบ้างหรือเปล่าว่า สำหรับคนที่ยืนยันเสรีภาพและความเท่าเทียมในการแสดงออกเชิงสาธารณะนั้น พวกเขาอาจรู้สึกเฉยๆ กับคำด่าหยาบๆ คายๆ อาจมองสิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องไร้สาระเกินกว่าจะใส่ใจ

แต่พวกเขาอาจรับไม่ได้ เจ็บปวด หรือกระทั่งรังเกียจการใช้ภาษาศีลธรรมทางศาสนา การอ้างคำพระมาจับผิด หรือตัดสินท่าที ท่วงทีวาจาที่พวกเขาแสดงออก โดยละเลย “เนื้อหา” หรือประเด็นความคิดที่พวกเขาเสนอ

เพราะตราบใดที่การแสดงออกของพวกเขาไม่ละเมิดเสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนอื่น ยังอยู่ในกรอบของ freedom of speech ศีลธรรมทางศาสนาที่ว่าด้วยเรื่องควร ไม่ควร มิบังควรในการพูด ควรพูดน้อย พูดมาก มีประโยชน์ไม่มีประโยชน์ ฯลฯ ก็ไม่ควรเข้าไปพิพากษาตัดสินพวกเขา ศีลธรรมทางศาสนาแบบสร้างจินตภาพ“บุคคลที่ดีงามด้วยกาย วาจา ใจ” ควรเป็นเรื่องรสนิยมของปัจเจกบุคคลเท่านั้น ใครทำได้ปฏิบัติได้ก็เป็นเรื่องความดีส่วนตัวของบุคคลนั้น ไม่ควรเอามาตรฐานที่ตัวเองทำได้ (?) ไปตัดสินคนอื่น

หรือหากจะใช้ศีลธรรมทางศาสนามาตั้งคำถาม ก็ควรใช้กับบรรดาคนที่อ้างศาสนาอ้างศีลธรรม อ้างการปล่อยวาง เสียสละ เมตตา ฯลฯ สั่งสอนคนอื่นๆ มากกว่าว่าทำไมพวกเขาเหล่านั้นถึงไม่ยอมปล่อยวางสถานะ อำนาจ ระบบ จารีตเก่าที่ไม่สมสมัย ทำไมจึงยังอยากขยายอำนาจ สะสมความมั่งคั่งจากทรัพย์บริจาค อ้างเป็นพระอรหันต์จนร่ำรวยถอยรถเบนซ์ 10 คัน ในเวลา 3 ปี คิดเป็นเงิน 100 ล้าน แถมมีบ้านเดี่ยวในสหรัฐอเมริกา ซึ่งแน่นอนไม่มีแต่หลวงปู่เณรคำรูปเดียวนี้แน่ๆ

น่าเสียดายที่ศีลธรรมแบบพุทธศาสนาแห่งรัฐ หรือพุทธศาสนาไทยๆ ยิ่งขยายพื้นที่ทางสังคมออกไปมากเท่าไร ยิ่งส่งผลกระทบในทางลบต่อพื้นที่เสรีภาพและความเท่าเทียมมากขึ้นทุกที แทนที่จะขยายออกไปเพื่อสนับสนุนเสรีภาพและความเท่าเทียม เพื่อสร้างสังคมใหม่ที่ดีกว่า

ที่มา.ประชาไท
///////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ยุทธการ(ไวอะกร้า) เป้าหมาย อยู่ที่เดิม !!??

การเมืองนับจากวินาทีนี้เป็นต้นไป มากด้วยความละเอียดอ่อน เหมือนกับจะเป็น "เกม" แต่มิได้เป็นเกมอย่างธรรมชาติ ปกติ

1 มิได้เป็นการปะทะกันบนท้องถนน

ที่เห็นบริเวณแยกราชประสงค์ทุกบ่ายวันอาทิตย์ ที่เห็นแวดล้อมเวทีผ่าความจริง แห่งแล้วแห่งเล่า เสมอเป็นสินค้าตัวอย่าง

เหมือนกับความพยายามของ "ไทยสปริง"

ก็อย่างที่ "น้ำเสียง" อันสะท้อนผ่านคลิปสนทนายืนยันออกมาอย่างหนักแน่น มั่นคงยิ่งว่าปริมาณน้อยลงตามลำดับ

ที่หลับๆ ตื่นๆ ณ ท้องสนามหลวง ก็เสมอเป็นการรอคอย

ขณะเดียวกัน 1 การเคลื่อนไหวที่ดำเนินอยู่จึงเป็นการเคลื่อนไหวในทางลึก ระหว่างหัวต่อหัว หยั่งเชิงกันและกัน

หยั่งด้วยกำลัง หยั่งด้วยการต่อรอง

สิ่งที่ต้องให้ความสนใจอย่างเป็นพิเศษมิได้เป็นแต่ละระลอกของปรากฏการณ์ หากอยู่ที่ความพยายามในการกดดันมากกว่า

"เป้าหมาย" อยู่ตรงไหน

ในที่สุด การปล่อย "คลิป" ออกมาก็ดำเนินไปเหมือนกับการปล่อยข่าว "หึ่ง! ปลด ผบ.ทบ." อันกระหึ่มออกมาก่อนหน้านี้

นั่นก็คือ ต้องการ "เสี้ยม"

ทะลวงลิ่มเข้าไปเพื่อแยกสภาวะแนบชิดระหว่างรัฐบาลกับ ผบ.เหล่าทัพให้ถอยห่างออกจากกัน

สร้างความหวาดระแวง แคลงใจ

แม้ความเป็นจริงในการปลด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกจากตำแหน่ง ผบ.ทบ.มิได้เกิดขึ้น แต่ก็ทะลวงเข้าไป

แหย่งอย่าง "หยั่งเชิง"

ลองย้อนไปสำรวจดูองค์ประกอบของการปั่นและป่วนสถานการณ์ 1 เป็นการปล่อยออกมาผ่าน "ช่องทางไหน"

ไม่ว่าช่องทางของ หึ่ง ! ปลด ผบ.ทบ.

ไม่ว่าช่องทางของ "คลิป" การสนทนาของ ไวอะกร้า กับ ถั่งเช่า

ตามมาด้วยสำทับที่ว่า "หากภายในสัปดาห์นี้ไม่มีการแสดงจุดยืนจาก ผบ.เหล่าทัพก็แสดงว่าเขายอมจำนนและอยู่ใต้อาณัติมานานแล้ว จึงไม่มีปากเสียง"

เห็นหรือยังว่าใครคือ "เป้าหมาย"

ทุกอย่างยังดำเนินไปเหมือนกับเมื่อตอนที่มีการยึดทำเนียบรัฐบาลในเดือนสิงหาคม 2551 ดำเนินไปอย่างที่โปสเตอร์ 1 จากหน้ากากขาวคือ

"เมื่อไหร่ ทหารไทยจะเหมือนทหารอียิปต์"

สถานการณ์อันเนื่องแต่การยึดทำเนียบรัฐบาลในเดือนสิงหาคม และสถานการณ์ในเดือนตุลาคม 2551 ตามมาด้วยน้ำเสียงสำทับแข็งกร้าวจาก ผบ.ทบ.

