--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ดร.วีรพงษ์ มองดัชนีตลาดทุน ไม่ประมาทไว้ก่อนจะดีกว่า !!?

โดย ดร.วีรพงษ์ รามางกูร

เมื่อปลายเดือนพฤษภาคมศกนี้ ท่านผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯได้แสดงวิสัยทัศน์ว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยขณะนี้มูลค่าหุ้นทั้งหมด กล่าวคือราคาหุ้นที่ซื้อขายในตลาดและหุ้นที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทถือไว้ หรือ "Market Capitalization" เพื่อรักษาเสียงข้างมากในบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีมูลค่าประมาณ 500 ล้านเหรียญสหรัฐ เท่า ๆ กับมาเลเซีย และอยากจะให้เพิ่มขึ้นไปถึง 700 ล้านเหรียญใน 3 ปีข้างหน้า อยากจะให้แซงหรือมีมูลค่าใกล้เคียงกับสิงคโปร์และไต้หวัน ซึ่งขณะนี้มีมูลค่าหุ้นทั้งหมดสำหรับบริษัท

จดทะเบียนประมาณ 700 ล้านเหรียญสหรัฐ เพราะว่าปริมาณซื้อขายในตลาดหุ้นไทยแต่ละวันมีมูลค่าสูงกว่าตลาดอื่น ๆ ในอาเซียน กล่าวคือประมาณวันละ 6-7 หมื่นล้านบาท สูงกว่าสิงคโปร์ประมาณ 35 เปอร์เซ็นต์

ฟังดูแล้วก็เป็นข่าวที่น่ายินดี แต่ก็อดกังวลใจแทนคนไทยไม่ได้ เพราะเป็นที่รู้ ๆ กันอยู่ว่า การที่ปริมาณการซื้อขายก็ดี การที่ดัชนีราคาหุ้นของเราโดยเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้นมาโดยตลอดเป็นเวลากว่าปีครึ่งแล้ว กล่าวคือตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม 2554 ดัชนีเพิ่มสูงขึ้นมากจากประมาณ 1,000 จุด ขึ้นไปแตะสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 1,640 จุดในเดือนพฤษภาคม 2556

บรรยากาศตอนนี้อาจจะคล้าย ๆ กับสมัยเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว คือเมื่อต้นปี 2534 ที่ดัชนีราคาหุ้นทะยานสูงขึ้นไปถึง 1,700 กว่าจุด แล้วหลังจากนั้นดัชนีหุ้นก็ลดลงอย่างรวดเร็วจนเกิดวิกฤตการณ์ "ต้มยำกุ้ง" อันโด่งดังในกลางปี 2540 และโรคต้มยำกุ้งก็กลายเป็นโรคระบาดไปทั่วทวีปเอเชีย แล้วข้ามไปถึงรัสเซียและสหรัฐอเมริกา ยังความเสียหายให้กับคนไทยและผู้คนที่เกี่ยวข้องในประเทศอื่น ๆ อย่างมหาศาล

สาเหตุที่ปริมาณการซื้อขายของ

ดัชนีตลาดหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯของเราในสมัยนั้นพุ่งสูงขึ้น ก็เพราะเงินทุนมหาศาลจากต่างประเทศไหลเข้าประเทศไทย ประกอบกับเราใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ตรึงไว้กับตะกร้าเงินตราสกุลหลัก 2-3 สกุล แต่เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐมีน้ำหนักมากที่สุดประมาณ 85 เปอร์เซ็นต์ อัตราดอกเบี้ยก็สูงกว่าต่างประเทศเป็นอันมาก

ฝรั่งต่างชาติก็ยกย่องว่าประเทศไทยจะเป็นเสือตัวที่ 5 ต่อจากฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน และเกาหลีใต้ ประเทศไทยเป็นสวรรค์ของนักลงทุน ดอกเบี้ยก็สูง ค่าเงินก็คงที่ ใครไม่กู้เงินดอลลาร์เข้ามาใช้ก็ถือว่าไม่ฉลาด

ธนาคาร บริษัทเงินทุน บริษัทหลักทรัพย์ รวมทั้งห้างร้านต่าง ๆ ก็พากันกู้เงินดอลลาร์เข้ามาใช้ กินกำไรจากผลต่างของอัตราดอกเบี้ย ที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ ราคาก็พุ่งสูงขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน จนเศรษฐกิจกลายเป็น "ฟองสบู่" อย่างไม่รู้ตัว

ความจริงถ้าสังเกตสักหน่อย มูลค่าหุ้นทั้งหมดของบริษัทจดทะเบียนเริ่มสูงกว่ารายได้ประชาชาติหรือมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ คิดในราคาตลาด หรือ Nominal GDP มาตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2536 มาเรื่อย ๆ จนถึงเดือนธันวาคม 2538 คือประมาณ 4 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 105 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ประชาชาติ ซึ่งขณะนั้นมีประมาณ 3.8 ล้านล้านบาท

ขณะที่ดัชนีราคาหุ้นต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน หรือ Price-Earning Ratio หรือ P/E สูงถึง 27-28 เท่า ขณะที่ราคาหุ้นตามมูลค่าทางบัญชีในปี 2536-2537 ควรจะเป็นเพียง 4-5 เท่าเท่านั้น

ในขณะนี้ราคาหุ้นเมื่อเทียบกับมูลค่าทางบัญชีของบริษัทอาจจะยังไม่สูงเท่ากับสถานการณ์เมื่อปี 2536 กล่าวคือขณะนี้มีเพียงประมาณ 2.5 เท่า ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่ายังต่ำกว่าเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน

เหตุการณ์ในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา ก็มีส่วนคล้ายกับกรณีเหตุการณ์ก่อนปี 2537 กล่าวคือมีเงินทุนที่ไหลเข้ามาในประเทศจากผลของนโยบายการเงินของสหรัฐ อังกฤษ ยุโรป และญี่ปุ่น ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยของเราสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยในต่างประเทศ เงินต่างประเทศจึงไหลเข้ามาในประเทศเพื่อซื้อหุ้นและตราสารหนี้ราคาหุ้นจึงดิ่งลงอย่างรวดเร็วจนจุดต่ำสุดหลังเกิดวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้งใน

ปี 2540 แล้วค่อยฟื้นตัวตื่นหลังจากปี 2546 เป็นต้นมา จนถึงเมื่อมีวิกฤตการณ์หนี้ด้อยคุณภาพเกิดขึ้นในปี 2550 และค่อยทะยานขึ้นในปี 2552 เป็นต้นมา จนบัดนี้เป็นเวลาประมาณ 4 ปีแล้ว

มาในขณะนี้ เมื่อดัชนีราคาหุ้นได้พุ่งสูงขึ้นถึง 1,640 จุด มูลค่าหุ้นทั้งหมดของบริษัทจดทะเบียนเมื่อเทียบกับบริษัทผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติหรือรายได้ประชาชาติจะมีสัดส่วนถึงกว่า 120 เปอร์เซ็นต์ ราคาหุ้นจึงดำดิ่งลงมาถึง 1,480 จุด แม้ว่าสัดส่วนของราคาหุ้นต่อผลประกอบการจะอยู่ในระดับประมาณ 20 เท่า ราคาหุ้นสูงกว่ามูลค่าทางบัญชีไม่ถึง 3 เท่า อาจจะยังถือว่าอยู่ในช่วงปกติก็ตามข้างหน้าจะเป็นอย่างไรก็คงต้องคาดการณ์ให้ได้ เงินทุนยังจะไหลเข้ามาในตลาดทุนของเรา เพื่อซื้อพันธบัตรและหุ้นในตลาดทุนของเรามากน้อยเพียงใด ผลประกอบการของบริษัทในตลาดเป็นอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจพลังงาน บริษัทที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก ธนาคารพาณิชย์ อัตราดอกเบี้ย รวมทั้งแนวโน้มของอัตราแลกเปลี่ยนของเรา เมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักของโลกว่าจะยังสามารถแข็งค่าต่อไป และที่สำคัญคืออัตราการขยายตัวของการส่งออก และผลิตภัณฑ์มวลรวมหรือรายได้ประชาชาติจะมีแนวโน้มสูงขึ้นหรือต่ำลง

เมื่อมองไปข้างหน้า อัตราการขยายตัวของการส่งออก อัตราการขยายตัวของจีดีพีที่จะเป็นฐานรองรับผลประกอบการของบริษัทห้างร้านเอกชน อัตราดอกเบี้ยจะมีแนวโน้มลดลงหรืออย่างน้อยก็ไม่เพิ่มขึ้น ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนถ้าแข็งขึ้นอีกก็จะเป็นการซ้ำเติมผู้ส่งออก ตลาดของเรามีแนวโน้มอ่อนตัวอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นยุโรป เอเชีย หรือแม้แต่อเมริกาและญี่ปุ่น แต่ถ้าอ่อนลงกำไรจากการแข็งขึ้นของค่าเงินบาท สำหรับผู้ลงทุนที่จะนำเงินทุนจากต่างประเทศเข้ามาเก็งกำไรก็จะน้อยลง การเกินดุลการค้าและการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดก็น่าจะน้อยลง

ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจที่เป็นพื้นฐานดังกล่าว ผู้จัดการกองทุนต่าง ๆ ที่นำเงินเข้าออกเพื่อเก็งกำไรก็ต้องรู้ แต่พวกเรารายย่อยอาจจะไม่รู้หรือไม่ได้คาดการณ์ หรือไม่ก็ถูกกิเลสครอบงำ จึงต้องระมัดระวัง อย่าได้ประมาท

ในขณะเดียวกันก็เริ่มมีการพูดกันมากว่า วิธีอัดฉีดเงินเข้ามาในระบบอย่างที่อเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่นทำอยู่ไม่น่าจะได้ผลในระยะยาว เพราะไม่ทำให้ประเทศต่าง ๆ นั้นมีความสามารถแข่งขันได้สูงขึ้น เมื่อความสามารถในการแข่งขันไม่ได้สูงขึ้น ความสามารถในการผลิตหรือประสิทธิผลของแรงงาน หรือ Productivity ก็ไม่น่าจะสูงขึ้น การฟื้นตัวจากฟองสบู่ก็ไม่น่าจะยั่งยืน ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในประเทศเหล่านั้นคงจะเป็นฟองสบู่แล้วก็ได้ แม้ว่านักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำในอเมริกาและญี่ปุ่นจะออกมาบอกว่ายังไม่เห็นฟองสบู่ก็ตาม

คงต้องระมัดระวัง ไม่ประมาทไว้ก่อนจะดีกว่า

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////

เศรษฐกิจถดถอย เมกะโปรเจ็กต์ตัวดับฝัน คลังเร่งเบิกจ่าย-ดันรายได้ เอสเอ็มอี !!??

 หวั่นเมกะโปรเจ็กต์รัฐ  ดับฝันเป้าจีดีพี 5 %    ก.คลังลุ้นตัวโก่ง มาตรการคลัง-การเงินอุ้มครึ่งหลัง เหตุปัจจัยเสี่ยง- เครื่องยนต์เศรษฐกิจดับ    เร่งเบิกจ่าย - ดันกลุ่มธุรกิจSME เพิ่มสัดส่วนรายได้เป็น 40% สร้างเม็ดเงินเข้าประเทศ เพิ่ม 4 แสนล้าน "โต้ง" รับเศรษฐกิจโลกผันผวน ฉุดบริโภคในประเทศลงเร็ว  สั่งธปท.คุมเงินบาทให้เสถียร   สศค.-หอการค้าไทย - ธปท. -แบงก์  จ่อหั่นจีดีพี  ภาคธุรกิจชี้เหตุ "ประชานิยมรัฐ"หมดฤทธิ์กระตุ้นเศรษฐกิจ ตอกย้ำเม็ดเงินไปไม่ถึงคนส่วนใหญ่ของประเทศ

เครื่องยนต์ศก.หนืด
   
ล่วงมาครึ่งปีแรก  หลายสำนักพยากรณ์เศรษฐกิจทยอยปรับลดประมาณการทางเศรษฐกิจไทย(จีดีพี) หลังสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.หรือสภาพัฒน์)ได้ปรับลดจีดีพีปีนี้มาที่ 4.2-5.2 % หลังไตรมาสแรกจีดีพีหดตัว 2.2% ( เทียบต่อไตรมาส)หรือมีอัตราการเติบโตที่ 5.3% และปลายเดือนนี้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ,หอการค้าไทย ก็จะทบทวนปรับเป้าจีดีพีลง จากที่คาดไว้ที่  5.3 % และ 5% ตามลำดับ
   
เช่นเดียวกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่จ่อปรับเป้าจีดีพีในเดือนกรกฎาคม จากตัวเลขที่ 5.1%  เนื่องจากความกังวลในประเด็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนในช่วงที่เหลือของปีและปัจจัยเสี่ยง (ตารางประกอบ : เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยช่วง 4 เดือน ส่อแววชะลอ )  โดยเฉพาะมูลค่าภาคส่งออกที่คิดเป็นสัดส่วน 70% ของจีดีพี หลังจาก 4 เดือนแรกโตเฉลี่ยเพียง 4.5 % ประกอบกับเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าไทยต่างชะลอตัว
   
ล่าสุดธนาคารโลก หรือเวิลด์แบงก์  ได้ปรับประมาณการจีดีพีโลกปีนี้มาอยู่ที่ 2.2 % ลดจากตัวเลขเดิมเมื่อต้นปีที่ 2.4%  และคาดเศรษฐกิจอาเซียนจะโตที่ 5.7% และปี 2557 ที่ 5.9 % ขณะที่เศรษฐกิจไทยปี 2556-2557 เวิลด์แบงก์คาดโตในอัตราเท่ากันที่ 5.5 %   โดยเป็นการปรับประมาณการตามหลัง องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา  หรือโออีซีดี  ที่ได้ปรับลดเศรษฐกิจโลกปีนี้ลงมาที่ 3.1% จากระดับ 3.4%  และปี 2557 จาก 4.2% มาเป็น 4.0%
   
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวยอมรับว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยเวลานี้ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและค่าเงินบาท และที่เป็นห่วงคือการบริโภคของประชาชนจะลดลง  จึงจำเป็นต้องทำให้เศรษฐกิจไทยเข้มแข็งเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยในเรื่องสถานการณ์เรื่องค่าเงินบาท ต้องการให้ทางธปท. ใช้เครื่องมือต่างๆ ที่มีอยู่แล้วบริหารจัดการเงินบาทให้มีเสถียรภาพ
   
