--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2555

ข้าราชการ แห่เออร์ลี่รีไทร์ คลังเท 7.5 หมื่นล้าน ถ่ายเลือด !!?

นายนนทิกร กาญจนะจิตรา เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า จากการตรวจสอบจำนวนข้าราชการที่เข้าร่วมโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด (เออร์ลี่รีไทร์) ประจำปีงบประมาณ 2556 (ออกจากราชการ 1 ตุลาคม 2555)



ผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการอยู่ที่27,089 คน โดยเป็นส่วนของกระทรวงศึกษาธิการสูงสุด 12,801 คน รองลงมาคือ กระทรวงกลาโหม 4,784 คน, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 3,282 คน, กระทรวงสาธารณสุข 1,789 คน, มหาวิทยาลัย 918 คน

สำหรับในปีงบประมาณ 2555 มีข้าราชการที่มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการ 33,751 คน แต่มีผู้เข้าร่วมจำนวน 21,461 คน โดยกระทรวงศึกษาธิการ มีข้าราชการเข้าร่วมโครงการสูงสุด 9,118 คน

โดยส่วนราชการที่มีผู้เข้าร่วมโครงการในปีงบประมาณ 2555 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) 8,805 คน และกองทัพบก 5,367 คน ขณะที่จำนวนผู้เข้าร่วมโครงการประจำปีงบประมาณ 2556 ยังไม่มีข้อมูลชัดเจน เนื่องจากต้องรอข้อมูลถึงสิ้นเดือน ก.ย. 2555

นายนนทิกรกล่าวว่า ข้าราชการเข้าร่วมโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดในปี 2556 อาจสูงกว่าปีที่ผ่านมาเล็กน้อย เพราะปีนี้ถือว่าเป็นปีสุดท้ายของโครงการที่ ครม.เมื่อปี 2550 ได้อนุมัติมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ จึงทำให้ข้าราชการที่มีคุณสมบัติตามข้อกำหนดตัดสินใจเข้าร่วมโครงการมากขึ้น

"จริง ๆ แล้วเรื่องมาตรการปรับปรุงอัตรากำลังของส่วนราชการ เราตั้งใจทำอยู่ 2 เรื่องหลัก ๆ ด้วยกัน คือการปรับโครงสร้างอายุราชการทั้งระบบ เพราะปัจจุบันหน่วยราชการต่าง ๆ มีข้าราชการสูงอายุอยู่เป็นจำนวนมาก เรามีความตั้งใจที่จะถ่ายเลือดเก่าออก และเอาข้าราชการเลือดใหม่เข้ามาทดแทน" นายนนทิกรกล่าว

โดยจำนวนข้าราชการใหม่ทั้งระบบที่จะเข้ามาทำงานประจำปี 2556 มีประมาณ 40,000 กว่าคน ซึ่งถือเป็นอัตรากำลังทดแทนในสัดส่วนที่พอดีกัน

นายนนทิกรกล่าวว่า จากผลวิจัยที่ผ่านมาพบว่าข้าราชการที่เข้าโครงการเออร์ลี่รีไทร์ต้องการไปประกอบอาชีพอื่น และบางส่วนก็ต้องการนำเงินก้อนไปชำระหนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้าราชการระดับกลางถึงล่าง หรือบางกลุ่มก็ต้องการเงินไปรักษาตัวเองในกรณีเจ็บป่วย เนื่องจากเงินที่ได้จากโครงการเออร์ลี่รีไทร์จะอยู่ที่ประมาณ 8-15 เท่าของเงินเดือน บวกกับบำเหน็จบำนาญ ข้าราชการจึงมีเงินขวัญถุงก้อนใหญ่เพื่อไปประกอบอาชีพใหม่ได้

ผลศึกษาในปี 2554 พบว่า ผู้เข้าร่วมโครงการเออร์ลี่รีไทร์ในปี 2552-54 มีอายุเฉลี่ย 55-56 ปีตามลำดับ แต่เนื่องจากในปี 2555-56 ได้ปรับคุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ โดยกำหนดว่าต้องมีเวลาราชการเหลือตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป ทำให้อายุเฉลี่ยของผู้เข้าร่วมโครงการน่าจะลดลง

ขณะที่แหล่งข่าวจากกรมบัญชีกลางเปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ในปีงบประมาณ 2556 จะมีข้าราชการเกษียณอายุราชการ 17,068 ราย และผู้ที่มีสิทธิ์ยื่นเออร์ลี่รีไทร์ 27,233 ราย อย่างไรก็ดี ขณะนี้ยังมีผู้ยื่นขอเกษียณก่อนกำหนดเพียงแค่ 12,796 ราย ซึ่งตัวเลขยังไม่สมบูรณ์จึงยังไม่สามารถประเมินเม็ดเงินได้ ต้องรอให้ทุกส่วนราชการรายงานสรุปเข้ามาอีกครั้งในช่วงใกล้สิ้นเดือน ก.ย. จึงจะทำให้ทราบถึงเม็ดเงินที่จะใช้ในการจ่ายบำเหน็จบำนาญทั้งหมด

อย่างไรก็ดีหากดูจากปีที่ผ่านมา ข้าราชการเกษียณอายุตามปกติ 12,193 ราย ลูกจ้างประจำ 6,127 ราย และผู้ใช้สิทธิ์โครงการเกษียนอายุก่อนกำหนด 21,461 คน ซึ่งพบว่ามีรายงานการใช้เงินงบประมาณทั้งสิ้น 75,469 ล้านบาท แต่ในปีนี้คาดว่าน่าจะใช้เม็ดเงินน้อยกว่า เพราะจากจำนวนผู้ยื่นขอเกษียนอายุก่อนกำหนดขณะนี้มีอยู่เพียง 12,796 คน

"ตอนนี้ยังคำนวณเงินที่จะต้องใช้ทั้งหมดไม่ได้ เพราะว่าต้องดูจากอายุราชการของแต่ละคนด้วย แล้วบางคนที่มีสิทธิ์เออร์ลี่รีไทร์ แต่บางส่วนราชการก็อาจจะไม่อนุมัติ เพราะไม่ต้องการเสียอัตรากำลังอย่างกรณีทหาร เป็นต้น" แหล่งข่าวกล่าว

ขณะที่ ดร.รังสรรค์ มณีเล็ก ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพื้นฐาน เปิดเผยว่า ขณะนี้มีข้าราชการสังกัด สพฐ.ยื่นขอเออร์ลี่รีไทร์ประมาณ 9 พันคน ลดลงจากปีที่แล้วที่ยื่นขอมาประมาณ 1 หมื่นคน กระนั้นยังอยู่ระหว่างการยื่นถอนชื่อ ซึ่งจะเสร็จสิ้นกระบวนการในวันที่ 30 กันยายนนี้ โดยข้าราชการส่วนใหญ่ที่ขอเออร์ลี่รีไทร์เป็นครูประจำโรงเรียนและเจ้าหน้าที่ของส่วนกลาง

"คนขอเออร์ลี่รีไทร์ลดลงเป็นเพราะเงินเดือนครูขยายเพดานและมีการปรับฐานเงินเดือนใหม่ซึ่งตามปกติแล้วครูต้องทำผลงานวิชาการจึงจะสามารถขยับเงินเดือนขึ้นได้ แต่บางรายพบว่าเงินเดือนแตะระดับสูงสุดของแท่งแล้วจะมีเงินเดือนคงที่ ไม่ได้รับการปรับเพิ่ม แต่ตอนนี้มีการปรับให้คนที่เงินเดือนติดอยู่แท่งเดิมสามารถกระโดดไปรับเงินเดือนของแท่งใหม่ได้ในระดับเดียวกันแต่วิทยฐานะยังคงเหมือนเดิม"

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ติดรูป ทักษิณ.เดือดร้อนทำไม !!?

มีวันนี้เพราะพี่ให้

ถือเป็นวลีเด็ดจาก พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ที่ทิ่มแทงใจกลุ่มคนไม่เอาทักษิณเป็นที่สุด

ก็เล่นเปิดหน้าอย่างไม่เหนียมอายว่าขึ้นมาคุมนครบาลได้ในวันนี้เพราะได้รับการสนับสนุนจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

แสดงความเคารพรักอย่างสุดซึ้งด้วยการทำป้ายข้อความ “มีวันนี้เพราะพี่ให้” ติดอยู่เหนือป้ายชื่อตัวเองที่ห้องทำงานใน บช.น.

แถมยังมีรูปที่ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้ประดับยศพลตำรวจโทให้เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. 2555 ที่ผ่านมา ติดหราอยู่ข้างฝาหน้าห้อง พร้อมกับลายมือที่คนรักทักษิณมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นของอดีตนายกฯทักษิณที่เขียนข้อความว่า

“ขอแสดงความยินดีกับแจ๊ดน้องรัก ขอให้มีความสำเร็จในหน้าที่การงาน เป็นที่รักของประชาชนและเพื่อนตำรวจ รัก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” ลงวันที่ 29 มิ.ย. 2555

ทั้งหมด ผบช.น. เป็นผู้จัดหา และเป็นคนชี้จุดให้เจาะผนังติดรูป แขวนป้ายข้อความ ด้วยตัวเอง

และก็เป็นอะไรที่ไม่เกินความคาดหมายที่กลุ่มคนไม่เอาทักษิณต้องออกมาโขกสับเรื่องนี้

เปิดหน้ามาก่อนใครเลยคือ “บักใส” นายสุริยะใส กตะศิลา อดีตผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่วันนี้แยกตัวออกไปทำงานในนามกลุ่มกรีน

“การให้อดีตนายกรัฐมนตรีที่หลบหนีคำพิพากษาของศาลในคดีอาญาและหมายจับของศาลอีก 6 หมายประดับยศให้ ถือเป็นพฤติกรรมที่ทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อสถาบันตำรวจไทยในภาพรวม ซ้ำร้าย พล.ต.ท.คำรณวิทย์ยังให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนแบบไม่หวั่นเกรงกฎหมาย ทั้งที่ๆตัวเองรับราชการตำรวจ และเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ย่อมรู้ดีว่าอะไรควรทำ ไม่ควรทำ อะไรผิดหรือไม่ผิดกฎหมาย”

มุ่งโจมตี 3 ประเด็นหลักคือ ไม่เหมาะสม ทำภาพพจน์ตำรวจเสียหาย และผิดกฎหมาย

นายสุริยะใสบอกว่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์จะชอบพอรักใคร่หรือมีบุญคุณต้องตอบแทน พ.ต.ท.ทักษิณมากมายแค่ไหนก็เป็นเรื่องส่วนตัวที่ต้องแยกแยะจากหน้าที่และความรับผิดชอบตามกรอบกฎหมาย อย่าเอาลัทธิบูชาบุคคลมาอยู่เหนือกฎหมายและความถูกต้อง

“มีวันนี้เพราะพี่ให้ แต่วันหน้าพี่ก็ช่วยไม่ได้เสมอไป”

ส่งเสียงคำรามขู่กันในทีก่อนจะสำทับอีกว่า

เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ขัดประมวลจริยธรรมของข้าราชการและนักการเมือง แต่ยังเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 เพราะ พล.ต.ท.คำรณวิทย์เป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ต้องจับกุมผู้ต้องหาที่หลบหนีคดี มีหมายจับ โดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ แต่นอกจากไม่จับแล้วยังให้ผู้ต้องหาหนีคดีประดับยศให้อีก

ไม่พ้นยกมาตรา 157 ขึ้นมาขู่

ทั้งที่ขู่จนเจ็บคอ เสียงแห้งมาหลายปี ก็เห็นมีคนระดับรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง อธิบดี บินไปพบอดีตนายกฯจนหัวบันไดไม่แห้ง แต่ก็เอาผิดใครไม่ได้สักคน

งานนี้จะส่งไม้ต่อให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รับช่วงต่อสอบเอาผิด

คดีแบบนี้น่าจะเข้าไปกองอยู่ใน ป.ป.ช. เป็นเข่งๆ หากเอาผิดได้คงติดคุกกันระนาวไปแล้ว เพราะใครก็รู้ว่า ป.ป.ช. กับ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นปลาคนละน้ำ หากมีช่องฟันลูกข่ายนายใหญ่ได้มีหรือจะไม่ฟัน

คนขู่ก็ขู่ไป คนถูกขู่กลัวซะที่ไหน

พล.ต.ท.คำรณวิทย์ชี้แจงตรงไปตรงมาว่า “ผมรักเคารพใครก็นำภาพคนนั้นมาติดไว้ มันจะเดือดร้อนอะไรกันนักหนา...ผมติดไว้เพื่อเตือนสติตัวเองเท่านั้น...ผมไม่เคยเนรคุณคน”

พร้อมประกาศดังๆให้ได้รู้กันทั่วไปว่า

“ถ้าการเมืองเปลี่ยนขั้วขอออกทันที ไม่ต้องรอให้ใครมาย้าย”

นับเป็นลูกผู้ชายตัวจริง เพราะยอมรับความจริงว่า “มากับการเมืองก็ต้องไปพร้อมกับการเมือง”

ไม่ใช่เป็นใหญ่เพราะขั้วนี้ แต่พออีกขั้วเข้ามาปรับย้ายให้ทำงานอื่นก็โวยวายว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ไล่ฟ้องศาลปกครองเพื่อรักษาเก้าอี้

เรื่องนี้เป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ในสังคมอินเทอร์เน็ต ฝ่ายแดงชื่นชม ฝ่ายเหลืองฝ่ายฟ้ารุมด่า แต่ก็คงเป็นประเด็นประเดี๋ยวประด๋าวแล้วก็เงียบไปเหมือนหลายกรณีที่ผ่านมา

มีใครไปพบอดีตนายกฯทักษิณ หรือเปิดตัวเป็นเด็กในอุปถัมภ์ของอดีตนายกฯอีก ก็จะถูกจุดเป็นประเด็นขึ้นมาใหม่

เลี้ยงกระแสเอาไว้ อย่างน้อยก็ใช้อ้างเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ฝ่ายตัวเองได้ว่า คดีความหรือความผิดอะไรที่เกิดจากการกระทำในอดีตของฝ่ายตัวเองถูกดำเนินการอย่างไม่ชอบธรรม ไม่ตรงไปตรงมา ถูกกลั่นแกล้งจากเด็กในคาถาของทักษิณ

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สมคิด.ชี้คอร์รัปชั่นพุ่ง เหตุผู้นำไม่เอาจริง..!!?

