--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555

บทสรุป คอป.ชายชุดดำ-กระสุนจริง !!?

หลังทำงานมากว่า 2 ปี คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) จะสรุปรายงานผลการสอบสวนหาข้อเท็จจริงเหตุรุนแรงทางการเมืองเมื่อปี 2553 ฉบับสุดท้าย ซึ่งเป็นฉบับสมบูรณ์ออกมาวันนี้ (17 ก.ย.)

ก่อนหน้านี้ คอป. นำเสนอรายงานและข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลมาแล้ว 2 ครั้ง
ครั้งแรกเสนอเมื่อทำงานครบ 6 เดือนต่อรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่ข้อเสนอหลายอย่างที่มุ่งหวังช่วยลดความขัดแย้ง ส่งเสริมความเป็นธรรมในสังคม ถูกเมินเฉยไม่นำไปปฏิบัติ

ตั้งขึ้นมากับมือแต่ไม่รับผลการศึกษาไปดำเนินการจนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในทางลบ

ฉบับที่สอง รายงานต่อรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลังการเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้ว ครั้งนี้รัฐบาลนำไปปฏิบัติ แต่ก็ถูกกระแหนะกระแหนว่าเลือกทำเฉพาะข้อเสนอที่เป็นคุณกับคนเสื้อแดง

หนำซ้ำยังขยายผลข้อเสนอของ คอป. มากเกินกว่าความจำเป็นเพื่อช่วยเหลือคนเสื้อแดงที่มีคดีความติดตัว

มุ่งหวังขยายผลเพื่อลบล้างความผิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แกนนำตัวจริงของคนเสื้อแดง

รายงานของ คอป. ชิ้นสุดท้ายนี้มี 516 หน้า แบ่งเป็น 5 ส่วน ส่วนสำคัญที่ทุกคนอยากรู้น่าจะอยู่ในส่วนที่ 2 ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับชายชุดดำ กระสุนจริง และการเผาอาคารสถานที่ต่างๆ

ในประเด็นเรื่อง “ชายชุดดำ” กับการใช้ “กระสุนจริง” สลายการชุมนุมของประชาชน อันเป็นเหตุให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายนั้น

ประเด็นชายชุดดำ คอป. สรุปว่ามีอยู่จริง

โดยได้รับความร่วมมือจากกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน

“คนชุดดำมีความสัมพันธ์กับ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง โดยคนชุดดำมีเป้าหมายปลุกเร้าให้เกิดการตอบโต้จากรัฐ เข้าไปเพื่อสร้างสถานการณ์ แต่ขณะเดียวกันการเสียชีวิตของเสธ.แดงถูกยิงออกมาจากตึกที่เจ้าหน้าที่รัฐได้เข้าไปยึดครองได้เกือบ 1 เดือนแล้วก่อนหน้านั้น วิถีกระสุนจึงมาจากตึกที่เจ้าหน้าที่รัฐคุมอยู่”

นี่คือบทสรุปจาก คอป.

ส่วนประเด็นการใช้กระสุนจริง คอป. สรุปว่า จุดพลิกผันเกิดหลังจากการเสียชีวิตของ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม อดีตรองเสนาธิการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ที่จบชีวิตที่สี่แยกคอกวัวระหว่างนำกำลังพลไปขอคืนพื้นที่จากผู้ชุมนุม ทำให้สถานการณ์เปลี่ยน

เพราะหลังจากนั้นรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกคำสั่งให้ใช้กระสุนจริงได้

อีกบทสรุปที่น่าสนใจในรายการฉบับนี้ของ คอป. คือ เรื่องการเสียชีวิต 6 ศพในวัดปทุมวนาราม

คอป. ระบุชัดว่า วิถีกระสุนที่ยิงปลิดชีพทั้ง 6 คนมาจากฝั่งบนรางรถไฟฟ้าที่มีเจ้าหน้าที่รัฐประจำการอยู่ ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตทั้ง 6 ศพ

สำหรับประเด็นการเผาเซ็นทรัลเวิลด์ คอป. ฟันธงว่าไม่ใช่ฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐ

นอกจากรายงานข้อเท็จริงที่ คอป. ไปสืบเสาะมาได้จากการสอบถามบุคคลต่างๆ ในท้ายรายงานยังมีข้อเสนอแนะแนวทางสร้างความปรองดอง ด้วยการนิรโทษกรรมที่ คอป. เห็นว่าการออก พ.ร.บ.ปรองดองยังต้องอาศัยเวลาที่เหมาะสม การมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย และมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการเยียวยา รวมถึงการป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงขึ้นอีกในอนาคต

นี่เป็นสรุปจากการทำงานกว่า 2 ปีของ คอป.

จะว่าไปแล้วก็เป็นแค่รายงานผลจากการเชิญฝ่ายต่างๆมาเล่าเหตุการณ์ แล้วนำมาประมวลเพื่อนำเสนอต่อสังคม

ส่วนข้อเสนอที่เป็นทางออกของการแก้ปัญหาดูเหมือนว่าไม่มีนวัตกรรมใหม่จาก คอป. เพราะล้วนเป็นแนวทางที่พูดกันมาตลอดตั้งแต่หลังรัฐประหารปี 2549 ด้วยซ้ำ

จะว่าเสียเวลา เสียงบประมาณเปล่าก็คงไม่ใช่ซะทีเดียว

อย่างน้อยก็ได้รายงานออกมา 1 ชุด

ส่วนจะนำไปใช้อะไรต่อเพื่อแก้ปัญหาให้ประเทศชาติได้หรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

แต่เชื่อว่ารายงานของ คอป. จะมีการหยิบยกในส่วนที่เป็นประโยชน์ของแต่ละฝ่ายไปใช้ประกอบการสู้คดีความที่ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลกันอยู่

หลังจากนี้ต้องรอดูผลการสอบสวนของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ยังไม่มีรายงานความคืบหน้าออกมา

แน่นอนว่าผลการสอบสวนของทั้ง 2 องค์กรนี้จะมีผลต่อการชี้ถูกชี้ผิด

มีผลต่อคดีความมากกว่ารายงานของ คอป. ที่นำเสนอแบบผิดทั้งคู่ ให้เจ๊าๆกันไปเพื่อเริ่มต้นใหม่

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
*************************************************************************************

เมื่อความจริง กำลังไล่ล่า..วาทกรรมตอแหล !!?

โดย : วัฒนา อ่อนกำปัง

คดีนายพัน คำกอง อายุ 43 ปี อาชีพขับรถแท็กซี่ ที่พนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาลให้ไต่สวนสาเหตุการเสียชีวิต เนื่องจากเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งถูกยิงบริเวณถนนราชปรารภ และพยานทั้งหมดยืนยันตรงกันว่าทหารเป็นฝ่ายยิงผู้เสียชีวิต เพราะพื้นที่บริเวณนั้นอยู่ในความดูแลของทหารเพียงฝ่ายเดียวนั้น ถือเป็นคดีแรกที่ศาลจะมีคำสั่งไต่สวนสาเหตุการเสียชีวิตตามกฎหมายในวันจันทร์ที่ 17 กันยายนนี้ ไม่ว่าคำสั่งจะระบุเช่นใด ขั้นตอนหลังจากนี้จะเป็นหน้าที่ของคณะพนักงานสอบสวนรับไม้ต่อ เพื่อทำสำนวนการสอบสวนดำเนินคดีให้เสร็จสิ้น

นายโชคชัย อ่างแก้ว ทนายความคดีนายพัน ระบุเป้าหมายการไต่สวนครั้งนี้ว่า ต้องการให้ศาลเชื่อว่าบริเวณที่นายพันถูกยิงเสียชีวิตไม่มีประชาชนหรือ “ชายชุดดำ” ตามที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขณะนั้นกล่าวอ้าง มีเพียงทหารตั้งกำลังสกัดกั้นไม่ให้ผู้ชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เข้าไปยังสี่แยกราชประสงค์ นายพันจึงถูกยิงจากทหาร

คดีนายพันที่ศาลจะมีคำสั่งคดีจึงมีความสำคัญอย่างมากกับการสั่งสลายการชุมนุม นปช. เดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ที่มีผู้เสียชีวิต 98 คน และบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 คน ซึ่งนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้หารือกับ พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน และได้ข้อสรุปว่าจะแยกสำนวนการสอบสวนคดีฆาตกรรมเป็นรายคดี โดยแบ่งตามสถานที่เกิดเหตุและผู้เสียชีวิตออกเป็นแต่ละสำนวน โดยยึดหลักการกระทำผิดต่างกรรมต่างวาระ

“ถ้าจุดเดียวกันมีผู้เสียชีวิตหลายคน จึงเชื่อได้ว่าผู้ทำให้เสียชีวิตต้องเป็นกลุ่มเดียวกัน จึงเห็นควรรวมคดีเป็น 1 สำนวน เช่น กรณีการเสียชีวิต 6 ศพในวัดปทุมวนารามวรวิหาร และดำเนินคดีฆาตกรรมกับผู้กระทำให้เสียชีวิต โดยแจ้งข้อกล่าวหาฆ่าคนตายกับผู้ก่อเหตุ แต่เรื่องดังกล่าวมีข้อกฎหมายอาญา มาตรา 70 เกี่ยวข้อง ทหารที่ปฏิบัติภารกิจในครั้งนั้นเป็นการทำตามคำสั่งจึงอาจไม่ต้องรับผิดตามมาตรา 70”

แจ้งข้อหาผู้สั่งการสูงสุด

นายธาริตยังระบุว่า เรื่องที่เกี่ยวข้องกับ “บุค คลสั่งการ” หรือ “ผู้ออกคำสั่ง” ซึ่งมีการร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับผู้ออกคำสั่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บและเสียชีวิตนั้น พนักงานสอบสวนจะแยกเป็นอีก 1 คดี โดยจะพิจารณาเรื่องของเจตนาในการกระทำให้เสียชีวิตตามกฎ หมายอาญา มาตรา 59 ซึ่งต้องวิเคราะห์ว่าเป็นเจตานาเล็งเห็นผลหรือไม่ เพื่อจะนำไปสู่การแจ้งข้อกล่าวหาฆ่าคนตายโดยเจตนากับผู้สั่งการสูงสุดต่อไปคือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการ ศอฉ. ซึ่งทุกอย่างจะเป็นไปตามพยานหลักฐาน

นายธาริตชี้แจงว่า ที่ผ่านมามีผู้ร้องมายังดีเอสไอว่าได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม ซึ่งมีทั้งได้รับบาดเจ็บและบาดเจ็บสาหัสกว่า 2,000 ราย พนักงานสอบสวนจะแยกสำนวนเป็นรายคดีเช่นกัน หากนับตามรายชื่อผู้บาดเจ็บประ มาณ 2,000 สำนวนคดี ถ้าคำสั่งศาลระบุว่าสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิตเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ พนักงานสอบสวนก็แจ้งข้อกล่าวหาพยายามฆ่ากับผู้เกี่ยวข้องทั้ง 2,000 สำนวน หากการตายเกิดต่างสถานที่และวันเวลา แต่เท่าที่ทราบบางสถานที่มีผู้เสียชีวิตพร้อมกันหลายคนก็ใช้หลักเดียวกันกับการดำเนินคดีฆาตกรรม คือรวมสำนวนคดี

4 มาตราเอาผิดคดีฆาตกรรม

นายธาริตในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบ สวน ยังอธิบายข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการดำ เนินคดีและแนวทางการทำงานของพนักงานสอบสวน หลังศาลมีคำสั่งวันที่ 17 กันยายนว่า จะอธิบายเป็นเพียงข้อเท็จจริงตามตัวบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคดี เพราะต้องการให้ประชาชนเข้าใจในข้อกฎหมายที่พนักงานสอบสวนต้องใช้พิจารณาในการดำเนินคดี ไม่ใช่การชี้นำแนวทางการสอบสวนแต่อย่างใด

แต่คำสั่งไต่สวนคดีนายพันของศาลจะมีความสำคัญอย่างยิ่งกับการดำเนินคดีของพนักงานสอบสวน ซึ่งคำสั่งดังกล่าวเป็นไปตามกฎหมายอาญา มาตรา 150 ที่ระบุว่า ศาลจะต้องระบุว่า ผู้ตายคือใคร ตายที่ไหน เมื่อใด เหตุและพฤติการณ์ที่ตาย โดยเฉพาะถ้ามีคนทำร้ายให้ตาย ศาลต้องระบุว่าใครเป็นผู้ทำร้ายให้ตายเท่าที่จะทราบได้ ถือเป็นรายละเอียดที่ระบุไว้ในกฎหมาย ซึ่งสำนวนของพนักงานสอบสวนและอัยการที่ส่งให้ศาลไต่สวนคือ เจ้าหน้าที่รัฐทำให้ตาย

ดังนั้น ถ้าหากศาลเห็นพ้องตามอัยการและมีคำสั่งดังกล่าว ตามกฎหมายอาญา มาตรา 150 ระบุให้ศาลทำคำสั่งส่งไปยังพนักงานอัยการเพื่อส่งให้พนักงานสอบสวนดำเนินการต่อ ประกอบด้วย อัยการ ดีเอสไอ และตำรวจ เมื่อพนักงานสอบสวนตั้งเป็นสำนวนคดีฆาตกรรม จะมีข้อกฎหมายอาญาที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 4 มาตราคือ มาตรา 288 ความผิดฐานฆ่าคนอื่นให้ถึงแก่ความตาย กฎหมายกำหนดว่า ผู้ใดฆ่าผู้อื่นต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 15-20 ปี

ส่วนข้อเท็จจริงในพฤติการณ์จะมีมาตรา 84 มาเกี่ยวข้องกับความรับผิดของผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิด ที่ระบุว่า ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด ไม่ว่าด้วยการใช้บังคับขู่เค็ญ หรือจ้างวาน หรือยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีการอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด

มาตรา 59 เกี่ยวกับเจตนา ระบุว่า บุคคลที่ต้องรับผิดทางอาญาก็ต่อเมื่อต้องกระทำโดยเจตนา แต่กฎหมายระบุว่ากระทำโดยเจตนามี 2 อย่างคือ 1.รู้สำนึกโดยการกระทำ และขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผล และ 2.เล็งเห็นผลต่อการกระทำนั้น

และมาตรา 70 ระบุว่า ผู้ใดกระทำตามคำสั่งของเจ้าพนักงาน แม้คำสั่งนั้นจะไม่ชอบด้วยกฎ หมาย แต่ผู้กระทำมีหน้าที่หรือเชื่อโดยบริสุทธิ์ว่ามีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม มิต้องรับโทษ

ประเด็นสำคัญจึงอยู่ที่การสอบสวน “ผู้สั่งการสูงสุด” ที่พนักงานสอบสวนต้องไล่ลำดับจากผู้สั่งการสูงสุดจนถึงพลทหาร ตามมาตรา 70 เจ้าพนักงานที่ออกคำสั่งระดับสูงสุดคือ นายอภิสิทธิ์กับนายสุเทพ ซึ่งมีการร้องทุกข์กล่าวโทษทั้งสองจากญาติผู้เสียชีวิตให้ดำเนินคดีในฐานะ “ผู้สั่งการสูงสุด” ทั้งการสอบสวนก็ระบุว่าเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ภายใต้คำสั่งการของ ศอฉ. ซึ่งผู้ที่รับผิดชอบสูงสุดคือ นายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการ ศอฉ.