ขณะที่การบริหารเศรษฐกิจประเทศ รัฐบาลตั้งเป้าหมายใน 3 ด้านคือ 1.ขยายตัวเศรษฐกิจหรือเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) 2.รักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ และ 3. การกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น  ทั้ง 3 ประเด็นนี้ จะทำให้เศรษฐกิจไทยมีความมั่นคงและยั่งยืนต่อไป
   
เดือนที่แล้วทุกคนยังเป็นห่วงว่า อสังหาริมทรัพย์ไทยจะเป็นฟองสบู่ แต่ตอนนี้ห่วงเรื่องการบริโภคของประชาชนลดลง  เศรษฐกิจไทยจึงต้องเข้มแข็งเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงโลกที่รวดเร็ว"

นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สิน เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ"  ว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้ จะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 5% ได้นั้นยังต้องลุ้น และจำเป็นต้องใช้เครื่องมือกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งมาตรการการคลังและการเงินควบคู่  โดยด้านมาตรการคลัง เรื่องการจัดทำงบประมาณปี 2557 ( เริ่ม 1 ต.ค. 56-30 ก.ย. 57)  ได้สร้างความคล่องตัวและเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินกู้ ในโครงการบริหารจัดการน้ำให้ทันกำหนดเวลา  คาดว่าถึงสิ้นปีนี้จะใช้เม็ดเงินได้ทันทีประมาณ 2-3 หมื่นล้านบาท  พร้อมผลักดันพ.ร.บ. กู้เงินในโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท  ซึ่งน่าจะใช้เงินได้จริงปี 2557
   
ขณะนี้กำลังให้กรมบัญชีกลาง เข้าไปปัดฝุ่นลดภาระรายจ่ายในรายการงบประมาณประจำ ที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นทั้งงบผูกพัน 5 ปี, รายจ่ายประจำ เบี้ยบำเหน็จบำนาญ  และการแก้ไขกฎหมาย กบข.  เพื่อเพิ่มงบลงทุนให้เพิ่มขึ้น " นายพงษ์ภาณุกล่าว

นายอารีพงศ์  ภู่ชอุ่ม  ปลัดกระทรวงการคลัง  กล่าวถึงสาเหตุที่การเติบโตของเศรษฐกิจไทยไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐว่า จุดใหญ่ที่เป็นอุปสรรคคือ 1.การส่งออกที่ไม่เป็นตามเป้าหมาย  และ2.ราคาของสินค้าเกษตรที่ไม่สูงอย่างที่คาดการณ์
   
"ตอนที่หารือเมื่อต้นปี  สิ่งที่เราไม่ได้คิดไว้ก็คือเรื่องของเงินบาทเกิดแข็งค่า  ทำให้ตัวเลขการส่งออกลดลงมากกว่าที่คาด   อย่างไรก็ตามที่เข้ามาขับเคลื่อนทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ก็คือภาคท่องเที่ยวที่ดีเกินคาด"
   
ทั้งนี้ภาครัฐคาดหวังว่า  เมื่อมีการแก้ไขปัญหาเรื่องค่าเงินบาทไปได้แล้วระดับหนึ่ง  ตัวเลขการส่งออกที่มีแนวโน้มลดลงจะไม่ลดต่ำกว่าที่คาด  รวมถึงการลงทุนภาครัฐที่จะพยายามจะสรุปตัวเลขแท้จริงให้ชัดเจนว่าในส่วนของ 2 ล้านล้านบาท  และ 3.5 แสนล้านบาทนั้น จะสามารถอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบได้เท่าใด "
   
ปลัดกระทรวงการคลัง ยังกล่าวถึงความคืบหน้า มาตรการตามกรอบเสถียรภาพเศรษฐกิจ 22 ข้อ ซึ่งแบ่งเป็น 2 ส่วน  ได้แก่มาตรการทางด้านการเงินซึ่งมีธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รับผิดชอบ  และมาตรการทางด้านการคลังที่จะมีความรับผิดชอบอยู่ 7-8 ข้อ เช่น การเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณ การบริหารหนี้สาธารณะ เป็นต้น  โดยสิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นการดำเนินการที่ปฏิบัติอยู่เป็นประจำ  เพียงแต่นำมาจัดให้อยู่ในภาพรวมให้เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจนขึ้น
   
นอกจากนี้มาตรการคลัง ยังมุ่งเน้นในเรื่องของการพัฒนาเอสเอ็มอีให้มีสัดส่วนต่อเศรษฐกิจของประเทศเพิ่มมากขึ้นจาก 37% เป็น 40% ซึ่งการเพิ่มขึ้น 3% ต่อจีดีพี ก็จะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 3-4 แสนล้านบาท  โดยถือว่าเป็นเป้าหมายที่ต้องเพิ่มศักยภาพการผลิตของเอสเอ็มอี

โครงการรัฐ ดับฝันจีดีพี 5%.
   
นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค  สศค. กล่าวว่า ปลายเดือนนี้ สศค. จะปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทย จากเดิมคาดไว้ที่  5.3%   หลังไตรมาสแรกชะลอลง โดยเฉพาะกำลังซื้อและการบริโภคในประเทศที่แผ่วลงหลังหมดโครงการรถคันแรก  ประกอบกับผลกระทบค่าเงินบาทแข็งก่อนหน้านี้ ทำให้ส่งออกขยายตัวเพียง 3.9% และการลงทุนภาครัฐยังล่าช้า ทำให้มีความเป็นห่วงเศรษฐกิจไตรมาส 2 ชะลอตัวต่อเนื่อง
   
นอกจากนี้ยังต้องรอความชัดเจนของแผนการเงินกู้บริหารจัดการน้ำ ที่ต้องรอดูมติคณะรัฐมนตรี (ครม.)ในวันที่ 18 มิถุนายนนี้ ว่าจะส่งผลต่อการปรับจีดีพีหรือไม่
   
แรงกระตุ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จะมาจากไหนยังเป็นโจทย์ต่อไป แต่กลไกสำคัญที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง หนีไม่พ้นรัฐบาลต้องอัดฉีดเม็ดเงินลงทุนภาครัฐ ต้องเร่งเบิกจ่ายได้เร็ว เพราะจะเป็นตัวช่วยภาคลงทุนภาคเอกชน และกระตุ้นเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4  ให้สามารถขยายตัวตามเป้าหมายที่ 5 %ได้ทัน  เพราะปกติช่วงไตรมาส 4  การขยายตัวเศรษฐกิจจะแผ่วอยู่แล้ว "
   
สศค. ยังประเมินอีกว่า แนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายครึ่งปีหลังยังลงได้อีก   เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังมีปัจจัยเสี่ยง และเศรษฐกิจไทยยังมีสัญญาณการชะลอตัว โดยไม่มีแรงกดดันเงินเฟ้อ

ห่วงQ3 ไร้ตัวช่วย-มาตรการเดี้ยง
   
สอดคล้องกับนายเบญจรงค์ สุวรรณคีรี เจ้าหน้าที่บริหาร ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) (บมจ.) กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจช่วงที่เหลือของปี มีสัญญาณชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะไตรมาส 3 น่าห่วง เนื่องจากไม่มีเครื่องมือภาครัฐที่พอจะกระตุ้นเศรษฐกิจในอัตราเร่งได้ ดังนั้นจึงคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตได้เพียง 3-4% ทำให้ทั้งปีธนาคารประเมินว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวในระดับต่ำกว่า 5% หรือ 4-4.5%
   
ความหวังเดียวของประเทศไทยระยะถัดไปมีเพียงการลงทุนโครงสร้างขนาดใหญ่ ตามพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท และพ.ร.ก.บริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท เท่านั้น แต่ในปีนี้คงไม่มีเม็ดเงินลงสู่ระบบไม่มากนัก โดยการบริหารจัดการน้ำยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม ส่วนพ.ร.บ.โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ก็ยังไม่ผ่านความเห็นชอบจากสภา และจะเห็นการเบิกจ่ายจริงน่าจะในปี 2557 เป็นต้นไป
   
ดังนั้นในช่วงที่เหลือของปีนี้  อาจมีโอกาสที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรืออาร์/พีลงอีกครั้งในระดับ 0.25% ต่อปี หลังการประชุมถัดจากปลายเดือนกรกฎาคม ( กนง.ประชุมครั้งหน้า 25 ก.ค.) หรือรัฐอาจต้องออกมาตรการเสริมกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ แต่เป็นที่กังขาว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ เนื่องจากปัจจุบันหนี้สินภาคครัวเรือนก็เร่งตัวขึ้นค่อนข้างมาก

ธปท.จับตาหนี้ครัวเรือน
   
ทั้งนี้รายงานจากธปท. ระบุผลการประชุมร่วมระหว่างกนง. และคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2556 ว่า ที่ประชุมเห็นตรงกันถึงภาพรวมระบบเศรษฐกิจการเงินไทยยังมีเสถียรภาพ โดยเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัว แม้จะชะลอตัวลงในไตรมาส 1/56 จากอุปสงค์ในประเทศ
   
พร้อมจับตาแนวโน้มเงินทุนเคลื่อนย้ายซึ่งยังผันผวนและอาจส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินจากผลของการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของประเทศเศรษฐกิจหลัก และอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่สนับสนุนเงินทุนไหลเข้า
   
รายงานที่ประชุมระบุต่อว่า ภาคสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ยังขยายตัวต่อเนื่องจากสินเชื่ออุปโภคบริโภคและสินเชื่อเอสเอ็มอีเป็นหลัก  แต่เนื่องจากภาวะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงและเร่งขึ้นมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จึงเป็นปัจจัยเสี่ยงด้านเสถียรภาพการเงินที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะหากสภาพคล่องทางการเงินของครัวเรือนลดลง ก็อาจส่งผลต่อความสามารถในการชำระหนี้ โดยเฉพาะกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้น้อย

ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ จ่อปรับเป้าเศรษฐกิจไทยลงเช่นกัน อาทิ นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ธนาคารกรุงเทพ  กล่าวว่าภาพรวมของเศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งปีหลังว่ายังมีปัจจัยเสี่ยง เนื่องจากการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีแรกมาจากการใช้จ่ายในประเทศเป็นส่วนใหญ่  ขณะที่ครึ่งปีหลังองค์ประกอบสำคัญจะมาจากการลงทุนภาครัฐ
   
โดยล่าสุดงานโครงการบริหารจัดการน้ำทั้ง 9 โมดูล มูลค่ารวม 3.5 แสนล้านบาท ได้ผู้รับเหมาทั้ง 4 ราย ประกอบด้วย  ITD-Power China, K-Water, Summit SUT และ LOXLEY นั้น  โดย ITD-Power China ได้เข้ามายื่นขอวงเงินกับทางธนาคาร ซึ่งหากเป็นไปตามกรอบเวลาก็เชื่อว่าอย่างเร็วจะเกิดขึ้นในไตรมาส 4/2556
   
เศรษฐกิจครึ่งปีหลัง การขับเคลื่อนจะมาจากนโยบายการลงทุนภาครัฐ แต่ที่ผ่านมาการเบิกจ่ายงบของรัฐบาลยังมีไม่มากนัก  แบงก์กรุงเทพจึงได้ปรับจีดีพีใหม่ปีนี้ กรอบล่างที่ 4% และคาดจะไม่ถึง  5%  ส่งผลให้สินเชื่อธนาคารขยายตัวอยู่ที่ 6% ซึ่งยังอยู่ในแผนธุรกิจที่แบงก์วางไว้เมื่อปลายปีที่แล้ว"
   
สอดคล้องกับนางสุทธาภา อมรวิวัฒน์ Chief Economist และ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่าธนาคารอยู่ระหว่างการประเมินเพื่อปรับประมาณการเศรษฐกิจปีนี้ใหม่  จากที่คาดไว้ที่ 5% ส่งออกโต 7.1% โดยนำปัจจัยทั้งในและต่างประเทศเข้ามาร่วมพิจารณา

นายสุวิทย์ กิ่งแก้ว  นายกสมาคมพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกทุนไทย และ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บมจ.ซีพี ออลล์  ผู้บริหารร้านเซเว่นอีเลฟเว่น  กล่าวถึงแนวโน้มธุรกิจค้าปลีกในครึ่งปีหลังว่า  ยังยากที่จะคาดเดาว่าจะเติบโตในอัตราเท่าไร เพราะยังไม่เห็นปัจจัยบวกที่โดดเด่น ขณะที่เศรษฐกิจต่างประเทศ ทั้งยุโรป  สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ก็ยังไม่ดีขึ้น การส่งออกของเราก็จะได้รับผลกระทบตามไปด้วย ซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย  
   
แม้ราคาสินค้าเกษตรเช่น ยางพาราจะขยับราคาดีขึ้น แต่ปาล์ม และสินค้าเกษตรอื่นๆ ก็ยังราคาตก ส่วนค่าแรงที่ปรับขึ้นเป็น 300 บาท ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ก็ส่งผลให้เศรษฐกิจในไตรมาสแรกตื่นตัว แต่หลังจากนั้นก็นิ่งมาตลอด และเชื่อว่าจะไม่ส่งผลต่อไปในครึ่งปีหลังด้วย"   (อ่านต่อ "ค้าปลีก"วัดดวง"ครึ่งหลัง หน้า 17 )

ขณะที่บรรดาผู้ประกอบให้ความเห็นถึงสาเหตุที่โครงการประชานิยมรัฐ ไม่มีประสิทธิภาพแรงพอที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจปีนี้ โดยนายชูเกียรติ  โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า การที่นโยบายประชานิยมไม่มีผลชัดเจนในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แสดงว่านโยบายยังไปไม่ถึงคนส่วนใหญ่ของประเทศ หรือไปถึงแต่ก็ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ทำให้กำลังซื้อของประชาชนขยายตัวไม่ได้ตามเป้าหมาย
   
ตัวอย่าง เช่นโครงการรับจำนำข้าวเปลือกราคาสูงแม้จะทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น แต่อีกด้านหนึ่งต้นทุนปัจจัยการผลิตของเกษตรกร ทั้งค่าปุ๋ย ค่ายากำจัดศัตรูพืช ค่าเช่านา ค่าจ้างแรงงาน และอื่นๆ ก็ปรับตัวสูงขึ้น   ส่งผลให้เป้าหมายที่รัฐที่เคยประกาศว่าโครงการรับจำนำข้าวจะทำให้เศรษฐกิจหมุน 5-6 รอบจึงไม่เกิดขึ้น รวมถึงการเกิดทุจริตในโครงการ ทำให้เม็ดเงินไปไม่ถึงมือเกษตรกรอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย  โครงการรับจำนำข้าวที่ใช้เม็ดเงินมหาศาลแต่ได้ผลน้อย จึงเปรียบเสมือน "ขี่ช้างไล่จับตั๊กแตน"
   
