นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.ศึกษาธิการ กล่าวถึงคำสั่งแต่งตั้ง แกนนำ นปช. และกลุ่มคนเสื้อแดง เป็นอนุกรรมการสภาการศึกษา อาทิ นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ ประธาน นปช. นายวรพล พรหมิกบุตร อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นอนุกรรมการฯ ด้านนโยบาย
และแผนการ นายไกรสิน โตทับเที่ยง อดีตผู้สมัคร ส.ส.ตรัง พรรคไทยรักไทย นายสมาน เลิศวงศ์รัฐ อดีตนายทะเบียนพรรคไทยรักไทย และนายสิงห์ทอง บัวชุม อดีตผู้สมัคร ส.ส.เพื่อไทยเขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร เป็นคณะอนุกรรมการฯ ด้านติดตามและประเมินผลการศึกษา ว่า
คณะทำงานของสภาการศึกษา เสนอชื่อบุคคลที่เหมาะสมเข้ามา ถ้าดูในรายละเอียด จะพบว่ามีคนที่มีคุณวุฒิหลายแบบ ถ้าจะแยกเป็นสี ก็มีทั้งเสื้อเหลือง และสีต่าง ๆ เห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี ที่จะมานั่งพูดคุยกันในที่ที่สามารถคุยกันได้ มากกว่าไปพูดคุยกันตามที่ต่าง ๆ อยากให้สื่อทำข่าว
ที่เป็นประโยชน์และสร้างสรรค์ เพราะข่าวที่ทำร้ายประเทศ จะทำให้ประเทศด้อยพัฒนา
ด้านนายเอนก เพิ่มวงศ์เสนีย์ เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวว่า การแต่งตั้งคณะอนุกรรรมการฯ พิจารณาจากประวัติและประสบการณ์ของแต่ละคนที่ได้รับการเสนอชื่อ และต้องการคนที่มีความรู้ความสามารถหลากหลายอาชีพ เพื่อร่วมกันนำเสนอความคิดเห็นเพื่อพัฒนาการศึกษา
ไม่ได้พิจารณาว่ามาจากคนกลุ่มใด หรือสีอะไร เช่น นางธิดา เคยเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยมาก่อน นอกจากนี้ คณะอนุกรรมการฯ ไม่มีอำนาจสั่งการใด เพียงแต่ร่วมเสนอความเห็น ส่วนการตัดสินใจใด ๆ ต้องใช้เสียงส่วนใหญ่ของคณะอนุกรรรมการฯ
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ประณามการแต่งตั้ง อนุกรรมการสภาการศึกษา ของนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่มีนางธิดา ถาวรเศรษฐ์ ประธาน นปช. เป็นคณะอนุกรรมการวางแผนการศึกษา เนื่องจากนางธิดา มีแนวคิดต่อต้าน ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และมีแนวคิดที่เป็นอันตราย ในการจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง จะทำให้บุคคลเหล่านี้ เข้าไปปลูกฝังการศึกษาให้เด็ก ถือเป็นแนวคิดลอบกัดการศึกษา และมอมเมาเยาวชน พรรคประชาธิปัตย์จะต่อต้านอย่างถึงที่สุด โดยจะใช้ช่องทางรัฐสภาตรวจสอบ เพื่อไม่ให้เป็นภัยต่อความมั่นคง.
ที่มา.เนชั่น
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันเสาร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2555
วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2555
คลังสั่งรื้อ เกณฑ์กองทุนการออมแห่งชาติ !!?
กิตติรัตน์. สั่ง สศค. รื้อหลักเกณฑ์กองทุนการออมแห่งชาติ เตรียมเพิ่มตัวเลือกรับเงินสะสมทั้งรูปแบบบำเหน็จ-บำนาญ
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ไปศึกษาความเหมาะสมในการแก้ไขรายละเอียดของพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ ที่ออกในสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ใหม่ เพื่อให้เกิดผลประโยชน์กับผู้ออมมากขึ้น
สาระสำคัญที่ควรจะมีการปรับเปลี่ยน ได้แก่ การปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์ในการรับผลประโยชน์ของผู้ที่เป็นสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ จากเดิมที่กำหนดว่าสมาชิกที่มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ ให้มีสิทธิได้รับเงินบำนาญจากเงินสะสมและเงินสมทบที่รัฐบาลจ่ายให้ โดยเห็นว่าควรมีการปรับเปลี่ยนให้ผู้รับสิทธิสามารถเลือกได้ว่าจะรับเงินสะสมและเงินสมทบเป็นเงินบำเหน็จหรือเงินบำนาญก็ได้
"หากมีกฎหมายแล้ว ก็อยากให้ผู้ออมได้รับประโยชน์สูงสุด ซึ่ง พ.ร.บ.ฉบับนี้มีลักษณะคล้ายกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ผู้ออมจะสามารถได้รับเงินสมทบที่รัฐบาลจ่ายให้ตามที่ระบุไว้ แต่เมื่อถึงขั้นตอนปฏิบัติก็เห็นว่าเงื่อนไขที่ผู้ออม จะได้รับผลประโยชน์ตอบแทนในรูปแบบของเงินบำนาญเท่านั้น ซึ่งถือเป็นการจำกัดสิทธิ แต่ทำไมไม่ให้โอกาสผู้ออมเขาสามารถเลือกได้ว่าเมื่อครบแล้วจะสามารถขอรับทั้งหมด หรือขอเป็นบำเหน็จแทน เพื่อให้มีเงินก้อนไปใช้ อาจไปลงทุนทำอาชีพหลังเกษียณ หรืออาจขอรับแบบเงินบำนาญก็ได้"
สำหรับการกำหนดอายุของผู้เข้าเป็นสมาชิกกองทุนที่แต่เดิมกำหนดว่าต้องเป็นผู้ที่ไม่ได้ประกอบอาชีพประจำและมีอายุไม่เกิน 60 ปีนั้น ตนยังได้แนะนำ สศค.ว่า ในส่วนนี้ควรเพิ่มบทเฉพาะกาลว่า กรณีที่สมาชิกกองทุนมีอายุเกินกว่า 60 ปี แต่ได้ส่งเงินเข้ากองทุนมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง และยังคงสามารถที่จะประกอบอาชีพ และส่งเงินเข้ากองทุนได้รัฐบาลก็ควรที่จะช่วยส่งเงินสมทบต่อไปเพื่อเป็นหลักประกันให้กับคนที่ออมเงินในส่วนนี้ด้วย ทั้งนี้ บทเฉพาะกาลนี้ยังไม่มีใน พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว
นอกจากนี้ ในเรื่องการบริหารผลประโยชน์ของกองทุนนั้น ก็คงต้องทบทวนใหม่ เช่น การจะเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอาจไม่มีความเหมาะสม และอาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของผู้ออมได้ ดังนั้น จึงต้องระบุให้ชัดเลยว่าหากจะมีการลงทุนจะไม่มีการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็มีหน้าที่เข้าไปประกันผลตอบแทนขั้นต่ำของกองทุนฯ
ทั้งนี้ ในการดำเนินงานของกองทุนการออมแห่งชาติ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ก็ยังอยู่ระหว่างการกำหนดรูปแบบว่าจะจัดตั้งสำนักงานขึ้นมาใหม่ หรือให้เป็นการดำเนินการโดยธนาคารในสังกัดของรัฐ เช่น ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ และธนาคารอาคารสงเคราะห์
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ไปศึกษาความเหมาะสมในการแก้ไขรายละเอียดของพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ ที่ออกในสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ใหม่ เพื่อให้เกิดผลประโยชน์กับผู้ออมมากขึ้น
สาระสำคัญที่ควรจะมีการปรับเปลี่ยน ได้แก่ การปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์ในการรับผลประโยชน์ของผู้ที่เป็นสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ จากเดิมที่กำหนดว่าสมาชิกที่มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ ให้มีสิทธิได้รับเงินบำนาญจากเงินสะสมและเงินสมทบที่รัฐบาลจ่ายให้ โดยเห็นว่าควรมีการปรับเปลี่ยนให้ผู้รับสิทธิสามารถเลือกได้ว่าจะรับเงินสะสมและเงินสมทบเป็นเงินบำเหน็จหรือเงินบำนาญก็ได้
"หากมีกฎหมายแล้ว ก็อยากให้ผู้ออมได้รับประโยชน์สูงสุด ซึ่ง พ.ร.บ.ฉบับนี้มีลักษณะคล้ายกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ผู้ออมจะสามารถได้รับเงินสมทบที่รัฐบาลจ่ายให้ตามที่ระบุไว้ แต่เมื่อถึงขั้นตอนปฏิบัติก็เห็นว่าเงื่อนไขที่ผู้ออม จะได้รับผลประโยชน์ตอบแทนในรูปแบบของเงินบำนาญเท่านั้น ซึ่งถือเป็นการจำกัดสิทธิ แต่ทำไมไม่ให้โอกาสผู้ออมเขาสามารถเลือกได้ว่าเมื่อครบแล้วจะสามารถขอรับทั้งหมด หรือขอเป็นบำเหน็จแทน เพื่อให้มีเงินก้อนไปใช้ อาจไปลงทุนทำอาชีพหลังเกษียณ หรืออาจขอรับแบบเงินบำนาญก็ได้"
สำหรับการกำหนดอายุของผู้เข้าเป็นสมาชิกกองทุนที่แต่เดิมกำหนดว่าต้องเป็นผู้ที่ไม่ได้ประกอบอาชีพประจำและมีอายุไม่เกิน 60 ปีนั้น ตนยังได้แนะนำ สศค.ว่า ในส่วนนี้ควรเพิ่มบทเฉพาะกาลว่า กรณีที่สมาชิกกองทุนมีอายุเกินกว่า 60 ปี แต่ได้ส่งเงินเข้ากองทุนมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง และยังคงสามารถที่จะประกอบอาชีพ และส่งเงินเข้ากองทุนได้รัฐบาลก็ควรที่จะช่วยส่งเงินสมทบต่อไปเพื่อเป็นหลักประกันให้กับคนที่ออมเงินในส่วนนี้ด้วย ทั้งนี้ บทเฉพาะกาลนี้ยังไม่มีใน พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว
นอกจากนี้ ในเรื่องการบริหารผลประโยชน์ของกองทุนนั้น ก็คงต้องทบทวนใหม่ เช่น การจะเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอาจไม่มีความเหมาะสม และอาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของผู้ออมได้ ดังนั้น จึงต้องระบุให้ชัดเลยว่าหากจะมีการลงทุนจะไม่มีการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็มีหน้าที่เข้าไปประกันผลตอบแทนขั้นต่ำของกองทุนฯ
ทั้งนี้ ในการดำเนินงานของกองทุนการออมแห่งชาติ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ก็ยังอยู่ระหว่างการกำหนดรูปแบบว่าจะจัดตั้งสำนักงานขึ้นมาใหม่ หรือให้เป็นการดำเนินการโดยธนาคารในสังกัดของรัฐ เช่น ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ และธนาคารอาคารสงเคราะห์
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ลงเหยียบดาวอังคาร 50 ปี-โลกเดินหน้า ไทยสมัครใจถอยหลัง !!?
6 สิงหาคม 2555 มนุษยชาติสืบเท้าออกไปอีกก้าว
เมื่อนาซาสามารถส่งยานสำรวจที่มีชื่อเป็นทางการว่า "ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์บนดาวอังคาร" (เอ็มเอสแอล) และ "มาร์ส คิวเรียสซิตี้" สามารถร่อนลงบนพื้นผิวดาวอังคารตรงเป้าหมายที่กำหนดไว้ บริเวณปากปล่องอุกกาบาตขนาดใหญ่ที่ถูกตั้งชื่อว่า เกล เครเตอร์
หลังจากส่งจรวดขึ้นอวกาศเมื่อปลายปี 2554 และใช้เวลาเดินทางถึง 7 เดือน
เอ็มเอสแอล หรือมาร์ส คิวเรียสซิตี้ มีขนาดใหญ่กว่ายานสำรวจพื้นผิวดาวอังคารที่ลงจอดไม่สำเร็จก่อนหน้านี้ถึง 5 เท่าตัว
หนักประมาณ 1 ตัน ขนาดใหญ่เท่ากับ รถมินิคูเปอร์ บรรจุอุปกรณ์สำหรับใช้ใน การทดสอบทางเคมีสำคัญและทรงคุณค่า หลายชิ้น รวมมูลค่าของโครงการคือ 2,500 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 77,000 ล้าน บาท
ประธานาธิบดี บารัค โอบามา ที่ร่วมลุ้นเหตุการณ์อยู่ด้วย
ระบุว่านี่คืออีกก้าวใหญ่ของมนุษยชาติ
ยังไม่นับยานวอยเอเจอร์ 1 และ 2 ที่ขึ้นสู่อวกาศเมื่อปี 2520 เพื่อทำหน้าที่เก็บข้อมูลเกี่ยวกับดาวเคราะห์และระบบสุริยะ
แม้ในตอนแรกจะถูกออกแบบมาเพื่อใช้สำรวจศึกษาดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์ แต่ยานทั้งสองยังสามารถปฏิบัติภารกิจได้มากกว่าเป้าหมายที่วางไว้เบื้องต้น
เวลาผ่านไป 35 ปี ปัจจุบันนี้ยานทั้งสองกำลังอยู่บนเส้นทางเดินทางออกนอกขอบเขตของสุริยจักรวาลไปแล้ว
และเริ่มส่งภาพถ่าย-ข้อมูลจากนอกระบบสุริยะกลับมายังโลกแล้ว
เมื่อ 48 ปีก่อน ขณะที่ ปีเตอร์ ฮิกส์ นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษ ตั้งทฤษฎีเรื่องอนุภาค "ฮิกส์ โบซอน" ขึ้นมา
ว่านี่คืออนุภาคที่ตัวเองไม่มีมวล แต่เป็นตัวที่ทำให้เกิดมวลของสสารทุกอย่างในจักรวาล
คนที่เชื่อถือก็มี คนที่ประมาทคาดหน้าทฤษฎีนี้ก็มาก
แม้แต่นักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่อย่าง สตีเฟ่น ฮอว์กิงส์ ซึ่งเชื่อในทฤษฎีนี้ ก็ยังเห็นว่า การ จะพิสูจน์ว่าฮิกส์ โบซอน มีอยู่จริงนั้น อาจจะเป็นเรื่องเหลือวิสัยในชั่วชีวิตนี้
ถึงขนาดตั้งรางวัลเอาไว้เล่นๆ ว่า ถ้าใครค้นพบอนุภาคนี้ได้จะให้รางวัล 100 เหรียญสหรัฐ
4 กรกฎาคม 2555 องค์กรวิจัยนิวเคลียร์ยุโรป หรือเซิร์น แถลงผลการยิงอะตอมให้ชนกันในเครื่องเร่งอนุภาคยาว 27 กิโลเมตรครั้งล่าสุด
ว่ามั่นใจได้ 99.9999% ว่าค้นพบอนุภาคฮิกส์ โบซอน แล้ว
โลกใน 50 ปีนี้เปลี่ยนแปลงมหาศาลในทุกด้าน
แต่ในบางสังคมโลกเหมือนหยุดหมุนอยู่กับที่
2505 คดีพิพาทเรื่องปราสาทพระวิหารระหว่างไทยกับกัมพูชา ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลโลก
2555 ศาลโลกรับคำร้องเรื่องขอให้ตีความคำพิพากษาครั้งนั้นใหม่ และมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้ทั้งสองฝ่ายถอนทหารออกจากบริเวณที่เป็นข้อพิพาท
ไม่ว่าใครจะชนะหรือแพ้ ความบาดหมางระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศก็จะยิ่งถ่างกว้างขึ้น
โอกาสที่จะเห็นความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาเป็นปกติเช่นเพื่อนบ้านที่ดีทั้งหลายจะยิ่งลางเลือนลง
อะไรที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ตั้งแต่การบริหารเขาพระวิหารในฐานะมรดกโลก จนกระทั่งถึงการจัดสรรประโยชน์พื้นที่ทางทะเล
เลิกคิดได้
ก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่พิสูจน์แล้วว่าเหลือใช้ได้จริงประมาณ 8 ปี แม้อาจจะพบเพิ่มกว่านี้ก็ยืดอายุไปหน่อยแต่ไม่มาก
แหล่งก๊าซใหม่ที่เป็นความหวังก็คือพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา
ตกลงกันวันนี้ กว่าจะขุดขึ้นมาใช้ได้จริงก็เกือบ 10 ปีข้างหน้า แต่ถึงกระนั้นกัมพูชาก็ได้เงินก้อนจากการขายก๊าซไปพัฒนาประเทศ
ไทยที่มีอุตสาหกรรมครบกว่า เอามาใช้ประโยชน์จากการแปรรูปปิโตรเคมีเพิ่มมูลค่าอีกเป็นร้อยเท่าก็ทำไม่ได้
เหมือนจะรอให้กัมพูชาพัฒนาอุตสาหกรรมมาทัน เพื่อก๊าซธรรมชาติไม่ต้องขายไทย
ประโยชน์เฉพาะหน้าไม่ได้ ประโยชน์ระยะยาวก็ชวด
โลกหมุนเลยระบบสุริยะไปแล้ว ค้นพบอนุภาคพระเจ้าแล้ว ลงดาวอังคารก็แล้ว
บางสังคมยังงมโข่งกับความขัดแย้งและการเมืองภายใน
ฉุดตัวเองถอยหลังกลับไปอีก 50 ปี
ที่มา.มติชนออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2555
กะเทาะเปลือกอาเซียน: ปัญหาเชิงสถาบัน จุดอ่อนอาเซียนในการแก้ปัญหาทะเลจีนใต้ !!?