ประเด็นที่ต้องจับตามองคือ การออกคำสั่ง ไม่มีคำสั่งโดยตรงให้ออกไป “ฆ่าประชาชน” แต่มีคำสั่ง ศอฉ. ให้ใช้ “อาวุธ” เพื่อขอคืนพื้นที่และกระชับพื้นที่ แม้จะกำหนดให้ใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก พนักงานสอบสวนต้องนำมาวิเคราะห์ข้อเท็จจริงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเป็นการสั่งที่มีเจตนาเล็งเห็นผลตามมาตรา 59 หรือไม่ แต่ทั้งนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพก็ยืนยันว่าไม่เคยมีคำสั่งให้ทำร้ายหรือฆ่าคน

ปริศนาชายชุดดำ?

อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่กลายเป็นการตอบโต้ทางการเมือง นอกจากกรณีที่ นพ.เหวง โตจิราการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย แกนนำ นปช. เรียกร้องให้ดีเอสไอเรียกสอบพลซุ่มยิงเพิ่ม เพราะมีเอกสาร ศอฉ. แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพลซุ่มยิงจำนวน 39 คน และไม่เชื่อว่าจะใช้กระสุนยางแล้ว คือกรณี “ชายชุดดำ” หรือ “ไอ้โม่งชุดดำ” ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ได้ออกมาแถลงพร้อมหลักฐานว่ามีกองกำลังชุดดำที่สนับสนุน นปช. จริง

โดยนายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล (เสธ.แดง) อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก เคยออกมายอมรับว่ามีกองกำลังติดอาวุธอยู่จริง และชายชุดดำที่โดนจับก็ยอมรับว่าเป็นผู้ก่อเหตุที่บริเวณแยกคอกวัว ซึ่งเรื่องนี้อยู่ในกระบวนการชั้นศาลหมดแล้ว แต่ นพ.เหวงตอบกลับว่าให้เป็นหน้าที่ของกระบวนการยุติธรรมตรวจสอบ แต่ยืนยันว่า เสธ.แดงกับกลุ่มคนเสื้อแดงไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ทั้งยังเคยสั่งให้จับเสธ.แดงถึง 2 ครั้ง

โดยเฉพาะกรณีนายมานพ ชาญช่างทอง คนเก็บของเก่าขาย ซึ่งนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้แถลงข่าวเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ตอบโต้ “ข่าวสด” ที่ว่านายชวนนท์มั่ว ยืนยันว่านายมานพเป็น “ชายชุดดำ” โดยอ้างคำแถลง ของนายธาริตเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2554 ว่ามีหลักฐานว่านายมานพเป็น “ชายชุดดำ” ที่ยิงปืนใส่ทหารและประชาชนบนถนนดินสอ และวันที่ 21 มกราคม ดีเอสไอนำไปฝากขังต่อศาล 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม-1 กุมภาพันธ์ 2554 เท่ากับว่าขณะนี้นายมานพยังเป็นผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายอยู่

ชีวิตจริง “ซาเล้งชุดดำ”

ขณะที่ “ข่าวสด” ได้สัมภาษณ์และนำภาพนายมานพที่ปัจจุบันพักอยู่ที่ อ.บางบัวทอง จ.นนท บุรี กับภรรยาและลูกรวม 4 คน ภายในบ้านโทรมๆที่ปลูกขึ้นเอง ใช้ไม้เก่าจากแผ่นป้ายโฆษณาทำเป็นฝาบ้าน และสังกะสีเก่าๆที่เก็บได้มามุงหลังคา นอกจากนี้ยังเลี้ยงเป็ดและปลูกผักไว้กินเอง จนชาวบ้านใกล้เคียงส่วนใหญ่สงสาร มักนำอาหารและขนมมาให้เป็นประจำ

นายมานพกล่าวว่า ร่วมชุมนุมกับ นปช. ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2553 เนื่องจากเห็นว่าประ ชาชนถูกกลุ่มอำมาตย์ปล้นประชาธิปไตยไป จึงต้องการไปทวงคืนกลับมา โดยตนทำหน้าที่เป็นการ์ดอาสาช่วยดูแลความปลอดภัยให้พี่น้องเสื้อแดงที่มาชุมนุม เข้าเวรยามช่วงเที่ยงคืนถึงเช้า และทุกวันจะมีหน้าที่ซื้อหนังสือพิมพ์ให้แกนนำ นปช. เวลาที่เหลือจะเดินเก็บขวดน้ำ กระป๋องน้ำอัดลมในพื้นที่ชุมนุมเพื่อนำไปขายหารายได้ จนวันที่ 10 เมษายน 2553 ที่มีการโยนแก๊สน้ำตาจากเฮลิคอปเตอร์ และช่วงเย็นเริ่มมีเสียงปืนดังขึ้น

นายมานพเล่าว่า ขณะนั้นทราบมาว่ามีกำลังทหารนำรถถังและรถหุ้มเกราะมาปิดล้อมพื้นที่ด้านโรงเรียนสตรีวิทยาและแยกคอกวัว แกนนำประกาศบนเวทีขอกำลัง 5,000 คน ไปช่วยผู้ชุมนุมที่คอกวัว จึงเดินทางไปช่วย และใช้เวลาเดินทางนานมาก เนื่องจากทหารปิดถนนหลายสาย กว่าจะไปถึงก็เที่ยงคืนกว่า และเสียงปืนก็เงียบลง เห็นกลุ่มทหารกว่า 30 นาย พร้อมอาวุธปืนตกอยู่ในวงล้อมของผู้ชุมนุมบริเวณโรงเรียนสตรีวิทยา จึงประสานกับแกนนำ นปช. ว่าจะเอาอย่างไรกับทหารกลุ่มนี้ หากปล่อยไว้คงจะเป็นอันตราย จากนั้นเข้าไปพูดกับนายทหารผู้คุมกำลังเพื่อขอปลดอาวุธทั้งหมด และจะพาออกไปอย่างปลอดภัย อาวุธที่ปลดไปเป็นปืนทราโว 4 กระบอก และเอ็ม 16 แต่ก่อนจะนำไปมอบให้แกนนำ นปช. ที่เวทีผ่านฟ้าฯ ระหว่างทางมีช่างภาพหลายคนเข้ามาถ่ายรูปจนถูกกล่าวหาเป็น “ชายชุดดำ” และจำเลยในคดีก่อการร้าย เพราะวันเกิดเหตุใส่เสื้อดำและสวมไอ้โม่งดำจริง เนื่องจากเห็นคนอื่นใส่แล้วเท่ดี และตนเป็นคนหัวล้านจึงใส่บ้าง ส่วนที่ใส่ถุงมือก็เพื่อไว้จับกระป๋องแก๊สน้ำตาที่ทหารโยนใส่ผู้ชุมนุม และยืนยันว่าตนเองยิงปืนไม่เป็น

หลังถูกจับต้องอยู่ในคุกหลายเดือน จนกระทั่งมีผู้ใหญ่นำเงิน 600,000 บาท มาช่วยประกันตัวออกมา ทุกวันนี้ยังเก็บขยะขาย มีรายได้เฉลี่ย 2-3 วันประมาณ 300 บาท

ความจริงไล่ล่าวาทกรรมตอแหล

กรณี “ชายชุดดำ” จึงมีจริง แต่จะเป็น “ไอ้โม่งชุดดำ” ที่เป็น “ผู้ก่อการร้าย” หรือ “ชายชุดลายพราง” ที่ใช้ปืนซุ่มยิงนกยิงใส่ผู้ชุมนุมนั้น วันนี้ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน ไม่ว่าจะจากการสอบสวนของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) หรือดีเอสไอ ซึ่ง พ.ต.อ.ประเวศน์ยอมรับว่าเป็นเงื่อนปมที่ยังไม่ปรากฏหลักฐานว่าใครถูก “ชายชุดดำ” ยิงบาดเจ็บหรือเสียชีวิต มีเพียงคลิปภาพที่ถนนราชดำเนินและบ่อนไก่เท่านั้น จึงพยายามหาหลักฐานว่า “ชายชุดดำ” ที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มเจ้าหน้าที่ และทำร้ายเจ้าหน้าที่เป็นใคร

ขณะที่มีคลิปทหารจำนวนมากวิ่งผ่านกล้อง และมี “ทหารใส่ชุดพลเรือน” คนหนึ่งถือปืนวิ่งผ่านไป แต่ ศอฉ. กลับใช้วาทกรรมตอแหลบิดเบือน ว่าเป็นภาพทหารชุดยิงคุ้มครองเพื่อนำคนเจ็บออกจากพื้นที่ ส่วนทหารที่ใส่ชุดพลเรือนถือปืนเอ็ม 16 เป็นเพียงแค่ “เด็กส่งอาหาร” ให้กองกำลังในจุดต่างๆซึ่งอันตราย จึงมีความจำเป็นต้องใส่ชุดพลเรือน ให้กลมกลืนกับบุคคลทั่วไปเพื่อความปลอดภัย

จึงไม่แปลกที่วันนี้นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพก็ยังใช้ปริศนา “ชายชุดดำ” มาโจมตีคนเสื้อแดงว่าเป็นคนที่ยิงทั้งเจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุม แม้การไต่สวน คดี 98 ศพ พยานจะยืนยันว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ก็ตาม ไม่ใช่เฉพาะนายพัน แต่ยังมีกรณี 6 ศพในวัดปทุมวนาราม กรณีนายฮิโรยูกิ มูราโมโต ช่างภาพสำนักข่าวรอยเตอร์ส ชาวญี่ปุ่น หรือกรณี นายฟาบิโอ โบเลงกี ช่างภาพอิสระ ชาวอิตาลี

ปรากฏการณ์นอนตาย “ตาสว่าง”

ปริศนา “ชายชุดดำ” จึงเป็นตัวแปรสำคัญในคดี 98 ศพที่อาจพลิกไปทางไหนก็ได้ เพราะมีหลักฐานทั้งภาพถ่าย วิดีโอ และข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศว่ามี “ชายชุดดำ” จริง แต่จะเป็นของฝ่ายใด หรือของทั้งสองฝ่าย หรือเป็นแค่ “คนสวมชุดดำ” ก็ตาม ทั้งนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพก็นำวาทกรรม “ชายชุดดำ” มาใช้เป็น “ความชอบธรรม” ในการขอคืนพื้นที่และกระชับวงล้อม

แม้วันนี้ “ชายชุดดำ” ยังไร้ร่องรอย ปรากฏเพียง “ชายชุดดำซาเล้งเก็บขยะ” ที่กลายเป็น “ชายชุดดำซาเล้งอำมหิต”?, “ชายชุดดำยิงหนังสติ๊ก”, “ชายชุดดำยิงบั้งไฟ” และมีแนวโน้มจะเป็นเหมือน “ผังล้มเจ้า” ที่กลายเป็น “ผังกำมะ ลอ” ที่ดึง “เบื้องสูง” มาใช้ทำลายฝ่ายตรงข้าม แต่กลับไม่มีใครเอาผิด “ผู้สั่งการสูงสุด” ได้

“ความคาดหวัง” จากครอบครัวผู้เสียชีวิต 98 ศพ รวมทั้งผู้บาดเจ็บเกือบ 2,000 คน ที่เชื่อว่าในที่สุดเมื่อความจริงค่อยๆปรากฏจะสามารถเอาตัว “คนผิด” ที่ “สั่งฆ่า” ประชาชน เจ้าหน้าที่ และผู้บริสุทธิ์นั้น นับว่าเป็น “ความคาดหวัง” ที่ยากจะเกิดขึ้นได้ เพราะเมื่อเทียบเคียงกับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ไม่ว่าเหตุการณ์ 14 ตุลา, 6 ตุลา หรือช่วงพฤษภาทมิฬนั้น ไม่เคยมีเหตุการณ์ใดสามารถสาวถึงผู้บงการ หรือหาคนที่กระทำความผิดได้เลย

ประเทศไทย ณ วันนี้จึงมิอาจคาดหวัง “คำพิพากษา” ใดๆได้จากกระบวนการยุติธรรมไทยภายใต้อำนาจที่ไม่ปรกติ

อาจมีเพียง “คำพิพากษาจากสังคม” และ “ความจริง” เท่านั้นที่กำลังไล่ล่า “ฆาตกรมือเปื้อนเลือด” ท่ามกลางโศกนาฏกรรมระหว่างประชา ชน “ผู้บริสุทธิ์ที่ นอนตายตาสว่าง” กับ “ฆาตกรตอ แหลที่นอนหลับ ตาไม่ลง” เท่านั้น!

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

โรคประหลาดคล้ายเอดส์ แต่ไม่ใช่เอดส์ !!?