ประกอบกับภาคธุรกิจได้รับผลกระทบค่าเงินบาท ค่าจ้าง 300 บาทรวมถึงเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักทั้งสหรัฐฯ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น ยังไม่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน ดังนั้นการส่งออกของไทยปีนี้มองว่าจะขยายตัวไม่ถึง 7-7.5% ตามที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าหมายไว้ ดีสุดคงไม่เกิน 5% และประเมินว่าจีดีพีปีนี้น่าขยายตัวต่ำกว่า 5%
   
นายอิสระ  ว่องกุศลกิจ  ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะบางโครงการกลับทำให้ประชาชนกำลังซื้อลดลง เช่นโครงการรถคันแรกที่ประชาชนแห่กันไปจับจองเพื่อรักษาสิทธิ์ แต่พอได้รถมาแล้วต้องผ่อนค่างวด มีค่าใช้จ่าย ทำให้มีเงินเหลือในแต่ละเดือนเพื่อไปจับจ่ายใช้สอยอย่างอื่นลดลง ขณะที่การปรับค่าจ้างขึ้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวันทั่วประเทศก็ทำให้สถานประกอบการมีภาระต้นทุนเพิ่ม หลายแห่งต้องปิดกิจการ   ส่วนโครงการลงทุนระบบน้ำ 3.5 แสนล้านบาท และโครงการระบบสาธารณโภคพื้นฐาน 2.2 ล้านล้านบาทก็ยังไม่ได้เริ่มอย่างเต็มรูปแบบจึงยังไม่มีผลต่อการขับเคลื่อนจีดีพี
   
ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตฯดีขึ้น นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ผลสำรวจความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมไทย ประจำเดือนพฤษภาคม 2556 พบว่า ค่าดัชนีความเชื่อมั่นอยู่ที่ระดับ 94.3 เพิ่มขึ้นจาก 92.9 ในเดือนก่อนหน้า ถือเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน และคาดการณ์ดัชนีความเชื่อมั่น 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 100.4 จากปัจจัยยอดคำสั่งซื้อและยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต ต้นทุนประกอบการและผลประกอบการที่เพิ่มขึ้น

ที่มา.นสพ.ฐานเศรษฐกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2556

AIMS เพื่อ เออีซี !!?



ทางออกของความอยู่รอดและความยั่งยืนของโครงการดีๆ อย่างนี้ ดิฉันคิดว่าน่าจะเป็นการบริหารโครงการเชิงกลยุทธ์ เพื่อที่จะให้ประเทศสมาชิกที่ยังไม่พร้อม ไม่ถูกเบียดสิทธิ์จากประเทศนอกภูมิภาค ตามรูปแบบเชิงความคิดที่ดิฉันได้นำเสนอด้านล่าง และเป็นอันเดียวกันกับที่ได้นำเสนอไปในการประชุมที่อินโดนีเซียเมื่อต้นเดือนนี้

กล่าวคือ ผู้บริหารโครงการควรกำหนดกลุ่มอาเซียนตามความพร้อมทางโครงสร้างภายในก่อน เช่น MIT พร้อมก่อนก็ริเริ่มเป็นศูนย์กลาง จากนั้นเรามีกลุ่มที่ขยับตัวเร็วพร้อมรับส่ง คือ CLMV โดยเวียดนามพร้อมลงนามระดับกระทรวงแล้วก็เริ่มต่อได้ในระยะที่สอง สำหรับประเทศฟิลิปปินส์ บรูไน สิงคโปร์ (PBS) มีความพร้อมในระดับกระทรวงมาก เพียงแต่ระดับมหาวิทยาลัยยังเชื่อมต่อกันไม่ติดกับคู่สาขา คาดว่าในปีหน้าบรูไนน่าจะเริ่มได้ทันที และตามด้วยอีกสองประเทศภายในปีถัดไป

ส่วนกลุ่มที่เป็นอาเซียนบวก 3 บวก 6 หรือกลุ่มอื่นๆ ที่อาเซียนได้ลงนามร่วมมือเชิงเศรษฐกิจไว้นั้น หากต้องการจะเข้ามาแลกเปลี่ยนนักศึกษา รัฐบาลท้องถิ่นคงไม่ต้องลงทุนออกเงินจูงใจให้ไป เขาก็นิยมไปกันอยู่แล้ว

เราเหนื่อยยากกันพอสมควรที่จะเบี่ยงเบนความสนใจเยาวชนอาเซียนให้กลับมาอาเซียน หากผู้บริหารโครงการไม่ระวังในการลื่นไหลของอุปสงค์กลับไปสู่สภาพเดิมก่อนความเสื่อมถอยทางเศรษฐกิจภาคตะวันตก เราจะไม่เห็นผลสัมฤทธิ์ของวิสัยทัศน์และการลงทุนในการสร้างคนไว้เป็นทุนมนุษย์สำหรับภูมิภาคอาเซียนเราเลย เพราะการลงทุนในการศึกษาเป็นการลงทุนระยะยาวมาก

ยุทธศาสตร์ต้องชัดเจนและต้องได้รับการขานรับอย่างแน่ชัดในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับรัฐบาล กระทรวงศึกษาแต่ละประเทศ มหาวิทยาลัย ตัวแทนสาขาวิชา และฝ่ายวิเทศน์ฯ ว่าเป้าหมายระยะไกลเราคืออะไร มิฉะนั้นเราจะไปไม่ถึงฝันที่วาดไว้

ที่มา.สยามธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////

ถอดรหัส : ขาดทุน 2.6 แสนล้าน สารพัดคำถาม จำนำข้าว คำตอบที่รัฐบาลไม่อยากฟัง !!?

ไม่เพียงแต่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลก อย่าง มูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส จะตั้งคำถามถึง ความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าว พร้อมผูกโยงไปถึงการลดอันดับเครดิตของไทยในอนาคต

แต่คนไทยก็สงสัยและตั้งคำถามต่อ รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถึงผลดี-ผลเสีย และ ประโยชน์ที่แท้จริงของการดำเนินโครงรับจำนำข้าวเปลือก ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ภายใต้สโลแกนจับใจชาวนา "รับจำนำข้าวทุกเมล็ดภายในประเทศ"

ด้วยราคาสูงลิบลิ่ว ข้าวเปลือกเจ้าตันละ 15,000 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลิตันละ 20,000 บาท

แน่นอนว่า ราคาข้าวเปลือกขนาดนี้เป็นราคาสูงมากกว่าความเป็นจริงของตลาดข้าวโลกพอสมควร และกำลังกลายเป็นภาระทางด้านงบประมาณของประเทศ ส่งผลกระทบไปถึงอัตราการเติยบโตทางเศรษฐกิจโดยรวม อันเนื่องมาจากการอัดฉีดเม็ดเงินลงไปเพื่อโครงการประชานิยมโครงการนี้

จากตัวเลขเม็ดเงินที่ใช้ในโครงการรับจำนำ 3 ครอป (3 รอบการผลิต) ที่ผ่านมา กล่าวคือ โครงการรับจำนำข้าวเปลือกปี 2554/55 โครงการรับจำนำข้าวนาปรังปี 2555 และ โครงการรับจำนำข้าวเปลือกปี 2555/56 คาดว่าจะถูกใช้ไปแล้วมากกว่า 661,000 ล้านบาท

โดยมีข้าวจากชาวนาทั่วประเทศไหลรวมเข้ามาเป็นข้าวในสต๊อกรัฐบาลระหว่าง 39.5-40 ล้านตันข้าวเปลือก หรือราว 25 ล้านตันข้าวสารและปลายข้าว

ทว่า มีการขายข้าวและคืนเงินกลับสู่รัฐบาลเพียง 120,000 ล้านบาท มากกว่า 90% เป็นการขายผ่านวิธีการแบบรัฐต่อรัฐ หรือ G to G แต่ไม่สามารถอธิบายได้ว่า ขายให้กับรัฐบาลประเทศใด จำนวนเท่าไหร่ และราคาเท่าใด โดยอ้างว่า "เป็นความลับ บอกใครไม่ได้"

ประโยคนี้เองที่กำลังจะกลายเป็นเชือกมัดคอ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เจ้าของอมตะวาจาดังกล่าว

การระบายข้าวในสต๊อกรัฐบาล ได้ถูกปิดเป็นความลับดำมืด ไม่มีใครรู้กำไร-ขาดทุน รวมถึงภาคเอกชน โดยเฉพาะผู้ส่งออกข้าว ซึ่งส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงข้าวในสต๊อกรัฐบาล พากันออกมาตั้งข้อสังเกตถึงปริมาณส่งออกข้าวไทยที่หดหายไป ราคาส่งออก ปริมาณข้าวหมุนเวียนในตลาด และพฤติกรรมของผู้ส่งออกข้าวบางรายที่แสดงตนเป็น "นายหน้า" เร่ขายข้าวในสต๊อกรัฐบาลกันอย่างเอิกเกริก

เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงเกิดความไม่ชอบมาพากลในโครงการรับจำนำข้าว

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลการดำเนินโครงการที่ผ่านมาถึง 2 ครอปยังไม่สามารถแสดงต่อสาธารณชน อีกทั้งไม่เคยมีการรายงาน ครม. ให้ทราบ

ล่าสุด จึงเกิดกระบวนการ "ปูด" ตัวเลขการรายงานของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำสินเกษตร ชุดที่มี นางสาวสุภา ปิยจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ว่า ณ วันที่ 31 มกราคม 2556 คณะอนุกรรมการ คำนวณการขาดทุนจากการระบายสต๊อกสินค้าเกษตรโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สต๊อกข้าว ถึง 260,000 ล้านบาท

แน่นอน ตัวเลขผลการขาดทุนสูงมโหฬารขนาดนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่รัฐบาลโดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบโครงการนี้ "รับ" ใน "ความจริง" ที่เกิดขึ้นไม่ได้

แถมความจริงนั้นยังเป็นชุดความจริงที่ออกมาจาก คณะอนุกรรมการ ที่รัฐบาลเป็นผู้ตั้งขึ้นมากับมือเองอีกด้วย

สถานการณ์ของ นายบุญทรง และคณะข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งถูกผลักให้ลงเรือลำเดียวกัน จึงเต็มไปด้วยความอึดอัด ทำได้เพียงออกมายืนกราน "ปฏิเสธ" ผลการตรวจบัญชีของคณะอนุกรรมการชุดดังกล่าว พร้อมกับกล่าวหาว่า ใช้ตัวเลขที่ "ยกเมฆ" เพื่อหวังผลทางการเมือง

ก่อนจะสรุปให้เหตุผลแบบห้วนๆ ว่า การปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว ยังไม่สามารถทำได้ จนกว่าจะมีการระบายข้าวในสต๊อกออกไปจนหมด

แน่นอน พิจารณาตามเหตุผลแบบนี้ จะต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3 ปี ในการปิดบัญชีได้ พร้อมกับย้ำความเชื่อส่วนตัวที่ไม่มีเหตุผลรองรับเช่นกันว่า โครงการจำนำข้าวของรัฐบาลน่าจะขาดทุนแค่ประมาณ 80,000-90,000 ล้านบาท หรือไม่เกินไปกว่าโครงการประกันราคาข้าวของ พรรคประชาธิปัตย์ ในอดีต

ในอีกมุมหนึ่งของความพยายามที่จะ "ชี้แจง" ดูเหมือนจะเป็นการยอมรับอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกของรัฐบาล ว่า ผลการดำเนินโครงการรับจำนำนั้น ขาดทุนแน่นอน

แต่เป็นการขาดทุนที่ "ชาวนา" เป็นฝ่ายได้ประโยชน์ ช่วยทำให้รายได้ของชาวนาเพิ่มขึ้น 83,000 ล้านบาท และมีเงินหมุนเวียนทำให้ระบบเศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.5-1% ในปี 2555 ที่ผ่านมา

คำแถลงข่าวแบบนี้ นอกจากจะไม่สร้างความกระจ่างให้เกิดแก่สาธารณชนแล้ว ยังสะท้อนให้เห็นถึงความหละหลวมของการบริหารจัดการโครงการรับจำนำข้าวด้วย

ยังมีผลสะท้อนทางการเมืองตามมาอย่างหนักหน่วงด้วยเช่นกัน การขาดทุนโครงการนำไปสู่การ "โยน" ความรับผิดชอบของคนในรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย จนสุดท้ายมาตกหนักอยู่กับ "นายบุญทรง" ที่ถูกดันออกมาอยู่แถวหน้าให้เผชิญกับผลการขาดทุนในครั้งนี้

ในขณะที่ทุกคนกำลังรอผลการแถลงการขาดทุนอย่างเป็นทางการของรัฐบาล ก็มีชุดข้อมูลจากผู้ส่งออกข้าวที่เข้าไม่ถึงข้าวในสต๊อกรัฐบาลออกมา ว่า ถ้าคำนวณตามต้นทุนการรับจำนำข้าวเปลือกเจ้า 1 ตัน ราคารับจำนำตันละ 15,000 บาท เมื่อนำมาสีแปรเป็นข้าวสารจะมีราคา 24,000 บาท โดยข้าวเปลือก 1 ตันหรือ 1,000 ก.ก.ได้ข้าวสาร 600 ก.ก.