"ถ้าเป็นผมลาออกแล้ว"

เป็นการพูดผ่านรายการ 1 ของโทรทัศน์ เป็นการพูดโดยคณะของ ผบ.เหล่าทัพอันขึงขังเป็นอย่างมาก

เป้าหมายอยู่ที่รัฐบาล นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์

จากนั้น ในเดือนพฤศจิกายนก็มีการยึดสนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ และในเดือนธันวาคม 2551 ฤทธานุภาพของตุลาการภิวัฒน์ก็สำแดงผล นั่นก็คือ การยุบพรรคพลังประชาชน

รัฐบาล นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็พังครืน

นั่นคือท่วงทำนองอันเริ่มจากคณะทหาร นั่นคือกระสวนการไหวเคลื่อนตามแนวทางแห่งตุลาการภิวัฒน์

เป้าหมายยังอยู่ "ที่เดิม" ไม่แปรเปลี่ยน

การเมืองไทยจากรัฐประหารเดือนกันยายน 2549 ยังไปไม่ถึงไหน เหมือนยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก

มิได้เป็นการเมืองที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นกองหน้า มิได้เป็นการเมืองที่มีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นหัวหอก

เป็นการเมือง "หลังม่าน" ลึกลับ ซ่อนเงื่อน

ที่มา.มติชน
////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

7-Eleven กับ Makro

คอลัมน์ ระดมสมองโดย วิรัตน์ แสงทองคำ

ผมมองข้ามความคาดหวังของซีพี ออลล์ที่มีต่อ Makro ในเชิงตัวเลขทางการเงินที่เชื่อมโยงกับความสามารถในการดำเนินธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม หากพยายามมองในเชิงนามธรรมว่าด้วยความรู้ ประสบการณ์ และบทเรียน

Makro เข้ามาเมืองไทยตั้งแต่ 2531 ต่อเนื่องจากกระแส Hypermarket ที่เติบโตในยุโรปและอเมริกาอย่างมากมาระยะหนึ่ง 5 ปีต่อจากนั้น เซ็นทรัล ในฐานะผู้นำธุรกิจค้าปลีกของเมืองไทยก็ตามกระแส เปิด Big C (2535) และตามมาด้วยซีพีหุ้นส่วนรายสำคัญของ Makro ได้เปิดตัวโลตัส (2537) ส่วนผู้บุกเบิก Hypermarket แห่งยุโรปในฐานะคู่แข่งรายสำคัญของ Makro มาเมืองไทยในเวลาต่อมา ด้วยการร่วมทุนกับกลุ่มเซ็นทรัลในช่วงไม่ค่อยดีนัก (2539)

"Carrefour ในฐานะผู้ให้กำเนิดแนวความคิดของร้านค้าปลีกที่เรียกว่า Hypermarket ผนวกรวมห้างสรรพสินค้าและซูเปอร์มาร์เก็ต จำหน่ายสินค้ากว้างขวางนับตั้งแต่อาหาร เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องใช้ในครัวเรือน และสินค้าอุปโภคบริโภคอื่น ๆ ในราคาที่ต่ำกว่าร้านค้าทั่วไป" ผมเคยเขียนเรื่อง Carrefour ไว้เมื่อกว่า 2 ปีที่แล้ว (เรื่องของ "รายใหญ่" มติชนสุดสัปดาห์ กันยายน 2553)

สถานการณ์ใหม่ Carrefour บุกเบิก Hypermarket เกิดขึ้นครั้งแรกในฝรั่งเศสเมื่อปี 2506 หลังจากนั้นไม่นาน Makro เกิดขึ้นในเนเธอร์แลนด์ (2512) อีกทศวรรษต่อจากนั้น ทั้งสองก็ขยายตัวทั่วยุโรป แอฟริกาใต้ สหรัฐอเมริกา และเอเชีย แต่ Carrefour ดำเนินธุรกิจ
เชิงรุก ขยายเครือข่ายได้มากกว่ามาก



"ตามธรรมชาติของเครือข่ายค้าปลีก ขยายตัวมาระยะหนึ่งก็คืบคลานไปสู่เครือข่ายทุกรูปแบบไม่จำกัดเฉพาะ แต่อีกวงจรหนึ่งที่ควรทราบด้วย เมื่อเครือข่ายชนิดใดหรือเครือข่ายในภูมิศาสตร์ใดมีปัญหา Carrefour ก็พร้อมจะขายกิจการนั้นออกไป" บทสรุปของข้อเขียนของผม ว่าด้วย Carrefour กับการปรับตัวจาก Hypermarket ไปสู่ Convenience Store (2520) เสนอผลิตภัณฑ์ตามความต้องการพื้นฐานของชุมชน ต่อมาพัฒนาแนวคิดที่เรียกว่า Hard Discount Store (2523) จนมาถึงการเข้าซื้อกิจการเครือข่ายใหญ่ Supermarket (2531) ท่ามกลางสถานการณ์ธุรกิจค้าปลีกแข่งขันกันอย่าง

ดุเดือดในยุโรป และขยายตัวสู่ตลาดใหม่ทั่วโลก ในช่วง 2 ทศวรรษมานี้เกิดกระบวนการหลอมรวมเครือข่ายให้ทรงพลังมากขึ้นของรายใหญ่ โดยพยายามเข้าครอบงำกิจการคู่แข่งรายเล็กกว่า

แม้ว่า Makro ถือว่าดำเนินธุรกิจประเภท Hypermarket แต่ในภาพย่อยมีบุคลิกเฉพาะเรียกว่า Warehouse Clubs เป็นธุรกิจที่มีลักษณะเฉพาะ ด้วยระบบสมาชิก (Membership-Based) กับคู่ค้าที่เป็นผู้ประกอบการรายย่อย (Professional Customers) ธุรกิจของ Makro จึงดำเนินไปด้วยจังหวะก้าวที่รัดกุม ไม่โลดโผน และดูเหมือนพยายามรักษาแนวทางธุรกิจเช่นเดิมอย่างมั่นคง มีความเป็นไปได้อีกว่ามาจากบุคลิกของ SHV Group ในฐานะเจ้าของเครือข่ายธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานเป็นหลัก โดยมี Makro เป็นเพียงธุรกิจย่อยแขนงหนึ่ง ทั้งมีฐานะเป็นกิจการครอบครัวที่ไม่ได้อยู่ในตลาดหุ้น

แรงบันดาลใจในธุรกิจค้าปลีกจึงดูไม่มากนัก เมื่อ Makro เผชิญแรงกดดันมากขึ้น SHV Group จึงขายเครือข่ายที่สมควรออกไป เริ่มจากในสหรัฐในปี 2532 (ให้กับ Kmart) และเครือข่ายในยุโรปทั้งหมด ให้กับ Metro แห่งเยอรมนี ในอีก 9 ปีต่อมา (2541)

