ครม. ฟ่อไม่กล้ามีมติให้นาซ่าใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็นฐานปฏิบัติการบินสำรวจชั้นบรรยากาศ อ้างยังมีความสนับสนุนและเข้าใจคลาดเคลื่อนหลายด้านจำเป็นต้องส่งเรื่องเข้าสภา โดยขอเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามมาตรา 179 ในเดือน ส.ค. “สุรพงษ์” ยอมรับที่ประชุมกลัวถูกฟ้องยุบพรรคจึงไม่อยากเสี่ยง “อานนท์” เสียดายที่ชาติเสียโอกาส ระบุปีนี้มาสำรวจไม่ทันแล้ว และไม่แน่ว่าปีหน้าจะมาหรือไม่ เพราะนาซ่าต้องใช้อุปกรณ์สำรวจในส่วนอื่นของโลก
+++++++++++++
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าที่ประชุมพิจารณากรณีที่องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐ (นาซ่า) ขอใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็นฐานปฏิบัติการบินสำรวจชั้นบรรยากาศ ซึ่งมีการแสดงความเห็นกันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะกรณีหนังสือสัญญาที่ไทยจะส่งไปให้สหรัฐที่เขียนไว้กว้างๆนั้นใช้ภาษีที่ยืดหยุ่น ทำให้มีความเป็นห่วงเรื่องการตีความของศาล หากมีผู้ไปฟ้องร้องอาจมีผลให้ยุบพรรคได้ จึงมีการยกตัวอย่างกรณีการทำกับข้าวของนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี มาเทียบเคียง
“ที่ประชุมห่วงเรื่องนี้มากเพราะกระบวนการบางอย่างยังไม่ยุติธรรมเท่าที่ควร จึงเห็นตรงกันว่าควรเอาเรื่องเข้าสู่สภา แต่เป็นการเปิดอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 179 เพื่อให้รัฐบาลมีเวทีชี้แจงข้อเท็จจริงลบล้างข้อมูลที่คลาดเคลื่อนของฝ่ายค้านโดยไม่มีการลงมติ ไม่ใช่การพิจารณาตามมาตรา 190 (2) อย่างไรก็ตาม การสำรวจการก่อตัวของเมฆฝนคงไม่ทัน เพราะกว่าสภาจะเปิดสมัยประชุมก็เดือน ส.ค. จึงทำให้เราเสียโอกาสเรื่องนี้ไป ใครที่เล่นการเมืองจนเกินงาม ไม่คิดถึงผลประโยชน์ของชาติก็ต้องรับผิดชอบ”
นายอานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือจิสด้า กล่าวว่า โครงการนี้จะเติมช่องว่างทางวิชาการที่เราขาด คือการเก็บชั้นบรรยากาศที่สำคัญในการปรับปรุงแบบจำลอง พยากรณ์เมฆ ฝน หมอกควัน ที่มีผลต่อสุขภาพและอากาศยาน เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ ครม. ตัดสินใจเช่นนี้
“ปีนี้เราเสียโอกาส ส่วนปีหน้าจะมาหรือไม่ต้องไปหารือรายละเอียดกันใหม่ เพราะนาซ่าต้องเอาเครื่องมือไปใช้ในส่วนอื่นๆของโลก”
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีการลงนามในข้อตกลงที่เป็นการผูกมัดใดๆ แม้เรื่องนี้คณะกรรมการกฤษฎีกายืนยันว่าไม่เข้ามาตรา 190 (2) และพยายามให้ผู้เกี่ยวข้องชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนแล้ว แต่ยังมีความเห็นที่แตกต่างและข้อกังวลใจอีกหลายเรื่องจากฝ่ายต่างๆ รัฐบาลจึงตัดสินใจให้ไปอภิปรายกันในสภาตามมาตรา 197 เพื่อเอาข้อมูลของแต่ละฝ่ายมาถกเถียงกัน
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน กล่าวว่า ครม. หมกเม็ดและหลีกเลี่ยงที่จะปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 เพราะการอภิปรายในมาตรา 179 ไม่มีการลงมติ ไม่มีผลผูกพันกับ ครม. ที่ไปตกลงกับสหรัฐไว้แล้ว
“การที่รัฐบาลหลบเลี่ยงมาตรา 190 มาใช้มาตรา 179 เพื่อหนีการเปิดเผยหนังสือสัญญา คำขอใช้สนามบิน และรายละเอียดที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งอาจมีความไม่ชอบมาพากลหรือวาระแอบแฝงอย่างที่หลายฝ่ายกังวลอยู่ ทั้งเรื่องผลประโยชน์จากทรัพยากรและการสอดแนมด้านความมั่นคง” นายสุริยะใสกล่าวอีกว่า หลังการอภิปรายเสร็จหาก ครม. อนุมัติให้นาซ่าใช้สนามบินอย่างเป็นทางการ กลุ่มกรีนจะยื่นฟ้องต่อศาลปกครองให้ระงับมติ และจะร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญรวมถึงผู้ตรวจการแผ่นดินด้วย
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า ข้อมูลที่ฝ่ายค้านนำมาเปิดเผยล้วนเป็นจริงที่รัฐบาลปฏิเสธไม่ได้ จึงต้องเอาเรื่องเข้าสภา
น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เหตุใดนาซ่าไม่สามารถตอบคำถามของสภาความมั่นคงแห่งชาติได้ว่าการสำรวจสภาพอากาศต้องมีบริษัทที่ดำเนินธุรกิจน้ำมันเข้าร่วมด้วย
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555
มีเงินจ้างผีโม่แป้งได้ !!!?
บิณฑบาต หยุดเสียเหอะ..เพราะถึงจะเททองออกจากกรุมาขาย..เพื่อแปลสภาพมาเป็น “เงิน” ถึงอย่างไร ก็ “ล้มรัฐบาลปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ได้
เงินจ้างคนเลว ทำชั่ว ได้ทุกประการ
แต่ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” มาด้วยเสียงสวรรค์นับสิบ ๆ ล้าน..คงล้มเธอไม่ได้ดอกท่าน
หยุดปั่นประเทศ เล่นกันตามระบบประชาธิปไตย “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” มีวาระละ ๔ ปี..เมื่อครบเทอมทำไม่ดี “ประชาชน” ก็จะเสือกไส ไม่เลือกเธอเสร็จสรรพ
เททองออกมาขาย..เพื่อล้ม “ยิ่งลักษณ์”ให้ได้...ขอบอกให้ไม่มีวัน สำเร็จหรอกครับ
+++++++++++++++++++++++
ผีเน่ากับโลงผุ
ไปงัดเอา “กลุ่มพัฒนาชาติไทย” เพื่อมาล้มรัฐบาลของคนทั้งประเทศ แผนนี้ จึงไม่บรรลุ
เหมือนที่ไปเอา “นายกฯ เขายายเที่ยง” พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ มาใหญ่ครองเมือง..แต่ก็ล้ม “ทักษิณ ชินวัตร” ได้ไม่สนิท
ใช้วิธีเอาคน “หัวซ้าย” มาไล่บี้บีฑา กับ “คนเสื้อแดง” เป็นยุทธวิธีที่ผิด
ไปปลุกเอา “ผีคอมมิวนิสต์” ขึ้นมาอาละวาด..ทั้งที่ก่อนหน้าที่ รับไม่ได้กับขบวนการ “ล้มสถาบัน”..แต่นี่กลับเชิดชู “หัวซ้ายรุนแรง”
ใครที่ขุดหลุดเอาผี “คอมฯ”ขึ้นมาโผล่...บอกได้คำโต ๆ ...ว่าแผนนี้เสียค่าโง่อย่างสุดแพง
++++++++++++++++++++++
รู้เขารู้เรา..ก็พอสู้กันได้
รุกหนักแบบจัดเต็ม ในการสอย “ส.ส.พรรคเพื่อไทย” ให้ร่วงหล่นหายไป
“สส.เก่ง” การุณ โหสกุล ขวัญใจชาวทุ่งดอนเมือง ถูก “กกต.” ของ “ท่านอภิชาต สุขัคคานนท์” จับแพ้ฟาล์ว พ้นจากสภาฯ
ด้าน “วอร์รูมพรรคเพื่อไทย”..รู้ว่าต่อไป เขาเตรียมสอยให้ร่วงทีละคน..ก็เตรียมแผนรับมือ กันเต็มอัตรา
ไปเอา “กลุ่ม สส.มัชฌิมา” ของ “สมศักดิ์ เทพสุทิน ที่อยู่กับ “พรรคภูมิใจไทย” ของ “เนวิน ชิดชอบ” เข้ามาเสริมทัพ
ต่อให้สอย สส.มากกว่านี้...ก็ใช้กำลังเข้าบดขยี้?.ตีพรรคเพื่อไทย แตกยากขอรับ
++++++++++++++++++++++
สมบัติผลัดกันชม
ถึงคราวที่จะต้องมีการ เปลี่ยนตัว “แม่ทัพใหญ่” คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
“บิ๊กโอ๋” พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต ที่ถูกโยกมาเป็น “รัฐมนตรีว่าการ” ต้องเปลี่ยนตัว เพื่อความมั่นคง ของรัฐบาล
เปิดทางโล่ง ให้ “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สวมหมวก ๒ ใบ เข้ามาเป็น “รัฐมนตรีว่าการกลาโหม” เพื่อคุมสถานการณ์
โดยจะได้ “เดอะโอ๋” พล.อ.พฤษณ สุวรรณทัต ว่าที่พ่อตา “หนุ่มโอ็ค” พานทองแพ้ ชินวัตร ก้าวย่างสามขุม เข้ามาเป็น “รัฐมนตรีช่วยกระทรวงกลาโหม” เพื่อคุมเกมการเมืองแบบตัวจริง
พล.อ.พฤษณ สุวรรณทัต..เป็นนักสู้บ๊ะสะบัด...เข้ามาคุมการปฏิวัติให้นิ่ง
++++++++++++++++++++++
ถูกมองข้าม
พอการเมือง ร้อนระอุ ก็โทรทางไกลมาสอบถาม
ถึงจะมองว่า เป็น “นายพลที่ตกยุค” แต่ทว่า.. “พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี” ยังซื่อสัตย์ต่อพรรคเพื่อไทย โดยไม่สละเรือทิ้งหนี
ถึงเพื่อนรักเพื่อนเลิฟ จปร.๗ อย่าง “พล.ต.มนูญกฤษ รูปขจร , “พล.ต.จำลอง ศรีเมือง” จะชวนไปอยู่ด้วย ก็ปฏิเสธไม่ทุกที
หยั่งกะที่บอกนั่นแหละ พอข่าวปฏิวัติแพร่กระจาย ก็จะให้ “พล.อ.พัลลภ” ออกไปปราบ..โดยอำนาจและการสั่งการทหารนั้น ไม่เคยมอบดาบอาญาสิทธิ์ ให้เลย
ถ้าตั้งเป็น “รัฐมนตรี”... “บิ๊กพัลลภ”ชนเต็มที่..นี่ไม่มีอำนาจ ท่านจึงได้แต่นั่งเฉย ๆ
ที่มา.คอลัมน์ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
เงินจ้างคนเลว ทำชั่ว ได้ทุกประการ
แต่ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” มาด้วยเสียงสวรรค์นับสิบ ๆ ล้าน..คงล้มเธอไม่ได้ดอกท่าน
หยุดปั่นประเทศ เล่นกันตามระบบประชาธิปไตย “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” มีวาระละ ๔ ปี..เมื่อครบเทอมทำไม่ดี “ประชาชน” ก็จะเสือกไส ไม่เลือกเธอเสร็จสรรพ
เททองออกมาขาย..เพื่อล้ม “ยิ่งลักษณ์”ให้ได้...ขอบอกให้ไม่มีวัน สำเร็จหรอกครับ
+++++++++++++++++++++++
ผีเน่ากับโลงผุ
ไปงัดเอา “กลุ่มพัฒนาชาติไทย” เพื่อมาล้มรัฐบาลของคนทั้งประเทศ แผนนี้ จึงไม่บรรลุ
เหมือนที่ไปเอา “นายกฯ เขายายเที่ยง” พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ มาใหญ่ครองเมือง..แต่ก็ล้ม “ทักษิณ ชินวัตร” ได้ไม่สนิท
ใช้วิธีเอาคน “หัวซ้าย” มาไล่บี้บีฑา กับ “คนเสื้อแดง” เป็นยุทธวิธีที่ผิด
ไปปลุกเอา “ผีคอมมิวนิสต์” ขึ้นมาอาละวาด..ทั้งที่ก่อนหน้าที่ รับไม่ได้กับขบวนการ “ล้มสถาบัน”..แต่นี่กลับเชิดชู “หัวซ้ายรุนแรง”
ใครที่ขุดหลุดเอาผี “คอมฯ”ขึ้นมาโผล่...บอกได้คำโต ๆ ...ว่าแผนนี้เสียค่าโง่อย่างสุดแพง
++++++++++++++++++++++
รู้เขารู้เรา..ก็พอสู้กันได้
รุกหนักแบบจัดเต็ม ในการสอย “ส.ส.พรรคเพื่อไทย” ให้ร่วงหล่นหายไป
“สส.เก่ง” การุณ โหสกุล ขวัญใจชาวทุ่งดอนเมือง ถูก “กกต.” ของ “ท่านอภิชาต สุขัคคานนท์” จับแพ้ฟาล์ว พ้นจากสภาฯ
ด้าน “วอร์รูมพรรคเพื่อไทย”..รู้ว่าต่อไป เขาเตรียมสอยให้ร่วงทีละคน..ก็เตรียมแผนรับมือ กันเต็มอัตรา
ไปเอา “กลุ่ม สส.มัชฌิมา” ของ “สมศักดิ์ เทพสุทิน ที่อยู่กับ “พรรคภูมิใจไทย” ของ “เนวิน ชิดชอบ” เข้ามาเสริมทัพ
ต่อให้สอย สส.มากกว่านี้...ก็ใช้กำลังเข้าบดขยี้?.ตีพรรคเพื่อไทย แตกยากขอรับ
++++++++++++++++++++++
สมบัติผลัดกันชม
ถึงคราวที่จะต้องมีการ เปลี่ยนตัว “แม่ทัพใหญ่” คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
“บิ๊กโอ๋” พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต ที่ถูกโยกมาเป็น “รัฐมนตรีว่าการ” ต้องเปลี่ยนตัว เพื่อความมั่นคง ของรัฐบาล
เปิดทางโล่ง ให้ “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สวมหมวก ๒ ใบ เข้ามาเป็น “รัฐมนตรีว่าการกลาโหม” เพื่อคุมสถานการณ์
โดยจะได้ “เดอะโอ๋” พล.อ.พฤษณ สุวรรณทัต ว่าที่พ่อตา “หนุ่มโอ็ค” พานทองแพ้ ชินวัตร ก้าวย่างสามขุม เข้ามาเป็น “รัฐมนตรีช่วยกระทรวงกลาโหม” เพื่อคุมเกมการเมืองแบบตัวจริง
พล.อ.พฤษณ สุวรรณทัต..เป็นนักสู้บ๊ะสะบัด...เข้ามาคุมการปฏิวัติให้นิ่ง
++++++++++++++++++++++
ถูกมองข้าม
พอการเมือง ร้อนระอุ ก็โทรทางไกลมาสอบถาม
ถึงจะมองว่า เป็น “นายพลที่ตกยุค” แต่ทว่า.. “พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี” ยังซื่อสัตย์ต่อพรรคเพื่อไทย โดยไม่สละเรือทิ้งหนี
ถึงเพื่อนรักเพื่อนเลิฟ จปร.๗ อย่าง “พล.ต.มนูญกฤษ รูปขจร , “พล.ต.จำลอง ศรีเมือง” จะชวนไปอยู่ด้วย ก็ปฏิเสธไม่ทุกที
หยั่งกะที่บอกนั่นแหละ พอข่าวปฏิวัติแพร่กระจาย ก็จะให้ “พล.อ.พัลลภ” ออกไปปราบ..โดยอำนาจและการสั่งการทหารนั้น ไม่เคยมอบดาบอาญาสิทธิ์ ให้เลย
ถ้าตั้งเป็น “รัฐมนตรี”... “บิ๊กพัลลภ”ชนเต็มที่..นี่ไม่มีอำนาจ ท่านจึงได้แต่นั่งเฉย ๆ
ที่มา.คอลัมน์ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ค้านดะ... แค่เกมป่วน หรือจ้องล้ม !!?