ดร.สมคิด" ชี้คอร์รัปชั่นในไทยยังสูงเหตุผู้นำไม่เอาจริง ภาคประชาชนไม่เข้มแข็ง จี้รัฐเปิดข้อมูลการใช้งบประมาณและการประมูลงานต่างๆ

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อาจารย์สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ บรรยายพิเศษเรื่อง “รวมพลังงานผลักดันการต่อต้านคอร์รัปชั่น ให้เป็นวาระแห่งชาติ” ภายในงานวันต่อต้านคอร์รัปชั่น :รวมพลังเปลี่ยนประเทศไทย”ว่า ปัญหาคอร์รัปชั่นเรื้อรังและสะสมมานาน ทั้งที่เครื่องมือในการปราบปรามของประเทศไทยก็มีอยู่พอสมควร

แต่ปัญหาคอร์รัปชั่นก็ยังแบ่งบานและกำจัดออกไปไม่ได้ ซึ่งต่างจากสิงคโปร์ที่กลายเป็น 1 ใน5 ประเทศของโลกที่ไม่มีการคอร์รัปชั่น เพราะไทยยังขาดความมุ่งมั่นเอาจริงเอาจังของผู้นำประเทศ และภาคประชาชนไม่เข้มแข็งพอ

โดยเฉพาะประเทศไทยที่ยังไม่สามารถปิดกั้นการไต่เต้าของนักการเมืองที่โตมาจากระบบสินบน เพราะทำให้การแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นทำไม่ได้เต็มที่ เนื่องจากเป็นการปะหน้าก็เจอจมูก ทำให้ไม่กล้าฆ่าห่านทองคำ ซึ่งทำให้ตอนนี้คนไทยเริ่มเห็นเรื่องการคอร์รัปชั่นเป็นเรื่องปกติและเริ่มกระจายไปทั่ว ดังที่ผลการสำรวจออกมาพบว่า ส่วนใหญ่46%ยอมรับได้หากเกิดการคอร์รัปชั่นแล้วตัวเองจะได้ประโยชน์ด้วย ซึ่งผู้ที่ตอบนี้ส่วนใหญ่ 70%เป็นเด็กรุ่นใหม่ ซึ่งหากปล่อยไว้แบบนี้จะกลืนกินความดีและจริยธรรมในสังคมไป

ทั้งนี้ ภาคธุรกิจถือเป็นข้อต่อสำคัญในการต่อต้านคอร์รัปชั่น เพราะถ้าภาคธุรกิจไม่ยอมจ่ายเงินสินบน การคอร์รัปชั่นก็ไม่เกิด ขณะเดียวกันการคอร์รัปชั่นก็ไม่สามารถขจัดออกไปได้หมด เพราะต้องยอมรับว่าภาคประชาชนของไทยยังอ่อนแอ ดังนั้นภาคธุรกิจจึงเป็นข้อต่อในการประสานกันเพื่อต่อต้านการเกิดคอร์รัปชั่นด้วย

อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นต้องเริ่มจากตัวเองด้วยคำว่า ไม่ ไม่เริ่มต้น ไม่ลอง แม้ว่ามันจะเย้ายวนมากขนาดไหนก็ตาม เพราะลองเข้าไปแล้วจะเสพย์ติดจนเส้นแบ่งระหว่างความดีกับความชั่วขาดไป และในภาคธุรกิจเองก็ต้องไปสำรวจธุรกิจตัวเองดูว่ามีต้นทุนในส่วนของการคอร์รัปชั่นมากน้อยแค่ไหนแล้วนำตัวเลขนั้นมาเปิดเผยให้ชาวบ้านได้รับทราบ เพื่อจะได้เข้าใจและเห็นความจริงที่เกิดขึ้น รวมทั้งองค์การที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบจะต้องเปลี่ยนแปลงจากเสือกระดาษให้เป็นเสือลายพาดกลอนให้ได้

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2555

Ownership Thinking : วิถีแห่งความร่ำรวยของพนักงานกินเงินเดือน ในศตวรรษที่ 21

ลูกจ้าง (Employee)” นับเป็นถ้อยคำที่แสนปวดร้าวสำหรับคนส่วนใหญ่ ซึ่งรู้ดีว่าทำงานหนักแทบตายเพียงใด ก็ไม่มีวันร่ำรวยเท่ากับนักธุรกิจที่เป็นเจ้าของกิจการ

ที่น่าเศร้าก็คือ ลูกจ้างในศตวรรษที่ 21 กลับไม่รู้เลยว่ายุคสมัยได้เปลี่ยนไปแล้วด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงินที่เปิดกว้างมากขึ้น ทำให้ลูกจ้างและคนธรรมดาทั่วไปสามารถร่วมแบ่งปันผลกำไรจากบริษัทที่มั่งคั่งทั้งหลายบนโลกใบนี้ได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องลงทุนลงแรงสร้างมันขึ้นมาด้วยตนเอง

นั่นคือ การลงทุนเลือกซื้อหุ้นซึ่งเป็นตัวแทนของบริษัทที่เราคิดว่ามีอนาคตไกล แล้วเมื่อบริษัทมีผลกำไรเติบโตตามที่คาดการณ์ไว้ เราก็จะได้รับผลประโยชน์ตอบแทนทั้งในส่วนของเงินปันผลและราคาหุ้นที่เพิ่มสูงขึ้นประดุจดั่งเจ้าของบริษัทคนหนึ่งเลยทีเดียว

1. ความรู้แบบผิวเผิน เป็นอุปสรรคขัดขวางลูกจ้างจากความร่ำรวยของการเป็นเจ้าของธุรกิจ

ตลาดหุ้นในศตวรรษที่ 21 เต็มไปด้วยนวัตกรรมทางการเงินที่อำนวยความสะดวกให้นักลงทุนสามารถร่วมเป็นเจ้าของบริษัทได้ดีกว่าในอดีต

เริ่มตั้งแต่ปริมาณและความหลากหลายของธุรกิจที่เข้ามาจดทะเบียนซื้อขาย ทำให้นักลงทุนมีทางเลือกในการลงทุนเพิ่มมากขึ้น ไปจนกระทั่งถึงธรรมาภิบาลที่มีการตรวจสอบดูแลได้ดีกว่าเดิม ก็ทำให้ช่องว่างของผลประโยชน์ระหว่างผู้ถือหุ้นเดิมที่เป็นผู้ก่อตั้งกิจการและผู้ถือหุ้นรายใหม่ที่พึ่งเข้าสู่ตลาด เริ่มมีความใกล้เคียงกันมากขึ้น

ยิ่งกว่านั้น สภาพคล่องของหุ้นทั้งในเชิงการซื้อขายเปลี่ยนมือหรือแปลงเป็นเงินสดก็มีความสะดวกรวดเร็วกว่าเดิม จึงทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจและยินดีเข้าสู่ตลาดหุ้นเพิ่มมากขึ้น

นอกจากนี้ ข่าวสารเกี่ยวกับหุ้น สภาพธุรกิจ และแนวโน้มเศรษฐกิจการเมือง ได้มีการเผยแพร่และวิเคราะห์กันอย่างมากมาย ทำให้ผู้บริโภคมีข้อมูลเพียงพอสำหรับการตัดสินใจลงทุน

คุณค่าของตลาดหุ้นในการเป็นทางเลือกหนึ่งของลูกจ้างกินเงินเดือน ที่จะได้รับประโยชน์จากการเป็นเจ้าของธุรกิจที่ตนเองไม่ได้สร้างขึ้นมา ก็กลับถูกบดบังโดยการเก็งกำไรระยะสั้นและความผันผวนของราคาซื้อขาย ทำให้นักลงทุนรายย่อยที่เริ่มต้นเข้าสู่ตลาดหุ้นเพราะหวังจะเติบโตไปพร้อมกับธุรกิจที่ตนเองเลือกซื้อ จึงเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตนเองไปสู่การเก็งกำไรโดยไม่รู้ตัว เพราะทนไม่ได้กับความเย้ายวนของราคาที่ผันผวนขึ้นลงในระยะสั้น

ที่น่าเศร้ายิ่งกว่าก็คือ ลูกจ้างกินเงินเดือนที่ทุ่มเทนำเงินเก็บออมทั้งชีวิตของตนเองไปเลือกซื้อหุ้นที่คิดว่าดีและอยากฝากอนาคตไว้ โดยไม่เข้าใจกลยุทธ์ทางธุรกิจอย่างถ่องแท้ว่ากิจการใดที่สวยหรูแต่ภาพลักษณ์หากไม่สามารถสร้างผลกำไรได้คุ้มกับต้นทุนที่จ่ายไป ไม่หยั่งเห็นถึงกิจการที่เรียบง่ายธรรมดาหากสามารถสร้างผลกำไรเติบโตได้มหาศาล ก็อาจหลงผิดไปเลือกหุ้นที่พ่ายแพ้ได้ ในที่สุด แม้จะอดทนไม่ซื้อขายหุ้นแบบเก็งกำไรระยะสั้น ก็ต้องเสียใจกับผลประกอบการในระยะยาวของกิจการที่ตนเองเลือกลงทุนไว้

คุณสมบัติของนักลงทุนที่ดีจึงไม่ใช่แต่เพียงความมั่นใจที่จะไม่สนใจกับความผันผวนของราคาหุ้นในระยะสั้นเท่านั้น หากยังต้องมีการลงทุนด้านความรู้และวิธีคิดแบบเจ้าของกิจการ (Ownership Thinking) ที่จะมองให้ออกว่า บริษัทใดจะมีการเติบโตของกำไรในระยะ 10 ปีข้างหน้าได้เหนือกว่าคู่แข่ง

นักลงทุนที่เป็นลูกจ้างมาชั่วชีวิต ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องลาออกมาสร้างกิจการเพื่อจะได้รู้ว่าธุรกิจที่ดีเป็นอย่างไร หากทว่าอาจจะเริ่มจากองค์กรของตัวเอง โดยการพิจารณาว่ารายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทมีที่มาที่ไปอย่างไร ผลกำไรต่อส่วนผู้ถือหุ้นสูงกว่าหรือด้อยกว่าคู่แข่งอย่างไร และบริษัทจะสามารถลดต้นทุนได้มากกว่านี้หรือไม่อย่างไร

ยิ่งกว่านั้น ความรู้และทฤษฎีซึ่งได้รับการพิสูจน์มาแล้วจากประสบการณ์จริง ก็อาจนำมาใช้เป็นแนวทางในการลงทุนได้ ไม่ว่าจะเป็น Buffett, Peter Lynch, Philip Fisher หรือแม้กระทั่ง Soros ทั้งหมดนี้แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นประสบการณ์ของตลาดหุ้นอเมริกา แต่ก็เป็นองค์ความรู้ที่มีความเป็นสากลในระดับหนึ่ง ในการนำมาปรับใช้ให้เข้ากับบริบทของประเทศไทย

ถ้าวิเคราะห์ได้ว่าบริษัทของเรามีผลกำไรที่ดีและมีความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง เราก็อาจนำเงินออมมาลงทุนในบริษัทนี้ไปด้วย แทนที่จะได้รับแต่เงินเดือนเพียงอย่างเดียว เราก็จะได้ส่วนแบ่งจากเงินปันผลหรือการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นไปด้วย

อย่างไรก็ตาม เราก็ไม่ต้องจมปลักแต่เพียงหุ้นของบริษัทเราเท่านั้น เพราะแม้ว่าบริษัทจะแข็งแกร่งและสร้างผลกำไรได้ดี แต่ก็ยังมีหุ้นในอุตสาหกรรมอื่นอีกจำนวนมากที่อาจให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า

นี่อาจเป็นความได้เปรียบประการหนึ่งของลูกจ้างกินเงินเดือนที่ไม่ได้มีความผูกผันและผูกมัดกับบริษัทมากเท่ากับเจ้าของกิจการผู้ก่อตั้ง จึงทำให้มีความอิสระในการโยกย้ายเงินออมของตัวเองไปยังสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าได้ โดยไม่ติดในกรอบคิดแบบเดิม

โอกาสของศตวรรษที่ 21 คือ ยุคสมัยของลูกจ้างกินเงินเดือน ที่จะสามารถร่ำรวยได้เช่นเดียวกับเจ้าของธุรกิจที่สร้างตนเองขึ้นมาด้วยสองมือ แต่ในโลกนี้ก็ไม่มีอะไรได้มาโดยง่าย ลูกจ้างกินเงินเดือนจึงไม่ใช่เพียงแค่นำเงินออมมาลงทุนซื้อหุ้นเท่านั้น หากยังต้องลงทุนความรู้และวิธีคิดแบบเจ้าของกิจการ เพื่อจะได้สามารถค้นพบได้ว่าบริษัทไหนจะสร้างผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้นได้สูงที่สุดในระยะ 10 ปีข้างหน้า ในขณะเดียวกันก็ต้องให้ความสำคัญกับความเสี่ยงของธุรกิจควบคู่ไปด้วย

ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เมื่อนักลงทุนค้นพบหุ้นหรือบริษัทที่ยิ่งใหญ่แล้ว ก็ต้องกล้าจะเข้าไปซื้อในราคาที่เหมาะสม ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นราคาที่ถูกที่สุด ในขณะเดียวกันก็ต้องอดทนต่อความเย้ายวนของราคาที่เคลื่อนไหวขึ้นลงทุกวัน ให้ได้

ความรู้และความเข้าใจที่ลึกซึ้งแบบเจ้าของกิจการจะทำให้นักลงทุนมีความหนักแน่นในการถือครองหุ้นที่ล้ำเลิศ โดยไม่ปล่อยขายไปเพียงเพราะได้กำไรแค่ 5-10 เปอร์เซนต์ แล้วเปลี่ยนไปถือครองหุ้นตัวใหม่ที่มีราคาถูกกว่า แต่พื้นฐานกิจการในอนาคตไม่โดดเด่นเทียบเท่าได้เลย

2. คิดแบบเจ้าของกิจการ (Ownership Thinking) เพิ่มโอกาสในการเลื่อนตำแหน่งและเงินเดือนที่สูงขึ้น

บริษัทที่ดีและมีอนาคตยาวไกลย่อมจะเลือกเฟ้นพนักงานที่คิดเหมือนเจ้าของกิจการไว้เป็นสินทรัพย์ที่สำคัญของบริษัท โดยเฉพาะในยุคศตวรรษที่ 21 ซึ่งคนเก่งที่มีค่าขององค์กรเพียง 1 คนสามารถสร้างผลตอบแทนได้เท่ากับพนักงานธรรมดา 1000 คน

พนักงานที่คิดเหมือนเจ้าของกิจการ จะมีความเข้าใจภาพรวมและโครงสร้างผลกำไรขององค์กร ดังนั้น จึงมีความฉลาดในการจัดสรรทรัพยากรของตัวเองให้เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ บางทีการทุ่มเทให้กับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดีเลิศมากเกินไปก็อาจไม่ใช่เรื่องดี เพราะทำให้บริษัทมีต้นทุนค่าใช้จ่ายสูงขึ้น ในขณะเดียวกันระยะเวลาที่ประหยัดได้จากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ก็อาจนำไปทุ่มให้กับการเอาอกเอาใจลูกค้าหรือการจัดส่งสินค้าให้ทันตามกำหนดเวลา หรือแม้กระทั่งการคิดค้นผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ที่มีความแปลกแหวกแนวกว่าเดิมและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้น

ดังนั้น การพัฒนาตัวเองจากลูกจ้างที่กินเงินเดือนไปวันต่อวันมาเป็นลูกจ้างที่คิดเหมือนเจ้าของกิจการ (Ownership Employer) ก็ย่อมสร้างผลงานและผลกำไรให้กับบริษัทจนกระทั่งเป็นที่สะดุดตาของผู้บริหารระดับสูง ซึ่งย่อมนำไปสู่การเลื่อนตำแหน่งและเงินเดือนที่สูงขึ้นตามมาด้วย

ถ้าสิ่งที่เรามุ่งมั่นกระทำเพื่อบริษัทอย่างถวายชีวิตนี้ไม่มีใครเห็นคุณค่า ก็ต้องกลับมาพิจารณาว่าเป็นเพราะสาเหตุใด บางทีอาจเนื่องจากวิธีคิดแบบเจ้าของกิจการ (Ownership Thinking) มีความผิดพลาด ไม่สามารถสร้างผลกำไรให้กับบริษัทอย่างที่เรานึกฝันไว้ ก็ต้องหันมาปรับปรุงแนวทางการทำงานให้ถูกต้องและละเอียดอ่อนกว่าเดิม

ในทางตรงข้าม ถ้าสิ่งที่เรากระทำมีคุณค่าผลกำไรต่อบริษัทอย่างแท้จริงและพิสูจน์ชัดได้ เราก็ควรพิจารณาต่อไปว่าจะอยู่ในบริษัทที่ไม่เห็นคุณค่าของคนเก่งนี้หรือไม่ เพราะแม้เราจะไม่ถือสาเรื่องผลตอบแทนส่วนตัว แต่ก็ควรจะคาดการณ์ได้ว่าบริษัทเช่นนี้ย่อมไม่มีอนาคตที่ยาวไกลอย่างแน่นอน ไม่ควรค่าต่อการฝากชีวิตและหน้าที่การงานไว้

3. คิดแบบเจ้าของ แต่ไม่ยึดติดในความเป็นเจ้าของ

ข้อได้เปรียบหนึ่งของนักลงทุนที่มีมากกว่าผู้ถือหุ้นเดิมซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งกิจการมากับสองมือ ก็คือ การไม่ยึดติดในความเป็นเจ้าของ จนกระทั่งไม่สามารถขายหุ้นทิ้งไปได้ แม้ว่ากิจการของบริษัทไม่ได้รุ่งเรืองฟู่ฟ่าเหมือนในอดีตอีกต่อไป

ศตวรรษที่ 21 นักลงทุนมีทางเลือกมากขึ้นมหาศาล ไม่ต้องยอมรับการผูกขาดโดยบริษัทเพียงหยิบมืออีกต่อไป หากบริษัทหนึ่งไม่สามารถหรือไม่ยินดีตอบสนองผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น นักลงทุนก็สามารถย้ายเงินไปที่หุ้นตัวอื่นที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าได้โดยไม่ต้องลังเลเสียดาย

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นที่รวดเร็วขึ้น แม้ว่าจะทำให้นักลงทุนไม่ต้องยึดติดกับความเป็นเจ้าของเหมือนในอดีตที่มีหุ้นให้เลือกไม่กี่ตัว แต่ก็กลับทำให้นักลงทุนรายย่อยเผลอตัวเข้าสู่หลุมพรางใหม่ นั่นคือ การเล่นหุ้นแบบรายวัน (Day Trade) หรือการเล่นหุ้นตามข่าวลือ จนกระทั่งต้องตกเป็นเหยื่อของนักเก็งกำไรรายใหญ่หน้าเลือดในที่สุด

พนักงานกินเงินเดือนที่ปรารถนาความสำเร็จในการลงทุน จึงต้องยิ่งแสวงหาแนวคิดการลงทุนที่ถูกต้อง นั่นคือ การคิดเหมือนเจ้าของกิจการ แต่ไม่ยึดติดในความเป็นเจ้าของ เพื่อเป็นหลักคุ้มกันตัวเองไม่ให้หลงไปกับกระแสการเก็งกำไรในระยะสั้นที่คอยยั่วเย้านักลงทุนแมงเม่าอยู่ทุกวัน