สถานการณ์ทำนองเดียวกันเคลื่อนย้ายมาสู่เอเชีย เมื่อ Makro ขายเครือข่ายในจีนแผ่นดินใหญ่ (2550) และอินโดนีเซีย (2550) ไปให้กับกลุ่มค้าปลีกยักษ์ใหญ่แห่งเกาหลีใต้--Lotte Mart อีกด้านหนึ่งถือเป็นกระบวนการบุกทะลวงเข้าสู่ตลาดจีนครั้งแรกของเครือข่ายค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของเอเชีย ที่มีแรงบันดาลใจไม่แตกต่างจากซีพี ออลล์

แล้วกระแสลมก็พัดมาถึงเมืองไทย ไม่ว่ากรณีเซ็นทรัลซื้อเครือข่าย Carrefour การเข้ามาของ Convenience Store แห่งญี่ปุ่น จนมาถึงกรณีซีพี ออลล์ซื้อ Makro ล้วนสะท้อนภาพใหญ่ของธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจที่มีการพัฒนาไปตามวงจรแห่งโอกาสและความผันแปรเชื่อว่าทั้งเครือซีพี และซีพี ออลล์ เข้าใจสถานการณ์ได้อย่างดี โดยมองเห็นทั้งปัญหาและโอกาสหลอมรวม

"ภารกิจหลักที่จะรักษาความเป็นที่หนึ่งในใจของผู้ประกอบการธุรกิจด้านอาหาร (The 1st choice supplier to food professional customers)" นี่คือแนวทางที่สยามแม็คโครประกาศอย่างหนักแน่น (http://www.siammakro.co.th) เมื่อพิจารณาข้อมูลข้างเคียง สอดคล้องกับข้อมูลที่ว่า สยามแม็คโครพยายามสร้างโมเดลธุรกิจที่แตกต่างอย่างมีบุคลิก ตั้งแต่ในช่วงปี 2544-2548 โดยเฉพาะการซื้อกิจการบริษัทสยามฟูด ซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจให้บริการจัดหาผลิตภัณฑ์อาหาร บริการจัดเก็บและจัดส่งผลิตภัณฑ์อาหาร "ให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจ ที่เกี่ยวกับการบริการนักท่องเที่ยวและบริการด้านอาหารทั่วประเทศ" ปัจจุบันสยามฟูดเปิดดำเนินการอยู่ 4 แห่ง-กรุงเทพฯ พัทยา เกาะสมุย และภูเก็ต

ผมเชื่อว่านี่คือความรู้ ความชำนาญ และประสบการณ์สำคัญประการแรกของ Makro ที่ซีพี และซีพี ออลล์ให้ความสำคัญ

--โมเดลธุรกิจของ 7-Eleven ของซีพี ออลล์ปัจจุบัน ไม่สามารถขยายและข้ามผ่านสู่โมเดลธุรกิจอย่าง Makro เช่นนี้ได้ ทั้งในแง่ลักษณะธุรกิจ และฐานลูกค้าใหม่

--สำหรับเครือซีพีแล้ว มีเครือข่ายธุรกิจหลักอีกหนึ่งที่สำคัญอยู่ด้วย--กลุ่มเจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) แม้ได้ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่มาตั้งแต่ปี 2545 เพื่อเข้าสู่ธุรกิจอาหารเพื่อผู้บริโภคมากขึ้น ๆ แต่ประสบการณ์และการเรียนรู้การเข้า

ตลาดผู้บริโภคอย่างจริงจังเพิ่งอยู่ระยะเริ่มต้น ๆ การเรียนรู้จาก Makro ย่อมได้ประโยชน์

"แม็คโครมีฐานลูกค้ามากกว่า 2.4 ล้านราย" "สารจากประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ในรายประจำปี 2555 สยามแม็คโครจำกัด (มหาชน) ระบุไว้ นี่คือผลพวงว่าด้วยความรู้ ความชำนาญ และประสบการณ์ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง

"วันนี้ซีพีมีสินค้าและเครือข่ายที่เข้าถึงสังคมมากที่สุด ... เครือข่ายร้านค้า สินค้าและบริการเหล่านี้ ส่วนใหญ่ต้องใช้เครือข่ายที่เป็นจริงเข้าถึงผู้บริโภค หากมองเฉพาะสินค้าคอนซูเมอร์ ไม่เพียงสินค้าเป็นที่จริงและจับต้องได้อย่างอาหาร แม้แต่สินค้าด้านสื่อสารก็จำเป็นต้องมีเครือข่ายเชื่อมโยงทั้งสิ้น การเชื่อมโยงและเกื้อกูลระหว่างกัน... ทั้งการสร้างสรรค์สินค้าและบริการ ด้วยแนวคิดข้ามพรมแดน ทั้งมิติสถานที่จริง (Places) และสถานที่ในโลกใหม่ (Cyber Spaces) ผสมผสานกับเทคโนโลยีสารสนเทศ

และระบบการบริหารการขนส่งสินค้า (Logistics) เครือข่ายซีพีจึงเป็นโมเดลธุรกิจ สะท้อนความสามารถในการแข่งขันอย่างสูง" ผมเคยวาดภาพเครือข่ายเครือซีพีไว้นานแล้ว (อิทธิพลซีพี มติชนสุดสัปดาห์ กันยายน 2552)

ดูเหมือนภาพนั้นขยายใหญ่มากขึ้นฐานลูกค้าใหม่ของ Makro ไม่เพียงจะเพิ่มเติมเครือข่ายเครือซีพีโดยรวมให้มากขึ้น หากเป็นเครือข่ายใหม่ที่ซีพีไม่เคยมีอย่างเป็นระบบมาก่อน ไม่ใช่ฐานลูกค้าปัจเจกที่ไม่อยู่ในระบบสมาชิกอย่างลูกค้า 7-Eleven ไม่ใช่ฐานลูกค้าปัจเจกระบบสมาชิกของเครือข่าย True ไม่ใช่เครือข่ายร้านค้าแบบ True shop, True Move shop, True Coffee, CP Fresh Mart ฯลฯ หากเป็นฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ เป็นผู้ประกอบการรายย่อย รายกลาง และมีฐานะอยู่ในระบบสมาชิกด้วย

ในภาพรวม เครือซีพีและซีพี ออลล์ กำลังเดินแผนทางยุทธศาสตร์อย่างหลักแหลม แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าผู้นำของเขาคงเข้าใจว่า ท่ามกลางโอกาสย่อมมีปัญหารวมอยู่ด้วย

ในฐานะผู้ติดตามเครือซีพีมานาน เชื่อว่าแผนการและยุทธศาสตร์ทั้งมวลของซีพีมักเชื่อมโยงกับสิ่งที่เรียกว่า Integration และ Convergence บทเรียนและความสำเร็จจากอดีตที่ค่อย ๆ เคลื่อนย้ายสู่ปัจจุบัน ทำให้ความเชื่อมั่นเข้มข้นขึ้นหรือไม่ เป็นเรื่องที่น่าติดตาม

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

คลิปพิฆาต !!??