โดย ศ.พญ.ยุพิน ศุพุทธมงคล

เมื่อเร็วๆนี้มีข่าวที่ทำให้ผู้คนตื่นตระหนกกับโรคประหลาดที่มีอาการคล้ายเอดส์ และยังหาสาเหตุไม่พบ เพื่อให้เข้าใจถึงโรคดังกล่าว เรามีความรู้มาฝาก

โรคประหลาดคล้ายเอดส์ที่ยังไม่มีชื่อเรียกนี้เป็นโรคที่ไม่ได้ติดเชื้อเอชไอวี พบมานับ 10 ปี เกิดจากภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ทำให้มีอาการป่วยจากโรคติดเชื้อฉวยโอกาสชนิดต่างๆ เช่น การติดเชื้อแบคทีเรียกลุ่มมัยโคแบคทีเรีย การติดเชื้อราที่มีอาการรุนแรง เป็นต้น ผู้ป่วยจะมีอาการไข้เรื้อรัง ต่อมน้ำเหลืองอักเสบหลายแห่ง ร่วมกับปอดอักเสบ ฝีตามอวัยวะต่างๆ รวมทั้งผิวหนังอักเสบเป็นหนอง

โรคดังกล่าวไม่ใช่โรคติดต่อ พบไม่บ่อย และไม่รู้สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันผิดปรกติเหมือนอย่างโรคเอดส์ที่รู้ว่าเกิดจากการติดเชื้อไวรัสภูมิคุ้มกันบกพร่อง และไม่ได้เกิดจากการรับการรักษาด้วยยากดภูมิคุ้มกันต่างๆ โรคนี้พบมากในชาวเอเชีย รวมทั้งคนไทย มักเกิดในผู้ใหญ่อายุเฉลี่ย 40-50 ปี

การรักษาผู้ป่วยในปัจจุบันเป็นการรักษาโรคติดเชื้อฉวยโอกาสด้วยยาต้านจุลชีพ ผู้ป่วยอาจมีการดำเนินโรคแตกต่างกัน การรักษาขณะนี้ทำให้โรคติดเชื้อฉวยโอกาสสงบ แต่อาจมีการกำเริบหรือพบการติดเชื้อฉวยโอกาสอื่นๆเป็นครั้งคราว

ขณะนี้คณะผู้วิจัยซึ่งเป็นแพทย์โรคติดเชื้อจากคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยต่างๆในประเทศไทย ได้แก่ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล รวมถึงคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับคณะผู้วิจัยจากสถาบันสุขภาพอเมริกา ทำการวิจัยพบว่าผู้ป่วยกลุ่มนี้มีการสร้างสารแอนติบอดีต่อสารอินเตอร์เฟอรอนแกมมา ทำให้ภูมิคุ้มกันซึ่งใช้ป้องกันการติดเชื้อฉวยโอกาสต่างๆดังกล่าวผิดปรกติ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการป่วยจากการติดเชื้อฉวยโอกาสเหล่านั้น ซึ่งขั้นต่อไปคณะผู้วิจัยกำลังวิจัยเพื่อให้รู้สาเหตุการก่อโรค เพื่อจะได้วางแผนการรักษาโรคนี้ให้หายขาด

ดังนั้น หากมีอาการดังกล่าวข้างต้นควรมารับการตรวจตามขั้นตอนจากแพทย์โรคติดเชื้อ เพราะการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง แม้ไม่หายขาดแต่ผู้ป่วยสามารถดำเนินชีวิตได้ตามปรกติ

ข่าวประชาสัมพันธ์

คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ขอเชิญเข้าร่วมกิจกรรมภาคประชาชนในงานประชุมวิชาการเฉลิมพระเกียรติ 150 ปี พระราชสมภพสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวีฯ ระหว่างวันที่ 17-21 กันยายน 2555 พบกับการเสวนา การบริการและให้คำปรึกษาปัญหาสุขภาพ ตรวจความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือด และสอนตรวจเต้านมด้วยตนเอง ณ โถงอาคาร 100 ปี สมเด็จพระศรีนครินทร์ สอบถามข้อมูลและสำรองที่นั่งได้ที่งานสร้างเสริมสุขภาพ โทร.0-2419-8802 และ 0-2419-9981-83

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2555

เลขาฯชูวิทย์ โดนสาวเสียสติ ฟันยับ เย็บ17เข็ม !!?

ผกก.สภ.หาดใหญ่ เผย หญิงเสียสติ คลั่ง คว้ามีดพร้าไล่ฟันหัวเลขาฯ "ชูวิทย์" เลือดอาบ บนโรงพักหาดใหญ่ ขณะ นำคณะลุยบ่อนหาดใหญ่ ล่าสุด เย็บ 17 เข็ม

พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ผกก.สภ.หาดใหญ่ เปิดเผยกับ สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น.ว่า ได้มีหญิงเสียสติใช้มีดพร้าไล่ฟัน คณะกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายสมชาย โล่สถาพรพิพิธ เป็นประธาน กมธ. และมี นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ร่วมคณะด้วย เหตุเกิดบนสถานีตำรวจภูธรหาดใหญ่ จ.สงขลา ทำให้เลขาฯ ส่วนตัวของ นายชูวิทย์ ถูกฟันเป็นแผลฉกรรจ์เย็บหลายเข็ม จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า หญิงคนดังกล่าว มีอายุประมาณ 30 - 35 ปี ถูกจับตั้งแต่ช่วงเช้า เนื่องจากไปแย่งปืนจากตำรวจท่องเที่ยวหาดใหญ่ และนำตัวมาดำเนินคดีที่โรงพัก คลุ้มคลั่งขู่จะฆ่าตัวตาย และปีนขึ้นไปบนแท้งค์น้ำของโรงพัก จะกระโดดลงมา เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถเกลี้ยกล่อมได้อีกครั้ง แต่พอเห็นคณะของกรรมาธิการตำรวจ ที่เดินทางมาจากการประชุมเรื่องบ่อนการพนันในพื้นที่ ก็ตรงใช้มีดพร้า ที่ไม่ทราบว่านำมาจากไหน ฟันเข้าอย่างจังดังกล่าว ซึ่งดูจากรูปการแล้ว ไม่ได้ตั้งใจจะฟัน นายชูวิทย์ เป็นการฟันแบบไร้ทิศทาง จนถูกศีรษะเลขาฯ ล่าสุดก็นำตัวไปสงบสติอารมณ์พร้อมแจ้งข้อหาในห้องขังแล้ว

คืบหน้า ฟันเลขาฯชูวิทย์ เย็บ 17 เข็ม

เกิดเหตุหญิงสติไม่สมประกอบ ใช้มีดพร้าฟัน นายเทพทัต บุญพัฒนานนท์ อายุ 29 ปี เลขาฯของ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ได้รับบาดเจ็บถูกฟันเข้าที่บริเวณศีรษะเป็นแผลฉกรรจ์ ถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลหาดใหญ่ โดยแพทย์ต้องเย็บถึง 17 เข็ม เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากที่ คณะกรรมาธิการตำรวจ รวมทั้ง นายชูวิทย์ เดินทางมาประชุมที่ สภ.หาดใหญ่ เพื่อติดตามเรื่องบ่อนการพนันและซ่องที่ได้เปิดเผยคลิปไปก่อนหน้านี้ หลังจากประชุมเสร็จ และคณะได้ออกจากห้องประชุมมายืนรอขึ้นรถอยู่ที่หน้าศูนย์จราจร สภ.หาดใหญ่ มีหญิงสาวสติไม่สมประกอบ ถือมีดพร้าเข้ามาไล่ฟันคณะของ นายชูวิทย์ และถูก นายเทพทัต ได้รับบาดเจ็บ ส่วนหญิงสาวที่ก่อเหตุขณะนี้ตำรวจได้ควบคุมตัวไว้แล้ว และกำลังอยู่ระหว่างการสอบสวนว่ามีสติไม่สมประกอบจริงหรือไม่ ความคืบหน้าจะรายงานให้ทราบต่อไป

ตร. เผย สาวฟันหัวเลขาฯชูวิทย์ สติไม่สมประกอบจริง

ความคืบหน้าสาวสติไม่ดี ก่อเหตุฟันศีรษะเลขาฯ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ขณะเดินทางมากับคณะกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ผกก.สภ.หาดใหญ่ เปิดเผยว่า สำหรับ น.ส.คำหล้า มั่งมี อายุ 27 ปี ที่ก่อเหตุนั้น หลังจากที่ตำรวจได้ส่งตัวไปยังโรงพยาบาลหาดใหญ่ ให้แพทย์จิตเวชตรวจเช็กอาการทางประสาท ซึ่งได้รับการยืนยันจากแพทย์ ว่า น.ส.คำหล้า มีอาการทางประสาทจริงพร้อมกับออกหนังสือยืนยันก่อนที่จะส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวชสงขลาราชนครินทร์ โดยช่วงเช้านางสาวคำหล้า ได้เดินเข้ามาใน สภ.หาดใหญ่ และพยายามก่อเหตุแย่งปืนตำรวจ เจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวให้สงบสติอารมณ์ แต่ปรากฏว่าจากนั้น ก็ได้แอบปืนขึ้นไปอยู่บนแทงค์น้ำหลังโรงพัก พยายามกระโดดลงมาฆ่าตัวตาย ซึ่งตำรวจช่วยกันเจรจาเกลี้ยกล่อมจนยอมลงมา

พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยืนยันว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำของหญิงที่มีอาการทางประสาทจริงๆ ไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง หรือเกี่ยวกับเรื่องที่ นายชูวิทย์ เดินทางลงมาติดตามเรื่องขบวนการค้ากามในเมืองหาดใหญ่ และบ่อนการพนันที่ด่านนอก แต่อย่างใด

เฉลิมบอกเลขาชูวิทย์ถูกฟันศีรษะไม่เกี่ยวกม.

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้รับรายงานกรณีเลขาฯของ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครักประเทศไทย ถูกฟันศีรษะที่ สภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา แล้ว และเรื่องนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินคดีตามกฎหมาย และนำตัวหญิงคนดังกล่าวไปตรวจร่างกายอีกครั้ง ซึ่งก็เห็นว่า มีอาการผิดปกติตั้งแต่ช่วงเช้า ก่อนที่จะก่อเหตุ ทั้งนี้ โดยส่วนตัวยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการเมืองแน่นอน

"ได้ยินมา ในบ่ายที่มาก่อเหตุวันนี้ก็ผิดปกติ ไม่มี เรื่องการเมืองอะไร" ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว

อย่างไรก็ตาม ตนไม่ขอเข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่หาก นายชูวิทย์ ร้องขออยากให้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจัดกำลังไปคุ้มครอง ก็สามารถทำเรื่องเข้ามาได้ ส่วนกรณีที่ตนเอง อาจจะเลิกรับตำแหน่งหลักทางการเมืองนั้น เป็นเพราะว่า หากรัฐบาลชุดนี้ ทำงานครบวาระ 4 ปี ตนเองก็จะอายุครบ 68 ปี ซึ่งก็คงจะมากพอแล้วกับการทำงานด้านการเมือง แต่ก็คิดว่าจะยังไปช่วยปราศรัยหาเสียงอยู่บ้าง ทั้งนี้คาดว่า น่าจะไปดูแลกิจการท่าเรือของลูกชาย ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา

ที่มา.INN news
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

พลังเสื้อแดง คานเผด็จการ !!?

ท่านพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์พูดเมื่อไม่นานนี้ว่า จุดยืนสำคัญ ของพรรคคือการต่อต้านอำนาจเผด็จการทหารทุกรูปแบบที่ทำลายระบอบประชาธิปไตย เมืองไทยเรื่อยมา และนั่นคือผลงานในอดีตที่ประชาชนให้การต้อนรับด้วยความศรัทธา มายาวนาน

แต่แล้วศรัทธาประชาชนที่มีต่อพรรคนี้ ก็เสื่อมคลายลงนับแต่เกิดรัฐประหารครั้งล่าสุดปี 2549 โดยแกนนำและสมาชิกจำนวนหนึ่ง “แอบลอกคราบ” กลมกลืนไปกับมวลชนเสื้อเหลืองที่มีแผนยั่วยุให้ทหารตัดสินใจยึดอำนาจจากระบอบประชาธิปไตย

ทั้งๆ ที่กระแส “ทักษิณฟีเวอร์” ขณะนั้นถดถอยถึงจุด “เจียนอยู่เจียนไป” รอมร่ออยู่แล้ว

แม้ภาพที่ปรากฏพรรคไทยรักไทยครั้งสุดท้ายก่อนปฏิวัติ ชนะเลือกตั้งเกินครึ่ง สภา เป็นรัฐบาลพรรคเดียวในประวัติศาสตร์การเมืองไทย...แต่ก็เป็นภาพ “มายาคติ” ที่ครอบงำความคิดพรรคเก่าแก่ ซึ่งควรมีจุดยืนโดดเด่นของตัวเองอย่างมั่นคงมายาวนาน แม้จะสู้คู่แข่งไม่ได้ แต่หากมี “จิตสำนึกประชาธิปไตยที่แท้จริง” ก็ต้องยืนหยัดต่อสู้กับ “เผด็จการรัฐสภา” อย่างทระนง

เพราะที่สุดแล้ว ถ้าฝ่ายรัฐบาลเป็น “เผด็จการรัฐสภา” จริง...วันหนึ่งที่ถึงซึ่ง “ฟางเส้นสุดท้าย” พลังประชาชนก็จะลุกฮือขึ้นมาขับไล่ “อำนาจอยุติธรรม” เอง โดยพรรคประชาธิปัตย์ไม่ต้องออกแรงเปลี่ยนจุดยืนแต่อย่างใด แต่นักการเมืองที่เป็นฝ่ายค้านมานานจนอดรนต่อสภาวะที่เป็นอยู่ไม่ไหว จึงคิดเอาเองว่าขืนปล่อยเป็นฝ่ายค้านเนิ่นนานต่อไปอีก มีหวังพรรคทักษิณ “กินเมือง” เป็นแม่นมั่น ก็เลย “คิดสั้น” ยุส่งให้เกิดการยึดอำนาจเสียให้รู้แล้วรู้รอด