ฉะนั้น การรับจำนำข้าวเปลือก 40 ล้านตันของรัฐบาล จะคิดเป็นข้าวสาร (40 ล้านตัน X 1,000 ก.ก. ได้เป็น ก.ก. แล้วนำมาคำนวณเปลี่ยนสัดส่วนเป็นข้าวสาร) ประมาณ 24-25 ล้านตัน X 15,000 บาท จะเป็นต้นทุนข้าวเปลือก 375,000 ล้านบาท

หรือหากคิดเป็นต้นทุนแบบข้าวสารประมาณ 600,000 ล้านบาท

เมื่อนำมารวมกับกับค่าใช้จ่าย แบ่งเป็น ค่าใช้จ่ายครั้งเดียวคือ ค่าจ้างผู้ตรวจสอบคุณภาพข้าว 16 บาท/ตัน จ่ายครั้งเดียว, ค่าจ้างกรรมกร 30 บาทรวมเป็น 46 บาท และ ค่าใช้จ่ายรายเดือน แยกเป็น ค่าเช่าเดือนละ 20 บาท/ตัน หรือปีละ 240 บาท/ปี ค่าจ้างรมยาเดือนละ 6 บาท/ตัน หรือปีละ 72 บาท และ ค่าเบี้ยประกันน้ำท่วมอีก 1,700-1,800 บาท/ปี รวมเป็น 2,012-2,112 บาท/ตัน

ดังนั้น หากเก็บข้าวสาร 25 ล้านตันไว้เป็นเวลา 1 ปี จะมีค่าใช้จ่ายที่จ่ายครั้งเดียว 1,150 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายรายเดือนอีก 52,850 ล้านบาท รวมค่าใช้จ่าย 54,000 ล้านบาท เมื่อรวมกับต้นทุนข้าวสาร 600,000 ล้านบาท ก็จะเป็นเงินที่ใช้จ่ายไปประมาณ 654,000 ล้านบาท

เท่ากับว่า "ต้นทุน" ข้าวของรัฐบาลจะเพิ่มขึ้นเป็นตันละ 26,160 บาท

หากขายข้าวได้ต่ำกว่าราคานี้ แปลว่ารัฐบาลจะขาดทุนแน่นอน แต่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับราคาข้าวที่รัฐบาลขายได้

และหากเก็บข้าวไว้นานกว่า 1 ปี นอกจากค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นแล้ว มูลค่าของข้าวจะต่ำลงเพราะ การเก็บรักษาข้าว ซึ่งเป็นสินค้าเกษตรย่อมจะมี ความเสื่อม ดังนั้น จึงจำเป็นต้องหักค่าความเสื่อมอีก

หากหักไปปีละ 10% จากต้นทุนข้าวสาร 600,000 ล้านบาท จะเหลือมูลค่าข้าวอยู่เพียง 540,000 ล้านบาท แต่มีค่าบริหารจัดการเท่าเดิม

อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์ ยืนยันมาโดยตลอด ว่าได้คืนเงินจากการระบายข้าวในสต๊อกรัฐบาล คืนกลับไปให้ ธ.ก.ส. แล้ว 120,000 ล้านบาท แต่ไม่ยอมแจ้งปริมาณข้าวสารที่ถูกระบายขายออกไป บอกเพียงว่า เป็นการขายข้าวแบบ G to G จำนวน 7.328 ล้านตัน

คำนวณง่ายๆ หากรัฐบาลส่งมอบข้าวครบตามจำนวนดังกล่าว จะมีราคาขาย G to G เฉลี่ยอยู่ที่ตันละ 16,400 บาท เท่ากับขาดทุนตันละเกือบ 10,000 บาท

เฉพาะขายข้าวแบบ G to G ตามตัวเลขที่ปรากฏไป 7.328 ล้านตัน จึงมีผลการขาดทุนไม่ต่ำกว่า 70,000 กว่าล้านบาท

แต่การขายข้าวไม่หมดเพียงแค่นี้ เนื่องจากมีข้าวในสต๊อกรัฐบาลเหลืออยู่ในโกดังขององค์การคลังสินค้า (อคส.) ถึง 17-18 ล้านตัน ดังนั้น ฤหากขายข้าวในสต๊อกคงเหลือทั้งหมดไปในราคาเฉลี่ย 16,000 บาท/ตัน เท่ากับว่า รัฐบาลจะขาดทุนถึง 163,000 ล้านบาท

และยังมีข้าวบางล็อตที่ อคส. แจ้งว่ามีการขายไปแบบราคามิตรภาพประมาณตันละ 10,000 บาท ก็จะยิ่งทำให้ยอดขาดทุนโครงการนี้เพิ่มขึ้นมากกว่า 256,000 ล้านบาท

ผลคำนวณแบบคร่าวๆ เช่นนี้จึงแสดงให้เห็นว่า โดยไม่จำเป็นต้องรอปิดบัญชี ก็มีข้อมูลฟ้องอยู่ในระดับหนึ่งแล้วว่า รัฐบาลจะขาดทุนเกินกว่า 80,000-90,000 ล้านบาท ตามการกล่าวอ้างของ นายบุญทรง แน่นอน

และนี่คือคำเฉลยหรือคำตอบที่ไม่ว่ารัฐบาลจะหลีกเลี่ยง บ่ายเบี่ยงอย่างไร ความจริงจากโครงการจำนำข้าว ก็จะยังคงเป็นบาดแผลและจุดเปราะบางทั้งในด้านการบริหาร และผลกระทบด้านการเมืองที่จะตามมาอย่างแน่นอน

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

รมว.พาณิชย์ บีบอนุฯ ปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว !!?

บุญทรง. บีบอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว ทบทวนมูลค่าสต็อกข้าวใหม่ ยึดราคาผู้ส่งออกคำนวณหวังลดผลขาดทุนโครงการ

การสรุปบัญชีโครงการจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ยังคงไม่สามารถดำเนินการ เมื่อตัวเลขการคำนวณออกมาแตกต่างกันมาก ระหว่างอนุกรรมการปิดบัญชี กระทรวงการคลังกับกระทรวงพาณิชย์ โดยเฉพาะตัวเลขผลขาดทุนที่ออกมาสูงมากกว่า 1.3 แสนล้าน ในรอบปี 2555

รายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ประธานอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวที่มีรองปลัดกระทรวงการคลัง นางสาวสุภา ปิยะจิตติ เป็นประธาน ได้รายงานผลการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาลต่อคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.)แล้ว ซึ่งที่ประชุมได้รับทราบผลการปิดบัญชี แต่กระทรวงพาณิชย์ โดยนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ต้องการเปลี่ยนวิธีการคำนวณมูลค่าสินค้าข้าวคงเหลือใหม่ เพื่อลดผลขาดทุน

"ทาง รมว.พาณิชย์ ได้ขอให้ทางคณะอนุกรรมการ ทบทวนวิธีการคำนวณผลขาดทุนในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาลใหม่ โดยเฉพาะการคำนวณผลขาดทุนของข้าวในสต็อกของรัฐบาล ที่ยังไม่ถูกขายออกไป" รายงานข่าวกล่าว

ทั้งนี้ ความแตกต่างของวิธีการคำนวณ ระหว่างของกระทรวงพาณิชย์กับของคณะอนุกรรมการปิดบัญชี คือ การคำนวณผลขาดทุนของข้าวที่ยังอยู่ในสต็อกนั้น คณะอนุกรรมการฯใช้วิธี การคำนวณค่าเฉลี่ย โดยนำปริมาณข้าวที่สามารถระบายออกจากสต็อกของรัฐบาลและหารด้วยรายได้ที่กระทรวงพาณิชย์ได้รับกลับมา จะได้ราคาขายต่อตันโดยเฉลี่ย แล้วนำมาเทียบกับต้นทุนของโครงการรับจำนำข้าวทั้งหมด

เผยอนุฯคิดต้นทุน800ดอลล์ต่อตัน

นอกจากเงินที่จ่ายเป็นค่าจำนำให้กับชาวนา ที่นำมาคำนวณผลการดำเนินโครงการแล้ว คณะอนุกรรมการฯยังนำค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการมาคำนวณผลการดำเนินโครงการด้วย ซึ่งก็คือ ค่าสีข้าว ค่าโกดังเก็บข้าว ค่าดอกเบี้ย ค่า SURVEYOR เป็นต้น ซึ่งรัฐบาลจะมีต้นทุนอยู่ที่ประมาณ 800 ดอลลาร์ต่อตัน ฉะนั้น ผลต่างระหว่างราคาเฉลี่ยที่ขายได้กับต้นทุนของรัฐบาล ก็คือ ผลขาดทุน ซึ่งวิธีการคำนวณดังกล่าว ก็นำมาใช้กับการคำนวณมูลค่าของข้าวที่ยังอยู่ในสต็อกของรัฐบาลด้วย

ทั้งนี้ วิธีการคำนวณดังกล่าวของคณะอนุกรรมการดังกล่าว ทำให้โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลชุดนี้ ที่เริ่มมาเป็นปีที่สอง โดยสามารถปิดบัญชีได้สามฤดูกาล คือ ฤดูกาลผลิตนาปี 2554/2555, ฤดูกาลผลิตนาปรัง 2554/2555 และฤดูกาลผลิตนาปี 2555/2556 รวมผลขาดทุนจำนวน 2.20 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลข ณ สิ้นเดือน ม.ค. 2556 เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ทางคณะอนุกรรมการฯ คาดว่า ผลขาดทุนที่เฉลี่ยประมาณเดือนละ 1 หมื่นล้านบาท จะส่งให้เมื่อสิ้นฤดูนาปรัง 2555/2556 คือในวันที่ 15 ก.ย. นี้ ผลขาดทุนรวม 4 ฤดูกาล จะสูงกว่า 3 แสนล้านบาท

พาณิชย์ยึดราคาผู้ส่งออกลดขาดทุน

สำหรับวิธีการคำนวณของกระทรวงพาณิชย์นั้น ต้องการใช้ราคาขายของผู้ส่งออก ในตลาดต่างประเทศ เป็นเกณฑ์ในการคำนวณผลขาดทุนของข้าวที่ยังเหลืออยู่ในสต็อก โดยที่ราคาขายของผู้ส่งออกจะสูงกว่า ราคาของกระทรวงพาณิชย์ เนื่องจากพ่อค้าซื้อข้าวจากกระทรวงพาณิชย์ในราคาต่ำแล้ว นำไปขายในราคาที่สูง วิธีการคำนวณดังกล่าวของกระทรวงพาณิชย์ จะช่วยลดผลขาดทุนของข้าวที่ยังเหลืออยู่ในสต็อกลงมาได้ระดับหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม เมื่อทางกระทรวงพาณิชย์ยืนยันที่จะขอเปลี่ยนวิธีการคำนวณ ทางคณะอนุกรรมการฯก็พร้อมที่จะปรับเปลี่ยนตามข้อเท็จจริง แต่จะไม่มีการผ่อนปรนเกี่ยวกับวิธีการคำนวณที่เป็นไปตามมาตรฐาน และ การพิจารณาจะต้องเกิดขึ้นในรูปของคณะอนุกรรมการฯ

รายงานข่าวกล่าวว่า เหตุผลสำคัญที่ทำให้คณะอนุกรรมการฯ นำราคาเฉลี่ยจากการขายข้าวของกระทรวงพาณิชย์มาคำนวณมูลค่าสินค้าข้าวคงเหลือ ก็เพราะที่ผ่านมา ทางกระทรวงพาณิชย์ไม่ยอมเปิดเผยราคาขายข้าวที่แท้จริง ทำให้คณะอนุกรรมการฯจึงต้องคำนวณราคาด้วยวิธีการดังกล่าว โดยเหตุผลที่ไม่ยอมเปิดเผยราคาขายที่แท้จริง ระบุว่า เป็นความลับทางการค้า

นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังใช้วิธีการขายข้าวแบบคละ คือ เอาข้าวเก่าในสต็อกมาขายคละกับข้าวใหม่ ทำให้ได้ราคาข้าวเฉลี่ยออกมา ผลก็คือ ข้าวเก่าในสต็อกมีราคาเฉลี่ยที่สูงขึ้น ขณะที่ ราคาข้าวใหม่มีราคาค่าเฉลี่ยที่ต่ำลง

"บุญทรง" เล็งปิดบัญชีจำนำ 17 มิ.ย.

นายบุญทรง กล่าวว่า ที่ประชุม กขช. 17 มิ.ย. จะมีการหารือเพื่อสรุปผลการตรวจสอบตัวเลข การปิดงบประมาณโครงการจำนำข้าวนาปี 2554/2555 และนาปรังปี 2555 ที่ยังมีความเห็นแตกต่างกัน 2 วิธี คือ ทั้งวิธีคิดสินค้าคงเหลือแบบใช้ตัวเลขต้นทุน จากโครงการรับจำนำที่ขาดทุนประมาณ 3.4 หมื่นล้านบาท หรือใช้วิธีคำนวณสินค้าคงเหลือจากราคาต่ำสุดในขณะนั้นที่อาจขาดทุน 1.3 แสนล้านบาท เพื่อหาข้อสรุปทางตัวเลขให้เกิดความชัดเจนและถูกต้องที่สุด

วราเทพไม่เคาะผลขาดทุนชงครม.ตัดสิน

นายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับโครงการรับจำนำข้าวมาหารือและรวบรวมตัวเลขต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงการรับจำนำข้าว ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบการรายงานตัวเลขจากคณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯ และกระทรวงพาณิชย์ใน 1 ปี คือ นาปี 2554/2555 และโครงการนาปรัง 2555 ผลสรุปคือผลขาดทุนของคณะอนุฯ ปิดบัญชีอยู่ที่ 136,908 ล้านบาท ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ อยู่ที่ 49,908 ล้านบาท

นายวราเทพ กล่าวว่า ผลการขาดทุนที่แตกต่างกันมาก ระหว่างกระทรวงพาณิชย์และคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว เนื่องจากกระทรวงพาณิชย์ใช้ตัวเลขมูลค่าของข้าว จากราคาต้นทุน ณ เวลาที่รับจำนำ ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าตัวเลขของคณะกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว เนื่องจากคณะกรรมการปิดบัญชีฯใช้ตัวเลขราคาที่ต่ำที่สุด เป็นต้นทุนมาเทียบเคียง ราคาเฉลี่ยของกรมการค้าภายใน หรือราคาประกาศขาย โดยใช้ราคาที่ต่ำที่สุดมาตีมูลค่าข้าวในสต็อกของรัฐบาล จึงทำให้ตัวเลขการขาดทุนแตกต่างกัน

"ต้องมีการรายงานทั้งสองตัวเลขไปที่ครม.ทั้งการคิดคำนวณของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯและตัวเลขของกระทรวงพาณิชย์ จากนั้นจึงมาหาข้อสรุปกันอีกทีว่าในอนาคตจะใช้วิธีการใดเป็นวิธีปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งการปิดบัญชีในลักษณะปีต่อปีเป็นการคาดการณ์ ส่วนการปิดบัญชีที่แท้จริงจะเกิดขึ้นภายหลังการขายข้าวออกไปได้ทั้งหมด ซึ่งตัวเลขจะหยุดนิ่งหลังจากนั้น จะมีการตั้งงบประมาณมาชดเชยการขาดทุนของโครงการ" นายวราเทพ กล่าว

กิตติรัตน์จ้องสอบข้อมูลขาดทุนรั่ว

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยืนยันว่า โครงการรับจำนำข้าวเป็นประโยชน์กับเกษตรกรให้มีรายได้ดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวมที่เกิดจากการใช้จ่ายของเกษตร ดังนั้น รัฐบาลยังจะเดินหน้าโครงการรับจำนำข้าวต่อไป ส่วนจะมีการทบทวนราคารับจำนำหรือไม่ ขึ้นอยู่กับผลการหารือของคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ที่จะมีการประชุมในวันที่ 17 มิ.ย.นี้ แต่ส่วนตัวมองว่าโครงการต่างๆ สามารถปรับเปลี่ยนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้