กรณีที่มีการเผยแพร่คลิปเสียงสนทนา ของบุคคล 2 คนที่ผู้เผยแพร่อ้างว่าคนหนึ่งเป็นรัฐมนตรี กับอีกคนคือคนที่อยู่ต่างประเทศ ว่อนไปหมดในโลกสังคมออนไลน์ และกลายเป็นประเด็นร้อนทางการเมืองอยู่ในขณะนี้เพราะความเชื่อในโซเชี่ยลเน็ตเวิร์กจากการฟังเสียงจากถ้อยคำในบทสนทนาพุ่งเป้าไปที่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม กับ พ.ต.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

แน่นอนว่าในทางการเมือง ขั้วตรงข้ามพรรคเพื่อไทย ขั้วตรงข้ามรัฐบาลนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มคนไม่เอาแม้วไม่เอาทักษิณ ปักใจเชื่อกันเกินกว่า 1000% ไปแล้วก็ว่าได้

ซึ่ง พล.อ.ยุทธศักดิ์ ปฏิเสธไปแล้วว่า ไม่ใช่เสียงของตนเอง และไม่เคยไปพบอดีตนายกฯทักษิณในต่างประเทศทั้งก่อนและหลังการปรับ ครม. รวมทั้งทางฝั่งของเพื่อไทยเองก็ได้มีการตั้งประเด็นสวนขึ้นมาในเรื่องของการตัดต่อคลิปเสียง เพื่อดิสเครดิตทางการเมือง

เชื่อว่าเกมนี้ยังต้องลากกันไปอีกยาว ยังต้องฟัดกันอีกหลายยก เพราะพรรคฝ่ายค้านก็ออกโรงจี้ในเรื่องนี้แล้วว่า รัฐบาล และนายกฯยิ่งลักษณ์ จะต้องชี้แจงเรื่องนี้ให้กระจ่าง

เรื่องนี้น่าสนใจตรงที่ หากในแวดวงของสงฆ์ มีคำว่า “นารีพิฆาต”แล้วไซร้ ในแวดวงการเมือง ก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องมีคำว่า “คลิปเสียงพิฆาต”ด้วยเช่นกัน

ในยุคไฮเทค โทรศัพท์มือถือทุกเครื่อง พร้อมที่จะเป็นเครื่องอัดเสียง หรือเป็นเครื่องถ่ายคลิปต่างๆได้ตลอดเวลา... นั่นแปลว่าไม่ว่าใครก็ตาม หากพลาดก็มีโอกาสพังจากการโดนนำคลิปเสียงหรือคลิปภาพไปแฉในโลกสังคมออนไลน์

ถ้าเป็นของจริง... เจ้าตัวก็ซวยหนัก

ถ้าเป็นการตัดต่อ... คนที่โดนกว่าจะเอาตัวรอดได้ก็สะบักสะบอม เพราะวินาทีแรกที่คลิปถูกโพสต์เข้าไปในโลกออนไลน์ มีคนพร้อมที่จะเชื่อทันทีไม่น้อยกว่า 25%อยู่แล้ว และเมื่อมีการเชื่อไปแล้ว และมีการขยายต่อความเชื่อ ต่อให้มาพิสูจน์ความจริงกันได้ในภายหลังก็ไม่ทันแล้ว

ชื่อเสียง เครดิต ความน่าเชื่อถือ ถูกวิจารณ์เละเทะไปก่อนแล้ว...

กรณีของ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ที่เจองานเข้า รับน้องเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมในครั้งนี้ ทำให้เห็นว่า เกมผลประโยชน์ทางการเมืองยังเดือดพล่านทั้งที่เป็นคนละส่วน คนละพวก หรือแม้แต่กระทั่งว่าพวกเดียวกันเอง

แต่ที่สำคัญอีกประการก็คือ ในแวดวงทหาร แวดวงกลาโหม แวดวงกองทัพ ยังถือเป็นพื้นที่อันตราย ที่พร้อมจะเป็นคิลลิ่ง โซน ทางการเมืองได้ในสารพัดรูปแบบ

อย่าลืมว่านี่ไม่ใช่คลิปเสียงที่ถูกปล่อยออกมา เพื่อให้คนฟังเชื่อว่าเป็นเสียงบิ๊กทหาร เป็นครั้งแรกเสียเมื่อไหร่

เมื่อปีที่แล้ว จากกรณีโยกย้ายสลับเก้าอี้ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในขณะนั้น สนับสนุน พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน ขึ้นเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม แทนพล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหมในขณะนั้น ที่กำลังจะเกษียณอายุราชการ

แต่ พล.อ.เสถียร สนับสนุน พล.อ.ชาตรี ทัตติ รองปลัดฯเพราะเห็นว่าหมาะสมที่สุด ที่สำคัญตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นตำแหน่งอัตราจอมพล ซึ่ง พล.อ.ชาตรี นั้นเป็นอัตราจอมพลแล้ว แต่ พล.อ.ทนงศักดิ์ ยังไม่ใช่

ครั้งนั้นนอกจากจะมีการฟ้องกันวุ่นวายไปหมดแล้ว ปรากฏว่าฝ่ายค้าน คือ นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ยังมีการนำคลิปเสียงไปเปิดแฉในสภา ระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลด้วย

เป็นคลิปเสียงที่มีเนื้อหาว่ามีการล้วงลูกในการแต่งตั้งโยกย้ายทหาร

เป็นคลิปเสียง ที่ฝ่ายค้านเชื่อว่าเป็นเสียงของ พล.อ.อ.สุกำพล

ที่สำคัญเป็นคลิปเสียงที่ถูกอัดในเขตพื้นที่กระทรวงกลาโหม ถูกอัดในการประชุมหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้อง

ครั้งนี้ที่เชื่อกันว่าเป็นเสียงของ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ก็เช่นกัน หากมีการอัดเสียงเกิดขึ้นจริงๆ ก็เป็นการอัดจากคนรอบข้างของ พล.อ.ยุทธศักดิ์ เองนั่นแหละ

เพราะฉะนั้นไม่ว่าอย่างไร จะต้องยอมรับความจริงว่า พื้นที่ทหารยังคงเป็นพื้นที่อันตรายทางการเมืองอยู่ตลอดเวลา

แม้ในขณะนี้ รัฐบาลนายกฯยิ่งลักษณ์ และพรรคเพื่อไทย อาจจะเชื่อมั่นว่า โอกาสที่จะมีการทำปฏิวัติรัฐประหารโดยกองทัพนั้นมีน้อยเต็มที เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ย้ำแล้วย้ำอีกว่าไม่มี ไม่คิดทำ

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะไม่มีคลื่นใต้น้ำ จะไม่มีนายทหารที่ไม่พอใจรัฐบาลเสียเมื่อไหร่