คิดว่ายังไงๆ ถ้าเกิดการต่อต้านทหารเผด็จการ ทหารต่างหากล่ะที่เสียหาย หาใช่ พวก “บ่างช่างยุ” ไม่นับเป็นกุศโลบายที่แสนเนียน และใช้กลยุทธ์ “ยืมดาบทหารฆ่าศัตรู” ที่เหนือชั้น สุดบรรยายแต่ด้วยอาราม “ย่ามใจ” คิดว่าคนทั่วไปโง่ “อ่านเกมไม่ออก” ก็เลยแสดงธาตุแท้ “เกลียดปลาไหล กินน้ำแกง” หันไปแสดงบท “รักงูเห่า” และ “กอดเผด็จการ” ต่อหน้าธารกำนัล ถึงขั้น “ตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร”

ภาพรังเกียจเผด็จการ และชูประชาธิปไตยในอดีตจึงเสมือน “แก้ผ้าล่อนจ้อน” ประจานตัวเองเพราะความโลภหวังกุมอำนาจรัฐเสียเองอย่างไม่สง่างาม ไม่ประทับใจชาวบ้านเอาเสียเลยเมื่อเจือสมกับได้อำนาจรัฐ ไม่รู้จักขีดจำกัดแห่งการใช้อำนาจ เมื่อเกิดกรณีม็อบ ประท้วงแล้วก็ยังลุแก่อำนาจ กล้าคิดใช้กำลังทหารล้อมปราบจนประชาชนต้องเสียชีวิต ร่วมร้อยศพและบาดเจ็บนับพัน กลับไร้สำนึกแห่งจิตวิญญาณนักการเมืองที่ศรัทธาระบอบประชาธิปไตยมันจึงกลับตาลปัตรเป็น รัฐบาลมือเปื้อนเลือด จารึกในประวัติศาสตร์การเมืองที่ไม่อาจลบเลือนได้กลายเป็นมวลชนคนเสื้อแดง เข้ากุมสภาพ “นักสู้ผู้ต้านเผด็จการ และทวงหา ความยุติธรรม” แทนที่จุดยืนเดิมของพรรคประชาธิปัตย์โดยอัตโนมัติ

และวันนี้ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มวลชนคนเสื้อแดงจึงได้เวลารวมพลังรำลึก ครบรอบ 2 ปีแห่งการต่อสู้ของพวกเขาอย่างแข็งแกร่ง เด็ดเดี่ยว และภาคภูมิใจที่ได้สละเลือดและชีวิต...เพื่อจะบอกให้ฝ่ายเผด็จการ หรือพวกที่ลืมตัว “ใช้เผด็จการเป็นเครื่องมือเข่นฆ่าประชาชน” ได้รู้ว่า พลังมวลชนยังเข้มแข็งและพร้อมผนึกกำลังเป็นอำนาจที่เข้มข้นเพื่อ “ต้านอำนาจเผด็จการทุกรูปแบบ” ต่อไป

หากคนเสื้อแดงสามารถดำรงพลังมวลชนคานอำนาจเผด็จการได้เป็นเอกภาพยิ่งใหญ่เพื่อปกปักรักษาประชาธิปไตยยืนระยะได้ยาวนาน รวมทั้ง “ต้านอำนาจนอกระบบ” ที่แอบบ่อนทำลายประชาธิปไตยให้ฝ่อไปเรื่อยๆ อย่างน้อยระบอบประชาธิปไตยจะได้มีโอกาสฟื้นฟูเดินหน้าพัฒนาไปเสียที... อย่างมากก็อาจลบล้างสมองของทหารที่ยังติดยึดกับอำนาจเบ็ดเสร็จได้เข้าใจและเข้าถึง ระบอบที่เป็นอิสระเสรีของประชาชนโดยรวมเสียบ้างไม่ใช่รำคาญอะไรนิด ก็คิดแต่จะเอาปืนมายึดอำนาจประชาชนร่ำไป!

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

มันมากับน้ำ หลอนผวา ปชป.รอเติมเชื้อร้าย !!?

ประชาชนยังผวาน้ำท่วมเมื่อปลายปี ที่แล้วอยู่ไม่หาย ทั้งๆ ที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยเริ่มบริหารประเทศตั้งแต่ 25 สิงหาคม 2554 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แทบไม่ได้เริ่มต้นทำงานตามนโยบายหาเสียง เอาแต่ทุ่มเทแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากับน้ำท่วม “เอาอยู่ค่ะ...” น.ส.ยิ่งลักษณ์ เริ่มเป็น นายกรัฐมนตรีหมาดๆ ให้ความเชื่อมั่นกับประชาชนที่กำลังแตกตื่นกับน้ำที่ไหลมาจ่ออยู่ริมรั้วบ้านอย่างหวั่นวิตกขึ้นต้นปี 2555 วิกฤติน้ำท่วมผ่านพ้น อย่างทุลักทุเล น้ำทิ้งร่องรอยความเสียหาย มหาศาลไว้หลายพื้นที่สำคัญๆ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ตั้งงบประมาณ 1.2 แสนล้านบาทฟื้นฟูประเทศ ครั้งใหญ่ โดยส่วนใหญ่เป็นการจัดเตรียมป้องกัน น้ำท่วมปี 2555 และในอนาคต เป้าหมายหลักๆ อยู่ที่ลดปริมาณน้ำท่วมให้น้อยลงกว่าปี 2554 นั่นหมายถึงน้ำยังท่วมอยู่ แต่ไม่มากมายถึงขั้นเกิดอาการหลอนหวั่นผวา หรือประชาชนแตกตื่นกันยกใหญ่ซ้ำสอง

รัฐบาลวางยุทธศาสตร์ผจญกับน้ำท่วม ใน 4 กรณีสำคัญ คือ 1.น้ำต้องมีที่อยู่ 2.น้ำ ต้องมีที่ไป 3.การป้องกันพื้นที่สำคัญ และ 4.เตือนภัย กล่าวเฉพาะคือ รัฐบาลพยายามจัดการ ควบคุมทางไหลของน้ำ ตั้งแต่ต้นทางจาก ภาคเหนือมาสู่พื้นที่ภาคกลาง แล้วผ่าน กทม. ปลายทางน้ำไหลเพื่อไปออกทะเล กระบวนการ จัดการทั้งหมดนี้อยู่ที่วิธีการขุดลอกคูคลอง สร้างผนังกั้น ซึ่งไม่ยากเย็นเกินกว่าวิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์ของมนุษย์จะกระทำเลยเหมือนกับง่าย แต่มนุษย์ยากที่จะเอา ชนะธรรมชาติได้ เพราะธรรมชาติมีชีวิต สามารถปรับเปลี่ยนไปตามกับสิ่งแวดล้อมได้เสมอ

> เตรียมพร้อมรับมือ

ก่อนถึงฤดูมรสุมน้ำหลากปี 2555 มาถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ สั่งการไปยังจังหวัดภาคเหนือพื้นที่ต้นน้ำให้เตรียมพร้อมรับมือน้ำให้เสร็จในเดือนมิถุนายน จังหวัดกลางน้ำต้องเสร็จเดือนกรกฎาคม และจังหวัดปลาย น้ำควรเรียบร้อยในเดือนสิงหาคม

เมื่อทุกอย่างเข้ารูปเข้ารอยค่อนข้างแน่ใจว่า “เอาอยู่ค่ะ” การทดสอบระบบทางน้ำไหลตาม “เส้นทางต้น-กลาง-ปลาย” จึงเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ เอาอยู่จริงๆ เพราะผล ทดสอบออกมา “ราบรื่น น่าพอใจ และรัฐบาลป่าวประกาศน้ำไม่ท่วม (อีกแล้ว) แน่” น.ส.ยิ่งลักษณ์ ฉีกยิ้มอารมณ์ดีกับแผน ป้องกันน้ำท่วมอันเอกอุมาช่วยเติมแต่งสร้าง หน้าตารัฐบาลให้ดูดี มีกึ๋น มากฝีมือ ราวกับ ปัดข้อกล่าวหา “นายกรัฐมนตรีละอ่อน ไร้ประสบการณ์” จนแทบไม่เหลืออาการวอกแวกจากพรรคประชาธิปัตย์ได้แทบราบคาบ

ย่อมสมควรดีใจออกนอกหน้าอยู่ เพราะรัฐบาลได้ทุ่มเททำงานมาตลอดปีด้วย งบประมาณมหาศาลที่ทุ่มไปกับการขุดลอก คูคลอง สร้างผนังกั้นน้ำ กำหนดแผน ปล่อยน้ำในปริมาณการไหลที่ “คน” สามารถ ควบคุมจัดระบบการไหลของน้ำทั้ง “ต้น-กลาง-ปลาย” ให้ไหลเป็นระเบียบไม่มีแตกแถวมนุษย์ยังควบคุมเอาชนะธรรมชาติด้วยระบบการจัดการแบบวิทยาศาสตร์อย่างได้ผล...ช่างน่าสนใจ แต่เมื่อล่องมรสุมหอบเอาฝนห่าใหญ่ พัดผ่าน ฝนตกหนักต่อเนื่องมาตั้งแต่วันที่ 6 กันยายนที่ผ่านมา ถนนในกรุงเทพฯ บางสายเจิ่งนองด้วยน้ำในอึดใจไม่เพียงเท่านั้น เมืองใหญ่ๆ ตามเส้น ทางน้ำผ่าน ทั้งต้น-กลาง-ปลาย น้ำทะลักผนังกั้นน้ำไหลท่วมเป็นปกติ พร้อมๆ กับพัดเอางบประมาณที่ทุ่มเทไปแทบไม่มีความหมาย ธรรมชาติยังอยู่เหนือการควบคุม และ ปรับเปลี่ยนวิถีออกนอกคอก หนีระบบการจัดการของมนุษย์อยู่เป็นประจำรัฐบาลนิ่งอีกแล้ว ยิ้มหน้าบานเป็นกระด้งหุบลง น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังไม่ฟูมฟายสักแอะ

> “เอาอยู่”...ไม่ได้โม้!!!

วลี “เอาอยู่ค่ะ” ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ หลุดปากเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้ประชาชน ผจญน้ำท่วมเมื่อปี 2554 ได้มั่นใจ และวลีนี้ พรรคประชาธิปัตย์หยิบมาขยายผลต่อสาธารณะจนมีสีสันการเสียดสี ประชด-ประชัน นายกรัฐมนตรีหุ่นเชิด ไร้ประสบการณ์ทำงานการเมืองระดับชาติ

เมื่อถึงฤดูน้ำหลากในปี 2555 ลมมรสุมพัดกระหน่ำฝนตกมาอย่างหนักตั้งแต่ 6 กันยายน ระบบควบคุมน้ำไหลยังไม่พร้อม กับการทุ่มเทเงินเป็นแสนล้านบาท ปริมาณ น้ำสะสมมากขึ้นจนไหลออกนอกคูคลองและ ผนังกั้นมาท่วมพื้นที่นา ทะลักสู่ย่านเศรษฐกิจ และบ้านเรือนประชาชนอย่างหนักเมื่อวันที่ 9 กันยายน

ฝนห่าใหญ่กับน้ำท่วมในพื้นที่สำคัญของจังหวัดพิษณุโลกและสุโขทัย ช่างเป็นใจ ให้พรรคประชาธิปัตย์เยาะเย้ยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ อย่างสนุกครื้นเครง ฉากหลังรายการวิจารณ์ การเมือง “สายล่อฟ้า” ของสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมสีฟ้ายี่ห้อ “บลูสกาย” ขึ้นข้อความใหม่ ตัวใหญ่โดดเด่นว่า “ดีแต่โม้”

ไม่ผิดแน่ “ดีแต่โม้” คงเป็นวลีประชด-ประชันทางการชิ้นใหม่ที่มีความหมายเย้ยหยั่นการทำงานแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาลที่ออกข่าวคุยโต โอ้อวดว่า “เอาอยู่ค่ะ” สามารถควบคุมน้ำท่วมปี 2555 ได้ผล ประชาชนอย่าผวา โปรดรับทราบด้วยความเชื่อมั่น แต่ความจริงแล้ว ผลงานรัฐบาลแก้ปัญหาน้ำท่วม กลับกลายเป็นน้ำลายการเมือง เยิ้มท่วมปาก ราวกับนักการเมืองขี้โม้อะไรประมาณนั้น เพราะปริมาณน้ำเริ่มท่วมหนัก และมีแนวโน้มหนักขึ้น ย่อมเป็นรูปธรรมได้ ชัดเจนเหนือการอธิบายสนับสนุนเคียงข้างได้

สื่อโหมประโคมการรายการอย่าง ตื่นเต้น น้ำท่วมจังหวัดน่าน อุตรดิตถ์ จนประชาชนเก็บข้าวของหนี เมืองลำปาง นครสวรรค์เกิดการแตกตื่น แล้วไหลมาสร้างความ ลำบากให้เมืองพิษณุโลกและสุโขทัยในระดับ สูงเป็นเมตร เส้นทางคมนาคมถูกน้ำตัดขาด แล้วทะลักท่วมบ้านในจังหวัดพิจิตรเป็นหย่อมๆ

นอกจากนี้ ประชาชนจังหวัดอ่างทอง เริ่มออกอาการผวาน้ำเจ้าพระยาเริ่มล้นตลิ่ง เข้าท่วมบ้าน และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ถึงกับออกประกาศเตือนประชาชนริมตลิ่งให้เฝ้าระวังน้ำล้นตลอด 24 ชั่วโมง ผลกระทบจากวิกฤติน้ำท่วมส่อแววเป็นเหมือนปี 2554 และเริ่มมาตั้งแต่ “ต้น-กลาง ยันปลายน้ำ” เอาเสียด้วย คนทุกจังหวัดริมทางน้ำไหลในปริมาณมากๆ ย่อมออกอาการผวาแตกตื่นเป็นธรรมดา โดยเฉพาะคน กทม.ซึ่งเป็นปลายน้ำยากที่จะหลีกเลี่ยงได้เช่นกัน