จะเป็นเพราะรู้แกวว่า พรรคเพื่อไทยไม่มีดวง หรือเรียกว่า ดวงกุดเลยก็ว่าได้ สำหรับระบบยุติธรรมในยุคนี้
หรือจะเป็นเพราะว่าผยองในความโชคดี หรือในการที่ได้รับความเอื้อเอ็นดูจากกลุ่มบุคคลในระบบยุติธรรมบางกลุ่มมากเป็นพิเศษ จนไม่ว่าต่อให้เข้าตาจนสักเพียงใด ก็จะรอดสันดอนไปได้อย่างหวุดหวิดเฉียดฉิว
แม้จะต้องชนะฟาล์ว ชนิดค้านสายตาคนดูทั้งประเทศ หรือคนทั้งโลก ก็ไม่สน
แม้แต่กระทั่งจะดึงให้ระบบยุติธรรมสั่นคลอน ไปด้วยคำว่า “ตุลาการภิวัฒน์”ก็ตาม ก็ไม่สนอีกเช่นกัน
เห็นได้ชัดจากท่าทีและการแสดงออกของพรรคประชาธิปัตย์ ในวันนี้ ที่เดินหน้าค้านดะ! ไปหมดทุกเรื่อง โดยไม่สนใจว่าจะเป็นเรื่องที่ได้ประโยชน์กับประเทศชาติหรือไม่
หรือแม้แต่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องที่พรรคประชาธิปัตย์จะเคยดำเนินการมาก่อนก็ตาม
กรณีล่าสุดคือเรื่อง องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือ องค์การนาซ่า ขอใช้เพื่อจอดอากาศยานขึ้นบินเพื่อตรวจสอบสภาพอากาศ ที่โดนพรรคประชาธิปัตย์ค้านดะจนกระทั่ง นาซ่าทำท่าว่าจะเป็นฝ่ายที่พร้อมยุติโครงการเสียเองแล้ว
ในเมื่อพรรคฝ่ายค้านของไทยค้านดะ โดยไม่ฟังเหตุผลใดๆ โดยตั้งสมมุติฐานเอาเองเพียงแค่ว่า เรื่องนี้เป็นการทำเพื่อแลกเปลี่ยนกับการออกวีซ่าเข้าสหรัฐอเมริกาให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
หากคิดได้แค่นี้ ยังคงก้าวข้ามไม่พ้นคนๆเดียว และมีอคติจนดันทุรังโยงทุกอย่างเข้าไปเป็นเกมการเมือง หวังปลุกเร้าคนไทยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นตัวการอยู่เบื้องหลัง จึงต้องปิดหูปิดตาค้านหัวชนฝา
นาซ่า เจอแบบนี้ ย่อมไม่อยากที่จะเข้าไปในวังวนหรือปลักน้ำครำการเมืองไทยให้เปรอะเปื้อนไปด้วย จึงเริ่มแสดงท่าทีแล้วว่า หากการเมืองไทยมีปัญหาจนทำให้การตอบรับโครงการล่าช้า ก็จะขอยุติโครงการเสียเอง
ทั้งๆที่พรรคประชาธิปัตย์ รู้อยู่แก่ใจลึกๆว่า โครงการการจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและบรรเทาภัยพิบัติ (HADR) กับ โครงการการศึกษาการก่อตัวของเมฆที่มีผลกระทบต่อสภาพอากาศ (SEAC4RS) ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นมาโดยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แต่อย่างใด
เพราะโครงการ HADR ริเริ่มขึ้นมาโดยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยที่มีการไปนำเสนอต่อที่ประชุมอาเซียนสหประชาชาติครั้งที่ 3 ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2553
ปรากฏหลักฐานแจ้งชัด รัฐบาลประเทศต่างๆทั่วโลก รัฐบาลประเทศในภูมิภาครู้ด้วยกันทั้งนั้น
เช่นเดียวกับโครงการ SEAC4RS สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ก็ได้มาพูดคุยกับกระทรวงการต่างประเทศตั้งแต่เมื่อเดือนมีนาคม 2554 รวมแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง
ที่สำคัญโครงการนี้ก็มิได้ดำเนินไปแบบงุบงิบหรือว่าเป็นการแอบดำเนินการ แต่ทำมาอย่างเปิดเผย โดยตั้งแต่เมื่อเดือนกันยายน 2553 มาแล้วที่องค์การนาซาของสหรัฐได้ลงนามความร่วมมือทางวิชาการกับสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (จีสด้า) เพื่อตรวจสภาพอากาศและการพยากรณ์อากาศ
ทั้งหมดนี้ล้วนริเริ่มขึ้นในสมัยของรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ ทั้งสิ้น
แต่วันนี้นายอภิสิทธิ์ ซึ่งพ่ายแพ้การเลือกตั้งแบบหมดรูป จนต้องจำใจมาเป็นพรรคฝ่ายค้าน กลับใช้เหตุแห่งการก้าวข้ามไม่พ้นคนชื่อทักษิณ เดินหน้าค้านดะในสิ่งที่เป็นคนที่ริเริ่มขึ้นมาเองกับมือ
และด้วยความที่รู้ทางว่า ในสภาวะปัจจุบันที่ “ตุลาการภิวัฒน์”ได้สร้างอิทธิปาฏิหาริย์จนทำให้พรรคเพื่อไทยไม่กล้าเสี่ยง ไม่กล้าบุ่มบ่ามกับเรื่องที่อาจจะต้องมีการตีความโดยระบบยุติธรรมอีกต่อไปแล้ว
ก็ขนาดอำนาจ 3 เสาหลักตามระบอบประชาธิปไตย นิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ ยังโดนเขย่าจากการตีความเข้าทางพรรคประชาธิปัตย์ และ 40 ส.ว.มาแล้ว แม้ว่าบรรดานักปราชญ์ราชบัณฑิตด้านรัฐศาสตร์ ด้านนิติศาสตร์ นักกฎหมาย นักวิชการ จะออกมาบอกว่าการตีความออกคำสั่งของตุลาการรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจผูกพันที่จะมาแทรกแทรงรัฐสภาได้ ให้เดินหน้าชนเลย
แต่พรรคเพื่อไทยก็ไม่กล้าเสี่ยง ต้องยอมถอย
พรรคประชาธิปัตย์ก็ย่อมย่ามใจ และทำให้ในครั้งนี้ก็ใช้แนวเดิมคือลากเข้า ม.190 จนได้ ทั้งๆที่ในตอนที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ทำเรื่องนี้ไม่ได้มีการพูดถึงหรือเอามาผ่านกระบวนการ ม.190 สักแอะ
ประชาธิปัตย์สั่งระบบยุติธรรมได้หรือไม่??? คงไม่มีใครที่จะระบุยืนยันชัดเจน ได้แต่ปล่อยให้เป็นเรื่องที่รู้อยู่แก่ใจเห็นอยู่ด้วยตากับสิ่งที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา
สั่งได้สั่งไม่ได้ไม่รู้ แต่ที่รู้แน่ๆเวลานี้ประชาธิปัตย์ผยองมากกับการดึงทุกเรื่องให้ผ่านกระบวนการตีความของระบบยุติธรรม
ฉะนั้นวันนี้จึงป่วยการเปล่าที่ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะยืนยัน นั่งยัน นอนยันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับการวิจัย ไม่ใช่เรื่องทางทหาร เนื่องจากนาซาเข้ามาเรื่องวิทยาศาสตร์จริงๆ และทางกระทรวงกลาโหมก็จะส่งคนไปร่วมทีมด้วย เพื่อดูแลด้านความมั่นคง
เช่นการขึ้นไปตรวจสอบเครื่องบินที่จะมาสำรวจสภาพอากาศว่ามีอุปกรณ์อะไรบ้าง
ยิ่งเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีการตีประเด็นสร้างกระแสขึ้นมาว่า ประเทศนั้นประเทศนี้อาจจะไม่พอใจ โดยเฉพาะประเทศจีนนั้น เอาเข้าจริง พล.อ.อ.สุกำพลก็ยืนยันว่าทางประเทศจีนไม่ได้สอบถามอะไร และไม่มีปัญหาอะไร รวมทั้งไม่ได้เสดงความห่วงอะไรเลย มีแต่คนไทยเท่านั้นที่ห่วงแทนประเทศจีน
“จีนก็ไม่ได้มีการทำหนังสือขอคำชี้แจงอะไร หากมีเรื่องอะไรกระทบกับจีนทางจีนคงพูดไปแล้ว วันนี้ทางจีนก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบอะไร”
อีกทั้งทางประเทศกัมพูชาและสิงคโปร์ก็อนุญาตให้เครื่องบินทั้ง 3 ลำของนาซ่าขึ้นบินสำรวจเหนือน่านฟ้า เพื่อภารกิจทำการวิจัยในเรื่องนี้ได้ เพราะเป็นประโยชน์ของทั้งโลก ไม่ใช่ของประเทศไทยหรือของนาซ่า หรือเฉพาะภูมิภาคนี้
“หากทำแบบที่เป็นอยู่ ผมคิดว่ามันไม่ได้เป็นการรักประเทศชาติ ต้องดูว่ามีขอบเขตแค่ไหน และควรแยกให้ออกว่าเรื่องวิจัยก็เป็นเรื่องของการวิจัย นำไปพันโน้นพันนี่ มันไม่ถูก ที่นำไปอ้างว่าจะเสียอธิปไตยนั้น ความจริงแล้วทางสหรัฐฯเสียอธิปไตยมากกว่า เพราะเจ้าหน้าที่เราสามารถขึ้นไปตรวจสอบเครื่องบินที่จะทำการสำรวจวิจัยได้ ดังนั้นอย่าไปคิดในทางที่ไม่ดี”
แต่นายอภิสิทธิ์ และแก๊ง หูอื้ออึงไปด้วยตัณหาการเมือง จนไม่ยอมรับฟังอะไรแล้ว จึงป่วยการที่จะชี้แจง
ก็ขนาดนายปณิธาน วัฒนายากร อดีตรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ซึ่งมีความเป็นนักวิชาการมากกว่าความเป็นนักการเมือง ก็ยังยอมรับเลยว่าตัวโครงการไม่น่ามีปัญหา เพราะเป็นโครงการทางวิทยาศาสตร์และการช่วยเหลือทางมนุษยธรรม
ส่วนการที่โครงการนี้เริ่มตั้งแต่รัฐบาลชุดที่แล้วทำไมไม่ออกมาบอกสังคมหรือทำไมไม่ต้องผ่านสภาม.190 นายปณิธานอ้างว่าโครงการนี้เริ่มตั้งแต่รัฐบาลชุดที่แล้วก็จริง แต่ยังไม่ทำอะไรมาก เพราะเพิ่งเริ่มต้นที่เราไปติดต่อ ก็มีการประสานงานมาที่กระทรวงการต่างประเทศ แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปอะไร เพราะมีการเลือกตั้ง ความจริงโครงการนี้ได้ประโยชน์ทุกฝ่าย แต่ต้องบอกรายละเอียด
นอกจากนี้ยังอาจจะมีเรื่องการเมืองระหว่างประเทศด้วย เพราะหากเราดำเนินโครงการอาจจะทำให้จีนไม่พอใจเราจะเสียเพื่อนไปกลุ่มหนึ่ง แต่หากเราล้มเลิกโครงกาก็จะทำให้สหรัฐฯไม่พอใจเราก็จะเสียเพื่อนไปอีกกลุ่ม
ดังนั้นต้องถามรัฐบาลว่าเราดำเนินนโยบายแบบไหนจะทำแบบเลือกข้างหรือไม่ หรือเลือกที่จะคบทุกฝ่าย หากเราเลือกข้างก็ง่าย คือหากเราเลือกจีนก็ยกเลิกโครงการหรือเราเลือกสหรัฐฯก็ดำเนินการต่อไป แต่หากเราจะเลือกทุกฝ่ายก็ต้องทำงานหนัก ต้องไปอธิบายให้จีนเข้าใจ
“ตอนนี้ทางคณะกรรมการที่รัฐบาลตั้งมาต้องรีบศึกษารายละเอียดและสรุปผลให้เร็ว เพราะสหรัฐฯก็เร่งมา และเราก็ต้องไปอธิบายกับจีนด้วย หากชักช้าอาจจะเสียผลประโยชน์จากทุกฝ่าย ตอนนี้ไทยกำลังถูกกระชากลากถูไปมาให้ต้องเลือกข้าง รัฐบาลต้องดำเนินนโยบายให้ดีอย่าสับสน”นายปณิธานกล่าว
จริงๆสิ่งที่นายปณิธานต้องการรายละเอียดนั้น ไม่ใช่แค่รัฐบาลจะให้คำตอบ ทางนาซ่าเองก็เปิดเผย ถึงขนาดที่จะเอา ดร.ก้องภพ อยู่เย็น วิศวกรคนไทยในนาซามาร่วมโครงการนี้ด้วย เพื่อให้ไทยสบายใจขึ้นว่า นาซามาเพื่อสำรวจสภาพอากาศจริงๆ
ที่สำคัญสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย ก็ได้ทำคำชี้แจงแล้วว่า นาซาได้เสนอขอใช้สนามบินอู่ตะเภา เป็นเวลา 6-8 สัปดาห์ เพื่อดำเนินงานค้นคว้าเกี่ยวกับรูปแบบสภาพอากาศมรสุมในเอเชียและผลกระทบของการปล่อยก๊าซต่อสิ่งแวดล้อม สำหรับโครงการศึกษาการก่อตัวของเมฆที่มีผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
“โครงการดังกล่าวขององค์การนาซาเป็นการดำเนินการทางวิทยาศาสตร์เพียงประการเดียว และมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์สุขของมนุษยชาติ ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ได้จากการศึกษาทั้งหมดทางอินเตอร์เน็ต และผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์จะนำไปตีพิมพ์ในวารสารด้านวิทยาศาสตร์”
และอย่าง นายธวัช วิรัตติพงศ์ นักวิทยาศาสตร์ชาวไทย ในฐานะผู้จัดการฝ่ายออกแบบและ ติดตั้งระบบการสื่อสารบนยานอวกาศไร้คนของนาซา ก็มีการให้สัมภาษณ์ว่า ที่หลายฝ่ายกังวลว่า กองทัพสหรัฐจะใช้นาซาเข้ามาล้วงความลับที่เป็นความมั่นคงนั้น ไม่มีทางเป็นไปได้ กองทัพสหรัฐมีเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำนำสมัยกว่าที่หลายคนคิดและรู้เห็นมาก
“ที่สำคัญคือ นาซากับกองทัพ ไม่ค่อยจะยุ่งกัน ยิ่งเรื่องการไปก้าวล่วงอาณานิคมของประเทศอื่นแล้วเอานาซาเป็นข้ออ้างนั้น เป็นไปไม่ได้เลย เราจะไม่มีวันที่จะทำจารกรรมประเทศอื่น โดยใช้การสำรวจทางวิทยาศาสตร์มาบังหน้าเด็ดขาด หากกระทรวงกลาโหมหรือกองทัพสหรัฐจะกระทำจารกรรมประเทศไทย หรือประเทศเพื่อนบ้าน โดยอาศัยภาพถ่ายทางอากาศ หรือการดักฟังข้อมูล ข่าวสารต่างๆ เขาจะมีวิธีการอื่นที่ดีและแยบคายกว่านี้แน่นอน เราไม่มีวันที่จะรู้ได้เลย ดังนั้น สิ่งที่นาซาได้ร้องขอมายังประเทศไทยในโครงการนี้ เป็นการขอความร่วมมือ เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประชาชนในโลก ไปตีความให้ยุ่งเหยิงและคิดมากไปเอง”นายธวัชกล่าว
เช่นกันกับ ดร.นริศรา ทองบุญชู ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมเคมี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ซึ่งเคยเข้าร่วมวิจัยกัยนาซ่า ก็ยอมรับว่า นาซาเปิดเผยข้อมูลทั้งหมด
แม้แต่สำนักฝนหลวงและการบินเกษตร ซึ่งร่วมประชุมกับเจ้าหน้าที่หลายฝ่ายตามคำเชิญของกระทรวงการต่างประเทศ ก็ทำรายงานถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยืนยันว่า
ประเทศไทยจะได้ประโยชน์ต่อการเสริมสร้างขีดความสามารถให้กับแวดวงวิทยาศาสตร์ช่วยพัฒนาขีดความสามารถในการพยากรณ์และการป้องกันภัยพิบัติในภูมิภาคนี้
ชัดๆแบบนี้ มีคนยืนยันแบบนี้ มีนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากออกมาแสดงความเสียดายหากโครงการนี้แท้ง ในฐานะนักวิชาการนายปณิธานน่าที่จะเอารายละเอียดเหล่านี้ไปบอกให้พลพรรคประชาธิปัตย์ฟังบ้าง ก็จะดีกับประเทศชาติไม่น้อย
วันนี้ความกังวลของพรรคประชาธิปัตย์ เชื่อมโยงฐานความคิดมาจากกลุ่มพันธมิตร ควรที่จะทบทวนว่าเป็นเรื่องอคติทางการเมืองจนเกินไปแล้วหรือไม่ หรือเป็นเจตนาจ้องล้มรัฐบาลใช่หรือไม่???
หรือจริงๆแล้วคือเกมการเมือง ที่ต้องค้านทุกเรื่องเพื่อไม่ให้รัฐบาลเดินหน้าใดๆให้เป็นผลงานได้ ยิ่งนับแต่วันที่นางสาวยิ่งลักษณ์เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี ท่าทีสหรัฐ ผ่านนางฮิลารี คลินตัน เห็นชัดว่าให้การยอมรับและสนับสนุนนางสาวยิ่งลักษณ์ มากกว่าตอนที่ประชาธิปัตย์ดั้นเมฆมาเป็นรัฐบาล ด้วยการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร
อาจจะเป็นแผลใจที่ทำให้ประชาธิปัตย์คาใจกับสหรัฐฯอยู่ลึกๆก็เป็นได้
จึงได้ลากเรื่องนี้มาเป็นการเมือง และดึงเอา พ.ต.ท.ทักษิณ มาโยงเข้าไป เพราะรู้ว่าประเด็นนี้ขายได้ทางการเมือง โดยเฉพาะกับกลุ่มคนที่ไม่เอา พ.ต.ท.ทักษิณ
ซึ่งการกระทำของประชาธิปัตย์ครั้งนี้ หากโครงการสำรวจของนาซ่าจะแท้งไป ก็คงจะดีเหมือนกัน เพราะหากไม่มีโครงการนี้ให้ประชาธิปัตย์โจมตีว่าเป็นโครงการแลกกับวีซ่าของ พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว
ถึงเวลาในเดือนกรกฎาคม พ.ต.ท.ทักษิณ สามารถบินไปสหรัฐฯได้
ตอนนั้นประชาธิปัตย์จะอ้างว่าอะไรอีก
ที่มา.บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
หรือจะเป็นเพราะว่าผยองในความโชคดี หรือในการที่ได้รับความเอื้อเอ็นดูจากกลุ่มบุคคลในระบบยุติธรรมบางกลุ่มมากเป็นพิเศษ จนไม่ว่าต่อให้เข้าตาจนสักเพียงใด ก็จะรอดสันดอนไปได้อย่างหวุดหวิดเฉียดฉิว
แม้จะต้องชนะฟาล์ว ชนิดค้านสายตาคนดูทั้งประเทศ หรือคนทั้งโลก ก็ไม่สน
แม้แต่กระทั่งจะดึงให้ระบบยุติธรรมสั่นคลอน ไปด้วยคำว่า “ตุลาการภิวัฒน์”ก็ตาม ก็ไม่สนอีกเช่นกัน
เห็นได้ชัดจากท่าทีและการแสดงออกของพรรคประชาธิปัตย์ ในวันนี้ ที่เดินหน้าค้านดะ! ไปหมดทุกเรื่อง โดยไม่สนใจว่าจะเป็นเรื่องที่ได้ประโยชน์กับประเทศชาติหรือไม่
หรือแม้แต่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องที่พรรคประชาธิปัตย์จะเคยดำเนินการมาก่อนก็ตาม
กรณีล่าสุดคือเรื่อง องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือ องค์การนาซ่า ขอใช้เพื่อจอดอากาศยานขึ้นบินเพื่อตรวจสอบสภาพอากาศ ที่โดนพรรคประชาธิปัตย์ค้านดะจนกระทั่ง นาซ่าทำท่าว่าจะเป็นฝ่ายที่พร้อมยุติโครงการเสียเองแล้ว
ในเมื่อพรรคฝ่ายค้านของไทยค้านดะ โดยไม่ฟังเหตุผลใดๆ โดยตั้งสมมุติฐานเอาเองเพียงแค่ว่า เรื่องนี้เป็นการทำเพื่อแลกเปลี่ยนกับการออกวีซ่าเข้าสหรัฐอเมริกาให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
หากคิดได้แค่นี้ ยังคงก้าวข้ามไม่พ้นคนๆเดียว และมีอคติจนดันทุรังโยงทุกอย่างเข้าไปเป็นเกมการเมือง หวังปลุกเร้าคนไทยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นตัวการอยู่เบื้องหลัง จึงต้องปิดหูปิดตาค้านหัวชนฝา
นาซ่า เจอแบบนี้ ย่อมไม่อยากที่จะเข้าไปในวังวนหรือปลักน้ำครำการเมืองไทยให้เปรอะเปื้อนไปด้วย จึงเริ่มแสดงท่าทีแล้วว่า หากการเมืองไทยมีปัญหาจนทำให้การตอบรับโครงการล่าช้า ก็จะขอยุติโครงการเสียเอง
ทั้งๆที่พรรคประชาธิปัตย์ รู้อยู่แก่ใจลึกๆว่า โครงการการจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและบรรเทาภัยพิบัติ (HADR) กับ โครงการการศึกษาการก่อตัวของเมฆที่มีผลกระทบต่อสภาพอากาศ (SEAC4RS) ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นมาโดยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แต่อย่างใด
เพราะโครงการ HADR ริเริ่มขึ้นมาโดยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยที่มีการไปนำเสนอต่อที่ประชุมอาเซียนสหประชาชาติครั้งที่ 3 ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2553
ปรากฏหลักฐานแจ้งชัด รัฐบาลประเทศต่างๆทั่วโลก รัฐบาลประเทศในภูมิภาครู้ด้วยกันทั้งนั้น
เช่นเดียวกับโครงการ SEAC4RS สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ก็ได้มาพูดคุยกับกระทรวงการต่างประเทศตั้งแต่เมื่อเดือนมีนาคม 2554 รวมแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง
ที่สำคัญโครงการนี้ก็มิได้ดำเนินไปแบบงุบงิบหรือว่าเป็นการแอบดำเนินการ แต่ทำมาอย่างเปิดเผย โดยตั้งแต่เมื่อเดือนกันยายน 2553 มาแล้วที่องค์การนาซาของสหรัฐได้ลงนามความร่วมมือทางวิชาการกับสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (จีสด้า) เพื่อตรวจสภาพอากาศและการพยากรณ์อากาศ
ทั้งหมดนี้ล้วนริเริ่มขึ้นในสมัยของรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ ทั้งสิ้น
แต่วันนี้นายอภิสิทธิ์ ซึ่งพ่ายแพ้การเลือกตั้งแบบหมดรูป จนต้องจำใจมาเป็นพรรคฝ่ายค้าน กลับใช้เหตุแห่งการก้าวข้ามไม่พ้นคนชื่อทักษิณ เดินหน้าค้านดะในสิ่งที่เป็นคนที่ริเริ่มขึ้นมาเองกับมือ
และด้วยความที่รู้ทางว่า ในสภาวะปัจจุบันที่ “ตุลาการภิวัฒน์”ได้สร้างอิทธิปาฏิหาริย์จนทำให้พรรคเพื่อไทยไม่กล้าเสี่ยง ไม่กล้าบุ่มบ่ามกับเรื่องที่อาจจะต้องมีการตีความโดยระบบยุติธรรมอีกต่อไปแล้ว
ก็ขนาดอำนาจ 3 เสาหลักตามระบอบประชาธิปไตย นิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ ยังโดนเขย่าจากการตีความเข้าทางพรรคประชาธิปัตย์ และ 40 ส.ว.มาแล้ว แม้ว่าบรรดานักปราชญ์ราชบัณฑิตด้านรัฐศาสตร์ ด้านนิติศาสตร์ นักกฎหมาย นักวิชการ จะออกมาบอกว่าการตีความออกคำสั่งของตุลาการรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจผูกพันที่จะมาแทรกแทรงรัฐสภาได้ ให้เดินหน้าชนเลย
แต่พรรคเพื่อไทยก็ไม่กล้าเสี่ยง ต้องยอมถอย
พรรคประชาธิปัตย์ก็ย่อมย่ามใจ และทำให้ในครั้งนี้ก็ใช้แนวเดิมคือลากเข้า ม.190 จนได้ ทั้งๆที่ในตอนที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ทำเรื่องนี้ไม่ได้มีการพูดถึงหรือเอามาผ่านกระบวนการ ม.190 สักแอะ
ประชาธิปัตย์สั่งระบบยุติธรรมได้หรือไม่??? คงไม่มีใครที่จะระบุยืนยันชัดเจน ได้แต่ปล่อยให้เป็นเรื่องที่รู้อยู่แก่ใจเห็นอยู่ด้วยตากับสิ่งที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา
สั่งได้สั่งไม่ได้ไม่รู้ แต่ที่รู้แน่ๆเวลานี้ประชาธิปัตย์ผยองมากกับการดึงทุกเรื่องให้ผ่านกระบวนการตีความของระบบยุติธรรม
ฉะนั้นวันนี้จึงป่วยการเปล่าที่ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะยืนยัน นั่งยัน นอนยันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับการวิจัย ไม่ใช่เรื่องทางทหาร เนื่องจากนาซาเข้ามาเรื่องวิทยาศาสตร์จริงๆ และทางกระทรวงกลาโหมก็จะส่งคนไปร่วมทีมด้วย เพื่อดูแลด้านความมั่นคง
เช่นการขึ้นไปตรวจสอบเครื่องบินที่จะมาสำรวจสภาพอากาศว่ามีอุปกรณ์อะไรบ้าง
ยิ่งเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีการตีประเด็นสร้างกระแสขึ้นมาว่า ประเทศนั้นประเทศนี้อาจจะไม่พอใจ โดยเฉพาะประเทศจีนนั้น เอาเข้าจริง พล.อ.อ.สุกำพลก็ยืนยันว่าทางประเทศจีนไม่ได้สอบถามอะไร และไม่มีปัญหาอะไร รวมทั้งไม่ได้เสดงความห่วงอะไรเลย มีแต่คนไทยเท่านั้นที่ห่วงแทนประเทศจีน