ความอดทนของนักลงทุนรายย่อยที่ต้องการเติบโตไปพร้อมกับบริษัทระดับกลางที่มีอนาคตยาวไกล (Growth Stock) โดยมุ่งมั่นศึกษาค้นคว้าเพื่อหาบริษัทที่ดีที่สุด ในราคาที่เหมาะสม แล้วยินดีลงทุนเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน 3-5 ปี เพื่อให้ดอกผลที่เพาะปลูกไว้ได้งอกงาม ในที่สุดแล้วย่อมทำให้นักลงทุนรายย่อยที่เป็นเพียงลูกจ้างกินเงินเดือน สามารถบรรลุความฝันของความมั่งคั่งร่ำรวยจากการเป็นเจ้าของกิจการได้

ขณะเดียวกัน เมื่อหุ้นเติบโตเร็วที่มีอนาคตไกล (Growth Stock) ให้ดอกผลงดงามจนกระทั่งกลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มั่นคงอิ่มตัว (Blue Chip) ก็อาจถึงเวลาที่นักลงทุนจะต้องละทิ้งความผูกพันในกิจการ เพื่อออกแสวงหาหุ้นเติบโตเร็วตัวใหม่ที่จะให้ดอกผลในอีก 3-5 ปีข้างหน้าต่อไป

เพราะในที่สุดแล้วหุ้นตัวใหญ่ที่มั่นคง แม้ว่าจะให้ความอุ่นใจกับนักลงทุน แต่ก็ไม่ให้ความเติบโตได้อย่างรวดเร็วเหมือนกับหุ้นขนาดกลางที่มีอนาคตไกลอีกต่อไป ยิ่งกว่านั้น บริษัทขนาดใหญ่ก็ย่อมมีคู่แข่งทั้งรายเล็กและรายใหญ่เข้ามารุมทึ้งแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดไป ในขณะที่โอกาสในการขยายตลาดเพิ่มเติมก็เริ่มเผชิญกับขีดจำกัดและจุดอิ่มตัว ซึ่งถ้าหากรับมือได้ไม่ดี บริษัทใหญ่ที่ดูเสมือนมั่งคงก็อาจประสบภาวะถดถอยและสร้างความเสียหายให้กับนักลงทุนได้

นี่คือ โอกาสยิ่งใหญ่ของพนักงานกินเงินเดือนที่จะเติบโตไปพร้อมกับระบบทุนนิยม โดยอาศัยช่องทางของการเป็นนักลงทุนในบริษัทที่มีคุณภาพและอนาคตยาวไกล ทำให้ไม่ต้องคอยอดทนกับรายได้และค่าตอบแทนที่น้อยนิดในบริษัทของตนเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป

ผลตอบแทนจากการลงทุนปีละ 30 เปอร์เซนต์ พร้อมกับเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นตามอายุงานของพนักงานกินเงินเดือนคนหนึ่ง ก็อาจส่งผลให้เขาเป็นบุคคลที่มีรายได้มากกว่าเจ้าของกิจการ SME ที่ต้องนั่งหลังขดหลังแข็งทำงานเพื่อจะหาเงินทุนมาขยายกิจการให้เป็นบริษัทขนาดใหญ่ต่อไป

“สติปัญญา” จึงเป็นทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดในศตวรรษที่ 21 เพราะในโลกที่เปิดกว้างเช่นนี้ ย่อมทำให้ผู้เก่งกล้าสามารถหยิบฉวยทุกโอกาสที่ผ่านเข้ามา เพื่อแปรเปลี่ยนเป็นเงินทองและความมั่งคั่งได้เหนือกว่าคนธรรมดา 1000 เท่า

ที่มา.Siam Intelligence Unit
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2555

อารยะขัดขืน : จากโผทหารสู่ พ.ร.บ.กลาโหม ภารกิจที่ไม่สะเด็ดน้ำ !!?

เป็นอาฟเตอร์ช็อก! เขย่ากันมาเป็นระลอกคลื่น สำหรับ “โผทหาร” ประจำฤดูโยกย้าย ที่ปีนี้ดูจะวุ่นวายเป็น พิเศษ โดยเฉพาะคิว “เรียกน้ำย่อย” ในศึกสายเลือด “ตท.10-11” ที่กำลังยื้อแย่ง เก้าอี้ “ปลัดกลาโหมคนใหม่” กันอย่างอีนุงตุงนัง

แม้ศึก “ภายในกองทัพ” หรือเหตุพิพาทกับ “คนการเมือง” จะไม่ดุเดือด ถึงขั้นลากเอารถถังออกมาปฏิวัติ แต่ก็มีอาการ “อารยะขัดขืน” กันอยู่ในทียิ่งคิวที่ “บิ๊กเปี๊ยก” พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม ออกมาเล่นกับไฟด้วยการเปิดหน้าแลกหมัด “บิ๊กโอ๋” พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กระทรวงกลาโหม ที่ขัดแย้งรุนแรงในเรื่องการตั้งปลัดกลาโหมคนใหม่ ซึ่ง “พล.อ.เสถียร” หวังจะผลักดันศิษย์ก้นกุฏิอย่าง “บิ๊กกี๋” พล.อ.ชาตรี ทัตติ ตท.14 เข้ามาสืบทอดอำนาจต่อ แต่นั่นเท่ากับไปหักหน้าเจ้ากระทรวงกลาโหม ที่ได้ล็อกตัวปลัดใหม่เอาไว้แล้ว หลังนำพา “บิ๊กเล็ก” พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน “ตท.11” มาโชว์ตัวกับนายกฯ ปู “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ถึงทำเนียบรัฐบาล เพื่อให้ “บิ๊กเล็ก” ได้ย้ายข้ามห้วยจาก “ผช.ผบ.ทบ.” เข้าไปเสียบเก้าอี้ “ปลัดกลาโหม”
เป็นเหตุให้นำไปสู่วิวาทะ “การเมือง ล้วงลูก” ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ “บิ๊กโอ๋” เกิดอาการระคายหูที่ถูกปลัด กห.ตบหน้าอย่าง แรง กระทั่งมีคำสั่งเด้งฟ้าผ่า “พล.อ. เสถียร” ไปล่อเป้าใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก่อนจะเกษียณอายุราชการในอีกไม่วันข้างหน้า

ปัญหาการเมืองงัดข้อคนในกองทัพ ได้ถูกฝ่ายค้านเติม “เชื้อไฟ” ให้กับมวยคู่เปิดรายการ โดยผู้นำฝ่ายค้าน “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ได้ออกมา “โหนกระแส” ซัดไปว่า “การเมืองล้วงลูก” ทว่านั่นเป็นแค่ “ไฟการเมือง” ที่ถูกโหมขึ้นมาเพียงวูบเดียว แต่ไร้ซึ่ง “เชื้อ” ที่จะทำให้ “ติดไฟ” แม้กระทั่ง พล.อ.เสถียร ยังไม่ติดใจกับการ ถูก “ฟ้าผ่าเก้าอี้” ทั้งที่เคยมีวิวาทะกันอย่างรุนแรง ยิ่งมีข่าวลือสะพัดกลาโหมว่า เหตุที่ยอมถอยเป็นเพราะ...โดนจี้จุดอ่อน! ซึ่งอาจทำให้ภาพของ พล.อ.เสถียร แปดเปื้อน

เพราะขณะกำลังประกาศว่าที่ทำอยู่ ทุกวันนี้ก็เพื่อปกป้อง “กระทรวงกลาโหม” จากการถูกฝ่ายการเมืองแทรกแซง และต้องการผลักดันคนในมากกว่าคนนอก แต่ ความจริงแล้ว “พล.อ.เสถียร” ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งปลัดกลาโหม ด้วย “ช่องทางพิเศษ” ซึ่งได้มีเหตุแห่งวิพากษ์ว่า...ข้ามหัวคนอื่นขึ้นมาใหญ่ ไม่ใช่เติบโตมาตามระบบ ขั้นตอนแต่อย่างใด ฉะนั้นจึงน่าสนใจว่า พล.อ.เสถียร มีความมุ่งมั่นที่จะรักษาระบบ ของกลาโหม หรือมีเบื้องลึกเบื้องหลังมาก ไปกว่านี้

ถึงตรงนี้แล้ว คงได้เห็นภาพชัดขึ้นว่า เหตุใด “พล.อ.เสถียร” ต้องออกมาขวางลำตั้งปลัดใหม่ ทั้งๆ ที่ “นายกฯ ปู” ทั้งผลักทั้งดันขึ้นเก้าอี้ตัวนี้มากับมือ และยังไม่ เคยล้วงลูกการทำงานแม่แต่น้อย ทั้งที่เก้าอี้ ตัวนี้สามารถไปนั่งควบในบอร์ดรัฐวิสาหกิจ ใหญ่ ซึ่งสามารถสร้างมูลค่าและหาผลประโยชน์ได้อย่างมากมายจะกี่มากน้อย “อดีตนายกฯ ทักษิณ” ก็ถึงกับส่ง “ราศี บัวเลิศ” เจ้าแม่วงการค้าอาวุธ เข้ามาจัดการเรื่องผลประโยชน์ และสอดประสานการทำงานร่วมกับ “ปลัดกลาโหม”

ด้วยเหตุนี้เอง แม้ “พล.อ.ทนงศักดิ์” จะเป็นเตรียมทหารรุ่น 11 เช่นเดียวกัน แต่ หากปล่อยให้เพื่อนข้ามห้วย ข้ามไลน์มา ก็คงไม่เข้าขาเหมือนรุ่นน้องคนกันเองอย่าง “พล.อ.ชาตรี ทัตติ” รองปลัดกลาโหม เตรียมทหารรุ่น 14 ซึ่งมีข้อได้เปรียบ ที่ แม้จะเป็นรุ่นน้องแต่ครองอัตราจอมพล เนื่องจากนั่งแท่นบนเก้าอี้รองปลัดกลาโหมว่ากันในเรื่องเฉดสี แม้ทั้ง “พล.อ. เสถียร” และ “พล.อ.ชาตรี” จะเป็นสเปก “นายพลแตงโม” เช่นเดียวกัน แต่ด้วยความที่คนใกล้ชิดของ “พล.อ.เสถียร” เป็นแดงต่างขั้วและคนละสายกับ “พล.อ. ชาตรี” มันจึงบังเกิดเกมการประลองกำลังกันเองของเหล่าทัพแตงโม ประจวบเหมาะกับความสัมพันธ์ที่เริ่มก่อเกิดขึ้น ระหว่างคนที่ถูกส่งมาดูแลการบริหารจัดการผลประโยชน์อย่าง “ราศี บัวเลิศ” กับผู้ถูกควบคุมดูแลอย่าง “พล.อ. เสถียร” ก่อนที่หลายสิ่งหลายอย่างจะถูกจูน จนมีเคมีตรงกันได้
จากเดิมที่เข้าตรวจสอบ ณ ปัจจุบัน จึงพัฒนากลายเป็นเนื้อเดียวกัน..! และที่สำคัญ “ราศี” เป็นประเภทท่อร้อยสายพันคอนเน็กชั่น และหนึ่งในคอนเน็กชั่นสำคัญ คือเป็นไลน์เดียวกันกับ “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี และเหมือนกันตรงที่ “พล.อ. ชาตรี” เป็นนายพลสาย “บิ๊กจิ๋ว” ด้วยเช่นกัน ทั้งหมดทั้งปวง หนุนนำให้ “พล.อ. ชาตรี” ได้แบ็กอัพชั้นดีเป็นสตรีที่เข้าถึงตัว “อดีตนายกฯ ทักษิณ” ได้อย่างง่ายดาย ตรงนี้จึงกลายเป็น “ธุระ” ของ “ราศี บัวเลิศ” ที่เป็นฝ่ายล็อบบี้ให้ “นายใหญ่” ต้องออกแรงงัดข้ออีกรอบกับ “น้องเลิฟ” ด้วยการเข้ามาถือหาง “พล.อ.ชาตรี” ในทางพฤตินัย

แม้วันนี้ “โผทหาร” จะนิ่งแล้วนิ่งอีก และวางคาอยู่ที่สภากลาโหมแล้ว แต่เงื่อนงำแห่งเรื่องราวต่างๆ ก็ยังไม่สามารถ พูดคุยกันได้ สืบเนื่องจากปัญหายังติดที่เก้าอี้ปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งก็คงจะทราบผลกันแล้ว สำหรับมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 กันยายน ที่จะได้ “ตัวตายตัวแทน” เข้ามาครองตำแหน่งปลัดคนใหม่

ขณะเดียวกัน ในเรื่องการ “ล็อกโผ” ตั้งปลัดกลาโหมคนใหม่ ยังทำให้เกิดรอยร้าวในสายสัมพันธ์ระหว่าง “พ.ต.ท.ทักษิณ- ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เพราะมีความเห็นไม่ตรงกัน พลันให้โฟกัสไปยัง “โผทหาร” ที่จวนจะคลอดเต็มที เมื่อกองทัพกับรัฐบาล วันนี้ดูจะกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน ดูได้จากคอนเน็กชั่นระหว่าง “นายกฯ ปู” กับจ่าฝูงกองทัพบกอย่าง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เรียกได้ว่ากลมเกลียวกันถึงขั้นน่าเชื่อได้ว่า “กองทัพ” ไม่มีทางจะลากรถถังออกมาปฏิวัติ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” เป็นแน่... นั่นเท่ากับว่า “บูรพาพยัคฆ์” จะ ได้รับอาณัติในการจัดโผโยกย้ายกองทัพไปเสียส่วนใหญ่

ทว่า...คงยกเว้นเฉพาะเก้าอี้ “ปลัดกลาโหม” ที่ดูจะเป็นปัญหาบานปลาย แม้ว่า “นายกฯ ปู” กับ “บิ๊กตู่” ได้ประสานมือผลักดัน แต่ก็ยังไร้ซึ่งวี่แววที่จะตกผลึก ทั้งที่ก่อนหน้านี้ “บิ๊กตู่” ได้จูงมือ “บิ๊กโอ๋” เข้าพบ “นายกฯ ปู” ซึ่งว่ากันว่าการเข้าพบปะพูดคุยกันรอบนั้น เป็นการเจรจาต่อรองเก้าอี้ปลัดกระทรวงกลาโหมให้กับ “พล.อ.ทนงศักดิ์”

ซึ่งผลการเจรจาเป็นไปอย่าง “วิน วิน” ...ทั้ง “นายกฯ ปู”...“บิ๊กตู่” ...“บิ๊กโอ๋” ที่ประสานเสียงให้ “พล.อ.ทนงศักดิ์” ขึ้นแท่นปลัดกระทรวงกลาโหม กระนั้นแม้จะเข้าจังหวะพร้อมกัน ชนิดคีย์ไม่เพี้ยน แต่สิทธิ์ขาดทั้งหมดกลับไปขึ้นกับ “สภากลาโหม” ที่ได้ตรากฎหมายไว้ชัดใน “รัฐบาลขิงแก่” ให้การแต่งตั้งโยกย้ายระดับ “ผบ.เหล่าทัพ”และ “ปลัดกลาโหม” ต้องผ่านมติสภากลาโหมเท่านั้น

ส่งผลให้วงประชุม “พรรคเพื่อไทย” ในช่วงปลายเดือนกันยายน จะมีการหยิบ ยกประเด็น “ยื่นแก้ พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม ปี 2551” หรือ “พ.ร.บ.สภากลาโหม” ขึ้นมาปัดฝุ่นกันใหม่ แน่นอนว่า “พรรคเพื่อไทย” ที่มีเสียงในสภาฯ เต็มอัตราศึกที่ 265 ที่นั่ง เกิน กว่าครึ่งทำให้การเสนอ “แก้ พ.ร.บ. กลาโหม” คงไม่ใช่เรื่องยาก แค่ให้ ครม.ยื่นเรื่องเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณา หรือให้ ส.ส.เข้าชื่อขอแก้ไขเพียง 20 คน ก็ถือว่าเข้าขั้นตอนแล้ว

สำหรับ “พ.ร.บ.สภากลาโหม” ก่อกำเนิดขึ้นสมัยรัฐบาล “พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์” ที่มาจากการแต่งตั้งของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ที่ยึดอำนาจล้มล้าง “ระบอบทักษิณ” จนพังครืน ขณะนั้น “พล.อ.บุญรอด สมทัต” รมว.กระทรวงกลาโหม ได้ยกร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ขึ้นมา เพื่อให้เป็น “ผนังทองแดงกำแพงเหล็ก” ไว้ป้องกันกองทัพ ไม่ให้มีการเมืองแทรกแซงปรากฏว่า ผ่านการพิจารณาจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ด้วยเสียง ข้างมากในเวลาอันรวดเร็ว 3 วาระรวด แต่ระหว่างนั้นเกิดคาบเกี่ยว มีการเลือกตั้ง ใหญ่ในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ขึ้นเสียก่อน “พ.ร.บ.สภากลาโหม” เลยมามีผลบังคับใช้เอาในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2551 ในสมัยรัฐบาล “สมัคร สุนทรเวช” ยุคที่พรรคพลังประชาชนเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

“พ.ร.บ.สภากลาโหม” มีกรอบจำกัดอยู่หลายประเด็น แต่ที่เป็น “กำแพง” ไม่ให้ฝ่ายการเมืองเข้าไปแทรกแซง คือ “มาตรา 25” ว่าด้วยแต่งตั้งนายทหารระดับชั้นยศ “นายพล” ให้ดำเนินการโดยคณะกรรมการ 7 คน ที่มาจากตำแหน่งหลัก ประกอบด้วย รมว.กระทรวงกลาโหม-รมช.กระทรวงกลาโหม-ปลัดกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการสี่เหล่าทัพ “บก-เรือ-อากาศ-บก.สูงสุด” ทว่าในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ มีเพียง รมว. กระทรวงกลาโหมคนเดียว ไม่มีตำแหน่งรัฐมนตรีช่วย เท่ากับว่าคณะกรรมการเหลือเพียง 6 คน สัดส่วนจึงค่อนข้างเหลื่อม ล้ำ กินขาดระหว่าง 5 ต่อ 1 ...“รมว. กระทรวงกลาโหม” จึงแทบจะไร้ซึ่งอำนาจ ที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโผโยกย้ายในกองทัพ

“ฝ่ายการเมือง” นำทีมโดย “เพื่อไทย” จึงได้เล็งขับเคลื่อน “แก้ไข พ.ร.บ. สภากลาโหม” ให้กลับคืนสู่มิติเดิม เพื่อให้ฝ่ายการเมืองมีอำนาจเหนือกองทัพ!!