ส่วนตัวเลขการขาดทุนในโครงการรับจำนำข้าวนั้น นายกิตติรัตน์ มองว่า เกิดจากความคิดเห็นด้านตัวเลขที่แตกต่างกันเท่านั้น ดังนั้น เชื่อว่าจะได้ข้อสรุปในไม่ช้า และยืนยันรัฐบาลทำงานทุกอย่างอย่างเต็มที่ จึงไม่ห่วงเรื่องความเชื่อมั่นที่หลายฝ่ายจะมีต่อรัฐบาล

อย่างไรก็ตาม ตั้งข้อสังเกตถึงข้อมูลของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการแทรกแซงสินค้าเกษตรที่รั่วไหลออกไปก่อนที่จะมีการเสนอตัวเลขต่อ กขช. จะต้องมีการสอบสวนหนังสือความลับที่รอการอนุมัตินั้น ทางฝ่ายค้านมีข้อมูลได้อย่างไร คาดว่าฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการต่อไป

"บุญทรง" เด้งรับลดราคาจำนำ

ขณะที่ นายบุญทรง กล่าวว่า การประชุม กขช.วันที่17 มิ.ย. ที่ประชุมจะหารือประเด็นการลดราคารับจำนำข้าว ซึ่งที่ประชุมจะนำข้อมูลรายละเอียด จากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาพิจารณา เพื่อเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียอย่างรอบคอบ รวมถึงการประเมินผลกระทบ หากมีการลดราคารับจำนำจริง รวมถึงการพิจารณาว่าหากมีการลดราคารับจำนำจริง ควรนำมาใช้ในช่วงเวลาใด

"การหารือจะนำข้อมูลของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมถึงจากอีกหลายๆ ความเห็นเข้ามาประกอบในการกำหนดหลักเกณฑ์การรับจำนำปีหน้า แต่หากจะมีการเปลี่ยนแปลง ก็จะมีการแจ้งให้เกษตรกรรับรู้ล่วงหน้า ก่อนการปลูกข้าวฤดูกาลใหม่จะเริ่มขึ้น" นายบุญทรง กล่าว

รายงานข่าวแจ้งว่า ตามแผนเดิมรัฐบาลมีแผนเป็นไปได้ว่าการลดราคารับจำนำข้าวในระยะแรก จะดำเนินการในลักษณะกำหนดโซนนิ่ง โดยใช้พื้นที่ชลประทานเป็นเขตกำหนด ชาวนาที่อยู่นอกพื้นที่จะไม่ได้ราคาตันละ 1.5 หมื่นบาท เพื่อจำกัดไม่ให้ชาวนาปลูกข้าวมากเกินไป และไม่ทำให้โครงการรับจำนำต้องแบกภาระมากเกินไป เช่นกัน ส่วนราคาที่จะรับจำนำจะเป็นเท่าใด ยังไม่ได้ข้อสรุป

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ศาลรับคำร้องค้านแก้ รธน.เพื่อไทย เมินลุยประชุมสภา จ่อหั่นจำนำข้าว เท่าตลาดโลก !!?

ศาล รธน.มีมติเสียงข้างมาก5ต่อ4รับคำร้อง"พธม.-ปชป."สั่งระงับแก้ไข รธน.ขัดมาตรา 68 ให้ผู้ถูกร้องยื่นแจงข้อกล่าวหาภายใน15วัน "เพื่อไทย"เมินศาล รธน.รับคำร้อง ยันเปิดประชุมสภา ส.ค.นี้ เดินหน้าแก้ รธน. "กกต."มีมติสั่งดำเนินคดีอาญา"อุกฤษณ์"ส.ส.ชลบุรี พรรคพลังชล ฐานใช้เคเบิ้ลทีวีหาเสียง โดยไม่สั่งเลือกตั้งใหม่ "ปชป."ปูดมีคลิ๊บ"เสริมศักดิ์"เดินสายชี้แจงประชาชนเขตดอนเมืองเรื่องแจกแท็บเล็ตให้นักเรียน ส่อขัด พรบ.เลือกตั้ง เตรียมส่งหลักฐานให้ กกต.สอบ "นิด้าโพล"เผยประชาชน 92.95 % จี้เปิดข้อมูลรับจำนำข้าว เชื่อขาดทุน 2.6 แสนล้านจริง "กลุ่มคนไทยรักชาติ"บุก"ยูเอ็น"ยื่น 5 ล้านรายชื่อต้านศาลโลกพิจารณาคดีปราสาทพระวิหาร สั่งระดมพลสนามหลวงเพื่อยกระดับการชุมนุม 16 มิ.ย. พร้อมยื่นสำนักพระราชวังขอพึ่งบารมี 17 มิ.ย.นี้ ขณะที่"โต้ง"บอกอาจปรับราคาจำนำข้าวตามตลาดโลก ด้านประชุม"กขช."ยังไร้ข้อสรุป ประชุมอีกครั้ง 17 มิ.ย.นี้

สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ได้เผยแพร่เอกสารข่าวถึงสื่อมวลชนถึงผลการประชุมในวันนี้ของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ว่า ที่ประชุมศาลรัฐธรรมนูญมติเสียงข้างมาก5ต่อ4รับคำร้องของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และนายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติม มาตรา 68 มาตรา237 ขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 หรือไม่ เนื่องจากเห็นว่ากรณีดังกล่าวต้องด้วยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคสอง จึงมีมติรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย โดยหลังจากนี้ให้ผู้ร้องทำสำเนาคำร้องส่งต่อศาลจำนวน 312 ชุด เพื่อส่งให้ผู้ถูกร้องและให้ผู้ถูกร้องยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้ง หากไม่ยื่นภายในกำหนด ถือว่าไม่ติดใจ ส่วนคำขอคุ้มครองชั่วคราวในกรณีฉุกเฉินนั้น ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่ายังไม่ปรากฏมูลกรณีอันเป็นเหตุฉุกเฉิน หรือเหตุผลอันสมควรเพียงพอที่จะต้องใช้วิธีการชั่วคราว จึงให้ยกคำขอ
   
ที่พรรคเพื่อไทย นายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติมมาตราว่าด้วยที่มาและการดำรงตำแหน่งของ ส.ว. กล่าวภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมากรับคำร้อง นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ว่า กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเดินหน้าต่อไปตามปกติ การรับคำร้องของศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้ก็เหมือนกับคำร้องคัดค้านอื่นๆ ที่ผ่านมา พร้อมกันนี้ยืนยันว่า 312 ส.ส.และ ส.ว.ที่ออกเสียงสนับสนุนแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะไม่ส่งคำชี้แจงใดๆ ต่อศาลรัฐธรรมนูญ และจะเปิดประชุมสภาสมัยสามัญทั่วไป ส.ค.นี้ เพื่อเดินหน้าพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระ 2 และ 3 ต่อไป
   
ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายภุชงค์ นุตราวงศ์ เลขาธิการ กกต. เปิดเผยว่า ในการประชุม กกต. เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. ได้มีการพิจารณาเรื่องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) จ.ชลบุรี เขตเลือกตั้งที่ 2 ในการเลือกตั้งแทนตำแหน่งที่ว่าง เมื่อวันที่ 6 ม.ค.56 กรณีกล่าวหาว่า นายอุกฤษณ์ ตั๊นสวัสดิ์ ส.ส. จ.ชลบุรี เขตเลือกตั้งที่ 2 พรรคพลังชล กระทำการโฆษณาหาเสียงด้วยวิธีใช้สื่อโฆษณาหาเสียงผ่านสถานีวิทยุโทรทัศน์ ระบบเคเบิ้ลทีวี ของบริษัทเคเบิ้ลทีวี (ชลบุรี) จำกัด จึงเข้าข่ายผิดพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)เลือกตั้งส.ส. และส.ว. มาตรา 59 ประกอบ 60 และมาตรา 147 ที่ห้ามมิให้ผู้สมัคร ส.ส.หาเสียงผ่านสื่อวิทยุโทรทัศน์เอง ถ้าจะกระทำต้องเป็นกรณีที่ได้รับการจัดสรรจาก กกต.ซึ่งจะต้องเป็นไปอย่างเท่าเทียมกัน หากฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจําทั้งปรับ จากเหตุดังกล่าวกกต.จึงมีมติสั่งดำเนินคดีอาญากับนายอุกฤษณ์ และบริษัทเคเบิ้ลทีวี โดยมิได้มีการสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหรือสั่งเลือกตั้งใหม่ เนื่องจากกฎหมายไม่ได้กำหนดโทษในกรณีดังกล่าวไว้
   
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต ส.ส. บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงความเคลื่อนไหวโค้งสุดท้าย ในการเลือกตั้งซ่อม ส.ส. กรุงเทพฯ เขต 12 เขตดอนเมือง ว่า ขณะนี้ทางพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนว่ามีการกระทำที่ส่อขัดต่อพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 ในพื้นที่ดังกล่าว โดยมี 2 กรณีสำคัญ คือ กรณีที่ นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.ศึกษาธิการ(ศธ.) ได้ลงพื้นที่พบปะคณาจารย์และนักเรียนโรงเรียนสีกันวัฒนานันท์อุปถัมภ์ เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. ซึ่งมีผู้บันทึกเป็นคลิปวิดีโอเอาไว้ โดยในคลิปมีการพูดจาถึงนโยบายรัฐบาลในการแจกแทบเล็ตให้กับนักเรียน โดยทางพรรคประชาธิปัตย์ตั้งข้อสังเกต ว่า ขณะนี้เหลืออีกไม่กี่วัน ที่จะมีการเลือกตั้งแล้ว นายเสริมศักดิ์ มีเจตนาอย่างไรในลงพื้นที่ในเขตเลือกตั้ง เพื่อจะชี้แจงนโยบายดังกล่าว เป็นการช่วยเหลือผู้สมัครคนใดคนหนึ่งหรือไม่ ซึ่งถือเป็นการเข้าข่ายว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจโดยมิชอบและเข้าข่ายว่าสัญญาว่าจะให้ตาม พ.ร.บ. มาตรา 53 (1)
   
ที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น "นิด้าโพล" เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง"โครงการรับจำนำข้าว กับการขาดทุน 2.6 แสนล้านบาท" ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 11-12 มิ.ย.56 จากประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 1,249 หน่วยตัวอย่าง พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 92.95 เห็นว่า รัฐบาลควรเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผลการดำเนินงานโครงการรับจำนำข้าว ส่วนกระแสข่าวที่ระบุว่า รัฐบาลขาดทุนในโครงการรับจำนำข้าว 2.6 แสนล้านบาทนั้น พบว่าประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 37.71 เชื่อว่าขาดทุน 2.6 แสนล้านบาทจริง
   
ที่สำนักงานสหประชาชาติ(ยูเอ็น)ประจำประเทศไทย ตัวแทนกลุ่มแนวร่วมคนไทยรักชาติ รักแผ่นดิน ประมาณ 50 คน นำโดย นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำแนวร่วมคนไทยรักชาติ รักแผ่นดิน ได้เดินทางมายื่นรายชื่อประชาชนที่เห็นด้วยกับแนวทางแก้ไข กรณีพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา ในประเด็นประสาทพระวิหาร ด้วยการปฏิเสธอำนาจศาลโลก เป็นจำนวนกว่า 5ล้านรายชื่อ ต่อเลขาธิการสหประชาชาติ ตุลาการศาลโลก และคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เพื่อให้ดำเนินการตามหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องและเพื่อให้จำหน่ายคดีออกจากศาลโดลก โดยไม่ต้องมีคำพิพากษา
   
จากนั้น นายไชยวัฒน์ ให้สัมภาษณ์ว่า การยื่นหนังสือครั้งนี้จะไม่ใช่การยื่นครั้งสุดท้าย และขอให้คนไทยทีรักชาติรักแผ่นดินมารวมตัวกันที่ท้องสนามหลวงในวันที่ 16 มิ.ย.นี้ เวลา 18.00น. โดยเราจะขอยกระดับการเคลื่อนไหวการชุมนุม จึงขอเชิญชวนประชาชนที่สนใจต่อเรื่อง กรณีไทย-กัมพูชา ออกมารวมกันชุมนุมเพื่อเรียกร้องความถูกต้อง และจากนั้นจากในวันที่ 17 มิ.ย. เวลา 10.30น. เราจะไปที่สำนักพระราชวัง โดยจะนำรายชื่อดังกล่าว กว่า 5ล้านชื่อ ยื่นต่อองค์พระประมุข ในฐานะที่ทรงเป็นพระประมุขขอคนไทย เพื่อขอพึ่งพระบารมี
   
วันเดียวกัน นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ และรมว.คลัง กล่าวยอมรับว่า มีความเป็นไปได้ที่รัฐบาลอาจปรับเปลี่ยนรูปแบบโครงการรับจำนำข้าว หลังจากที่คณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำสินค้าเกษตร กำลังจะรายงานตัวเลขการขาดทุนต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. โดยในส่วนของราคาจำนำอาจปรับลดลงจากตันละ 15,000 บาท ก็ได้ เพราะสถานการณ์ราคาข้าวในตลาดโลกในขณะนี้ ได้ปรับลดลง เปลี่ยนไปจากเมื่อครั้งที่ประกาศนโยบายในครั้งแรก ซึ่งในการบริหารเศรษฐกิจนั้น การปรับเปลี่ยนนโยบายสามารถเป็นไปได้ เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ เหมือนเช่นการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่รัฐบาลยืนยันจะพิจารณาข้อมูลต่างๆ อย่างรอบคอบ ก่อนที่จะมีการดำเนินการเปลี่ยนแปลงใดๆ ส่วนจะมีการปรับลดราคาในการประชุม กขช. หรือไม่ ก็มีโอกาสความเป็นไปได้
   
ด้าน นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ หรือ กขช. เปิดเผยภายหลังการประชุม กขช.ว่า ที่ประชุมมีมติรับทราบตามเอกสารที่ชี้แจง แต่ยังมีบางประเด็นที่ยังเห็นแตกต่างกัน จึงมีมติให้คณะกรรมการนำเอกสารกลับไปศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม และให้นำกลับมาประชุมอีกครั้งในวันที่ 17 มิ.ย.นี้ เวลา 14.00 น.

ที่มา.สยามรัฐ
//////////////////////////////////////////////////

ข้อเขียนชิ้นสุดท้าย !!??