“จีนก็ไม่ได้มีการทำหนังสือขอคำชี้แจงอะไร หากมีเรื่องอะไรกระทบกับจีนทางจีนคงพูดไปแล้ว วันนี้ทางจีนก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบอะไร”
อีกทั้งทางประเทศกัมพูชาและสิงคโปร์ก็อนุญาตให้เครื่องบินทั้ง 3 ลำของนาซ่าขึ้นบินสำรวจเหนือน่านฟ้า เพื่อภารกิจทำการวิจัยในเรื่องนี้ได้ เพราะเป็นประโยชน์ของทั้งโลก ไม่ใช่ของประเทศไทยหรือของนาซ่า หรือเฉพาะภูมิภาคนี้
“หากทำแบบที่เป็นอยู่ ผมคิดว่ามันไม่ได้เป็นการรักประเทศชาติ ต้องดูว่ามีขอบเขตแค่ไหน และควรแยกให้ออกว่าเรื่องวิจัยก็เป็นเรื่องของการวิจัย นำไปพันโน้นพันนี่ มันไม่ถูก ที่นำไปอ้างว่าจะเสียอธิปไตยนั้น ความจริงแล้วทางสหรัฐฯเสียอธิปไตยมากกว่า เพราะเจ้าหน้าที่เราสามารถขึ้นไปตรวจสอบเครื่องบินที่จะทำการสำรวจวิจัยได้ ดังนั้นอย่าไปคิดในทางที่ไม่ดี”
แต่นายอภิสิทธิ์ และแก๊ง หูอื้ออึงไปด้วยตัณหาการเมือง จนไม่ยอมรับฟังอะไรแล้ว จึงป่วยการที่จะชี้แจง
ก็ขนาดนายปณิธาน วัฒนายากร อดีตรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ซึ่งมีความเป็นนักวิชาการมากกว่าความเป็นนักการเมือง ก็ยังยอมรับเลยว่าตัวโครงการไม่น่ามีปัญหา เพราะเป็นโครงการทางวิทยาศาสตร์และการช่วยเหลือทางมนุษยธรรม
ส่วนการที่โครงการนี้เริ่มตั้งแต่รัฐบาลชุดที่แล้วทำไมไม่ออกมาบอกสังคมหรือทำไมไม่ต้องผ่านสภาม.190 นายปณิธานอ้างว่าโครงการนี้เริ่มตั้งแต่รัฐบาลชุดที่แล้วก็จริง แต่ยังไม่ทำอะไรมาก เพราะเพิ่งเริ่มต้นที่เราไปติดต่อ ก็มีการประสานงานมาที่กระทรวงการต่างประเทศ แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปอะไร เพราะมีการเลือกตั้ง ความจริงโครงการนี้ได้ประโยชน์ทุกฝ่าย แต่ต้องบอกรายละเอียด
นอกจากนี้ยังอาจจะมีเรื่องการเมืองระหว่างประเทศด้วย เพราะหากเราดำเนินโครงการอาจจะทำให้จีนไม่พอใจเราจะเสียเพื่อนไปกลุ่มหนึ่ง แต่หากเราล้มเลิกโครงกาก็จะทำให้สหรัฐฯไม่พอใจเราก็จะเสียเพื่อนไปอีกกลุ่ม
ดังนั้นต้องถามรัฐบาลว่าเราดำเนินนโยบายแบบไหนจะทำแบบเลือกข้างหรือไม่ หรือเลือกที่จะคบทุกฝ่าย หากเราเลือกข้างก็ง่าย คือหากเราเลือกจีนก็ยกเลิกโครงการหรือเราเลือกสหรัฐฯก็ดำเนินการต่อไป แต่หากเราจะเลือกทุกฝ่ายก็ต้องทำงานหนัก ต้องไปอธิบายให้จีนเข้าใจ
“ตอนนี้ทางคณะกรรมการที่รัฐบาลตั้งมาต้องรีบศึกษารายละเอียดและสรุปผลให้เร็ว เพราะสหรัฐฯก็เร่งมา และเราก็ต้องไปอธิบายกับจีนด้วย หากชักช้าอาจจะเสียผลประโยชน์จากทุกฝ่าย ตอนนี้ไทยกำลังถูกกระชากลากถูไปมาให้ต้องเลือกข้าง รัฐบาลต้องดำเนินนโยบายให้ดีอย่าสับสน”นายปณิธานกล่าว
จริงๆสิ่งที่นายปณิธานต้องการรายละเอียดนั้น ไม่ใช่แค่รัฐบาลจะให้คำตอบ ทางนาซ่าเองก็เปิดเผย ถึงขนาดที่จะเอา ดร.ก้องภพ อยู่เย็น วิศวกรคนไทยในนาซามาร่วมโครงการนี้ด้วย เพื่อให้ไทยสบายใจขึ้นว่า นาซามาเพื่อสำรวจสภาพอากาศจริงๆ
ที่สำคัญสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย ก็ได้ทำคำชี้แจงแล้วว่า นาซาได้เสนอขอใช้สนามบินอู่ตะเภา เป็นเวลา 6-8 สัปดาห์ เพื่อดำเนินงานค้นคว้าเกี่ยวกับรูปแบบสภาพอากาศมรสุมในเอเชียและผลกระทบของการปล่อยก๊าซต่อสิ่งแวดล้อม สำหรับโครงการศึกษาการก่อตัวของเมฆที่มีผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
“โครงการดังกล่าวขององค์การนาซาเป็นการดำเนินการทางวิทยาศาสตร์เพียงประการเดียว และมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์สุขของมนุษยชาติ ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ได้จากการศึกษาทั้งหมดทางอินเตอร์เน็ต และผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์จะนำไปตีพิมพ์ในวารสารด้านวิทยาศาสตร์”
และอย่าง นายธวัช วิรัตติพงศ์ นักวิทยาศาสตร์ชาวไทย ในฐานะผู้จัดการฝ่ายออกแบบและ ติดตั้งระบบการสื่อสารบนยานอวกาศไร้คนของนาซา ก็มีการให้สัมภาษณ์ว่า ที่หลายฝ่ายกังวลว่า กองทัพสหรัฐจะใช้นาซาเข้ามาล้วงความลับที่เป็นความมั่นคงนั้น ไม่มีทางเป็นไปได้ กองทัพสหรัฐมีเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำนำสมัยกว่าที่หลายคนคิดและรู้เห็นมาก
“ที่สำคัญคือ นาซากับกองทัพ ไม่ค่อยจะยุ่งกัน ยิ่งเรื่องการไปก้าวล่วงอาณานิคมของประเทศอื่นแล้วเอานาซาเป็นข้ออ้างนั้น เป็นไปไม่ได้เลย เราจะไม่มีวันที่จะทำจารกรรมประเทศอื่น โดยใช้การสำรวจทางวิทยาศาสตร์มาบังหน้าเด็ดขาด หากกระทรวงกลาโหมหรือกองทัพสหรัฐจะกระทำจารกรรมประเทศไทย หรือประเทศเพื่อนบ้าน โดยอาศัยภาพถ่ายทางอากาศ หรือการดักฟังข้อมูล ข่าวสารต่างๆ เขาจะมีวิธีการอื่นที่ดีและแยบคายกว่านี้แน่นอน เราไม่มีวันที่จะรู้ได้เลย ดังนั้น สิ่งที่นาซาได้ร้องขอมายังประเทศไทยในโครงการนี้ เป็นการขอความร่วมมือ เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประชาชนในโลก ไปตีความให้ยุ่งเหยิงและคิดมากไปเอง”นายธวัชกล่าว
เช่นกันกับ ดร.นริศรา ทองบุญชู ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมเคมี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ซึ่งเคยเข้าร่วมวิจัยกัยนาซ่า ก็ยอมรับว่า นาซาเปิดเผยข้อมูลทั้งหมด
แม้แต่สำนักฝนหลวงและการบินเกษตร ซึ่งร่วมประชุมกับเจ้าหน้าที่หลายฝ่ายตามคำเชิญของกระทรวงการต่างประเทศ ก็ทำรายงานถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยืนยันว่า
ประเทศไทยจะได้ประโยชน์ต่อการเสริมสร้างขีดความสามารถให้กับแวดวงวิทยาศาสตร์ช่วยพัฒนาขีดความสามารถในการพยากรณ์และการป้องกันภัยพิบัติในภูมิภาคนี้
ชัดๆแบบนี้ มีคนยืนยันแบบนี้ มีนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากออกมาแสดงความเสียดายหากโครงการนี้แท้ง ในฐานะนักวิชาการนายปณิธานน่าที่จะเอารายละเอียดเหล่านี้ไปบอกให้พลพรรคประชาธิปัตย์ฟังบ้าง ก็จะดีกับประเทศชาติไม่น้อย
วันนี้ความกังวลของพรรคประชาธิปัตย์ เชื่อมโยงฐานความคิดมาจากกลุ่มพันธมิตร ควรที่จะทบทวนว่าเป็นเรื่องอคติทางการเมืองจนเกินไปแล้วหรือไม่ หรือเป็นเจตนาจ้องล้มรัฐบาลใช่หรือไม่???
หรือจริงๆแล้วคือเกมการเมือง ที่ต้องค้านทุกเรื่องเพื่อไม่ให้รัฐบาลเดินหน้าใดๆให้เป็นผลงานได้ ยิ่งนับแต่วันที่นางสาวยิ่งลักษณ์เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี ท่าทีสหรัฐ ผ่านนางฮิลารี คลินตัน เห็นชัดว่าให้การยอมรับและสนับสนุนนางสาวยิ่งลักษณ์ มากกว่าตอนที่ประชาธิปัตย์ดั้นเมฆมาเป็นรัฐบาล ด้วยการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร
อาจจะเป็นแผลใจที่ทำให้ประชาธิปัตย์คาใจกับสหรัฐฯอยู่ลึกๆก็เป็นได้
จึงได้ลากเรื่องนี้มาเป็นการเมือง และดึงเอา พ.ต.ท.ทักษิณ มาโยงเข้าไป เพราะรู้ว่าประเด็นนี้ขายได้ทางการเมือง โดยเฉพาะกับกลุ่มคนที่ไม่เอา พ.ต.ท.ทักษิณ
ซึ่งการกระทำของประชาธิปัตย์ครั้งนี้ หากโครงการสำรวจของนาซ่าจะแท้งไป ก็คงจะดีเหมือนกัน เพราะหากไม่มีโครงการนี้ให้ประชาธิปัตย์โจมตีว่าเป็นโครงการแลกกับวีซ่าของ พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว
ถึงเวลาในเดือนกรกฎาคม พ.ต.ท.ทักษิณ สามารถบินไปสหรัฐฯได้
ตอนนั้นประชาธิปัตย์จะอ้างว่าอะไรอีก
ที่มา.บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555
วิกฤตยุโรปทุบลงทุนดิ่ง แบงก์ผวาครึ่งปีหลังเสี่ยงสูงสินเชื่อหด !!?
แบงก์พาณิชย์ สถาบันการเงิน จับตาสัญญาณอันตรายคู่ค้าธุรกิจยุโรปเสี่ยงผิดนัดจ่ายเงิน กสิกรไทยเผยคู่ค้าต่างชาติเริ่มดึงสภาพคล่องพยายามยืดเครดิตเทอม หลังอัตราความเสี่ยงพุ่งกระฉูดเท่าตัวใน 3 เดือน เตือนลูกค้าเร่งป้องกันความเสี่ยงขอเปิด L/C พร้อมทำประกันสินเชื่อการค้าดันผู้ส่งออกต้นทุนเพิ่ม ฟากบิ๊กบอสแบงก์กรุงไทยหวั่นครึ่งปีหลังการลงทุนในประเทศชะลอตัว
นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า กรณีวิกฤตหนี้ของยุโรปที่ทำให้สถานการณ์การค้าระหว่างประเทศเริ่มมีสัญญาณความเสี่ยงที่จะเกิดการผิดนัดชำระที่สูงขึ้นโดยเฉพาะประเทศในกลุ่มยุโรปที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ ทั้งอิตาลี สเปน และกรีซ พบว่าคู่ค้าในต่างประเทศพยายามยืดเทอมการชำระเงินให้ยาวขึ้น เพื่อพยายามจัดการสภาพคล่องในระยะนี้ที่กำลังตึงตัวมาก
โดยสัญญาณความเสี่ยงของประเทศคู่ค้าเหล่านี้มีความชัดเจนมากขึ้นสะท้อนจากอัตราราคา Credit Default Swap (CDS) ซึ่งเป็นความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้า โดยอ้างอิงเปรียบเทียบกับพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ พบว่าอัตราราคาของ CDS ระยะ 5 ปี ของสเปนอยู่ที่ 6% และอิตาลีอยู่ที่ 5.28% ซึ่งเพิ่มขึ้นเท่าตัวภายในระยะ 3 เดือนที่ผ่านมา สะท้อนว่าความเสี่ยงที่จะเกิดการผิดนัดชำระสูงขึ้นมาก ขณะที่กรีซถือว่าเสี่ยงสูงมากจนไม่สามารถโควตราคา CDS แล้ว
นายทรงพลกล่าวว่า ผู้ส่งออกอาจจะหารูปแบบการซื้อขายอื่น ๆ ที่ช่วยลดความเสี่ยงในการผิดนัดชำระ เช่น การขอ L/C (Letter of Credit) การซื้อประกันภัยสินเชื่อทางการค้า (Trade Credit Insurance) หรือการเรียกเงินประกันล่วงหน้าก่อนส่งมอบสินค้า ซึ่งจะทำให้ผู้ส่งออกมีปัญหาเรื่องภาระต้นทุนที่สูงขึ้น
"ในมุมของธุรกิจแบงก์เองก็ต้องระมัดระวังมากขึ้น ต้องระมัดระวังการปล่อยวงเงินเบิกเกินบัญชี" นายทรงพลกล่าว
การลงทุนครึ่งปีหลังชะลอตัว
ด้านนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ทุกธนาคารน่าจะเตรียมรับมือไว้อยู่แล้ว เพราะหากเหตุการณ์เลวร้ายจะทำให้สภาพคล่องหายไปบางส่วน ต้องดูแลลูกค้าที่เป็นคู่ค้ากับยุโรป ซึ่งต้องระวังเรื่องเก็บหนี้ไม่ได้
"ธุรกิจจากไทยส่งออกไปยุโรปสัดส่วนไม่สูงมาก ผลกระทบธุรกิจอาจจะขายของได้น้อยลง แต่ก็คงไม่ถึงกับเป็นหนี้เสีย แบงก์ก็ยังคงแผนการรับมือเอาไว้เช่นเดิม"
นายอภิศักดิ์มองว่า ปัญหาวิกฤตหนี้ในยุโรปน่าจะถูกยืดออกไปอีกระยะหนึ่ง เชื่อว่ากรีซน่าจะเจรจาต่อรองกับอียูอีกครั้ง และอียูที่น่าจะผ่อนปรนกฎเกณฑ์ให้หากสถานการณ์ของกรีซอยู่ได้ ประเทศสเปน โปรตุเกส และอิตาลีก็น่าจะยังอยู่ได้
นายอภิศักดิ์กล่าวว่า ผลจากวิกฤตยุโรปทำให้ลูกค้าหลายรายเริ่มไม่มั่นใจว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและไทยมากแค่ไหน ทำให้หลายรายก็ชะลอแผนขยายการลงทุนเพื่อรอดูสถานการณ์ให้ชัดเจนก่อน
เบ้ยประกันสินเชื่อการค้าขยับ
ด้านแหล่งข่าวจากบริษัทประกันภัยที่รับประกันภัยสินเชื่อทางการค้ากล่าวว่าสถานการณ์ความเสี่ยงในปัจจุบันทำให้ผู้ประกอบการระดับกลางและใหญ่เริ่มตื่นตัวและให้ความสนใจการทำประกันภัยสินเชื่อทางการค้ามากขึ้นกว่าเดิม
ส่วนสถานการณ์อัตราเบี้ยประกันภัยสินเชื่อทางการค้าในขณะนี้ แหล่งข่าวกล่าวว่า เบี้ยอาจจะถูกปรับขึ้นบ้างในบางพอร์ต โดยเฉพาะประเทศปลายทางมีปัญหา เพราะการประเมินความเสี่ยงก็จะดูจากปัจจัยความเสี่ยงประเทศและเรตติ้งของประเทศด้วย ถ้าประเทศถูกลดอันดับเครดิตเรตติ้งก็ทำให้ความเสี่ยงสูงขึ้น เบี้ยเฉพาะส่วนนี้ก็จะขยับขึ้นไปโดยอัตโนมัติเช่นกัน
"ปกติแล้วเราจะรับประกันทั้งพอร์ตที่ลูกค้าทำธุรกิจส่งออกไม่ได้เลือกรับเฉพาะประเทศ เพราะความเสี่ยงจะสูงเกินไป เมื่อเฉลี่ยทั้งพอร์ตก็จะทำให้ความเสี่ยงเฉลี่ยกันไป ไม่กระทบต่อค่าเบี้ย
มากนัก อัตราเบี้ยปัจจุบันก็ยังอยู่ในระดับเดิม ประมาณ 0.1-0.4% ของวงเงินคุ้มครอง" แหล่งข่าวกล่าว
ลูกค้ารายใหญ่ไม่มีปัญหา
นายคนิสร์ สุคนธมาน กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือ ธสน. เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ที่ผ่านมา ธสน.ได้เตรียมแผนรับมือผลกระทบจากยุโรปเป็นอย่างดี โดยเฉพาะมาตรการช่วยเหลือผู้ส่งออกที่อาจมีผลกระทบในการประกอบธุรกิจ รวมถึงได้หารือร่วมกับกระทรวงการคลังและธนาคารพาณิชย์เพื่อเฝ้าติดตามปัญหาดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง
เบื้องต้นจากที่สอบถามลูกค้าที่ทำธุรกิจส่งออกโดยเฉพาะในยุโรปยังไม่ได้รับผลกระทบดังกล่าว เพราะบางส่วนก็มีการเตรียมแผนรับมือและบริหารความเสี่ยงของบริษัทแล้ว โดยเฉพาะบริษัทใหญ่อย่างกลุ่มปิโตรเลียมและอาหารรายใหญ่ ขณะที่ธุรกิจเอสเอ็มอีที่อาจประสบปัญหาวิกฤตดังกล่าว แต่ยังไม่ถือว่ารุนแรง
"ที่ผ่านมาเราประชาสัมพันธ์ให้ลูกค้าที่ทำธุรกิจส่งออกในยุโรปมาทำประกันความเสี่ยงในการทำธุรกิจแต่ลูกค้าก็ไม่ได้ทำเพิ่มขึ้นมาก ซึ่งการประเมินความเสี่ยงของเบี้ยประกัน ธสน.จะต้องพิจารณาเป็นรายบริษัท เพราะความเสี่ยงของธุรกิจไม่เหมือนกัน หากความเสี่ยงสูงเบี้ยการทำประกันความเสี่ยงชำระหนี้ก็ต้องสูงตามความเสี่ยง" นายคนิสร์กล่าว
ด้านนายจารุพัฒน์ พานิชยิ่ง ผู้อำนวยการฝ่ายรับประกันความเสี่ยงการส่งออกของ ธสน. เปิดเผยว่า ยอดทำประกันความเสี่ยงชำระหนี้ (เทรดเครดิต) สิ้น พ.ค. 55 อยู่ที่ 63,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นยอดใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่ สัดส่วนการทำเทรดเครดิตในปีนี้แนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยเพิ่มขึ้นจากปริมาณการทำธุรกิจมากขึ้น หากเทียบกับปีก่อนที่มียอดเทรดเครดิตรวมทั้งปีที่ 134,000 ล้านบาท
รับมือ ธ.ยุโรปขาดสภาพคล่อง
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ภัทรกล่าวว่า ปีนี้เศรษฐกิจยุโรปจะหดตัว 0.5% ซึ่งภายใต้ประมาณการดังกล่าวเศรษฐกิจสหรัฐและเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 2% และ 5.7% ตามลำดับ แต่หากสถานการณ์ในยุโรปย่ำแย่ลง การหดตัวอาจจะมากถึง 2.5-4.5% ซึ่งจะฉุดให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงเหลือราว 2% เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยพึ่งพิงการส่งออกมูลค่าสูงถึง 70% ของจีดีพี
"ผลกระทบต่อประเทศไทยคือเรื่องการส่งออกและท่องเที่ยว ซึ่งมีความเสี่ยงระยะสั้นคือการขาดสภาพคล่องของธนาคารในยุโรป ซึ่งอาจทำให้ภาคการค้าสะดุดตามไปด้วย"
นายศุภวุฒิกล่าวว่า ใน 5-10 ปีข้างหน้าเศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับการชะลอตัวของภาคต่างประเทศ ซึ่งภาคธุรกิจไทยจะต้องยืดหยุ่นกับภาวะดังกล่าว โดยนโยบายภาครัฐเองก็ต้องยืดหยุ่นเพื่อสนับสนุนภาคเอกชนด้วยเช่นกัน เช่น การสนับสนุนให้มีการลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านที่ยังมีการเติบโตดี
หอค้าไทยยันไม่ซื้อเบี้ยยุโรปวิกฤต
นายพรศิลป์พัชรินทร์ตนะกุล รองประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ที่ผ่านมากลุ่มบริษัทผู้ผลิตและส่งออกสินค้าจากไทยในกลุ่มสมาชิกของหอการค้าไทย จะเกี่ยวข้องกับการปรับเบี้ยประกันภัยก็เฉพาะกรณีที่มีเหตุการณ์บางประเทศเกิดสงคราม หรือต้องลำเลียงสินค้าผ่านน่านน้ำที่มีความเสี่ยงเรื่องโจรสลัด
ส่วนกรณีวิกฤตเศรษฐกิจในสหภาพยุโรปถูกประเมินสถานการณ์จะลุกลามบานปลายจนถึงขั้นต้องขึ้นเบี้ยประกันภัยความเสี่ยงประเภทประกันภัยลูกค้านั้นคงไม่ใช่เรื่องที่ควรจะทำ และตอนนี้ก็ยังไม่มีบริษัทรายใดมาหารือกับกลุ่มผู้ส่งออก แนวทางนี้จะทำได้เป็นรายกรณีไป เช่น ผู้ส่งออกบางบริษัทกับคู่ค้าปลายทางในกลุ่มสหภาพยุโรปยังค้าขายกันโดยมีความสัมพันธ์ไม่เหนียวแน่นแล้วเกรงเหตุวิกฤตครั้งนี้เมื่อส่งสินค้าไปแล้วจะถูกเบี้ยวจ่ายเงินบริษัทเหล่านั้นก็อาจจะตัดสินใจทำประกันเครดิตลูกค้าได้ แต่ในทางปฏิบัติธนาคารนำเข้าและส่งออกหรือเอ็กซิมแบงก์ จะคอยเป็นพี่เลี้ยงให้คำแนะนำเรื่องนี้ เพราะหากจะทำให้ทั่วประเทศต้องจ่ายเบี้ยประกันความเสี่ยงจากเหตุผลเรื่องวิกฤตคงเป็นไปไม่ได้
โฆสิต แนะรัฐ-เอกชนรับมือ
นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหารกล่าวว่า ประเทศไทยไม่ควรประมาท และต้องเตรียมเครื่องมือรองรับ เพราะเศรษฐกิจของยุโรปยังไม่สามารถฟื้นกลับมาเป็นบวกได้ในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งภูมิคุ้มกันที่สามารถทำได้คือ รัฐต้องรักษาฐานะการคลังให้ขาดดุลน้อยลง ส่วนภาคเอกชนและธุรกิจต้องปรับตัว เช่น เพิ่มสัดส่วนส่งออกตลาดอาเซียนมากขึ้น ส่วนสถาบันการเงินก็ต้องเตรียมสภาพคล่องทั้งเงินบาทและเงินดอลลาร์ให้เพียงพอ เพื่อบรรเทาความตึงตัว เมื่อปัญหามีความรุนแรงมากขึ้น
นายสมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า ปัญหาหนี้สาธารณะในยูโรโซนจะสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกมากกว่าวิกฤตซับไพรม
ปี 2550 ในส่วนของการรับมือของประเทศไทยนั้น ทางรัฐบาลไทยต้องลดการขาดดุลงบประมาณให้ได้ เพราะปัจจุบันนโยบายประชานิยมของรัฐบาลยังไม่ก่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจและลดความเหลื่อมล้ำ ส่วนการกู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท ก็ยังมีแผนงานการเบิกจ่ายไม่ชัดเจน ทำให้รัฐบาลมีภาระหนี้เพิ่มขึ้น ขาดดุลงบประมาณสูง แต่ไม่เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทยเท่าที่ควร ดังนั้นการลดขาดดุลจะช่วยให้รัฐบาลไทยมีกระสุนเพียงพอในการกระตุ้นเศรษฐกิจ รองรับความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาของวิกฤตในครั้งนี้
ประกันยื้อค่าชดเชย
นายสมพงษ์ กิติเรียงลาภ ประธานกรรมการบริษัท พงษ์ลาภ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทตั้งได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม 300 ล้านบาท ซึ่งทางบริษัทได้ทำประกันภัยกับบริษัท สินทรัพย์ประกันภัย จำกัด ได้รับเงินชดเชยเพียง 5 ล้านบาท จากการประกันความเสียหายไว้ 45 ล้านบาท
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า กรณีวิกฤตหนี้ของยุโรปที่ทำให้สถานการณ์การค้าระหว่างประเทศเริ่มมีสัญญาณความเสี่ยงที่จะเกิดการผิดนัดชำระที่สูงขึ้นโดยเฉพาะประเทศในกลุ่มยุโรปที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ ทั้งอิตาลี สเปน และกรีซ พบว่าคู่ค้าในต่างประเทศพยายามยืดเทอมการชำระเงินให้ยาวขึ้น เพื่อพยายามจัดการสภาพคล่องในระยะนี้ที่กำลังตึงตัวมาก
โดยสัญญาณความเสี่ยงของประเทศคู่ค้าเหล่านี้มีความชัดเจนมากขึ้นสะท้อนจากอัตราราคา Credit Default Swap (CDS) ซึ่งเป็นความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้า โดยอ้างอิงเปรียบเทียบกับพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ พบว่าอัตราราคาของ CDS ระยะ 5 ปี ของสเปนอยู่ที่ 6% และอิตาลีอยู่ที่ 5.28% ซึ่งเพิ่มขึ้นเท่าตัวภายในระยะ 3 เดือนที่ผ่านมา สะท้อนว่าความเสี่ยงที่จะเกิดการผิดนัดชำระสูงขึ้นมาก ขณะที่กรีซถือว่าเสี่ยงสูงมากจนไม่สามารถโควตราคา CDS แล้ว