ดังนั้นรัฐบาลอย่าคิดแค่ว่า ทุกอย่างอยู่ในมือ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะในความเป็นจริงแล้วที่คิดว่าคอนโทรลได้ อาจจะไม่ใช่ก็ได้

วันนี้ในกองทัพ ในองคาพยพทุกส่วนของรัฐบาล หรือแม้แต่ในพรรคเพื่อไทยเอง อาจจะมีสนิมในเนื้อเหล็ก ที่ไม่พอใจไม่เห็นด้วย และพร้อมที่จะเป็นหนอนบ่อนไส้ได้อยู่ตลอดเวลา

คงไม่ลืมว่า พรรคเพื่อไทย ไม่ได้ชนะแบบขาดลอยทิ้งห่าง

ไม่เห็นฝุ่นเสียเมื่อไหร่ อย่าลืมว่าพรรคเพื่อไทยมีประชาชนสนับสนุน 15-16 ล้านเสียงก็จริง แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็มีประชาชนสนับสนุนถึง 11-12 ล้านเสียงเหมือนกัน

และคน 11-12 ล้านเสียงเหล่านั้น ก็เป็นเสียงที่ไม่ได้ชื่นชอบพรรคเพื่อไทยแต่อย่างใด

แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่า คนในกองทัพ ในกระทรวงกลาโหม ในระบบข้าราชการไทย จะไม่มีคนจำนวน 11-12 เสียงนั้นปะปนอยู่ด้วย

เพราะความเป็นจริงแล้วเชื่อเถอะว่ามีคนที่ไม่ปลื้มเพื่อไทย ไม่เอาแม้ว ปะปนอยู่ในทุกวงการ ฉะนั้นทุกอย่างจึงไม่เป็นความลับ จะเห็นได้ว่า คำพูดต่างๆ การกระทำ เอกสาร หรือแม้แต่การทำหน้าที่ในงานราชการ มีการถูกหยิบมาใช้ทิ่มแทงรัฐบาล ถูกส่งให้กับพรรคฝ่ายค้านอยู่ตลอดเวลา

ซึ่งจริงเท็จผิดถูกไม่รู้ แต่เล่นงานทางการเมืองให้สะบักสะบอมไว้ก่อนเป็นพอ ตราบเท่าที่ระบบการกล่าวหายังคงใช้ได้ผล และตราบเท่าที่รัฐบาลยังคงชี้แจงไม่เป็น ชี้แจงไม่เก่ง

ก็มีแต่เปลืองตัว กับเจ็บตัวไปเรื่อยๆ

ครั้งนี้ก็เช่นกัน คลิปเสียงที่ออกมา ไม่ว่าอย่างไรก็กระทบ ไม่ว่าอย่างไรก็เปลืองตัว ดังนั้นการที่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ แสดงท่าทีในการที่จะแสดงสปิริตความรับผิดชอบนั้น ถือเป็นวิสัยของชายชาติทหารอยู่แล้ว

คนอื่นจะเชื่อไม่เชื่อว่าเป็นเสียงบิ๊กอ๊อดหรือไม่นั้น ยังไม่เท่าไร แต่บรรดาบุคคลที่ในคำสนทนามีการพูดพาดพิงไปถึงนี่สิ... หากบังเอิญในคนเหล่านั้นมีคนที่เชื่อว่าเป็นเสียงบิ๊กอ๊อดจริงๆ แล้วจะมองหน้ากันสนิทได้อย่างไร???

แม้แต่กระทั่งคนในคณะรัฐมนตรีด้วยกันก็เถอะ จะมองหน้ากันแบบไหน จะมีความหวาดระแวงแคลงใจระหว่างกันหรือไม่ ตรงนี้แหละที่เป็นปมประเด็นที่สำคัญ

ฉะนั้นดูแล้ว การแสดงสปิริตของ บิ๊กอ๊อด น่าจะเป็นการเดินที่ถูกทางแล้วในการรับมือกับคลิปเสียงพิฆาตครั้งนี้

เพียงแต่ว่า มันสำคัญอยู่ที่รัฐบาลยังมีความจำเป็นหรือยังเห็นสมควรที่จะต้องมี พล.อ.ยุทธศักดิ์ อยู่ใน ครม. อยู่ในกลไกของรัฐบาลอยู่หรือไม่ หากยังจำเป็น จุดนี้ก็จะเป็นเงื่อนไขให้มีการยับยั้งเกิดขึ้น

ซึ่งหากรัฐบาลยับยั้ง ก็จะโทษว่า บิ๊กอ๊อดไม่มีสปิริตไม่ได้

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนชัดเป็นข้อเตือนใจอย่างหนึ่งว่า เขตกองทัพเขตพื้นที่กลาโหม ยังเป็น “คิลลิ่ง โซน”ทางการเมือง ที่ต้องระวังเอาไว้ให้มากๆ

เดี๋ยวจะว่าไม่เตือน

ที่มา.บางกอกทูเดย์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////

คมนาคมเข็นระบบราง ประมูล 2 โครงการ 1.1 แสนล้านบาท !!?

แม้ว่าพ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทจะยังไม่ผ่านการพิจารณาจากรัฐสภา แต่กระทรวงคมนาคมได้เตรียมความพร้อมในการดำเนินโครงการระบบรางต่างๆแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาความเหมาะสม การออกแบบโครงการ การศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้สัมภาษณ์ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า โครงการรถไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง มี 4 โครงการ ได้แก่ 1.สายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ ระยะทาง 23 กิโลเมตร วงเงินประมาณ 5.9 หมื่นล้านบาท ปัจจุบันมีผลงาน 62.69% ล่าช้ากว่าแผน 3.36% โดยล่าช้าในส่วนของสัญญา 4 หรืองานบริหารจัดการเดินรถ ซึ่งการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) อยู่ระหว่างเจรจาต่อรองรอบที่ 3 เพื่อให้ได้ราคาต่ำที่สุด คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือนก.ค.นี้ โดยล่าสุดผู้รับเหมายอมลดราคา 321 ล้านบาท คงเหลือ 82,989 ล้านบาท ส่วนงานก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุง อยู่ระหว่างเร่งรัดการดำเนินงาน

2.สายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ช่วงบางซื่อ-ท่าพระ และหัวลำโพง-บางแค ระยะทาง 27 กิโลเมตร วงเงิน 7.9 หมื่นล้านบาท มีผลงาน 36.54% ล่าช้ากว่าแผน 3.24% 3.สายสีเขียวเข้ม ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ระยะทาง 12.8 กิโลเมตร วงเงิน 2.5 หมื่นล้านบาท มีผลงาน 10.50% เร็วกว่าแผน 0.93% และ4.สายสีแดงเข้ม ช่วงบางซื่อ-รังสิต ระยะทาง 26 กิโลเมตร วงเงินประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท อยู่ระหว่างก่อสร้างงานโยธา ปัจจุบันมีความล่าช้าในส่วนของสัญญา 3 หรืองานระบบราง อาณัติสัญญาณ และขบวนรถไฟฟ้า ซึ่งอยู่ระหว่างพิจารณาปัญหาการมีผลประโยชน์ร่วมกันของเอกชนที่ยื่นข้อเสนอประกวดราคา