สรินณา อารีธรรมศิริกุล
นักวิจัยอิสระ สหรัฐอเมริกา
นักวิจัยอิสระ สหรัฐอเมริกา
จากบทความตอนที่แล้ว อาเซียนมีทางเลือกในการจัดการกับปัญหาความขัดแย้งในทะเลจีนใต้คือปล่อยให้เป็นความขัดแย้งแบบทวิภาคีคือไม่ยุ่งเกี่ยว หรือเข้าไปยุ่งเกี่ยวให้น้อยที่สุดเช่นการออกแถลงการณ์แสดงความห่วงใยและแสดงบทบาทไกล่เกลี่ยหรือประสานรอยร้าวในสถานการณ์ที่กระทบความมั่นคงในภูมิภาค
บทบาทที่สามคือ อาเซียนอาจปล่อยให้บุคคลที่สามเข้ามาจัดการกับสถานการณ์ความขัดแย้งในภูมิภาคแทน ในกรณีนี้คือประเทศสหรัฐอเมริกา โดยอาเซียนอาจเลือกวิธีการที่เรียกว่า Hedging เพื่อคานอำนาจจีน แต่ไม่เข้าข้างอเมริกาอย่างออกหน้าออกตาเพราะจะเป็นการสร้างศัตรูกับจีน กล่าวอีกนัยหนึ่งคืออาเซียนสามารถสร้างสัมพันธ์อันดีกับทั้งสองประเทศโดยไม่ต้องเป็นศัตรูกับอีกฝ่าย
นักวิชาการด้านอาเซียนชื่อดัง Evelyn Goh ให้ความหมายของ Hedging ว่าคือกลยุทธ์ที่วางตัวกลางๆ ไม่เลือกเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพื่อไม่ให้เสียประโยชน์ในการคบค้ากับใคร โดยจะใช้วิธีทางการทูตและการสร้างความสัมพันธ์อันดีเป็นตัวเชื่อม โดยนักวิชาการผู้นี้กล่าวว่านี้คือกลยุทธ์ที่อาเซียนใช้มาโดยตลอด เพราะประเทศสมาชิกอาเซียนเป็นประเทศขนาดเล็กและขนาดกลางที่ไม่มีอำนาจเพียงพอในการถ่วงดุลอำนาจกับประเทศมหาอำนาจ
ดังนั้น แทนที่อาเซียนจะคานอำนาจของจีนเสียเอง (balancing strategy) หรือเอียงเข้าข้างอเมริกาเพื่อต่อต้านจีน (bandwagoning strategy) หรือนิ่งเฉยไม่เอาฝ่ายใดเลย (neutrality) ยุทธศาสตร์ที่เรียกว่า Hedging จึงดูเป็นวิธีการที่เสี่ยงและเปลืองตัวน้อยที่สุด แต่อย่างใดก็ตาม นักวิชาการอาเซียนบางท่านแนะนำให้อาเซียนใช้วิธีการนิ่งเฉยมากกว่าการ Hedging
สหรัฐอเมริกา: มือที่สามในทะเลจีนใต้
สหรัฐอเมริกากลายมาเป็นมือที่สามในทะเลจีนใต้ ตั้งแต่มีการเปลี่ยนนโยบายต่างประเทศในสมัยรัฐบาลโอบามาเพื่อสร้างสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับเอเชียให้มากขึ้น อเมริกาเข้ามาสานสัมพันธ์กับประเทศในเอเชียก็เพื่อคานอำนาจจีนที่กำลังขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจและการทูตในภูมิภาคนี้ จึงเป็นเหตุให้ปัญหาทะเลจีนใต้กลายมาเป็นประเด็นทางยุทธศาสตร์ที่อเมริกาต้องยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องรัฐมนตรีต่างประเทศนางฮิลลารี คลินตันเคยประกาศอย่างแข็งกร้าวว่าการเข้ามายุ่งเกี่ยวของอเมริกาในปัญหาทะเลจีนใต้นั้นก็เพื่อรักษาผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกาเอง (national interest) ส่งผลให้รัฐบาลจีนไม่พอใจเป็นอย่างมากเพราะถือว่าเป็นการโจมตีจีนโดยตรง แต่ในทางกลับกันก็ได้รับการตอบรับอย่างดีจากประเทศอาเซียนโดยเฉพาะฟิลิปปินส์และเวียดนาม สหรัฐอเมริกาส่งวุฒิสมาชิกเดินทางมาเยี่ยมทั้งสองประเทศระหว่างทัวร์นกขมิ้นในทวีปเอเชีย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าอเมริกาจะไม่ทอดทิ้งและให้การช่วยเหลือทางการทหารแก่ทั้งสองประเทศอย่างเต็มที่
ส่วนอาเซียนเองก็ไม่คัดค้านหรือปฎิเสธการมีบทบาทของอเมริกา เพราะอาเซียนก็ต้องการลดทอนอำนาจและความก้าวร้าวของจีนในภูมิภาคนี้อยู่เหมือนกัน การที่อเมริกาเข้ามาเกี่ยวพันกับปัญหาทะเลจีนใต้ทำให้อาเซียนโล่งใจลงบ้างเพราะไม่ต้องดีลกับจีนโดยตรง และยังทำให้ประเด็นความขัดแย้งนี้สามารถถูกยกมาพูดคุยในการประชุมพหุภาคีได้เช่นการประชุม ASEAN Regional Forum (ARF) โดยมีสหรัฐอเมริการวมกลุ่มอยู่ด้วย
ในขณะที่อเมริกาเข้ามาสร้างสัมพันธภาพอันดีกับอาเซียนและสัญญาจะให้ความสนับสนุนด้านการทหารและความมั่นคงแก่ฟิลิปปินส์และเวียดนาม จีนก็ประกาศให้เงิน 3,000 ล้านหยวนเพื่อใช้ในการซ่อมแซมท่าเรือและสร้างความร่วมมือในเรื่องการขนส่งเดินเรือกับอาเซียนในโครงการ China-ASEAN Maritime Cooperation Fund นอกจากนั้น จีนยังเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการจัดสัมนา China-ASEAN maritime connectivity strategy เพื่อสร้างความร่วมมือในการเดินเรือร่วมกันในทะเลจีนใต้อีกด้วย
แถมจีนยังบริจาคเงินสร้างศูนย์ที่ประชุมอาเซียน Peace Palace และให้อุปกรณ์การสื่อสารแก่รัฐบาลกัมพูชาเป็นมูลค่า 400,000 เหรียญสหรัฐฯ เพื่อใช้ในการจัดประชุมต่างๆ ของอาเซียนในปีนี้ที่กัมพูชาเป็นเจ้าภาพอาเซียน
ความอ่อนแอของสถาบันอาเซียน
จีนตัดสินใจลงนามใน “สนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” หรือเรียกสั้นๆ ว่า “TAC” (Treaty of Amity and Cooperation) สนธิสัญญาไมตรีของอาเซียนนี้มีหลักสำคัญที่ต้องปฎิบัติตามอยู่สามประการคือ- (1) ผู้ลงนามต้องไม่มีนโยบายแทรกแซงกิจการภายในของประเทศสมาชิก
- (2) ประเทศสมาชิกใช้สันติวิธีในการแก้ไขข้อพิพาท และ
- (3) ต้องไม่ใช้การข่มขู่หรือกำลังทหารต่อกัน
นอกจากนั้น การกระทำที่ละเมิดสนธิสัญญาไมตรี อาทิเช่นในกรณีการสู้รบเรื่องพรมแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาก็ไม่มีบทลงโทษสมาชิกแต่อย่างใด และในกรณีนี้ กัมพูชาเองก็เลือกที่จะส่งข้อพิพาทไปให้ศาลโลกตัดสินแทนที่จะใช้กลไกภายในอาเซียน ซึ่งก็สะท้อนถึงความอ่อนแอเชิงอำนาจของสถาบันอาเซียนในการแก้ปัญหาระหว่างสมาชิกได้อย่างดี จีน ฟิลิปปินส์ และเวียดนามก็คงไม่ต้องการใช้กลไกนี้ด้วยเช่นเดียวกัน
แม้ว่าจีนกับอาเซียนจะลงนามและตกลงกันว่าจะแก้ไขปัญหาในทะเลจีนใต้อย่างสันติตั้งแต่สิบปีที่แล้ว แต่ความขัดแย้งยังคงดำเนินอยู่ โดยที่ยังหาข้อสรุปและหลักปฎิบัติร่วมกันไม่ได้ การที่จีนกลายเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและมีกองทัพที่แข็งแกร่งกว่าประเทศสมาชิกในอาเซียน ทำให้สมาชิกอาเซียนไม่มีอำนาจต่อรองกับจีนแบบตัวต่อตัว ฉะนั้น ประเทศสมาชิกอาเซียนที่ไม่อ้างสิทธิ์เหนือพื้นที่ใดๆ ในทะเลจีนใต้จึงไม่อยากเสี่ยงเข้าร่วมคานอำนาจจีนร่วมไปกับฟิลิปปินส์และเวียดนามด้วย
ในการประชุมอาเซียนแต่ละครั้ง ถ้ามีการยกเรื่องความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ขึ้นมาพูดคุยแล้ว ฟิลิปปินส์และเวียดนามจะพยายามผลักดันให้สมาชิกอาเซียนรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนเพื่อแสดงพลังต่อรองกับจีนให้เป็นเสียงเดียวกัน แทนที่จะออกมาให้ความเห็นแบบตัวใครตัวมัน ซึ่งอาเซียนเองก็ทำให้ทั้งสองประเทศสมาชิกผิดหวังมาโดยตลอด
ถึงแม้ว่าทั้งสามวิธีที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นจะเป็นวิธีที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด แต่ในทางกลับกันก็ทำให้อาเซียนไร้บทบาทและสะท้อนถึงอำนาจของสถาบันอาเซียนที่มีอย่างจำกัดและอ่อนแอในการจัดการกับปัญหาในระดับภูมิภาคได้ด้วยตนเอง
บทสรุป
แม้ว่าสมาชิกอาเซียนจะมีผลประโยชน์ร่วมกันในการรักษาความสงบในทะเลจีนใต้ แต่ถ้าดูผลได้ผลเสียที่ต่างกันของแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียน ก็จะทำให้เข้าใจได้ว่าทำไมอาเซียนจึงไม่สามารถฟอร์มกลยุทธ์ที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเพื่อต่อกรกับจีนได้ พร้อมทั้งความสัมพันธ์ที่ทับซ้อนและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่แต่ละประเทศมีร่วมกับจีนมากขึ้นทุกที ทำให้ประเทศสมาชิกอาเซียนขาดเอกภาพและไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน (distrust) ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาสำคัญของสถาบันอาเซียนตั้งแต่ในอดีตประกอบกับวัฒนธรรมทางการเมืองแบบอาเซียนที่ให้ความสำคัญกับการประนีประนอมรอมชอมทางการทูต และกลไกการแก้ข้อพิพาทของอาเซียนก็ยังขาดความเชื่อมั่นจากประเทศสมาชิกด้วยกันเอง ทำให้สถาบันอาเซียนอ่อนแอเกินไปที่จะจัดการกับปัญหาข้อพิพาทกับจีนได้อย่างมีเอกภาพ
ที่มา.Siam Intelligence Unit
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
เสาการเมือง-ความมั่นคงของอาเซียนกำลังสั่นคลอน !!?
โดย:ผศ.ดร.กิตติ ประเสริฐสุข
การประชุมสุดยอดผู้นำในช่วงปลายปี คงได้เพียงแถลงการณ์ร่วมระหว่างอาเซียนกับจีนที่เบาบาง ไร้น้ำหนัก ไม่ถึงขั้น CoC ที่มีความหมาย
ขณะที่สังคมไทยกำลังฮือฮากับการก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community หรือ AEC) ดังจะเห็นได้จากการจัดสัมมนา ฝึกอบรมและกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับอาเซียนไม่เว้นแต่ละวัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในอาเซียนเมื่อกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงความไม่มั่นคงของเสาการเมือง-ความมั่นคงของอาเซียน (ซึ่งเป็นหนึ่งในสามเสาหลักของประชาคมอาเซียน ที่ประกอบไปด้วยอีก 2 เสา คือ เสาเศรษฐกิจ และเสาสังคมวัฒนธรรม) และย่อมส่งผลต่อการรวมตัวในภูมิภาคเป็น AEC ไม่น้อย
เหตุเกิดจากการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนและการประชุมที่เกี่ยวข้องที่กรุงพนมเปญ เมื่อช่วงกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ได้ ประสบความล้มเหลว จากการที่ไม่สามารถออก “แถลงการณ์” ร่วมกันได้ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบ 45 ปี ที่มีการจัดประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศตั้งแต่ก่อตั้งอาเซียนเป็นต้นมา โดยปกติที่ประชุมจะออกแถลงการณ์ร่วม แม้เนื้อหาส่วนใหญ่มักจะเบาบางและไม่ผูกมัดก็ตาม แต่ครั้งนี้ ไม่สามารถแม้แต่ทำเช่นนั้นได้ สร้างความอึดอัดแก่ผู้เข้าร่วมประชุมทุกชาติ และเป็นที่น่าผิดหวังในสายตาประชาคมโลก
ทั้งนี้ เพราะชาติอาเซียนไม่สามารถบรรลุฉันทามติในเนื้อหาของแถลงการณ์ร่วม อันมีสาเหตุมาจากประเด็นทะเลจีนใต้ ซึ่งเป็นข้อขัดแย้งที่ยืดเยื้อระหว่างจีนกับ 4 ชาติอาเซียน คือ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซียและบรูไน ที่อ้างสิทธิบางส่วนใน 2 หมู่เกาะหลัก คือ สแปรตลีย์กับพาราเซล ขณะที่จีนอ้างสิทธิทั้งหมด แม้ว่าหมู่เกาะดังกล่าวจะอยู่ห่างไกลจากแผ่นดินใหญ่ของจีนมากก็ตาม
การประชุมครั้งนี้ ฟิลิปปินส์ยืนกรานให้มีการระบุอย่างชัดเจนเกี่ยวกับ “แนวหินสการ์โบโรห์” ที่เกิดความตึงเครียดกับจีนหลายครั้งในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ถึงขั้นเรือรบสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน แต่กัมพูชาซึ่งเป็นประเทศเจ้าภาพการประชุมอาเซียน ไม่เห็นด้วย โดยเกรงว่าแถลงการณ์ร่วมจะทำให้เกิดความร้าวฉานกับจีน ทั้งฟิลิปปินส์และกัมพูชาต่างไม่ยอมถอย ทำให้ฉันทามติตามวิถีอาเซียนไม่อาจเกิดขึ้นได้ในครั้งนี้
ทั้งฟิลิปปินส์และเวียดนามไม่พอใจกัมพูชา ที่ดูเหมือนพยายามเอาใจจีน ทั้งนี้ ประธานาธิบดีหูจิ่นเทา ได้เดินทางมาเยือนกัมพูชาตั้งแต่เดือนเมษายน นัยว่าเพื่อมาล็อบบี้สมเด็จฮุนเซ็น นายกรัฐมนตรีกัมพูชา มิให้นำวาระเรื่องทะเลจีนใต้เข้าสู่การประชุมอาเซียน หรือให้เป็นไปในแนวทางที่เป็นคุณกับจีน ซึ่งเป็นประเทศผู้ให้ความช่วยเหลือรายใหญ่แก่กัมพูชา รวมทั้งได้ช่วยสร้างทำเนียบที่เป็นสถานที่จัดประชุมในครั้งนี้ด้วย
แต่ว่าไปแล้ว ชาติอาเซียนอื่นที่ไม่ใช่คู่พิพาท ก็ไม่อยากเสี่ยงกระทำสิ่งใดที่อาจไปสร้างความไม่พอใจต่อจีน แม้จะเห็นใจเพื่อนสมาชิกอาเซียนที่ขัดแย้งกับจีนอยู่ก็ตาม เพราะต่างก็มุ่งหวังผลประโยชน์จากจีน ไม่ว่าจะด้านการค้า การลงทุน ตลอดจนความช่วยเหลือต่างๆ โดยเฉพาะจากการที่จีนถูกคาดหวังให้เป็นหัวจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก หลังเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในสหรัฐ และที่ยูโรโซนในปัจจุบัน
หลังจากความล้มเหลวในการประชุมอาเซียนครั้งนี้ นายมาร์ตี้ นาตาเลกาว่า รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย ได้พยายามประสานรอยร้าว แต่ดูเหมือนยังไม่สามารถช่วยให้อะไรดีขึ้น ล่าสุด นายฮอร์ นัมฮง รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ยังออกมากล่าววิพากษ์วิจารณ์ฟิลิปปินส์กับเวียดนาม ว่า เป็นต้นเหตุให้ไม่สามารถบรรลุฉันทามติในหมู่ชาติอาเซียนได้ แม้ว่าชาติอื่นจะมีมติร่วมกันแล้วในประเด็นดังกล่าว
อันที่จริงปีนี้อาเซียนวาดหวังว่าจะสามารถยกระดับ “คำประกาศว่าด้วยการปฏิบัติของฝ่ายต่างๆ ในทะเลจีนใต้” (Declaration on the Conduct of Parties in the South China Sea) หรือ DoC ที่ได้ลงนามร่วมกันระหว่างชาติอาเซียนกับจีนตั้งแต่ปี 2545 ขึ้นเป็น Code of Conduct (CoC) ที่มีผลผูกมัดมากขึ้น ในวาระครบรอบ 10 ปีของ DoC ทั้งนี้ อาเซียนได้ร่าง CoC ไว้แล้ว แม้จะยังไม่สมบูรณ์ก็ตาม
ความล้มเหลวในการออกคำประกาศในการประชุมอาเซียนครั้งนี้ นับว่าเป็นชัยชนะของจีน ที่เน้นแก้ปัญหาด้วยแนวทางทวิภาคี จะเจรจากับประเทศคู่พิพาทเองทีละคู่ ซึ่งเป็นแนวทางที่ประเทศใหญ่มักใช้กับประเทศเล็ก จีนไม่ประสงค์จะใช้เวทีพหุภาคีอย่างอาเซียน การไม่มีคำประกาศในครั้งนี้ เท่ากับว่าอาเซียนไม่อาจกล่าวถึงร่าง CoC ที่จัดทำไว้ได้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ยังไม่มีการยอมรับอย่างเป็นทางการว่ามีร่าง CoC ของอาเซียนอยู่
อย่างไรก็ตาม จุดยืนที่แข็งกร้าวของจีนในประเด็นทะเลจีนใต้ คงไม่ส่งผลดีต่อจีนเท่าใดนัก ยิ่งในโลกปัจจุบันที่มหาอำนาจไม่สามารถใช้ hard power อย่างเดียวได้ หากแต่ต้องใช้ soft power ควบคู่ไปด้วย ความพยายามของจีนที่จะสร้างบารมีและความชื่นชมในหมู่ชาติอาเซียนจะด้อยประสิทธิผลลง และจะยิ่งผลักให้บางชาติอาเซียนเข้าหาสหรัฐที่พยายามกลับเข้ามาในภูมิภาคมากยิ่งขึ้น
ในที่สุด จีนอาจยอมลดท่าทีแข็งกร้าวลงบ้าง อย่างมากใน การประชุมสุดยอดผู้นำในช่วงปลายปี คงได้เพียงแถลงการณ์ร่วมระหว่างอาเซียนกับจีนที่เบาบาง ไร้น้ำหนัก ไม่ถึงขั้น CoC ที่มีความหมาย
ต่อเรื่องนี้ไทยเองตกอยู่ในสถานการณ์อันยากลำบาก เนื่องจากเป็นวาระที่ไทยเป็นประธานคณะกรรมการอาเซียน-จีน ซึ่งเท่ากับว่า ไทยเป็นแกนของอาเซียนในการประสานงานกับจีน ซึ่งครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมวัฒนธรรม และการเมือง-ความมั่นคง ซึ่งรวมถึงประเด็นทะเลจีนใต้ด้วย
ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ความน่าเชื่อถือของอาเซียนได้เสื่อมถอยลงไปมาก จากการที่ไทยไม่สามารถจัดประชุมผู้นำอาเซียนได้ เมื่อคราวที่เป็นประธานอาเซียนในช่วงปี 2551-2552 และจากข้อพิพาทพรมแดนไทย-กัมพูชาในประเด็นเขาพระวิหาร ที่ส่งผลต่อความพยายามสร้างประชาคมการเมือง-ความมั่นคงอาเซียนโดยตรง
เนื่องจากอาเซียนไม่สามารถแสดงบทบาทในการแก้ไขข้อพิพาทนี้ได้เท่าที่ควร แม้รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย จะพยายามทำหน้าที่เป็นกาวใจ ในฐานะประธานอาเซียนในขณะนั้น แต่ไทยก็เน้นย้ำแนวทางทวิภาคี ไม่ประสงค์ให้อาเซียนเข้ามาไกล่เกลี่ย ในขณะที่กัมพูชาเลือกที่จะไปฟ้องร้องต่อศาลโลก ซึ่งก็เท่ากับเป็นการข้ามหัวอาเซียน ไม่เห็นว่าอาเซียนจะสามารถช่วยแก้ไขหรือบรรเทาข้อพิพาทดังกล่าวได้
ปัจจุบันคนไทยบางกลุ่มก็ยังคัดค้านการเข้ามาสังเกตการณ์ของเจ้าหน้าที่อินโดนีเซียต่อการถอนทหารของกัมพูชาและไทยจากดินแดนในพิพาทตามคำพิพากษาของศาลโลก โดยรวม อาเซียนยิ่งดูไร้น้ำยามากขึ้น
ขณะที่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนกำลังคืบหน้าไป ประชาคมการเมือง-ความมั่นคงกลับประสบภาวะไม่มั่นคง อาเซียนจะยิ่งพบข้อจำกัดมากขึ้นทุกทีๆ ในแนวทางเดิมๆ ที่เน้นความสบายใจ (comfort level) ของทุกฝ่าย ซึ่งเป็นไปได้ยาก อย่างไรก็ตาม ชีวิตของอาเซียนยังต้องดำเนินต่อไป The show must go on. ชาติอาเซียนยังต้องพยายามมุ่งมั่นก้าวเข้าสู่ AEC ต่อไป เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในปี 2558 แม้บรรยากาศแห่งความร่วมมือจะถดถอยลงไปก็ตาม
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
การประชุมสุดยอดผู้นำในช่วงปลายปี คงได้เพียงแถลงการณ์ร่วมระหว่างอาเซียนกับจีนที่เบาบาง ไร้น้ำหนัก ไม่ถึงขั้น CoC ที่มีความหมาย
ขณะที่สังคมไทยกำลังฮือฮากับการก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community หรือ AEC) ดังจะเห็นได้จากการจัดสัมมนา ฝึกอบรมและกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับอาเซียนไม่เว้นแต่ละวัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในอาเซียนเมื่อกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงความไม่มั่นคงของเสาการเมือง-ความมั่นคงของอาเซียน (ซึ่งเป็นหนึ่งในสามเสาหลักของประชาคมอาเซียน ที่ประกอบไปด้วยอีก 2 เสา คือ เสาเศรษฐกิจ และเสาสังคมวัฒนธรรม) และย่อมส่งผลต่อการรวมตัวในภูมิภาคเป็น AEC ไม่น้อย
เหตุเกิดจากการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนและการประชุมที่เกี่ยวข้องที่กรุงพนมเปญ เมื่อช่วงกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ได้ ประสบความล้มเหลว จากการที่ไม่สามารถออก “แถลงการณ์” ร่วมกันได้ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบ 45 ปี ที่มีการจัดประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศตั้งแต่ก่อตั้งอาเซียนเป็นต้นมา โดยปกติที่ประชุมจะออกแถลงการณ์ร่วม แม้เนื้อหาส่วนใหญ่มักจะเบาบางและไม่ผูกมัดก็ตาม แต่ครั้งนี้ ไม่สามารถแม้แต่ทำเช่นนั้นได้ สร้างความอึดอัดแก่ผู้เข้าร่วมประชุมทุกชาติ และเป็นที่น่าผิดหวังในสายตาประชาคมโลก
ทั้งนี้ เพราะชาติอาเซียนไม่สามารถบรรลุฉันทามติในเนื้อหาของแถลงการณ์ร่วม อันมีสาเหตุมาจากประเด็นทะเลจีนใต้ ซึ่งเป็นข้อขัดแย้งที่ยืดเยื้อระหว่างจีนกับ 4 ชาติอาเซียน คือ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซียและบรูไน ที่อ้างสิทธิบางส่วนใน 2 หมู่เกาะหลัก คือ สแปรตลีย์กับพาราเซล ขณะที่จีนอ้างสิทธิทั้งหมด แม้ว่าหมู่เกาะดังกล่าวจะอยู่ห่างไกลจากแผ่นดินใหญ่ของจีนมากก็ตาม