ยิ่งก่อนหน้านี้ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ได้มีความพยายามที่จะเข้าไปแก้ไข “พ.ร.บ. สภากลาโหม” มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็เต็มไปด้วยเสียงคัดค้านของคนในกองทัพ และที่ค้านหัวชนฝา ก็คือ “พล.อ.ประยุทธ์” โดยมี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ขานรับเป็น ทอดๆ แต่ก็ไม่ได้เดินหน้าค้านเต็มตัว เพราะถ้าออกนอกหน้าเกินไป เกรงว่าจะถูกข้อครหาว่ารับใช้อำนาจทหาร “ประชาธิปัตย์” เลยแค่ “ค้านแก้เกี้ยว” เท่านั้นเอง

เมื่อถึงเวลาอันสุกงอม ศึกแก้ “พ.ร.บ. สภากลาโหม” ก็ถูกโหมโรงขึ้นมาอีกครั้ง โดยเชื่อว่า “พรรคเพื่อไทย” คงไม่ยุติลงโดยง่าย เพราะรัฐบาลยังกุมความได้เปรียบ ในสภาฯ ถึงแม้ “กฎหมายร้อน” ฉบับนี้จะแก้ได้ไม่ยากนัก ทว่าคงแลกมาด้วย “ความ เสี่ยง” ที่ทหารจะเอารถถังออกมาปฏิวัติโค่นล้มรัฐบาล...ที่สุดคงต้องวัดใจ “นายใหญ่-นายหญิง” ว่าจะยอมหักด้ามพร้าด้วยเข่า เพื่อแลกกับ “ผลประโยชน์เชิงอำนาจ” ในสภากลาโหมหรือไม่ เพราะมี “ปัจจัยซ้อนทับ” ที่นำไปสู่การเปลี่ยนตัว “ผบ.เหล่าทัพ” และ “ปลัดกระทรวงกลาโหม” ที่ไม่ตรงสเปก...ได้ง่ายดายเหมือนพลิกฝ่ามือ?!!

ที่มา:สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ข้าวนอกนา !!?

โปรดฟังอีกครั้ง “ท่านชัชชาติ สิทธิพันธุ์” รมช.คมนาคม หลายฝ่ายเกิดเอือมระอา
“บิ๊กจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ” รมว.คมนาคม เป็น สุภาพบุรุษการเมือง... “บิ๊กชัช” พล.ต.ท.ชัช กุลดิลก รมช.คมนาคม เป็นพวก “คนใจนักเลง”
จะสั่งการอะไร “อย่าให้ข้ามหน้าที่”..ยิ่งข้ามกระทรวงไปยุ่ง กับ “บิ๊กโต้ง” กิตติรัตน์ ณ ระนอง รมว.คลัง รองนายกฝ่ายเศรษฐกิจ จะทำเอา “ดรีมทีม คมนาคม” พากันเจ๊ง
ท่านไม่ใช่เนื้อแท้ แฟนพันธุ์แท้ “คนเสื้อแดง” แต่มาด้วยพลัง “แลนด์แอนด์เฮ้าส์” ที่หนุน ให้ท่านซึ่งมาจาก “บริษัททรัพย์สินจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย”..อีกด้านหนึ่ง ก็ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกับ “ท่านนายกฯปู”
ขอให้ทำงานอยู่ในสเป็ค.. โปรดเถิดอย่าทำอะไรกระโดกกระเดก..เดี๋ยวพากันเจ๊กอั๊กทั้งทีม ท่านน่าจะรู้

++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ใช้ “อำนาจ” สั่งเชือดคอ
แต่ทำทุกอย่างด้วยความโปร่งใส กรรมการที่ตั้งมา “สั่งให้พ้นผิด”..ได้แต่เห็นใจ “ธนวัฒน์ วันสม” อดีตกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ อสมท.
ถูกตั้ง ๔ ข้อหาฉกรรจ์ จาก “รัฐบาลประชาธิปัตย์”..แต่เมื่อคำพิพากษาจาก คณะกรรมการว่า “เขาบริสุทธิ์” น่าจะคืนความเป็นธรรม ให้เขาเสร็จสรรพ
เป็นคนหนุ่ม วัย ๓๗ - ๓๘ ปี ที่มีผลงานเยี่ยมยอด เคยผ่านงาน “สตาร์ทีวี” ชื่อชั้นเกรดดีอันดับหนึ่งแห่งภาคพื้นเอเชีย กินเงินเดือน ต่อเดือน ล้านกว่าบาท..ผลด้วยงานล้วน ๆ จนคนยอมรับ
หลายคนมีความพากเพียร ชักชวน ให้ลง “สมัคร สจ. สรรหา” ..แต่ทว่า “ธนวัฒน์ วันสม” ยังมุ่งที่จะรับใช้ “อสมท.” ด้วยใจ อันสัตย์ซื่อ
เค้าเป็นคนที่ถูก ปชป.รังแก...เป็นเลือด อสมท.พันธุ์แท้...จะไม่ดูแลคนดีๆ เช่นนี้บ้างหรือ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++

น้ำวันละหยด
ไหลแหมะ ยังเติมเต็ม จนท่วมโอ่งได้หมด
“ความสามัคคี” และ “ความปรองดอง” ในชาติไทย เพิ่มเติมเต็ม
สัมผัสได้ จาก“บุรุษแซ่เบ๊” วัฒนา อัศวเหม
และ สายของ “เจ้าพ่อประสาทสายฟ้า” นาวิน ชิดชอบ ต่างพากันไปเคลียร์นอกรอบ กับ “บุรุษแดนไกล” จนทุกอย่างพากันแฮปปี้
“เนวิน”กลับมา...ประชาธิปัตย์คงชาติหน้า...ถึงก้าวขาเป็นรัฐบาลอีกที

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++

โรงแรมระดับ ๕ ดาว
สร้างขึ้นมาอลังการ หรูหรากลางเมืองตรัง จนเป็นที่ฮือฮา กันอย่างเกรียวกราว
ลงทุนก่อสร้างทรัพย์สิน ไปมหาศาลบานบุรี
แต่ยังไม่เปิดบริการ รับใช้ประชาชน ในขณะนี้
ที่แน่ ๆ มีนักการเมืองใหญ่ “มีเอี่ยว” ร่วมลงทุนเสร็จสรรพ
นักการเมืองที่ “สร้างภาพดี”...เป็นนายทุนใหญ่ครั้งนี้...ที่ว่า “จนเต็มที่” เชื่อยากสิครับ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

“จินตนาการ” จนเว่อร์
มี “กลุ่มก่อการร้าย” มี “กองกำลังติดอาวุธ”..แต่ไม่เคยตามจับ หรือไล่ฆ่า ได้สักคนสิเธอ
“เดอะมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี จะสร้างวาทะกรรม เช่นใดก็ทำได้
ที่แน่ๆ ท่าน “กบดาน” เป็นเหมือน “กบ” และ “เต่า” อยู่แต่ใน “ราบ ๑๑” สิเจ้านาย
สั่งการต่าง ๆ ไปตาม “รายงาน” ที่เข้ามาเท่านั้น...มิได้ “เห็นข้อเท็จจริง” ว่ามีกองกำลังติดอาวุธ..ที่พูดก็ไม่ได้เห็นกับสายตา
ไม่เคยโผล่พ้นราบ ๑๑...แล้วมาโชว์หลักฐานเด็ด..กลัวท่านจะเสร็จ เสียมากกว่า

ที่มา:คอลัมน์ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555

กองทุนหมู่บ้าน : เล็งยกระดับกองทุนแห่งชาติ.


โดย : กชพรรณ สุขสุจิตร์

เปิดหน้าใหม่ของกองทุนหมู่บ้านหลังการดำเนินงานมานานกว่า 10 ปีซึ่งวันนี้ เตรียมยกระดับสู่การเป็นกองทุนแห่งชาติ (Nation Fund)

ตั้งเป้าเพิ่มสมาชิกเป็น 20 ล้านคนใน 10 ปี โดยการดำเนินงานครั้งนี้จะพยายามลบจุดอ่อนในช่วงการบริหารที่ผ่านมา ในประเด็นที่ประชาชนไม่เข้าใจระบบการบริหารเชิงธุรกิจ จนเกิดภาวะงูกินหางจากการใช้หนี้กองทุน

การบริหารที่ผิดพลาดทั้งหมดจะจัดทำเป็นบทเรียนองค์ความรู้ผ่านสถาบันการเรียนรู้แต่ละหมู่บ้าน พร้อมเตรียมเสนอรัฐบาลปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.กองทุนหมู่บ้าน ปี 2547 เสนอแนวคิดออกบัตรเครดิตกองทุนตรวจสอบการใช้เงิน เพื่อทำความรู้จักกับทศวรรษใหม่ของกองทุนหมู่บ้าน "กรุงเทพธุรกิจ" ได้สัมภาษณ์พิเศษ "นที ขลิบทอง" ผู้อำนวยการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.) ถึงนโยบายการบริหารงานกับกองทุนหมู่บ้านยุคใหม่ ที่จะก้าวเข้าเป็นกองทุนแห่งชาติ

นที บอกว่า โครงการกองทุนหมู่บ้านซึ่งกำลังก้าวไปสู่การเป็นกองทุนแห่งชาติที่สามารถเชื่อมโยงเงินกองทุนระหว่างหมู่บ้านกับหมู่บ้านและพัฒนาไปสู่ระดับตำบลจนถึงจังหวัดได้ในอนาคต

แต่ก่อนการพัฒนาไปสู่กองทุนแห่งชาติ ภาพรวมของกองทุนหมู่บ้านเดิมก็ยังมีปัญหาที่ต้องแก้ไขและเตรียมความพร้อม

โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ พ.ศ. 2544 จนถึงปัจจุบัน ยังถือว่าเป็นการลองผิดลองถูก เนื่องจากประชาชนยังไม่เข้าใจในเรื่องของระบบธุรกิจ ระบบการบริหารจัดการแต่จะเป็นไปในลักษณะของการสนิทสนม นับถือกันแบบพี่น้อง หรือสังคมแบบเกื้อกูล

"วิธีการของความไว้ใจสมาชิก ยืมเงินไปถึงเวลาเอาเงินมาชำระ ผู้รับชำระจะไม่ได้ทำเรื่องสัญญา เอกสาร ด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจกัน จะทำให้ตรงนี้ง่าย สะดวกคล่องตัว ถ้าไม่เกิดปัญหาก็แล้วไป แต่วันหนึ่งถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาไม่มีอะไรมายืนยัน ว่าฝ่ายใดจ่าย ฝ่ายใดรับ หรือดำเนินการเมื่อไรอย่างไร"

บทเรียนระยะเวลาของการลองผิดลองถูกต้องปรับปรุงในเรื่องของกระบวนการทางเอกสาร กระบวนการในระบบงาน ความรู้เชิงกฎหมาย เชิงบัญชี ซึ่งจะทำให้เกิดระบบที่เป็นกิจจะลักษณะมากขึ้น ทำให้ระบบการเงินขยายตัวเพราะนั้นการมีแผนการลงทุน มีแผนการใช้การหมุนเวียนเงินต่างๆ ดังนั้น ระบบการทำงานระหว่างน้ำใจและการเอื้อเฟื้อกับการบริหารในเชิงธุรกิจต้องหาจุดสมดุลที่เหมาะสม

ในช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมาพบว่า จำนวนหมู่บ้านสมาชิกประมาณ 77,000 หมู่บ้าน มีกองทุนที่ไม่พร้อมและต้องติดตามอย่างใกล้ประมาณ 10% หมู่บ้านโดยเฉลี่ย 60% และหมู่บ้านที่เป็นตัวอย่างได้ 30%

ในส่วนของความรับผิดชอบของสมาชิกจำนวน 12,801,444 คน พบว่ามีหนี้ค้างชำระโดยเฉลี่ยไม่เกิน 10% สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ไม่เกิน 5% ขณะที่การดำเนินคดีเป็นคดีความแพ่ง 5,084 คดี เป็นทุนทรัพย์ 84,096,624.62 บาท และคดีความอาญา 734 คดี ทุนทรัพย์ 213,127,500.66 บาท

การดำเนินงานของกองทุนหมู่บ้านตั้งแต่ปี 2544 จนถึงปี 2554 มีการเพิ่มเงินประมาณแสนล้านบาท และมีเงินที่เพิ่มจากทั้งการระดมเงินออม ระดมเงินฝาก จากการบริหารจัดการให้เกิดประโยชน์ของแต่ละกองทุนประมาณ 6 หมื่นล้านบาท แต่ก็มีสิ่งที่น่ากังวล คือ ภาวะงูกินหาง เพราะบางหมู่บ้านที่ภาพที่สวยหรูในแง่ของการบริหารเงินกองทุน แต่ที่มาของเงินมาจากการกู้หนี้นอกระบบมาชดเชย

"การไปกู้นอกระบบมาชดเชยไม่ใช่ความต้องการกองทุนหมู่บ้าน กองทุนหมู่บ้านต้องการเงิน 3-4 ล้าน 1-2 ล้าน ก็ได้ แต่ทุกคนมีความสุข สมาชิกอยู่ร่วมกันได้ เพราะฉะนั้น เราจะไม่ได้วัดค่าเงินอย่างเดียว แต่ค่าของเงินมีส่วนที่เห็น คือ เงินไม่สูญ คืออย่างน้อยคิดว่าเงินไม่สูญมีที่มาที่ไป ถือว่ารับได้ระดับหนึ่งส่วนการงอกเงยถึงไหนอย่างไรถือว่าเป็นเรื่องในพื้นที่เป็นเรื่องบริหารจัดการกันเอง แต่ก็เอามาดูประกอบ เรียกว่าเป็นมิติทางเศรษฐกิจ"

ดังนั้น สิ่งที่กองทุนต้องทำ คือ การสร้างองค์ความรู้และเตรียมความพร้อมให้กับหมู่บ้าน เพื่อนำไปสู่ระดับกองทุนแห่งชาติ (Nation Fund) จะผ่านบทเรียนกองทุนหมู่บ้าน เช่น ปัจจัยของหมู่บ้านที่ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว องค์ความรู้อาชีพ องค์ความรู้ที่ใช้บริหารจัดการ องค์ความรู้ในการแก้หนี้นอกระบบ องค์ความรู้ในการระดมทุนโดยจะจัดตั้งสถาบันการเรียนรู้กองทุนหมู่บ้านซึ่งในเบื้องต้นมี 84 แห่ง ด้วยการจัดเป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในปี 2554 และจะขยายเพิ่มอีก 80 แห่ง ด้วยการจัดเป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษามหาราชินี ในปี 2556

พร้อมกันนี้ นทีกล่าวว่าได้วางแนวทางในการพัฒนากองทุนหมู่บ้านไว้ 3 แนวทาง คือ 1. การเพิ่มทุนล้านเพื่อการสร้างอาชีพซึ่งดูจากแผนของการขอกู้เงิน รวมถึงต้องการให้การเพิ่มทุนล้านใหม่นำไปสู่การสร้างประโยชน์ที่งอกเงยกลับมา แต่ต้องเสนอแผนของโครงการสร้างอาชีพ เช่น ส่งเสริมเรื่องอะไรในการพัฒนาอาชีพเอาเงินออกไปและความคุ้มค่า โดยเงินล้านใหม่จะเป็นการสร้างอนาคตไม่ใช้สร้างภาระในกระบวนการ