ภาพถนนในที่สูงและทางด่วนกลายเป็น พื้นที่จอดรถหนีน้ำท่วมเต็มพรึบเมื่อปี 2554 ยังเป็นการสะท้อนวิกฤติหนักหน่วง ปริมาณ น้ำในปี 2555 อาจมีแนวโน้มให้ภาพเจ็บปวด เช่นนี้กลับคืนมาอีกครั้ง แน่ละ การคาดการณ์แนวโน้มที่มีชุด ความคิดแบบปี 2554 ย่อมไม่ใช่การประชด-ประชันเกินจริง และไม่ได้โม้สร้างความแตกตื่นซ้ำเติมประสาทประชาชนเข้าไปแบบล่องลอยตามจิตนาการเกมการเมืองเดิมๆ และซ้ำซาก

> มันผุดมากับน้ำแล้ว

ความจริงประชาชนเริ่มแตกตื่นกับน้ำท่วมอีกแล้ว พลังอาการหลอนผวาย่อมไม่เกิดผลดีทางการเมืองกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และพรรคเพื่อไทยแน่ วลีเอาอยู่หรือความมั่นใจในการจัดการควบคุมได้ อาจไม่ทำให้รัฐบาลเอาตัวรอดและได้รับความเห็นใจจาก ประชาชนอีกแล้วเป็นธรรมดาการเมืองปัจจุบันถูกแบ่ง ข้างชัดเจน แยกเป็นฝ่ายแดงกับอยู่ข้างสีเหลือง แบ่งกำลังใจให้รัฐบาลจนหมดตัวกลับหันมาสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์

ในสังคมแบ่งฝ่ายมากพวกเช่นนี้ ชุดข้อมูลของฝ่ายใดย่อมอยู่ในระบบความคิดของมวลชนฝ่ายนั้น ดังนั้น สังคมจึงไร้การไตร่ตรอง เพราะมุ่งมั่นเอาชนะกันเป็นธงคำตอบทางการเมือง...สิ่งนี้ถูกก่อรูปขึ้นในสังคมเปลี่ยนผ่านและสะท้อนถึงศูนย์กลางอำนาจเริ่มแผ่ว ผู้คนจึงโกลาหลขาดหลักเหตุผลมายึดมั่น

เมื่อถูกซ้ำเติมด้วยวิกฤติน้ำท่วมซ้ำซากเข้าไปอีก ความผิดหวังกับรัฐบาลย่อม สูงขึ้น การทดสอบระบบไหลของน้ำเมื่อ 5 กันยายน ซึ่งเป็นผลงานทางการเมืองครั้งสำคัญคงหมดมนต์ขลังสะกดให้ประชาชนมา สนับสนุนอีกแล้ว แนวโน้มเริ่มบ่งบอกเช่นนี้ ดังนั้น อาการหลอนผวาจากวิกฤติน้ำท่วม ถูกพรรคประชาธิปัตย์เริ่มผลักมาเป็นเกมการเมืองอย่างมีน้ำหนัก ไม่ได้เป็นรองรัฐบาลยิ่งลักษณ์อีกแล้ว ซ้ำร้ายพรรคประชาธิปัตย์ค่อยผุดชุดข้อมูลการทุจริตในงบประมาณน้ำท่วมจำนวน 1.2 แสนล้านบาท ย่อมกลายเป็นอาวุธเชือดรัฐบาลทาง การเมืองอย่างได้ผล และประชาชนคงตั้งใจ เอียงหูฟังอย่างตื่นเต้นคล้อยตาม

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ เริ่มออกลายเข้าไปผสมส่วนกับปริมาณน้ำท่วมแล้ว เขาผุดข้อมูล เปิดปมโกงกินงบประมาณแก้ปัญหาน้ำท่วม ทางภาคเหนือออกมาเรียกน้อยย่อย การโกงที่เป็นชุดข้อมูลไว้ “เตรียมซักฟอกรัฐบาล” ถูกปล่อยมาเบื้องต้น โดยนายนิพิฏฐ์อ้างว่า มีการหักหัวคิวกว่าครึ่งใน รูปแบบการซอยสัญญาเลี่ยงงานรับเหมาถึง 200 ล้านบาทเพื่อไปแบ่งจ่ายเป็นค่าหัวคิวทางการเมืองและราชการมากถึง 30% นี่เป็นเพียงชุดข้อมูลเรียกน้ำย่อย จาก พื้นที่การทุจริตในงบประมาณแก้ไขน้ำท่วมทางต้นน้ำภาคเหนือ แล้วสนับประสาอะไรกับพื้นที่กลางน้ำและปลายน้ำจะไม่มีการกินนอกกินใน เอาเป็นว่า การโกงงบประมาณน้ำท่วม กำลังไหลกลายเป็นข้อมูลของพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อน้ำยิ่งท่วมประชาชนยังหลอนผวาอยู่ การบริหารจัดการที่ผิดพลาด ย่อมเชื่อมประสานกับการสร้างเกมรุกทาง การเมืองของพรรคประชาธิปัตย์อย่างได้ผล

> เข้าทาง ปชป. หลอนผวา

ในยุทธการทดสอบน้ำไหลเมื่อ 5 กันยายนนั้น รัฐบาลฉีกยิ้มหน้าบานกับผลงาน อันราบรื่น พรรคประชาธิปัตย์ออกอาการซึมๆ ทางการเมืองที่ตกเป็นรอง ปล่อยให้รัฐบาลออกเกมรุกจนแทบถูกน้ำไหลพัดออก ทะเลไปไกลสุดตา แต่เพียงไม่กี่วัน มรสุมหอบฝนมาห่าใหญ่ น้ำเริ่มท่วมตั้งแต่ต้น-กลาง-ปลายทาง อย่าง กทม.คงไม่รอด พรรคประชาธิปัตย์ได้น้ำท่วมแล้วกลับฟื้น มีพลังทางการเมืองอย่างเหลือเชื่อ

ขณะนี้ในประเด็น “เกม” แล้ว พรรค ประชาธิปัตย์ยกชั้นจากฝ่ายรับทางการเมือง มาเคียงคู่ แบบหายใจรดคอรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ให้อึดอัด นับจากนี้ พรรคประชาธิปัตย์พูด ประชาชนย่อมรอฟัง และเมื่อเติมเชื้อร้ายการโกงด้านอื่นๆ ของรัฐบาล ย่อมทำให้ลด ทอนความน่าเชื่อถือของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้อย่างระทึกและหวั่นไหว คงจำกันได้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ดำเนินกลยุทธ์ทางการเมืองทุกช่วงสถานการณ์ ไม่ว่าอยู่ในฐานะรัฐบาลหรือเป็นฝ่าย ค้าน บทบาทที่พรรคนี้ถนัดคือ สร้างความเลวร้ายให้ฝ่ายตรงข้ามเสมอ เพราะคำนึงถึง เป้าหมายชนะเป็นสิ่งสูงสุด ดังนั้น พรรคนี้จึงเต็มไปด้วยชุดความคิด “วิธีการอะไรก็ได้ ขอให้ชนะ ย่อมเป็นคุณธรรมทางการเมือง ทั้งสิ้น”

แนวโน้มการสร้างเรื่องร้ายๆ เข้ากัน ได้ดีกับประชาชนที่ “อินกับละครน้ำเน่า” ดังนั้นการลดทอนผลงานรัฐบาลในทุกกรณี ทั้งเปิดปมสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ เป็นเนื้องานที่จะสร้างให้รุนแรงยิ่งขึ้นได้ไม่ยากหรือขยายผล “ทุจริตนโยบายจำนำข้าว” ยังเป็นประเด็นต่อเนื่องที่พรรคประชาธิปัตย์เตรียมพร้อมผุดขึ้นมาได้ทุกเมื่อ ประกอบกับพรรคประชาธิปัตย์ถนัดการประติดประต่อ ผสมส่วนการทุจริตเข้าสู่การโยกย้ายข้าราชการได้อย่างมึนๆ รวมความแล้ว หากปัดคุณธรรมทางการเมืองแบบ ประชาธิปไตยสากลออกไปแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่กับพรรคประชาธิปัตย์คือ ความมึนราว กับหน้ามืดได้ชัยชนะทางการเมืองในอนาคตสิ่งเหล่านี้ ล้วนไหลมากับน้ำ จนพรรค ประชาธิปัตย์มีพลังฟื้นขึ้นมาผุดเกมการเมือง ทำลายล้างตามบทถนัด ในส่วนรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ไม่มีทางเลี่ยงต้องถูกชุดข้อมูลโกงคอยหลอกหลอนให้ผวาแตกตื่นเป็นแน่สมรภูมิ “ซักฟอก” งวดนี้ หากประเมิน เพียงเกมล้วนๆ คอการเมืองซาดิสต์คงสมใจ แน่ กับเชื้อร้ายที่ไหลปะปนมากับวิกฤติน้ำท่วมปี 2555 มนุษย์เอาชนะธรรมชาติได้ยากลำบาก แต่ห้ำหั่นเอาชนะกันทางการเมือง เป็นการง่ายได้เสมอ

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

2 สิ่งที่ทำให้ Apple ต่างจากแบรนด์อื่น !!?


โฟกัส และ "การเป็นคนแรก" เป็น 2 สิ่งที่ทำให้ "แอปเปิล" ต่างจากแบรนด์อื่นๆ ถอดบทเรียนความสำเร็จ-ความล้มเหลวบนย่างก้าวของสารพัดแบรนด์ดัง

ที่ผ่านมา ผู้คนมักสับสนกับความเป็นแบรนด์ของบริษัท (company brand) กับแบรนด์ผลิตภัณฑ์ (product brand) ซึ่งเป็นเหมือน 2 เสาหลักแห่งความสำเร็จ แม้หลายๆ องค์กรจะสร้างแบรนด์ให้บริษัทได้ แต่กลับไม่สามารถปั้นแบรนด์ให้ผลิตภัณฑ์ประสบความสำเร็จได้ ผิดกับ "แอปเปิล" อาณาจักรเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่สามารถใช้ความเป็นแบรนด์ของบริษัทและแบรนด์ผลิตภัณฑ์เกื้อหนุนกันได้อย่างลงตัว จนขึ้นแท่นบริษัทที่มีมูลค่ามากสุดในโลกกว่า 6 แสนล้านดอลลาร์

ที่จริงแล้ว แบรนด์ดังอย่าง "พรอคเตอร์แอนด์แกมเบิล" (พีแอนด์จี) ก็มีแบรนด์บริษัทที่แข็งแกร่ง ไม่แพ้ "แอปเปิล" แต่พีแอนด์จีทำแบบที่แอปเปิลทำไม่ได้ นั่นคือ การนำแบรนด์บริษัทที่ทรงพลังมากระตุ้นผู้บริโภคให้ซื้อแบรนด์สินค้าหลากหลายในมือ ทั้งไอพอด ไอโฟน และไอแพด หรือกรณีของ "จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน" ที่แบรนด์บริษัทเข้มแข็ง แต่ก็มีผลต่อผู้บริโภคไม่มากนัก

คำถาม คือ จะมีผู้บริโภคสักกี่คนที่พกความตั้งใจตั้งแต่ก่อนออกจากบ้าน ว่าจะต้องซื้อสินค้าของบริษัทพีแอนด์จี ยูนิลีเวอร์ เป๊ปซี่โค หรือเจนเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม)

อาจมีกลยุทธ์การตลาดหลายอย่างที่ช่วยสร้างแบรนด์ให้บริษัทได้ ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารวัฒนธรรมองค์กร ความห่วงใยด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ความรับผิดชอบต่อสังคม จุดยืนที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้บริโภค ความเชื่อที่มีต่อนวัตกรรม การเปิดตัวผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีไซน์ทันสมัยและใช้งานได้ดี แต่แม้จะทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้จนครบ บางทีก็อาจไม่ได้ช่วยให้สร้างแบรนด์บริษัทสำเร็จเสมอไป

ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การไม่ติดโผฟอร์จูน 500 เพราะแบรนด์ดังเหล่านี้เป็นเพียงส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็ง บริษัทอเมริกันขนาดใหญ่ที่มีพนักงานกว่า 500 คน มีมากถึง 17,509 แห่ง จ้างพนักงานมากถึง 58.2 ล้านคน และจ่ายค่าเหนื่อยพนักงานรวมกันราว 2.7 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี หมายความว่า ไม่ได้มีพื้นที่เหลือมากนักสำหรับผู้บริโภคที่จะใส่ใจทุกรายละเอียดของบริษัทเหล่านี้ และผู้คนส่วนใหญ่ก็ก็ไม่ได้สนใจบริษัทสักเท่าไร พวกเขาสนใจเฉพาะตัวผลิตภัณฑ์ และแบรนด์สินค้าที่ตัวเองซื้อ ดังนั้น การมีแบรนด์บริษัทที่แข็งแกร่ง จึงหมายถึงสินทรัพย์มูลค่ามหาศาล

บริษัทระดับตำนานอย่าง "ดิสนีย์" และ "แอปเปิล" ขึ้นชื่อว่าประสบความสำเร็จในการสร้างแบรนด์อย่างมาก เพราะต่างก็มีแบรนด์บริษัทที่แข็งแกร่ง โดยทั้ง 2 บริษัทมี 2 ปัจจัยที่เหมือนกัน นั่นคือ 1.การมีโฟกัสที่ชัดเจน และ 2.มาเป็นคนแรก

อย่างกรณีของแอปเปิล โฟกัสอยู่ที่ผลิตภัณฑ์ไฮเทค อีกทั้งแอปเปิลยังบุกเบิกผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงและเป็นมิตรกับผู้บริโภคเป็นรายแรก ทั้งในตลาดเครื่องเล่นเอ็มพี 3 สมาร์ทโฟนทัชสกรีน และคอมพิวเตอร์แท็บเล็ต ส่วนดิสนีย์มีโฟกัสที่ความสนุกและจินตนาการ รวมทั้งเป็นรายแรกในเรื่องภาพแอนิเมชั่น และสวนสนุกแฟนตาซี

ผู้คนในแวดวงการตลาดรู้ดีถึงความสำคัญของการมาเป็น "คนแรก" แต่มีไม่กี่คนที่มองเห็นความสำคัญของ "โฟกัส" ซึ่งนี่เป็นตัวแปรที่ทำให้แต่ละแบรนด์แตกต่างกัน