การประชุมครั้งนี้ ฟิลิปปินส์ยืนกรานให้มีการระบุอย่างชัดเจนเกี่ยวกับ “แนวหินสการ์โบโรห์” ที่เกิดความตึงเครียดกับจีนหลายครั้งในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ถึงขั้นเรือรบสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน แต่กัมพูชาซึ่งเป็นประเทศเจ้าภาพการประชุมอาเซียน ไม่เห็นด้วย โดยเกรงว่าแถลงการณ์ร่วมจะทำให้เกิดความร้าวฉานกับจีน ทั้งฟิลิปปินส์และกัมพูชาต่างไม่ยอมถอย ทำให้ฉันทามติตามวิถีอาเซียนไม่อาจเกิดขึ้นได้ในครั้งนี้
ทั้งฟิลิปปินส์และเวียดนามไม่พอใจกัมพูชา ที่ดูเหมือนพยายามเอาใจจีน ทั้งนี้ ประธานาธิบดีหูจิ่นเทา ได้เดินทางมาเยือนกัมพูชาตั้งแต่เดือนเมษายน นัยว่าเพื่อมาล็อบบี้สมเด็จฮุนเซ็น นายกรัฐมนตรีกัมพูชา มิให้นำวาระเรื่องทะเลจีนใต้เข้าสู่การประชุมอาเซียน หรือให้เป็นไปในแนวทางที่เป็นคุณกับจีน ซึ่งเป็นประเทศผู้ให้ความช่วยเหลือรายใหญ่แก่กัมพูชา รวมทั้งได้ช่วยสร้างทำเนียบที่เป็นสถานที่จัดประชุมในครั้งนี้ด้วย
แต่ว่าไปแล้ว ชาติอาเซียนอื่นที่ไม่ใช่คู่พิพาท ก็ไม่อยากเสี่ยงกระทำสิ่งใดที่อาจไปสร้างความไม่พอใจต่อจีน แม้จะเห็นใจเพื่อนสมาชิกอาเซียนที่ขัดแย้งกับจีนอยู่ก็ตาม เพราะต่างก็มุ่งหวังผลประโยชน์จากจีน ไม่ว่าจะด้านการค้า การลงทุน ตลอดจนความช่วยเหลือต่างๆ โดยเฉพาะจากการที่จีนถูกคาดหวังให้เป็นหัวจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก หลังเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในสหรัฐ และที่ยูโรโซนในปัจจุบัน
หลังจากความล้มเหลวในการประชุมอาเซียนครั้งนี้ นายมาร์ตี้ นาตาเลกาว่า รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย ได้พยายามประสานรอยร้าว แต่ดูเหมือนยังไม่สามารถช่วยให้อะไรดีขึ้น ล่าสุด นายฮอร์ นัมฮง รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ยังออกมากล่าววิพากษ์วิจารณ์ฟิลิปปินส์กับเวียดนาม ว่า เป็นต้นเหตุให้ไม่สามารถบรรลุฉันทามติในหมู่ชาติอาเซียนได้ แม้ว่าชาติอื่นจะมีมติร่วมกันแล้วในประเด็นดังกล่าว
อันที่จริงปีนี้อาเซียนวาดหวังว่าจะสามารถยกระดับ “คำประกาศว่าด้วยการปฏิบัติของฝ่ายต่างๆ ในทะเลจีนใต้” (Declaration on the Conduct of Parties in the South China Sea) หรือ DoC ที่ได้ลงนามร่วมกันระหว่างชาติอาเซียนกับจีนตั้งแต่ปี 2545 ขึ้นเป็น Code of Conduct (CoC) ที่มีผลผูกมัดมากขึ้น ในวาระครบรอบ 10 ปีของ DoC ทั้งนี้ อาเซียนได้ร่าง CoC ไว้แล้ว แม้จะยังไม่สมบูรณ์ก็ตาม
ความล้มเหลวในการออกคำประกาศในการประชุมอาเซียนครั้งนี้ นับว่าเป็นชัยชนะของจีน ที่เน้นแก้ปัญหาด้วยแนวทางทวิภาคี จะเจรจากับประเทศคู่พิพาทเองทีละคู่ ซึ่งเป็นแนวทางที่ประเทศใหญ่มักใช้กับประเทศเล็ก จีนไม่ประสงค์จะใช้เวทีพหุภาคีอย่างอาเซียน การไม่มีคำประกาศในครั้งนี้ เท่ากับว่าอาเซียนไม่อาจกล่าวถึงร่าง CoC ที่จัดทำไว้ได้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ยังไม่มีการยอมรับอย่างเป็นทางการว่ามีร่าง CoC ของอาเซียนอยู่
อย่างไรก็ตาม จุดยืนที่แข็งกร้าวของจีนในประเด็นทะเลจีนใต้ คงไม่ส่งผลดีต่อจีนเท่าใดนัก ยิ่งในโลกปัจจุบันที่มหาอำนาจไม่สามารถใช้ hard power อย่างเดียวได้ หากแต่ต้องใช้ soft power ควบคู่ไปด้วย ความพยายามของจีนที่จะสร้างบารมีและความชื่นชมในหมู่ชาติอาเซียนจะด้อยประสิทธิผลลง และจะยิ่งผลักให้บางชาติอาเซียนเข้าหาสหรัฐที่พยายามกลับเข้ามาในภูมิภาคมากยิ่งขึ้น
ในที่สุด จีนอาจยอมลดท่าทีแข็งกร้าวลงบ้าง อย่างมากใน การประชุมสุดยอดผู้นำในช่วงปลายปี คงได้เพียงแถลงการณ์ร่วมระหว่างอาเซียนกับจีนที่เบาบาง ไร้น้ำหนัก ไม่ถึงขั้น CoC ที่มีความหมาย
ต่อเรื่องนี้ไทยเองตกอยู่ในสถานการณ์อันยากลำบาก เนื่องจากเป็นวาระที่ไทยเป็นประธานคณะกรรมการอาเซียน-จีน ซึ่งเท่ากับว่า ไทยเป็นแกนของอาเซียนในการประสานงานกับจีน ซึ่งครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมวัฒนธรรม และการเมือง-ความมั่นคง ซึ่งรวมถึงประเด็นทะเลจีนใต้ด้วย
ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ความน่าเชื่อถือของอาเซียนได้เสื่อมถอยลงไปมาก จากการที่ไทยไม่สามารถจัดประชุมผู้นำอาเซียนได้ เมื่อคราวที่เป็นประธานอาเซียนในช่วงปี 2551-2552 และจากข้อพิพาทพรมแดนไทย-กัมพูชาในประเด็นเขาพระวิหาร ที่ส่งผลต่อความพยายามสร้างประชาคมการเมือง-ความมั่นคงอาเซียนโดยตรง
เนื่องจากอาเซียนไม่สามารถแสดงบทบาทในการแก้ไขข้อพิพาทนี้ได้เท่าที่ควร แม้รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย จะพยายามทำหน้าที่เป็นกาวใจ ในฐานะประธานอาเซียนในขณะนั้น แต่ไทยก็เน้นย้ำแนวทางทวิภาคี ไม่ประสงค์ให้อาเซียนเข้ามาไกล่เกลี่ย ในขณะที่กัมพูชาเลือกที่จะไปฟ้องร้องต่อศาลโลก ซึ่งก็เท่ากับเป็นการข้ามหัวอาเซียน ไม่เห็นว่าอาเซียนจะสามารถช่วยแก้ไขหรือบรรเทาข้อพิพาทดังกล่าวได้
ปัจจุบันคนไทยบางกลุ่มก็ยังคัดค้านการเข้ามาสังเกตการณ์ของเจ้าหน้าที่อินโดนีเซียต่อการถอนทหารของกัมพูชาและไทยจากดินแดนในพิพาทตามคำพิพากษาของศาลโลก โดยรวม อาเซียนยิ่งดูไร้น้ำยามากขึ้น
ขณะที่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนกำลังคืบหน้าไป ประชาคมการเมือง-ความมั่นคงกลับประสบภาวะไม่มั่นคง อาเซียนจะยิ่งพบข้อจำกัดมากขึ้นทุกทีๆ ในแนวทางเดิมๆ ที่เน้นความสบายใจ (comfort level) ของทุกฝ่าย ซึ่งเป็นไปได้ยาก อย่างไรก็ตาม ชีวิตของอาเซียนยังต้องดำเนินต่อไป The show must go on. ชาติอาเซียนยังต้องพยายามมุ่งมั่นก้าวเข้าสู่ AEC ต่อไป เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในปี 2558 แม้บรรยากาศแห่งความร่วมมือจะถดถอยลงไปก็ตาม
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ฆ่าคนตายไม่บาป !!?
เป็นเรื่องถกเถียงกันมานานแล้วว่า...สมควรจะมีกาสิโนในประเทศไทยหรือไม่?
การถกเถียงยังลามไปถึงประเด็นปัญหาที่ว่า..การนำหวยใต้ดินขึ้นมาเล่นบนดิน ภายใต้การควบคุมดูแลของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นสิ่งที่สมควรหรือไม่
เรื่องหวยบนดินเคยมีการทำมาแล้ว แต่ถูกยกเลิกไปภายหลังการรัฐประหารเมื่อปี ๒๕๔๙
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้น รายได้จากหวยบนดินได้ก่อให้เกิดประโยชน์แก่วงการศึกษามิใช่น้อย
โดยเฉพาะเด็กนักเรียนที่เป็นเสมือน “ช้างเผือก” ในต่างจังหวัด ต่างได้รับทุนไปร่ำเรียนที่ต่างประเทศจำนวนหลายร้อยคน
สถานกาสิโนและหวยบนดินเกิดขึ้นไม่ได้ในประเทศไทย เพราะมีการคัดค้านอย่างหัวชนกำแพงว่า...มันเป็นการส่งเสริมให้คนทำบาป ทำให้ศีลธรรมเสื่อมทรุด
และประดาคนที่คัดค้าน ล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีเสียงดัง พูดอะไรออกมา ไม่มีใครกล้าค้านกล้าเถียง
แต่ก็น่าประหลาดสิ้นดี ตอนเกิดการเข่นฆ่าประชาชน ไม่ว่าสมัยปี ๒๕๑๙ ปี ๒๕๓๕ รวมทั้งสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปี ๒๕๕๓ ที่มีการล้อมปราบฆ่าคนกลางเมืองหลวงตายไปเป็นร้อยคน แต่คนคนพวกนี้กลับปิดปากเสียสนิท
พิสูจน์ให้เห็นว่า..ในทัศนะของเขานั้น การเปิดบ่อนกาสิโน หรือมีหวยบนดินเป็นการทำบาป
แต่การฆ่าคนไม่บาปเลย
ใครเรียกร้องให้มีกาสิโนหรือหวยบนดินจะถูกประณามอย่างสาดเสียเทเสีย
มาบัดนี้มีคนกล้าลุกขึ้นมาเรียกร้องเรื่องนี้ชื่อ ธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของเมืองไทย
โดย คุณธนินท์ เรียกร้องให้รัฐบาลส่งเสริมธุจกิจท่องเที่ยว และเปิดบ่อนกาสิโนในเมืองท่องเที่ยวหลักอย่างพัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ เพื่อดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาจับจ่ายใช้เงิน
“ถ้าผมมีอำนาจ ผมจะเปิดกาสิโนเหมือนลาสเวกัส อย่ามองการพนันไม่ดี เมืองไทยการพนันใต้ดินเต็มบ้านเต็มเมือง เราต้องยอมรับ
การมีบ่อนกาสิโน ถ้าคนไม่ชอบเล่นการพนันก็ไม่เล่น และถ้าเมืองไทยไม่มีกาสิโน นักท่องเที่ยวต่างชาติก็หนีไปเล่นที่ลาสเวกัส หรือหมาเก๊า
ปัจจุบันหมาเก๊าซึ่งเป็นเพียงเกาะเล็กๆ มีรายได้จากกาสิโนถึง ๘๗๙,๗๗๙ ล้านบาทต่อปี ขณะที่ลาสเวกัสมีรายได้ ๓๑๙,๓๐๐ ล้านบาท
แต่การเปิดกาสิโนไม่ใช่จะมีรายได้จากบ่อนอย่างเดียว แต่จะมีรายได้จากโรงแรมอีกด้วย อย่างสิงคโปร์ที่เพิ่งจะเปิดกาสิโน ขณะนี้มีรายได้เป็นอันดับสามประมาณ ๑๖๙,๘๔๙ ล้านบาทต่อปี”
คุณธนินท์สรุปว่า...ถ้าไทยเปิดกาสิโนจะมีรายได้เป็นอันดับหนึ่งของโลก เมื่อมีคนจะเอาเงินมาให้แล้วทำไมเราจึงไม่เอา นั่นนะสิ
โดย.ศรี อินทปันตี,บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
การถกเถียงยังลามไปถึงประเด็นปัญหาที่ว่า..การนำหวยใต้ดินขึ้นมาเล่นบนดิน ภายใต้การควบคุมดูแลของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นสิ่งที่สมควรหรือไม่
เรื่องหวยบนดินเคยมีการทำมาแล้ว แต่ถูกยกเลิกไปภายหลังการรัฐประหารเมื่อปี ๒๕๔๙
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้น รายได้จากหวยบนดินได้ก่อให้เกิดประโยชน์แก่วงการศึกษามิใช่น้อย
โดยเฉพาะเด็กนักเรียนที่เป็นเสมือน “ช้างเผือก” ในต่างจังหวัด ต่างได้รับทุนไปร่ำเรียนที่ต่างประเทศจำนวนหลายร้อยคน
สถานกาสิโนและหวยบนดินเกิดขึ้นไม่ได้ในประเทศไทย เพราะมีการคัดค้านอย่างหัวชนกำแพงว่า...มันเป็นการส่งเสริมให้คนทำบาป ทำให้ศีลธรรมเสื่อมทรุด
และประดาคนที่คัดค้าน ล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีเสียงดัง พูดอะไรออกมา ไม่มีใครกล้าค้านกล้าเถียง
แต่ก็น่าประหลาดสิ้นดี ตอนเกิดการเข่นฆ่าประชาชน ไม่ว่าสมัยปี ๒๕๑๙ ปี ๒๕๓๕ รวมทั้งสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปี ๒๕๕๓ ที่มีการล้อมปราบฆ่าคนกลางเมืองหลวงตายไปเป็นร้อยคน แต่คนคนพวกนี้กลับปิดปากเสียสนิท
พิสูจน์ให้เห็นว่า..ในทัศนะของเขานั้น การเปิดบ่อนกาสิโน หรือมีหวยบนดินเป็นการทำบาป
แต่การฆ่าคนไม่บาปเลย
ใครเรียกร้องให้มีกาสิโนหรือหวยบนดินจะถูกประณามอย่างสาดเสียเทเสีย
มาบัดนี้มีคนกล้าลุกขึ้นมาเรียกร้องเรื่องนี้ชื่อ ธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของเมืองไทย
โดย คุณธนินท์ เรียกร้องให้รัฐบาลส่งเสริมธุจกิจท่องเที่ยว และเปิดบ่อนกาสิโนในเมืองท่องเที่ยวหลักอย่างพัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ เพื่อดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาจับจ่ายใช้เงิน
“ถ้าผมมีอำนาจ ผมจะเปิดกาสิโนเหมือนลาสเวกัส อย่ามองการพนันไม่ดี เมืองไทยการพนันใต้ดินเต็มบ้านเต็มเมือง เราต้องยอมรับ
การมีบ่อนกาสิโน ถ้าคนไม่ชอบเล่นการพนันก็ไม่เล่น และถ้าเมืองไทยไม่มีกาสิโน นักท่องเที่ยวต่างชาติก็หนีไปเล่นที่ลาสเวกัส หรือหมาเก๊า
ปัจจุบันหมาเก๊าซึ่งเป็นเพียงเกาะเล็กๆ มีรายได้จากกาสิโนถึง ๘๗๙,๗๗๙ ล้านบาทต่อปี ขณะที่ลาสเวกัสมีรายได้ ๓๑๙,๓๐๐ ล้านบาท
แต่การเปิดกาสิโนไม่ใช่จะมีรายได้จากบ่อนอย่างเดียว แต่จะมีรายได้จากโรงแรมอีกด้วย อย่างสิงคโปร์ที่เพิ่งจะเปิดกาสิโน ขณะนี้มีรายได้เป็นอันดับสามประมาณ ๑๖๙,๘๔๙ ล้านบาทต่อปี”
คุณธนินท์สรุปว่า...ถ้าไทยเปิดกาสิโนจะมีรายได้เป็นอันดับหนึ่งของโลก เมื่อมีคนจะเอาเงินมาให้แล้วทำไมเราจึงไม่เอา นั่นนะสิ
โดย.ศรี อินทปันตี,บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
จัดหนักเต็มแม็กซ์ !!?
เกรงแต่ว่า ขบวนการโค่นล้ม “รัฐบาลปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะหน้าแตก
เกณฑ์รี้พลสกลไกร นักรบแนวใต้ ผสมประสานกับ นักรบดาวแดง..มาเช่าโรงแรม “อเวนิว” ย่านธนบุรีรวมพล
หน่วยวอร์รูม ที่ปกปักษ์รักษา “รัฐบาลปู”รู้ความเคลื่อนไหวทุกคน
ฉะนั้น,ใครจะเล่นเกมใต้ดิน เพื่อสั่น “รัฐบาลปู” ให้ขาเกก่อน ศึกการซักฟอกรัฐบาล ได้โปรดหยุดเสีย
หน้าแตกมาจาก “เขายายเที่ยง”....ดังนั้น,อย่าทำเรื่องเสี่ยง...เดี๋ยวก็ได้เดี้ยงอีกหละเนี่ย
++++++++++++++++++++++++++++++++++
“เขาแพง” เสียดแทงใจดำ
เล่นลูบคม ทำเอา “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตผู้จัดการรัฐบาลเก่า โกรธจนหน้าคว่ำ
“การเช็คบิล” ในเรื่องนี้ ว่ากันว่าเป็นเรื่องสิว ๆ
ยังมีที่ดินแปลงใหญ่ที่ภาคใต้อีกแปลง ..เปิดขึ้นมา “เทพเทือก” ยิ่งจะกริ้ว
มองแล้ว “เทพเทือก” ชักจะไปยาก เข้าทุกที
ฉะนั้น,อย่าควักหน้าตักจ่ายบ่อย...เพราะเห็นชักเนื้อน้อย...โอ๊ย,ใช้สอยมากมันไม่ดี
+++++++++++++++++++++++++++++++++
“เสียสละ” ยังมีทางรอด
“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” สมควรถอดหัวโขน ชิงลาออกจาก “หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์” จึงจะเป็นสิ่งดี นะจ๊อด
เรื่องหนีทหาร ยิ่งขุดยิ่งพาทำให้ “พรรคประชาธิปัตย์” พัง
ที่สำคัญ จะทำให้ “คุณพ่อหมออรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เกิดวิบากกรรมยามชรา..ดังนั้นน่าเห็นใจ ท่านมั่ง
ยิ่ง “มาร์ค” ดันทุรัง..คนที่หวังดี และ พรรคที่ให้แจ้งเกิดบนพรรคการเมือง ก็พลอยจะดับ
ได้ “อภิสิทธิ์ชน”มาตลอด..ยามนี้ควรเอาพรรครอด..ตัวเองเป็นจุดบอด อย่างแรงเลยนะครับ
++++++++++++++++++++++++++++++++
ฆ่าตัดตอน
ก้อเพิ่งรู้ นอกจาก ขบวนการค้ายาเสพติดแล้ว..ยังมีคนอื่นเดือดร้อน
ทั้งที่พวกเวรตะไล ค้าขายค้าบ้า ยาเสพติด ทำให้ประชาชนตกทุกข์ได้ยาก
เมื่อ “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร” ปราบไม่เว้น จึงได้คะแนนนิยม และเสียงเชียร์กันมาก
พวกค้ายาเสพติด เป็นไอ้นรกที่ชิงหมาเกิด ต้องดับชีพเสียให้เสร็จสรรพ
ไปปกป้องเอาไว้...อยากเห็นลูกหลานไทย..ตกเป็นทาสไอ้ยานรก หรืออย่างไรกันครับ
++++++++++++++++++++++++++++++++
ข่าวล่ามาไว
พูดกันให้เอ็ด ถึงเรื่องที่ว่า “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร” จะกลับเมืองไทย
ว่ากันว่า ในเดือนกันยายนต้นเดือนหน้า “ทักษิณ”จะเลิกเป็นนกขมิ้นเหลืองอ่อน นอนอยู่ที่เมืองดูไบ กันแล้ว
ถ้ากลับเมืองไทยเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งแจ๋ว
ที่แน่ ๆ ต้องดิ้นกระแด่ว ก็ “พรรคประชาธิปัตย์” ไม่ว่าจะเป็น “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” , “ชวน หลีกภัย”, “สุเทพ เทือกสุบรรณ”, “กรณ์ จาติกวณิช” รู้ข่าวนี้ สมองอาจแตกตาย
“ทักษิณ” อยู่เมืองนอก...ยังไม่มีปัญญาน็อค..ทราบข่าวนี้ต้องพากันช็อคยกใหญ่
ที่มา:ตอดนิดตอดหน่อย โดย.การบูร,บางกอกทูเดย์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
เกณฑ์รี้พลสกลไกร นักรบแนวใต้ ผสมประสานกับ นักรบดาวแดง..มาเช่าโรงแรม “อเวนิว” ย่านธนบุรีรวมพล
หน่วยวอร์รูม ที่ปกปักษ์รักษา “รัฐบาลปู”รู้ความเคลื่อนไหวทุกคน
ฉะนั้น,ใครจะเล่นเกมใต้ดิน เพื่อสั่น “รัฐบาลปู” ให้ขาเกก่อน ศึกการซักฟอกรัฐบาล ได้โปรดหยุดเสีย
หน้าแตกมาจาก “เขายายเที่ยง”....ดังนั้น,อย่าทำเรื่องเสี่ยง...เดี๋ยวก็ได้เดี้ยงอีกหละเนี่ย
++++++++++++++++++++++++++++++++++
“เขาแพง” เสียดแทงใจดำ
เล่นลูบคม ทำเอา “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตผู้จัดการรัฐบาลเก่า โกรธจนหน้าคว่ำ
“การเช็คบิล” ในเรื่องนี้ ว่ากันว่าเป็นเรื่องสิว ๆ
ยังมีที่ดินแปลงใหญ่ที่ภาคใต้อีกแปลง ..เปิดขึ้นมา “เทพเทือก” ยิ่งจะกริ้ว
มองแล้ว “เทพเทือก” ชักจะไปยาก เข้าทุกที
ฉะนั้น,อย่าควักหน้าตักจ่ายบ่อย...เพราะเห็นชักเนื้อน้อย...โอ๊ย,ใช้สอยมากมันไม่ดี
+++++++++++++++++++++++++++++++++
“เสียสละ” ยังมีทางรอด
“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” สมควรถอดหัวโขน ชิงลาออกจาก “หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์” จึงจะเป็นสิ่งดี นะจ๊อด
เรื่องหนีทหาร ยิ่งขุดยิ่งพาทำให้ “พรรคประชาธิปัตย์” พัง
ที่สำคัญ จะทำให้ “คุณพ่อหมออรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เกิดวิบากกรรมยามชรา..ดังนั้นน่าเห็นใจ ท่านมั่ง
ยิ่ง “มาร์ค” ดันทุรัง..คนที่หวังดี และ พรรคที่ให้แจ้งเกิดบนพรรคการเมือง ก็พลอยจะดับ
ได้ “อภิสิทธิ์ชน”มาตลอด..ยามนี้ควรเอาพรรครอด..ตัวเองเป็นจุดบอด อย่างแรงเลยนะครับ
++++++++++++++++++++++++++++++++
ฆ่าตัดตอน
ก้อเพิ่งรู้ นอกจาก ขบวนการค้ายาเสพติดแล้ว..ยังมีคนอื่นเดือดร้อน
ทั้งที่พวกเวรตะไล ค้าขายค้าบ้า ยาเสพติด ทำให้ประชาชนตกทุกข์ได้ยาก
เมื่อ “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร” ปราบไม่เว้น จึงได้คะแนนนิยม และเสียงเชียร์กันมาก
พวกค้ายาเสพติด เป็นไอ้นรกที่ชิงหมาเกิด ต้องดับชีพเสียให้เสร็จสรรพ
ไปปกป้องเอาไว้...อยากเห็นลูกหลานไทย..ตกเป็นทาสไอ้ยานรก หรืออย่างไรกันครับ
++++++++++++++++++++++++++++++++
ข่าวล่ามาไว
พูดกันให้เอ็ด ถึงเรื่องที่ว่า “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร” จะกลับเมืองไทย
ว่ากันว่า ในเดือนกันยายนต้นเดือนหน้า “ทักษิณ”จะเลิกเป็นนกขมิ้นเหลืองอ่อน นอนอยู่ที่เมืองดูไบ กันแล้ว
ถ้ากลับเมืองไทยเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งแจ๋ว
ที่แน่ ๆ ต้องดิ้นกระแด่ว ก็ “พรรคประชาธิปัตย์” ไม่ว่าจะเป็น “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” , “ชวน หลีกภัย”, “สุเทพ เทือกสุบรรณ”, “กรณ์ จาติกวณิช” รู้ข่าวนี้ สมองอาจแตกตาย
“ทักษิณ” อยู่เมืองนอก...ยังไม่มีปัญญาน็อค..ทราบข่าวนี้ต้องพากันช็อคยกใหญ่
ที่มา:ตอดนิดตอดหน่อย โดย.การบูร,บางกอกทูเดย์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ขังเดี่ยว-ขังหมู่ต้องยุติธรรม !!?