2. เปลี่ยนรูปแบบกองทุนหมู่บ้านจากกองทุนหมู่บ้านเพื่อสมาชิกกลายเป็นกองทุนหมู่บ้าน เป็นศูนย์บริการประชาชนซึ่งจะพยายามสร้างกองทุนหมู่บ้าน เช่น เชื่อมโยงกองทุนหมู่บ้านเป็นที่รับจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ เพื่อเป็นการบริการประชาชน สร้างรายได้เกิดขึ้นกองทุนหมู่บ้านก็จะได้เปอร์เซ็นต์ จากการดำเนินการเหล่านี้

3. การต่อยอดสมาชิกกองทุนหมู่บ้าน หรือยกระดับเป็นสถาบันการเงินชุมชนขับเคลื่อนการพัฒนากองทุนหมู่บ้าน โดยในปี 2554 สามารถทำได้ 950 แห่ง จากเดิมที่มีอยู่ 1,128 แห่ง และมีเป้าหมาย คือ 7,400 แห่ง ทุกตำบล และถ้ามีความเข้มแข็งจะยกกิจกรรมไปสู่ระดับอำเภอ ระดับจังหวัด เพื่อให้เกิดธนาคารประชาชน ธนาคารหมู่บ้านที่แท้จริงซึ่งจะเป็นบทบาทในอีก 10 ปีข้างหน้า และเชื่อว่าจะทำให้มีสมาชิกตามเป้าหมาย 20 ล้านคนได้

"วันนี้มีกองทุนพี่ กองทุนน้อง กองทุนน้องหากไปไม่รอด ต้องไปกู้เงินแบงก์ กองทุนน้องมากู้กองทุนพี่ จะได้ดูแลเงินที่หมุนเวียนอยู่ในหมู่บ้านด้วยกัน การที่จะกู้แบงก์ร้อยละ 6 มากู้กองทุนพี่ร้อยละ 5 สมมติมีเงินฝากแทนที่จะเอาเงินไปฝากร้อยละ 1 มาฝากเงินกองกลางร่วมกัน คิดดอกเบี้ยร้อยละ 2 หรือ 3 ก็ได้ และตัดส่วนต่างร้อยละ 3 ออกมาบริหารจัดการแทนที่จะคิดเป็นกองทุนจากเดิมร้อยละ 3 ให้สมาชิกกู้ร้อยละ 6 ส่วนต่าง 3 นั้นเป็นเรื่องของแต่ละกองทุน"

ขณะเดียวกัน การติดตามประเมินผลจะดำเนินการ ในเดือนสิงหาคม-กันยายนนี้ เป็นการประเมินกองทุนหมู่บ้านทั่วประเทศ โดยจัดทีมอำเภอ ประกอบด้วย กรมการพัฒนาชุมชนเพราะถือว่าเป็นภาคีข้อราชการ ผู้แทนของธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ผู้แทนภาคประชาชนในพื้นที่ และเจ้าหน้าที่ สทบ. ร่วมประเมินในทุกหมู่บ้าน

ในส่วนของกฎหมายที่จะมารองรับการเปลี่ยนกองทุนหมู่บ้านเป็นกองทุนแห่งชาติหรือสถาบันการเงินชุมชนในระยะสั้นจะอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง พ.ศ. 2547 ที่มีช่องให้สามารถทำสถาบันการเงินชุมชนได้ก็จะแปลจาก พ.ร.บ.ตรงนี้ออกมาเป็นประกาศระเบียบรองรับให้ชัดเจนมาก ขณะที่ในส่วนของ พ.ร.บ.กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง พ.ศ. 2547 มีหลายเรื่องที่ต้องปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมก็เตรียมเสนอรัฐบาล เพื่อปรับปรุงแก้ไขคาดว่าจะประมาณปี 2557 ที่จะรองรับกระบวนการกองทุนหมู่บ้านมากขึ้น ซึ่งกำลังอยู่ในกระบวนการรวบรวมปัญหาและดูว่าความจำเป็นที่จะปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.ในส่วนไหน

"คิดว่าปีหน้าในส่วนประกาศระเบียบรองรับต้องออกแล้ว อย่างช้าเลย ภายในปี 2556 และอาจต้องขึ้นทะเบียนสถาบันการเงินชุมชนว่าให้สถาบันการเงินชุมชนมีใบอนุญาต ใบรับรองการมีทะเบียนสถาบันการเงินหรือกองทุนหมู่บ้าน"

ในส่วนงบมาประมาณในการยกระดับกองทุนแห่งชาติ (Nation Fund) จะใช้เงินรวมประมาณ 2 แสนล้านบาท มาจากเงินตั้งแต่การดำเนินงานช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ที่รัฐบาลให้หมู่บ้านละ 1 ล้านบาท ใน 77,000 หมู่บ้าน รวมเป็น 77,000 ล้านบาท และมีการเพิ่มทุนอีกในรัฐบาลที่ผ่านมา รวมกับดอกเบี้ยต่างๆ รวมกับที่รัฐบาลจะเพิ่มทุนให้อีก 80,000 ล้านบาท ทำให้มีงบประมาณในส่วนที่จะดำเนินการ 200,000 ล้านบาท โดยรูปแบบของกองทุนแห่งชาติจะเป็นเสมือนธนาคารชุมชน สามารถให้กู้โดยคิดดอกผล ค่าธรรมเนียมจะกลับเข้าสู่หมู่บ้าน

นอกจากนี้ นทียังมีแนวคิดในการออกบัตรกองทุนในลักษณะบัตรเครดิตให้กับสมาชิกกองทุนเพื่อการเชื่อมโยงหรือใช้ประโยชน์ เช่น ซื้อของในเครือข่ายร้านของเราได้ในราคาถูก เพราะในอนาคตจะสร้างกองทุนหมู่บ้านมีร้านค้าชุมชนเข้ามาร่วม รวมถึงเพื่อติดตามความเคลื่อนไหวของบัตร เช่น ออกบัตร 12.8 ล้านใบ และสามารถอ่านค่าของการหมุนเวียนเงิน อ่านค่าการชำระของการเอาเงินออกเอาเงินเข้าได้ สามารถรู้ว่าใครไม่ชำระคืน ใครกู้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าตรงนี้ ก็จะแก้ปัญหาได้โดยจะตรวจสอบจากบัตร เป็นแผนในช่วง 10 ปีนี้

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555

ตามหา ควายบุญมา ง่ายกว่า ไอ้โม่งชุดดำ.

เมื่อวันที่ 27 สิงหาคมที่ผ่านมา นพ.เหวง โตจิราการ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึงผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆเพื่อขอคลิปวิดีโอเหตุการณ์เดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ที่มีการเผยแพร่ภาพ “ชายชุดดำ” หรือ “ไอ้โม่งชุดดำ” ซึ่งกว่า 2 ปีที่ผ่านมายังไม่สามารถตามจับ “ชายชุดดำ” ที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) นำออกมาเผยแพร่ทุกสื่อซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยกล่าวหาว่าการชุมนุมของ นปช. มีกลุ่ม “ผู้ก่อการร้าย” แอบแฝง จนทำให้เกิดความรุนแรงในวันที่ 10 เมษายน 2553 และทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 27 ราย เป็นทหาร 5 ราย และพลเรือน 22 ราย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือนายฮิโรยูกิ มูราโมโต ช่างภาพชาวญี่ปุ่น สำนักข่าวรอยเตอร์ส และมีผู้บาดเจ็บกว่า 800 คน

นพ.เหวงจึงต้องการได้คลิปทั้งหมดเพื่อตรวจสอบเบื้องต้นว่า “ชายชุดดำ” มีจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงการสร้างภาพของรัฐบาลที่ผ่านมา โดยจะประสานไปยังผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบคลิปมาร่วมพิจารณาด้วย ในฐานะที่เป็น ส.ส. ไม่ใช่แกนนำเสื้อแดง เพื่อให้ความจริงปรากฏ

นอกจากนี้ นพ.เหวงเปิดเผยว่า ได้ข้อมูลว่าจุดที่ชายชุดดำยิงต่อสู้ไม่ใช่บริเวณถนนดินสอและถนนตะนาว ซึ่งขัดกับการให้สัมภาษณ์ของนายถวิล เปลี่ยนศรี อดีต เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) รวมถึงการ เสียชีวิตของ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม อดีตรอง เสธ. พล.ร.2 รอ. ก็ไม่ได้เสียชีวิตจากอาวุธปืนเอ็ม 79 แต่เสียชีวิตจากเอ็ม 67 และพื้นที่ที่เสียชีวิตไม่มีคนเสื้อแดงอยู่

นพ.เหวงยืนยันว่า การเปิดประเด็น “ชายชุดดำ” ไม่ได้ต้องการดิสเครดิตกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เรียกนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการ ศอฉ. ไปชี้แจงเมื่อวันที่ 27 สิงหาคมที่ผ่านมา แต่ต้องการเห็นความปรองดองของคนในชาติ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ต้องมี 3 ขั้นตอนคือ 1.ความจริงต้องปรากฏ 2.ความยุติธรรมต้องคืนมา ใครสั่งฆ่าประชาชนต้องถูกลงโทษ และ 3.จะนิรโทษกรรมหรือไม่ต้องไปว่ากันภายหลัง

ผลการชันสูตรพลิก

ย้อนเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายนที่มีการตั้งคณะ กรรมการร่วมชันสูตรพลิกศพผู้เสียชีวิตเนื่องจากเหตุการณ์ปะทะกัน โดยมีคณาจารย์ด้านนิติเวชวิทยาจากหลายสถาบัน เช่น โรงพยาบาลตำรวจ โรงพยา บาลศิริราช โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โรงพยาบาลพระ มงกุฎเกล้า สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และโรงเรียนแพทย์อื่นๆ เป็นกรรมการร่วมกันชันสูตรพลิกศพ เพื่อให้เป็นไปด้วยความโปร่งใส นอกจากนั้นคณะกรรมการดังกล่าวได้เชิญตัวแทนจาก นปช. ไปร่วมด้วย โดยศพของประชาชนมีการชันสูตรพลิกศพโดยคณะกรรมการร่วมชันสูตรฯที่โรงพยาบาลตำรวจทุกราย เช่นเดียวกับศพของทหารที่เสียชีวิต ยกเว้น พ.อ.ร่มเกล้า เพราะศพถูกนำไปฌาปนกิจก่อน

โดยการชันสูตรพลิกศพเบื้องต้นสรุปว่าแผลที่เกิดขึ้นในร่างกายของผู้เสียชีวิตฝั่งประชาชนในวันที่ 10 เมษายน ส่วนใหญ่น่าจะเกิดจากกระสุน 5.56x45 mm (มิลลิเมตร) มาตรฐาน NATO ซึ่งทหารใช้มากกว่ากระสุน 7.62x39 mm มาตรฐานรัสเซีย ที่มีคนอ้างว่าชายชุดดำใช้ ถ้าเชื่อว่าชายชุดดำมีปืนอาก้าตามรูปที่เอามาลงกันจริงๆก็แปลว่าชายชุดดำไม่มีส่วนในการฆ่าประชาชน เพราะชายชุดดำไม่ได้ถือ M16 HK33 หรือ Tavor ในขณะที่ทหารที่เข้าปฏิบัติการสังหารประชาชนในวันที่ 10 เมษายนมีหลักฐานชัดเจนว่ามีปืน M16 Tavor และปืนซุ่มยิง

ปริศนาสะเก็ดระเบิด

สลักธรรม โตจิราการ ตัวแทน นปช. ที่ร่วมคณะกรรมการชันสูตรพลิกศพ เปิดเผยว่า ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือ ร่างผู้เสียชีวิตเกินครึ่งหนึ่งแผลกระสุนเข้าไปอยู่ที่ศีรษะ ปรกติศีรษะคนมีขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับขนาด ร่างกายทั้งหมด ถ้าไม่เล็งยิงโอกาสโดนน้อยมาก แปลว่าคนยิงมีเจตนายิงให้เสียชีวิตอย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังมีศพถูกยิงเข้าที่อกด้วยกระสุน 5.56x45 mm มาตรฐาน NATO แต่วิถีกระสุนพุ่งดิ่งจากบนลงล่างด้วยมุมชันมาก ซึ่งสันนิษ ฐานว่าเกิดจากการโดนกระสุนที่ยิงขึ้นฟ้าแล้วตกลงมา

สำหรับทหารที่เสียชีวิตเกิดจากสะเก็ดระเบิดที่เป็นโลหะรูปร่างบิดเบี้ยวเป็นแผ่นที่แตกออกมาด้วยความเร็วสูงพุ่งทะลุเข้าไปในสมอง ซึ่งสลักธรรมให้ความเห็นว่าน่าจะเสียชีวิตจากระเบิดมือมากกว่า M79 เพราะกระสุนระเบิดขนาด 40 mm ที่ใช้กับ M79 หรือ M203 ส่วนมากเป็นกระสุนที่มีอำนาจการทำลาย จากตัวแรงระเบิดเอง (High Explosive) มากกว่า ยกเว้นจะใช้หัวกระสุนชนิดคล้ายปืนลูกซอง ซึ่งจะให้ลูกปรายออกมาเป็นลูกกลม ในขณะที่ระเบิดมือชนิดทำลายบุคคลจะใช้การแตกสะเก็ด (Fragmentation) เพื่อให้สะเก็ดระเบิดพุ่งตามแรงระเบิดไปทำลายบุคคล

จากการชันสูตรพบว่าทหารที่เสียชีวิตไม่ได้เสียชีวิตจากตัวแรงระเบิดเอง แต่เสียชีวิตจากสะเก็ดระเบิด โดยสะเก็ดระเบิดที่พบในศีรษะทหารที่เสียชีวิตมีลักษณะเป็นแผ่นแบบที่แตกออกมาจากผิวของระเบิดมือชนิดแตกสะเก็ด ไม่ใช่หัวลูกปรายในกระสุน M79 แบบพิเศษ จึงเป็นไปได้ว่าผู้ลงมือต้องอยู่ใกล้กับพื้นที่มาก เพราะระยะขว้างของระเบิดมือโดยปรกติ จะไม่เกิน 50-100 เมตร เช่น ระเบิดขว้างแบบแตกสะเก็ดชนิด M67 ของสหรัฐอเมริกา มีระยะขว้างปรกติ 40 เมตร เพราะฉะนั้นผู้ที่สังหารต้องอยู่ใกล้แนวหลังหรือ กองบัญชาการของ พ.อ.ร่มเกล้าและทีมงาน ตามปรกติ แล้วการรักษาความปลอดภัยในบริเวณแนวหลังหรือกองบัญชาการต้องเข้มงวดมาก โอกาสที่บุคคลภายนอกจะเล็ดลอดเข้าไปยังพื้นที่แนวหลังหรือกองบัญชาการในระยะไม่เกิน 40 เมตร ในสถานการณ์สงครามและสามารถขว้างระเบิดมือแล้วหลบหนีออกจากพื้นที่โดยไม่ถูกตรวจจับหรือมีการปะทะถือว่าน้อยมาก ยกเว้นการรักษาความปลอดภัยย่อหย่อนอย่างร้ายแรง หรือเป็นการกระทำจาก “คนใน”

ปลุกกระแส “ไอ้โม่งชุดดำ”

หลังเหตุการณ์ 10 เมษายน นายอภิสิทธิ์ก็เก็บตัวเงียบจนมีข่าวออกมาว่าอาจตัดสินใจลาออก แต่วันที่ 12 เมษายน นายปณิธาน วัฒนายากร ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ขณะนั้น ออกมาแถลงว่ารัฐบาลตรวจสอบพบว่ามีผู้ปะปนในกลุ่มผู้ชุมนุมที่ไม่ใช่ทหาร และผู้ชุมนุมถืออาวุธหนักเข้ามาในพื้นที่ที่เกิดการปะทะกัน มีทั้งระเบิด M79 ระเบิด M87 รวมทั้งอาวุธปืน โดยมีการบันทึกภาพที่สามารถยืนยันได้ ขณะเดียวกัน ศอฉ. ได้นำภาพ “คนสวมชุดดำ” ใส่หมวกไอ้โม่งถือปืนอยู่ในม็อบและอยู่ในเหตุการณ์ปะทะเผยแพร่ซ้ำแล้วซ้ำอีก วนไปวนมาตลอดทั้งวัน โดยโยงการตายของ พ.อ.ร่มเกล้ากับภาพชายชุดดำขึ้นมาอ้าง “ความชอบธรรม” ในการ “ขอคืนพื้นที่”