นายทรงพลกล่าวว่า ผู้ส่งออกอาจจะหารูปแบบการซื้อขายอื่น ๆ ที่ช่วยลดความเสี่ยงในการผิดนัดชำระ เช่น การขอ L/C (Letter of Credit) การซื้อประกันภัยสินเชื่อทางการค้า (Trade Credit Insurance) หรือการเรียกเงินประกันล่วงหน้าก่อนส่งมอบสินค้า ซึ่งจะทำให้ผู้ส่งออกมีปัญหาเรื่องภาระต้นทุนที่สูงขึ้น
"ในมุมของธุรกิจแบงก์เองก็ต้องระมัดระวังมากขึ้น ต้องระมัดระวังการปล่อยวงเงินเบิกเกินบัญชี" นายทรงพลกล่าว
การลงทุนครึ่งปีหลังชะลอตัว
ด้านนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ทุกธนาคารน่าจะเตรียมรับมือไว้อยู่แล้ว เพราะหากเหตุการณ์เลวร้ายจะทำให้สภาพคล่องหายไปบางส่วน ต้องดูแลลูกค้าที่เป็นคู่ค้ากับยุโรป ซึ่งต้องระวังเรื่องเก็บหนี้ไม่ได้
"ธุรกิจจากไทยส่งออกไปยุโรปสัดส่วนไม่สูงมาก ผลกระทบธุรกิจอาจจะขายของได้น้อยลง แต่ก็คงไม่ถึงกับเป็นหนี้เสีย แบงก์ก็ยังคงแผนการรับมือเอาไว้เช่นเดิม"
นายอภิศักดิ์มองว่า ปัญหาวิกฤตหนี้ในยุโรปน่าจะถูกยืดออกไปอีกระยะหนึ่ง เชื่อว่ากรีซน่าจะเจรจาต่อรองกับอียูอีกครั้ง และอียูที่น่าจะผ่อนปรนกฎเกณฑ์ให้หากสถานการณ์ของกรีซอยู่ได้ ประเทศสเปน โปรตุเกส และอิตาลีก็น่าจะยังอยู่ได้
นายอภิศักดิ์กล่าวว่า ผลจากวิกฤตยุโรปทำให้ลูกค้าหลายรายเริ่มไม่มั่นใจว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและไทยมากแค่ไหน ทำให้หลายรายก็ชะลอแผนขยายการลงทุนเพื่อรอดูสถานการณ์ให้ชัดเจนก่อน
เบ้ยประกันสินเชื่อการค้าขยับ
ด้านแหล่งข่าวจากบริษัทประกันภัยที่รับประกันภัยสินเชื่อทางการค้ากล่าวว่าสถานการณ์ความเสี่ยงในปัจจุบันทำให้ผู้ประกอบการระดับกลางและใหญ่เริ่มตื่นตัวและให้ความสนใจการทำประกันภัยสินเชื่อทางการค้ามากขึ้นกว่าเดิม
ส่วนสถานการณ์อัตราเบี้ยประกันภัยสินเชื่อทางการค้าในขณะนี้ แหล่งข่าวกล่าวว่า เบี้ยอาจจะถูกปรับขึ้นบ้างในบางพอร์ต โดยเฉพาะประเทศปลายทางมีปัญหา เพราะการประเมินความเสี่ยงก็จะดูจากปัจจัยความเสี่ยงประเทศและเรตติ้งของประเทศด้วย ถ้าประเทศถูกลดอันดับเครดิตเรตติ้งก็ทำให้ความเสี่ยงสูงขึ้น เบี้ยเฉพาะส่วนนี้ก็จะขยับขึ้นไปโดยอัตโนมัติเช่นกัน
"ปกติแล้วเราจะรับประกันทั้งพอร์ตที่ลูกค้าทำธุรกิจส่งออกไม่ได้เลือกรับเฉพาะประเทศ เพราะความเสี่ยงจะสูงเกินไป เมื่อเฉลี่ยทั้งพอร์ตก็จะทำให้ความเสี่ยงเฉลี่ยกันไป ไม่กระทบต่อค่าเบี้ย
มากนัก อัตราเบี้ยปัจจุบันก็ยังอยู่ในระดับเดิม ประมาณ 0.1-0.4% ของวงเงินคุ้มครอง" แหล่งข่าวกล่าว
ลูกค้ารายใหญ่ไม่มีปัญหา
นายคนิสร์ สุคนธมาน กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือ ธสน. เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ที่ผ่านมา ธสน.ได้เตรียมแผนรับมือผลกระทบจากยุโรปเป็นอย่างดี โดยเฉพาะมาตรการช่วยเหลือผู้ส่งออกที่อาจมีผลกระทบในการประกอบธุรกิจ รวมถึงได้หารือร่วมกับกระทรวงการคลังและธนาคารพาณิชย์เพื่อเฝ้าติดตามปัญหาดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง
เบื้องต้นจากที่สอบถามลูกค้าที่ทำธุรกิจส่งออกโดยเฉพาะในยุโรปยังไม่ได้รับผลกระทบดังกล่าว เพราะบางส่วนก็มีการเตรียมแผนรับมือและบริหารความเสี่ยงของบริษัทแล้ว โดยเฉพาะบริษัทใหญ่อย่างกลุ่มปิโตรเลียมและอาหารรายใหญ่ ขณะที่ธุรกิจเอสเอ็มอีที่อาจประสบปัญหาวิกฤตดังกล่าว แต่ยังไม่ถือว่ารุนแรง
"ที่ผ่านมาเราประชาสัมพันธ์ให้ลูกค้าที่ทำธุรกิจส่งออกในยุโรปมาทำประกันความเสี่ยงในการทำธุรกิจแต่ลูกค้าก็ไม่ได้ทำเพิ่มขึ้นมาก ซึ่งการประเมินความเสี่ยงของเบี้ยประกัน ธสน.จะต้องพิจารณาเป็นรายบริษัท เพราะความเสี่ยงของธุรกิจไม่เหมือนกัน หากความเสี่ยงสูงเบี้ยการทำประกันความเสี่ยงชำระหนี้ก็ต้องสูงตามความเสี่ยง" นายคนิสร์กล่าว
ด้านนายจารุพัฒน์ พานิชยิ่ง ผู้อำนวยการฝ่ายรับประกันความเสี่ยงการส่งออกของ ธสน. เปิดเผยว่า ยอดทำประกันความเสี่ยงชำระหนี้ (เทรดเครดิต) สิ้น พ.ค. 55 อยู่ที่ 63,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นยอดใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่ สัดส่วนการทำเทรดเครดิตในปีนี้แนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยเพิ่มขึ้นจากปริมาณการทำธุรกิจมากขึ้น หากเทียบกับปีก่อนที่มียอดเทรดเครดิตรวมทั้งปีที่ 134,000 ล้านบาท
รับมือ ธ.ยุโรปขาดสภาพคล่อง
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ภัทรกล่าวว่า ปีนี้เศรษฐกิจยุโรปจะหดตัว 0.5% ซึ่งภายใต้ประมาณการดังกล่าวเศรษฐกิจสหรัฐและเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 2% และ 5.7% ตามลำดับ แต่หากสถานการณ์ในยุโรปย่ำแย่ลง การหดตัวอาจจะมากถึง 2.5-4.5% ซึ่งจะฉุดให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงเหลือราว 2% เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยพึ่งพิงการส่งออกมูลค่าสูงถึง 70% ของจีดีพี
"ผลกระทบต่อประเทศไทยคือเรื่องการส่งออกและท่องเที่ยว ซึ่งมีความเสี่ยงระยะสั้นคือการขาดสภาพคล่องของธนาคารในยุโรป ซึ่งอาจทำให้ภาคการค้าสะดุดตามไปด้วย"
นายศุภวุฒิกล่าวว่า ใน 5-10 ปีข้างหน้าเศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับการชะลอตัวของภาคต่างประเทศ ซึ่งภาคธุรกิจไทยจะต้องยืดหยุ่นกับภาวะดังกล่าว โดยนโยบายภาครัฐเองก็ต้องยืดหยุ่นเพื่อสนับสนุนภาคเอกชนด้วยเช่นกัน เช่น การสนับสนุนให้มีการลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านที่ยังมีการเติบโตดี
หอค้าไทยยันไม่ซื้อเบี้ยยุโรปวิกฤต
นายพรศิลป์พัชรินทร์ตนะกุล รองประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ที่ผ่านมากลุ่มบริษัทผู้ผลิตและส่งออกสินค้าจากไทยในกลุ่มสมาชิกของหอการค้าไทย จะเกี่ยวข้องกับการปรับเบี้ยประกันภัยก็เฉพาะกรณีที่มีเหตุการณ์บางประเทศเกิดสงคราม หรือต้องลำเลียงสินค้าผ่านน่านน้ำที่มีความเสี่ยงเรื่องโจรสลัด
ส่วนกรณีวิกฤตเศรษฐกิจในสหภาพยุโรปถูกประเมินสถานการณ์จะลุกลามบานปลายจนถึงขั้นต้องขึ้นเบี้ยประกันภัยความเสี่ยงประเภทประกันภัยลูกค้านั้นคงไม่ใช่เรื่องที่ควรจะทำ และตอนนี้ก็ยังไม่มีบริษัทรายใดมาหารือกับกลุ่มผู้ส่งออก แนวทางนี้จะทำได้เป็นรายกรณีไป เช่น ผู้ส่งออกบางบริษัทกับคู่ค้าปลายทางในกลุ่มสหภาพยุโรปยังค้าขายกันโดยมีความสัมพันธ์ไม่เหนียวแน่นแล้วเกรงเหตุวิกฤตครั้งนี้เมื่อส่งสินค้าไปแล้วจะถูกเบี้ยวจ่ายเงินบริษัทเหล่านั้นก็อาจจะตัดสินใจทำประกันเครดิตลูกค้าได้ แต่ในทางปฏิบัติธนาคารนำเข้าและส่งออกหรือเอ็กซิมแบงก์ จะคอยเป็นพี่เลี้ยงให้คำแนะนำเรื่องนี้ เพราะหากจะทำให้ทั่วประเทศต้องจ่ายเบี้ยประกันความเสี่ยงจากเหตุผลเรื่องวิกฤตคงเป็นไปไม่ได้
โฆสิต แนะรัฐ-เอกชนรับมือ
นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหารกล่าวว่า ประเทศไทยไม่ควรประมาท และต้องเตรียมเครื่องมือรองรับ เพราะเศรษฐกิจของยุโรปยังไม่สามารถฟื้นกลับมาเป็นบวกได้ในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งภูมิคุ้มกันที่สามารถทำได้คือ รัฐต้องรักษาฐานะการคลังให้ขาดดุลน้อยลง ส่วนภาคเอกชนและธุรกิจต้องปรับตัว เช่น เพิ่มสัดส่วนส่งออกตลาดอาเซียนมากขึ้น ส่วนสถาบันการเงินก็ต้องเตรียมสภาพคล่องทั้งเงินบาทและเงินดอลลาร์ให้เพียงพอ เพื่อบรรเทาความตึงตัว เมื่อปัญหามีความรุนแรงมากขึ้น
นายสมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า ปัญหาหนี้สาธารณะในยูโรโซนจะสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกมากกว่าวิกฤตซับไพรม
ปี 2550 ในส่วนของการรับมือของประเทศไทยนั้น ทางรัฐบาลไทยต้องลดการขาดดุลงบประมาณให้ได้ เพราะปัจจุบันนโยบายประชานิยมของรัฐบาลยังไม่ก่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจและลดความเหลื่อมล้ำ ส่วนการกู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท ก็ยังมีแผนงานการเบิกจ่ายไม่ชัดเจน ทำให้รัฐบาลมีภาระหนี้เพิ่มขึ้น ขาดดุลงบประมาณสูง แต่ไม่เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทยเท่าที่ควร ดังนั้นการลดขาดดุลจะช่วยให้รัฐบาลไทยมีกระสุนเพียงพอในการกระตุ้นเศรษฐกิจ รองรับความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาของวิกฤตในครั้งนี้
ประกันยื้อค่าชดเชย
นายสมพงษ์ กิติเรียงลาภ ประธานกรรมการบริษัท พงษ์ลาภ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทตั้งได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม 300 ล้านบาท ซึ่งทางบริษัทได้ทำประกันภัยกับบริษัท สินทรัพย์ประกันภัย จำกัด ได้รับเงินชดเชยเพียง 5 ล้านบาท จากการประกันความเสียหายไว้ 45 ล้านบาท
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555
จ้องป่วนเวทีเสื้อแดงรวบตัวการ์ดปลอมพกปืนพร้อมยิง !!?
หลายฝ่ายจัดงานรำลึก 80 ปี เปลี่ยนแปลงการปกครองคึกคัก เวทีวิชาการที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เห็นพ้องประเทศยังไม่เป็นประชาธิปไตย เชื่อประชาชนต้องร่วมกันต่อสู้อีกหลายครั้งหากอยากได้อำนาจไว้ในมืออย่างแท้จริง เวทีเสื้อแดงที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยคึกคัก มวลชนแห่ร่วมเต็มพื้นที่ แกนนำประกาศให้ช่วยเฝ้าระวังผู้ไม่หวังดีแฝงตัวก่อความวุ่นวาย หลังรวบชายฉกรรจ์ปลอมเป็นการ์ดพกอาวุธปืนขึ้นไกพร้อมยิงได้ทุกนาที “ก่อแก้ว” ชี้อนาคตประเทศขึ้นอยู่กับคำตัดสินศาลรัฐธรรมนูญกรณีมาตรา 68 ย้ำคนรักประชาธิปไตยก้าวข้ามความกลัวแล้ว พร้อมต่อสู้หากการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ทำตามขั้นตอนถูกคว่ำ
เนื่องในโอกาสครบรอบ 80 ปีของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง กลุ่มพลังต่างๆได้เคลื่อนไหวจัดกิจกรรมเพื่อรำลึกถึงวันสำคัญนี้
ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีการเสวนา “100 ปี กบฏประชาธิปไตย ร.ศ.130-80 ปี ปฏิวัติประชาธิปไตย พ.ศ. 2475” โดยมีประชาชนสนใจเข้าร่วมฟังจำนวนมาก นักวิชาการที่ร่วมอภิปรายมีหลายคน เช่น นายเกษียร เตชะพีระ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ น.ส.เพ็ญพิสุทธิ์ อินทรภิรมย์ นักวิชาการอิสระ นายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายธเนศ อาภรณ์สุวรรณ จากวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นต้น การเสวนาโดยรวมเป็นการพูดถึงเหตุการณ์ในอดีตในมุมมองต่างๆ และเห็นตรงกันว่า 80 ปีที่ผ่านมาประชาธิปไตยของไทยยังไม่พัฒนาไปถึงไหน อำนาจยังไม่เป็นของประชาชนที่แท้จริง และเชื่อว่ากว่าประเทศจะเป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ประชาชนต้องออกมาร่วมกันต่อสู้อีกหลายครั้ง
เสื้อแดงชุมนุมคึกคัก
ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเพื่อรำลึกถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครองและประกาศเจตนารมณ์ขับเคลื่อนให้ประเทศมีความเป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ มีมวลชนเข้าร่วมชุมนุมเต็มพื้นที่จนต้องปิดการจราจร โดยมีแกนนำสลับกันขึ้นเวทีปราศรัย เช่น นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน นายก่อแก้ว พิกุลทอง น.พ.เหวง โตจิราการ นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย นายวรชัย เหมะ เป็นต้น ซึ่งการปราศรัยส่วนใหญ่เน้นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย และเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญรับตีความการแก้ไขรัฐธรรมนูญขัดต่อมาตรา 68 กรณีแก้รัฐธรรมนูญล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงการปกครอง
คำตัดสินศาลชี้อนาคตชาติ
นายก่อแก้วปราศรัยว่า เสียดายเวลา 80 ปีที่ผ่านมาที่เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ ประเทศไม่เคยเป็นประชาธิปไตย แม้แต่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับคณะรัฐประหารก็ยังมีการพยายามขัดขวาง ต้องดูกันต่อไปว่าศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินออกมาอย่างไร
“อนาคตของประเทศอยู่ที่การตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ วันนี้พวกเราเดินมาไกลแล้ว พวกเราจะร่วมกันต่อสู้จนกว่าจะได้ประชาธิปไตยไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
จับการ์ดปลอมพร้อมอาวุธ
นายขวัญชัย ไพรพนา ประกาศบนเวทีปราศรัยว่า สามารถจับการ์ดได้ 1 คน พกอาวุธปืนและขึ้นไกไว้พร้อมยิง เบื้องต้นทราบว่ามาจากจังหวัดบุรีรัมย์ รับงานมาจากอดีตนักการเมืองคนหนึ่งเพื่อมาสร้างความวุ่นวาย ขอให้ทุกคนช่วยกันระวังด้วย
นอกจากนี้พิธีกรบนเวทียังประกาศให้ผู้ชุมนุมช่วยกันดู เพราะอาจมีคนนำพระบรมฉายาลักษณ์มากระทำไม่เหมาะสมเพื่อใส่ร้ายคนเสื้อแดง
พท. ปลุกประชาชนแก้ รธน.
ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค แถลงว่า พรรคเพื่อไทยมุ่งหวังที่จะเห็นอำนาจเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง ในโอกาสครบรอบ 80 ปีของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ขอเรียกร้องให้ประชาชนร่วมกันสนับสนุนให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้เกิดการถ่วงดุลอำนาจ ไม่ให้มีอีแอบคอยล้มล้างรัฐบาลที่มาจากประชาชน
ที่วัดราชาธิวาส พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวในการเปิดโครงการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ทางการเมืองในหัวข้อ 80 ปี ประชาธิปไตยไทย ตอนหนึ่งว่า 80 ปีที่ผ่านมาไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะถูกครอบงำด้วยมือที่มองไม่เห็นที่มาจากอำนาจนอกระบบ ทำให้เกิดการต่อสู้และเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง และยังคงต้องต่อสู้กันต่อไป จึงอยากให้ประชาชนออกมาร่วมมีส่วนร่วมสร้างประชาธิปไตยให้อยู่ในมือของประชาชนให้ได้
ปชป. ห่วงบิดเบือนข้อมูล
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรค แสดงความเป็นห่วงว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดงในโอกาสครบรอบ 80 ปี เปลี่ยนแปลงการปกครอง อาจมีการปราศรัยบิดเบือนข้อมูลจากแกนนำเพื่อชักนำมวลชนไปในทางใดทางหนึ่ง เพราะสถานการณ์ขณะนี้แกนนำหลายคนเข้าตาจน จึงอาจคิดสร้างสถานการณ์อะไรขึ้นมาเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด จึงอยากเรียกร้องนายกรัฐมนตรีให้ห้ามปรามพวกแกนนำฮาร์ดคอร์ทั้งหลาย อย่าชักนำให้เกิดความขัดแย้งและความรุนแรงในสังคมไทยอีก
“สุริยะใส” เฉ่งฉวยโอกาส
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน กล่าวว่า การจัดชุมนุมของคนเสื้อแดงเป็นการฉกฉวยเอาประวัติศาสตร์มาบิดเบือนเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตัวเอง หากจะสืบทอดเจตนารมณ์คณะราษฎรจริงๆ ต้องไปศึกษาแถลงการณ์ของคณะราษฎร ฉบับที่ 1 หรือหลัก 6 ประการให้ถ่องแท้ เช่น จะเป็นเอกราชทางเศรษฐกิจ ความเสมอภาค ความอยู่ดีกินดี ซึ่งเป็นการต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของคนทั้งชาติ ไม่ใช่เพื่อคนคนเดียว หากแกนนำมีอุดมการณ์ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างแท้จริงต้องปลดแอกตัวเองออกจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้ได้ก่อน
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
**********************************************************************
เนื่องในโอกาสครบรอบ 80 ปีของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง กลุ่มพลังต่างๆได้เคลื่อนไหวจัดกิจกรรมเพื่อรำลึกถึงวันสำคัญนี้
ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีการเสวนา “100 ปี กบฏประชาธิปไตย ร.ศ.130-80 ปี ปฏิวัติประชาธิปไตย พ.ศ. 2475” โดยมีประชาชนสนใจเข้าร่วมฟังจำนวนมาก นักวิชาการที่ร่วมอภิปรายมีหลายคน เช่น นายเกษียร เตชะพีระ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ น.ส.เพ็ญพิสุทธิ์ อินทรภิรมย์ นักวิชาการอิสระ นายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายธเนศ อาภรณ์สุวรรณ จากวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นต้น การเสวนาโดยรวมเป็นการพูดถึงเหตุการณ์ในอดีตในมุมมองต่างๆ และเห็นตรงกันว่า 80 ปีที่ผ่านมาประชาธิปไตยของไทยยังไม่พัฒนาไปถึงไหน อำนาจยังไม่เป็นของประชาชนที่แท้จริง และเชื่อว่ากว่าประเทศจะเป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ประชาชนต้องออกมาร่วมกันต่อสู้อีกหลายครั้ง
เสื้อแดงชุมนุมคึกคัก
ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเพื่อรำลึกถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครองและประกาศเจตนารมณ์ขับเคลื่อนให้ประเทศมีความเป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ มีมวลชนเข้าร่วมชุมนุมเต็มพื้นที่จนต้องปิดการจราจร โดยมีแกนนำสลับกันขึ้นเวทีปราศรัย เช่น นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน นายก่อแก้ว พิกุลทอง น.พ.เหวง โตจิราการ นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย นายวรชัย เหมะ เป็นต้น ซึ่งการปราศรัยส่วนใหญ่เน้นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย และเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญรับตีความการแก้ไขรัฐธรรมนูญขัดต่อมาตรา 68 กรณีแก้รัฐธรรมนูญล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงการปกครอง
คำตัดสินศาลชี้อนาคตชาติ
นายก่อแก้วปราศรัยว่า เสียดายเวลา 80 ปีที่ผ่านมาที่เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ ประเทศไม่เคยเป็นประชาธิปไตย แม้แต่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับคณะรัฐประหารก็ยังมีการพยายามขัดขวาง ต้องดูกันต่อไปว่าศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินออกมาอย่างไร
“อนาคตของประเทศอยู่ที่การตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ วันนี้พวกเราเดินมาไกลแล้ว พวกเราจะร่วมกันต่อสู้จนกว่าจะได้ประชาธิปไตยไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
จับการ์ดปลอมพร้อมอาวุธ
นายขวัญชัย ไพรพนา ประกาศบนเวทีปราศรัยว่า สามารถจับการ์ดได้ 1 คน พกอาวุธปืนและขึ้นไกไว้พร้อมยิง เบื้องต้นทราบว่ามาจากจังหวัดบุรีรัมย์ รับงานมาจากอดีตนักการเมืองคนหนึ่งเพื่อมาสร้างความวุ่นวาย ขอให้ทุกคนช่วยกันระวังด้วย
นอกจากนี้พิธีกรบนเวทียังประกาศให้ผู้ชุมนุมช่วยกันดู เพราะอาจมีคนนำพระบรมฉายาลักษณ์มากระทำไม่เหมาะสมเพื่อใส่ร้ายคนเสื้อแดง
พท. ปลุกประชาชนแก้ รธน.
ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค แถลงว่า พรรคเพื่อไทยมุ่งหวังที่จะเห็นอำนาจเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง ในโอกาสครบรอบ 80 ปีของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ขอเรียกร้องให้ประชาชนร่วมกันสนับสนุนให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้เกิดการถ่วงดุลอำนาจ ไม่ให้มีอีแอบคอยล้มล้างรัฐบาลที่มาจากประชาชน
ที่วัดราชาธิวาส พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวในการเปิดโครงการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ทางการเมืองในหัวข้อ 80 ปี ประชาธิปไตยไทย ตอนหนึ่งว่า 80 ปีที่ผ่านมาไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะถูกครอบงำด้วยมือที่มองไม่เห็นที่มาจากอำนาจนอกระบบ ทำให้เกิดการต่อสู้และเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง และยังคงต้องต่อสู้กันต่อไป จึงอยากให้ประชาชนออกมาร่วมมีส่วนร่วมสร้างประชาธิปไตยให้อยู่ในมือของประชาชนให้ได้
ปชป. ห่วงบิดเบือนข้อมูล
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรค แสดงความเป็นห่วงว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดงในโอกาสครบรอบ 80 ปี เปลี่ยนแปลงการปกครอง อาจมีการปราศรัยบิดเบือนข้อมูลจากแกนนำเพื่อชักนำมวลชนไปในทางใดทางหนึ่ง เพราะสถานการณ์ขณะนี้แกนนำหลายคนเข้าตาจน จึงอาจคิดสร้างสถานการณ์อะไรขึ้นมาเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด จึงอยากเรียกร้องนายกรัฐมนตรีให้ห้ามปรามพวกแกนนำฮาร์ดคอร์ทั้งหลาย อย่าชักนำให้เกิดความขัดแย้งและความรุนแรงในสังคมไทยอีก
“สุริยะใส” เฉ่งฉวยโอกาส
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน กล่าวว่า การจัดชุมนุมของคนเสื้อแดงเป็นการฉกฉวยเอาประวัติศาสตร์มาบิดเบือนเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตัวเอง หากจะสืบทอดเจตนารมณ์คณะราษฎรจริงๆ ต้องไปศึกษาแถลงการณ์ของคณะราษฎร ฉบับที่ 1 หรือหลัก 6 ประการให้ถ่องแท้ เช่น จะเป็นเอกราชทางเศรษฐกิจ ความเสมอภาค ความอยู่ดีกินดี ซึ่งเป็นการต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของคนทั้งชาติ ไม่ใช่เพื่อคนคนเดียว หากแกนนำมีอุดมการณ์ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างแท้จริงต้องปลดแอกตัวเองออกจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้ได้ก่อน
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
**********************************************************************
แกงเขียวหวานฟีเวอร์ญี่ปุ่นคลั่งหนัก เมืองไทยกระแสแรง !!?
ค่ายผลิตอาหารบูมกระแส ‘Green Curry Fever’ หลังพบชาวญี่ปุ่นคลั่งแกงไทยอย่างหนัก หลากแบรนด์ผุดแย่งเวทีปรุงสำเร็จ แบรนด์ ‘รอยไทย’ ประสบความสำเร็จล้นหลาม มุ่งขยายตลาดทั่วอาเซียน ด้านตลาดในประเทศคึกคัก ชี้เขียวหวานขึ้นแท่นเมนูปรุงยาก ออกผงปรุงสำเร็จเอาใจแม่บ้าน ขณะที่ “มาม่า” ร่วมดึงกระแสเขียวหวานบูมตลาด
ในสมัยก่อนนั้น แกงไทยๆ จะเป็นแกงเลียง ซะส่วนใหญ่ และเป็นแกงป่าตามมา ต่อมามีแกงใส่กะทิเข้ามา โดยช่วงแรกแกงไทยจะใช้พริก แดงเป็นส่วนใหญ่ และพัฒนามาเป็นการใช้พริกสีเขียวแทนและใส่ใบพริกสดลงไปตำด้วยในน้ำพริกแกงนั้นๆ เพื่อให้มีสีเขียวที่เด่นชัดขึ้น เกิดเป็น “แกงเขียวหวาน” คำว่าแกงเขียวหวาน ไม่ได้หมายความถึง แกงที่มีรสหวาน แต่หมายถึงสีเขียวนวลหรือเขียวหวาน ไม่ใช่เขียวจัดจ้านนั่นเอง
ปัจจุบันแกงเขียวหวาน กลายเป็น 1 เมนูคู่ครัว และเป็นเมนูหลักที่คนไทยคุ้นชิน โดยเฉพาะในร้านข้าวแกง ซึ่งมักจะมีแกงเขียวหวานอยู่ในเมนูประจำวัน เราอาจจะเคยได้ยินชื่อเสียงของอาหารไทย อันเป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลก ทั้ง “ผัดไทย” หรือ “ต้มยำกุ้ง” แต่ “แกงเขียวหวาน” ก็เป็นหนึ่งในแกงไทยที่ได้รับความนิยม โดยเริ่มจากกลุ่มร้านอาหารไทยในต่างประเทศ จวบจนปัจจุบันเมนูแกงเขียวหวาน กำลังเข้าสู่ครัวของชาวต่างชาติมากขึ้น ด้วยการบุกตลาดของผู้ผลิตเครื่องแกงคนไทยนั่นเอง
> แม่บ้านญี่ปุ่นคลั่งแกงเขียวหวาน
และปรากฏการณ์ของแกงเขียวหวานในต่างประเทศ ก็เริ่มเด่นชัดขึ้นในปีนี้ โดยเมื่อต้นปี สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองฟูกูโอกะ รายงานว่า หนังสือพิมพ์ Nikkei MJ ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ด้านการตลาดยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น รายงานว่า กระแสความนิยมแกงเขียวหวานไทยของคนญี่ปุ่นกำลังมาแรงเป็นอย่างมาก
แต่เดิมแกงญี่ปุ่นที่แม่บ้านญี่ปุ่นนิยมปรุงรับประทานทั่วไป ซึ่งประกอบด้วยมันฝรั่ง แครอต หอมหัวใหญ่ และเนื้อหมูหรือเนื้อวัวนั้น มาปีนี้แนวโน้มดังกล่าวได้เปลี่ยนไป แกงของประเทศ ทางแถบเอเชียได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งแกงเขียวหวานของไทยที่สตรีชาวญี่ปุ่นนิยมปรุงรับประทานในครอบ ครัว หรือเวลาที่เชิญแขกมาบ้าน เนื่องจากเครื่องปรุงต่างๆ สามารถหาซื้อได้ง่าย และใช้เวลาปรุงเพียงไม่กี่นาที อีกทั้งยังมีร้านอาหารไทย ที่ทำการเปิดสอนคอร์สปรุงเมนูแกงเขียวหวานให้กับชาวญี่ปุ่นอีกด้วย
ขณะเดียวกัน บริษัท House Food Corp บริษัทจำหน่าย อาหารรายใหญ่ของญี่ปุ่น ได้ออกผลิตภัณฑ์เครื่องแกงเขียวหวานสำเร็จรูป “Mild Green Curry” ราคาซองละ 178 เยน หรือประมาณ 73 บาท ส่วนบริษัท S&B Food Inc. ได้วางแผน ปรับปรุงผลิตภัณฑ์ประเภทที่มีเครื่องปรุงครบถ้วน อุ่นและเปิดทานได้ทันที เข้าสู่ตลาดภายใต้ชื่อ “Thai Green Curry” วางตลาดไปแล้วเมื่อต้นปี
> ‘รอยไทย’ เผยปีนี้ส่งญี่ปุ่นกว่า 100 ล้าน
นายเกรียงศักดิ์ เทพผดุงพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท อำพลฟูดส์ โพรเซสซิ่ง จำกัด เปิดเผย “สยามธุรกิจ” ว่า จากการทำตลาด น้ำแกงพร้อมปรุงรสรอยไทย ได้รับความนิยมอย่างมากใน 30 ประเทศ โดยประเทศที่มีการเติบโตดีที่สุดคือ ญี่ปุ่น โดยเฉพาะเมนูแกงเขียวหวาน ซึ่งกลายเป็น “แกงเขียวหวาน ฟีเวอร์” อยู่ในขณะนี้ นอกจากจะมีเมนูแกงเขียวหวานตามร้าน อาหารแล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์รสชาติแกงเขียวหวานออกมา อาทิ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป นอกจากนั้นชาวญี่ปุ่นยังสนใจทำแกงเขียวหวานเพื่อการรับประทานเองมากขึ้น โดยอาศัยน้ำแกงพร้อมปรุง ซึ่งบริษัทได้เข้าไปทำตลาดแล้ว
สำหรับน้ำแกงพร้อมปรุงรอยไทย เปิดตัวเมื่อปี 2553 โดยอาศัยความเชี่ยวชาญในธุรกิจมะพร้าวที่พัฒนาเป็นกะทิ บวกกับความเชี่ยวชาญทางด้านการผลิตพริกแกงแบรนด์ “แม่พลอย” ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ โดยช่วงเริ่มต้นอาจจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรในตลาดเมืองไทย จากนั้นได้เข้าสู่ตลาดต่างประเทศ รวมทั้งญี่ปุ่น โดยจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าในญี่ปุ่นแล้ว 300 สาขา โดยเมนูที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ “แกงเขียวหวาน” และจะขยายช่องทางการจำหน่ายในญี่ปุ่นไปอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบันบริษัทมีการส่งออกน้ำแกงพร้อมปรุงรอยไทยไปยังญี่ปุ่น 10 ตู้คอนเทนเนอร์ต่อเดือน โดยปีนี้คาดว่าจะมียอดขายมากกว่า 100 ล้านบาท ถือเป็น 50% ของเป้าหมายที่วางไว้ว่า ในปีนี้จะมีการจำหน่ายแกงปรุงรสรอยไทย 240 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดขายที่รวมทั้งในประเทศและต่างประเทศ เติบโตจากปีที่ผ่านมา 30% ความสำเร็จของรอยไทยในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมาจากกระแส “แกงเขียวหวาน ฟีเวอร์” จะเป็นต้นแบบที่ใช้ในการบุกตลาด ฮ่องกง และ สิงคโปร์ และประเทศในอาเซียนต่อไป โดยวิธีการทำตลาด คือการให้ความรู้เกี่ยวกับการทำอาหารไทย
> บูมแม่บ้านรุ่นใหม่สอนทำแกงผ่านแอพฯ
สำหรับตลาดในประเทศ แม้ว่าที่ผ่านมา “รอยไทย” จะยังไม่ประสบความสำเร็จมากนัก เนื่องจากคนไทยยังไม่เชื่อมั่นในตัวสินค้า จึงต้องอาศัยการให้ประสบการณ์และความรู้ในการใช้ผลิตภัณฑ์ อีกทั้งต้องปรับเปลี่ยนเป้าหมาย จากเดิมที่คิดว่า น้ำแกงพร้อมปรุงเป็นตลาดของคนรุ่นใหม่ แต่จริงๆ แล้ว น้ำแกงพร้อมปรุงรอยไทย เหมาะทั้งคนรุ่นใหม่และคนที่ทำอาหารเป็นแล้ว เนื่องจากสูตรของผลิตภัณฑ์ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นน้ำแกงชนิดพื้นฐานของแกงชนิดนั้นๆ และสามารถปรุงรสเพิ่มได้ตามต้องการ
นอกจากนั้น บริษัทได้พัฒนา RoiThai Application บนไอแพด เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าไปดูวิธีทำอาหารเมนูต่างๆ ซึ่งได้จัดทำเป็นวิดีโอให้ความรู้ขั้นตอนและเคล็ดลับในการทำอาหารจากน้ำแกงพร้อมปรุงรอยไทย โดยมีเมนูหลากหลายมากกว่า 45 รายการ แบ่งเป็น เมนูรอยไทย เกร็ดรอย ไทย และรอยไทยไอเดีย
> ตลาดเมืองไทยลุยแกงเขียวหวานสำเร็จ
สำหรับตลาดในประเทศ แม้ว่าปัจจุบันเราจะสามารถหาเมนูแกงเขียวหวานรับประทานได้โดยทั่วไป แต่ในส่วนของการปรุงอาหารเองที่บ้าน ตลาดเครื่องปรุงรส ก็หันมาจับตลาดนี้ โดยมีแกงเขียวหวานเป็น 1 ในเมนูหลักที่ค่ายปรุงรสออกมาทำตลาด อาทิ การบุกตลาดของ “คนอร์” ด้วย “คนอร์ สูตรสำเร็จ” เพื่อเป็นการขยายพอร์ต โฟลิโอในกลุ่มแบรนด์คนอร์ จากเดิมที่มี 1.ซุปก้อน 2.ซุปผง และ 3.โจ๊ก ให้มีความหลากหลายมากขึ้น โดยระบุว่า จากการสำรวจตลาดของรีเสิร์ชอินเตอร์เนชั่นแนล พบว่า คนไทยนิยมทานข้าวในบ้านมากกว่า 90% และแม่บ้านกว่า 51% โดยในช่วงแรกคนอร์ผลิตออกมา 4 สูตร คือ แกงส้ม แกงเขียวหวาน และเมนูพะโล้ ต้มยำ เนื่องจากเป็นเมนูที่ทำค่อนข้างลำบากและต้องมีเครื่องปรุงเครื่องเคียงมาก ขณะที่เวลาของแม่บ้านสมัยนี้น้อยลง
อีกทั้งจากการสำรวจพบว่า เมนูแกงทั้ง 4 ชนิดนี้ เป็นเมนูยอด ฮิตที่คนไทยบริโภครวมกันมากกว่า 1,500 ล้านจานต่อปี และไม่นานมานี้ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ก็ได้แนะนำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสชาติ ใหม่ “มาม่า แกงเขียวหวานไก่” ตอบรับกระแสแกงเขียวหวานฟีเวอร์ในญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน เป็นการยืนยันความฮอตฮิตติดตลาดของแกงเขียวหวานได้เป็นอย่างดี
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ในสมัยก่อนนั้น แกงไทยๆ จะเป็นแกงเลียง ซะส่วนใหญ่ และเป็นแกงป่าตามมา ต่อมามีแกงใส่กะทิเข้ามา โดยช่วงแรกแกงไทยจะใช้พริก แดงเป็นส่วนใหญ่ และพัฒนามาเป็นการใช้พริกสีเขียวแทนและใส่ใบพริกสดลงไปตำด้วยในน้ำพริกแกงนั้นๆ เพื่อให้มีสีเขียวที่เด่นชัดขึ้น เกิดเป็น “แกงเขียวหวาน” คำว่าแกงเขียวหวาน ไม่ได้หมายความถึง แกงที่มีรสหวาน แต่หมายถึงสีเขียวนวลหรือเขียวหวาน ไม่ใช่เขียวจัดจ้านนั่นเอง
ปัจจุบันแกงเขียวหวาน กลายเป็น 1 เมนูคู่ครัว และเป็นเมนูหลักที่คนไทยคุ้นชิน โดยเฉพาะในร้านข้าวแกง ซึ่งมักจะมีแกงเขียวหวานอยู่ในเมนูประจำวัน เราอาจจะเคยได้ยินชื่อเสียงของอาหารไทย อันเป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลก ทั้ง “ผัดไทย” หรือ “ต้มยำกุ้ง” แต่ “แกงเขียวหวาน” ก็เป็นหนึ่งในแกงไทยที่ได้รับความนิยม โดยเริ่มจากกลุ่มร้านอาหารไทยในต่างประเทศ จวบจนปัจจุบันเมนูแกงเขียวหวาน กำลังเข้าสู่ครัวของชาวต่างชาติมากขึ้น ด้วยการบุกตลาดของผู้ผลิตเครื่องแกงคนไทยนั่นเอง
> แม่บ้านญี่ปุ่นคลั่งแกงเขียวหวาน
และปรากฏการณ์ของแกงเขียวหวานในต่างประเทศ ก็เริ่มเด่นชัดขึ้นในปีนี้ โดยเมื่อต้นปี สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองฟูกูโอกะ รายงานว่า หนังสือพิมพ์ Nikkei MJ ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ด้านการตลาดยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น รายงานว่า กระแสความนิยมแกงเขียวหวานไทยของคนญี่ปุ่นกำลังมาแรงเป็นอย่างมาก
แต่เดิมแกงญี่ปุ่นที่แม่บ้านญี่ปุ่นนิยมปรุงรับประทานทั่วไป ซึ่งประกอบด้วยมันฝรั่ง แครอต หอมหัวใหญ่ และเนื้อหมูหรือเนื้อวัวนั้น มาปีนี้แนวโน้มดังกล่าวได้เปลี่ยนไป แกงของประเทศ ทางแถบเอเชียได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งแกงเขียวหวานของไทยที่สตรีชาวญี่ปุ่นนิยมปรุงรับประทานในครอบ ครัว หรือเวลาที่เชิญแขกมาบ้าน เนื่องจากเครื่องปรุงต่างๆ สามารถหาซื้อได้ง่าย และใช้เวลาปรุงเพียงไม่กี่นาที อีกทั้งยังมีร้านอาหารไทย ที่ทำการเปิดสอนคอร์สปรุงเมนูแกงเขียวหวานให้กับชาวญี่ปุ่นอีกด้วย
ขณะเดียวกัน บริษัท House Food Corp บริษัทจำหน่าย อาหารรายใหญ่ของญี่ปุ่น ได้ออกผลิตภัณฑ์เครื่องแกงเขียวหวานสำเร็จรูป “Mild Green Curry” ราคาซองละ 178 เยน หรือประมาณ 73 บาท ส่วนบริษัท S&B Food Inc. ได้วางแผน ปรับปรุงผลิตภัณฑ์ประเภทที่มีเครื่องปรุงครบถ้วน อุ่นและเปิดทานได้ทันที เข้าสู่ตลาดภายใต้ชื่อ “Thai Green Curry” วางตลาดไปแล้วเมื่อต้นปี
> ‘รอยไทย’ เผยปีนี้ส่งญี่ปุ่นกว่า 100 ล้าน
นายเกรียงศักดิ์ เทพผดุงพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท อำพลฟูดส์ โพรเซสซิ่ง จำกัด เปิดเผย “สยามธุรกิจ” ว่า จากการทำตลาด น้ำแกงพร้อมปรุงรสรอยไทย ได้รับความนิยมอย่างมากใน 30 ประเทศ โดยประเทศที่มีการเติบโตดีที่สุดคือ ญี่ปุ่น โดยเฉพาะเมนูแกงเขียวหวาน ซึ่งกลายเป็น “แกงเขียวหวาน ฟีเวอร์” อยู่ในขณะนี้ นอกจากจะมีเมนูแกงเขียวหวานตามร้าน อาหารแล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์รสชาติแกงเขียวหวานออกมา อาทิ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป นอกจากนั้นชาวญี่ปุ่นยังสนใจทำแกงเขียวหวานเพื่อการรับประทานเองมากขึ้น โดยอาศัยน้ำแกงพร้อมปรุง ซึ่งบริษัทได้เข้าไปทำตลาดแล้ว
สำหรับน้ำแกงพร้อมปรุงรอยไทย เปิดตัวเมื่อปี 2553 โดยอาศัยความเชี่ยวชาญในธุรกิจมะพร้าวที่พัฒนาเป็นกะทิ บวกกับความเชี่ยวชาญทางด้านการผลิตพริกแกงแบรนด์ “แม่พลอย” ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ โดยช่วงเริ่มต้นอาจจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรในตลาดเมืองไทย จากนั้นได้เข้าสู่ตลาดต่างประเทศ รวมทั้งญี่ปุ่น โดยจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าในญี่ปุ่นแล้ว 300 สาขา โดยเมนูที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ “แกงเขียวหวาน” และจะขยายช่องทางการจำหน่ายในญี่ปุ่นไปอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบันบริษัทมีการส่งออกน้ำแกงพร้อมปรุงรอยไทยไปยังญี่ปุ่น 10 ตู้คอนเทนเนอร์ต่อเดือน โดยปีนี้คาดว่าจะมียอดขายมากกว่า 100 ล้านบาท ถือเป็น 50% ของเป้าหมายที่วางไว้ว่า ในปีนี้จะมีการจำหน่ายแกงปรุงรสรอยไทย 240 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดขายที่รวมทั้งในประเทศและต่างประเทศ เติบโตจากปีที่ผ่านมา 30% ความสำเร็จของรอยไทยในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมาจากกระแส “แกงเขียวหวาน ฟีเวอร์” จะเป็นต้นแบบที่ใช้ในการบุกตลาด ฮ่องกง และ สิงคโปร์ และประเทศในอาเซียนต่อไป โดยวิธีการทำตลาด คือการให้ความรู้เกี่ยวกับการทำอาหารไทย
> บูมแม่บ้านรุ่นใหม่สอนทำแกงผ่านแอพฯ
สำหรับตลาดในประเทศ แม้ว่าที่ผ่านมา “รอยไทย” จะยังไม่ประสบความสำเร็จมากนัก เนื่องจากคนไทยยังไม่เชื่อมั่นในตัวสินค้า จึงต้องอาศัยการให้ประสบการณ์และความรู้ในการใช้ผลิตภัณฑ์ อีกทั้งต้องปรับเปลี่ยนเป้าหมาย จากเดิมที่คิดว่า น้ำแกงพร้อมปรุงเป็นตลาดของคนรุ่นใหม่ แต่จริงๆ แล้ว น้ำแกงพร้อมปรุงรอยไทย เหมาะทั้งคนรุ่นใหม่และคนที่ทำอาหารเป็นแล้ว เนื่องจากสูตรของผลิตภัณฑ์ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นน้ำแกงชนิดพื้นฐานของแกงชนิดนั้นๆ และสามารถปรุงรสเพิ่มได้ตามต้องการ
นอกจากนั้น บริษัทได้พัฒนา RoiThai Application บนไอแพด เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าไปดูวิธีทำอาหารเมนูต่างๆ ซึ่งได้จัดทำเป็นวิดีโอให้ความรู้ขั้นตอนและเคล็ดลับในการทำอาหารจากน้ำแกงพร้อมปรุงรอยไทย โดยมีเมนูหลากหลายมากกว่า 45 รายการ แบ่งเป็น เมนูรอยไทย เกร็ดรอย ไทย และรอยไทยไอเดีย
> ตลาดเมืองไทยลุยแกงเขียวหวานสำเร็จ
สำหรับตลาดในประเทศ แม้ว่าปัจจุบันเราจะสามารถหาเมนูแกงเขียวหวานรับประทานได้โดยทั่วไป แต่ในส่วนของการปรุงอาหารเองที่บ้าน ตลาดเครื่องปรุงรส ก็หันมาจับตลาดนี้ โดยมีแกงเขียวหวานเป็น 1 ในเมนูหลักที่ค่ายปรุงรสออกมาทำตลาด อาทิ การบุกตลาดของ “คนอร์” ด้วย “คนอร์ สูตรสำเร็จ” เพื่อเป็นการขยายพอร์ต โฟลิโอในกลุ่มแบรนด์คนอร์ จากเดิมที่มี 1.ซุปก้อน 2.ซุปผง และ 3.โจ๊ก ให้มีความหลากหลายมากขึ้น โดยระบุว่า จากการสำรวจตลาดของรีเสิร์ชอินเตอร์เนชั่นแนล พบว่า คนไทยนิยมทานข้าวในบ้านมากกว่า 90% และแม่บ้านกว่า 51% โดยในช่วงแรกคนอร์ผลิตออกมา 4 สูตร คือ แกงส้ม แกงเขียวหวาน และเมนูพะโล้ ต้มยำ เนื่องจากเป็นเมนูที่ทำค่อนข้างลำบากและต้องมีเครื่องปรุงเครื่องเคียงมาก ขณะที่เวลาของแม่บ้านสมัยนี้น้อยลง
อีกทั้งจากการสำรวจพบว่า เมนูแกงทั้ง 4 ชนิดนี้ เป็นเมนูยอด ฮิตที่คนไทยบริโภครวมกันมากกว่า 1,500 ล้านจานต่อปี และไม่นานมานี้ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ก็ได้แนะนำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสชาติ ใหม่ “มาม่า แกงเขียวหวานไก่” ตอบรับกระแสแกงเขียวหวานฟีเวอร์ในญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน เป็นการยืนยันความฮอตฮิตติดตลาดของแกงเขียวหวานได้เป็นอย่างดี
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ชวน หลีกภัย ทอล์คโชว์แขวะ ทักษิณ อ้างเคยเตือนจะไม่มีแผ่นดินอยู่ !!?