ไม่เกินเที่ยงรู้ผลว่าแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ในจำนวน 24 คนที่ถูกศาลเรียกไปไต่สวนเพื่อพิจารณาถอนประกันตัว ใครบ้างจะได้กลับไปนอนบ้าน ใครบ้างที่ต้องเข้าไปนอนในเรือนจำ
ได้กลับบ้านกันทั้งหมดหรือไปนอนเรือนจำกันทั้งหมดก็มีความเป็นไปได้ทั้งนั้น ไม่มีใครสามารถคาดเดาผลการตัดสินได้
ขณะที่ผลไม่อาจคาดเดาได้ ความสงบเรียบร้อย ความอลหม่านวุ่นวายก็ไม่อาจคาดเดาได้เช่นเดียวกัน ศาลและตำรวจจึงประชุมเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์อย่างขมักเขม้น
เหตุที่ต้องแอบหวั่นว่าจะเกิดความวุ่นวายก็เพราะ 24 คนที่ถูกเรียกมาสอบเพื่อพิจารณาถอนประกันล้วนมีแต่แกนนำระดับบิ๊กเนมทั้งสิ้น
นายจตุพร พรหมพันธุ์, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นายก่อแก้ว พิกุลทอง, นายนิสิต สินธุไพร, นายขวัญชัย (สาระคำ) ไพรพนา, นายพงษ์พิเชษฐ์ สุขจินดาทอง, น.พ.เหวง โตจิราการ, นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก, นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง, นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์, นายอดิศร เพียงเกษ, นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท, นายพายัพ ปั้นเกตุ, นายวิเชียร ขาวขำ, นายอารี ไกรนรา, นายสุขเสก พลซื่อ, นายสุรชัย เทวรัตน์, นายรชต วงศ์ยอด, นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์
จำเลยที่เป็น ส.ส. 4 คนประกอบด้วย นายก่อแก้ว นพ.เหวง นายณัฐวุฒิ และนายวิภูแถลง ตัดสินใจไม่ใช้เอกสิทธิ์คุ้มครองการเป็น ส.ส. ขอเดินทางมาร่วมการไต่สวนพร้อมแกนนำคนอื่นๆ
คนเหล่านี้มีแฟนคลับ มีคนรักที่ติดตามเชียร์จำนวนมาก จึงไม่แปลกที่ศาลจะแอบหวั่นว่าจะเกิดความวุ่นวายหากผลออกมาไม่ตรงใจผู้สนับสนุน
ตำรวจประเมินว่าจะมีคนมาให้กำลังใจแกนนำราว 3,000 คน จึงออกมาตรการห้ามเข้าในเขตรั้วศาล ห้ามปิดทางเข้าออก ห้ามใช้เครื่องขยายเสียง ฯลฯ
ผู้ฝ่าฝืนมีข้อหาละเมิดอำนาจศาล ซึ่งมีโทษจำคุก 6 เดือน
นายทวี ประจวบลาภ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ระบุว่า องค์คณะผู้พิพากษาที่จะออกนั่งบัลลังก์พิจารณาเป็นชุดเดิมที่ดูแลคดีก่อการร้ายมาตั้งแต่ต้น โดยจะสอบถามจำเลยแต่ละคนว่าได้ทำผิดเงื่อนไขปล่อยตัวชั่วคราวตามข้อมูลที่ได้จากฝ่ายผู้ร้องหรือไม่ โดยจะซักถามไปเรื่อยๆ และให้จำเลยตอบชี้แจงกระทั่งได้ข้อเท็จจริงและรายละเอียดพอสมควรที่จะตัดสินได้ ซึ่งจะรู้ผลทันทีหลังการไต่สวนจบสิ้นลง แต่หากผู้พิพากษาเห็นว่ามีข้อเท็จจริงที่ต้องพิจารณาเพิ่มอาจนัดมาฟังคำสั่งภายหลัง
“ศาลได้ประชุมหารือร่วมกับตำรวจและเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เพื่อเตรียมความพร้อมไว้สำหรับกรณีที่ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการประกันตัวแกนนำ นปช. บางราย โดยจะส่งตัวไปยังเรือนจำกลางพิเศษกรุงเทพด้วยความรวดเร็ว ปลอดภัยที่สุด และไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน”
“คดีนี้ศาลไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยตั้งแต่ต้น แต่มีการยื่นคำร้องขอปล่อยตัวต่อเนื่อง จนที่สุดศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว หากศาลจะมีคำสั่งเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยก็มีสิทธิที่จะยื่นขอประกันตัวใหม่ได้ ปัญหาอยู่ที่ว่าการจะขอปล่อยตัวชั่วคราวจะมีเหตุผลอะไรที่จะทำให้ศาลเชื่อได้ว่าจะไม่ไปกระทำการฝ่าฝืนคำสั่งศาลอีก”
“หากศาลมีคำสั่งเพิกถอนปล่อยตัวจำเลยช่วงเช้าก็จะส่งตัวจำเลยเข้าเรือนจำทันที ขณะเดียวกันช่วงบ่ายจำเลยสามารถยื่นขอปล่อยตัวได้ทันที แต่จะได้หรือไม่เป็นดุลยพินิจของศาล หรือจะรอทอดเวลาไป 1 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน ค่อยมายื่นใหม่ เป็นหน้าที่ของทนายจำเลย”
คำพูดของอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาสะท้อนให้เห็นถึงความวิตกกังวลว่าจะเกิดความวุ่นวาย อันเป็นความวุ่นวายที่เกิดจากผลการพิจารณา
ความจริงเรื่องละเมิดข้อกำหนดปล่อยตัวชั่วคราวหรือไม่เป็นเรื่องของพฤติกรรมจำเลย และเป็นเรื่องการใช้ดุลยพินิจของผู้พิพากษา
ถ้าตรงไปตรงมาไม่จำเป็นต้องกังวลต่อผลที่จะตามมา
เหตุแห่งความกังวลน่าจะเป็นผลมาจากความรู้สึก “สองมาตรฐาน” ที่ฝังลึกอยู่ในใจของคนเสื้อแดง
แน่นอนว่าในฝั่งของศาลยืนยันหนักแน่นชัดเจนมาตลอดว่า “ตัดสินตามเนื้อผ้า ผิดว่าตามผิด ถูกว่าตามถูก ไม่มีธง ไม่มีใบสั่ง”
แต่กระบวนการตุลาการภิวัฒน์ในช่วงที่ผ่านมาได้บั่นทอนความเชื่อในความ “เป็นธรรม เป็นกลาง”ของฝ่ายตุลาการลงไปมากทีเดียว
ไม่ว่าผลการตัดสินครั้งนี้จะออกมาอย่างไร
ขังหมู่ ขังเดี่ยว หรือปล่อยหมด
ก็ไม่เท่ากับความเป็นธรรม เป็นกลาง ตรงไป ตรงมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมองเปรียบเทียบไปทางฝั่งของคนอีกสีเสื้อหนึ่งที่มีคดีร้ายแรงติดตัว และมีพฤติกรรมที่ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
หากผลการตัดสินทำให้รู้สึกถึงความ “เป็นธรรม เป็นกลาง” ได้
ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีความวุ่นวาย
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ได้กลับบ้านกันทั้งหมดหรือไปนอนเรือนจำกันทั้งหมดก็มีความเป็นไปได้ทั้งนั้น ไม่มีใครสามารถคาดเดาผลการตัดสินได้
ขณะที่ผลไม่อาจคาดเดาได้ ความสงบเรียบร้อย ความอลหม่านวุ่นวายก็ไม่อาจคาดเดาได้เช่นเดียวกัน ศาลและตำรวจจึงประชุมเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์อย่างขมักเขม้น
เหตุที่ต้องแอบหวั่นว่าจะเกิดความวุ่นวายก็เพราะ 24 คนที่ถูกเรียกมาสอบเพื่อพิจารณาถอนประกันล้วนมีแต่แกนนำระดับบิ๊กเนมทั้งสิ้น
นายจตุพร พรหมพันธุ์, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นายก่อแก้ว พิกุลทอง, นายนิสิต สินธุไพร, นายขวัญชัย (สาระคำ) ไพรพนา, นายพงษ์พิเชษฐ์ สุขจินดาทอง, น.พ.เหวง โตจิราการ, นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก, นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง, นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์, นายอดิศร เพียงเกษ, นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท, นายพายัพ ปั้นเกตุ, นายวิเชียร ขาวขำ, นายอารี ไกรนรา, นายสุขเสก พลซื่อ, นายสุรชัย เทวรัตน์, นายรชต วงศ์ยอด, นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์
จำเลยที่เป็น ส.ส. 4 คนประกอบด้วย นายก่อแก้ว นพ.เหวง นายณัฐวุฒิ และนายวิภูแถลง ตัดสินใจไม่ใช้เอกสิทธิ์คุ้มครองการเป็น ส.ส. ขอเดินทางมาร่วมการไต่สวนพร้อมแกนนำคนอื่นๆ
คนเหล่านี้มีแฟนคลับ มีคนรักที่ติดตามเชียร์จำนวนมาก จึงไม่แปลกที่ศาลจะแอบหวั่นว่าจะเกิดความวุ่นวายหากผลออกมาไม่ตรงใจผู้สนับสนุน
ตำรวจประเมินว่าจะมีคนมาให้กำลังใจแกนนำราว 3,000 คน จึงออกมาตรการห้ามเข้าในเขตรั้วศาล ห้ามปิดทางเข้าออก ห้ามใช้เครื่องขยายเสียง ฯลฯ
ผู้ฝ่าฝืนมีข้อหาละเมิดอำนาจศาล ซึ่งมีโทษจำคุก 6 เดือน
นายทวี ประจวบลาภ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ระบุว่า องค์คณะผู้พิพากษาที่จะออกนั่งบัลลังก์พิจารณาเป็นชุดเดิมที่ดูแลคดีก่อการร้ายมาตั้งแต่ต้น โดยจะสอบถามจำเลยแต่ละคนว่าได้ทำผิดเงื่อนไขปล่อยตัวชั่วคราวตามข้อมูลที่ได้จากฝ่ายผู้ร้องหรือไม่ โดยจะซักถามไปเรื่อยๆ และให้จำเลยตอบชี้แจงกระทั่งได้ข้อเท็จจริงและรายละเอียดพอสมควรที่จะตัดสินได้ ซึ่งจะรู้ผลทันทีหลังการไต่สวนจบสิ้นลง แต่หากผู้พิพากษาเห็นว่ามีข้อเท็จจริงที่ต้องพิจารณาเพิ่มอาจนัดมาฟังคำสั่งภายหลัง
“ศาลได้ประชุมหารือร่วมกับตำรวจและเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เพื่อเตรียมความพร้อมไว้สำหรับกรณีที่ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการประกันตัวแกนนำ นปช. บางราย โดยจะส่งตัวไปยังเรือนจำกลางพิเศษกรุงเทพด้วยความรวดเร็ว ปลอดภัยที่สุด และไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน”
“คดีนี้ศาลไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยตั้งแต่ต้น แต่มีการยื่นคำร้องขอปล่อยตัวต่อเนื่อง จนที่สุดศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว หากศาลจะมีคำสั่งเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยก็มีสิทธิที่จะยื่นขอประกันตัวใหม่ได้ ปัญหาอยู่ที่ว่าการจะขอปล่อยตัวชั่วคราวจะมีเหตุผลอะไรที่จะทำให้ศาลเชื่อได้ว่าจะไม่ไปกระทำการฝ่าฝืนคำสั่งศาลอีก”
“หากศาลมีคำสั่งเพิกถอนปล่อยตัวจำเลยช่วงเช้าก็จะส่งตัวจำเลยเข้าเรือนจำทันที ขณะเดียวกันช่วงบ่ายจำเลยสามารถยื่นขอปล่อยตัวได้ทันที แต่จะได้หรือไม่เป็นดุลยพินิจของศาล หรือจะรอทอดเวลาไป 1 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน ค่อยมายื่นใหม่ เป็นหน้าที่ของทนายจำเลย”
คำพูดของอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาสะท้อนให้เห็นถึงความวิตกกังวลว่าจะเกิดความวุ่นวาย อันเป็นความวุ่นวายที่เกิดจากผลการพิจารณา
ความจริงเรื่องละเมิดข้อกำหนดปล่อยตัวชั่วคราวหรือไม่เป็นเรื่องของพฤติกรรมจำเลย และเป็นเรื่องการใช้ดุลยพินิจของผู้พิพากษา
ถ้าตรงไปตรงมาไม่จำเป็นต้องกังวลต่อผลที่จะตามมา
เหตุแห่งความกังวลน่าจะเป็นผลมาจากความรู้สึก “สองมาตรฐาน” ที่ฝังลึกอยู่ในใจของคนเสื้อแดง
แน่นอนว่าในฝั่งของศาลยืนยันหนักแน่นชัดเจนมาตลอดว่า “ตัดสินตามเนื้อผ้า ผิดว่าตามผิด ถูกว่าตามถูก ไม่มีธง ไม่มีใบสั่ง”
แต่กระบวนการตุลาการภิวัฒน์ในช่วงที่ผ่านมาได้บั่นทอนความเชื่อในความ “เป็นธรรม เป็นกลาง”ของฝ่ายตุลาการลงไปมากทีเดียว
ไม่ว่าผลการตัดสินครั้งนี้จะออกมาอย่างไร
ขังหมู่ ขังเดี่ยว หรือปล่อยหมด
ก็ไม่เท่ากับความเป็นธรรม เป็นกลาง ตรงไป ตรงมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมองเปรียบเทียบไปทางฝั่งของคนอีกสีเสื้อหนึ่งที่มีคดีร้ายแรงติดตัว และมีพฤติกรรมที่ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
หากผลการตัดสินทำให้รู้สึกถึงความ “เป็นธรรม เป็นกลาง” ได้
ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีความวุ่นวาย
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันพุธที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2555
ภาวะชะงักงันในประชาธิปัตย์ !!?
การอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะพรรคแกนนำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรเร่งเครื่องห้อตะบึง ขู่เช้าขู่เย็นว่ายื่นแน่ทันทีที่เปิดสมัยประชุมสภาวันที่ 1 ส.ค.