ส่วนโครงการรถไฟฟ้าที่เตรียมประกวดราคาในปีนี้ มี 2 โครงการ ซึ่งกระทรวงฯเสนอรายละเอียดให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว และอยู่ระหว่างรอการอนุมัติ คือ 1.สายสีเขียวอ่อน ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และ2.สายสีชมพู ช่วงแคราย-ปากเกร็ด-มีนบุรี และโครงการที่จะประกวดราคาในระยะต่อไป เช่น สายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี ส่วนช่วงศูนย์วัฒนธรรม-ตลิ่งชัน จะยังไม่ดำเนินการเพราะมีปัญหาเรื่องมวลชนบริเวณประตูน้ำ และสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง

"ความล่าช้ามีบ้าง แต่ส่วนใหญ่ยังไปได้ โครงการขนาดใหญ่เหล่านี้จะใช้เงินตามพ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท แต่การดำเนินงานทุกโครงการจะเป็นอิสระ ไม่ต้องรอทำพร้อมกัน"

ทั้งนี้ โครงการแรกที่จะใช้เงินกู้ตามพ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท จะเป็นโครงการรถไฟฟ้า 3 โครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง คือ สายสีม่วง ช่วงบางซื่อ-บางใหญ่ สายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ช่วงบางซื่อ-ท่าพระ และหัวลำโพง-บางแค และสายสีเขียวเข้ม ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ สาเหตุที่นำเงินกู้มาใช้ในโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างด้วย เพราะรัฐบาลต้องการให้โครงการขนาดใหญ่ใช้เงินจากแหล่งเดียวกัน เพื่อจะรู้สภาพหนี้และยอดตัวเลขต่างๆเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม ตามกระบวนการพ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทกำหนดว่าจะเริ่มกู้เงินภายในปีนี้ประมาณ 200 ล้านบาท และในปี 2557 กู้อีกประมาณ 1.5 แสนล้านบาท ส่วนปี 2558 จะกู้ 2.9 แสนล้านบาท และกู้เงินสูงมากในปี 2559-2560 หรือปีละประมาณ 4.5 แสนล้านบาท ขณะที่ปี 2561 กู้เงิน 3.7 แสนล้านบาท ปี 2562 กู้เงิน 1.7 แสนล้านบาท และปี 2563 กู้เงิน 9.4 หมื่นล้านบาท

ส่วนการดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ วงเงิน 387,821 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จก่อน เพราะเริ่มจ้างที่ปรึกษาศึกษารายละเอียดก่อนเส้นทางอื่น โดยแนวเส้นทางจะเริ่มจากสถานีกลางบางซื่อ ผ่านจ.อยุธยา ภาชี ลพบุรี นครสวรรค์ พิจิตร พิษณุโลก อุตรดิตถ์ เด่นชัย ลำปาง ลำพูน สิ้นสุดที่จ.เชียงใหม่

ส่วนแนวเส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคาย วงเงิน 170,450 ล้านบาท จะเริ่มจากสถานีกลางบางซื่อ อยุธยา สระบุรี ปากช่อง นครราชสีมา บัวใหญ่ ขอนแก่น อุดรธานี สิ้นสุดที่จ.หนองคาย เส้นทางกรุงเทพฯ-ปาดังเบซาร์ วงเงิน 124,327 แสนล้านบาท ช่วงแรกจะก่อสร้างจากกรุงเทพฯ-หัวหินก่อน แนวเส้นทางเริ่มต้นจากสถานีรถไฟกลางบางซื่อ นครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี หัวหิน และเส้นทางกรุงเทพฯ-ระยอง วงเงิน 100,631 แสนล้านบาท แนวเส้นทางเริ่มจากสถานีกลางบางซื่อ-ฉะเชิงเทรา-ชลบุรี-พัทยา-ระยอง

"เส้นทางเชียงใหม่ หนองคายและหัวหิน จะปัจจุบันขั้นตอนการดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงอยู่ระหว่างเสนอเรื่องผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณา โดยเส้นทางเชียงใหม่ หนองคาย และหัวหินจะเสนอภายในเดือนส.ค.นี้ ส่วนเส้นทางระยอง คงต้องใช้เวลาศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมอีกระยะหนึ่ง"

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

รัฐบาลที่ดีต้องไม่ทำผิด กม.เสียเอง !!?

นับวันรัฐบาลพรรคเพื่อไทยภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะถูกวิพากษ์วิจารณ์และร้องเรียนมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าจงใจใช้อำนาจรัฐอันเป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญและกฎหมายหลายฉบับเริ่มจากการไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 75 และ 76ที่บัญญัติว่า รัฐบาลจะต้องแถลงผลงานประจำปีต่อรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกรัฐสภาอภิปรายแสดงความเห็นท้วงติงเสนอแนะ แต่รัฐบาลกลับจงใจไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมายสูงสุดเพื่อหนีการถูกตรวจสอบทั้งๆ ที่บริหารราชการแผ่นดินมาจะครบ 2 ปีแล้ว

นอกจากนี้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ยังจงใจไม่บังคับใช้ พ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติ ทั้งที่เป็นกฎหมายที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งเพราะมีสาระสำคัญกำหนดให้มีระบบเงินบำนาญในบั้นปลายชีวิตของผู้สูงอายุทั่วประเทศและทั้งๆ ที่กฎหมายฉบับนี้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาชุดที่แล้วและประกาศในราชกิจจานุเบกษามีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายโดยสมบูรณ์แล้ว โดยสาเหตุเพียงเพราะปัญหาทางการเมืองเนื่องจากกฎหมายกองทุนเพื่อการออมแห่งชาติเป็นผลงานของรัฐบาลชุดที่แล้วซึ่งมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ

ก่อนหน้านี้ศาลปกครองได้มีคำพิพากษาให้ รัฐบาลชะลองบเงินกู้โครงการบริหารจัดการน้ำมูลค่า 3.5 แสนล้านบาท ไว้ก่อนจนกว่าจะมีการทำประชาพิจารณ์และรับฟังความคิดเห็นของประชาชนตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญมาตรา 57 และ 67 ทั้งนี้เนื่องจากที่ผ่านมารัฐบาลพยายามเร่งรีบรวบรัดเดินหน้าโครงการโดยไม่รับฟังความเห็นของภาคประชาชน

ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ยื่นถอดถอนคณะรัฐมนตรีภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ทั้งคณะกรณีงบเงินกู้บริหารจัดการน้ำมูลค่า 3.5 แสนล้านบาท โดยระบุว่า รัฐบาลทำผิดรัฐธรรมนูญและกฎหมายรวม 5 ฉบับอย่างชัดแจ้ง ประกอบด้วย รัฐธรรมนูญมาตรา 57 และ 67 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 103/7 พ.ร.บ.ส่งเสริมและอนุรักษ์คุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 พ.ร.บ.ความผิดว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 หรือ พ.ร.บ.ฮั้วประมูล และ มาตรา 157 ตามประมวลกฎหมายอาญาฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