ข่าวสดออนไลน์รายงานว่า เวลา 19.00 น. วันที่ 25 มิ.ย. ที่โรงละครเอ็มเธียเตอร์ ถ.เพชรบุรี กทม. บลูสกาย ชาแนล กับพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมกันจัดงานทอล์คโชว์การกุศล “2575 เจาะเวลาสู่อนาคต” ขึ้นไทม์แมชชีนสำรวจอดีตการเมืองไทย 2475 สู่อนาคต 2575 โดยการเป็นการทอร์คโชว์ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กับนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์
ทั้งนี้งานดังกล่าวมีจำหน่ายบัตรที่นั่งในราคาที่นั่งละ1 พันบาท จำนวน 800 ที่นั่ง ขณะที่ผู้เข้าฟังส่วนใหญ่เป็นแฟนคลับของสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมบลูสกายฯ
นายชวนขึ้นทอล์คโชว์เป็นคนแรก กล่าวตอนหนึ่งว่า ตนเคยเตือนพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ว่าจะไม่มีแผ่นดินอยู่ และมีคนกล่าวหาว่าพรรคประชาธิปัตย์เล่นการเมืองมากเกินไป แต่เห็นว่าไม่มีการเมืองไม่ให้เล่นก็ไม่เป็นไร แต่ให้ระวังคนที่ทำกับประเทศเหมือนกับเป็นบริษัทของตัวเองก็ให้ระวังไม่มีแผ่นดินอยู่ แต่ขณะนี้พต.ท.ทักษิณ ก็มีแผ่นดินอยู่มากกว่าเรา ยกเว้นประเทศไทย
ซึ่งในปัจจุบันอย่าเข้าใจว่าประเทศไทยแย่กว่าคนอื่น แต่ประเทศเรามีดีอยู่ มีการเปลี่ยนแปลงไม่ใช่การเมืองอย่างเดียว แต่มีเศรษฐกิจ เกษตรกรรม ความมั่นคง การศึกษา รายได้ประชากรก็ดีขึ้น แต่อย่าวัดตัวนี้เป็นมาตรฐานว่าดีหรือไม่ และเรายังมีอะไรเป็นของตัวเองอยู่อย่ามองเป็นปมด้อย เราไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของใคร เรามีสินค้าเกษตรส่งออกเป็นที่หนึ่งของโลกแต่วันนี้กลับลดลงแล้ว และการเสียอะไรไปก็อยากให้ทบทวนสิ่งที่ได้มาด้วย 80 ปีที่ผ่านมามีทั้งสิ่งดีสิ่งร้าย และสิ่งที่ดีผ่านเข้ามาแล้วก็มีสิ่งที่เป็นสิ่งไม่ดีเข้ามาเช่นเดียวกัน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 ของเรานั้นถือว่าเบาไม่สูญเสียมาก แต่เพียงไม่ถึง 2 ปี รัชกาลที่ 7 ทรงสละราชสมบัติและมีราชหัตถเลขา
นายชวน กล่าวต่อว่า ประชาธิปไตย 80 ปี มีอุปสรรคเบื้องต้นคือทหารยึดอำนาจ ทำหลายครั้งทั้งสำเร็จและไม่สำเร็จ และหากสำเร็จก็จะเปลี่ยนรัฐบาลเป็นรัฐบาลทหาร แต่ไม่ได้เปลี่ยนโครงสร้างการปกครอง ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และไม่แทรกแซงอำนาจตุลาการ ซึ่งก่อนปี 2475 ตุลาการก็เข้มแข็งอยู่แล้ว และรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา 18 ฉบับ มีขึ้นในช่วงตนเป็นนักการเมือง 11 ฉบับ
ซึ่งทั้งหมดหากปฏิบัติตามแนวทางพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็จะไม่มีปัญหาเกิดขึ้น ปัญหาวิกฤตหลายครั้งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ส่วนใหญ่มาจากผู้ปฎิบัติ ไม่ใช่เพราะรัฐธรรมนูญไม่ดี แต่เกิดจากคนไม่ดี ไม่ใช่เพราะกฎหมาย เช่น รัฐธรรมนูญ 2540 ที่ทำให้เกิดรัฐประหารปี 2549 เพราะเขาละเมิดกฎหมาย ปฏิบัตินอกกฎหมายเหล่านั้น ขณะที่ธุรกิจการเมืองที่ร้ายแรงคือ “ระบอบทักษิณ” ที่แทรกแซงองค์กรทั้งหมาย มีการซื้อพรรคการเมืองให้มากจนทำอะไรไม่ได้ก็ไม่เหมาะสม
และสิ่งที่ผิดคือการซื้อวุฒิสมาชิก ทั้งนี้การเมืองยุคนี้มีการข่มขู่คุกคามศาล โดยนักการเมืองซึ่งเป็นสิ่งที่เลวร้ายตลอด 80 ปีที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เป็นสาเหตุให้เกิดความวุ่นวายและทำให้บ้านเมืองเป็นปัญหา และในอนาคตหากไม่แก้ปัญหานี้ประชาธิปไตยก็จะเดินไปอย่างไม่ถูกต้องและไม่ชอบธรรม
นายชวน กล่าวด้วยว่า ตนเล่นการเมืองมา 43 ปี แม้ความรู้นักการเมืองจะมากขึ้นแต่รูปแบบเลวลงคือใช้เงินซื้อเสียง และคิดว่าจะถอนทุนคืนหรือไม่ เพราะใช้เงิน 50 ล้าน แต่รับเงินเดือนกว่าแสนบาท แต่ก่อนมีการใช้ปลาทูเค็มซื้อเสียงแต่ปัจจุบันไม่มีแล้ว รวมทั้งใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้ชนะ มองประชาธิปไตยเป็นธุรกิจการเมือง มองแต่ผลกำไร ทำทุกวิธีทางให้อีกฝ่ายต้องตายให้ได้ แทรกแซงทุกองค์กร..
***************************************************************************
ทั้งนี้งานดังกล่าวมีจำหน่ายบัตรที่นั่งในราคาที่นั่งละ1 พันบาท จำนวน 800 ที่นั่ง ขณะที่ผู้เข้าฟังส่วนใหญ่เป็นแฟนคลับของสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมบลูสกายฯ
นายชวนขึ้นทอล์คโชว์เป็นคนแรก กล่าวตอนหนึ่งว่า ตนเคยเตือนพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ว่าจะไม่มีแผ่นดินอยู่ และมีคนกล่าวหาว่าพรรคประชาธิปัตย์เล่นการเมืองมากเกินไป แต่เห็นว่าไม่มีการเมืองไม่ให้เล่นก็ไม่เป็นไร แต่ให้ระวังคนที่ทำกับประเทศเหมือนกับเป็นบริษัทของตัวเองก็ให้ระวังไม่มีแผ่นดินอยู่ แต่ขณะนี้พต.ท.ทักษิณ ก็มีแผ่นดินอยู่มากกว่าเรา ยกเว้นประเทศไทย
ซึ่งในปัจจุบันอย่าเข้าใจว่าประเทศไทยแย่กว่าคนอื่น แต่ประเทศเรามีดีอยู่ มีการเปลี่ยนแปลงไม่ใช่การเมืองอย่างเดียว แต่มีเศรษฐกิจ เกษตรกรรม ความมั่นคง การศึกษา รายได้ประชากรก็ดีขึ้น แต่อย่าวัดตัวนี้เป็นมาตรฐานว่าดีหรือไม่ และเรายังมีอะไรเป็นของตัวเองอยู่อย่ามองเป็นปมด้อย เราไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของใคร เรามีสินค้าเกษตรส่งออกเป็นที่หนึ่งของโลกแต่วันนี้กลับลดลงแล้ว และการเสียอะไรไปก็อยากให้ทบทวนสิ่งที่ได้มาด้วย 80 ปีที่ผ่านมามีทั้งสิ่งดีสิ่งร้าย และสิ่งที่ดีผ่านเข้ามาแล้วก็มีสิ่งที่เป็นสิ่งไม่ดีเข้ามาเช่นเดียวกัน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 ของเรานั้นถือว่าเบาไม่สูญเสียมาก แต่เพียงไม่ถึง 2 ปี รัชกาลที่ 7 ทรงสละราชสมบัติและมีราชหัตถเลขา
นายชวน กล่าวต่อว่า ประชาธิปไตย 80 ปี มีอุปสรรคเบื้องต้นคือทหารยึดอำนาจ ทำหลายครั้งทั้งสำเร็จและไม่สำเร็จ และหากสำเร็จก็จะเปลี่ยนรัฐบาลเป็นรัฐบาลทหาร แต่ไม่ได้เปลี่ยนโครงสร้างการปกครอง ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และไม่แทรกแซงอำนาจตุลาการ ซึ่งก่อนปี 2475 ตุลาการก็เข้มแข็งอยู่แล้ว และรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา 18 ฉบับ มีขึ้นในช่วงตนเป็นนักการเมือง 11 ฉบับ
ซึ่งทั้งหมดหากปฏิบัติตามแนวทางพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็จะไม่มีปัญหาเกิดขึ้น ปัญหาวิกฤตหลายครั้งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ส่วนใหญ่มาจากผู้ปฎิบัติ ไม่ใช่เพราะรัฐธรรมนูญไม่ดี แต่เกิดจากคนไม่ดี ไม่ใช่เพราะกฎหมาย เช่น รัฐธรรมนูญ 2540 ที่ทำให้เกิดรัฐประหารปี 2549 เพราะเขาละเมิดกฎหมาย ปฏิบัตินอกกฎหมายเหล่านั้น ขณะที่ธุรกิจการเมืองที่ร้ายแรงคือ “ระบอบทักษิณ” ที่แทรกแซงองค์กรทั้งหมาย มีการซื้อพรรคการเมืองให้มากจนทำอะไรไม่ได้ก็ไม่เหมาะสม
และสิ่งที่ผิดคือการซื้อวุฒิสมาชิก ทั้งนี้การเมืองยุคนี้มีการข่มขู่คุกคามศาล โดยนักการเมืองซึ่งเป็นสิ่งที่เลวร้ายตลอด 80 ปีที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เป็นสาเหตุให้เกิดความวุ่นวายและทำให้บ้านเมืองเป็นปัญหา และในอนาคตหากไม่แก้ปัญหานี้ประชาธิปไตยก็จะเดินไปอย่างไม่ถูกต้องและไม่ชอบธรรม
นายชวน กล่าวด้วยว่า ตนเล่นการเมืองมา 43 ปี แม้ความรู้นักการเมืองจะมากขึ้นแต่รูปแบบเลวลงคือใช้เงินซื้อเสียง และคิดว่าจะถอนทุนคืนหรือไม่ เพราะใช้เงิน 50 ล้าน แต่รับเงินเดือนกว่าแสนบาท แต่ก่อนมีการใช้ปลาทูเค็มซื้อเสียงแต่ปัจจุบันไม่มีแล้ว รวมทั้งใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้ชนะ มองประชาธิปไตยเป็นธุรกิจการเมือง มองแต่ผลกำไร ทำทุกวิธีทางให้อีกฝ่ายต้องตายให้ได้ แทรกแซงทุกองค์กร..
***************************************************************************
วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2555
เผยยุทธศาสตร์สหรัฐฯ การปรับสมดุลใหม่ในเอเชีย !!?
หลังจากทีมีแหล่งข่าวเผยแพร่จำนวนมากในประเด็นที่ ”นาซา” จะเข้ามาศึกษาตาม “โครงการศึกษาการก่อตัวของเมฆที่มีผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” (Southeast Asia Composition, Cloud, Climate Coupling Regional Study (SEAC4RS)
โดยนักวิทยาศาสตร์จะขึ้นเครื่องบินที่ดัดแปลงใส่อุปกรณ์เฉพาะขึ้นไปตรวจวัดทางกายภาพและทางเคมีของเมฆ อุณหภูมิ และความชื้นในชั้นบรรยากาศ พร้อมรับส่งข้อมูลเชื่อมโยงกับดาวเทียมในการตรวจความผิดปกติของชั้นบรรยากาศที่เกิดจากการเผาชีวมวล (Biomass) และการปล่อยแก๊สต่างๆ เครื่องบินจะขึ้นไประดับความสูงจากพื้นดินประมาณ 12 กม.