ยกตัวอย่างพีแอนด์จี ที่เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เป็นรายแรกในหลายๆ แคธิกอรี แต่พีแอนด์จีไม่ได้มีสาวกในแบบที่แอปเปิลหรือดิสนีย์ทำได้ เพราะพีแอนด์จีไม่มีโฟกัส บริษัททำตลาดสินค้าแทบทุกสิ่งอย่าง ตั้งแต่เครื่องสำอาง เครื่องโกนหนวดไฮเทค ไปจนถึงสบู่ และผลิตภัณฑ์โลว์เทคอื่นๆ

อีกแบรนด์ที่น่าศึกษา คือ ยาฮู ซึ่งใช้ชื่อเดียวเป็นทั้งแบรนด์บริษัทและแบรนด์สินค้า หรือเรียกว่า 2 อิน 1 เช่นเดียวกับแบรนด์อีกมากมาย ทั้งเจนเนอรัล อิเล็กทริก โคคา-โคลา โตโยต้า และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความสับสน

สถานการณ์ที่ยากลำบากของยาฮูสะท้อนผ่านตัวซีอีโอ 6 คน ในรอบ 5 ปี "มาริสสา เมเยอร์" เป็นผู้นำหญิงคนล่าสุด ที่ต้องรับมือกับยอดโฆษณาแบบดิสเพลย์ที่ลดลงจาก 18.4% ในปี 2551 เหลือ 9.1% ในปีนี้ เนื่องจากยาฮูก้าวพลาด 2 เทรนด์ที่สำคัญในโลกอินเทอร์เน็ต ได้แก่ เครือข่ายสังคม และการขยับสู่อุปกรณ์พกพา

ยาฮู เลือกที่จะเก็บความเป็นแบรนด์สินค้าที่โฟกัสไอเดียดั้งเดิม มากกว่าการขยายไปสู่พัฒนาการอื่นๆ บนอินเทอร์เน็ต จึงไม่น่าแปลกใจที่ทุกวันนี้ผู้คนคลิกไปอะเมซอนดอทคอม เวลาที่อยากซื้อของ เลือกไปกูเกิลในยามที่ต้องการค้นหาข้อมูล เข้าเฟซบุ๊คเมื่ออยากติดต่อเพื่อนฝูง ไปกรุ๊ปปองถ้าหากอยากได้ข้อเสนอสุดคุ้ม และจบที่ทวิตเตอร์ เวลาที่อยากส่งหรืออ่านข้อความสั้นๆ

นี่ทำให้ยาฮูประสบความสำเร็จเพียงระยะสั้นๆ เพราะสร้างแบรนด์ที่อิงกับการเสิร์ชข้อมูล แต่ล้มเหลวในระยะยาว เพราะไม่สามารถสร้างความแตกต่างระหว่างบทบาทของแบรนด์สินค้า กับแบรนด์บริษัท ทั้งที่ยาฮูควรโดดเข้าหาพัฒนาการใหม่ๆ บนโลกอินเทอร์เน็ต พร้อมกับกลยุทธ์ใหม่ๆ และแบรนด์ใหม่

อนาคตบริษัทที่มีหลากหลายแบรนด์จะมีความสำคัญมากขึ้น แต่ก็จำเป็นต้องมีโฟกัสที่ชัดเจน ลองเปรียบเทียบโฟกัสของแอปเปิลและบริษัทไฮเทครายอื่นๆ จะทำให้เห็นความแตกต่าง

ไมโครซอฟท์ เป็นบริษัทซอฟต์แวร์ที่วอกแวกมองข้างทางมาตลอดหลายปี เพราะต้องการพัฒนาฮาร์ดแวร์ เห็นได้จากเครื่องเล่นเพลงซูน (Zune) คอนโซลเกมเอ็กซ์บ็อกซ์ แท็บเล็ตเซอร์เฟซ และแยมเมอร์ เว็บเครือข่ายสังคมสำหรับองค์กร เช่นเดียวกับกูเกิลที่พยายามจะลงหลักปักฐานกับการเป็นแบรนด์ฮาร์ดแวร์ ผ่านแท็บเล็ตเน็กซัส สมาร์ทโฟนโมโตโรลา

ขณะที่ เดลล์และฮิวเลตต์-แพคการ์ด (เอชพี) 2 บริษัทฮาร์ดแวร์ที่เคยยิ่งใหญ่ กลับพยายามจะรุกคืบในธุรกิจซอฟต์แวร์ เพราะเล็งเห็นว่าจะไม่สามารถทำเงินจากธุรกิจฮาร์ดแวร์ได้เป็นกอบเป็นกำ

แต่แอปเปิล มีจุดเริ่มต้นมาจากการผลิตฮาร์ดแวร์ และดำเนินมาถึงตอนนี้ หากต้องการสร้างแบรนด์บริษัทที่เข้มแข็ง ก็จำเป็นต้องมีโฟกัสที่แคบ ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับการสร้างแบรนด์สินค้าให้แข็งแกร่ง

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2555

ดับเครื่องเข้าเสย !!?

แต่ทุกอย่าง “เดอะตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ ว่าที่ “รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย” หรือ “มท.๒” ..เขาก็เปิดเผย
“ภรรยา” มีกี่คน ก็แจ้งให้สังคมรับทราบ
ไม่ปกปิดอำพราง ซ่อนอย่างนักการเมืองบางพรรค หรอกครับ
อีกทั้งไม่เคย “ตีท้ายครัว” ชิงเมียเพื่อน มานอนกกกอด ให้เกิดประวัติกระด่างกระดำ
เปิดโปง “ตู่-จตุพร”...แต่ไฉนถึงได้ย้อน..กระดอนเข้าตัวเอง ซะมิดด้าม

+++++++++++++++++++++++++++++++++

“ธุรกิจ” อำพราง
หากเจาะเวลาหาอดีต ดูการแต่งงาน ของ “อดีตรัฐมนตรีหลายคน”..ล้วนตกแต่งเพื่อหาสตางค์
บางคนเคยคุ้ม “สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค” มาก่อนนะลุง..
มี “เจ้าพ่อบ้านสรรจัด” ระดับล่าง ระดับกลาง ซึ่งเป็นมือหนึ่งตลาดหลักทรัพย์..ใส่ซองช่วยงานทีละเป็นล้าน เป็นการ “คอรัปชั่น” ระดับสูง
เหตุการณ์ถึงจะผ่านมา อยากให้ “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ “ป.ป.ช.”เข้าไปสอบ
เรื่องของรัฐบาลเก๊า..เก่า..แต่ทำเรื่องงี่เง่า...ต้องเล่นงานเค้า เพราะทำตัวเป็นผีปอป

+++++++++++++++++++++++++++++++++++

แก้หนี้สินอย่างเด็ดขาด
เดินหน้าเต็มร้อย สำหรับ “คุณพี่ฉลาด ขามช่วง” สส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานกรรมาธิการ แก้ปัญหาหนี้สินแห่งชาติ
ด้วยปัญหาหมักหมม จาก กองทุนกู้ยมเพื่อการศึกษา “กยศ” มีหนี้ค้างสะสมยอดสูงโด่ง ๘หมื่นล้าน
ผู้จบหลักสูตรการศึกษา ไม่สามารถปลดเปลื้องชำระได้..จำเป็นต้อง “พักหนี้สิน กยศ เหมือนกับที่ “พักหนี้เสีย” เกษตรกรเอาไว้ ..ดังที่ “กรรมาธิการแก้ปัญหาหนี้สินแห่งชาติ” เคยพักชำระมาก่อน ไงล่ะท่าน
เรื่องใหญ่อีกเรื่อง ที่ “ประธานฯฉลาด ขามช่วง” ลุยไม่เลี้ยง การตรวจสอบการใช้เงิน ๓.๕ แสนล้านบาท งบการป้องกันน้ำท่วม ไม่ยอมให้มีการ “รั่วไหล” เสร็จสรรพ
ใครมาโกงกินหรือตักตวง... “ท่านฉลาด ขามช่วง”...ไม่ยอมปล่อยเงินหลวง ถูกโกงได้หรอกครับ

+++++++++++++++++++++++++++++++

ว่าเขาอิเหนาเป็นเอง
ไม่เคยสำรวจกำพืดตัวเอง ว่าแสนจะเส็งเคร็ง
ใครกันหนอ ที่ไปถ่ายรูป กับ “บังรอน” พ่อค้ายาเสพติดระดับโลก ดูแล้วเป็นการจุนเจือ
เที่ยวไปฟ้องศาล?.. เพื่อเกื้อกูลคดี “ฆ่าตัดตอน”ที่กลุ่ม “ค้ายาเสพติด” ฆ่ากันเองเป็นเบือ
จริงอยู่เราไม่รู้ว่า ใครค้ายาเสพติด..แต่เมื่อพฤติการณ์ของเขาเปิดโปงแล้ว..เราควรที่จะหยุด
พฤติการณ์มันชัด...ยังไม่ช่วยนี่ช่างบ้าชะมัด...ดูแล้วให้ขัดหูขัดตาเป็นที่สุด

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ผลงานเด่น
เรื่องปราบปรามยาเสพติด ของ “บิ๊กออฟ” พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร.ใครก็เห็น
หลายฝ่ายต่างเข็น ที่จะให้ “พล.ต.อ.เพรียวพันธ์” เป็นตัวเลือก ชิง “ผู้ว่าฯ กทม.”
เท่าที่รู้ “บิ๊กออฟ” บอกต่อคนใกล้ชิด ว่าตนเองนั้น ขอปฏิเสธ “ตามคำขอ”
เรื่องการเป็น “ผู้ว่าฯ กทม.” ปล่อยให้ “นักการเมืองมืออาชีพ” เขาชิงธงกันไป
“บิ๊กออฟ”เป็นมือปฏิบัติ...เรื่องชิงเก้าอี้ท่านไม่ถนัด..ฉะนั้นใครอย่ามายัดเหยียดให้


โดย:คอลัมน์ ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

โกร่ง.เตือนแบงก์รับมือ AEC หวั่น เงินฝาก ไหลออก เฟอร์นิเจอร์-ปิโตรฯหนัก !!?

“โกร่ง” มองหลังเปิดเออีซี แบงก์ไทยเสียเปรียบแข่งขันเงินฝากไหลไปแบงก์ต่างประเทศ แนะปรับให้สอดคล้องกัน พร้อมประเมินผลงานผู้ว่า ธปท.แต่อุบไม่เปิดเผย "บัณฑิต" ชี้ผู้ประกอบการไทยหาประโยชน์จากการเปิดเออีซี

นายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงานปาฐกาพิเศษเรื่อง “เพิ่มพลังขีดแข่งขันรับบริบทใหม่ AEC” ว่า หลังเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 จะเกิดการไหลของปริมาณเงินฝากไปยังสถาบันการเงินต่างประเทศที่ไม่มีภาษีเงินฝาก ทำให้สถาบันการเงินไทยเสียเปรียบการแข่งขัน

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องการปรับโครงสร้างภาษี เช่น ภาษีเงินปันผล ซึ่งหากไทยยังมีอัตราภาษีสูง ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ไม่มีภาษี ทำให้เงินไหลไปลงทุนในประเทศที่ไม่มีภาษี เช่น ในฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย แม้ว่าขณะนี้ภาษีเงินได้นิติบุคคลของไทยจะได้ปรับลดเหลือ 23% ในปี 2555 และเหลือ 20% ในปี 2556 และจะมีการพิจารณาเรื่องภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งปัจจุบันมีอัตราภาษีสูงถึง 37% ก็ต้องเปรียบเทียบกับประเทศอื่นในอาเซียนเพื่อไม่ให้เกิดความแตกต่างกันมากด้วย

“ข้อแตกต่างด้านกฎระเบียบของแบงก์ไทยและแบงก์ในอาเซียนจำเป็นจะต้องทำให้สอดคล้องกัน เพื่อลดความได้เปรียบเสียเปรียบทางด้านการแข่งขัน แต่เชื่อว่าที่ประชุมธนาคารกลางอาเซียนคงมีการหารือในเรื่องนี้กันมามากแล้ว” นายวีรพงษ์ระบุ

พร้อมกันนี้ นายวีรพงษ์ยังเปิดเผยภายหลังการประชุม กกธ.เพื่อประเมินผลการทำงานของนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธปท. ว่า เรื่องนี้ถือเป็นความลับ คงไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ แต่โดยภาพรวมส่วนตัวอยากเห็น ธปท.เป็นองค์กรขุมทางวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์มหภาคและนโยบายการเงิน ที่สามารถอธิบายต่อสาธารณชนได้ชัดเจน โดยเฉพาะในการดำเนินนโยบายการเงิน เพราะเป็นเกียรติภูมิที่สำคัญของ ธปท.

ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า อุตสาหกรรมไทยที่ได้โอกาสจากการเปิด AEC คือกลุ่มยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เนื่องจากตลาดที่ใหญ่ขึ้น ทำให้สามารถส่งออกได้มากขึ้น แต่กลุ่มที่เสียโอกาส คือเฟอร์นิเจอร์ เนื่องจากลูกค้ามีทางเลือกมากขึ้น ส่วนกลุ่มที่เสียเปรียบอยู่แล้วและจะเสียเปรียบมากขึ้น คือกลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี เนื่องจากต้องแข่งขันกับประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย ที่มีความแข็งแกร่งในอุตสาหกรรมนี้อยู่แล้ว

นายบัณฑิต นิจถาวร กรรมการผู้อำนวยการ สมาคมส่งเสริมสถาบันบริษัทไทย เปิดเผยว่า ในโอกาสที่จะมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 นี้ นับเป็นโอกาสอันดีที่ผู้ประกอบการไทยจะได้หาตลาดใหม่ๆ ในการลงทุน ซึ่งผู้ประกอบการขนาดใหญ่นั้นไม่ค่อยน่าเป็นห่วงนักในเรื่องของความพร้อมสำหรับการหาประโยชน์จากเออีซี แต่ผู้ประกอบการขนาดเล็กนั้นค่อนข้างน่าเป็นห่วง

“ส่วนตัวคิดว่าเออีซีจะทำให้ผู้ประกอบการไทยได้รับประโยชน์ แต่ก็มีความกังวลในเรื่องของผู้ประกอบการขนาดเล็กที่อาจจะไม่สามารถแสวงหาโอกาสจากการเปิดเออีซีได้ เนื่องจากความไม่พร้อม ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่ผู้ประกอบการขนาดเล็กจะต้องหันมาให้ความสนใจกับการยกระดับผลิตภัณฑ์ และพัฒนาองค์กรให้อยู่ในเกณฑ์ที่สามารถแข่งขันได้”

นายพิชัย ชุณหวชิร นายกสภาวิชาชีพบัญชีในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยว่า การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนถ้าจะให้ดี ไทยกับประเทศในกลุ่มอาเซียนจะต้องร่วมมือกันทำการค้า และเปิดตลาดร่วมกัน ดีกว่าที่จะแสวงหาประโยชน์จากการค้ากันเองภายในกลุ่ม โดยตลาดที่ใหญ่และใกล้อาเซียนอย่างจีน กำลังอยู่ในช่วงดำเนินการพัฒนาและยกระดับพื้นที่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้อย่างในมณฑลกานซู กวางตุ้ง เซี่ยงไฮ้.