นอกจากพรรคประชาธิปัตย์แล้วกลุ่มองค์กรภาคประชาชน อาทิ สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนได้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อเอาผิดกับรัฐบาลในงบโครงการบริหารจัดการน้ำมูลค่า 3.5 แสนล้านบาท เช่นกันโดยชี้ว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายหลายฉบับ

ล่าสุด ดร.คณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) แถลงเตือนรัฐบาลว่าร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินมูลค่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย 2 ล้านล้านบาท เพื่อพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งทั่วประเทศขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 169 ที่บัญญัติว่าการจ่ายเงินแผ่นดินจะกระทำได้เฉพาะที่ได้อนุญาตไว้ในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณ กฎหมายเกี่ยวกับการโอนงบประมาณหรือกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง การกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ที่อยู่ในอำนาจของกระทรวงการคลังถือเป็นเงินของแผ่นดินซึ่งการใช้จ่ายเงินของแผ่นดินจึงต้องเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ การออก พ.ร.บ.นอกเหนือจากวิธีการที่กำหนดไว้ในกฎหมายจึงขัดต่อรัฐธรรมนูญ

นอกจากนี้ตามร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ฝ่ายนิติบัญญัติ จะไม่มีโอกาสตรวจสอบการใช้จ่ายเงินของฝ่ายบริหารนานถึง 7 ปี ขณะที่การกู้เงินมูลค่ามหาศาลนี้จะมีผลผูกพันถึงรัฐบาลชุดต่อไปด้วย ซึ่งถือว่าเป็นการ
ก้าวล่วงอำนาจของฝ่ายบริหารด้วยกัน ทำให้รัฐบาลชุดต่อไปไม่มีอิสระในการปฏิเสธโครงการของรัฐบาลชุดนี้หรือเสนอโครงการพัฒนาใหม่ๆ ได้อีก

ที่ผ่านมารัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ สร้างภาพเรียกร้องให้ยึดหลักประชาธิปไตยมาตลอด ดังนั้นรัฐบาลจึงไม่ควรทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามด้วยการลุแก่อำนาจจงใจละเมิดรัฐธรรมนูญและกฎหมายอันเป็นการสร้างบรรทัดฐานอันเลวร้ายและขัดกับอุดมการณ์แห่งประชาธิปไตยที่แท้จริงอย่างสิ้นเชิง

ที่มา.นสพ.แนวหน้า
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

เปรมชัย ออกโรงเคลียร์ประมูลน้ำ 3.5 แสนล้าน !!?

เปรมชัย ออกโรงเคลียร์ประมูลน้ำ 3.5 แสนล้าน จี้รัฐเร่งปฏิบัติตามคำสั่งศาลปกครองห่วงโครงการล่าช้า ลั่น "อยากได้งาน" เหตุเป็นบิ๊กโปรเจ็ค

โครงการบริหารจัดการน้ำ มูลค่า 350,000 ล้านบาท คือ งานประมูลที่เกือบปิดดิวเซ็นสัญญากับเอกชนไปแล้ว แต่ต้องมาสะดุดเมื่อศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้รัฐบาลปฏิบัติหน้าที่เพิ่มเติม โดยเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนทั่วประเทศก่อนดำเนินโครงการ รวมถึงการศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) และการทำรายงานผลกระทบด้านสุขภาพ (เอชไอเอ) เอกชน 1 ใน 4 ที่ได้งานใหญ่ครั้งนี้นั่นคือบริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์จำกัด (มหาชน) หรือ ไอทีดี ที่คว้างานในโครงการนี้ได้สูงถึง 110,000 ล้านบาท ถือเป็นมูลค่าสูงสุด นับตั้งแต่ "ไอทีดี" เคยประมูลโครงการรัฐบาลมา นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ระบุ

เมื่อโครงการสะดุดลง นายเปรมชัย บอกว่า เขาไม่สามารถนิ่งเฉยได้ เพราะงานนี้หวังมานาน มีการลงทุนทั้งเงิน และกำลังคนมาไม่ต่ำกว่า 7- 8 เดือน ทั้งการลงพื้นที่เพื่อ "เคลียร์" กับชาวบ้าน เตรียมการด้านเทคนิค ประสานงานเพื่อชนะการประมูล งานนี้ นายเปรมชัย บอกชัดเจนว่า" อยากได้" และมั่นใจว่าจะต้องดำเนินการให้สำเร็จภายใน 5 ปี ตามที่กำหนด

ฉะนั้น จุดยืนของ "ไอทีดี" เวลานี้คือ ต้องการให้รัฐเร่งทำตามคำสั่งศาลปกครอง เพื่อจะได้ดำเนินการขั้นต่อไป คือ การเจรจาเซ็นสัญญาออกแบบและดำเนินโครงการตามแผนที่วางไว้ ซึ่งโครงการนี้จะทำให้ ไอทีดี มีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 30% หรือประมาณ 2 หมื่นล้านบาทต่อปี

สิ่งที่ นายเปรมชัย มองว่าเป็นจุดอ่อนทำให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น คือ รัฐบาลขาดการสื่อสารประชาสัมพันธ์โครงการให้ชัดเจน กับทุกภาคส่วนโดยเฉพาะภาคประชาชน ถึงความจำเป็นรวมถึงการันตีความเชื่อมั่นเพราะแน่นอนว่า การลงทุนโครงการขนาดใหญ่โดยการออกเป็น พ.ร.ก. กู้เงินถึง 350,000 ล้านบาท ถือเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยดำเนินการ และเป็นไปด้วยความรวดเร็วจะต้องเป็นที่จับตามอง

เตือนรัฐ 3.5 แสนล้าน บทเรียนสำคัญ

นายเปรมชัย ย้ำว่า การที่ตนต้องออกมาพูด เพราะเป็นหนึ่งในผู้รับเหมารายใหญ่ของไทยตอนนี้ แม้ศาลจะมีคำตัดสินแล้วก็ตาม แต่ยังไม่ถือว่าสายเกินไปนัก สิ่งสำคัญจะเป็นบทเรียนให้รัฐบาลต้องนำกลับไปทบทวนปรับปรุงใน พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เพื่อการพัฒนาระบบโครงการสร้างพื้นฐานของประเทศด้วย หากโครงการนี้หยุดชะงักไป แล้วในอนาคตเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมอีก เกิดความเสียหายคงไม่เอาอีกแล้ว จึงย้ำว่าขอให้ทำรัฐบาลต้องทำ และต้องการให้คนที่เข้าใจออกมาช่วยกันพูด ช่วยกันชี้แจงประชาชน