ส่วนสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที (ช่อง 11) กระบอกเสียงของ ศอฉ. ได้เผยแพร่ภาพวิดีโอเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่สี่แยกคอกวัวในเวลา 22.00 น. เศษ ของวันที่ 10 เมษายน โดยระบุว่านำภาพมาจากช่องโมเดิร์น ไนน์ทีวี วิดีโอดังกล่าวปรากฏภาพกลุ่มบุคคลยิงปืน คาด ว่าเป็น M16 และ M79 มาจากระเบียงตึกฝั่งผู้ชุมนุม ไปยังฝั่งที่มีเจ้าหน้าที่ทหารอยู่หลายนัด อีกทั้งยังมีภาพการซุ่มยิงจากหลังเสาไฟฟ้าไปยังเจ้าหน้าที่ด้วย

แต่ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ออกมาระบุว่ากองทัพใช้คนซุ่มยิงจากหลังคาตึกโรงเรียนสตรีวิทยาใส่ประชาชนก่อน ทำให้กองกำลังไม่ทราบฝ่ายหรือนักรบโรนินยิงตอบโต้ บังเอิญลูกระเบิด M79 ลูกแรกที่ยิงเข้าไปตกบริเวณเต็นท์ทหารข้างโรงเรียนสตรีวิทยาที่ใช้เป็นกอง บัญชาการรบครั้งนี้ ทำให้โดน พล.ต.วลิต โรจนภักดี ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (ผบ.พล.ร.2 รอ.) ซึ่งเป็นแม่ทัพในการทำศึกครั้งนี้ บาดเจ็บสาหัส และโดนนายทหารชั้นสัญญาบัตรหลาย คนได้รับบาดเจ็บ ทำให้ศึกครั้งนี้ไม่มีคนสั่ง ไม่มีแม่ทัพ ไม่มีคนบัญชาการ ทำให้ทหารปราชัยถอยออกไป

แต่ “ไอ้โม่งชุดดำ” ก็ถูกอุปโลกน์จากรัฐบาลและ ศอฉ. ให้เป็น “ผู้ก่อการร้าย” ที่ใช้อาวุธสงคราม และระเบิดฆ่าทั้งทหารและประชาชน โดยไม่สามารถ จับได้แม้แต่คนเดียว ขณะที่คนเสื้อแดงกลับถูกยิงตาย นับจากวันที่ 10 เมษายน-19 พฤษภาคม เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากฝีมือของ “สไนเปอร์” ซึ่ง ศอฉ. อ้างว่าเป็นฝีมือของ “ชายชุดดำ” เช่นเดิม แม้จะมีภาพทหารบนตึกสูงและรางรถไฟฟ้ากำลังชี้เป้าและส่องปืนติดกล้องอย่าง ชัดเจนก็ตาม

“อภิสิทธิ์” ยัน “ชายชุดด

ส่วนนายอภิสิทธิ์ที่เก็บตัวเงียบและไม่ปรากฏตัวเลย หลังเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน จนกระทั่งเมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 19 เมษายน ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษผ่าน สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที (ช่อง 11) และถ่ายทอดผ่านวิทยุและโทรทัศน์ทุกช่องเกี่ยวกับการสลายการชุมนุม คนเสื้อแดง โดยระบุว่าผู้ชุมนุมใช้ความรุนแรงและมีกองกำลังติดอาวุธปะปนอย่างภาพที่ ศอฉ. นำมาเผยแพร่

และวันที่ 30 เมษายน นายอภิสิทธิ์ได้ออกแถลง การณ์ว่า ผู้ชุมนุมข่มขู่ คุกคามด้วยการเดินทางออกปั่นป่วนนอกพื้นที่การชุมนุม หากปล่อยให้เหตุการณ์ดำเนินต่อไปจะเกิดสภาวะไร้วินัยและเหิมเกริม ศอฉ. จึงมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ให้ดำเนินการข่มขู่ คุกคาม หรือเคลื่อนการชุมนุมไปในที่ต่างๆ และยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ดำเนินการตามหลักสากล แต่จำเป็นต้องป้องกันและแก้ไขปัญหาไปพร้อมๆกัน เพื่อไม่ให้มีการลำเลียงอาวุธและนำคนไปสมทบในที่ชุมนุม

จนวันนี้นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพก็ยังยืนยันว่า “ไอ้โม่งชุดดำ” คือผู้ก่อการร้ายที่ฆ่าทหารและประชาชน ขณะที่การสอบสวนและตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะกรรมการต่างๆก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเรื่อง “ไอ้โม่งชุดดำ” มีจริงหรือไม่

คอป. ไม่รู้ใครคือ “ชายชุดดำ”?

แม้แต่คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน ซึ่งหมดวาระการทำหน้า ที่อย่างเป็นทางการไปแล้ว ก็ไม่สามารถให้คำตอบได้ว่า “ชายชุดดำ” มีอยู่จริงหรือไม่ โดย นพ.รณชัย คงสกนธ์ รองคณบดีคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี หนึ่งใน คอป. และประธานคณะอนุกรรม การเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความรุนแรง ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 15 กรกฎาคม 2555 ว่ายังไม่รู้เลยว่า “ชายชุดดำ” เป็นใคร แม้พยายามสอบสวนจากพยานแวดล้อมและหลักฐานอื่นอย่างละเอียด แต่ยังไม่พบตัวตน

ขณะที่นายมานิจ สุขสมจิตร ประธานมูลนิธิหนังสือพิมพ์ไทยรัฐและรองประธาน คอป. เปิดเผยว่า ได้สอบสวนทุกฝ่ายทุกด้านเรื่องชายชุดดำ แต่ก็ไม่ได้คำตอบ เห็นในคลิปหลายคลิป รูปหลายรูป ถือปืนด้วย จนมีคนพยายามทำให้เรื่อง “ชายชุดดำ” เป็นเรื่องตลก สร้างภาพชายชุดดำไปปรากฏในทุกๆแห่งและถือปืนเด็กเล่น ใส่หน้ากาก ถ้าเขาเป็นทหารจะแต่งทำไม และถ้าเขาเป็นเสื้อแดงเขาจะแต่งทำไม เพราะถ้าเป็นเสื้อแดงก็ต้องใส่ชุดแดง และปืนที่ถือก็เป็นปืนจริงๆ ไม่ใช่ไม้ ไม่ใช่ปืนเด็กเล่น ไม่ใช่ปืนการ์ตูน แต่ไม่มีภาพที่ชายชุดดำกำลังยิงอยู่ เราก็ไม่รู้ว่า เป็นใคร เป็นฝ่ายไหน แต่มีคนนำรูปมาเทียบให้ดูว่ารูปนี้เป็นการ์ดนะ อย่างนี้นะ เป็นต้น เป็นเพียงบางรูป เท่านั้น ไม่ใช่ทั้งหมด เท่าที่ดูมีหลายแห่ง เช่น สี่แยกคอกวัว ที่ยิงมาจากบนเฉลียงของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลแห่งที่ 2 แล้วข้างล่างที่ยิงขึ้นไป และอื่นๆอีก

“อย่างกรณีการเสียชีวิตของ พ.อ.ร่มเกล้า สรุปสุดท้ายพบว่าเสียชีวิตเพราะระเบิด M67 ซึ่งขว้างมาจากฝั่งตรงข้าม 2 ลูกด้วยกัน เวลาห่างกันเพียงไม่กี่วินาที เราก็ไปดูกระเดื่อง 2 ลูกที่ตกอยู่ฝั่งตรงข้ามโรงเรียนสตรีวิทยาว่าไปไหน คนที่อยู่ในบ้านก็บอกว่ารุ่งเช้าวันที่ 11 เมษายน มีคนที่แต่งตัวดีๆมาขอเอาไป คือเขาก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร เพราะคิดว่าเป็นเจ้าหน้าที่ และก็ไปถามเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ทางดีเอสไอไปถามตำรวจท้องที่ ทางท้องที่ก็ไม่รู้ กรณีของมูราโมโต ช่างภาพญี่ปุ่นที่เสียชีวิต เราก็ดูจากภาพของกล้องมูราโมโต ซึ่งตั้งเวลาก่อนเมืองไทย 2 ชั่วโมง นอกจากนั้นยังมาดูมุมภาพว่าเขาล้มทันทีหรือล้มเอียง สุดท้ายก็รู้ว่าเขาต้องล้มเอียงนิดๆ เพราะเขาถือกล้องใหญ่มาก วิถีกระสุนมาจากไหน ซึ่งถามช่างภาพว่าวิถีกระสุนมาจากอนุสาวรีย์หรือเปล่า เขาบอกว่ามาจากด้านสะพานวันชาติซึ่งเป็นฝ่ายที่ทหารอยู่”

“ชายชุดดำ” กับ “ควายบุญมา”?

แม้วันนี้ “ชายชุดดำ” จะยังเป็นปริศนา แต่หาก มีการสอบสวนหาข้อเท็จจริงและดำเนินคดี 98 ศพอย่างจริงจัง อย่างล่าสุดวันที่ 27 สิงหาคมที่ผ่านมาที่นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพเดินทางไปพบพนักงานสอบ สวนคดีการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และประชาชน 91 ศพของดีเอสไอนั้น หากทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมอย่างจริงจังและโปร่งใสก็ต้อง มีคำตอบเรื่อง “ชายชุดดำ” หรือผู้ที่ต้องรับผิดชอบกับ การใช้ความรุนแรงจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บมากมาย

อย่างที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เคยตอบโต้นายสุเทพที่กล่าวหาว่า ร.ต.อ.เฉลิมตาบอดสีจึงไม่เห็นว่าชายชุดดำเป็นคนลงมือสังหารประชาชน ว่า ไม่ได้ตาบอดสี แต่ก็ไม่เห็น “ชายชุดดำ” แต่รู้ว่าการที่ พล.ต.ขัตติยะเสียชีวิตนั้นไม่ใช่ฝีมือทหาร แต่เป็นการยิงของตำรวจ การยิงในสถานที่ต่างๆก็เป็น ฝีมือตำรวจ มีการนำปืนทราโวไปใส่ไว้ในรถของบางคนแล้วบอกว่าจับอาวุธได้ที่เวที นปช. ทั้งที่ไม่มีเลย

ส่วนที่มีการพาดพิงความรุนแรงเหตุการณ์เมษา ยน-พฤษภาคม 2553 ถึงนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพนั้น ร.ต.อ.เฉลิมบอกว่าเป็นทหาร ไม่ใช่รัฐบาล เพราะทหารบอกว่าการปฏิบัติการครั้งนั้นเป็นไปตามคำสั่ง ศอฉ. ไม่ใช่อยู่ดีๆรัฐบาลหยิบเรื่องนี้ขึ้นมา แต่รัฐบาลที่ผ่านมาทำช้า รัฐบาลชุดนี้ทำเร็วและตรงไปตรงมา และไม่ใช่เรื่องการเมือง แต่เป็นเรื่องฆาตกรรม ซึ่ง พ.อ. สรรเสริญ แก้วกำเนิด อดีตโฆษกของ ศอฉ. ได้เข้าให้การกับตำรวจเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2554 ว่า ศอฉ. ไม่ใช่องค์กรที่เกิดขึ้นเอง แต่มีขึ้นโดยคำสั่งของนายอภิสิทธิ์ที่เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น และมีนายสุเทพ รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เป็นผู้อำนวยการ ศอฉ.

ดังนั้น ไม่ว่านายอภิสิทธิ์และนายสุเทพจะนำบันทึกเอกสารและหลักฐานจำนวนกี่ร้อยหน้าให้กับ

ดีเอสไอ แต่คำให้การของทหารที่เป็นผู้ปฏิบัติยืนยันชัดเจนว่าไม่สามารถนำกำลังหลายหมื่นนายพร้อมอาวุธสงครามสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงได้หากไม่มีคำสั่งพิเศษจาก ศอฉ. ซึ่งใครมีอำนาจสั่งนั้น นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพน่าจะตอบคำถามได้ดีที่สุด

เช่นเดียวกับ “ชายชุดดำ” ที่กว่า 2 ปีแล้วก็ยังไร้ตัวตน แต่นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพยืนยันว่ามีจริง ซึ่งจากภาพถ่ายและคลิปวิดีโอก็ต้องยอมรับความจริงว่ามีคนใส่ชุดดำจริง แต่จะเป็น “ชายชุดดำ” ที่เป็น “ผู้ก่อการร้าย” อย่างที่นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพกล่าวหา หรือจะลงเอยเหมือน “ผังล้มเจ้า” ที่กลายเป็น “ผังกำมะลอ” ที่ ศอฉ. ยอมรับว่าอุปโลกน์ขึ้นมาหรือไม่นั้น หากไม่หยุดค้นหาความจริงก็ต้องรู้คำตอบว่า “ชายชุดดำ” ที่แท้จริงนั้นเป็นใคร

ไม่เหมือน “ควายบุญมา” ควายเผือกที่ครูสาวมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ ไถ่ชีวิตมาและบริจาคให้ศูนย์อนุรักษ์กระบือไทย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์เลี้ยง แต่กลับหายไปอย่างลึกลับ ทำให้ครูสาวสอบถามไปยังศูนย์อนุรักษ์ฯแต่ไม่มีคำตอบ จนเป็นข่าวที่ทำให้คนทั่วไปรู้สึกสะเทือนใจหาก “ควายบุญมา” ถูกนำไปฆ่า จึงมีการสอบสวนกันอย่างจริงจัง ทำให้รู้ว่ามีการนำ “ควายบุญมา” ไปแลกกับควายแม่ลูกของชาวบ้านและต่อมาถูกนำไปขายให้พ่อค้าชื่อ เสี่ยเส็ง ส.แสงทอง ที่ตลาดโคกระบือในอุตรดิตถ์ ราคา 35,000 บาท และเสี่ยเส็งได้ขายต่อให้พ่อค้าชาวจีน ซึ่งขณะนี้คาดว่าถูกส่งไปจีนแล้ว แต่เชื่อว่ายังไม่ถูกฆ่าเพราะเพิ่งอายุ 2-3 ปี

ส่วนเสี่ยเส็งเมื่อรู้ความจริงของ “ควายบุญมา” ก็รู้สึกเสียใจและยืนยันว่าจะหาทางนำ “ควายบุญมา” กลับคืนมาให้ได้ โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ถือเป็นการทำบุญร่วมกับผู้บริจาค แม้ “ควายบุญมา” จะยังไม่ได้กลับบ้าน แต่อย่างน้อยก็รู้ว่า “ควายบุญมา” หายไปไหน ซึ่งมหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ก็ยอมรับผิดและตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาความจริง

การหายไปของ “ควายบุญมา” หลังจากที่มหาวิท ยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์นำไปแลกเปลี่ยนในตลาดโคกระบือ ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็รู้แล้วว่าวันนี้ “ควายบุญมา” หายไปไหน? ตรงข้ามกับ 98 ศพในเหตุการณ์เมษา-พฤษภาอำมหิตที่มีภาพและหลักฐานมากมายทั้ง “คนสั่งและคนฆ่า” แต่กว่า 2 ปีสังคมไทยกลับเหมือนคนตาบอดหูหนวกที่เชื่อ “รัฐบาลมือเปื้อนเลือด” ว่า “ไอ้โม่งชุดดำ” เป็น “ผู้ก่อการร้าย” โดยไม่ทำความจริงให้ปรากฏและเอา “ฆาตกรตัวจริง” มาลงโทษ อีกทั้งยังไม่เคยมีการเอ่ยคำ “ขอโทษ” หรือการแสดงความรับผิดชอบใดๆจากรัฐบาลที่อยู่ในเหตุการณ์เมษา-พฤษภา 53 เลย

จนบัดนี้ก็ยังไม่มีข่าวคราวใดๆว่า “ไอ้โม่งชุดดำ” หายไปไหน?

การตามหา “ควายบุญมา” จึงง่ายกว่าการตามหา “ไอ้โม่งชุดดำ” ยิ่งนัก

หรือแท้ที่จริงแล้วเป็นเพราะ “ควายบุญมา” มีตัวตนจริง ต่างจาก “ไอ้โม่งชุดดำ” ที่เป็นเพียงแค่ “แพะ” ในจินตนาการเท่านั้น?

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

คลังเล็งออกมาตรการอุ้ม SME รับ AEC.

คลังเตรียมออกมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอีรอบใหม่เพิ่มความแข็งแกร่งรับเออีซี หลังพบข้อมูลบริษัทขนาดเล็ก 2.7 ล้านรายได้รับการสนับสนุนไม่ตรงจุด

นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังเตรียมศึกษามาตรการในการเข้าไปสนับสนุนผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ที่จะพุ่งเป้าไปที่เอสเอ็มอีมีขนาดเล็กจริงๆ เช่น ธุรกิจห้องแถวและวิสาหกิจชุมชน เป็นต้น ซึ่งฐานข้อมูลใหม่เกี่ยวกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีนั้น พบว่ามีถึง 2.7 ล้านรายจาก 3 ล้านรายทั่วประเทศที่เป็นเอสเอ็มอี

ขนาดเล็ก โดยการสนับสนุนเอสเอ็มอีขนาดเล็กดังกล่าวถือเป็นการเตรียมพร้อมรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558

ทั้งนี้ นายอารีพงศ์ กล่าวว่า ในอดีตกระทรวงการคลังมักจะผลักดันให้ธนาคารเฉพาะกิจออกมาตรการต่างๆ เป็นจำนวนมาก เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี แต่ก็มักใช้ไม่ได้ผล ทำให้การพัฒนาและขับเคลื่อนเอสเอ็มอีไทยให้มีศักยภาพแข่งขันสูงขึ้น ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร จึงสั่งให้รวบรวมข้อมูล และมาตรการต่างๆ เพื่อนำมาปรับใช้ให้ตรงกับความต้องการของผู้ประกอบการเหล่านั้น โดยเฉพาะผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม 4 กลุ่มที่ได้ผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจ คือ สิ่งทอ ยางพารา รถยนต์และอิเล็กทรอนิกส์

โดยอุตสาหกรรมสิ่งทอนั้น แม้จะมีสัดส่วนการส่งออกไม่มาก เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ หรือยานยนต์ แต่อุตสาหกรรมสิ่งทอมีการว่าจ้างงานแรงงานจำนวนมากที่สุดในอุตสาหกรรมทั้ง 4 กลุ่ม ซึ่งนายกรัฐมนตรีเป็นห่วงเรื่องแรงงานที่จะตกงานมากขึ้น เพราะได้รับผลกระทบจากวิกฤติยุโรป กระทรวงการคลังจึงหารือกับภาคเอกชนและสถาบันการเงินว่า กลุ่มเอสเอ็มอีควรต้องดูแลเป็นพิเศษ เพราะอัตราจ้างแรงงานมีมากที่สุด

นายอารีพงศ์ กล่าวด้วยว่า จากข้อมูลที่กระทรวงการคลังรวบรวมเบื้องต้นพบว่า ผลผลิตที่สร้างจีดีพีให้แก่ประเทศไทยทุกวันนี้ มาจากบริษัทที่มีขนาดใหญ่ถึง 63% มีเพียง 37% เท่านั้นที่มาจากธุรกิจเอสเอ็มอี แต่เอสเอ็มอีมีการว่าจ้างแรงงานสูงถึง 80-90% ของจำนวนแรงงานทั้งประเทศ ลักษณะโครงสร้างผลผลิตเช่นนี้เอง ทำให้ช่วงที่ผ่านมากระทรวงการคลังไม่สามารถยกระดับเอสเอ็มอี

ให้มีขนาดใหญ่โตขึ้นได้ จึงจำเป็นต้องวางแผนโดยออกมาตรการใหม่ ที่จะมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มผลผลิตของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้มีสัดส่วน 50% เท่ากับผู้ประกอบการรายใหญ่

"เราวางเป้าหมายให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต้องแข็งแกร่งและสามารถขยายธุรกิจ เพื่อรองรับกับอนาคตที่กำลังเกิดขึ้นได้ ถ้านับจำนวนบริษัทใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีเพียง 500 บริษัท มีการจ้างงานแค่ส่วนเดียวเท่านั้น ขณะที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมีอยู่ถึง 3 ล้านรายทั่วประเทศมีการจ้างงานจำนวนมาก ในจำนวนนี้เป็นนิติบุคคลไม่ถึง 3 แสนราย ที่เหลือกว่า 2.7 ล้านราย เป็นผู้ประกอบการประเภทบุคคล เช่น ร้านขายก๋วยเตี๋ยว หาบเร่แผงลอย ธุรกิจห้องแถวและโรงกลึง เป็นต้น ส่วนเครื่องมือทางด้านเงินที่จะใส่เข้าไปใหม่รอบนี้ จะต้องมีความเข้าใจถึงตัวผู้ประกอบการด้วย"

ขณะเดียวกัน นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระทรวงการคลังเข้าตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีที่ธนาคารออมสิน ระบุว่า มีลูกค้าที่เข้าข่ายพักหนี้ตามนโยบายของรัฐบาลเพียง 3.7 แสนราย จากข้อมูลที่แจ้งในครั้งแรกว่า มีลูกค้าของธนาคารออมสินเข้าข่ายพักหนี้ดีสูงถึง 8 แสนราย เพื่อให้ทราบว่า ลูกหนี้ส่วนที่หายไปดังกล่าว ไม่ได้รับสิทธิในการเข้าโครงการพักหนี้ดีเพราะอะไร

ทั้งนี้ แม้โครงการดังกล่าวจะปิดตัวไปแล้วเมื่อวันที่ 20 ส.ค.ที่ผ่านมา แต่หากพบว่าจำนวนลูกหนี้ที่ถูกตัดไปนั้น เสียสิทธิเข้าโครงการเพราะการบริหารข้อมูลผิดพลาด ทางกระทรวงการคลังก็จะต้องดำเนินการต่อไปในการเข้าไปช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มดังกล่าว

"จากการติดตามข้อมูลพบว่า ผู้บริหารของธนาคารออมสินไม่สนใจเรื่องนี้ เพราะไม่ได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่เพื่อเจรจากับลูกค้าของธนาคาร แตกต่างจาก ธ.ก.ส.ที่ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ เพื่อแนะนำให้ลูกค้าให้เข้าร่วมโครงการผลงานจึงออกมาดีกว่าธนาคารออมสินมากมาย" นายทนุศักดิ์ให้ข้อมูล

นายทนุศักดิ์ ระบุว่า โครงการพักหนี้ลูกหนี้ เป็นนโยบายของพรรคที่ใช้ในการหาเสียง ซึ่งถือเป็นโครงการที่ดี เพราะลูกหนี้ที่เข้าร่วมการโครงการจะมีเงินเหลืออยู่ในกระเป๋าเพิ่มขึ้น และสามารถนำเงินดังกล่าวไปใช้ประโยชน์อื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ลงทุนในกิจการใหม่หรือขยายกิจการเดิมให้กว้างขวางมากขึ้น โดยไม่มีการตัดสินการขอสินเชื่อใหม่จากธนาคารพาณิชย์

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2555

AEC : ASEAN ECONOMIC COMMUNITY.

ทั้งนี้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ยังไงๆ เราต้องเดินหน้าสู่วงจรของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่ต้องคิดว่าสามารถถอยหลังได้ เนื่องด้วย วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2558 เราต้องเดินเข้าสู่วงจรนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่”ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” จะดำเนินการเต็มรูปแบบ!กล่าวคือ สมาชิกทั้ง 6 ประเทศ โดย มีไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ บรูไน ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ได้ดำเนินการด้านเศรษฐกิจกันไปแล้ว เพียงแต่ว่าการจัดเก็บอัตราภาษีนั้น ยังไม่เป็นศูนย์เปอร์เซ็นต์ มีแต่การจัดเก็บภาษีด้านการค้าขายระหว่างกันนั้น เริ่มที่ระดับร้อยละ 5-10 เท่านั้น ส่วนระบบโลจิสติกส์และระบบขนส่ง บวกกับภาคบริการ ศิลปวัฒนธรรม และความมั่นคงนั้น ว่ากันตามความเป็นจริงยังไม่ได้เริ่มกันซักเท่าไหร่เลย

แต่เริ่มจะเป็นจริงเป็นจังกันในปี 2558 ที่สมาชิก”น้องใหม่”อีก 4 ประเทศ กล่าวคือ”กลุ่ม CLMV” ที่ประกอบไปด้วย C = กัมพูชา(CAMBODIA) L = สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (LAOS) M =สหภาพพม่า (MYANMAR UNION) และ V = สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามจะเข้าร่วมเป็น”สมาชิกประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน”อย่างเต็มรูปแบบของ”สมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ”

เมื่อนั้น”สภาพการแข่งขัน” จะเกิดขึ้นอย่างจริงจังในกรณีของวัตถุดิบทรัพยากรมนุษย์ ภาคการบริการ ทักษะกับแรงงานต่างด้าวที่จะพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ค่าแรงขั้นต่ำ” ที่กลุ่มประเทศสมาชิกน้องใหม่ที่มีอัตราต่ำกว่าบ้านเราน่าจะประมาณ 85-90 บาทเท่านั้น ในกรณีนี้จะเกิดการแข่งที่สูงมากด้วย”ภาคการส่งออก”เป็นกรณีที่”น่าเสียดาย-เสียใจ” อย่างมากที่คนไทยจำนวนมากยังไม่ค่อยตระหนักถึง”ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” หรือแม้กระทั่ง “ข้าราชการ” บวกกับ “คนรุ่นใหม่” ที่ยังไม่มีโอกาสมีความรู้และความเข้าใจความสำคัญของAECว่าในที่สุดแล้ว อีกเพียง “2 ปี 5 เดือน”เท่านั้นที่ทุกประเทศในสมาชิกประชาคมอาเซียนเริ่มเตรียมพร้อม แล้วโดยเฉพาะสิงคโปร์ เวียดนาม ที่สิงคโปร์น่าจะพร้อมที่สุด ทั้งนี้ บริษัทต่างชาติชาวอเมริกันและอังกฤษได้เข้าจดทะเบียนบริษัท โดยใช้ “ตัวแทน (Nominee)” ชาวสิงคโปร์เข้าเป็นหุ้นส่วนในภาคบริการประกันภัยเรียบร้อยแล้ว

“ภาษาอังกฤษ (ENGLISH)” เป็นภาษาหลักที่ทุกประเทศทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะยึดเป็นภาษาหลัก นอกนั้นยังมีความจำเป็นที่ต้องเรียนรู้”ภาษาจีน-ภาษาญี่ปุ่น”ไปด้วยเพื่อความคล่องตัวในการติดต่อสื่อสารนอกจากนั้น ภาษาท้องถิ่นของภาษาพม่า และภาษากัมพูชา บวกกับภาษาเวียดนามที่มีความสำคัญไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย ที่ชาวเอเซียต้องเรียนรู้ ประเทศไทยเรานั้น มีความได้เปรียบทั้งในเชิง “ภูมิรัฐศาสตร์-ภูมิเศรษฐศาสตร์” อย่างมาก กล่าวคือ การที่ประเทศไทยอยู่ใจกลางการเชื่อมโยงของกลุ่มประเทศประชาคมอาเซียน ที่ประสานได้หมดทั้งภาคเหนือสู่ลาวและจีน ส่วนภาคใต้นั้นลงสู่มาเลเซียและสิงคโปร์ ด้านตะวันออกกับตะวันตก เชื่อมระหว่างสหภาพพม่าและลาวกับเวียดนามที่ “ระบบโลจิสติกส์กับการขนส่ง” ต้องผ่านกรุงเทพมหานครหมด เรียกว่าเป็น”ศูนย์กลาง (Hub)” ทั้งหมดการเตรียมความพร้อมของประเทศไทยนั้น ภาษาอังกฤษและภาษาท้องถิ่นมีความจำเป็นอย่างมาก ที่คนไทยต้องตื่นตัว เรียนรู้ให้ได้มากที่สุด นั่นประการที่หนึ่ง ประการที่สอง การเร่งดำเนินการระบบโลจิสติกส์และการขนส่งที่ประเทศจีน พร้อมสนับสนุนตลอดเวลาในการสร้าง “รถไฟความเร็วสูง” เพื่อขนส่งมวลชนและระบบรถไฟรางคู่เพื่อขนส่งสินค้า โดยเริ่มจากภาคเหนือลงสู่ภาคใต้และภาคตะวันออกสู่ภาคตะวันตก ซึ่งเป็นวาระสำคัญมากที่สหภาพพม่าเร่งสร้าง”เขตปกครองพิเศษทวาย” อย่างแน่นอนเพื่อลดต้นทุนด้านการขนส่งจากเมืองเว้นผ่านอีสานตอนใต้มุ่งสู่กรุงเทพฯ และทะลุสู่จังหวัดราชบุรีกับกาญจนบุรีเข้าสู่ทวายเพื่อเดินทางต่อทางทะเลไปมหาสมุทรอินเดีย

ประการที่สามคือ การพัฒนาด้านการเกษตรที่ประเทศไทยนั้น มีความเหมาะสมที่สุดในการผลิตข้าวและสินค้าการเกษตรอื่นๆ ที่ต้องต่อยอดสู่การพัฒนากึ่งอุตสาหกรรมการเกษตร และในที่สุดสู่ “อุตสาหกรรมภาคการเกษตร” ที่ว่าไปแล้ว บริษัทใน “เครือเจริญโภคภัณฑ์” น่าจะชำนาญที่สุดกับ “การผลิตสินค้าเกษตรอุตสาหกรรม”

เพียงสามประการที่เราต้องเตรียมความพร้อมในการเดินหน้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ที่น่าจะสร้างความพร้อมได้ภายใน 1 ปีครึ่งถึงสองปี ที่เราต้องเตรียมตัวกันได้แล้ว อย่างไรก็ตาม นับว่าเรายังโชคดีที่เริ่มมี “การปลุก”และ “การกระตุ้น” ให้สังคมไทยได้เริ่มขยับกันบ้างแล้ว โดยเฉพาะกรณี “การแข่งขัน” ที่ต้องกำหนดให้เป็น “ยุทธศาสตร์” กันไว้ล่วงหน้าได้แล้ว

ที่มา : สยามรัฐ โดย รศ.ดร.ไชยา ยิ้มวิไล

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันเสาร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2555

ปิ่น จักกะพาก ราชานักเทคโอเวอร์ รีเทิร์น .. !!?


ปิ่น จักกะพาก พ่อมดการเงิน-ราชานักเทคโอเวอร์ รีเทิร์นไทย หลังคดีหมดอายุความ แบงก์ชาติรับเอาผิดไม่ได้

ปิ่น จักกะพาก ราชานักเทคโอเวอร์ ซุ่มเงียบกลับไทย หลังต้องลี้ภัยอยู่อังกฤษนานกว่า 15 ปี ผลพวงอาณาจักรฟินวันมูลค่ากว่าแสนล้านบาทต้องล่มสลายจากฟองสบู่ "ตลาดหุ้น-อสังหาฯ" แตก ด้านแบงก์ชาติยอมรับคดีหมดอายุความ ไม่สามารถเอาผิดได้ ขณะที่ผู้บริหารคนอื่นๆ ใน บง.เอกธนกิจ คดีสิ้นสุดที่ศาลอุทธรณ์ เหตุอัยการตัดสินใจไม่ส่งฟ้อง แต่ยังมีสำนวนคดีค้างอีกมาก แต่หลายคดีต้องจำหน่ายออกไปเพราะนำผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีไม่ได้


ปิ่น จักกะพาก อดีตกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทเงินทุน (บง.) เอกธนกิจ ฉายา "พ่อมดการเงิน" ในยุคฟองสบู่ ได้เดินทางกลับมาประเทศไทยได้ราว 1 สัปดาห์ หลังจากต้องลี้ภัยจากคดีความไปอยู่อังกฤษเป็นเวลาเกือบ 20 ปี เนื่องจากคดีหมดอายุความ

สาทร โตโพธิ์ไทย ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกฎหมายและคดี ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่าคดีที่ ธปท. กล่าวโทษต่อ นายปิ่น ได้หมดอายุความไประยะหนึ่งแล้ว ดังนั้นแม้ว่า นายปิ่น จะกลับมาประเทศไทย ธปท.ก็ไม่สามารถดำเนินการเอาผิดกับนายปิ่นได้

ส่วนผู้บริหารคนอื่นๆ ของ บง.เอกธนกิจ ที่ ธปท. กล่าวโทษไปนั้น ในอดีตศาลชั้นต้นตัดสินให้ ธปท. เป็นผู้ชนะคดี แต่ต่อมาผู้บริหารเหล่านี้ขอยื่นอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ตัดสินให้คดีตกไป ในขณะที่อัยการเองก็ตัดสินใจไม่ส่งฟ้องต่อศาลฎีกา ทำให้คดีความสิ้นสุดลงไปตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา

สำหรับคดีความอื่นๆ ที่ ธปท. อยู่ระหว่างฟ้องร้องนั้น ปัจจุบันมีหลายคดี โดยส่วนใหญ่เป็นคดีที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2540 ซึ่งปัจจุบันมีทั้งที่อยู่ในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา ขณะเดียวกันก็มีหลายคดีที่ยังไม่เริ่มดำเนินการฟ้องร้อง เนื่องจากไม่สามารถนำตัวผู้บริหารที่กระทำความผิดมาดำเนินคดีได้ จึงต้องมีการจำหน่ายคดีออกไปก่อน
ทั้งนี้คดีนายปิ่น หมดอายุความเมื่อต้นปี 2555

@ย้อนอาณาจักรแสนล้าน "ราชาเทคโอเวอร์"