ระยะเวลาในการดำเนินการเก็บข้อมูลเริ่มเดือนสิงหาคม-กันยายน 2555 และเป็นที่มาของความวิตกกังวลของคนไทยจำนวนหนึ่งที่เห็นว่าโครงการของนาซานี้อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศได้ SIU จึงขอใช้โอกาสนี้แปลบทปาฐกถาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายลีออน พาเน็ตตา (Leon Panetta) ถึงยุทธศาสตร์ของสหรัฐอเมริกากับการปรับสมดุลใหม่ในเอเชีย โดยแบ่งเป็น 2 ตอน สำหรับงานชิ้นนี้จะนำเสนอในภาคแรก ดังนี้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลีออน พาเน็ตตา: ขอบคุณมากครับ จอห์น สำหรับความกรุณาในเรื่องคำแนะนำผมให้กับที่ประชุม
ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับโอกาสในการเข้าร่วมงานสัมมนาแชงกรีลาเป็นครั้งแรกนี้ ผมขอชื่นชมสถาบันนานาชาติเพื่อการศึกษายุทธศาสตร์ (International Institute for Strategic Studies) ในการจัดการอภิปรายที่สำคัญนี้ ซึ่งเป็นการเสวนาที่สำคัญยิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ในช่วงสุดสัปดาห์นี้
เท่าที่ผมทราบ ผมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกาคนที่ 3 ที่เข้าร่วมในการเสวนานี้ ที่มีผู้เข้าร่วมที่เป็นผู้บริหารจากทั้ง 2 พรรคการเมืองของสหรัฐอเมริกา ซึ่งผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าเป็นข้อพิสูจน์อย่างชัดเจนถึงตำแหน่งแห่งที่ของสหรัฐในภูมิภาคที่เต็มไปด้วยพลวัตและมีความสำคัญยิ่งของโลกใบนี้
ด้วยจิตวิญญาณเช่นนี้เองที่ทำให้ผมมาเยือนสิงคโปร์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางทั่วเอเชียเป็นเวลา 8 วัน ซึ่งเวียดนามและอินเดียก็อยู่ในการเดินทางครั้งนี้ของผมด้วย
จุดประสงค์ของการเดินทางครั้งนี้และการบรรยายของผมในวันนี้ ก็เพื่ออธิบายยุทธศาสตร์ทางการทหารชุดใหม่ซึ่งสหรัฐอเมริกาได้เริ่มดำเนินการและพูดถึงสาเหตุที่สหรัฐอเมริกาจะเล่นบทบาทพันธมิตรที่ยั่งยืนและหยั่งรากมากขึ้นในการเดินหน้าด้านความมั่นคงและความรุ่งเรืองของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และอธิบายถึงวิธีการที่กองทัพสหรัฐอเมริกาจะสนับสนุนเป้าหมายเหล่านี้โดยการปรับสมดุลของทั่วทั้งภูมิภาคนี้เสียใหม่
นับตั้งแต่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ขยับขยายประเทศออกไปทางตะวันตกในช่วงศตวรรษที่ 19 เราก็ได้กลายเป็นประเทศแปซิฟิกไปแล้ว ตัวผมเองเกิดและเติบโตขึ้นแถบเมืองชายฝั่งในแคลิฟอร์เนียที่ชื่อมอนเทอเรย์ และผมได้ใช้เวลาค่อนชีวิตในการเฝ้ามองข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกออกไป ด้วยเหตุที่เป็นชุมชนชาวประมง เป็นท่าเรือ มหาสมุทรย่อมเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของเรา ความทรงจำครั้งยังเยาว์วัยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งผมได้เฝ้ามองกองทัพอเมริกันเคลื่อนพลผ่านชุมชนของผมเพื่อไปเข้ารับการฝึกที่ค่ายทหารที่เรียกว่า ฟอร์ดออร์ด และเดินทัพต่อไปเพื่อเผชิญศึกในแปซิฟิก
ผมยังจำได้ถึงความหวาดกลัวที่เข้าครอบงำชุมชนของเราในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และต่อมาเมื่อสงครามระเบิดขึ้นในคาบสมุทรเกาหลี ทั้งที่พื้นที่ทางภูมิศาสตร์แบ่งแยกเราออกจากกัน ผมยังคงเข้าใจดีเสมอว่าชะตากรรมของสหรัฐอเมริกามีความผูกพันอย่างไม่อาจหยุดยั้งได้กับภูมิภาคนี้ได้อย่างไร
ความจริงในข้อนี้เองที่ชี้นำการปรากฏตัวและการเป็นพันธมิตรของกองทัพสหรัฐในภูมิภาคนี้มามากกว่าหกทศวรรษ คือท่าทีในแง่ความมั่นคง ซึ่งควบคู่ไปกับความช่วยเหลือในทางต่างประเทศ ที่ช่วยนำมาสู่ยุคแห่งความมั่นคงและความรุ่งเรืองที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20
ในศตวรรษที่ 21 นี้ สหรัฐอเมริกาตระหนักดีว่าความมั่นคงและความรุ่งเรืองของเราขึ้นกับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมากยิ่งขึ้นทุกที นอกเหนือไปกว่านี้ ภูมิภาคนี้ยังเป็นถิ่นที่อยู่ของประเทศที่มีเศรษฐกิจที่มีการเติบโตเร็วที่สุดในโลก คือ จีน อินเดีย และ อินโดนีเซีย นี่เป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น ในเวลาเดียวกันภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีประชากรจำนวนมากที่สุดในโลก และมีกำลังทหารที่ใหญ่โตที่สุดในโลก สถาบัน IISS แห่งนี้ได้คาดการณ์ว่างบประมาณด้านกลาโหมในเอเชียได้ล้ำหน้ายุโรปไปแล้วในปีนี้ และไม่ต้องเป็นที่สงสัยว่างบยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต
เมื่อมองแนวโน้มนี้ ประธานาธิบดีโอบามาจึงได้กล่าวว่าสหรัฐอเมริกาจะเล่นบทบาทที่กว้างขวางมากขึ้นในภูมิภาคนี้สำหรับทศวรรษที่กำลังจะมาถึง ความพยายามนี้จะวางอยู่บนความเข้มแข็งของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาทั้งหมด เราเล่นบทบาทนี้มิใช่ในในฐานะที่เป็นมหาอำนาจที่อยู่ห่างไกลออกไป หากแต่เป็นส่วนหนึ่งของประเทศทั้งหลายในครอบครัวแปซิฟิก เป้าหมายของเราคือการทำงานอย่างใกล้ชิดกับประเทศทั้งหลายในภูมิภาคนี้ที่จะเผชิญต่อความท้าทายต่อส่วนรวม และเพื่อสนับสนุนสันติภาพ ความรุ่งเรืองและความมั่นคงต่อประเทศทั้งหลายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
เพื่อนร่วมงานและมิตรที่ดีของผม คือคุณฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ได้เคยให้ภาพร่างของการกลับมาเน้นหนัก (refocus) ในเอเชียแปซิฟิก และได้ให้การเน้นย้ำเป็นอย่างยิ่งต่อส่วนที่สำคัญที่ว่า การทูต การค้า และการพัฒนา จะเป็นเรื่องหลักในการการมีส่วนร่วมของเรา
สหรัฐอเมริกากำลังอยู่ในจุดวกกลับทางยุทธศาสตร์หลังจากทศวรรษแห่งสงคราม เราได้ทำให้ภาวะการนำและความสามารถในการโจมตีของประเทศอื่นๆ ของอัลกออิดะห์อ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ เราได้ส่งสารที่ชัดเจนว่าจะไม่มีใครที่มาโจมตีสหรัฐอเมริกาแล้วหนีพ้นไปได้ ภารกิจทางการทหารในอิรักได้ยุติลงแล้วและมีการสถาปนาใหม่ขึ้นมา คือการสถาปนาอิรักที่สามารถดำรงตนและปกครองตนเองได้
ในอัฟกานิสถาน ซึ่งมีชาติเอเชียแปซิฟิกจำนวนมากได้แสดงบทบาทที่สำคัญในพันธมิตรนานาชาติ เราได้เริ่มการเปลี่ยนผ่านไปเป็นประเทศที่มีคนอัฟกันเป็นแกนนำในการสร้างความมั่นคง และประเทศอัฟกานิสถานซึ่งสามารถทำการปกป้องและปกครองตนเองได้ การประชุมล่าสุดในชิคาโก นาโตและพันธมิตร มากกว่า 50 ประเทศ ได้มาพบปะกันเพื่อสนับสนุนแผนของนายพลอัลเลนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ นอกจากนี้เราได้ร่วมมือกับความพยายามของนาโตที่ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนลิเบียให้เป็นของประชาชนลิเบีย
แต่แม้นว่าเราจะสามารถมองอย่างมีความหวังว่าสงครามนี้จะยุติลง แต่ปัจจุบันเราได้กำลังเผชิญความท้าทายระดับโลกที่มีความซับซ้อนและกว้างขวางมากยิ่งขึ้นทุกที จากภัยก่อการร้าย — การก่อการร้ายยังคงเป็นภัยคุกคามโลก — จากภัยก่อการร้ายมาเป็นการสั่นคลอนเสถียรภาพของอิหร่านและเกาหลีเหนือ จากการขยายตัวของอาวุธนิวเคลียร์มาเป็นภัยคุกคามใหม่ของการโจมตีในไซเบอร์ จากภาวะยุ่งเหยิงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในตะวันออกกลางมาเป็นความขัดแย้งด้านพรมแดนในภูมิภาคนี้
ในเวลาเดียวกันสหรัฐอเมริกา ซึ่งก็เช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ได้กำลังเผชิญกับหนี้ก้อนโตและภาวการณ์ขาดดุลงบประมาณจำนวนมาก ซึ่งนี่ทำให้กระทรวงกลาโหมต้องลดงบประมาณไปเกือบครึ่งล้านล้านเหรียญ หรือราว 4.87 แสนล้านเหรียญ ซึ่งเป็นการอำนวยการให้ลดลงจากสภาคองเกรสโดยกฎหมายควบคุมงบประมาณในทศวรรษหน้านี้
และด้วยความเป็นจริงทางการคลังอันใหม่นี้ ซึ่งก็เป็นความท้าทายต่อหลาย ๆ ประเทศในทุกวันนี้ด้วย ทำให้เรามีโอกาสในการออกแบบยุทธศาสตร์กลาโหมใหม่สำหรับศตวรรษที่ 21 ซึ่งทั้งทำให้เราสามารถเผชิญกับภัยคุกคามที่มี และยังดำรงสถานะการเป็นกองทัพที่เข้มแข็งที่สุดในโลกได้
ยุทธศาสตร์นี้เป็นที่ชัดเจนต่อกองทัพสหรัฐอเมริกา ถูกต้องครับ กองทัพจะต้องมีขนาดเล็กลง กองทัพจะต้องแบนราบลง แต่ก็ยังมีความคล่องตัวและยืดหยุ่น สามารถวางกำลังได้อย่างรวดเร็ว และจะมีการใช้งานเทคโลโลยีที่ทันสมัยในอนาคต และเป็นที่ชัดเจนพอกันว่าในขณะที่กองทัพสหรัฐอเมริกายังคงเป็นกำลังระดับโลกในแง่ความมั่นคงและการสร้างเสถียรภาพ เรายังจำเป็นต้องปรับสมดุลใหม่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอีกด้วย เรายังคงปรากฏตัวอยู่ทั่วโลก เรายังคงดำเนินการด้วยการหมุนเวียนสับเปลี่ยนกำลังที่สร้างสรรค์เพื่อเน้นย้ำในการเสริมสร้างเพื่อนและพันธมิตรใหม่ ๆ ด้วย เรายังคงมีการลงทุน ลงทุนในไซเบอร์ ลงทุนในอวกาศ ลงทุนในระบบที่ไม่เปิดเผยตัวตน ลงทุนในหน่วยปฏิบัติการพิเศษ เราจะลงทุนในเทคโนโลยีใหม่และเราจะลงทุนในความสามารถในการเคลื่อนย้ายเดินทางได้อย่างรวดเร็วหากมีความจำเป็น
เราได้เลือกและเราได้กำหนดลำดับความสำคัญ และเราได้เลือกอย่างถูกต้องที่ทำให้ภูมิภาคนี้มีความสำคัญ
การดำเนินการของเราในการบรรลุเป้าหมายระยะยาวในเอเชียแปซิฟิกก็คือการยืนหยัดเพื่อจะยืนยันถึงชุดหลักการพื้นฐานร่วม ซึ่งก็คือหลักการที่จะสนับสนุนกฎกติกาสากลและระเบียบที่จะนำพาสันติภาพและความมั่นคงมาสู่ภูมิภาค ขยายและหยั่งรากความร่วมมือทั้งด้านทวิภาคีและพหุภาคี ดำเนินการขยายและปรับตัวการปรากฏตัวของกองทัพสหรัฐอเมริกาอย่างมั่นคงในภูมิภาคนี้ และดำเนินการลงทุนใหม่ ๆ ให้มีขีดความสามารถที่จำเป็นในการวางกำลังและการปฏิบัติการในเอเชียแปซิฟิก
ผมขอขีดเส้นใต้ประโยคที่ว่านี่ไม่ใช่หลักการใหม่ คำมั่นที่เข้มแข็งของเราที่จะเสริมสร้างกติกาที่จะต้องมีการปฏิบัติตามนี้เป็นสิ่งที่เราเชื่อมั่นว่าจะช่วยสนับสนุนสันติภาพและความรุ่งเรืองของภูมิภาคนี้
เรากำลังพูดถึงอะไร? กติกาเหล่านี้รวมถึงหลักการในเรื่องการค้าที่เปิดกว้างและเสรี ระเบียบในความยุติธรรมสากลซึ่งเน้นย้ำเรื่องสิทธิและความรับผิดชอบของทุกชาติ และความเที่ยงตรงต่อบทบัญญัติด้านกฎหมาย เช่นการเปิดกว้างให้กับทุกฝ่ายต่ออาณาบริเวณส่วนรวมทั้งใน ภาคพื้นทะเล ท้องฟ้า อวกาศ และ ในไซเบอร์สเปซ รวมถึงการแก้ไขความขัดแย้งโดยปราศจากการข่มขู่บังคับหรือการใช้กำลัง
การสนับสนุนต่อวิสัยทัศน์นี้รวมถึงการแก้ไขความขัดแย้งอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่เป็นได้ด้วยวิถีทางการทูต การสนับสนุนต่อหลักการเหล่านี้เป็นภารกิจที่สำคัญของกองทัพสหรัฐอเมริกาในเอเชียแปซิฟิกมามากกว่า 60 ปี และจะกลายเป็นภารกิจที่สำคัญในอนาคต ความหวังของผมในการรักษากติกาและระเบียบสากลว่ามีความจำเป็นนั่นก็คือการที่สหรัฐอเมริกาจะร่วมกับอีก 160 ประเทศในการอนุวัตรกฎหมายสนธิสัญญาทางทะเลในปีนี้
หลักการอันที่สองก็คือเรื่องของหุ้นส่วน กุญแจสำหรับการเข้าถึงความพยายามในเรื่องนี้ก็คือการพัฒนาให้ทันสมัย และการสร้างความเข้มแข็งของพันธมิตรและหุ้นส่วนของเราในภูมิภาค สหรัฐอเมริกามีสนธิสัญญาเป็นพันธมิตรกับ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ และ ประเทศไทย เรามีหุ้นส่วนสำคัญในอินเดีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และประเทศอื่น ๆ และเราทำงานอย่างหนักในการพัฒนาและสร้างความสัมพันธ์ที่เข้มแข็งกับจีน
ในขณะที่เราขยายหุ้นส่วนออกไป เราก็เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับพันธมิตรของเราด้วย พันธมิตรระหว่างสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นจะยังคงเป็นรากฐานของความมั่นคงและความรุ่งเรืองในภูมิภาคในศตวรรษที่ 21 นี้ และด้วยเหตุนี้ ทั้งสองกองทัพจะยังคงขยายขีดความสามารถที่จะฝึกซ้อมและการปฏิบัติการร่วมกัน และจะมีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดทั้งในด้านความมั่นคงทางทะเลและงานข่าวกรอง การตรวจตราความปลอดภัยและการลาดตระเวน เรายังคงร่วมมือในการพัฒนาความสามารถเทคโนโลยีระดับสูง รวมทั้งระบบป้องกันขีปนาวุธยุคหน้า และแสวงหาความร่วมมือในอาณาบริเวณใหม่ ๆ เช่นในอวกาศและในไซเบอร์สเปซ
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เราได้เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับพันธมิตร และเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ที่กว้างขวางขึ้นในภูมิภาคและการปรับแผนเพื่อโยกกำลังนาวิกโยธินจากโอกินาวามายังเกาะกวม แผนนี้จะทำให้การคงกำลังในโอกินาวามีความยั่งยืนทางการเมืองมากขึ้น และยังช่วยพัฒนากวมให้กลายเป็นศูนย์รวมทางยุทธศาสตร์สำหรับกองทัพสหรัฐในแปซิฟิกตะวันตก ปรับปรุงขีดความสามารถในการตอบสนองเหตุฉุกเฉินที่หลากหลายมากขึ้นในเอเชียแปซิฟิก
แกนหลักอีกชิ้นหนึ่งในความมั่นคงในเอเชียแปซิฟิกก็คือพันธมิตรระหว่างสหรัฐอเมริกาและสาธารณรัฐเกาหลี ในขวบปีแห่งการเปลี่ยนผ่านและการยั่วยุในคาบสมุทรเกาหลี การเป็นพันธมิตรนี้เป็นเรื่องจำเป็น และผมได้กำหนดลำดับความสำคัญในการเสริมสร้างความเข้มแข็งในอนาคต เพื่อให้ถึงเป้าหมายนี้ แม้แต่สหรัฐอเมริกาก็จะลดกำลังภาคพื้นดินทุกส่วนในช่วงปีที่ผ่านมาในหนทางของการเปลี่ยนผ่านข้ามไปช่วงห้าปีนี้ เราจะดำรงการปรากฏตัวของกองทัพสหรัฐอเมริกาอย่างมีนัยสำคัญในเกาหลี
เราจะเสริมสร้างงานข่าวกรองและการแบ่งปันข้อมูลกับสาธารณรัฐเกาหลี เพื่อยืนหยัดอย่างแข็งแกร่งต่อการท้าทายที่ไม่เป็นมิตรจากเกาหลีเหนือ ในขณะที่การปรับโฉมพันธมิตรให้มีขีดความสามารถใหม่เพื่อเท่าทันความท้าทายระดับโลกได้มีการดำเนินไป
หลักการส่วนร่วมที่มีความสำคัญก็คือการปรากฏตัว ในขณะที่เราเสริมสร้างพันธมิตรดั้งเดิมในเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือและดำรงการปรากฏตัวของเราที่นั่น ในส่วนหนึ่งของความพยายามในการปรับสมดุลนี้เราก็ได้เสริมสร้างการปรากฏตัวของเราในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และมหาสมุทรอินเดีย
ส่วนประกอบสำคัญของความพยายามนี้ก็คือคำประกาศของข้อตกลงในฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้วสำหรับการสับเปลี่ยนกำลังนาวิกโยธินและการวางกำลังอากาศยานในภาคเหนือของออสเตรเลีย
การวางกำลังนาวิกโยธินชุดแรกจะอยู่ในช่วงเดือนเมษายน และกำลังภารกิจนาวิกโยธินภาคพื้นดินจะมีความสามารถในการวางกำลังได้อย่างรวดเร็วทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก นั่นทำให้เราจะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพกับหุ้นส่วนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และมหาสมุทรอินเดียเพื่อรับมือกับความท้าทาย เช่นภัยพิบัติจากธรรมชาติ และความมั่นคงทางทะเล
กำลังนาวิกโยธินเหล่านี้จะทำการฝึกซ้อมและทำการปฏิบัติการทั่วทั้งภูมิภาค และกับออสเตรเลีย เพื่อการเสริมสร้างหนึ่งในพันธมิตรที่สำคัญที่สุดของเรา และสร้างเป็นการเสริมสร้างในทศวรรษที่มีประสบการณ์ร่วมกันของการปฏิบัติการในอัฟกานิสถาน ด้วยคำกล่าวเช่นนี้ ผมยินดีตอบรับและขอแสดงความชื่นชมคำประกาศของออสเตรเลียเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่าจะเล่นบทบาทผู้นำในทีมปฏิบัติการร่วม Uruzgan และจะเล่นบทบาทนำในความพยายามด้านความมั่นคงที่นั่นไปจนถึงปี 2014
เราจะยังคงดำเนินปฏิบัติการความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับพันธมิตรที่มีมาอย่างยาวนานของเรา คือประเทศไทย การซ้อมรบประจำปี คอบร้า โกลด์ ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ เป็นการฝึกซ้อมพหุพาคีระดับโลก และปีนี้เราจะหยั่งรากในความร่วมมือทางยุทธศาสตร์เพื่อตอบสนองทันต่อความท้าทายในภูมิภาค
เราจะยิ่งเพิ่มพูนความเป็นพันธมิตรกับประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อเดือนที่แล้วในวอชิงตัน ผมได้ร่วมกับรัฐมนตรีคลินตันในการประชุม คู่ต่อคู่ (2+2) กับคู่เจรจาฟิลิปปินส์ของเรา การทำงานร่วมกันนั้นทำให้ กำลังของพวกเราประสบความสำเร็จในการต่อต้านกลุ่มก่อการร้าย เรายังได้แสวงหาการสร้างผลประโยชน์ร่วมกันจากการขยายขีดความสามารถ และการทำงานเพื่อปรับปรุงการคงกำลังในภาคพื้นมหาสมุทรของฟิลิปปินส์ ประธานเดมพ์เซย์จะเดินทางจากที่นี่ไปยังฟิลิปปินส์เพื่อเข้าร่วมภารกิจทางทหารเพิ่มเติม
ข้อพิสูจน์อันเด่นชัดที่เป็นรูปธรรมอีกประการหนึ่งของคำมั่นในการปรับสมดุลก็คือการเติบโตในความสัมพันธ์ด้านกลาโหมกับประเทศสิงคโปร์ ความสามารถของเราในการปฏิบัติการกับกองกำลังสิงคโปร์และกองกำลังอื่นในภูมิภาคจะเติบโตขึ้นอย่งมีนัยยะสำคัญในขวบปีที่กำลังจะมาถึง เมื่อเราดำเนินการในการวางกำลังเรือรบลิตโตรัลในสิงคโปร์
เมื่อเราได้ดำเนินทิศทางของพันธมิตรและหุ้นส่วนไปยังทิศทางใหม่ ความพยายามในการปรับสมดุลใหม่นี้จะก่อให้เกิดผลพวงในการขยายการเป็นหุ้นส่วนไปยังประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย อินเดีย เวียดนาม และ นิวซีแลนด์ อีกด้วย
ในช่วงปีที่กำลังมาถึงนี้ ผมจะเดินทางไปยังเวียดนามเพื่อเดินหน้าความร่วมมือทางการกลาโหมแบบทวิภาคี เพื่อทำสิ่งที่อยู่ในบันทึกความเข้าใจที่ครอบคลุมซึ่งทั้งสองประเทศได้มีการลงนามกันเมื่อปีที่แล้วให้เกิดเป็นจริง
จากเวียดนาม ผมจะเดินทางไปยังอินเดียเพื่อยืนยันความตั้งใจของเราในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงกับประเทศที่ผมเชื่อว่าจะแสดงบทบาทอันสำคัญในการสร้างอิทธิพลต่อความมั่นคงและความรุ่งเรืองในศตวรรษที่ 21 นี้
ในขณะที่สหรัฐอเมริกาได้ทำการเสริมสร้างหุ้นส่วนในภูมิภาคเหล่านี้ เราก็จะแสวงหาหนทางที่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่สำคัญยิ่งกับประเทศจีนด้วย เราเชื่อว่าจีนจะเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนา สันติภาพ ความรุ่งเรือง และความมั่นคงของเอเชียแปซิฟิกในศตวรรษที่ 21 และผมหวังว่าจะเดินทางไปที่นั่นในไม่ช้าจากคำเชิญของรัฐบาลจีน รัฐบาลของเราสองต่างก็ตระหนักว่าความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนเป็นหนึ่งในความสัมพันธ์ที่สำคัญที่สุดในโลก พวกเราในสหรัฐอเมริกามีภาพอันแจ่มชัดเกี่ยวกับความท้าทาย ที่จะไม่ดำเนินหนทางที่ผิดพลาดในเรื่องนี้ และเรายังจะคว้าโอกาสในการสร้างความร่วมมือและสร้างความสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้นอีกด้วย
โดยส่วนตัวแล้วผมขอให้คำมั่นที่จะสร้าง ความสัมพันธ์ ที่เข้มแข็ง สถาพร มั่นคง และต่อเนื่องยาวนาน อย่างใกล้ชิด กับประเทศจีน ผมมีโอกาสได้เป็นเจ้าภาพรองประธานาธิบดีสี และต่อมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายพลเหลียง ที่เพนตากอน ซึ่งเป็นความพยายามที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว เป้าประสงค์ของเราก็คือเพื่อดำเนินการปรับปรุงความไว้วางใจทางยุทธศาสตร์ซึ่งจำเป็นต่อประเทศของเราสอง รวมทั้งการพูดคุยเกี่ยวกับการดำเนินการ่วมเพื่อจะแบ่งปันความท้าทายด้านความมั่นคงร่วมกัน
เรากำลังร่วมมือกับจีนเพื่อดำเนินแผนความร่วมมือระหว่างกองทัพต่อกองทัพที่แข็งแกร่งในช่วงหลังของปีนี้ และเราจะแสวงหาการดำเนินการด้าน ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม การต่อต้านการค้ายาเสพติด และ การต่อต้านการแพร่กระจายอาวุธ กับหุ้นส่วนอย่างลึกซึ้งมากขึ้น..
ติดตามปาฐกถาตอนจบเร็วๆ นี้
ที่มา.Siam Intelligence Unit
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
โดยนักวิทยาศาสตร์จะขึ้นเครื่องบินที่ดัดแปลงใส่อุปกรณ์เฉพาะขึ้นไปตรวจวัดทางกายภาพและทางเคมีของเมฆ อุณหภูมิ และความชื้นในชั้นบรรยากาศ พร้อมรับส่งข้อมูลเชื่อมโยงกับดาวเทียมในการตรวจความผิดปกติของชั้นบรรยากาศที่เกิดจากการเผาชีวมวล (Biomass) และการปล่อยแก๊สต่างๆ เครื่องบินจะขึ้นไประดับความสูงจากพื้นดินประมาณ 12 กม.