โดย.ประชา บูรพาวิถี

9 ปีที่แล้ว "เอกยุทธ อัญชันบุตร" เปิดตัวอย่างครึกโครม ด้วยบทบาท "นักเปิดโปง" และท้ารบ "นายกรัฐมนตรีประชานิยม"

แต่วันนี้ เขาจากไปแล้ว คงเหลือไว้เพียง "เรื่องเล่า" อันหลากหลาย

การเคลื่อนไหวของ "เอกยุทธ" ในห้วงเวลาปัจจุบันที่เรียกว่า "บ่มเพาะสถานการณ์" เขาไม่พลาดที่จะแสดงความคิดเห็นในหน้าเพจเมื่อ 26 พฤษภาคม 2556

"ใจ-ทุนพร้อม..รอเวลา รวมตัวไล่การเมืองระยำ ขอฝ่ายต้านลดแตกต่าง ทำกันไม่กี่คนชนะยาก"

เอกยุทธตระหนักดีว่า วันนี้ฝ่ายต้านทักษิณไม่เป็นเอกภาพ คิดแตกต่างกันเยอะ จึงเห็นแต่ขบวนการของ "ไชยวัฒน์-บรรณวิทย์" ขับเคลื่อนลงสู่ทุ่งพระเมรุอย่างเดียวดาย

ขณะเดียวกัน ข้อเขียนชิ้นสุดท้ายของเอกยุทธ ที่ใช้นามปากกาว่า "ไต่กอ" ในคอลัมน์ "ซุบซิบอินไซเดอร์" ทางเว็บไทยอินไซเดอร์ ได้ประเมินสถานการณ์ "สงครามชิงอำนาจ" ครั้งใหม่ว่า

"เริ่มเห็น "ปฏิบัติการหน้ากากขาว" V for Thailand ที่เวลานี้ ลามไปทั่วทุกจังหวัดแล้ว...และนี่คือ สัญญาณบ่งบอกว่า...จะอยู่นิ่งเฉยไม่ได้แล้ว...เพราะกลุ่มเป้าหมายต่างกัน...จึงจำต้องอาศัยพวกจูงจมูกง่าย มาชนกับ พวกมีความคิด จะเห็นว่า ปฏิบัติการหน้ากากขาวนี้...ที่นัดหมายกันแล้วจุดติดอย่างรวดเร็วนั้น...ล้วนเกิดจาก โลกสังคมออนไลน์ ที่คนมีความคิด-คนมีความรู้-คนรู้ผิด-คนรู้ชั่ว ต่างนัดรวมตัวกันโดยนัดหมาย...

"จากเดิมที่ "พรรคเก่าแก่" เล่นบทนวดทุกวันเสาร์ในเวที "ผ่าความจริง" ตามจังหวัดต่างๆ ซึ่งเวลานี้ก็ปาเข้าไป 50 กว่าจังหวัดแล้ว...พอมาเจอปฏิบัติการหน้ากากขาว เล่นบทนวดทุกวันอาทิตย์...ที่ลามกันไปหลายจังหวัด ตามสถานที่ต่างๆ ก็เป็นการบ่งบอกได้ดีว่า "การทวงคืนความยุติธรรม" กำลังกลับคืนมา เพื่อมิให้คนตระกูลหนึ่งกินรวบประเทศไทยอีกต่อไป"

เอกยุทธในนาม "ไต่กอ" เชื่อมั่นในปรากฏการณ์หน้ากากขาว และด้วยความสัมพันธ์อยู่กับฟากฝ่ายเดิม เขาจึงฟันธงว่า

"งานนี้ "ผู้คุมเกมฝั่งอำมาตย์แท้" แอบกระซิบ "ไต่กอ" ว่า ศึกรอบนี้วัดกันที่ "ใครอึดกว่ากัน"...ถ้าอยากอยู่นานๆ ก็อยู่ไป...แต่ถ้าคิดว่า จะชิงความได้เปรียบจากเรื่องเงิน ก็คอยดูกัน...ว่าผลลัพธ์ จะเป็นอย่างไร??? "ไต่กอ" ได้ฟังเช่นนี้...บอกได้คำเดียวว่า "ผู้คุมเกมฝ่ายไหน" อึดกว่ากัน...มีความได้เปรียบสูง"

จากข้อเขียนชิ้นสุดท้ายข้างต้น สะท้อนว่า เอกยุทธจุดยืนไม่เปลี่ยน ยังดำรงเป้าหมาย "โค่นล้มระบอบทักษิณ"
9 ปีที่แล้ว เอกยุทธกับคณะผู้ก่อการกลุ่มหนึ่งเดินเกม "น็อกเอาต์ทักษิณ" อันเป็นจุดเริ่มของการเคลื่อนไหวต้านระบอบทักษิณครั้งใหญ่ในปี 2548-2549

ฝ่ายต่อต้านฉวยจังหวะ "ทักษิณ" นายกฯสมัยนั้นไปปฏิบัติภารกิจเยือนประเทศอิตาลี ระหว่างวันที่ 22-25 กันยายน 2547 โดยคณะผู้ก่อการจัดประชุมขยายวง โดยมีตัวแทนองค์กรประชาธิปไตย, สหภาพรัฐวิสาหกิจ เข้าร่วมด้วยภายในโรงแรมแห่งหนึ่ง เมื่อค่ำวันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน 2547

ตามแผนการที่กำหนดไว้ 02.00 น. ของคืนวันศุกร์ที่ 24 กันยายน ด้วยกำลังพนักงานรัฐวิสาหกิจจากต่างจังหวัดและในกรุงเทพฯ นับหมื่น จะออกมาชุมนุมที่ท้องสนามหลวง ก่อนเคลื่อนขบวนสู่ทำเนียบรัฐบาล

สุดท้ายแผนการชุมนุมก็ไม่บรรลุตามเป้าประสงค์ เพราะองค์กรประชาธิปไตย และสหภาพรัฐวิสาหกิจ ไม่พร้อมที่จะเคลื่อนกำลัง ด้วยประเมินสถานการณ์ว่า ยังไม่ถึงขั้นสุกงอม

วันเสาร์ที่ 25 กันยายน 2547 เวทีการชุมนุมมวลชน จึงถูกจัดตั้งขึ้นอย่างรีบเร่ง ณ บริเวณทิศเหนือของสนามหลวง บนฉากหลังของเวทีอภิปรายมีป้ายผ้าคำขวัญ "ประชาชนเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และสมบัติชาติ"

ท่ามกลางผู้ชุมนุมพันกว่าคน ไม่ใช่หลักหมื่นดังที่หวัง คณะผู้ก่อการได้เผยโฉมบนเวทีในนาม "คณะประชาชนเพื่อชาติ และราชบัลลังก์"

เป้าหมายหรือ "ธง" ที่คณะผู้ก่อการชักขึ้นสู่เวทีทุ่งพระเมรุ คือการกดดันให้นายกรัฐมนตรี ลาออกจากตำแหน่ง และขอพระราชทานรัฐบาลแห่งชาติ

กล่าวอย่างที่สุด "ม็อบสนามหลวง 2547" เป็นกลุ่มพลังที่มาก่อนกาล และเป็นอีกบทเรียนหนึ่งของ "เอกยุทธ" คือนัดแล้วไม่มา?

"ม็อบสนามหลวง 2556" จะตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับ "ม็อบสนามหลวง 2547" หรือไม่? แต่เอกยุทธทิ้งท้ายก่อนตายว่า ศึกนี้วัดกันที่ใครอึดกว่ากัน?

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2556

จำนำข้าว...ต้องทบทวนกันใหม่ !!?

สังคมพยายามกดดันให้รัฐบาลเปิดเผยข้อมูลว่าโครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ดนั้น  รัฐ(ซึ่งก็คือประชาชน)ขาดทุนไปแล้วจำนวนเท่าใด  มีข้าวเก็บสต๊อกไว้เท่าใด  รัฐสามารถขายข้าวได้เท่าใด
   
ชาวนาที่ยากจนได้รับประโยชน์จากโครงการจำนำเท่าใด เงินจำนวน 3 แสนล้านบาท ที่นำมาใช้ในโครงการจำนำข้าวตกไปอยู่ในมือใครบ้าง โครงการจำนำข้าวมีการรั่วไหลอย่างไรบ้าง และประเทศสูญเสียอะไรจากโครงการจำนำ
   
ประการแรก ในบรรดาชาวนาที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากโครงการจำนำข้าว มีหลักฐานชัดเจนว่าผลประโยชน์ส่วนใหญ่ตกอยู่กับชาวนาที่มีฐานะร่ำรวย และฐานะปานกลาง ชาวนารายเล็กที่ยากจนซึ่งเป็นชาวนาส่วนใหญ่ได้รับประโยชน์จากโครงการน้อยมาก ชาวนายากจนที่ปลูกข้าวนาปี เพื่อเก็บข้าวไว้บริโภคในครัวเรือน หรือไม่มีผลผลิตเหลือขาย จะไม่ได้ประโยชน์แม้แต่บาทเดียวจากโครงการรับจำนำ ชาวนาที่ต้องซื้อข้าวกินมี 7.4 แสนครัวเรือน และชาวนาที่ปลูกข้าวไว้กินในบ้านมีจำนวน 1.3 ล้านครัวเรือน ฉะนั้นชาวนาที่ยากจนจึงมิได้ประโยชน์ใดๆจากการจำนำ ยกเว้นว่าต้องซื้อข้าวบริโภคในราคาแพงขึ้น
   
เรื่องที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิดคือ ชาวนาส่วนใหญ่เป็นคนจน แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติแสดงว่า ในบรรดาครัวเรือนคนไทยทั้งหมดที่อยู่ในกลุ่มที่มีรายได้ครัวเรือนสูงสุด 40% ของครัวเรือนไทยทั้งหมด ปรากฎว่าเป็นครัวเรือนชาวนาจำนวน 1.185 ล้านครัวเรือน ครัวเรือนเหล่านี้ได้ประโยชน์จากการจำนำมากที่สุด เพราะมีผลผลิตข้าวเหลือขายให้รัฐบาลมากที่สุดถึงร้อยละ 52 ของผลผลิตที่ชาวนาทั่วประเทศนำออกขายในตลาด ดังนั้นโครงการรับจำนำจึงเป็นการนำเงินภาษีที่เก็บจากประชาชนทุกคน (รวมทั้งคนจน) ไปแจกจ่ายให้เกษตรกรที่มีฐานะร่ำรวยและฐานะปานกลาง นโยบายแบบนี้เป็นการเพิ่มความไม่เท่าเทียมของการกระจายรายได้ ซึ่งสวนทางกับวัตถุประสงค์ของรัฐบาล
   
ประการที่สอง โครงการจำนำข้าวต้องใช้เงินภาษีประชาชนในการแทรกแซงตลาดข้าวเป็นจำนวนมาก นอกจากเงินกู้ที่ใช้ซื้อข้าวแพงกว่าราคาตลาดจำนวนกว่า 3 แสนล้านบาทในปี 2554/55 แล้ว รัฐบาลยังต้องใช้เงินเป็นจำนวน 20,644 ล้านบาท ในการจ้างโรงสีเพื่อสีแปรสภาพข้าวเปลือกเป็นข้าวสาร จ่ายค่าเช่าโกดังและค่ารักษาสภาพข้าว จ้าง surveyors เพื่อตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าว ค่าดอกเบี้ยเงินกู้ปีละ 5,516 ล้านบาท รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่นๆ สำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐในการดำเนินงานตามนโยบายรวมทั้งสิ้นเป็นมูลค่าอีก 5,946 ล้านบาท และการที่ข้าวเสื่อมคุณภาพอีกปีละ 5,532 ล้านบาท เงินจำนวนนี้ยังไม่นับรวมผลขาดทุนจากการขายข้าว    โครงการจำนำข้าวจึงก่อให้เกิดความเสียหายกับประเทศเป็นมูลค่ามหาศาล
   
ค่าใช้จ่ายเหล่านี้มาจากเงินภาษีที่เก็บจากประชาชน ทำไมเราจึงไม่เอาเงินส่วนต่างราคาข้าว 72,246 ล้านบาท จ่ายให้ชาวนาทั่วประเทศจำนวน 4 ล้านครัวเรือน โดยให้ธกส.โอนเงินเข้าบัญชีเกษตรกรเท่าๆกันทุกคน ทำไมต้องควักเงินภาษีจากทุกคนอีก 40,275-63,535 ล้านบาท ไปแจกจ่ายให้บรรดาโรงสี เจ้าของโกดังและเซอร์เวย์เยอร์ที่เป็นคนมีฐานะดี
   
ประการที่สาม โครงการจำนำข้าวก่อให้เกิดการรั่วไหลและความสูญเปล่าจำนวนมหาศาล
   
ขอเน้นย้ำอีกทีว่า  ไม่มีใครต่อต้านการช่วยเหลือชาวนา  ที่ผู้คนเขาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลคือโครงการรูปธรรมที่ รับจำนำข้าวทุกเมล็ดŽ อย่างไม่จำแนก , ชาวนากลางชาวนารวยได้ประโยชน์  แต่ชาวนารายย่อยไม่ได้รับประโยชน์  , การทำงานอย่างคอร์รัปชั่น , การนำข้าวจากต่างประเทศเข้ามาสวมสิทธิ์ , การงุบงิบขายข้าวให้กับพรรคพวก  ฯลฯ
   
ความเรียกร้องต้องการของชาวนารายย่อยนั้น  สะท้อนชัดเจนโดยนายประสิทธิ์ บุญเฉย  นายกสมาคมชาวนาไทย  ซึ่งสรุปว่า  ชาวนาพอใจราคารับจำนำข้าวตันละหนึ่งหมื่นบาท  , ให้รับจำนำข้าวรายละไม่เกิน 25 ตัน  และ จ่ายเงินให้ชาวนาเร็วขึ้น   เท่านี้เองก็จะแก้ปัญหาให้ชาวนาได้ในชั้นต้น
   
และอย่าไปถล่มวิพากย์พวกรัฐมนตรีกันเลย   นั่นระดับลิ่วล้อเท่านั้น
   
และถ้าหากมูดี้ส์ลดระดับเครดิตของเศรษฐกิจไทยจริง ๆ   ก็อย่ามัวเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีกันอีก

ที่มา.สยามรัฐ
////////////////////////////////////////////

ก้าวใหม่ ของ ลาว !!?