ปิ่น ถือเป็นตำนานที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึกไว้ เพราะได้รับฉายา "ราชานักเทคโอเวอร์" โดยได้สร้างสีสันให้กับวงการตลาดทุนในยุคเฟื่องฟูเมื่อก่อนปี 2540 ซึ่งช่วงนั้นตลาดหลักทรัพย์บูมสุดขีด ดัชนีทะยานขึ้นไปถึง 1,700 จุด
ปิ่น จักกะพาก ถือว่าเป็นนักการเงินที่รุ่งสุดๆ ในยุคก่อนฟองสบู่แตก หลังจากที่เขาเรียนจบจากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย จากประเทศสหรัฐอเมริกา ก็เดินทางกลับประเทศไทยในปี 2516 ทำงานที่ธนาคารเชสแมนฮัตตัน กรุงเทพฯ ตำแหน่งรองประธาน ตั้งแต่ปี 2516-2522 นาน 7 ปี

หลังจากนั้นก็เข้ามาทำงานที่บริษัทเงินทุนยิบอินซอย ซึ่งเป็นบริษัทในเครือญาติทางมารดา ที่กำลังเกิดปัญหาขาดทุนต่อเนื่อง ปิ่นจึงถูกทาบทามให้เป็นกรรมการผู้จัดการ ในเวลาต่อมา หลังจากนั้นก็ชื่อจาก บริษัทเงินทุนยิบอินซอย เป็น บริษัทเงินทุน เอกธนกิจ หรือที่เรียกติดปากกันในยุคนั้นว่า "ฟินวัน " ซึ่งเป็นบริษัทเงินทุนยักษ์ใหญ่ที่แวดวงการเงิน-การลงทุนในช่วงนั้นต้องจับตามอง เพราะยุทธศาสตร์การสยายปีกของกลุ่ม ฟินวัน ภายใต้การนำของ ปิ่น จักกะพาก นั้นจะใช้วิธีการครอบงำกิจการหรือเทคโอเวอร์ กิจการที่มีปัญหา จนทำให้ขนาดสินทรัพย์ของฟินวันในช่วงนั้นสูงสุดในระบบบริษัทเงิน จนปิ่นได้ฉายาว่าเป็น "พ่อมดการเงิน" ในเวลาต่อมา

การขยายกิจการของกลุ่มเอก ในยุคนั้น เริ่มต้นจากการเข้าซื้อ บล.โกลด์ฮิลล์ ที่กำลังประสบปัญหาการเงิน ด้วยราคาหุ้นละ 25 บาท ใช้เงินทั้งสิ้น 10 ล้านบาท ซึ่งถูกวิจารณ์กันมากว่าสูงเกินความจำเป็น แต่หลังจากนั้นเพียง 3 ปี เมื่อนำหุ้น บล.โกลด์ฮิลล์ ที่ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น บล.เอกธำรง เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ราคาหุ้นได้พุ่งสูงสุดถึงหุ้นละ 500 บาท ในปี 2529

หลังจากนั้นก็เข้าเทคโอเวอร์ บริษัทเงินทุน บริษัทหลักทรัพย์ต่าง ๆ และเปลี่ยนชื่อให้เข้ามาอยู่ในกลุ่มเอกด้วยกัน เช่น บริษัทหลักทรัพย์ ศรีไทย ถูกเปลี่ยนเป็น บริษัทหลักทรัพย์เอกเอเชีย, บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ กรุงทอง เปลี่ยนเป็น บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ เอกสิน และ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ธนานันต์ ถูกเปลี่ยนเป็น บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ เอกธนา รวมถึงสถาบันการเงินอื่น ๆ ฯลฯ โดยส่วนใหญ่สถาบันการเงินที่ถูกเทกโอเวอร์เหล่านี้เป็นสถาบันการเงินที่กำลังมีปัญหาฐานะการเงิน

@สยายปีกยกระดับอาณาจักรฟินวัน

การสยายปีกของฟินวัน ในยุคนั้นไม่ได้หยุดเพียงแค่กลุ่มไฟแนนซ์ เท่านั้น แต่ปิ่น ยังมองไกลไปกว่านั้น ด้วยการยกระดับ บริษัทเงินทุนเอกธนกิจ เป็นธนาคารพาณิชย์ ซึ่งช่วงนั้นธนาคารแห่งประเทศไทยได้เปิดช่องให้บริษัทเงินทุนที่มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง ยกระดับขึ้นเป็นธนาคารได้ ช่วงนั้นแม้ "ปิ่น" จะบริหารกิจการฟินวันจนประสบความสำเร็จ มีการขยายสร้างอาณาจักรอย่างรวดเร็ว มีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง แต่ ปิ่น รู้ดีว่า หากยังไม่สามารถเข้าซื้อกิจการธนาคารให้ได้สักแห่ง กิจการก็ยังถือว่าอยู่แนวหลังของธุรกิจธนาคารไทย

ดังนั้น เขาจึงพุ่งเป้าไปที่ธนาคารไทยทนุ ซึ่งเป็นธนาคารอันดับ 12 ของประเทศ โดยอาศัยสายสัมพันธ์กับ พรสนอง ตู้จินดา กรรมการผู้จัดการใหญ่ของธนาคารไทยทนุ ซึ่งเป็นเพื่อนนักเรียนและเป็นอดีตผู้บริหารของซิตี้แบงก์ ในช่วงนั้นผู้บริหารหนุ่มไฟแรง ทั้งปิ่นและพรสนอง ต่างก็มีความเชื่อเหมือนกันว่า "ฟินวัน" จะทำให้ ธนาคารไทยทนุ ที่บริหารแบบอนุรักษนิยมกลับมีพลังขึ้นมาได้

โดยในเดือนม.ค. 2539 ทั้ง 2 สถาบันการเงินก็มีความตกลงร่วมกัน จนสร้างความฮือฮาให้กับแวดวงการเงิน โดยฟินวันจะเข้าซื้อหุ้น 20% ของธนาคารไทยทนุเป็นมูลค่า 3.4 พันล้านบาท นับเป็นข้อตกลง ที่ได้รับการสนับสนุนไปทั่ว แม้แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ยังผ่อนปรนข้อกำหนด ที่จำกัดสัดส่วนการถือครองหุ้นของธนาคารให้กับเอกชนเพียง 5% โดยถือว่าสถาบันการเงินของไทยจะต้องเติบโตมากขึ้นก่อน ที่เปิดเสรีการเงิน ซึ่งการเข้าไปถือหุ้นดังกล่าว ดูเหมือนว่า พ่อมดทางการเงิน กำลังจะผงาดขึ้นเป็นผู้นำธุรกิจการเงินของเมืองไทย แต่สุดท้ายก็ต้องล่มสลายในที่สุด

หลังจากเกิดเหตุการณ์เงินบาทถูกโจมตีเป็นระลอกใหญ่จากภายนอกประเทศ ในช่วงเดือนก.พ. 2540 จนส่งผลกระทบภาพรวมระบบสถาบันการเงินไทย จนในที่สุดธนาคารแห่งประเทศไทยมีคำสั่งปิดแค่ 16 สถาบันการเงิน ในเดือนมี.ค. 2540 โดยมีรัฐค้ำประกันเงินฝาก แต่เมื่อไม่ปรากฏชื่อของบริษัทเงินทุนยักษ์ใหญ่อย่าง บง.เอกธนกิจ ของนายปิ่น จักกะพาก อย่างไรก็ตาม ในช่วงนั้นฐานะการเงินสำรองของประเทศอ่อนแอลงเรื่อยๆ จากการถูกโจมตีค่าเงิน จนสุดท้ายก็ต้องประกาศลดค่าเงินบาทในวันที่ 2 ก.ค. 2540

@ล่มสลายพร้อมวิกฤติเศรษฐกิจ


ข่าวลือการสั่งปิดกิจการสถาบันการเงินเกิดขึ้นเป็นระลอกหนาหูขึ้นเรื่อยๆ ตามด้วยการถอนเงินจากสถาบันการเงินใหญ่ๆ จนขาดสภาพคล่อง และลุกลามสู่การแห่ถอนเงินครั้งใหญ่ ในระบบสถาบันการเงิน จนกระทั่งคลอนแคลน และนำไปสู่การต้องปิดสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นอีก 42 แห่ง รวมเป็น 58 แห่ง ในเดือนส.ค. 2540 ตามข้อเสนอของไอเอ็มเอฟ เพื่อตัดทิ้งเนื้อร้ายและเพื่อหยุดการแห่ถอนเงิน DEPOSIT RUN ในระบบสถาบันการเงินไทย

เวลานั้นอาณาจักรของ "เอกธนกิจ" ขยายตัวใหญ่จนเกือบจะก้าวกระโดดขึ้นเป็น "MEGA FINANCE COMPANY" กลับต้องล่มสลายลงไป กับสินทรัพย์ที่เสียหายกว่าแสนล้านบาท รวมทั้งความล้มเหลวของแผนการควบกิจการ กับธนาคารไทยทนุ ต่อมาได้ส่งผลเป็นโดมิโน ให้การหาผู้ร่วมทุนจากธนาคารต่างชาติของธนาคารไทยอีก 4 แห่ง ถึงกับล้มเหลวตามไปด้วย

ผลพวงที่ตามมาธนาคารแห่งประเทศไทย ได้เป็นโจทก์กล่าวโทษอดีตผู้บริหารบง.เอกธนกิจเมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2541 ต่อมาพนักงานอัยการสูงสุดได้มีคำสั่งฟ้องนายปิ่น เป็นผู้ต้องหาที่ 1 นายเติมชัย ภิญญาวัฒน์ ผู้ต้องหาที่ 2 นายสำราญ กนกวัฒนาวรรณ ผู้ต้องหาที่ 3 ซึ่งนายปิ่นได้เดินทางออกนอกประเทศก่อนที่จะมีการกล่าวโทษ ขณะที่ ผู้ต้องหาอีก 2 รายได้เข้ามอบตัวและประกันตัวออกมา สุดท้ายศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหา 2 คนหลัง สู้คดีในต่างแดน

อย่างไรก็ตาม เมื่อวัน ที่ 12 ธ.ค. 2542 ตำรวจอังกฤษจับกุมตัว "ปิ่น" ผู้ต้องหาคดีความผิดฐานร่วมกับพวกยักยอกทรัพย์และความผิดตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. 2522 วงเงินค่าเสียหาย 2,127 ล้านบาท โดย "ปิ่น" หลบหนีออกจากประเทศไทยตั้งแต่ปลายปี 2541

ต่อมา วันที่ 27 ก.ค. 2544 ศาลอุทธรณ์ประเทศอังกฤษพิพากษาให้ “ปิ่น” พ้นจากการควบคุมตัวในคดีที่ทางการไทยขอให้ส่งตัวกลับประเทศ ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน เพื่อดำเนินคดีข้อหายักยอกทุจริตและฉ้อโกงทรัพย์ในประเทศไทย
วันที่ 14 ส.ค. 2544 อัยการอังกฤษแจ้งว่าในคดีส่งผู้ร้ายข้ามแดน "ปิ่น" ไม่สามารถจะอุทธรณ์ไปยังศาลสูงอังกฤษได้ เนื่องจากในชั้นศาลอุทธรณ์ คำพิพากษาพิจารณาแต่ประเด็นปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งตามกฎหมายอังกฤษการจะอุทธรณ์ไปยังศาลสูงสุดได้ต้องเป็นประเด็นปัญหาข้อกฎหมายที่สำคัญต่อคดีเท่านั้น คดีนี้จึงถือว่ายุติลง

ปัจจุบันประกอบอาชีพเป็นที่ปรึกษาให้แก่นักลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสินทรัพย์ต่างๆ ในอังกฤษและยุโรป เขาได้รับการยอมรับพอควรหลังจากการหลุดพ้นข้อกล่าวหา และล่าสุดมีข่าวว่านายปิ่นเดินทางกลับประเทศไทยได้ราว 1 สัปดาห์ หลังคดีหมดอายุความ

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ปัญหาเวียดนาม มีมากกว่า เงินเฟ้อ !!?

คอลัมน์: รู้จักอาเซียน

เวียดนามเป็นที่น่าจับตามองสุดในกลุ่มประเทศอินโดจีน จนกระทั่งประสบปัญหาเงินเฟ้อหนักในช่วงปีที่ผ่านมา โดยขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ร้อยละ 23 ในเดือน ส.ค.ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้รัฐบาลดำเนินนโยบายทางการเงินอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันเศรษฐกิจขยายตัวอย่างควบคุมไม่ได้ กระทรวงการวางแผนและลงทุนเวียดนาม เปิดเผยข้อมูลต่อกลุ่มผู้สื่อข่าวอบรมหลักสูตรอาเซียนของสมาคมนักข่าว

นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย โดยกล่าวว่าปีนี้เวียดนามต้องคุมระดับเงินเฟ้อให้อยู่ในอัตราที่ไม่เกินร้อยละ 10 ให้ได้ และคาดว่าเศรษฐกิจเวียดนามจะโตได้ที่ระดับ 5.4-5.7% ขณะที่ภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับปี 2554-2558 เวียดนามคาดว่าจะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยระหว่าง 7-7.5% และหวังว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นเมื่อเข้าปี 2556

ปัญหาการคุมเงินเฟ้อเป็นเรื่องหนึ่งที่รัฐบาลเวียดนามดูแลอย่างใกล้ชิด

แต่เวียดนามยังมีปัญหาภายในอื่น ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการเปิดประเทศรับการลงทุนจากนักธุรกิจต่างชาติ พร้อม ๆกับการเรียกนักท่องเที่ยวเพื่อเพิ่มรายได้ของประเทศ

ปัญหาที่เป็นอุปสรรคอย่างสูงต่อการทำธุรกิจและท่องเที่ยวในเวียดนามคือ เส้นทางคมนาคมและถนนหนทางในเวียดนามไม่เพียงพอ โดยเฉพาะถนนหลวงหมายเลข 1 ที่พาดกลางประเทศจากเหนือจดใต้ เป็นเส้นทางการเดินรถหลักของประเทศ ความยาว 2,289 กิโลเมตร จากประสบการณ์ตรงที่สัมผัสเส้นทางรถจากเมืองวินห์ (Vinh) จังหวัดเหงะอาน (Nghe An) ไปยังเมืองหลวงฮานอย ถนนมี 2 เลน และอยู่ในสภาพที่ส่งแรงสะเทือนสูงต่อทั้งคนและสินค้า ด้วยสภาพหลุมบ่อบนเส้นทาง ระยะทางราว 330 กิโลเมตร ใช้เวลา 6 ชั่วโมง จึงเป็นไปได้ยากที่จะพึ่งพาการคมนาคมทางบกในการขนคนและสินค้าในเวียดนาม

อุปสรรคอีกอย่างของการเดินทางท่องเที่ยวและติดต่อธุรกิจต่าง ๆ ในเวียดนามคือ ภาษา ชาวเวียดนามไม่นิยมพูดภาษาอังกฤษ หากไม่ใช่ย่านช็อปปิ้งที่นักท่องเที่ยวเดินขวักไขว่

ในเวียดนาม กระทั่งโรงแรม และสนามบิน ชาวเวียดนามก็ไม่เจนจัดนักในการสื่อสารภาษาอังกฤษ ธุรกิจบริการของเวียดนามดูท่าไม่ค่อยสดใส เมื่อพนักงานบริการไม่สามารถสื่อสารกับลูกค้าได้

นายบุญรงค์ พงษ์เสถียรศักดิ์ อัครราชทูตไทย ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย บอกเล่าให้ฟังว่า การทำธุรกิจที่นี่ต้องฝ่าด่านสำคัญประการแรกคือ ภาษา เอกสาร ข้อมูล เว็บไซต์และการติดต่อใด ๆ กับทางการเป็นภาษาเวียดนามทั้งหมด จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีที่ปรึกษาเป็นผู้เชี่ยวชาญรู้ภาษาเวียดนาม อีกทั้งการติดต่อกับภาครัฐยังมีอุปสรรค เนื่องจากมีหน่วยงานราชการของส่วนกลางและท้องถิ่นที่ทับซ้อนกันอยู่ และกฎระเบียบของเวียดนามเปลี่ยนแปลงบ่อย

ส่วนปัญหาใหญ่อีกประการที่นักธุรกิจต้องมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้ามาลงทุนในภาคอุตสาหกรรมในเวียดนาม เนื่องจากเวียดนามประสบปัญหาพลังงานในประเทศไม่เพียงพอ โดยในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ทั้งประชาชนและภาคอุตสาหกรรมต่างต้องเผชิญปัญหาไฟดับ โรงงานอุตสาหกรรมต้องจัดคิวผลัดกันเดินเครื่องจักร

แต่จากต้นปีที่ผ่านมาเวียดนามประสบปัญหานี้น้อยลง อย่างไรก็ตามรัฐบาลเวียดนามได้บรรจุแผนในการพัฒนาพลังงานของชาติ โดยจะสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เพื่อรองรับภาวะขาดพลังงานในอนาคต แต่ก็เป็นแผนระยะยาว ซึ่งโครงการจะลุล่วงในอีก 30 ปีข้างหน้า

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++