แต่เอาเข้าจริงกลับเกิดภาวะ “ชะงักงัน” จนต้องถอนเท้าออกจากคันเร่ง
ความชะงักงันในการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นความชะงักงันที่เกิดขึ้นภายในพรรคประชาธิปัตย์เอง
ชัดเจนว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำพรรคฝ่ายค้านที่มีเสียง ส.ส. มากพอในการเข้าชื่อขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจแต่เพียงพรรคเดียวได้ ไม่ต้องง้อพรรคฝ่ายค้านอื่นที่มีอยู่แค่พรรคละเสียงสองเสียง
เมื่อเดินหน้าด้วยตัวเองแต่พรรคเดียวได้ เหตุใดจึงเกิดความละล้าละลัง เกิดความชะงักงัน ไม่ดุดันอย่างที่ฉายหนังตัวอย่างเอาไว้
จากที่จะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจทันทีที่เปิดสมัยประชุมสภา เลื่อนออกไปเป็นการยื่นญัตติหลังจากสภาพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2556 ผ่านวาระ 3 ไปแล้ว
ซึ่งน่าจะใช้เวลาอีก 2 สัปดาห์
จากที่จะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจทันทีที่เปิดสมัยประชุมสภา เลื่อนออกไปเป็นการยื่นญัตติหลังจากที่รัฐบาลแถลงผลงานครบรอบ 1 ปีแล้ว
ซึ่งน่าจะมีขึ้นช่วงปลายเดือนสิงหาคม
เมื่อปฏิทินเดือนสิงหาคมถูกฉีก ก็ยังไม่มีความแน่ชัดว่าจะมีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจในเดือนกันยายนเลยหรือไม่
เป็นความไม่แน่ชัดจากปากคำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีตำแหน่งเป็นผู้นำพรรคฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรเองที่บอกว่า “ไม่รีบ”
ไม่รีบเพราะสมัยประชุมสภายังเปิดยาวไปถึงเดือนธันวาคม
ไม่รีบเพราะต้องการใช้เวลารวบรวมข้อมูลที่จะใช้อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีเพิ่มเติมจากที่มีอยู่
หากฟังจากคำพูดของนายอภิสิทธิ์ ความ “ชะงักงัน” เกิดจากความไม่พร้อมในเรื่องของข้อมูล
นอกเหนือจากความไม่พร้อมของข้อมูลแล้ว ยังน่าจะมีเรื่องอารมณ์ความรู้สึกของประชาชนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
อย่างที่ทราบกันว่ากรุงเทพโพลล์ ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ สำรวจการทำงานครบรอบ 1 ปีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ประชาชนให้สอบผ่าน 5.31 จากคะแนนเต็ม 10 และ 70.4% ต้องการให้ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีต่อไป
ต่างจาการทำหน้าที่ของพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะพรรคฝ่ายค้านที่ได้คะแนนเพียง 3.55 ซึ่งเป็นคะแนนในระดับ “สอบตก”
หากย้อนดูการทำงานของพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะพรรคการเมืองฝ่ายค้านในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา อาจทำให้ไม่ประหลาดใจกับผลคะแนนที่ได้รับ เมื่อพบว่า “ผลงาน” โดดเด่นน้อยกว่า “โวหาร” และ “วาทกรรม”
งานในฐานะพรรคการเมืองฝ่ายค้านไม่สามารถจับต้องเป็นชิ้นเป็นอันได้
คงมีเพียงแต่ “โวหาร” และ “วาทกรรม” ที่คอยประดิษฐ์ขึ้นมาจิกกัดรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการตามจิกกัด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะผู้นำรัฐบาล
ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ที่ส่วนใหญ่เป็นคนใกล้ชิดนายอภิสิทธิ์ สลับสับเปลี่ยนกันออกมาโจมตีนายกรัฐมนตรีในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับงานหลายเรื่อง
“เปลี่ยนชุดบ่อย-เดินแฟชั่นมากกว่าทำงาน-เป็นพริตตี้รัฐบาลไม่ใช่นายกฯ-พูดภาษาอังกฤษห่วย”
ส่วนเนื้องานที่เป็นเรื่องเป็นราวก็สวนทางกับความรู้สึกของประชาชนเสียเป็นส่วนใหญ่ เช่น ยื่นตีความ พ.ร.ก.กู้เงินเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม ทั้งที่เป็นเรื่องเร่งด่วน
คัดค้านนาซ่าไม่ให้เข้ามาใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็นฐานปฏิบัติการบินสำรวจสภาพอากาศ
คัดค้านร่าง พ.ร.บ.ปรองดองอย่างสุดโต่งด้วยการโห่ฮาในสภา กระทั่งขึ้นไปกระชากตัวประธานลงจากบัลลังก์ ลากเก้าอี้ประธานสภาหนี ขว้างปาหนังสือ เอกสารว่อนห้องประชุม
คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการ คมช. โดยยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่าล้มล้างการปกครองหรือไม่
การคัดค้านทุกเรื่องเอาไปผูกโยงกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังและจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์
เป็นการก้าวไม่พ้น พ.ต.ท.ทักษิณที่ทำให้ประชาชนเบื่อหน่าย
ยังไม่นับรวมการแสดงออกของของนายอภิสิทธิ์ที่ล้อเลียนเสียงจ่าประสิทธิ์ ไชยศรีษะ และสวมเสื้อแดงขึ้นเวทีปราศรัย จนมีคนไล่ให้ไปพบจิตแพทย์เพราะสงสัยว่าสภาวะจิตใจยังปรกติดีอยู่หรือไม่
ทั้งหมดคือผลงานในรอบ 1 ปีของพรรคประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ ในฐานะพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ในฐานะผู้นำพรรคฝ่ายค้าน
ผลงานในรอบ 1 ปีอันเป็นผลให้ได้คะแนนเพียง 3.55 จากเต็ม 10
เมื่อข้อมูลไม่พร้อม ประชาชนไม่มีอารมณ์ร่วม คนในพรรคเดียวกันเองเริ่มตั้งคำถามกับผู้นำพรรค เริ่มไม่ไว้วางใจในตัวหัวหน้าว่าจะพาพรรคตกต่ำ เข้ารกเข้าพงไปมากกว่านี้หรือไม่
จึงเป็นที่มาของภาวะ “ชะงักงัน”
“ชะงักงัน” เพราะความไม่พร้อม
“ชะงักงัน”เพราะความมั่นใจที่มีให้นายอภิสิทธิ์ลดน้อยถอยลง
นี่อาจเป็นความ “ชะงักงัน” เพื่อรอให้เกิดความเปลี่ยนแปลงการนำจากนายอภิสิทธิ์ไปเป็นคนอื่นก็เป็นได้
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
แต่เอาเข้าจริงกลับเกิดภาวะ “ชะงักงัน” จนต้องถอนเท้าออกจากคันเร่ง
ความชะงักงันในการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นความชะงักงันที่เกิดขึ้นภายในพรรคประชาธิปัตย์เอง
ชัดเจนว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำพรรคฝ่ายค้านที่มีเสียง ส.ส. มากพอในการเข้าชื่อขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจแต่เพียงพรรคเดียวได้ ไม่ต้องง้อพรรคฝ่ายค้านอื่นที่มีอยู่แค่พรรคละเสียงสองเสียง
เมื่อเดินหน้าด้วยตัวเองแต่พรรคเดียวได้ เหตุใดจึงเกิดความละล้าละลัง เกิดความชะงักงัน ไม่ดุดันอย่างที่ฉายหนังตัวอย่างเอาไว้
จากที่จะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจทันทีที่เปิดสมัยประชุมสภา เลื่อนออกไปเป็นการยื่นญัตติหลังจากสภาพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2556 ผ่านวาระ 3 ไปแล้ว
ซึ่งน่าจะใช้เวลาอีก 2 สัปดาห์
จากที่จะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจทันทีที่เปิดสมัยประชุมสภา เลื่อนออกไปเป็นการยื่นญัตติหลังจากที่รัฐบาลแถลงผลงานครบรอบ 1 ปีแล้ว
ซึ่งน่าจะมีขึ้นช่วงปลายเดือนสิงหาคม
เมื่อปฏิทินเดือนสิงหาคมถูกฉีก ก็ยังไม่มีความแน่ชัดว่าจะมีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจในเดือนกันยายนเลยหรือไม่
เป็นความไม่แน่ชัดจากปากคำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีตำแหน่งเป็นผู้นำพรรคฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรเองที่บอกว่า “ไม่รีบ”
ไม่รีบเพราะสมัยประชุมสภายังเปิดยาวไปถึงเดือนธันวาคม
ไม่รีบเพราะต้องการใช้เวลารวบรวมข้อมูลที่จะใช้อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีเพิ่มเติมจากที่มีอยู่
หากฟังจากคำพูดของนายอภิสิทธิ์ ความ “ชะงักงัน” เกิดจากความไม่พร้อมในเรื่องของข้อมูล
นอกเหนือจากความไม่พร้อมของข้อมูลแล้ว ยังน่าจะมีเรื่องอารมณ์ความรู้สึกของประชาชนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
อย่างที่ทราบกันว่ากรุงเทพโพลล์ ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ สำรวจการทำงานครบรอบ 1 ปีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ประชาชนให้สอบผ่าน 5.31 จากคะแนนเต็ม 10 และ 70.4% ต้องการให้ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีต่อไป
ต่างจาการทำหน้าที่ของพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะพรรคฝ่ายค้านที่ได้คะแนนเพียง 3.55 ซึ่งเป็นคะแนนในระดับ “สอบตก”
หากย้อนดูการทำงานของพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะพรรคการเมืองฝ่ายค้านในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา อาจทำให้ไม่ประหลาดใจกับผลคะแนนที่ได้รับ เมื่อพบว่า “ผลงาน” โดดเด่นน้อยกว่า “โวหาร” และ “วาทกรรม”
งานในฐานะพรรคการเมืองฝ่ายค้านไม่สามารถจับต้องเป็นชิ้นเป็นอันได้
คงมีเพียงแต่ “โวหาร” และ “วาทกรรม” ที่คอยประดิษฐ์ขึ้นมาจิกกัดรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการตามจิกกัด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะผู้นำรัฐบาล
ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ที่ส่วนใหญ่เป็นคนใกล้ชิดนายอภิสิทธิ์ สลับสับเปลี่ยนกันออกมาโจมตีนายกรัฐมนตรีในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับงานหลายเรื่อง
“เปลี่ยนชุดบ่อย-เดินแฟชั่นมากกว่าทำงาน-เป็นพริตตี้รัฐบาลไม่ใช่นายกฯ-พูดภาษาอังกฤษห่วย”
ส่วนเนื้องานที่เป็นเรื่องเป็นราวก็สวนทางกับความรู้สึกของประชาชนเสียเป็นส่วนใหญ่ เช่น ยื่นตีความ พ.ร.ก.กู้เงินเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม ทั้งที่เป็นเรื่องเร่งด่วน
คัดค้านนาซ่าไม่ให้เข้ามาใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็นฐานปฏิบัติการบินสำรวจสภาพอากาศ
คัดค้านร่าง พ.ร.บ.ปรองดองอย่างสุดโต่งด้วยการโห่ฮาในสภา กระทั่งขึ้นไปกระชากตัวประธานลงจากบัลลังก์ ลากเก้าอี้ประธานสภาหนี ขว้างปาหนังสือ เอกสารว่อนห้องประชุม
คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการ คมช. โดยยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่าล้มล้างการปกครองหรือไม่
การคัดค้านทุกเรื่องเอาไปผูกโยงกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังและจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์
เป็นการก้าวไม่พ้น พ.ต.ท.ทักษิณที่ทำให้ประชาชนเบื่อหน่าย
ยังไม่นับรวมการแสดงออกของของนายอภิสิทธิ์ที่ล้อเลียนเสียงจ่าประสิทธิ์ ไชยศรีษะ และสวมเสื้อแดงขึ้นเวทีปราศรัย จนมีคนไล่ให้ไปพบจิตแพทย์เพราะสงสัยว่าสภาวะจิตใจยังปรกติดีอยู่หรือไม่
ทั้งหมดคือผลงานในรอบ 1 ปีของพรรคประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ ในฐานะพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ในฐานะผู้นำพรรคฝ่ายค้าน
ผลงานในรอบ 1 ปีอันเป็นผลให้ได้คะแนนเพียง 3.55 จากเต็ม 10
เมื่อข้อมูลไม่พร้อม ประชาชนไม่มีอารมณ์ร่วม คนในพรรคเดียวกันเองเริ่มตั้งคำถามกับผู้นำพรรค เริ่มไม่ไว้วางใจในตัวหัวหน้าว่าจะพาพรรคตกต่ำ เข้ารกเข้าพงไปมากกว่านี้หรือไม่
จึงเป็นที่มาของภาวะ “ชะงักงัน”
“ชะงักงัน” เพราะความไม่พร้อม
“ชะงักงัน”เพราะความมั่นใจที่มีให้นายอภิสิทธิ์ลดน้อยถอยลง
นี่อาจเป็นความ “ชะงักงัน” เพื่อรอให้เกิดความเปลี่ยนแปลงการนำจากนายอภิสิทธิ์ไปเป็นคนอื่นก็เป็นได้
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
นักสันติวิธีชี้แสงสว่างปรองดอง !!?
กระบวนการปรองดองเป็นกระบวน การที่ต้องอาศัยเวลา ความอดทน และ การมีส่วนร่วมจากทุกฝ่ายและทุกภาคส่วนในประเทศ การดำเนินการใดๆ ของ ผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยพยายามที่จะรวบรัดหรือเร่งรัดกระบวนการปรองดองนั้น เป็นการกระทำที่ไม่เอื้อต่อบรรยากาศของการปรองดอง
นับเนื่องมาจนถึงวันนี้ คำว่า “ปรองดอง”..ยังเป็นเหมือนภาพฝันในอากาศ คำพูดที่สวยหรู แต่ขาดความเป็นรูปธรรม.. จนสงสัยว่า..เมื่อไหนคนไทยจะรักกันเสียทีมีนักวิชาการหลายท่านกล่าวว่า ความเห็นที่แต่ต่างทางการเมือง คือวิถีของ ประชาธิปไตย แต่ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าประชาธิปไตยบ้านเราทำไมถึงกลายเป็นความแตกแยก..ชนิดร้าวลึก!!
“ดร.ชาญชัย ชัยสุขโกศล” จากสถาบันสิทธิมนุษยชน และสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายถึงพลวัตของการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองว่า ทุกๆ การ เปลี่ยนผ่านทางสังคมการเมืองจะเกิดขึ้นในลักษณะที่สังคมการเมืองเผชิญกับความ แตกแยกร้าวลึกกินวงกว้างระดับประเทศ มีกลุ่มความคิดทางการเมืองสองกลุ่มที่ไม่สามารถเห็นพ้องต้องกันได้ในประเด็น พื้นฐานทางการเมืองปกติที่มีอยู่ เช่น การ ตัดสินโดยเสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภา
ในขณะเดียวกันก็มีการใช้วิธีการต่างๆ เพื่อกำราบฝ่ายที่ได้ชัยชนะ เช่น การ เดินขบวนเคลื่อนไหวมวลชน หรือแทรกแซง ทางการเมืองรูปแบบอื่น เป็นต้น
“ในสถานการณ์ปัจจุบันฝ่ายเสื้อเหลืองและฝ่ายเสื้อแดงนั้นมีความคิดกันคนละแบบ ในขณะที่ต่างฝ่ายต่างก็มีจุดอ่อน โดยแนวคิดของเสื้อเหลือง มีลักษณะ คล้ายรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่ประชาชนไม่มี ส่วนร่วม แม้จะมีเสรีภาพแต่อำนาจการตรวจสอบไม่ได้อยู่ที่ประชาชน ในขณะที่ฝ่ายเสื้อแดงในระดับหนึ่งคล้ายคลึงกับรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ทำให้เสรีนิยมหายไปโดยมีประชาธิปไตยเข้ามาแทรกแซง ดังนั้นอาจสรุปได้ว่า ประชาธิปไตยขณะนี้ เป็นประชาธิปไตยที่ไม่เสรีและไม่มีประชาชน อยู่ร่วมด้วย”
ปรากฏการณ์เหล่านี้บ่งชี้ว่า สัญญา ประชาคมที่เคยกำกับความสัมพันธ์ของแต่ละฝ่ายนั้นในช่วงที่ผ่านมาไม่สามารถใช้การได้ และจำเป็นต้องมีการสร้างขึ้นมา ใหม่ เพื่อให้ทุกฝ่ายรู้สึกถึงความมั่นคงแน่นอนและคาดการณ์ได้ระดับหนึ่งว่า ใครควรทำอะไร มีขอบเขตเพียงใด หรือใครควรตอบสนองใครในเรื่องใดเพียงใด โดยอาศัยเวทีร่วมที่เป็นพื้นที่กลาง ซึ่งมีทั้งอำนาจหน้าที่ ที่ชอบธรรมเพียงพอที่จะ ตัดสินใจเกี่ยวกับรูปแบบและลักษณะการอยู่ร่วมกันของเราทุกฝ่ายในอนาคต และเป็นพื้นที่ที่รวมทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับความ ขัดแย้ง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายที่ต้องการเปลี่ยนแปลง ฝ่ายที่ต้องการคงสภาพเดิมหรือฝ่าย อื่นๆ ด้วย โดยไม่มีการครอบงำจากฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งมากเกินไป เพื่อให้ทุกฝ่ายสามารถ เสนอวาระเนื้อหาของตนเองได้เต็มที่
“สิ่งสำคัญประการหนึ่งที่ต้องทำ คือ การฟื้นฟูและสร้างความไว้วางใจขึ้นมาใหม่ ให้ได้ โดยแต่ละฝ่ายจำเป็นจะต้องยอมเสี่ยง เพื่อที่จะสร้างความสัมพันธ์ชนิดใหม่ กับผู้ที่เลิกไว้วางใจไปแล้ว” ดร.ชาญชัย กล่าว และว่าแม้กระบวนการดังกล่าวนี้ไม่ง่าย เต็มไปด้วยอุปสรรคและอาจถูก “ป่วน” ได้ตลอดเวลาจากการขัดแย้งกันในเชิงสิทธิอำนาจ และผลประโยชน์ของแต่ละฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นต้องอาศัยเวลา และความอดทนมุ่งมั่น และประคับประคอง กระบวนการทั้งหมดนี้ให้เป็นไปอย่างสืบเนื่อง”
ขณะที่ “รศ.ดร.โคทม อารียา” ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวเกี่ยวกับสัญญาประชาคมว่า การที่คนในสังคมเห็นพ้องต้องกันในเรื่องหนึ่งเรื่องใด นั่นเสมือนว่า เรามีคำสัญญาว่าเราจะอยู่ร่วมกันได้ ในกรอบดังกล่าว โดยอาจจะทำเป็นลายลักษณ์ อักษรหรือไม่ก็ได้
“สำหรับประเทศไทยแล้ว คำว่าสัญญาประชาคมในความหมายของตะวันตก เราไม่ได้ให้ความสำคัญกันมาก แต่เราก็อยู่กันได้ในประวัติศาสตร์มา 700 กว่าปีแล้ว นั่นคือที่ผ่านมาเรามีอะไรบางอย่างที่สามารถยึดเหนี่ยวสังคมนี้ร่วมกัน ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้แปลว่า เราไม่มีปัญหา โดยมองว่าขณะนี้เรามัวแต่ทะเลาะ กันมากเกินไป และมีความเสี่ยงที่จะเข่นฆ่า กันอีก ทั้งในถนนของกรุงเทพฯ และ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สะท้อนว่าความแน่นแฟ้นกลมเกลียวกันในสังคมของเราขณะนี้เปราะบางมาก”
สังคมขณะนี้มองเห็นแต่ความแตกต่าง และมองข้ามสิ่งที่คิดเหมือนกัน เช่น ไม่มีใครเถียง คำว่า “ประชาธิปไตย” แต่เราเถียงกันในรายละเอียด เช่น ประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งไม่ดีชวนให้คนทะเลาะกัน ซึ่งในลักษณะเช่นนี้ก็ต้องมาคุยกัน เพื่อสร้างข้อตกลงภายใต้กรอบประชาธิปไตย โดยตัดความระแวงกันว่า ฝ่ายหนึ่งจะล้มล้างประชาธิปไตย หรือล้มเจ้า
ทั้งนี้ รศ.ดร.โคทม กล่าวถึงงาน วิจัยของ ดร.ชาญชัยด้วยว่า จะมีการนำไป เผยแพร่ต่อ พร้อมจะสร้างพลังในทางปฏิบัติที่จะมาช่วยสนับสนุนแนวคิดที่จะสร้างประชาคมใหม่ แนวคิดที่จะเห็นร่วมและผลักดันให้เกิดเพื่อที่จะก้าวข้ามความขัดแย้งที่รุนแรงไปได้
เมื่อถามถึงวิธีการที่จะทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ได้นั้น รศ.ดร.โคทม กล่าวว่า ต้องเริ่มในทางความคิดผ่านนักวิชาการ ต่อมา คือเริ่มในทางปฏิบัติบางอย่างผ่านนักกิจกรรม โดยอาศัยสื่อมวลชนในการช่วยสร้างกระแสในสังคม ที่จะช่วยนำไปสู่การ มีปณิธานทางการเมือง โดยผ่านกระบวนการ จัดเสวนาในระดับรากหญ้าว่า อะไรที่เราเห็นพ้องกันในหลักการสำคัญ เพื่อให้เห็นภาพอนาคตที่พึงปรารถนาของสังคม ขณะเดียวกันคนข้างบนระดับผู้นำก็ต้องมาทำความเข้าใจกับปัญหาที่ค้างอยู่ ที่ทำให้บรรยากาศของความเข้าใจกันไม่เกิดขึ้นจนกลายเป็นบรรยากาศของความ หวาดระแวง ไม่ไว้วางใจ เอาเปรียบ มีการ แข่งขันกันตลอดเวลา ซึ่งถ้ามีการพูดคุยกันทั้งสองระดับแล้วก็เชื่อว่าจะทำให้เกิดความเห็นพ้องกันได้ และทำให้เกิดสิ่งที่เรา เรียกว่า สัญญาประชาคมใหม่
ปรากฏการณ์ในแนวทางใหม่ของ การเมืองที่เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้นน่าจะเป็นวิถีของประชาธิปไตยที่สวยหรู..หากเรายังดำรงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ง่ายๆ ของความเป็นไทย นั่นคือการให้อภัย..และรู้จักขอโทษซึ่งกันและกัน เชื่อว่าวันนั้นคำว่า “ปรองดอง”..คงไม่ไกลเกินเอื้อม!!..
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นับเนื่องมาจนถึงวันนี้ คำว่า “ปรองดอง”..ยังเป็นเหมือนภาพฝันในอากาศ คำพูดที่สวยหรู แต่ขาดความเป็นรูปธรรม.. จนสงสัยว่า..เมื่อไหนคนไทยจะรักกันเสียทีมีนักวิชาการหลายท่านกล่าวว่า ความเห็นที่แต่ต่างทางการเมือง คือวิถีของ ประชาธิปไตย แต่ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าประชาธิปไตยบ้านเราทำไมถึงกลายเป็นความแตกแยก..ชนิดร้าวลึก!!
“ดร.ชาญชัย ชัยสุขโกศล” จากสถาบันสิทธิมนุษยชน และสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายถึงพลวัตของการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองว่า ทุกๆ การ เปลี่ยนผ่านทางสังคมการเมืองจะเกิดขึ้นในลักษณะที่สังคมการเมืองเผชิญกับความ แตกแยกร้าวลึกกินวงกว้างระดับประเทศ มีกลุ่มความคิดทางการเมืองสองกลุ่มที่ไม่สามารถเห็นพ้องต้องกันได้ในประเด็น พื้นฐานทางการเมืองปกติที่มีอยู่ เช่น การ ตัดสินโดยเสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภา
ในขณะเดียวกันก็มีการใช้วิธีการต่างๆ เพื่อกำราบฝ่ายที่ได้ชัยชนะ เช่น การ เดินขบวนเคลื่อนไหวมวลชน หรือแทรกแซง ทางการเมืองรูปแบบอื่น เป็นต้น
“ในสถานการณ์ปัจจุบันฝ่ายเสื้อเหลืองและฝ่ายเสื้อแดงนั้นมีความคิดกันคนละแบบ ในขณะที่ต่างฝ่ายต่างก็มีจุดอ่อน โดยแนวคิดของเสื้อเหลือง มีลักษณะ คล้ายรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่ประชาชนไม่มี ส่วนร่วม แม้จะมีเสรีภาพแต่อำนาจการตรวจสอบไม่ได้อยู่ที่ประชาชน ในขณะที่ฝ่ายเสื้อแดงในระดับหนึ่งคล้ายคลึงกับรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่ทำให้เสรีนิยมหายไปโดยมีประชาธิปไตยเข้ามาแทรกแซง ดังนั้นอาจสรุปได้ว่า ประชาธิปไตยขณะนี้ เป็นประชาธิปไตยที่ไม่เสรีและไม่มีประชาชน อยู่ร่วมด้วย”
ปรากฏการณ์เหล่านี้บ่งชี้ว่า สัญญา ประชาคมที่เคยกำกับความสัมพันธ์ของแต่ละฝ่ายนั้นในช่วงที่ผ่านมาไม่สามารถใช้การได้ และจำเป็นต้องมีการสร้างขึ้นมา ใหม่ เพื่อให้ทุกฝ่ายรู้สึกถึงความมั่นคงแน่นอนและคาดการณ์ได้ระดับหนึ่งว่า ใครควรทำอะไร มีขอบเขตเพียงใด หรือใครควรตอบสนองใครในเรื่องใดเพียงใด โดยอาศัยเวทีร่วมที่เป็นพื้นที่กลาง ซึ่งมีทั้งอำนาจหน้าที่ ที่ชอบธรรมเพียงพอที่จะ ตัดสินใจเกี่ยวกับรูปแบบและลักษณะการอยู่ร่วมกันของเราทุกฝ่ายในอนาคต และเป็นพื้นที่ที่รวมทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับความ ขัดแย้ง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายที่ต้องการเปลี่ยนแปลง ฝ่ายที่ต้องการคงสภาพเดิมหรือฝ่าย อื่นๆ ด้วย โดยไม่มีการครอบงำจากฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งมากเกินไป เพื่อให้ทุกฝ่ายสามารถ เสนอวาระเนื้อหาของตนเองได้เต็มที่
“สิ่งสำคัญประการหนึ่งที่ต้องทำ คือ การฟื้นฟูและสร้างความไว้วางใจขึ้นมาใหม่ ให้ได้ โดยแต่ละฝ่ายจำเป็นจะต้องยอมเสี่ยง เพื่อที่จะสร้างความสัมพันธ์ชนิดใหม่ กับผู้ที่เลิกไว้วางใจไปแล้ว” ดร.ชาญชัย กล่าว และว่าแม้กระบวนการดังกล่าวนี้ไม่ง่าย เต็มไปด้วยอุปสรรคและอาจถูก “ป่วน” ได้ตลอดเวลาจากการขัดแย้งกันในเชิงสิทธิอำนาจ และผลประโยชน์ของแต่ละฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นต้องอาศัยเวลา และความอดทนมุ่งมั่น และประคับประคอง กระบวนการทั้งหมดนี้ให้เป็นไปอย่างสืบเนื่อง”
ขณะที่ “รศ.ดร.โคทม อารียา” ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวเกี่ยวกับสัญญาประชาคมว่า การที่คนในสังคมเห็นพ้องต้องกันในเรื่องหนึ่งเรื่องใด นั่นเสมือนว่า เรามีคำสัญญาว่าเราจะอยู่ร่วมกันได้ ในกรอบดังกล่าว โดยอาจจะทำเป็นลายลักษณ์ อักษรหรือไม่ก็ได้
“สำหรับประเทศไทยแล้ว คำว่าสัญญาประชาคมในความหมายของตะวันตก เราไม่ได้ให้ความสำคัญกันมาก แต่เราก็อยู่กันได้ในประวัติศาสตร์มา 700 กว่าปีแล้ว นั่นคือที่ผ่านมาเรามีอะไรบางอย่างที่สามารถยึดเหนี่ยวสังคมนี้ร่วมกัน ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้แปลว่า เราไม่มีปัญหา โดยมองว่าขณะนี้เรามัวแต่ทะเลาะ กันมากเกินไป และมีความเสี่ยงที่จะเข่นฆ่า กันอีก ทั้งในถนนของกรุงเทพฯ และ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สะท้อนว่าความแน่นแฟ้นกลมเกลียวกันในสังคมของเราขณะนี้เปราะบางมาก”
สังคมขณะนี้มองเห็นแต่ความแตกต่าง และมองข้ามสิ่งที่คิดเหมือนกัน เช่น ไม่มีใครเถียง คำว่า “ประชาธิปไตย” แต่เราเถียงกันในรายละเอียด เช่น ประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งไม่ดีชวนให้คนทะเลาะกัน ซึ่งในลักษณะเช่นนี้ก็ต้องมาคุยกัน เพื่อสร้างข้อตกลงภายใต้กรอบประชาธิปไตย โดยตัดความระแวงกันว่า ฝ่ายหนึ่งจะล้มล้างประชาธิปไตย หรือล้มเจ้า
ทั้งนี้ รศ.ดร.โคทม กล่าวถึงงาน วิจัยของ ดร.ชาญชัยด้วยว่า จะมีการนำไป เผยแพร่ต่อ พร้อมจะสร้างพลังในทางปฏิบัติที่จะมาช่วยสนับสนุนแนวคิดที่จะสร้างประชาคมใหม่ แนวคิดที่จะเห็นร่วมและผลักดันให้เกิดเพื่อที่จะก้าวข้ามความขัดแย้งที่รุนแรงไปได้
เมื่อถามถึงวิธีการที่จะทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ได้นั้น รศ.ดร.โคทม กล่าวว่า ต้องเริ่มในทางความคิดผ่านนักวิชาการ ต่อมา คือเริ่มในทางปฏิบัติบางอย่างผ่านนักกิจกรรม โดยอาศัยสื่อมวลชนในการช่วยสร้างกระแสในสังคม ที่จะช่วยนำไปสู่การ มีปณิธานทางการเมือง โดยผ่านกระบวนการ จัดเสวนาในระดับรากหญ้าว่า อะไรที่เราเห็นพ้องกันในหลักการสำคัญ เพื่อให้เห็นภาพอนาคตที่พึงปรารถนาของสังคม ขณะเดียวกันคนข้างบนระดับผู้นำก็ต้องมาทำความเข้าใจกับปัญหาที่ค้างอยู่ ที่ทำให้บรรยากาศของความเข้าใจกันไม่เกิดขึ้นจนกลายเป็นบรรยากาศของความ หวาดระแวง ไม่ไว้วางใจ เอาเปรียบ มีการ แข่งขันกันตลอดเวลา ซึ่งถ้ามีการพูดคุยกันทั้งสองระดับแล้วก็เชื่อว่าจะทำให้เกิดความเห็นพ้องกันได้ และทำให้เกิดสิ่งที่เรา เรียกว่า สัญญาประชาคมใหม่
ปรากฏการณ์ในแนวทางใหม่ของ การเมืองที่เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้นน่าจะเป็นวิถีของประชาธิปไตยที่สวยหรู..หากเรายังดำรงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ง่ายๆ ของความเป็นไทย นั่นคือการให้อภัย..และรู้จักขอโทษซึ่งกันและกัน เชื่อว่าวันนั้นคำว่า “ปรองดอง”..คงไม่ไกลเกินเอื้อม!!..