ในอนาคตความต้องการพลังงานจะพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก ว่ากันว่าภายใน 15 ปีข้างหน้าความต้องการพลังงานทั่วโลกจะเพิ่มเป็น 3 เท่าตัว หรือ 300%

การแสวงหาพลังงานทางเลือกใหม่ๆ จึงเป็นความหวังของมนุษยชาติ และ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หรือ สปป.ลาว คือหนึ่งในประเทศความหวัง เนื่อง จากมีทรัพยากรธรรมชาติมาก ในขณะที่ความต้องการพลังงานในประเทศค่อนข้างน้อย เพราะมีประชากรเพียง 7 ล้านคน

พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศลาวจึงเป็นการผลิตเพื่อป้อนให้กับประเทศเพื่อน บ้านเป็นหลัก โดยเฉพาะประเทศไทย การเข้าไปตั้งโรงงานผลิตกระแสไฟในลาวจึงเกิดขึ้น ในพื้นที่ที่มีความเหมาะสม น้ำงึม 1 และน้ำงึม 2 คือที่ตั้งโรงไฟฟ้าที่ใช้น้ำเป็นพลังงาน หรือโรงไฟฟ้าพลังน้ำ

สำรวจโรงไฟฟ้าพลังน้ำในเขื่อนน้ำงึม 2 ของ บริษัท เซาท์อีสท์ เอเชีย เอนเนอร์จี จำกัด หรือ SEAN ซึ่งได้รับสัมปทานจากรัฐบาลลาว ปัจจุบันการก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 615 เมกะวัตต์ ทำ สัญญาขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่ง ประเทศไทย (กฟผ.) เป็นระยะเวลา 25 ปี

ที่น่าสนใจคือ โรงไฟฟ้าแห่งนี้สร้างเสร็จก่อนกำหนดถึง 3 เดือน สร้างความพอใจ ให้กับรัฐบาลลาวอย่างมาก ถึงขนาดเซ็นสัญญาให้สัมปทานเพิ่มอีก 2 โครงการคือโรงไฟฟ้าน้ำบาก ซึ่งอยู่ใกล้กับโรงไฟฟ้าน้ำงึม 2 และโรงไฟฟ้าไชยะบุรี แขวงไชยะบุรี ทั้งสองแห่งอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง

สาเหตุที่กลุ่ม SEAN สามารถสร้างโรงไฟฟ้าได้เสร็จก่อนกำหนด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบริษัทนี้เปรียบเสมือนบริษัทในเครือ ช.การช่าง บริษัทรับเหมารายใหญ่ของ ไทย เพราะบริษัท ซีเคพาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ ช.การช่าง เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน SEAN

CKP ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2554 เพื่อดำเนินธุรกิจด้านพลังงานทั้งในและต่างประเทศในรูปแบบบริษัทโฮลดิ้ง (Holding Company) เข้าไปถือหุ้นในบริษัท พลังงานต่างๆ ซึ่ง SEAN เป็นหนึ่งในบริษัทที่ CKP เข้าไปถือหุ้นใหญ่จำนวน 56% และ SEAN ถือหุ้นในโรงไฟฟ้า น้ำงึม 2 จำนวน 75% อีก 25% ถือ โดยรัฐบาลลาว เท่ากับว่าโรงไฟฟ้า น้ำงึม 2 อยู่ภายใต้ การบริหารจัด การของ SEAN หรืออยู่ภายใต้การบริหารจัดการของ CKP ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่นั่นเอง

โรงไฟฟ้าน้ำงึม 2 จะสร้างความมั่นคง ด้านพลังงานให้กับไทยทั้งในปัจจุบันและอนาคต หลายคนอาจไม่รู้ว่า ในช่วงที่ประเทศ พม่าปิดซ่อมท่อก๊าซธรรมชาติ ไม่สามารถส่งก๊าซธรรมชาติเพื่อผลิตกระไฟฟ้าให้กับไทยช่วงระหว่างวันที่ 5-14 เมษายน ก็ได้กระแสไฟฟ้าจากเขื่อนน้ำงึม 2 ช่วยกู้วิกฤติ

นอกเหนือจากโรงไฟฟ้าน้ำงึม 2 แล้ว รัฐบาลลาวซึ่งตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นแบตเตอรี่แห่งเอเชีย ได้เตรียมพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำในพื้นที่ริมแม่น้ำโขงอีก 11 โครงการ ประกอบด้วย 1.โครงการปากแบ่ง กำลังการผลิต 1,230 เมกะวัตต์ 2.โครงการหลวง พระบาง กำลังการผลิต 1,410 เมกะวัตต์ 3.โครงการไชยะบุรี กำลังการผลิต 1,285 เมกะวัตต์ 4.โครงการปากลาย กำลังการผลิต 1,320 เมกะวัตต์ 5.โครงการสานาคาม กำลัง การผลิต 570 เมกะวัตต์ 6.โครงการปากชม กำลังการผลิต 1,079 เมกะวัตต์ 7.โครงการ บ้านกุ่ม กำลังการผลิต 2,000 เมกะวัตต์ 8.โครงการลาดเสือ กำลังการผลิต 800 เมกะวัตต์ 9.โครงการดอนสะหง กำลังการผลิต 360 เมกะวัตต์ 10.โครงการสะตึงเตร็ง กำลังการผลิต 980 เมกะวัตต์ 11.โครงการซัมบอร์ กำลังการผลิต 460 เมกะวัตต์ รวมกำลังการผลิตทั้งหมด 11,494 เมกะวัตต์

ทั้ง 11 โครงการเป็นโรงงานผลิตไฟฟ้า จากน้ำหรือไฮโดรเพาเวอร์ โดยการผันน้ำจากแม่น้ำโขงขึ้นมาปั่นกระแสไฟ ปัจจุบันมี 1 โครงการที่เริ่มดำเนินการก่อสร้างแล้ว คือ โครงการไชยะบุรี โดยกลุ่ม SEAN นั่น เอง ส่วนโครงการที่เหลืออีก 10 โครงการ รัฐบาลลาวจะพิจารณาให้สัมปทานก็ต่อเมื่อ โครงการไชยะบุรีสร้างแล้วเสร็จ หากการพัฒนาโครงการทั้ง 11 แห่งเดินหน้าได้ตาม แผน จะทำให้สปป.ลาวกลายเป็นแบตเตอรี่ แห่งเอเชียอย่างสมบูรณ์แบบ

หันกลับมามองบริษัท ซีเคพาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP ผู้ถือหุ้นใหญ่ใน SEAN ก็กำลังระดมทุนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่ง ดร.สุภามาศ ตรีวิศว-เวทย์ กรรมการผู้จัดการ CKP กล่าวว่า ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (Filing) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และ ตลาดหลักทรัพย์เรียบร้อยแล้ว และจะเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชน (IPO) จำนวน 20 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 5 บาทภายในเดือนนี้

"ธุรกิจไฟฟ้าเป็นธุรกิจที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวที่แน่นอนกับ กฟผ. และ กฟภ. ส่งผลให้มีรายได้แน่นอนและสม่ำเสมอ ทำให้บริษัทมีการเติบโตในอนาคตที่ดี"

ไม่ใช่เฉพาะโรงไฟฟ้าพลังน้ำเท่านั้น แต่ CKP ยังทำธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนในเมือง ไทยอีก 5 แห่ง นับเป็นบริษัทชั้นนำในธุรกิจ ผลิตไฟฟ้าของอาเซียน

เป็นความมั่นคงด้านพลังงานของอาเซียนอย่างแท้จริง!!

ที่มา.สยามธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////

พัฒนาการทางความคิด ของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน !!?

เขตแดนธรรมชาติทางเศรษฐกิจ หรือ NET ที่ว่านี้ สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว อย่างน้อยก็มีรูปแบบทำกันอยู่ในประเทศสมาชิกของอาเซียน ที่เรียกว่า "สามเหลี่ยมความเติบโต" (Growth Triangles) สี่รูปแบบที่เชื่อมโยงประเทศสมาชิกอาเซียน ห้าประเทศที่ตั้งอยู่ตามหมู่เกาะต่างๆ ด้วยกัน สามเหลี่ยมความเติบโตที่ว่านี้ คือ

1) สามเหลี่ยมความเติบโตระหว่างอินโดนีเซีย-มาเลเซีย-สิงคโปร์ (The Indonesia-Malaysia-Singapore Growth Triangle) ใช้อักษรย่อว่า IMS-GT หรือ มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งใช้แทนว่า SIJORI

เขตความเติบโตระหว่างอินโดนีเซีย-มาเลเซีย-สิงคโปร์นี้ เป็นข้อตกลงทางการเมืองของสามประเทศที่ทำ กันอย่างเป็นทางการในระดับรัฐบาล ที่เรียกอีกชื่อย่อหนึ่งว่า SIJORI นั้น ก็เพราะจะเห็นว่าเขตเศรษฐกิจที่ว่านี้ คือสิงคโปร์นั้น เชื่อมอยู่ยาวนานมาตลอดกับเขตแดนทางภูมิศาสตร์ของรัฐยะโฮร์ของมาเลเซีย และกับหมู่เกาะรีเยา ของอินโดนีเซีย

สิงคโปร์มีเงินทุน มีเทคโนโลยี และมีทักษะในการประกอบการ ส่วนหมู่เกาะยะโฮร์นั้นก็มีที่ดิน มีแรงงาน มีน้ำ โดยเฉพาะที่เกาะบาดัน สิงคโปร์ เป็นศูนย์ของเศรษฐกิจในเขตดินแดนด้านในของพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ทางแถบนี้ ซึ่งไม่ได้เชื่อมกับเขตเศรษฐกิจขอบนอก จึงทำให้เศรษฐกิจของสิงคโปร์ เป็นเศรษฐกิจที่ครอบงำเศรษฐกิจในเขตภูมิศาสตร์แถบนี้โดยปริยาย

แม้ว่า รูปแบบเศรษฐกิจของ IMS-GT จะถูกจำกัดด้วยกรอบทางภูมิศาสตร์ (คือมีเพียงรัฐยะโฮ รีเยา กับ สิงคโปร์ เท่านั้น) แต่การเมืองของท้องถิ่นก็เรียกร้องต้องการ ให้ขยายตัวให้มากขึ้นไปอีก ในบันทึกความเข้าใจแต่เดิมที่ทำกันในปี ค.ศ.1994 (2537) นั้น ก็รวมเอาสุมาตราตะวันตกเข้ามาด้วย ทำให้ IMS-GT มีรูปแบบทางการเมืองขึ้นมา

ในปี ค.ศ.1996 (2539) มาเลเซีย มาละกา เนกรีเซม บีลัน และรัฐปะหัง ก็ถูกรวมเข้ามาในเขตนี้อีก และอีกหนึ่ง ปีต่อมา คือในปี ค.ศ.1997 (2540) (ขอให้สังเกตด้วยว่า เป็นปีเดียวกันกับที่เกิดเหตุวิกฤติต้มยำกุ้งขึ้นจากประเทศ ไทย) รัฐต่างๆ ในอินโดนีเซียมีถึง 5 แห่งด้วยกัน ที่จะเข้ามาร่วมด้วย คือ จัมบี เบงกูรู สุมาตราใต้ ลัมปุง และ กาลิมัน ตันตะวันตก

รูปแบบความเชื่อมโยงที่ว่านี้ว่าโดยทางเศรษฐกิจแล้ว IMS-GT ก็ยังคงเป็น SIJORI ในรูปแบบที่เป็นกรอบการ เมืองเท่านั้นเอง คือไม่เพียงแต่ยอมรับว่า เขตแดนเหล่านี้หลอมรวมข้ามเขตแดนไปอยู่กับศูนย์กลางอย่างสิงคโปร์ แต่ทั้งอินโดนีเซีย และมาเลเซีย กับสิงคโปร์ ก็เป็นเพียงเกิด การร่วมกันทางเศรษฐกิจเท่านั้น เชื่อมรวมประเทศเข้าด้วยกัน โดยที่ในทางการเมืองแล้ว ไม่ได้ลงรอยอะไรกันนักเลย

2) สามเหลี่ยมความเติบโตระหว่างอินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย (The Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle ใช้ชื่อย่อว่า IMT-GT)

เขตความเติบโตระหว่างอินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย นี้ ดูจะเป็นเขตที่จัดตั้งขึ้นตามโครงสร้างทางการเมือง โดยไม่คำนึงถึงความเป็นธรรมชาติของพลังทางเศรษฐกิจเท่าไรนัก ไม่ทราบว่าเป็นแนวความคิดที่ผิดหรือเปล่า กับความเชื่อที่ว่า ถ้าหากการเมืองนำหน้าแล้ว การลงทุนและการพัฒนาจะเกิด ตามมา ข้อที่จะเห็นว่าต่างกัน IMS-GT ก็คือ IMT-GT นี้ ไม่มีตัวช่วยหนุน ไม่มีสิงคโปร์เป็นศูนย์กลางการเงินและการ คมนาคมขนส่ง เช่นใน IMS-GT นั่นเอง

เพราะฉะนั้นก็จะเห็นว่า ในทางภูมิศาสตร์ของ IMT-GT นี้เอง ให้ประโยชน์กับจังหวัดสองจังหวัดของอินโดนีเซีย คือสุมาตราเหนือ กับ อาเจะห์ และให้ประโยชน์กับอีกสี่จังหวัด ด้านเหนือของมาเลเซีย คือ เคดาห์ ปีนัง บาร์กู และ ปะลิส ส่วน 5 จังหวัดของประเทศไทย คือ นราธิวาส ปัตตานี สตูล ยะลา สงขลา ก็จะได้ประโยชน์จากเขตสามเหลี่ยมความเติบโต IMT-GT ที่ว่านี้

ทางฝ่ายมาเลเซียเปิดทางให้เกิดสามเหลี่ยมทางเศรษฐกิจด้านเหนือขึ้น เพื่อที่จะได้ถ่วงดุลด้านการพัฒนาที่สิงคโปร์ ครอบงำอยู่ใน "สามเหลี่ยมด้านใต้" ซึ่งขยายรวมเอาอีกสิบจังหวัดบนเกาะสุมาตราเข้ามาด้วย รวมสิบสี่จังหวัดในประเทศไทย กับอีกแปดรัฐในมาเลเซีย

โครงการนี้เริ่มอย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1993 (2536) ซึ่งตั้งแต่เริ่มต้นไม่ปรากฏว่าทั้งไทยและอินโดนีเซีย ให้ความสนใจในแง่การเมืองมากนัก จึงไม่มีการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานที่จะช่วยดึงดูดความสนใจให้เกิด การลงทุนของภาคเอกชนแต่อย่างใด และแม้แต่ธนาคารเพื่อ การพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) ก็ไม่ได้แสดงความกระตือรือร้น แต่อย่างใด มากไปกว่าชาติที่ช่วยอยู่ในโครงการนี้