ที่มา.ไทยโพสต์
____________________________________________________________________________

สัปดาห์ร้อนของยูโรโซน !!?



สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ร้อนของยูโรโซน มีหลายเหตุการณ์สำคัญที่จะชี้ชะตาการคลายปมวิกฤติหนี้ 17 ชาติยุโรป

สัปดาห์นี้ เป็นสัปดาห์อันตรายสำหรับยูโรโซน เนื่องจากเต็มไปด้วยเหตุการณ์สำคัญๆ ที่อาจส่งผลต่อการแก้ไขวิกฤติหนี้สาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นการพิพากษาของเยอรมนี การลงคะแนนของเนเธอร์แลนด์ การตรวจสอบของไอเอ็มเอฟ และผู้คุมกฎระเบียบของเบลเยียม

วันพุธที่ 12 กันยายน เป็นวันที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นกำหนดที่ศาลรัฐธรรมนูญเยอรมนีจะตัดสินว่า กองทุนถาวรช่วยเหลือยูโรโซน หรือที่รู้จักกันในนาม กลไกรักษาเสถียรภาพยุโรป (อีเอสเอ็ม) เป็นกองทุนที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ขณะที่คณะกรรมาธิการยุโรป (อีซี) ก็จะเปิดเผยรายละเอียดแผนการสำหรับสหภาพธนาคารยูโรโซน และเนเธอร์แลนด์จัดการเลือกตั้งทั่วไป

จากนั้น ในวันศุกร์ที่ 14 กันยายน คณะรัฐมนตรีคลังยุโรปจะประชุมร่วมกันที่ไซปรัส เพื่อหาทางขจัดความเห็นแตกต่างเกี่ยวกับการกำกับดูแลธนาคาร และความเป็นไปได้ที่จะให้ความช่วยเหลือพิเศษแก่ สเปน ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 4 ของยูโรโซน และกรีซ ประเทศต้นตอการเกิดวิกฤติ

การตัดสินใจเกี่ยวกับสเปน และกรีซ มีแนวโน้มว่าจะยังไม่เกิดขึ้นก่อนเดือนตุลาคม แต่การเจรจาของเหล่ารัฐมนตรีคลังอาจมุ่งประเด็นว่า สเปนจะขอความช่วยเหลือจากยุโรปหรือไม่ แลกกับเงื่อนไขที่ไม่พึงประสงค์และการกำกับดูแล และอีกประเด็น คือ คณะผู้ตรวจสอบของสหภาพยุโรป (อียู) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) มีแนวโน้มช่วยให้กรีซอยู่รอดต่อไปหรือไม่

ช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ยุโรป ต้องกลั้นใจรอคำตัดสินของศาลเยอรมนี ซึ่งมีอำนาจมากพอที่จะชี้ชะตาอีเอสเอ็ม และข้อตกลงรักษาวินัยงบประมาณ แม้ผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายส่วนใหญ่คาดว่า ศาลเยอรมนีจะอนุญาตให้เดินหน้าจัดตั้งกองทุนอีเอสเอ็ม แต่ก็เชื่อว่าจะต้องมีเงื่อนไขอย่างเข้มงวดสำหรับการให้ความช่วยเหลือในอนาคต

ผลการตัดสิน อาจทำให้นายกรัฐมนตรี "แองเกลา แมร์เคิล" แห่งเยอรมนี ทำอะไรไม่ถนัดนัก หรืออย่างน้อยก็ทำให้การสนับสนุนแผนการช่วยเหลือเป็นไปอย่างยากลำบากขึ้น ดูจากการต่อต้านของสาธารณชนต่อการตัดสินใจของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ในการซื้อพันธบัตรของประเทศที่มีความสุ่มเสี่ยง

หากศาลรัฐธรรมนูญคัดค้านอีเอสเอ็ม ก็จะส่งผลกระทบรุนแรงต่อตลาดพันธบัตรและเงินตรา ทำให้ยูโรโซนประสบความยุ่งยากมากขึ้น จากความเคลือบแคลงถึงการให้ความช่วยเหลือประเทศสมาชิกทางตอนใต้ที่แบกภาระหนี้สินก้อนโต

แต่หากศาลรัฐธรรมนูญ เปิดไฟเขียวแบบมีเงื่อนไข ก็อาจสร้างทำให้การบริหารจัดการวิกฤติซับซ้อนขึ้น โดยเงื่อนไขอาจเป็นการให้สิทธิวีโต้แก่รัฐสภา ในการให้ความช่วยเหลือแต่ละครั้ง หรือกำหนดเพดานความรับผิดชอบของเยอรมนี ต่อภาระหนี้สินของประเทศอื่นๆ ในยูโรโซน

ผลสำรวจความเห็นผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายโดยสำนักข่าวรอยเตอร์ ประมาณ 1 ใน 4 คาดว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะระบุว่า การรวมตัวของยุโรปมาถึงจุดที่กฎหมายพื้นฐานของเยอรมนีกำหนดไว้แล้ว การผนึกกำลังใดๆ ที่ลึกซึ้งขึ้นจะต้องผ่านการลงประชามติสำหรับรัฐธรรมนูญใหม่

ด้านเนเธอร์แลนด์ ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ดูเหมือนการเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้จะลงเอยด้วยอัมพาตทางการเมือง หรือรัฐบาลต้องตกเป็นทาสของกลุ่มระแวงยูโรซ้ายจัดหรือขวาจัด ซึ่งจะทำให้การสนับสนุนจากรัฐสภาในการช่วยเหลือยูโรโซนในอนาคตเป็นเรื่องแทบเป็นไปไม่ได้

แต่การสำรวจความเห็นล่าสุด พบว่า พรรคลิเบอรัลสายกลางขวา ของนายกรัฐมนตรีรักษาการ "มาร์ก รัทเทอ" และพรรคแรงงานสายกลางซ้าย มีคะแนนสูสีกัน ขณะที่เสียงสนับสนุนพรรคประชานิยมซ้ายจัดและต่อต้านผู้อพยพ มีกระแสแผ่วลง บ่งชี้ว่าเนเธอร์แลนด์อาจได้รัฐบาลผสมที่สนับสนุนยุโรป

ถึงอย่างนั้น อาจต้องใช้เวลานานหลายเดือนในการเจรจา ก่อนที่เนเธอร์แลนด์จะมีรัฐบาลที่มีอำนาจเต็ม ก่อให้เกิดข้อสงสัยถึงความสามารถของประเทศแห่งนี้ ในการที่จะตกลงใดๆ ต่อขั้นตอนการรวมยูโรโซนใกล้ชิดยิ่งขึ้น

ขณะเดียวกัน ข้อเสนอจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลธนาคารร่วมโดยอิงจากอีซีบี และระบบแก้ปัญหาธนาคารในอนาคต ที่ "โฮเซ มานูเอล บาร์รอสโซ" ประธานอีซี จะเปิดเผยรายละเอียดในวันพุธนี้ (12 ก.ย.) มีความขัดแย้งเกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว

เยอรมนี ซึ่งต้องการสงวนสิทธิควบคุมธนาคารของรัฐ และธนาคารออมทรัพย์ ยืนยันว่า อีซีบี ควรกำกับดูแลเฉพาะธนาคารข้ามชาติชั้นนำ 25 ราย และปล่อยที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของผู้ควบคุมกฎระเบียบในประเทศ โดย "วูล์ฟกัง ชอยเบิล" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเยอรมนี กล่าวว่า อีซีบี ไม่สามารถดูแลธนาคารทั้งหมด 6,000 แห่งทั่วยูโรโซน

แต่อีซี และอีซีบี ต้องการคณะกรรมการกำกับดูแลชุดใหม่ที่มีอำนาจสอดส่องผู้ปล่อยกู้ทั้งหมด และมีแนวโน้มว่านายธนาคารส่วนใหญ่จะเห็นพ้องด้วย

สถานการณ์ของยูโรโซนจะไปในทิศทางใด อีกไม่กี่วันนี้ก็จะได้รู้กัน


ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

มติ : วุฒิสภา ถอดถอน สุเทพ ผจญปัจจัยเสี่ยงสูงร้อนรนและกลัดกลุ้ม !!?

ยังไม่รู้แน่ชัดว่า วุฒิสภาจะลงมติ ตัดสินอนาคตทางการเมืองของนาย สุเทพ เทือกสุบรรณ เมื่อใด แต่ปฏิทินคร่าวๆ ที่นายนิคม ไวยรัชพานิช ประธาน วุฒิสภากำหนดไว้คือ 18 กันยายน นี้ วุฒิสภาคงต้องลงมติถอดถอนนายสุเทพออกจากตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่

อันที่จริง ปัจจุบันนายสุเทพมีตำแหน่ง ทางการเมือง (ชัดเจน) เพียงตำแหน่งเดียว คือ เป็น ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ แต่ตำแหน่งที่ต้องถูกถอดถอนนั้น กลับเป็นตำแหน่ง ็รองนายกรัฐมนตรีิ เมื่อปี 2552 ซึ่งเป็นเรื่องเก่า ราวกับเป็นกรรมติดจรวดตามมาเอาคืนในปี 2555 ซ้ำร้ายเจ้ากรรมนายเวรกลับเลือกเวลาเอาคืนในยามที่นายสุเทพเป็นพรรคฝ่ายค้าน ไร้อำนาจวาสนาปกป้องตัวเองอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม การลงมติถอดถอนนายสุเทพของวุฒิสภาในปี 2555 กลับพัวพันและลากโยงไปกระทบกับตำแหน่ง "ส.ส." ในปัจจุบันอย่างยากจะหลีกเลี่ยงได้นั่นเป็นเพราะ ในผลบังคับของรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 105 (5 และ 6) ประกอบด้วยมาตรา 102 มาตรา 266 และ มาตรา 268 กำหนดลากโยงกันจนงงงวย แต่สรุปสั้นๆ ได้ว่า หากผลการประชุม วุฒิสภามีมติถอดถอนนายสุเทพแล้ว เขาต้องพ้นจากตำแหน่ง ส.ส.และถูกเว้นวรรค ทางการเมือง 5 ปีด้วยต้องขีดเส้นหนาๆ ใต้ "ตำแหน่ง ส.ส." เพราะถ้านายสุเทพพ้นจาก ส.ส. เท่ากับไม่มี "เอกสิทธิ์คุ้มครอง" ไร้เกราะปกป้องตัวจากคดีความข้อหาหนักๆ หลาย คดีที่เขาต้องผจญในปัจจุบัน

นายสุเทพคงถูกอำนาจโดดเดี่ยว และ อาจร้อนรนกับความผิดต่างๆ ที่หวนย้อนกลับมาเล่นงาน แน่ล่ะเป็นธรรมดาของมนุษย์ นายสุเทพต้องป้องกันตำแหน่ง ส.ส. ไว้เป็นเกราะป้องกันภัยของตัวเองจนสุดกำลังมีถึงที่สุดจำนวนเสียงของวุฒิสภาที่จะลงมติถอดถอนจึงเป็นเพียงช่องทางเดียวที่เปิดโอกาสให้นายสุเทพได้ดิ้นรนต่อสู้เพื่อเก็บตำแหน่ง ส.ส.ให้อยู่รอดปลอดภัย

"สุเทพ" คงเหนื่อยน่าดูชมเลยละ...ย้อนกลับไปต้นทางปัญหาที่นำไปสู่เรื่องราวให้วุฒิสภาต้องออกแรง ็ถอดถอนิ ในอนาคตอันใกล้นี้ต้นปัญหาเกิดจากนายสุเทพเมื่อสมัยเป็นรองนายกรัฐมนตรีในปี 2552 เขา ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีส่ง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์จำนวน 19 คนไปช่วยงานในกระทรวงวัฒนธรรม จนทำให้คณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตั้งกรรมการสอบสวนเอาผิด

ผลการสอบสวนของ ป.ป.ช.เป็นที่สิ้นสุดเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2555 ว่า นายสุเทพมีความผิดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 268 ประกอบมาตรา 266 (1) เพราะ ไป "ก้าวก่ายหรือแทรกแซง" การปฏิบัติราชการเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ของ ผู้อื่น ของพรรค ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมสงสัยกันทั่วบ้านทั่วเมือง เพราะคน ธรรมดาทั่วไปเข้าใจว่า ป.ป.ช. มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับพรรคประชาธิปัตย์ด้วยดีและไม่เสื่อมคลายอำนาจเสมอมา แต่ด้วยเหตุผลแห่ง "อำนาจ" อีกเช่นกันจึงทำให้นายสุเทพต้องถูก ป.ป.ช. เล่นงานอย่างเจ็บปวดและยิ่งเจ็บร้าวลึกๆ ชนิดต้องจดจำ เมื่อถูกนายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการและโฆษก ป.ป.ช. แถลงเอาผิด ด้วยการงัดพจนานุกรมมาเทียบเคียงถ้อยคำ "ก้าวก่าย" และ "แทรกแซง" แล้วนำไปชี้มูลความผิดเล่นงานนาย สุเทพว่า กระทำการขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 268 และมาตรา 266 (1)

"พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 คำว่า "ก้าวก่าย" หมายความว่า ล่วงล้ำเข้าไปยุ่งเกี่ยวหน้าที่ ผู้อื่น เหลื่อมล้ำ ไม่เป็นระเบียบ เช่น งาน ก้าวก่ายกัน ส่วนคำว่า "แทรกแซง" หมายความว่า "แทรกเข้าไปเกี่ยวข้องในกิจการของผู้อื่น" นายกล้าณรงค์ ยกพจนานุกรมมามัดความผิดนายสุเทพให้แน่นหนา นาย สุเทพจึงต้องรับกรรมทางการเมืองไปตาม คำนิยามของพจนานุกรม ดุจเดียวกับนาย สมัคร สุนทรเวช ถูกศาลรัฐธรรมนูญเล่นงานมาแล้วในข้อหา "ทำกับข้าวออกโทรทัศน์" นั่นเอง

ผลการชี้มูลความผิดของ ป.ป.ช. จึง นำไปสู่ขั้นตอนวุฒิสภาต้องลงมติถอดถอน ออกจากตำแหน่งทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 270 และ มาตรา 274 ทั้งหมดนั้น ล้วนเป็นปัญหามีต้นทาง อันระทึกของนายสุเทพ และการชี้มูลความผิดของ ป.ป.ช. ชนิดมึนตึ้บทั่วบ้านทั่วเมืองกันทีเดียวต้องเข้าใจว่า ป.ป.ช. ไม่ใช่ศาลสถิตยุติธรรม เป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งของกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเป็นต้นทางนำปัญหาข้อกฎหมายทางการเมืองไปสู่การตัดสินของศาลหรือวุฒิสภาเท่านั้นและที่สำคัญวุฒิสภา ย่อมไม่ได้ทำหน้าที่ของศาลเช่นเดียวกัน ผลการตัดสิน ของวุฒิสภาจึงเป็นเพียงการลงโทษทาง การเมืองไปตามกติกาของรัฐธรรมนูญ 2550 กำหนดหลักเกณฑ์ไว้เท่านั้น

ดังนั้น นายสุเทพจะรอดพ้นจากการ ตัดสินทางการเมืองได้ เขาต้องออกแรงทางการเมืองอย่างหนักด้วยเช่นกันที่แน่ๆ คือ การออกแรงทางการเมือง ย่อมมีนิยามอำนาจเข้าไปเกี่ยวข้องกับปัจจัยกำหนดผลแพ้-ชนะในเชิงตัวเลขการออกเสียงในที่ประชุมวุฒิสภาด้วยเหมือนกันตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 274 กำหนดจำนวนเสียงที่ต้องใช้ถอดถอนไว้มากถึง 3 ใน 5 จากจำนวนที่วุฒิสมาชิกมีอยู่จริง

ข้อเท็จจริงระบุว่า จำนวนวุฒิสภามีจำนวนเต็มทั้งสิ้น 150 คน มาจากการสรรหา 75 คน และมาจากการเลือกตั้งจังหวัดละคนจำนวน 75 คน แต่ปัจจุบันวุฒิสภาเหลืออยู่เพียง 146 คน ดังนั้น จำนวนเสียงที่จะใช้ถอดถอน นายสุเทพให้เป็นผลก็คือ 89 เสียง ซึ่งจัดว่ายาก แต่กลับทำให้นายสุเทพหนาวๆ ร้อนๆ ออกอาการรนๆ อย่างผิดวิสัยของนักการเมืองปากกล้า ผู้มีแต่ความองอาจในทางการเมือง ถ้าถอดแบบจำนวนเสียงวุฒิสภาออกเป็นชิ้นส่วนตามภาคแล้ว พบว่า จำนวนวุฒิสมาชิกสายสรรหา 75 คนนั้น ในจำนวนนี้ 40 คน เป็นเสียงฝ่ายภาคประชาชนที่เอนเอียงไปทางกลุ่มพันธมิตร ประชาธิปไตยเพื่อประชาชนเอามากๆ

โดยเฉพาะในสถานการณ์การเมือง ปัจจุบัน นายสุเทพและพรรคประชาธิปัตย์ นั้น อยู่ในอาการหมางเมินกัน ดังนั้นจำนวน เสียงในส่วนนี้ คงมาสนับสนุนนายสุเทพได้น้อยเต็มทนอย่างยิ่ง เมื่อพิจารณาจากวุฒิสมาชิกสายเลือกตั้ง 75 คนแล้ว แน่นอนสายจังหวัดอีสานและเหนือคงตัดขาดนายสุเทพไปแล้ว ส่วนทางภาคใต้จำนวน 14 คน คงยืนข้างนายสุเทพเช่นกันสิ่งสำคัญตัวเลขจากวุฒิสายภาคกลาง จำนวน 12 คนกับวุฒิสายสรรหาบางส่วน จึงเป็นเป้าหมายการอยู่รอดทางการเมือง ของนายสุเทพ

อนาคตการเมืองของนายสุเทพจะรอดจากถูกถอดถอนคือตัวเลข 14+12+ 9+30+จำนวนที่ต้องโน้มน้าวดึงจากสายวุฒิ 40 อีกบางส่วนตัวเลขทั้งหมดตรงนี้ จึงทำให้นายสุเทพต้องออกแรงกับปัจจัยอย่างมากเพื่อสร้างหลักประกันทางการเมืองอย่างเหนื่อยล้ายิ่ง
ว่ากันว่า ปัจจัยสนับสนุนความมั่นใจ ของนายสุเทพมีตัวเลขสูงพอดูทีเดียว เนื่องจากตัวเลขตามเป้าหมายการตัดสินอนาคตการเมืองอยู่ในอาการค่อนข้าง สุ่มเสี่ยง

เป้าหมายตัดสินอนาคตการเมืองของนายสุเทพมีอยู่ 2 ระดับคือ หนึ่งเขาต้องมีเสียงสนับสนุนมากกว่ากึ่งของจำนวน วุฒิสภา และสองต้องออกแรงอย่างหนักเพื่อไม่ให้เสียงถอดถอนมีถึงจำนวน 89 คน ตามเกณฑ์จำนวน 3 ใน 5 ของมาตรา 274 เพราะอนาคตตามเป้าหมายดังกล่าว นั้น คือ ศักดิ์ศรีทางการเมืองค้ำคอไว้อย่าง น่าระทึกด้วย ถ้านายสุเทพรอดจากถูกถอดถอน แต่ เสียงสนับสนุนไม่ถึงครึ่งของวุฒิสภาแล้ว ศักดิ์ศรีทางการเมืองคงดูไม่จืดค่อนข้างแน่ อนาคตการเมืองของนายสุเทพในยามนี้ ไม่ได้อยู่ที่เสียงถูกถอดถอนจำนวน ไม่น้อยกว่า 89 คน แต่อยู่ที่เสียงสนับสนุน ให้อยู่ต่อจะมีจำนวนเกินครึ่งของวุฒิสภาหรือไม่ถึงที่สุดจะออกมาแบบไหน นายสุเทพ ก็เหนื่อยจนเกิดอาการร้อนรนอย่างยิ่ง

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ไขวิวาทะ : WHITE LIE รัฐปลอบใจตัวเอง !!!?

ใต้ภาวการณ์ทางเศรษฐกิจที่ขยับลงกราวรูด! เวลานี้ทั้งภาครัฐและเอกชนต่างระดม “สรรพกำลัง” เข้ามาจัดการปัญหาเหล่านี้ ที่ล้วนมีผลกระทบต่อเนื่องจากปีนี้ไปจนถึงปีหน้า โดยเฉพาะการปั้นตัวเลขการส่งออก ที่รัฐบาลยังแก้ไม่ตก หลังจากเลวร้ายถึงขีดสุด เพราะโตแค่ 5% เท่านั้น หรือแม้แต่ราคาสินค้าเกษตร ที่วันนี้ยังคงตกต่ำไม่เลิก...

ด้วยเหตุและปัจจัยดังกล่าว พลันให้ “กิตติรัตน์ ณ ระนอง” รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ได้หลุดปาก ฝังกลบความจริงในเรื่องการส่งออก ประกาศชัดว่า...ปีนี้ไทยจะส่งออกได้เกิน 15% ทำให้พรรคการเมือง “ฝ่ายค้าน” ได้ออกมาโจมตีอย่างหนักว่า “ขุนคลัง” ริปั้นตัวเลขทางเศรษฐกิจ ด้วยการยกเอาวลีเด็ด “โกหกสีขาว” ออกมาประจาน และใช้เป็น “จุดอ่อน” ถล่มใส่รัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”

ทั้งหมดทั้งปวง ทำให้ “กิตติรัตน์” ตกอยู่ในภาวะ “กลืนไม่เข้า...คายไม่ออก” ทั้งการตอบคำถามกับสังคม และยังมีกระทู้ถามสดจาก “เกียรติ สิทธีอมร” ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ยังค้างอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร เรื่องนี้แม้จะมองว่า “กิตติรัตน์” มีเจตนาดีที่หวังจะเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนก็ตาม แต่คงรู้แจ้งเห็นชัดว่า ภาคการส่งออกจะโตถึง 15% ในปีนี้... ย่อมเป็นไปไม่ได้! เหนืออื่นใด เรื่องการเติบโตของตัวเลขส่งออก คงมิใช่แค่เรื่องที่ไม่ได้เสียเท่านั้น แต่การคาดการณ์ที่ผิดพลาด ย่อมทำให้การวางแผนบริหารประเทศล้มเหลวไปในคราวเดียวกัน

“สุกิจ คงปิยาจารย์” นายกสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย บอกว่า การประชุมที่รัฐบาลเรียกเอกชนไปร่วมนั้น “ไม่มีอะไรใหม่ พูดเรื่องเดิมๆ ซ้ำซาก” โดยเฉพาะเรื่องตัวเลข 4 เดือน ที่เหลือของปีนี้ ไม่มีผลอะไร เพราะปิดฤดูกาลสั่งซื้อสินค้าไปแล้ว สิ่งที่เอกชนเห็นว่ารัฐบาลควรทำคือมองไปข้างหน้า เพราะปีหน้าจะหนักและเหนื่อยกว่านี้ ส่วนตัวเลขเป้าหมายนั้น จะปรับลดลงเหลือเท่าไร เอกชนไม่สน ขอแค่ว่าภาครัฐจะช่วยทำอะไรให้มากกว่าเดิม สรุปได้ว่าภาครัฐกับเอกชน “พูดกันคนละภาษา” ทั้งๆ ที่ใช้ภาษาไทยเหมือนกัน เพราะทางการต้องการยกตัวเลขอัตราโตของการส่งออกมาเป็น “เป้า” ขณะที่เอกชนมองดูว่าจะ “บริหาร” ให้ผ่านการตกต่ำของการส่งออกได้อย่างไร โดยต้องแยกแยะลงไปที่แต่ละอุตสาหกรรม และแก้ปัญหาด้วยการลงไปลุยในแต่ละจุด รัฐมนตรีหลายกระทรวงจึงพูดกันไปคนละทาง แม้ต่างจะพยายามใช้วิธีการ “ปลอบใจตัวเอง” ว่าสถานการณ์ไม่ได้ย่ำแย่ถึงขนาดนั้น

ด้าน “พรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล” รองประธานกรรมการ “หอการค้าไทย” กล่าวว่า มุมมองภาคเอกชนคงไม่ได้กังวลมากในเรื่องดังกล่าว เพราะที่ผ่านมาก็ได้ระบุตลอดว่าการส่งออกในปีนี้จะไม่ถึงตามเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้แต่แรกอยู่แล้ว แต่ภาครัฐก็ยังยืนยันเป้าหมายดังกล่าวมาตลอด และปฏิเสธที่จะปรับลดเป้าหมายการส่งออกลงตามความเป็นจริง ซึ่งก็เข้าใจว่าส่วนหนึ่งภาครัฐอาจจะยังมีความมั่นใจอยู่ว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายจากที่เขาศึกษาข้อมูลดีอยู่แล้วจึงได้มีการยืนยันหนักแน่น

“การออกมายอมรับว่าต้องโกหกเพื่อสร้างความเชื่อมั่นนั้น คงจะไม่ส่งผลอะไรในครั้งนี้ แต่กังวลว่าในอนาคตหากรัฐบาลตั้งเป้าหมายอะไรขึ้นมาก็จะไม่มีใครให้ความเชื่อมั่นหรือให้ความไว้วางใจ เพราะไม่แน่ใจว่าจริงหรือเท็จ ซึ่งหากภาครัฐทำอย่างนี้บ่อยๆ ตัวเลขอะไรที่ออกมาจากภาครัฐมันจะไม่น่าเชื่อถือซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงโดยเฉพาะเครดิตของรัฐบาลในอนาคต”

ขณะที่ “รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์” นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง ย้ำหัวตะปูว่า รัฐบาลต้องพูดความจริง เพราะนักลงทุนเชื่อข้อมูลของรัฐบาลเป็นหลัก แต่การที่รัฐบาลออกมาบอกว่าตัวเลขเศรษฐกิจของรัฐบาล เป็นการ “โกหกสีขาว” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนนั้น เป็นสิ่งที่ไม่น่าถูกต้อง และในระยะต่อไปข้อมูลของรัฐบาลจะไม่ได้รับความเชื่อถือจากนักลงทุนอีกต่อไป

“การตั้งเป้าเศรษฐกิจของรัฐบาลที่จะมองเป็นภาพทางบวกนั้นไม่ใช่เรื่องผิดแต่ตัวเลขที่ประเมินต้องใกล้เคียง กับความเป็นจริงมากที่สุด และสุดท้ายเมื่อมีแนวโน้มว่าตัวเลขที่ประเมินไม่ใกล้เคียงกับความเป็นจริง ก็ควรเร่งปรับเป้าหมายให้ใกล้ความจริงที่สุด ไม่ใช่การออกมาพูดว่าเป็นการโกหกในเรื่องที่ดีแบบนี้”

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++