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เวิร์กช็อป : AECไทยต้องตั้งรับอย่างมีสติ !!?
นับเป็นโอกาสทองของ นักธุรกิจชาวจังหวัดแพร่และจังหวัดใกล้เคียงที่ได้มีโอกาสได้รับฟังแนวคิดและแนวทางของผู้รู้ทางเศรษฐกิจระดับโลกมาคุยให้ฟังอย่าง “ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ” เลขาฯ ประชาคมเศรษฐกิจ อาเซียน จัดขึ้นเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ที่ห้องสักทอง โรงแรมแม่ยม พาเลส อ.เมือง จ.แพร่
ชาวแพร่โดยการนำของนายเกษม วัฒนธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ ข้าราชการภาคเอกชนประกอบด้วย นักธุรกิจน้อยใหญ่เข้าร่วมรับฟัง อย่างสภาอุตสาหกรรมจังหวัด มีนายประดิษฐ์ ศศิภัทรกุล หอการค้าจังหวัด นางสุด-สวาท มงคลเจริญวงศ์ ส่วนผู้ที่คร่ำ-หวอดในเรื่องธุรกิจการใหญ่อย่างนายสุวิทย์ วงศ์วรกุล ผู้ก่อตั้งสภาอุตสาหกรรมจังหวัดแพร่ ก็มาร่วมรับฟัง สำหรับ นักการเมืองท้องถิ่นมี นายโชคชัย พนมขวัญ นายกเทศมนตรีเมืองแพร่
การเดินทางมาของเลขาฯ อาเซียนฯ ที่จังหวัดแพร่ เป็นการมาปาฐกถาพิเศษ “จังหวัดแพร่จะได้รับประโยชน์อย่างไรจาก AEC ตามโครงการเตรียมความพร้อมภาครัฐและเอกชน สู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” ตามคำเชิญของประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดแพร่ คือ นายประดิษฐ์ ศศิภัทรกุล งานนี้ แม่เลี้ยงติ๊ก นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ถือว่าเป็นเจ้าภาพอีกคนหนึ่งได้ถือโอกาสนี้มาร่วมพบปะนักธุรกิจชาวแพร่ ไปด้วย
บรรยากาศในงานเป็นแบบกันเอง ท่านผู้ว่าฯ เกษม วัฒนธรรม ในฐานะพ่อเมืองให้เกียรติกล่าวต้อนรับ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาฯ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และคณะฯ ก่อนมีการปาฐกถาฯ มีการแสดงรำไทยจากโรงเรียนบ้านแม่หล่าย เพื่อสร้างบรรยากาศแบบเมืองเหนือให้ท่านเลขาฯ อาเซียนฯ เข้าถึงบรรยากาศเมืองเหนือด้วย
สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน ก่อตั้งที่ตั้งประเทศไทยตามปฏิญญากรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2510 ได้มีการพัฒนาความสัมพันธ์เรื่อยมา ในเรื่องความร่วมมือหลายๆ ด้าน รวมทั้งการลดภาษีระหว่างสมาชิกในยุคแรก การค้าเสรี ในยุคที่ 2 และปัจจุบันเข้าสู่ยุคที่ 3 มีการรวมตัวที่มีบูรณาการมากขึ้น
ส่งผลให้เกิดแนวคิดของการเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ASEAN Economic Community หรือ ACE ในปี 2015 เป็นเป้าหมายหลักคือ ให้อาเซียนมาตลาดและฐานการผลิตร่วมกัน และมีการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ การลงทุน เงินลงทุน และแรงงาน มีฝีมืออย่างเสรี และเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย อาเซียนจึงได้กำหนดแผนงาน สำหรับการดำเนินการในภาพรวม 4 ส่วน หลัก ทั้งการตลาด และฐานการผลิตเดียว การสร้างขีดความสามารถในการ แข่งขันทางเศรษฐกิจของอาเซียน การ พัฒนาเศรษฐกิจอย่างเสมอภาคและการบูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจโลก
โดย ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน ปาฐกถาว่า ในภาพรวมของจังหวัดแพร่ การเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ต้องตั้งรับอย่างมีสติในด้านต่างๆ ซึ่งจริงๆ แล้ว คิดว่าจังหวัดแพร่มีความพร้อมทุกด้าน วัตถุดิบ ศักยภาพ ต้นทุน ทางสังคม แต่จะทำอย่างไร เตรียมพร้อมอย่างไรให้ไปสู่ประชาคมเศรษฐกิจ อาเซียนอย่างสวยงาม และเป็นไปอย่าง อินเตอร์อยู่ที่ทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกัน เริ่มตั้งแต่วิสาหกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง หรือขนาดย่อม เป็นตัวหลักในการผลักดันระบบการขยายการลงทุน
“สิ่งที่สำคัญยิ่งคือ ต้องเพิ่มความ สามารถในด้านการติดต่อสื่อสารเรื่องภาษา พฤติกรรมของคนไทยส่วนใหญ่ ยังไม่กล้าที่จะเป็นฝ่ายเดินหน้าเพื่อการ เจรจา หรือสร้างขยายแนวธุรกิจ อีกทั้งความไม่กล้าที่จะใช้ภาษาอื่น โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ หรือภาษาต่างประเทศ เพื่อช่องทางขยายการลงทุน อย่ากลัวที่จะพบกับการเปลี่ยนแปลง บทบาทของนักลงทุนในอนาคตจะต้องพึ่งพาคนกลางให้น้อยลง ภาครัฐต้องให้การสนับสนุนการลงทุน เพราะธุรกิจ ต้องการความมั่นคง นโยบายของรัฐบาล ต้องเข้มแข็ง”
เลขาธิการอาเซียน ระบุอีกว่า “ตอนนี้เป็นเรื่องที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่งอีกว่า สำหรับปัญหาของภาคธุรกิจ ในบ้านเรามักจะติดขัดและที่กลายเป็นวัฒนธรรมจนวิตกอย่างยิ่งของสังคมคือ การคอร์รัปชั่นหนักสุดๆ ถึง 20-30 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าการลงทุนในรูปแบบต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายมาก เป็น ตัวบั่นทอนขัดขวางต่อการพัฒนาและยกระดับสังคม แต่ก็ไม่ใช่ว่า ประเทศใน อาเซียนจะไม่มีในเรื่องนี้ มีเหมือนกัน แต่ไม่น่าเกลียดและสามารถควบคุมได้ ขณะนี้ประเทศที่น่าลงทุนมากที่สุด คือ สิงคโปร์ เพราะมีเรื่องเหล่านี้ในระดับที่ต่ำหรือน้อยมาก เพราะความโปร่งใสของระบบการจัดการ ทำให้การจัดการ การลงทุนในด้านต่างๆ อยู่ในประเทศสิงคโปร์ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ในกลุ่มประเทศอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ ที่เหลือ 50 เปอร์เซ็นต์ กระจายไปในประเทศที่เหลือ”
“นอกจากนี้ ประเทศไทยยัง ขาดการพัฒนาด้านสินค้าของเราเอง มูลค่าการลงทุนปัจจุบันส่วนใหญ่ยังคงลงด้านแรงงานเป็นหลัก สินค้าที่ผลิตเป็นสินค้าภายใต้ลิขสิทธิ์ภายใต้เครื่องหมายการค้าของประเทศอื่น ประเทศไทยมีมูลค่าด้านนี้ต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศในเอเชียด้วยกัน สำหรับภาคเอกชน เช่นสภาอุตสาหกรรม ต้องมีกิจกรรมของตนเองให้เด่นชัด มีหน่วยงานที่ออกไปพัฒนาธุรกิจนอกพื้นที่ หาช่องทางและพยายาม พัฒนาตัวเอง ศักยภาพของจังหวัดแพร่ ที่อยู่ใกล้แนวชายแดนประเทศพม่า และจีน”
ดร.สุรินทร์ ย้ำอีกว่า ในเบื้องต้นควรใช้ภาษาของประเทศพม่าและจีนให้ได้ เมื่อสามารถทำได้ย่อมมีโอกาสในด้านการดึงนักลงทุนเข้ามาร่วมทุนหรือกระจายการลงทุนไปยังตลาดที่มีแรงงานถูก มีแรงงานจำนวนมาก วัตถุดิบราคาถูก มีมากพร้อมรองรับและมีระบบการรองรับที่สามารถควบคุมได้ และได้ยกตัวอย่างที่ใกล้ตัวอย่างเช่น โรงงานก๋วยเตี๋ยวที่มีอยู่ในจังหวัดแพร่ ทุกประเทศในอาเซียนต้องทาน สำหรับ โอกาสการขยายการลงทุนไปยังพม่าเป็นไปได้ เพื่อโอกาสในการสร้างและขยายเศรษฐกิจไปสู่ภูมิภาคในอาเซียนและภาคีรอบข้าง เช่น อินเดีย, จีน, ออสเตรเลีย และที่สำคัญทุกจังหวัดมีศักยภาพของตนเอง แต่จะมีวิธีการอย่างไรเท่านั้นเอง แต่ทั้งนี้ในการเตรียม ความพร้อมเข้าสู่อาเซียนในปี 2015 นั้น ต้องตั้งรับอย่างมีสติ ค่อนข้างชัดเจนสำหรับปาฐกถา ของ ดร.สุรินทร์ ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในทุกจังหวัดว่า AEC กำลังจะมาแล้ว..เราต้องตั้งรับอย่าง มีสติ!!!
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ชาวแพร่โดยการนำของนายเกษม วัฒนธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ ข้าราชการภาคเอกชนประกอบด้วย นักธุรกิจน้อยใหญ่เข้าร่วมรับฟัง อย่างสภาอุตสาหกรรมจังหวัด มีนายประดิษฐ์ ศศิภัทรกุล หอการค้าจังหวัด นางสุด-สวาท มงคลเจริญวงศ์ ส่วนผู้ที่คร่ำ-หวอดในเรื่องธุรกิจการใหญ่อย่างนายสุวิทย์ วงศ์วรกุล ผู้ก่อตั้งสภาอุตสาหกรรมจังหวัดแพร่ ก็มาร่วมรับฟัง สำหรับ นักการเมืองท้องถิ่นมี นายโชคชัย พนมขวัญ นายกเทศมนตรีเมืองแพร่
การเดินทางมาของเลขาฯ อาเซียนฯ ที่จังหวัดแพร่ เป็นการมาปาฐกถาพิเศษ “จังหวัดแพร่จะได้รับประโยชน์อย่างไรจาก AEC ตามโครงการเตรียมความพร้อมภาครัฐและเอกชน สู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” ตามคำเชิญของประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดแพร่ คือ นายประดิษฐ์ ศศิภัทรกุล งานนี้ แม่เลี้ยงติ๊ก นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ถือว่าเป็นเจ้าภาพอีกคนหนึ่งได้ถือโอกาสนี้มาร่วมพบปะนักธุรกิจชาวแพร่ ไปด้วย
บรรยากาศในงานเป็นแบบกันเอง ท่านผู้ว่าฯ เกษม วัฒนธรรม ในฐานะพ่อเมืองให้เกียรติกล่าวต้อนรับ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาฯ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และคณะฯ ก่อนมีการปาฐกถาฯ มีการแสดงรำไทยจากโรงเรียนบ้านแม่หล่าย เพื่อสร้างบรรยากาศแบบเมืองเหนือให้ท่านเลขาฯ อาเซียนฯ เข้าถึงบรรยากาศเมืองเหนือด้วย
สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน ก่อตั้งที่ตั้งประเทศไทยตามปฏิญญากรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2510 ได้มีการพัฒนาความสัมพันธ์เรื่อยมา ในเรื่องความร่วมมือหลายๆ ด้าน รวมทั้งการลดภาษีระหว่างสมาชิกในยุคแรก การค้าเสรี ในยุคที่ 2 และปัจจุบันเข้าสู่ยุคที่ 3 มีการรวมตัวที่มีบูรณาการมากขึ้น
ส่งผลให้เกิดแนวคิดของการเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ASEAN Economic Community หรือ ACE ในปี 2015 เป็นเป้าหมายหลักคือ ให้อาเซียนมาตลาดและฐานการผลิตร่วมกัน และมีการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ การลงทุน เงินลงทุน และแรงงาน มีฝีมืออย่างเสรี และเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย อาเซียนจึงได้กำหนดแผนงาน สำหรับการดำเนินการในภาพรวม 4 ส่วน หลัก ทั้งการตลาด และฐานการผลิตเดียว การสร้างขีดความสามารถในการ แข่งขันทางเศรษฐกิจของอาเซียน การ พัฒนาเศรษฐกิจอย่างเสมอภาคและการบูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจโลก
โดย ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน ปาฐกถาว่า ในภาพรวมของจังหวัดแพร่ การเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ต้องตั้งรับอย่างมีสติในด้านต่างๆ ซึ่งจริงๆ แล้ว คิดว่าจังหวัดแพร่มีความพร้อมทุกด้าน วัตถุดิบ ศักยภาพ ต้นทุน ทางสังคม แต่จะทำอย่างไร เตรียมพร้อมอย่างไรให้ไปสู่ประชาคมเศรษฐกิจ อาเซียนอย่างสวยงาม และเป็นไปอย่าง อินเตอร์อยู่ที่ทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกัน เริ่มตั้งแต่วิสาหกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง หรือขนาดย่อม เป็นตัวหลักในการผลักดันระบบการขยายการลงทุน
“สิ่งที่สำคัญยิ่งคือ ต้องเพิ่มความ สามารถในด้านการติดต่อสื่อสารเรื่องภาษา พฤติกรรมของคนไทยส่วนใหญ่ ยังไม่กล้าที่จะเป็นฝ่ายเดินหน้าเพื่อการ เจรจา หรือสร้างขยายแนวธุรกิจ อีกทั้งความไม่กล้าที่จะใช้ภาษาอื่น โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ หรือภาษาต่างประเทศ เพื่อช่องทางขยายการลงทุน อย่ากลัวที่จะพบกับการเปลี่ยนแปลง บทบาทของนักลงทุนในอนาคตจะต้องพึ่งพาคนกลางให้น้อยลง ภาครัฐต้องให้การสนับสนุนการลงทุน เพราะธุรกิจ ต้องการความมั่นคง นโยบายของรัฐบาล ต้องเข้มแข็ง”
เลขาธิการอาเซียน ระบุอีกว่า “ตอนนี้เป็นเรื่องที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่งอีกว่า สำหรับปัญหาของภาคธุรกิจ ในบ้านเรามักจะติดขัดและที่กลายเป็นวัฒนธรรมจนวิตกอย่างยิ่งของสังคมคือ การคอร์รัปชั่นหนักสุดๆ ถึง 20-30 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าการลงทุนในรูปแบบต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายมาก เป็น ตัวบั่นทอนขัดขวางต่อการพัฒนาและยกระดับสังคม แต่ก็ไม่ใช่ว่า ประเทศใน อาเซียนจะไม่มีในเรื่องนี้ มีเหมือนกัน แต่ไม่น่าเกลียดและสามารถควบคุมได้ ขณะนี้ประเทศที่น่าลงทุนมากที่สุด คือ สิงคโปร์ เพราะมีเรื่องเหล่านี้ในระดับที่ต่ำหรือน้อยมาก เพราะความโปร่งใสของระบบการจัดการ ทำให้การจัดการ การลงทุนในด้านต่างๆ อยู่ในประเทศสิงคโปร์ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ในกลุ่มประเทศอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ ที่เหลือ 50 เปอร์เซ็นต์ กระจายไปในประเทศที่เหลือ”
“นอกจากนี้ ประเทศไทยยัง ขาดการพัฒนาด้านสินค้าของเราเอง มูลค่าการลงทุนปัจจุบันส่วนใหญ่ยังคงลงด้านแรงงานเป็นหลัก สินค้าที่ผลิตเป็นสินค้าภายใต้ลิขสิทธิ์ภายใต้เครื่องหมายการค้าของประเทศอื่น ประเทศไทยมีมูลค่าด้านนี้ต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศในเอเชียด้วยกัน สำหรับภาคเอกชน เช่นสภาอุตสาหกรรม ต้องมีกิจกรรมของตนเองให้เด่นชัด มีหน่วยงานที่ออกไปพัฒนาธุรกิจนอกพื้นที่ หาช่องทางและพยายาม พัฒนาตัวเอง ศักยภาพของจังหวัดแพร่ ที่อยู่ใกล้แนวชายแดนประเทศพม่า และจีน”
ดร.สุรินทร์ ย้ำอีกว่า ในเบื้องต้นควรใช้ภาษาของประเทศพม่าและจีนให้ได้ เมื่อสามารถทำได้ย่อมมีโอกาสในด้านการดึงนักลงทุนเข้ามาร่วมทุนหรือกระจายการลงทุนไปยังตลาดที่มีแรงงานถูก มีแรงงานจำนวนมาก วัตถุดิบราคาถูก มีมากพร้อมรองรับและมีระบบการรองรับที่สามารถควบคุมได้ และได้ยกตัวอย่างที่ใกล้ตัวอย่างเช่น โรงงานก๋วยเตี๋ยวที่มีอยู่ในจังหวัดแพร่ ทุกประเทศในอาเซียนต้องทาน สำหรับ โอกาสการขยายการลงทุนไปยังพม่าเป็นไปได้ เพื่อโอกาสในการสร้างและขยายเศรษฐกิจไปสู่ภูมิภาคในอาเซียนและภาคีรอบข้าง เช่น อินเดีย, จีน, ออสเตรเลีย และที่สำคัญทุกจังหวัดมีศักยภาพของตนเอง แต่จะมีวิธีการอย่างไรเท่านั้นเอง แต่ทั้งนี้ในการเตรียม ความพร้อมเข้าสู่อาเซียนในปี 2015 นั้น ต้องตั้งรับอย่างมีสติ ค่อนข้างชัดเจนสำหรับปาฐกถา ของ ดร.สุรินทร์ ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในทุกจังหวัดว่า AEC กำลังจะมาแล้ว..เราต้องตั้งรับอย่าง มีสติ!!!