ความไม่ก้าวหน้าของโครงการนี้ ยังเกิดจากผลกกระทบ ทางเศรษฐกิจ อันเกิดจากวิกฤติทางเศรษฐกิจ และการเงินเมื่อปี ค.ศ. 1997 (2540) ที่เรียกว่า "วิกฤตต้มยำกุ้ง" อีกด้วย ทั้งยังเกิดสงครามในอินโดนีเซีย ในกรณีของอาเจะห์ ซึ่ง กระจายอยู่ทั่วเขตเศรษฐกิจในเขตรวมเหลี่ยมความเติบโตนี้อีกด้วย มีความขัดแย้งที่ตกลงกันไม่ได้หลายเรื่อง เช่นการลักลอบการเคลื่อนย้ายบุคคลอย่างผิดกฎหมาย หรือเหตุก่อการร้ายในสามจังหวัดภาคใต้ของประเทศไทย เป็นต้น ซึ่ง ล้วนเป็นเหตุชะงักงันความเติบโตทางเศรษฐกิจทางแถบนี้

สภาพเหล่านี้เองที่พลอยทำให้ IMT-GT ทำท่าจะพังพาบลง โครงการนี้ดูแล้วก็ยังขาดกรรมการทำงานที่จะนำไปดำเนินการ และขาดยุทธศาสตร์ที่สอดประสานกัน ส่วนหนึ่งนั้นเกิดจากการแข่งขันกัน แทนที่จะมีการเกื้อหนุนต่อกัน เช่น โครงการหลายโครงการที่แข่งขันกันระหว่างมาเลเซียกับไทย เช่น โครงการที่สองประเทศแข่งกันวาง ท่อน้ำมันเชื่อมระหว่างทะเลอันดามัน กับ อ่าวไทย เป็นต้น

โครงการของมาเลเซียนั้น กระทบกับโครงการพัฒนา พื้นที่ชายฝั่งทะเลด้านใต้ของประเทศไทย (Southern Seaboard Development Project) ซึ่งประเทศไทยต้องการเป็นผู้มีบทบาทสำคัญด้านปิโตรเคมีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นับเป็นจุดหนึ่งที่ทางประเทศไทย ให้ความสนใจดำเนินการมากกว่าจะทุ่มเทไปทาง IMT-GT

ได้มีการประชุมนอกรอบ เพื่อฟื้นฟูโครงการนี้ เมื่อ มีการประชุมสุดยอดของประเทศที่เข้าร่วมโครงการนี้ โดยตกลงที่จะฟื้นฟูโครงการขึ้นมาใหม่ และหาจุดเน้นในการพัฒนากันใหม่ คือมีการประชุมสุดยอดในเดือนมกราคม ค.ศ. 2007 (2550) รัฐบาลที่เข้าร่วมโครงการนี้ มีมติรับแผนปฏิบัติงานของธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย ที่เรียกว่า (ADB Report On Action Plan for 2007-2011)

ถ้าดูอย่างนี้ ก็จะเห็นว่า แผนดำเนินงานที่ว่านี้ จนล่วงเลยมาถึงขณะนี้แล้ว น่าจะได้มีการประเมินผลการ ปฏิบัติงานของ Action Plan ที่ว่านี้ออกมา แต่ก็ยังไม่ทราบว่าจะตามไปดูที่ไหนเพราะก็เห็นเงียบๆ กันอยู่ และดูเหมือนจะพยายามไม่เอ่ยเอื้อนถึงกันเลย เผลอๆ จะไม่มีผลปฏิบัติการอะไรเป็นมรรคผลอะไรมากนักก็ได้ เหมือนๆ กับรัฐบาลปัจจุบันของไทย ภายใต้รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ไม่รู้เกือบสองปีแล้ว ยังไม่สามารถ ทำรายงานการบริหารงานรัฐบาลเสนอสภาเลย เอ้า! ตอนหน้ามาคุยต่อก็แล้วกัน

ที่มา.สยามธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2556

คลัง ส่งสัญญาณหั่นดอกเบี้ย !!?

กิตติรัตน์. ส่งสัญญาณแบงก์พาณิชย์หั่นดอกเบี้ยเงินกู้ หลังส่วนต่างเริ่มกว้างขึ้น แต่ดอกเบี้ยฝากอาจยังไม่ลด เพราะสภาพคล่องตึง ด้านแบงก์พาณิชย์แบงก์รัฐ เตรียมขยับตามทิศทาง กนง. ออมสินรอดูท่าทีอีก 2 สัปดาห์ ยันไม่มีนโยบายแข่งขันด้านดอกเบี้ย

หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประกาศปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะนี้เริ่มมีการเคลื่อนไหวของธนาคารพาณิชย์ในการที่จะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารลง

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐไม่ปรับลดอัตรา ดอกเบี้ยตามทิศทางการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จึงทำให้ธนาคารพาณิชย์ไม่ปรับลดดอกเบี้ยลงตามได้ ถือเป็นเรื่องปกติที่ในการพิจารณาปรับลด หรือขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ กนง.ทางสถาบันการเงินของรัฐ และธนาคารพาณิชย์ต้องใช้ระยะเวลาในการพิจารณาเพื่อปรับอัตรา ดอกเบี้ยให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับ กนง. แต่เชื่อว่า อีกไม่นานจะเห็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของสถาบันการเงินปรับตัวลดลงบ้าง แต่ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากนั้น แม้ว่าส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และเงินฝาก (สเปรด) จะเพิ่มขึ้น แต่เชื่อว่าสถาบันการเงินจะดูแลไม่ให้มีการปรับลดดอกเบี้ยเงินฝาก เพื่อดูแลเรื่องการออมของประเทศ ขณะที่ภาครัฐจะออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อส่งเสริมการออมของประเทศให้มากขึ้น

ด้านนายไตรรงค์ บุตรากาศ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สาย GTS ธนาคารไทยพาณิชย์กล่าวว่า ธนาคารอยู่ระหว่างการพิจารณาในการปรับอัตราดอกเบี้ยทั้งเงินกู้และเงินฝากภายในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าสภาพ คล่องในระบบค่อนข้างตึงตัว เพราะมีการปล่อย สินเชื่อสูง และธนาคารยังต้องการระดมเงินฝาก เพื่อรองรับการขยายตัวของสินเชื่อระยะต่อไป หากดอกเบี้ยเงินฝากลดลงมาก็จะกระทบ แผนระดมเงินฝากได้ เพราะลูกค้าจะเลือกการออมในรูปแบบอื่นแทน

"แนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายหลังจากนี้ คาดว่ายังมีการปรับลงอีก แต่คงไม่ใช่การประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 10 กรกฎาคมนี้ เพราะกนง.ต้องพิจารณาตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดก่อน หลังจากที่ตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาสแรกปีนี้ ออกมาพบเศรษฐกิจชะลอตัวมากกว่าที่คาด ทั้งยังมีปัจจัยที่ทางการสหรัฐฯ อาจยุติการซื้อพันธบัตรเร็วกว่าที่กำหนด" นายไตรรงค์ กล่าว

ขณะที่ นายวรวิทย์ ชัยลิมปมาตรี ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า ในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า คณะกรรมการพิจารณาอัตราดอกเบี้ยของธนาคารจะมีการประชุมเพื่อพิจารณาเรื่องอัตราดอกเบี้ย ซึ่งก็จะต้องพิจารณาทั้งสถานะการเงินของธนาคารและสถานการณ์ การแข่งขันด้านอัตราดอกเบี้ยในระบบธนาคาร พาณิชย์ด้วย อย่างไรก็ตาม ธนาคารไม่มีนโยบายที่จะเข้าไปแข่งขันกับธนาคารพาณิชย์อื่นๆ

ด้านนายบุญไทย แก้วขันตี รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า การปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารจะต้องคำนึงถึงการเงินของธนาคารส่วนใหญ่มาจากผู้ฝากเงินไม่ได้มาจากการกู้เงินในระบบ ซึ่งธนาคารจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามทิศทางของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ที่ปรับลดลง 0.25% หรือไม่นั้น คณะกรรมการของธนาคารจะประชุมกันในเร็วๆ นี้ ซึ่งก็คงต้อง พิจารณาด้วยว่าต้นทุนทางการเงินของธนาคาร ได้รับผลกระทบแค่ไหนจากการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย

ด้านสำนักวิจัย บล.ทิสโก้ คาดว่า กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.50% ในการประชุมวันที่ 10 ก.ค.นี้ แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไป และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเดือนพ.ค.ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ โดยคาดว่า กนง. จะ พิจารณาข้อมูลเศรษฐกิจรายเดือน ประกอบการตัดสินใจเรื่องทิศทาง อัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะถัดไป

ที่มา.สยามธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++

เกษตรแนวใหม่ !!?

คอลัมน์ สามัญสำนึก
โดย พิเชษฐ์ ณ นคร

แม้ คนในรัฐบาลจะประสานเสียงตอบโต้ทันควัน หลังมูดีส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส บริษัทจัดอันดับเรตติ้งชั้นนำ ออกมาระบุตัวเลขขาดทุนโครงการรับจำนำข้าวของไทยว่าอาจสูงถึง 2.6 แสนล้านบาท

ขณะที่นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์เร่งทำข้อมูลชี้แจง เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับสาธารณชน ลดกระแสกดดันไม่ให้เผือกร้อนโครงการรับจำนำข้าวที่กำลังโถมใส่ถูกนำไปขยาย เป็นประเด็นร้อนแรงทางการเมือง แต่เบื้องลึกแม้แต่นายกฯยิ่งลักษณ์ก็ตระหนักดีว่า นโยบายประชานิยมรับจำนำข้าวทำให้รัฐบาลตกที่นั่งลำบาก เพราะหลักเกณฑ์เงื่อนไขของโครงการที่ประกาศรับจำนำข้าวทุกเม็ด ไม่จำกัดจำนวน ทำให้ต้องใช้วงเงินงบประมาณดำเนินการค่อนข้างสูง

ขณะ เดียวกันแม้จะมีการปรับรื้อเกณฑ์รับจำนำบางข้อ อาทิ ตรวจเข้มเกษตรกรที่มีผลผลิตเพิ่มขึ้นจากที่ประมาณการไว้เกินกว่า 20% ตรวจเข้มเกษตรกรที่นำข้าวมาเข้าโครงการเกินกว่า 5 แสนบาท/ราย/ครั้ง ฯลฯ ก็คงไม่ส่งผลให้ปริมาณข้าวที่เข้าสู่โครงการรับจำนำลดน้อยลง ส่วนหนึ่งมาจากเกษตรกรพากันแห่ปลูกข้าวเพิ่ม เพราะคาดหวังเรื่องรายได้จากโครงการนี้ มีแนวโน้มชัดเจนว่าโครงการรับจำนำข้าวจำเป็นต้องใช้งบฯดำเนินการเพิ่มสูง ขึ้นทุกปี กลายเป็นภาระหนักทางด้านการเงินการคลังของประเทศ ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องดำเนินนโยบายรัดกุมมากยิ่งขึ้น พร้อมกับหามาตรการเพิ่มทางเลือกเพื่อสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร ทดแทนการคาดหวังรายได้จากโครงการรับจำนำ

ยุทธศาสตร์หลักที่รัฐบาล เลือกนำมาใช้ คือ การปรับโครงสร้างภาคการเกษตร เพิ่มทางเลือกใหม่ให้กับเกษตรกรในพื้นที่ปลูกข้าวโดยเฉพาะในภาคกลาง และการจัดทำฐานข้อมูลการเกษตรรายแปลง เป้าหมายเพื่อบริหารจัดการการผลิตและการตลาดสินค้าเกษตรให้มีประสิทธิภาพมาก ขึ้น ถือเป็นการพัฒนาการเกษตรแนวใหม่ หากสามารถดำเนินการประสบความสำเร็จ นอกจากจะช่วยลดงบฯโครงการรับจำนำข้าวไม่ให้เพิ่มสูงขึ้นมากในอนาคตแล้ว ยังช่วยให้เกษตรกรที่หันไปประกอบอาชีพเกษตรอื่นนอกเหนือจากทำนาข้าวมีรายได้ จากแหล่งอื่นทดแทนการปลูกข้าว

โดยคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการ ฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ได้อนุมัติงบฯ 3,000 ล้านบาท จากงบฯเงินกู้เพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ รวมทั้งสิ้น 350,000 ล้านบาท ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ โดยมีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม ฯลฯ

แบ่ง เป็น 1.การปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวในภาคกลาง งบฯดำเนินการ 1,000 ล้านบาท โดยจัดทำโซนนิ่งภาคเกษตรในพื้นที่ลุ่มภาคกลางตอนล่าง เพื่อปรับเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ไม่เหมาะสมจะปลูกข้าว เป็นสินค้าเกษตรอื่นที่มีมูลค่าเพิ่มและสร้างรายได้ให้เกษตรกรสูงกว่า ซึ่งจากการศึกษาของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) พบว่า กิจกรรมทางการเกษตรทางเลือกอื่นที่เหมาะสม ได้แก่ การทำประมง เช่น การส่งเสริมให้เพาะเลี้ยงปลาหมอ ปลานิล และปลาสลิด ทำปศุสัตว์ โดยเลี้ยงและพัฒนาสายพันธุ์โคขุน การปลูกหญ้าเนเปียร์ เพื่อผลิตพลังงานทดแทนและเลี้ยงสัตว์ การส่งเสริมปลูกปาล์มน้ำมันในพื้นที่ร่องสวนหรือนาร้าง และการส่งเสริมปลูกมะพร้าวตัดยอด เป็นพืชยืนต้นและผลิตก๊าซชีวมวล

2.การ จัดทำฐานข้อมูลการเกษตรรายแปลง โดยใช้เทคโนโลยีภูมิศาสตร์ งบฯดำเนินการ 2,000 ล้านบาท สำหรับนำไปใช้ในการวางแผนบริหารจัดการด้านการผลิตและการตลาดในอนาคต

ถ้า หากการพัฒนาการเกษตรแนวใหม่ที่หลายหน่วยงานอยู่ระหว่างศึกษา เพื่อหาโมเดลการดำเนินการที่เหมาะสมบรรลุผลตามที่วางไว้ นอกจากจะช่วยลดแรงกดดันทั้งด้านทางการเมืองและเศรษฐกิจ ส่งผลให้ภาระหนี้และภาระด้านการเงินการคลังจากโครงการรับจำนำข้าวลดน้อยลง แล้ว ยังตอบสนองนโยบายให้ทางเลือกและสร้างรายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่งด้วย

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////