"ถ้าไม่ได้ทำ อีก 5 ปี น้ำกลับมาแล้วใครจะรับผิดชอบ เอ็นจีโอเหรอ มีแต่คนจะเดือดร้อน ต้องมองว่าผลประโยชน์จริงของโครงการนี้ คือ ผลประโยชน์ของประชาชน แต่ตอนนี้มีคนออกมาโจมตี ผมก็คิดว่ามีเบื้องหน้าเบื้องหลังจากฝ่ายต่อต้าน แต่ถ้าเราไม่ออกมาพูดปล่อยให้เขาพูดกันไป ดีไม่ดีเจ๋งเลยเราจะยอมเหรอ กลัวจะโกงเหรอ ผมนั่งอยู่นี่ไม่โกงเด็ดขาด อิตาเลียนไทยฯ มีตราครุฑ ทำงานระดับประเทศ ทั่วโลกไม่เคยมีประวัติ ฉะนั้นผมบอกแล้วว่าผมทำงานนี้โดยซื่อตรงและต้องทำให้สำเร็จเพื่อตัวเราเองและลูกหลาน"

"เปรมชัย" ยันจ่ายเวนคืนชาวบ้านสูง

ส่วนกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาเรื่องของการทำความเข้าใจกับประชาชน และการศึกษาผลกระทบอีไอเอ นั้น นายเปรมชัย ย้ำว่า เป็นขั้นตอนที่มีอยู่ในแผนงานแล้ว ไม่เช่นนั้นการดำเนินการก่อสร้างจะไม่สามารถทำได้ ในส่วนโมดูลโครงการที่ไอทีดีได้รับมานั้นมีสัดส่วนงบค่าเวนคืนเพียง 1% ของวงเงินประมูลโครงการที่ได้มา โดยนายเปรมชัย ยกตัวอย่าง โมดูล เอ 1 คือ อ่างเก็บน้ำ ในพื้นที่ลุ่มน้ำปิง ยม น่าน สะแกกรัง และป่าสัก เบื้องต้น ไอทีดี มีที่ดินที่ต้องเวนคืนจากประชาชนในพื้นที่ประมาณ 10,000 ไร่ ไอทีดีสามารถจ่ายค่าเวนคืนให้ได้ถึงไร่ละ 100,000 บาท โดยเฉลี่ย หากคิดเป็นมูลค่ารวมอยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท ส่วนโมดูลเอ 4 การปรับปรุงลำน้ำ คาดว่าจะใช้งบประมาณหลักหลายร้อยล้านบาท พร้อมกับมั่นใจว่าขั้นตอนนี้ เอกชนทำได้ง่ายและรวดเร็วกว่าส่วนราชการ

นายเปรมชัย ย้ำว่า ก่อนหน้านี้ ไอทีดี ได้ลงพื้นที่เพื่อทำความเข้าใจกับชาวบ้าน โดยใช้การพูดคุยพร้อมๆ กับการให้ข้อมูล จึงได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี มีเพียงบางส่วนบางพื้นที่ เช่น ในส่วนของการสร้างเขื่อน หรืออ่างเก็บน้ำเพื่อการเกษตรที่อาจจะต้องใช้ความช่วยเหลือจากภาครัฐในส่วนของการออกเอกสารการขอเวนคืนที่ดิน

"ความเดือดร้อนของชาวบ้าน คือ ถ้าย้ายภายใต้การชดเชยในระบบราชการจำนวนเงินอาจจะไม่เพียงพอต่อการหาที่อยู่ใหม่ หรือสร้างอาชีพ เขาไปไม่รอดไปซื้อใหม่ 2 เท่า และมีขั้นตอนมาก ขณะที่เอกชนจะไม่ติดขั้นตอนแบบราชการ ถ้าจ่ายเท่านี้แล้วขอค่าเสียเวลาทำมาหากิน 2-3 ปี ก็แฟร์ตกลงได้ก็จบ" นายเปรมชัย กล่าว และว่าที่ผ่านมา ไอทีดี ได้ใช้เงินในการเตรียมการไปแล้วกว่า 200 ล้านบาท ช่วง 7-8 เดือน เช่น การทำความเข้าใจกับชาวบ้านในพื้นที่ การเตรียมตัวด้านเทคนิค

"รัฐบาลบอกว่าจะใช้เวลาจัดการ 2-3 เดือน เพื่อแก้ปัญหา แต่ผมว่า หากนานกว่านี้ รัฐบาลก็จะอยู่ไม่ได้"

รับ "คำสั่งศาล" ส่งผลงานล่าช้า

อย่างไรก็ตาม นายเปรมชัย ยอมรับว่า คำพิพากษาของศาลปกครองที่ออกมานั้น อาจส่งผลให้โครงการล่าช้าออกไปบ้าง แต่เชื่อว่าจะไม่ถึงปี เพราะหากรัฐบาลเดินหน้าดำเนินการอย่างจริงจัง จะใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน ซึ่งในระหว่างนี้ ไอทีดี จะเตรียมงานในส่วนที่ทำได้ก่อน เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาของผู้รับเหมา แต่เป็นเรื่องของรัฐบาลที่ต้องทำตามคำสั่งศาลให้ลุล่วง เพราะการดำเนินโครงการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาล ถือเป็นเรื่องที่จำเป็นมาก เนื่องจากประเทศได้สูญเสียไปอย่างมหาศาลกับเหตุการณ์ในปี 2554 จึงเป็นความกล้าในการกู้เงิน 350,000 ล้านบาท โดยการออกเป็นพระราชกำหนดการกู้เงินเพื่อเดินหน้าโครงการอย่างจริงจัง ที่ผ่านมา การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเป็นเพียงโครงการเล็กๆ ที่ไม่ต่อเนื่อง หลักการป้องกันน้ำท่วม สิ่งสำคัญคือทำอย่างไรให้สามารถมีกลไกที่จะควบคุมปริมาณน้ำให้ได้

ย้ำต้องปรับเงื่อนไข ก่อนเซ็นสัญญา

นายเปรมชัย กล่าวอีกว่า หลังจากเกิดความล่าช้าจากคำสั่งศาล ซึ่งรัฐบาลจะต้องเร่งดำเนินการรับฟังความเห็น แต่ในส่วนของ ไอทีดี ก่อนจะเซ็นสัญญา ยังต้องมีการเจรจารายละเอียดในบางส่วน ซึ่งอาจต้องมีการปรับ แก้ไขใหม่ แม้ในเงื่อนไขการประมูลจะมีการกำหนดงานไว้แล้ว แต่เนื่องจากเงื่อนไขการออกแบบไปก่อสร้างไป เพื่อให้เกิดความเหมาะสม "สิ่งที่ดีของเงื่อนไขการก่อสร้างที่ออกแบบไปก่อสร้างไป ทำให้ ไอทีดี มีโอกาสปรับแบบก่อสร้างตามเทคโนโลยีการก่อสร้าง ที่มีการพัฒนา ตรงนี้ทำให้เราประหยัดต้นทุนได้ประมาณ 15-20%"

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////