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2555
วิปลาส !!?
ทำไมใส่สีแดง เพราะผมบอกก่อนว่า สีแดงเป็นของทุกคน มีหลายคนเขาเบื่อเขารำคาญครับ แม้แต่ศิลปินรุ่นใหญ่ยังบอกว่าเอาสีแดงคืนมา สีแดงอยู่ในธงชาติ ต้องหมายถึงว่าเป็นของคนทั้งชาติ ไม่ใช่ของคนกลุ่มเดียว ผมจะใส่สีแดงเป็นสิทธิของผม พวก คุณไม่ต้องมาต่อว่าในวันพรุ่งนี้ อย่างนี้เป็นสิทธิเสรีภาพ ไม่ใช่เที่ยวไม่ขัดขวางผู้อื่น ผมตั้งใจจะใส่สีแดง เพื่อที่จะบอกกับคนที่อ้างตัวเป็นคนเสื้อแดงว่า วันนี้ถ้าคุณอยากใส่เสื้อสีแดง แล้วบอกสีแดงเป็นอุดมการณ์ คุณต้องใส่แบบนี้ที่เขียนว่าหยุดปรองดองจอมปลอม ล้างผิดคนโกง”
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ปราศรัยที่เวทีประชาชน “เดินหน้าผ่าความจริง หยุดล้มรัฐธรรมนูญ ออกกฎหมายล้างผิดคนโกง” เป็นครั้งสุดท้ายก่อนเปิดประชุมสภาสมัยสามัญทั่วไปวันที่ 1 สิงหาคม ที่อาคารกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพฯ (ไทย-ญี่ปุ่น) ดินแดง เมื่อค่ำวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยสร้างความฮือฮาด้วยการใส่ “เสื้อสีแดง” ที่มีสกรีนคำว่า “หยุดปรองดองจอมปลอม ล้างผิดคนโกง”
นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวว่า ขอทวงคืนสีแดงมาเป็นของคนไทยทุกคน ปัญหาบ้านเมืองที่วุ่นวายจนมีการเสียชีวิต เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี วันนี้คนใส่เสื้อแดงจะต้องตัดสินใจ ถ้าเป็นเสื้อแดงที่ยึดอุดมการณ์ต้องรู้แล้วว่าใครชักชวนให้มาต่อสู้เพียงเพื่อเป็นเครื่องมือให้เขา แต่ไม่มีความจริงใจต่อกัน และไม่มีแม้แต่จะหยิบยื่นความเป็นธรรมให้ แม้ตนและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ จะถูกกล่าวหาและยกป้ายให้เป็น “ฆาตกร” แต่ก็ไม่เคยเรียกร้องให้นิรโทษกรรม เพราะไม่ได้ทำ แต่คนที่รู้แก่ใจว่ามีการฝึกฝนให้คนติดอาวุธใส่ชุดดำแฝงตัวกับกลุ่มผู้ชุมนุมกำลังจะให้นิรโทษกรรมแก่ตัว เอง ถ้าใส่เสื้อแดงเพราะอุดมการณ์ก็ต้องเรียกร้องว่าห้ามออกกฎหมายนิรโทษกรรม แล้วต้องไม่ยอมเป็นเครื่องมือให้คนคนหนึ่งล้างผิดในการทุจริตการโกงของตัวเอง แต่ถ้าใส่เสื้อแดงแล้วไม่ยอมเขียนหยุดปรองดองอย่างนี้ ไม่มาร่วมต่อต้าน เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับวิญญาณของคนที่เคยใส่เสื้อแดง เสื้อแดงของคุณไม่มีความหมายอะไร นอก จากการเป็น “ขี้ข้าทักษิณ”
“ถ้ามีใครใส่เสื้อแดงเพราะไม่ชอบ 2 มาตรฐาน คุณก็ต้องใส่เสื้อแดงที่เขียนว่าหยุดปรองดองจอมปลอมเหมือนกัน เพราะอะไรครับ เพราะประเทศไทยหรือประเทศไหนก็ตามครับ ไม่เคยสามารถทำให้คนร่ำรวยเท่ากันได้หรอกครับ อย่างที่ท่านนายกฯชวนพูด แต่ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายอย่างเสมอภาคกัน
ถ้าคุณใส่เสื้อแดงเพราะคุณไม่ชอบ 2 มาตร ฐาน แล้วพวกคุณใส่เสื้อแดงมาต่อสู้ ถูกจับ ถูกศาลลงโทษจำคุก ต้องเข้าไปอยู่ในคุก แล้วทำไมคุณจะปล่อยให้คนที่ปลุกระดมคุณนั้นทำผิดไม่รู้กี่คดี บอกว่าตัวเองไม่ต้องเข้าคุก นั่นแหละครับ 2 มาตร ฐานอย่างแท้จริง”
มาร์คสภาโจ๊ก
ต้องยอมรับว่าการเดินสายอภิปรายนอกสภาของพรรคประชาธิปัตย์นับตั้งแต่การตีรวนไม่ยอม รับ พ.ร.บ.ปรองดอง และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ได้รับความสนใจจากมวลชนที่ชอบพรรคประชาธิปัตย์ไม่น้อย รวมถึงความสนใจของสื่อต่างๆที่พรรคประชาธิปัตย์ใช้ลีลาการพูดของนายอภิสิทธิ์เป็นกลยุทธ์ ไม่ใช่แค่การใส่เสื้อแดงเท่านั้น แต่ก่อนหน้านี้นายอภิสิทธิ์ยังลงทุนเล่น “มาร์คสภาโจ๊ก” ดัดเสียงล้อเลียน “จ่าเซาะกราว” จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ที่ทำหน้าที่ยกมือค้านการอภิปรายของพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยสีหน้าท่าทางที่เรียกเสียงเฮและปรบมือพอใจของแม่ยกพ่อยกที่เล่นงาน “จ่าบ้านนอก” ได้อย่างสะใจ
แต่คนอีกจำนวนหนึ่ง รวมถึงนักวิชาการที่ติด ตามการเมืองไทยกลับเห็นว่านายอภิสิทธิ์ไปไกลจนกู่ไม่กลับแล้ว เพราะกลายเป็น “ตลกการเมือง” มาก กว่าการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตนเองและพรรค ประชาธิปัตย์ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าตกต่ำที่สุดยุคหนึ่ง
แม้การใส่เสื้อแดงหรือล้อเลียน “จ่าบ้านนอก” จะเป็นคลิปยอดฮิตในยูทูบที่มีคนคลิกเข้าไปดูจำนวน มาก แต่ส่วนหนึ่งกลับรู้สึกสังเวชและไม่เชื่อว่าคนระดับอดีตนายกรัฐมนตรีจะสามารถเป็นได้เช่นนี้
แทนที่นายอภิสิทธิ์จะแสดงให้เห็นถึงการเป็นฝ่ายค้านที่มีคุณภาพ ซึ่งเคยเป็นสัญลักษณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ กลับออกอาการหลุดเหมือนเป็นมวยรุ่นใหญ่ แต่กลับไปท้าชกมวยรุ่นเด็กอย่าง “จ่าประสิทธิ์” แล้วยังโชว์วาทกรรม “ดีแต่พูด” และ “เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่ผู้อื่น” ซึ่งไม่ใช่แค่คนเสื้อแดงเท่านั้นที่กล่าวหาว่าเป็น “ฆาตกร” แต่ประชาคมโลกเองก็ประณามการใช้ความรุนแรงในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ซึ่งเกิดในยุคที่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี
ใครฮากว่ากัน?
อย่างที่นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โพสต์ผ่านเฟซบุ๊คว่า มีคนส่งคลิปให้ดู 2 คลิป คลิปแรกเป็นคลิป “พระเทศน์เป็นจังหวะร็อก” และคลิป 2 “อภิสิทธิ์ล้อเลียนเสียงจ่าประสิทธิ์” เปิดเข้าไปดูต้องยอมรับว่าอดขำไม่ได้เมื่อได้ยินบทสวดมนต์ในคลิป
“แต่อีกคลิปผมขำก๊ากเลยครับ เป็นครั้งแรกที่ผมหัวเราะท่านอภิสิทธิ์ปราศรัย (เฉพาะตอนเล่นตลกนี้นะครับ ไม่ใช่ตอนด่าคุณพ่อผม) ในทางการตลาดเรื่องแบบนี้ไม่ซีเรียสครับ ถือเป็นกลยุทธ์ในการดึงดูดผู้ฟังได้เป็นอย่างดี แต่พอฟังคำวิจารณ์จากผู้ใหญ่ในแวดวงการเมืองและการศาสนา หลายๆ ท่านอาจไม่ค่อยสบายใจในเรื่องวุฒิภาวะของท่านอภิสิทธิ์ และการสำรวมตนของสงฆ์ ก็เกิดการถกเถียงกันเป็นหย่อมๆทั่วไปในโลกไซเบอร์ ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็มีเหตุผลของตัวเอง และมีผู้สนับสนุนทั้งคู่ ในเรื่องพระสวดนี้เห็นว่ามีพระผู้ใหญ่ออกมาติงแล้วว่าไม่เหมาะสม ผมว่าเมืองไทยเราเมืองพุทธครับ พระท่านท้วงติงมาเราก็ต้องฟัง และคอยระมัดระวัง อย่าไปทำอะไรที่ไม่เหมาะสมอีก ส่วนเรื่องท่าน อภิสิทธิ์นี่เหมาะสมหรือไม่ ผมว่าเป็นเรื่องที่ท่านจะต้องชี้แจงเอง แต่ถ้าถามผม ผมว่าท่านมีอารมณ์ขันบ้าง บรรยากาศของการปรองดองมันดีกว่าการเผชิญหน้าในสภาช่วงที่ผ่านมาเยอะเลยครับ”
นอกจากนี้นายพานทองแท้ยังแสดงความเห็นกรณีนายเทพไท เสนพงษ์ วิจารณ์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินทางเยือนเยอรมนีและฝรั่งเศสว่า หนีวิกฤตบ้านเมืองและถือโอกาสโชว์แฟชั่น-เที่ยวต่างประเทศว่า เหมือนลูกสมันน้อยพลัดหลงไปอยู่ใจกลางฝูงไฮยีน่าตัวเดียวกลางป่า แล้วถูกผลัดกันต้อนซ้ายที ขวาที พอเผลอก็โดนกัด ตะปบ เหน็บ แขวะ จิก ทั้งที่เป็น “มนุษย์เพศหญิง” ทำหน้าที่แทนคนไทยทั้งประเทศ กลับมาถูกผู้ชายอกสามศอกรุมตำหนิเรื่องไม่เป็นเรื่อง ไม่ว่าการแต่งตัว ตำส้มตำ พูดวนกันไปมาเหมือน “ชกไม่สมศักดิ์ศรี” ในฐานะทีมงาน “ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษ ฎร” แล้วยังเปรียบเทียบระหว่างนายกฯยิ่งลักษณ์แต่งชุดสวยจากศูนย์ศิลปาชีพเพื่อโปรโมตสินค้าไทย กับนายอภิสิทธิ์เปลี่ยนชุดถ่ายแบบเป็นสิบๆชุดเพื่อโปรโมตตัวเอง และใส่หมวกถุงยางอนามัยยืนยิ้มว่าอันไหนดู “ติ๊งต๊อง” กว่ากัน
ตลกร้าย “ฆาตกร”?
การใส่เสื้อแดงและปราศรัยของนายอภิสิทธิ์ที่เสียดสีคนเสื้อแดงให้เลิกเป็น “ขี้ข้าทักษิณ” และไม่มีอุดมการณ์นั้น ย่อมได้รับความสนใจจากสื่อในประเทศและสื่อต่างชาติ แม้จะเป็นการแสดงการตอบโต้ในเชิงสัญลักษณ์ แต่ในมุมกลับกันก็น่าจะเป็น “ตลกร้าย” ที่ยิ่งทำให้นายอภิสิทธิ์ต้องตอบประชาชนและประชาคมโลกถึงคำว่า “จริยธรรม” และ “สำนึกทางการเมือง” ในฐานะผู้นำรัฐบาลที่ทำให้มีการเข่นฆ่าประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐถึง 98 ศพและบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 คน เพราะจนทุกวันนี้ยังไม่มี “คำขอโทษ” แม้แต่คำเดียวจากนายอภิสิทธิ์แล้ว ยังพยายามยัดเยียดและกล่าวหา “ไอ้โม่งชุดดำ” และผู้อื่นผู้อยู่เบื้องหลังอีก
อย่าง ม.ล.มิ่งมงคล โสณกุล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค Taona Sonakul ว่า
“เรียนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หากท่านเชื่ออย่างจริงใจว่าประชาชนไทยเป็นผู้มีจิตใจเป็นเสรีชน สามารถมีความให้เกียรติในความเห็นที่แตกต่างของเพื่อนร่วมชาติด้วยกันอย่างแท้จริงแล้ว..ถ้าหากพวกเขาอยากจะใส่เสื้อสีอะไรก็ให้เขาใส่ไปเหอะ จะสีเหลือง สีแดง สีฟ้า สีม่วง สีดำ ฯลฯ ไม่มีความ จำเป็นอะไรเลยที่จะต้องไปบอกให้เขาไปเปลี่ยนเสื้อเป็นสีโน้นสีนี้ พวกเขาอยากจะใส่เสื้อสีห่าอะไรก็ให้เขาใส่ไป อย่าไปขออะไรกับคนอื่นที่เขามีที่มาที่ไปกันคนละแบบกับท่านเลย..คนที่เขาเลือกใส่สีแดง สีเหลือง ก็เพราะเขาใส่แล้วเขามีความสุขของเขา..
ความแตกแยกไม่ได้มาจากสีเสื้อ ความแตก แยกมาจากความเจ็บช้ำน้ำใจ และความรู้สึกว่าไม่มี ความยุติธรรม และตราบใดที่ท่านยังไม่สามารถแสดงน้ำใจขอโทษประชาชนไทย และวิญญาณของคนที่ต้องตายไปกว่าร้อยศพ โดยการบริหารงานที่ผิดพลาดของท่านในฐานะนายกรัฐมนตรี..
ท่านอย่าได้มาเสียเวลาเปลืองน้ำลายฝันบ้าๆบอๆไปว่าจะมีใครลุกขึ้นบ้าใส่เสื้อแดงเพื่อเป็นแนวร่วมกับท่านเพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้คนที่ท่านเองนั่นแหละเป็นคนทำพวกเขาตาย..ท่านเป็นคนที่จิตป่วยมากๆแล้ว ท่านต้องพบจิตแพทย์ และหลบไปอยู่ในที่สงบๆสักพัก”
ไล่ “มาร์ค” ใส่ชุดพลทหาร
ขณะที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึงพฤติกรรมของนายอภิสิทธิ์ว่า การแสดงความเห็นเป็นเสรีภาพ แต่การแสดงออกบางอย่างของนายอภิสิทธิ์ที่วันหนึ่งแต่งตัวล้อเลียน จ.ส.ต.ประสิทธิ์ และใส่เสื้อแดงเรียกร้องให้เสื้อแดงสนับสนุน ถือว่าผิดปรกติและอาการอยู่ในขั้นที่ประชาชนต้องพิจารณาแล้ว เพราะหลังจากพรรคประชาธิปัตย์เปิดเวทีปราศรัยทั่วประเทศอาการก็เริ่มหนักขึ้นทุกวัน ตนอยากให้ความรู้นายอภิสิทธิ์ว่า ปัญหาทางการเมืองขณะนี้ไม่ได้อยู่ที่สีเสื้อ ไม่ใช่ว่าใส่เสื้อสีเดียวกันแล้วจะนับเป็นพวก จนลืมหลักการประชาธิปไตยที่ผลักดันให้ประชาชนออกมาต่อสู้โดยไม่กลัวเสียอิสรภาพ แต่สีเสื้อเป็นสัญ ลักษณ์ของการรวมกลุ่มเท่านั้น นายอภิสิทธิ์ไม่เคยเข้าใจเรื่องนี้ เพราะหากเข้าใจประชาชนจะไม่ถูกสไนเปอร์ยิงตายเกือบร้อยชีวิต และมีนายกรัฐมนตรี ที่ไม่เคยรับผิดชอบอะไร
“ผมอยากให้นายอภิสิทธิ์ใส่ชุดพลทหาร เพื่อสื่อสารไปถึงคนทั้งประเทศว่า ลูกชาวนา คนยากจน ต้องเกณฑ์ทหาร” นายณัฐวุฒิกล่าวและว่า การใส่เสื้อแดงไม่มีความหมายอย่างที่นายอภิสิทธิ์ต้องการ การแต่งกายของนายอภิสิทธิ์ไม่มีผลอะไรกับการเคลื่อนไหวหรือการต่อสู้ของคนเสื้อแดงให้อ่อนแอหรือแตกแยก ตรงข้ามจะเข้มแข็งและรวมพลังกันมากขึ้น เพราะรู้ว่านายอภิสิทธิ์ไม่จริงใจ แต่มีเป้าหมาย ทางการเมืองแอบแฝง ยิ่งทำให้คนเสื้อแดงตื่นตัวและ รวมพลังกัน เหมือนอยู่ในบ้านและเห็นแมลงสาบจะเข้าบ้าน เป็นธรรมดาที่เจ้าของบ้านต้องต่อต้าน
ปชป. ยุคผู้นำ “ป่วย”!
อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมของนายอภิสิทธิ์และจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ที่ประกาศชัดเจนว่าจะต่อต้านร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง และการแก้ไขรัฐ ธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับองค์กรอิสระ และมาตรา 309 โดยการสร้างกระแสให้เชื่อว่าทั้งหมดเป็นการปรองดองจอมปลอม และล้างความผิดให้ พ.ต.ท. ทักษิณนั้น ก็มีคำถามว่าจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ต้องการให้บ้านเมืองมีระบอบประชาธิปไตยที่มาจากประชาชน และเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง หรือเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆที่ต้องยึดโยงกับอำนาจนอกระบบ และผู้มีบารมีนอกระบบอย่างทุกวันนี้
โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ที่มีคำถามถึง “จริย ธรรม” ในฐานะเป็นทั้งผู้นำรัฐบาลและผู้นำฝ่ายค้าน ซึ่งวันนี้ยังใช้วาทกรรมเป็นอาวุธทิ่มแทงฝ่ายตรงข้ามทุกรูปแบบนั้น จะทำให้ประชาชนเชื่อและเลือกพรรคประชาธิปัตย์ให้กลับมาเป็นรัฐบาลในอนาคตได้ หรือแค่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ไม่ปรกติอย่างที่ผ่านมา เพื่อมี “กลไกพิเศษ” ให้พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาลอีกครั้ง เพราะเชื่อว่าแม้จะมีการเลือกตั้งใหม่ พรรคประชาธิปัตย์ก็จะพ่ายแพ้การเลือกตั้งเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
โดยเฉพาะครั้งล่าสุด พรรคประชาธิปัตย์แพ้พรรคเพื่อไทยอย่างราบคาบนั้น มีสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์จำนวนหนึ่งต้องการให้ปฏิรูปพรรคแบบถอนรากถอนโคน ไม่ใช่แค่เปลี่ยนหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรค อย่างที่นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล ผู้อาวุโสพรรคประชาธิปัตย์ ระบุถึงความพ่ายแพ้ของพรรคประชาธิปัตย์ว่า เป็นเพราะ “สร้างศัตรู” ไว้มาก แม้แต่คะแนนเสียงในภาคใต้ยังลดลง ในพรรคก็มีปัญหาความไม่เท่าเทียมในแต่ ละกลุ่มก๊วน เปรียบเทียบรัฐบาลชวน 2 จะเห็นคนเก่าคนแก่ในพรรคเป็นหลัก แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์กลับหายหน้าไปหมด เพราะ “นายกฯโดดเดี่ยวตัวเอง”
เช่นเดียวกับนายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่วิจารณ์จุดอ่อนสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์คือการบริหารงาน ส่วนจุดอ่อนของนายอภิสิทธิ์คือใช้คนไม่เป็น ไม่ฟังคนเก่าคนแก่ โดยนายอภิสิทธิ์เคยมาหาตน 2 ครั้งสมัยเป็นนายกฯ และให้คำแนะนำไปหลายอย่าง แต่ไม่ทำสักอย่าง เคยคุยวิธีจะแก้ไขความปรองดอง บอกขั้นตอนทุกอย่าง แม้กระทั่งก่อนเลือกตั้งหลายเดือนให้เตรียมบินไปคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณแบบส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับพรรค ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณก็ตกลงหมดทุกอย่าง แต่นายอภิสิทธิ์ก็รับฟังเฉยๆ
อย่างไรก็ตาม นายพิชัยยอมรับว่านายอภิสิทธิ์เป็นคนดี มีความซื่อสัตย์ แต่ใช้คนไม่เป็น ใช้คนไม่กี่คนที่ล้อมรอบ แม้กระทั่งนายชวน หลีกภัย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ก็เคยเตือน แต่ก็ไม่ฟัง “มันมาจากสันดานคนที่ไม่เหมือนกัน สันดานของคนที่ไม่รู้จักใช้คน”
พรรคประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์จึงมีปัญหาทั้งในพรรคและนอกพรรค โดยเฉพาะพฤติกรรมของนายอภิสิทธิ์ที่ถูกกล่าวหาเป็น “ฆาตกร” ซึ่งทำให้นายอภิสิทธิ์ถูกตั้งคำถามถึง “จริยธรรม” และ “สำนึกทางการเมือง” ที่นายอภิสิทธิ์พร่ำสอนและเรียกร้องให้คนอื่นมี “จริย ธรรม” และ “สำนึกทางการเมือง” แต่นายอภิสิทธิ์ กลับถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมายว่าไม่มีสำนึกทางการเมืองและจริยธรรมเสียเอง
แต่จากเหตุการณ์และพฤติกรรมที่แสดงออกมาทั้งหมด โดยเฉพาะหลังแพ้การเลือกตั้งซ้ำซาก คนไทยอาจต้องคิดใหม่และเปลี่ยนมาเห็นอกเห็นใจนายอภิสิทธิ์มากขึ้น
เพราะคนเสื้อสีต่างๆ แม้แต่เสื้อหลากสีเองก็ชักจะเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่านายอภิสิทธิ์มีอาการ “ป่วยทางจิต” จนถึงขั้น “สติวิปลาส” ไปแล้วหรือไม่?
ถ้ามีการเปลี่ยนตัวหัวหน้า พรรคประชาธิ ปัตย์ขึ้นมาจริงๆ ..เห็นทีพรรคเพื่อไทยจะเดือดร้อน!
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ปราศรัยที่เวทีประชาชน “เดินหน้าผ่าความจริง หยุดล้มรัฐธรรมนูญ ออกกฎหมายล้างผิดคนโกง” เป็นครั้งสุดท้ายก่อนเปิดประชุมสภาสมัยสามัญทั่วไปวันที่ 1 สิงหาคม ที่อาคารกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพฯ (ไทย-ญี่ปุ่น) ดินแดง เมื่อค่ำวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยสร้างความฮือฮาด้วยการใส่ “เสื้อสีแดง” ที่มีสกรีนคำว่า “หยุดปรองดองจอมปลอม ล้างผิดคนโกง”
นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวว่า ขอทวงคืนสีแดงมาเป็นของคนไทยทุกคน ปัญหาบ้านเมืองที่วุ่นวายจนมีการเสียชีวิต เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี วันนี้คนใส่เสื้อแดงจะต้องตัดสินใจ ถ้าเป็นเสื้อแดงที่ยึดอุดมการณ์ต้องรู้แล้วว่าใครชักชวนให้มาต่อสู้เพียงเพื่อเป็นเครื่องมือให้เขา แต่ไม่มีความจริงใจต่อกัน และไม่มีแม้แต่จะหยิบยื่นความเป็นธรรมให้ แม้ตนและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ จะถูกกล่าวหาและยกป้ายให้เป็น “ฆาตกร” แต่ก็ไม่เคยเรียกร้องให้นิรโทษกรรม เพราะไม่ได้ทำ แต่คนที่รู้แก่ใจว่ามีการฝึกฝนให้คนติดอาวุธใส่ชุดดำแฝงตัวกับกลุ่มผู้ชุมนุมกำลังจะให้นิรโทษกรรมแก่ตัว เอง ถ้าใส่เสื้อแดงเพราะอุดมการณ์ก็ต้องเรียกร้องว่าห้ามออกกฎหมายนิรโทษกรรม แล้วต้องไม่ยอมเป็นเครื่องมือให้คนคนหนึ่งล้างผิดในการทุจริตการโกงของตัวเอง แต่ถ้าใส่เสื้อแดงแล้วไม่ยอมเขียนหยุดปรองดองอย่างนี้ ไม่มาร่วมต่อต้าน เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับวิญญาณของคนที่เคยใส่เสื้อแดง เสื้อแดงของคุณไม่มีความหมายอะไร นอก จากการเป็น “ขี้ข้าทักษิณ”
“ถ้ามีใครใส่เสื้อแดงเพราะไม่ชอบ 2 มาตรฐาน คุณก็ต้องใส่เสื้อแดงที่เขียนว่าหยุดปรองดองจอมปลอมเหมือนกัน เพราะอะไรครับ เพราะประเทศไทยหรือประเทศไหนก็ตามครับ ไม่เคยสามารถทำให้คนร่ำรวยเท่ากันได้หรอกครับ อย่างที่ท่านนายกฯชวนพูด แต่ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายอย่างเสมอภาคกัน
ถ้าคุณใส่เสื้อแดงเพราะคุณไม่ชอบ 2 มาตร ฐาน แล้วพวกคุณใส่เสื้อแดงมาต่อสู้ ถูกจับ ถูกศาลลงโทษจำคุก ต้องเข้าไปอยู่ในคุก แล้วทำไมคุณจะปล่อยให้คนที่ปลุกระดมคุณนั้นทำผิดไม่รู้กี่คดี บอกว่าตัวเองไม่ต้องเข้าคุก นั่นแหละครับ 2 มาตร ฐานอย่างแท้จริง”
มาร์คสภาโจ๊ก
ต้องยอมรับว่าการเดินสายอภิปรายนอกสภาของพรรคประชาธิปัตย์นับตั้งแต่การตีรวนไม่ยอม รับ พ.ร.บ.ปรองดอง และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ได้รับความสนใจจากมวลชนที่ชอบพรรคประชาธิปัตย์ไม่น้อย รวมถึงความสนใจของสื่อต่างๆที่พรรคประชาธิปัตย์ใช้ลีลาการพูดของนายอภิสิทธิ์เป็นกลยุทธ์ ไม่ใช่แค่การใส่เสื้อแดงเท่านั้น แต่ก่อนหน้านี้นายอภิสิทธิ์ยังลงทุนเล่น “มาร์คสภาโจ๊ก” ดัดเสียงล้อเลียน “จ่าเซาะกราว” จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ที่ทำหน้าที่ยกมือค้านการอภิปรายของพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยสีหน้าท่าทางที่เรียกเสียงเฮและปรบมือพอใจของแม่ยกพ่อยกที่เล่นงาน “จ่าบ้านนอก” ได้อย่างสะใจ
แต่คนอีกจำนวนหนึ่ง รวมถึงนักวิชาการที่ติด ตามการเมืองไทยกลับเห็นว่านายอภิสิทธิ์ไปไกลจนกู่ไม่กลับแล้ว เพราะกลายเป็น “ตลกการเมือง” มาก กว่าการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตนเองและพรรค ประชาธิปัตย์ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าตกต่ำที่สุดยุคหนึ่ง
แม้การใส่เสื้อแดงหรือล้อเลียน “จ่าบ้านนอก” จะเป็นคลิปยอดฮิตในยูทูบที่มีคนคลิกเข้าไปดูจำนวน มาก แต่ส่วนหนึ่งกลับรู้สึกสังเวชและไม่เชื่อว่าคนระดับอดีตนายกรัฐมนตรีจะสามารถเป็นได้เช่นนี้
แทนที่นายอภิสิทธิ์จะแสดงให้เห็นถึงการเป็นฝ่ายค้านที่มีคุณภาพ ซึ่งเคยเป็นสัญลักษณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ กลับออกอาการหลุดเหมือนเป็นมวยรุ่นใหญ่ แต่กลับไปท้าชกมวยรุ่นเด็กอย่าง “จ่าประสิทธิ์” แล้วยังโชว์วาทกรรม “ดีแต่พูด” และ “เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่ผู้อื่น” ซึ่งไม่ใช่แค่คนเสื้อแดงเท่านั้นที่กล่าวหาว่าเป็น “ฆาตกร” แต่ประชาคมโลกเองก็ประณามการใช้ความรุนแรงในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ซึ่งเกิดในยุคที่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี
ใครฮากว่ากัน?
อย่างที่นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โพสต์ผ่านเฟซบุ๊คว่า มีคนส่งคลิปให้ดู 2 คลิป คลิปแรกเป็นคลิป “พระเทศน์เป็นจังหวะร็อก” และคลิป 2 “อภิสิทธิ์ล้อเลียนเสียงจ่าประสิทธิ์” เปิดเข้าไปดูต้องยอมรับว่าอดขำไม่ได้เมื่อได้ยินบทสวดมนต์ในคลิป
“แต่อีกคลิปผมขำก๊ากเลยครับ เป็นครั้งแรกที่ผมหัวเราะท่านอภิสิทธิ์ปราศรัย (เฉพาะตอนเล่นตลกนี้นะครับ ไม่ใช่ตอนด่าคุณพ่อผม) ในทางการตลาดเรื่องแบบนี้ไม่ซีเรียสครับ ถือเป็นกลยุทธ์ในการดึงดูดผู้ฟังได้เป็นอย่างดี แต่พอฟังคำวิจารณ์จากผู้ใหญ่ในแวดวงการเมืองและการศาสนา หลายๆ ท่านอาจไม่ค่อยสบายใจในเรื่องวุฒิภาวะของท่านอภิสิทธิ์ และการสำรวมตนของสงฆ์ ก็เกิดการถกเถียงกันเป็นหย่อมๆทั่วไปในโลกไซเบอร์ ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็มีเหตุผลของตัวเอง และมีผู้สนับสนุนทั้งคู่ ในเรื่องพระสวดนี้เห็นว่ามีพระผู้ใหญ่ออกมาติงแล้วว่าไม่เหมาะสม ผมว่าเมืองไทยเราเมืองพุทธครับ พระท่านท้วงติงมาเราก็ต้องฟัง และคอยระมัดระวัง อย่าไปทำอะไรที่ไม่เหมาะสมอีก ส่วนเรื่องท่าน อภิสิทธิ์นี่เหมาะสมหรือไม่ ผมว่าเป็นเรื่องที่ท่านจะต้องชี้แจงเอง แต่ถ้าถามผม ผมว่าท่านมีอารมณ์ขันบ้าง บรรยากาศของการปรองดองมันดีกว่าการเผชิญหน้าในสภาช่วงที่ผ่านมาเยอะเลยครับ”
นอกจากนี้นายพานทองแท้ยังแสดงความเห็นกรณีนายเทพไท เสนพงษ์ วิจารณ์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินทางเยือนเยอรมนีและฝรั่งเศสว่า หนีวิกฤตบ้านเมืองและถือโอกาสโชว์แฟชั่น-เที่ยวต่างประเทศว่า เหมือนลูกสมันน้อยพลัดหลงไปอยู่ใจกลางฝูงไฮยีน่าตัวเดียวกลางป่า แล้วถูกผลัดกันต้อนซ้ายที ขวาที พอเผลอก็โดนกัด ตะปบ เหน็บ แขวะ จิก ทั้งที่เป็น “มนุษย์เพศหญิง” ทำหน้าที่แทนคนไทยทั้งประเทศ กลับมาถูกผู้ชายอกสามศอกรุมตำหนิเรื่องไม่เป็นเรื่อง ไม่ว่าการแต่งตัว ตำส้มตำ พูดวนกันไปมาเหมือน “ชกไม่สมศักดิ์ศรี” ในฐานะทีมงาน “ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษ ฎร” แล้วยังเปรียบเทียบระหว่างนายกฯยิ่งลักษณ์แต่งชุดสวยจากศูนย์ศิลปาชีพเพื่อโปรโมตสินค้าไทย กับนายอภิสิทธิ์เปลี่ยนชุดถ่ายแบบเป็นสิบๆชุดเพื่อโปรโมตตัวเอง และใส่หมวกถุงยางอนามัยยืนยิ้มว่าอันไหนดู “ติ๊งต๊อง” กว่ากัน
ตลกร้าย “ฆาตกร”?
การใส่เสื้อแดงและปราศรัยของนายอภิสิทธิ์ที่เสียดสีคนเสื้อแดงให้เลิกเป็น “ขี้ข้าทักษิณ” และไม่มีอุดมการณ์นั้น ย่อมได้รับความสนใจจากสื่อในประเทศและสื่อต่างชาติ แม้จะเป็นการแสดงการตอบโต้ในเชิงสัญลักษณ์ แต่ในมุมกลับกันก็น่าจะเป็น “ตลกร้าย” ที่ยิ่งทำให้นายอภิสิทธิ์ต้องตอบประชาชนและประชาคมโลกถึงคำว่า “จริยธรรม” และ “สำนึกทางการเมือง” ในฐานะผู้นำรัฐบาลที่ทำให้มีการเข่นฆ่าประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐถึง 98 ศพและบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 คน เพราะจนทุกวันนี้ยังไม่มี “คำขอโทษ” แม้แต่คำเดียวจากนายอภิสิทธิ์แล้ว ยังพยายามยัดเยียดและกล่าวหา “ไอ้โม่งชุดดำ” และผู้อื่นผู้อยู่เบื้องหลังอีก
อย่าง ม.ล.มิ่งมงคล โสณกุล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค Taona Sonakul ว่า
“เรียนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หากท่านเชื่ออย่างจริงใจว่าประชาชนไทยเป็นผู้มีจิตใจเป็นเสรีชน สามารถมีความให้เกียรติในความเห็นที่แตกต่างของเพื่อนร่วมชาติด้วยกันอย่างแท้จริงแล้ว..ถ้าหากพวกเขาอยากจะใส่เสื้อสีอะไรก็ให้เขาใส่ไปเหอะ จะสีเหลือง สีแดง สีฟ้า สีม่วง สีดำ ฯลฯ ไม่มีความ จำเป็นอะไรเลยที่จะต้องไปบอกให้เขาไปเปลี่ยนเสื้อเป็นสีโน้นสีนี้ พวกเขาอยากจะใส่เสื้อสีห่าอะไรก็ให้เขาใส่ไป อย่าไปขออะไรกับคนอื่นที่เขามีที่มาที่ไปกันคนละแบบกับท่านเลย..คนที่เขาเลือกใส่สีแดง สีเหลือง ก็เพราะเขาใส่แล้วเขามีความสุขของเขา..
ความแตกแยกไม่ได้มาจากสีเสื้อ ความแตก แยกมาจากความเจ็บช้ำน้ำใจ และความรู้สึกว่าไม่มี ความยุติธรรม และตราบใดที่ท่านยังไม่สามารถแสดงน้ำใจขอโทษประชาชนไทย และวิญญาณของคนที่ต้องตายไปกว่าร้อยศพ โดยการบริหารงานที่ผิดพลาดของท่านในฐานะนายกรัฐมนตรี..
ท่านอย่าได้มาเสียเวลาเปลืองน้ำลายฝันบ้าๆบอๆไปว่าจะมีใครลุกขึ้นบ้าใส่เสื้อแดงเพื่อเป็นแนวร่วมกับท่านเพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้คนที่ท่านเองนั่นแหละเป็นคนทำพวกเขาตาย..ท่านเป็นคนที่จิตป่วยมากๆแล้ว ท่านต้องพบจิตแพทย์ และหลบไปอยู่ในที่สงบๆสักพัก”
ไล่ “มาร์ค” ใส่ชุดพลทหาร
ขณะที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึงพฤติกรรมของนายอภิสิทธิ์ว่า การแสดงความเห็นเป็นเสรีภาพ แต่การแสดงออกบางอย่างของนายอภิสิทธิ์ที่วันหนึ่งแต่งตัวล้อเลียน จ.ส.ต.ประสิทธิ์ และใส่เสื้อแดงเรียกร้องให้เสื้อแดงสนับสนุน ถือว่าผิดปรกติและอาการอยู่ในขั้นที่ประชาชนต้องพิจารณาแล้ว เพราะหลังจากพรรคประชาธิปัตย์เปิดเวทีปราศรัยทั่วประเทศอาการก็เริ่มหนักขึ้นทุกวัน ตนอยากให้ความรู้นายอภิสิทธิ์ว่า ปัญหาทางการเมืองขณะนี้ไม่ได้อยู่ที่สีเสื้อ ไม่ใช่ว่าใส่เสื้อสีเดียวกันแล้วจะนับเป็นพวก จนลืมหลักการประชาธิปไตยที่ผลักดันให้ประชาชนออกมาต่อสู้โดยไม่กลัวเสียอิสรภาพ แต่สีเสื้อเป็นสัญ ลักษณ์ของการรวมกลุ่มเท่านั้น นายอภิสิทธิ์ไม่เคยเข้าใจเรื่องนี้ เพราะหากเข้าใจประชาชนจะไม่ถูกสไนเปอร์ยิงตายเกือบร้อยชีวิต และมีนายกรัฐมนตรี ที่ไม่เคยรับผิดชอบอะไร
“ผมอยากให้นายอภิสิทธิ์ใส่ชุดพลทหาร เพื่อสื่อสารไปถึงคนทั้งประเทศว่า ลูกชาวนา คนยากจน ต้องเกณฑ์ทหาร” นายณัฐวุฒิกล่าวและว่า การใส่เสื้อแดงไม่มีความหมายอย่างที่นายอภิสิทธิ์ต้องการ การแต่งกายของนายอภิสิทธิ์ไม่มีผลอะไรกับการเคลื่อนไหวหรือการต่อสู้ของคนเสื้อแดงให้อ่อนแอหรือแตกแยก ตรงข้ามจะเข้มแข็งและรวมพลังกันมากขึ้น เพราะรู้ว่านายอภิสิทธิ์ไม่จริงใจ แต่มีเป้าหมาย ทางการเมืองแอบแฝง ยิ่งทำให้คนเสื้อแดงตื่นตัวและ รวมพลังกัน เหมือนอยู่ในบ้านและเห็นแมลงสาบจะเข้าบ้าน เป็นธรรมดาที่เจ้าของบ้านต้องต่อต้าน
ปชป. ยุคผู้นำ “ป่วย”!
อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมของนายอภิสิทธิ์และจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ที่ประกาศชัดเจนว่าจะต่อต้านร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง และการแก้ไขรัฐ ธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับองค์กรอิสระ และมาตรา 309 โดยการสร้างกระแสให้เชื่อว่าทั้งหมดเป็นการปรองดองจอมปลอม และล้างความผิดให้ พ.ต.ท. ทักษิณนั้น ก็มีคำถามว่าจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ต้องการให้บ้านเมืองมีระบอบประชาธิปไตยที่มาจากประชาชน และเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง หรือเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆที่ต้องยึดโยงกับอำนาจนอกระบบ และผู้มีบารมีนอกระบบอย่างทุกวันนี้
โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ที่มีคำถามถึง “จริย ธรรม” ในฐานะเป็นทั้งผู้นำรัฐบาลและผู้นำฝ่ายค้าน ซึ่งวันนี้ยังใช้วาทกรรมเป็นอาวุธทิ่มแทงฝ่ายตรงข้ามทุกรูปแบบนั้น จะทำให้ประชาชนเชื่อและเลือกพรรคประชาธิปัตย์ให้กลับมาเป็นรัฐบาลในอนาคตได้ หรือแค่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ไม่ปรกติอย่างที่ผ่านมา เพื่อมี “กลไกพิเศษ” ให้พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาลอีกครั้ง เพราะเชื่อว่าแม้จะมีการเลือกตั้งใหม่ พรรคประชาธิปัตย์ก็จะพ่ายแพ้การเลือกตั้งเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
โดยเฉพาะครั้งล่าสุด พรรคประชาธิปัตย์แพ้พรรคเพื่อไทยอย่างราบคาบนั้น มีสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์จำนวนหนึ่งต้องการให้ปฏิรูปพรรคแบบถอนรากถอนโคน ไม่ใช่แค่เปลี่ยนหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรค อย่างที่นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล ผู้อาวุโสพรรคประชาธิปัตย์ ระบุถึงความพ่ายแพ้ของพรรคประชาธิปัตย์ว่า เป็นเพราะ “สร้างศัตรู” ไว้มาก แม้แต่คะแนนเสียงในภาคใต้ยังลดลง ในพรรคก็มีปัญหาความไม่เท่าเทียมในแต่ ละกลุ่มก๊วน เปรียบเทียบรัฐบาลชวน 2 จะเห็นคนเก่าคนแก่ในพรรคเป็นหลัก แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์กลับหายหน้าไปหมด เพราะ “นายกฯโดดเดี่ยวตัวเอง”
เช่นเดียวกับนายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่วิจารณ์จุดอ่อนสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์คือการบริหารงาน ส่วนจุดอ่อนของนายอภิสิทธิ์คือใช้คนไม่เป็น ไม่ฟังคนเก่าคนแก่ โดยนายอภิสิทธิ์เคยมาหาตน 2 ครั้งสมัยเป็นนายกฯ และให้คำแนะนำไปหลายอย่าง แต่ไม่ทำสักอย่าง เคยคุยวิธีจะแก้ไขความปรองดอง บอกขั้นตอนทุกอย่าง แม้กระทั่งก่อนเลือกตั้งหลายเดือนให้เตรียมบินไปคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณแบบส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับพรรค ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณก็ตกลงหมดทุกอย่าง แต่นายอภิสิทธิ์ก็รับฟังเฉยๆ
อย่างไรก็ตาม นายพิชัยยอมรับว่านายอภิสิทธิ์เป็นคนดี มีความซื่อสัตย์ แต่ใช้คนไม่เป็น ใช้คนไม่กี่คนที่ล้อมรอบ แม้กระทั่งนายชวน หลีกภัย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ก็เคยเตือน แต่ก็ไม่ฟัง “มันมาจากสันดานคนที่ไม่เหมือนกัน สันดานของคนที่ไม่รู้จักใช้คน”
พรรคประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์จึงมีปัญหาทั้งในพรรคและนอกพรรค โดยเฉพาะพฤติกรรมของนายอภิสิทธิ์ที่ถูกกล่าวหาเป็น “ฆาตกร” ซึ่งทำให้นายอภิสิทธิ์ถูกตั้งคำถามถึง “จริยธรรม” และ “สำนึกทางการเมือง” ที่นายอภิสิทธิ์พร่ำสอนและเรียกร้องให้คนอื่นมี “จริย ธรรม” และ “สำนึกทางการเมือง” แต่นายอภิสิทธิ์ กลับถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมายว่าไม่มีสำนึกทางการเมืองและจริยธรรมเสียเอง
แต่จากเหตุการณ์และพฤติกรรมที่แสดงออกมาทั้งหมด โดยเฉพาะหลังแพ้การเลือกตั้งซ้ำซาก คนไทยอาจต้องคิดใหม่และเปลี่ยนมาเห็นอกเห็นใจนายอภิสิทธิ์มากขึ้น
เพราะคนเสื้อสีต่างๆ แม้แต่เสื้อหลากสีเองก็ชักจะเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่านายอภิสิทธิ์มีอาการ “ป่วยทางจิต” จนถึงขั้น “สติวิปลาส” ไปแล้วหรือไม่?
ถ้ามีการเปลี่ยนตัวหัวหน้า พรรคประชาธิ ปัตย์ขึ้นมาจริงๆ ..เห็นทีพรรคเพื่อไทยจะเดือดร้อน!
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)