ระยะเวลาในการดำเนินการเก็บข้อมูลเริ่มเดือนสิงหาคม-กันยายน 2555 และเป็นที่มาของความวิตกกังวลของคนไทยจำนวนหนึ่งที่เห็นว่าโครงการของนาซานี้อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศได้ SIU จึงขอใช้โอกาสนี้แปลบทปาฐกถาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายลีออน พาเน็ตตา (Leon Panetta) ถึงยุทธศาสตร์ของสหรัฐอเมริกากับการปรับสมดุลใหม่ในเอเชีย โดยแบ่งเป็น 2 ตอน สำหรับงานชิ้นนี้จะนำเสนอในภาคแรก ดังนี้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลีออน พาเน็ตตา: ขอบคุณมากครับ จอห์น สำหรับความกรุณาในเรื่องคำแนะนำผมให้กับที่ประชุม
ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับโอกาสในการเข้าร่วมงานสัมมนาแชงกรีลาเป็นครั้งแรกนี้ ผมขอชื่นชมสถาบันนานาชาติเพื่อการศึกษายุทธศาสตร์ (International Institute for Strategic Studies) ในการจัดการอภิปรายที่สำคัญนี้ ซึ่งเป็นการเสวนาที่สำคัญยิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ในช่วงสุดสัปดาห์นี้
เท่าที่ผมทราบ ผมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกาคนที่ 3 ที่เข้าร่วมในการเสวนานี้ ที่มีผู้เข้าร่วมที่เป็นผู้บริหารจากทั้ง 2 พรรคการเมืองของสหรัฐอเมริกา ซึ่งผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าเป็นข้อพิสูจน์อย่างชัดเจนถึงตำแหน่งแห่งที่ของสหรัฐในภูมิภาคที่เต็มไปด้วยพลวัตและมีความสำคัญยิ่งของโลกใบนี้
ด้วยจิตวิญญาณเช่นนี้เองที่ทำให้ผมมาเยือนสิงคโปร์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางทั่วเอเชียเป็นเวลา 8 วัน ซึ่งเวียดนามและอินเดียก็อยู่ในการเดินทางครั้งนี้ของผมด้วย
จุดประสงค์ของการเดินทางครั้งนี้และการบรรยายของผมในวันนี้ ก็เพื่ออธิบายยุทธศาสตร์ทางการทหารชุดใหม่ซึ่งสหรัฐอเมริกาได้เริ่มดำเนินการและพูดถึงสาเหตุที่สหรัฐอเมริกาจะเล่นบทบาทพันธมิตรที่ยั่งยืนและหยั่งรากมากขึ้นในการเดินหน้าด้านความมั่นคงและความรุ่งเรืองของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และอธิบายถึงวิธีการที่กองทัพสหรัฐอเมริกาจะสนับสนุนเป้าหมายเหล่านี้โดยการปรับสมดุลของทั่วทั้งภูมิภาคนี้เสียใหม่
นับตั้งแต่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ขยับขยายประเทศออกไปทางตะวันตกในช่วงศตวรรษที่ 19 เราก็ได้กลายเป็นประเทศแปซิฟิกไปแล้ว ตัวผมเองเกิดและเติบโตขึ้นแถบเมืองชายฝั่งในแคลิฟอร์เนียที่ชื่อมอนเทอเรย์ และผมได้ใช้เวลาค่อนชีวิตในการเฝ้ามองข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกออกไป ด้วยเหตุที่เป็นชุมชนชาวประมง เป็นท่าเรือ มหาสมุทรย่อมเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของเรา ความทรงจำครั้งยังเยาว์วัยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งผมได้เฝ้ามองกองทัพอเมริกันเคลื่อนพลผ่านชุมชนของผมเพื่อไปเข้ารับการฝึกที่ค่ายทหารที่เรียกว่า ฟอร์ดออร์ด และเดินทัพต่อไปเพื่อเผชิญศึกในแปซิฟิก
ผมยังจำได้ถึงความหวาดกลัวที่เข้าครอบงำชุมชนของเราในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และต่อมาเมื่อสงครามระเบิดขึ้นในคาบสมุทรเกาหลี ทั้งที่พื้นที่ทางภูมิศาสตร์แบ่งแยกเราออกจากกัน ผมยังคงเข้าใจดีเสมอว่าชะตากรรมของสหรัฐอเมริกามีความผูกพันอย่างไม่อาจหยุดยั้งได้กับภูมิภาคนี้ได้อย่างไร
ความจริงในข้อนี้เองที่ชี้นำการปรากฏตัวและการเป็นพันธมิตรของกองทัพสหรัฐในภูมิภาคนี้มามากกว่าหกทศวรรษ คือท่าทีในแง่ความมั่นคง ซึ่งควบคู่ไปกับความช่วยเหลือในทางต่างประเทศ ที่ช่วยนำมาสู่ยุคแห่งความมั่นคงและความรุ่งเรืองที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20
ในศตวรรษที่ 21 นี้ สหรัฐอเมริกาตระหนักดีว่าความมั่นคงและความรุ่งเรืองของเราขึ้นกับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมากยิ่งขึ้นทุกที นอกเหนือไปกว่านี้ ภูมิภาคนี้ยังเป็นถิ่นที่อยู่ของประเทศที่มีเศรษฐกิจที่มีการเติบโตเร็วที่สุดในโลก คือ จีน อินเดีย และ อินโดนีเซีย นี่เป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น ในเวลาเดียวกันภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีประชากรจำนวนมากที่สุดในโลก และมีกำลังทหารที่ใหญ่โตที่สุดในโลก สถาบัน IISS แห่งนี้ได้คาดการณ์ว่างบประมาณด้านกลาโหมในเอเชียได้ล้ำหน้ายุโรปไปแล้วในปีนี้ และไม่ต้องเป็นที่สงสัยว่างบยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต
เมื่อมองแนวโน้มนี้ ประธานาธิบดีโอบามาจึงได้กล่าวว่าสหรัฐอเมริกาจะเล่นบทบาทที่กว้างขวางมากขึ้นในภูมิภาคนี้สำหรับทศวรรษที่กำลังจะมาถึง ความพยายามนี้จะวางอยู่บนความเข้มแข็งของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาทั้งหมด เราเล่นบทบาทนี้มิใช่ในในฐานะที่เป็นมหาอำนาจที่อยู่ห่างไกลออกไป หากแต่เป็นส่วนหนึ่งของประเทศทั้งหลายในครอบครัวแปซิฟิก เป้าหมายของเราคือการทำงานอย่างใกล้ชิดกับประเทศทั้งหลายในภูมิภาคนี้ที่จะเผชิญต่อความท้าทายต่อส่วนรวม และเพื่อสนับสนุนสันติภาพ ความรุ่งเรืองและความมั่นคงต่อประเทศทั้งหลายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
เพื่อนร่วมงานและมิตรที่ดีของผม คือคุณฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ได้เคยให้ภาพร่างของการกลับมาเน้นหนัก (refocus) ในเอเชียแปซิฟิก และได้ให้การเน้นย้ำเป็นอย่างยิ่งต่อส่วนที่สำคัญที่ว่า การทูต การค้า และการพัฒนา จะเป็นเรื่องหลักในการการมีส่วนร่วมของเรา
สหรัฐอเมริกากำลังอยู่ในจุดวกกลับทางยุทธศาสตร์หลังจากทศวรรษแห่งสงคราม เราได้ทำให้ภาวะการนำและความสามารถในการโจมตีของประเทศอื่นๆ ของอัลกออิดะห์อ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ เราได้ส่งสารที่ชัดเจนว่าจะไม่มีใครที่มาโจมตีสหรัฐอเมริกาแล้วหนีพ้นไปได้ ภารกิจทางการทหารในอิรักได้ยุติลงแล้วและมีการสถาปนาใหม่ขึ้นมา คือการสถาปนาอิรักที่สามารถดำรงตนและปกครองตนเองได้
ในอัฟกานิสถาน ซึ่งมีชาติเอเชียแปซิฟิกจำนวนมากได้แสดงบทบาทที่สำคัญในพันธมิตรนานาชาติ เราได้เริ่มการเปลี่ยนผ่านไปเป็นประเทศที่มีคนอัฟกันเป็นแกนนำในการสร้างความมั่นคง และประเทศอัฟกานิสถานซึ่งสามารถทำการปกป้องและปกครองตนเองได้ การประชุมล่าสุดในชิคาโก นาโตและพันธมิตร มากกว่า 50 ประเทศ ได้มาพบปะกันเพื่อสนับสนุนแผนของนายพลอัลเลนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ นอกจากนี้เราได้ร่วมมือกับความพยายามของนาโตที่ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนลิเบียให้เป็นของประชาชนลิเบีย
แต่แม้นว่าเราจะสามารถมองอย่างมีความหวังว่าสงครามนี้จะยุติลง แต่ปัจจุบันเราได้กำลังเผชิญความท้าทายระดับโลกที่มีความซับซ้อนและกว้างขวางมากยิ่งขึ้นทุกที จากภัยก่อการร้าย — การก่อการร้ายยังคงเป็นภัยคุกคามโลก — จากภัยก่อการร้ายมาเป็นการสั่นคลอนเสถียรภาพของอิหร่านและเกาหลีเหนือ จากการขยายตัวของอาวุธนิวเคลียร์มาเป็นภัยคุกคามใหม่ของการโจมตีในไซเบอร์ จากภาวะยุ่งเหยิงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในตะวันออกกลางมาเป็นความขัดแย้งด้านพรมแดนในภูมิภาคนี้
ในเวลาเดียวกันสหรัฐอเมริกา ซึ่งก็เช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ได้กำลังเผชิญกับหนี้ก้อนโตและภาวการณ์ขาดดุลงบประมาณจำนวนมาก ซึ่งนี่ทำให้กระทรวงกลาโหมต้องลดงบประมาณไปเกือบครึ่งล้านล้านเหรียญ หรือราว 4.87 แสนล้านเหรียญ ซึ่งเป็นการอำนวยการให้ลดลงจากสภาคองเกรสโดยกฎหมายควบคุมงบประมาณในทศวรรษหน้านี้
และด้วยความเป็นจริงทางการคลังอันใหม่นี้ ซึ่งก็เป็นความท้าทายต่อหลาย ๆ ประเทศในทุกวันนี้ด้วย ทำให้เรามีโอกาสในการออกแบบยุทธศาสตร์กลาโหมใหม่สำหรับศตวรรษที่ 21 ซึ่งทั้งทำให้เราสามารถเผชิญกับภัยคุกคามที่มี และยังดำรงสถานะการเป็นกองทัพที่เข้มแข็งที่สุดในโลกได้
ยุทธศาสตร์นี้เป็นที่ชัดเจนต่อกองทัพสหรัฐอเมริกา ถูกต้องครับ กองทัพจะต้องมีขนาดเล็กลง กองทัพจะต้องแบนราบลง แต่ก็ยังมีความคล่องตัวและยืดหยุ่น สามารถวางกำลังได้อย่างรวดเร็ว และจะมีการใช้งานเทคโลโลยีที่ทันสมัยในอนาคต และเป็นที่ชัดเจนพอกันว่าในขณะที่กองทัพสหรัฐอเมริกายังคงเป็นกำลังระดับโลกในแง่ความมั่นคงและการสร้างเสถียรภาพ เรายังจำเป็นต้องปรับสมดุลใหม่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอีกด้วย เรายังคงปรากฏตัวอยู่ทั่วโลก เรายังคงดำเนินการด้วยการหมุนเวียนสับเปลี่ยนกำลังที่สร้างสรรค์เพื่อเน้นย้ำในการเสริมสร้างเพื่อนและพันธมิตรใหม่ ๆ ด้วย เรายังคงมีการลงทุน ลงทุนในไซเบอร์ ลงทุนในอวกาศ ลงทุนในระบบที่ไม่เปิดเผยตัวตน ลงทุนในหน่วยปฏิบัติการพิเศษ เราจะลงทุนในเทคโนโลยีใหม่และเราจะลงทุนในความสามารถในการเคลื่อนย้ายเดินทางได้อย่างรวดเร็วหากมีความจำเป็น
เราได้เลือกและเราได้กำหนดลำดับความสำคัญ และเราได้เลือกอย่างถูกต้องที่ทำให้ภูมิภาคนี้มีความสำคัญ
การดำเนินการของเราในการบรรลุเป้าหมายระยะยาวในเอเชียแปซิฟิกก็คือการยืนหยัดเพื่อจะยืนยันถึงชุดหลักการพื้นฐานร่วม ซึ่งก็คือหลักการที่จะสนับสนุนกฎกติกาสากลและระเบียบที่จะนำพาสันติภาพและความมั่นคงมาสู่ภูมิภาค ขยายและหยั่งรากความร่วมมือทั้งด้านทวิภาคีและพหุภาคี ดำเนินการขยายและปรับตัวการปรากฏตัวของกองทัพสหรัฐอเมริกาอย่างมั่นคงในภูมิภาคนี้ และดำเนินการลงทุนใหม่ ๆ ให้มีขีดความสามารถที่จำเป็นในการวางกำลังและการปฏิบัติการในเอเชียแปซิฟิก
ผมขอขีดเส้นใต้ประโยคที่ว่านี่ไม่ใช่หลักการใหม่ คำมั่นที่เข้มแข็งของเราที่จะเสริมสร้างกติกาที่จะต้องมีการปฏิบัติตามนี้เป็นสิ่งที่เราเชื่อมั่นว่าจะช่วยสนับสนุนสันติภาพและความรุ่งเรืองของภูมิภาคนี้
เรากำลังพูดถึงอะไร? กติกาเหล่านี้รวมถึงหลักการในเรื่องการค้าที่เปิดกว้างและเสรี ระเบียบในความยุติธรรมสากลซึ่งเน้นย้ำเรื่องสิทธิและความรับผิดชอบของทุกชาติ และความเที่ยงตรงต่อบทบัญญัติด้านกฎหมาย เช่นการเปิดกว้างให้กับทุกฝ่ายต่ออาณาบริเวณส่วนรวมทั้งใน ภาคพื้นทะเล ท้องฟ้า อวกาศ และ ในไซเบอร์สเปซ รวมถึงการแก้ไขความขัดแย้งโดยปราศจากการข่มขู่บังคับหรือการใช้กำลัง
การสนับสนุนต่อวิสัยทัศน์นี้รวมถึงการแก้ไขความขัดแย้งอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่เป็นได้ด้วยวิถีทางการทูต การสนับสนุนต่อหลักการเหล่านี้เป็นภารกิจที่สำคัญของกองทัพสหรัฐอเมริกาในเอเชียแปซิฟิกมามากกว่า 60 ปี และจะกลายเป็นภารกิจที่สำคัญในอนาคต ความหวังของผมในการรักษากติกาและระเบียบสากลว่ามีความจำเป็นนั่นก็คือการที่สหรัฐอเมริกาจะร่วมกับอีก 160 ประเทศในการอนุวัตรกฎหมายสนธิสัญญาทางทะเลในปีนี้
หลักการอันที่สองก็คือเรื่องของหุ้นส่วน กุญแจสำหรับการเข้าถึงความพยายามในเรื่องนี้ก็คือการพัฒนาให้ทันสมัย และการสร้างความเข้มแข็งของพันธมิตรและหุ้นส่วนของเราในภูมิภาค สหรัฐอเมริกามีสนธิสัญญาเป็นพันธมิตรกับ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ และ ประเทศไทย เรามีหุ้นส่วนสำคัญในอินเดีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และประเทศอื่น ๆ และเราทำงานอย่างหนักในการพัฒนาและสร้างความสัมพันธ์ที่เข้มแข็งกับจีน
ในขณะที่เราขยายหุ้นส่วนออกไป เราก็เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับพันธมิตรของเราด้วย พันธมิตรระหว่างสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นจะยังคงเป็นรากฐานของความมั่นคงและความรุ่งเรืองในภูมิภาคในศตวรรษที่ 21 นี้ และด้วยเหตุนี้ ทั้งสองกองทัพจะยังคงขยายขีดความสามารถที่จะฝึกซ้อมและการปฏิบัติการร่วมกัน และจะมีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดทั้งในด้านความมั่นคงทางทะเลและงานข่าวกรอง การตรวจตราความปลอดภัยและการลาดตระเวน เรายังคงร่วมมือในการพัฒนาความสามารถเทคโนโลยีระดับสูง รวมทั้งระบบป้องกันขีปนาวุธยุคหน้า และแสวงหาความร่วมมือในอาณาบริเวณใหม่ ๆ เช่นในอวกาศและในไซเบอร์สเปซ
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เราได้เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับพันธมิตร และเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ที่กว้างขวางขึ้นในภูมิภาคและการปรับแผนเพื่อโยกกำลังนาวิกโยธินจากโอกินาวามายังเกาะกวม แผนนี้จะทำให้การคงกำลังในโอกินาวามีความยั่งยืนทางการเมืองมากขึ้น และยังช่วยพัฒนากวมให้กลายเป็นศูนย์รวมทางยุทธศาสตร์สำหรับกองทัพสหรัฐในแปซิฟิกตะวันตก ปรับปรุงขีดความสามารถในการตอบสนองเหตุฉุกเฉินที่หลากหลายมากขึ้นในเอเชียแปซิฟิก
แกนหลักอีกชิ้นหนึ่งในความมั่นคงในเอเชียแปซิฟิกก็คือพันธมิตรระหว่างสหรัฐอเมริกาและสาธารณรัฐเกาหลี ในขวบปีแห่งการเปลี่ยนผ่านและการยั่วยุในคาบสมุทรเกาหลี การเป็นพันธมิตรนี้เป็นเรื่องจำเป็น และผมได้กำหนดลำดับความสำคัญในการเสริมสร้างความเข้มแข็งในอนาคต เพื่อให้ถึงเป้าหมายนี้ แม้แต่สหรัฐอเมริกาก็จะลดกำลังภาคพื้นดินทุกส่วนในช่วงปีที่ผ่านมาในหนทางของการเปลี่ยนผ่านข้ามไปช่วงห้าปีนี้ เราจะดำรงการปรากฏตัวของกองทัพสหรัฐอเมริกาอย่างมีนัยสำคัญในเกาหลี
เราจะเสริมสร้างงานข่าวกรองและการแบ่งปันข้อมูลกับสาธารณรัฐเกาหลี เพื่อยืนหยัดอย่างแข็งแกร่งต่อการท้าทายที่ไม่เป็นมิตรจากเกาหลีเหนือ ในขณะที่การปรับโฉมพันธมิตรให้มีขีดความสามารถใหม่เพื่อเท่าทันความท้าทายระดับโลกได้มีการดำเนินไป
หลักการส่วนร่วมที่มีความสำคัญก็คือการปรากฏตัว ในขณะที่เราเสริมสร้างพันธมิตรดั้งเดิมในเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือและดำรงการปรากฏตัวของเราที่นั่น ในส่วนหนึ่งของความพยายามในการปรับสมดุลนี้เราก็ได้เสริมสร้างการปรากฏตัวของเราในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และมหาสมุทรอินเดีย
ส่วนประกอบสำคัญของความพยายามนี้ก็คือคำประกาศของข้อตกลงในฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้วสำหรับการสับเปลี่ยนกำลังนาวิกโยธินและการวางกำลังอากาศยานในภาคเหนือของออสเตรเลีย
การวางกำลังนาวิกโยธินชุดแรกจะอยู่ในช่วงเดือนเมษายน และกำลังภารกิจนาวิกโยธินภาคพื้นดินจะมีความสามารถในการวางกำลังได้อย่างรวดเร็วทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก นั่นทำให้เราจะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพกับหุ้นส่วนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และมหาสมุทรอินเดียเพื่อรับมือกับความท้าทาย เช่นภัยพิบัติจากธรรมชาติ และความมั่นคงทางทะเล
กำลังนาวิกโยธินเหล่านี้จะทำการฝึกซ้อมและทำการปฏิบัติการทั่วทั้งภูมิภาค และกับออสเตรเลีย เพื่อการเสริมสร้างหนึ่งในพันธมิตรที่สำคัญที่สุดของเรา และสร้างเป็นการเสริมสร้างในทศวรรษที่มีประสบการณ์ร่วมกันของการปฏิบัติการในอัฟกานิสถาน ด้วยคำกล่าวเช่นนี้ ผมยินดีตอบรับและขอแสดงความชื่นชมคำประกาศของออสเตรเลียเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่าจะเล่นบทบาทผู้นำในทีมปฏิบัติการร่วม Uruzgan และจะเล่นบทบาทนำในความพยายามด้านความมั่นคงที่นั่นไปจนถึงปี 2014
เราจะยังคงดำเนินปฏิบัติการความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับพันธมิตรที่มีมาอย่างยาวนานของเรา คือประเทศไทย การซ้อมรบประจำปี คอบร้า โกลด์ ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ เป็นการฝึกซ้อมพหุพาคีระดับโลก และปีนี้เราจะหยั่งรากในความร่วมมือทางยุทธศาสตร์เพื่อตอบสนองทันต่อความท้าทายในภูมิภาค
เราจะยิ่งเพิ่มพูนความเป็นพันธมิตรกับประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อเดือนที่แล้วในวอชิงตัน ผมได้ร่วมกับรัฐมนตรีคลินตันในการประชุม คู่ต่อคู่ (2+2) กับคู่เจรจาฟิลิปปินส์ของเรา การทำงานร่วมกันนั้นทำให้ กำลังของพวกเราประสบความสำเร็จในการต่อต้านกลุ่มก่อการร้าย เรายังได้แสวงหาการสร้างผลประโยชน์ร่วมกันจากการขยายขีดความสามารถ และการทำงานเพื่อปรับปรุงการคงกำลังในภาคพื้นมหาสมุทรของฟิลิปปินส์ ประธานเดมพ์เซย์จะเดินทางจากที่นี่ไปยังฟิลิปปินส์เพื่อเข้าร่วมภารกิจทางทหารเพิ่มเติม
ข้อพิสูจน์อันเด่นชัดที่เป็นรูปธรรมอีกประการหนึ่งของคำมั่นในการปรับสมดุลก็คือการเติบโตในความสัมพันธ์ด้านกลาโหมกับประเทศสิงคโปร์ ความสามารถของเราในการปฏิบัติการกับกองกำลังสิงคโปร์และกองกำลังอื่นในภูมิภาคจะเติบโตขึ้นอย่งมีนัยยะสำคัญในขวบปีที่กำลังจะมาถึง เมื่อเราดำเนินการในการวางกำลังเรือรบลิตโตรัลในสิงคโปร์
เมื่อเราได้ดำเนินทิศทางของพันธมิตรและหุ้นส่วนไปยังทิศทางใหม่ ความพยายามในการปรับสมดุลใหม่นี้จะก่อให้เกิดผลพวงในการขยายการเป็นหุ้นส่วนไปยังประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย อินเดีย เวียดนาม และ นิวซีแลนด์ อีกด้วย
ในช่วงปีที่กำลังมาถึงนี้ ผมจะเดินทางไปยังเวียดนามเพื่อเดินหน้าความร่วมมือทางการกลาโหมแบบทวิภาคี เพื่อทำสิ่งที่อยู่ในบันทึกความเข้าใจที่ครอบคลุมซึ่งทั้งสองประเทศได้มีการลงนามกันเมื่อปีที่แล้วให้เกิดเป็นจริง
จากเวียดนาม ผมจะเดินทางไปยังอินเดียเพื่อยืนยันความตั้งใจของเราในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงกับประเทศที่ผมเชื่อว่าจะแสดงบทบาทอันสำคัญในการสร้างอิทธิพลต่อความมั่นคงและความรุ่งเรืองในศตวรรษที่ 21 นี้
ในขณะที่สหรัฐอเมริกาได้ทำการเสริมสร้างหุ้นส่วนในภูมิภาคเหล่านี้ เราก็จะแสวงหาหนทางที่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่สำคัญยิ่งกับประเทศจีนด้วย เราเชื่อว่าจีนจะเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนา สันติภาพ ความรุ่งเรือง และความมั่นคงของเอเชียแปซิฟิกในศตวรรษที่ 21 และผมหวังว่าจะเดินทางไปที่นั่นในไม่ช้าจากคำเชิญของรัฐบาลจีน รัฐบาลของเราสองต่างก็ตระหนักว่าความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนเป็นหนึ่งในความสัมพันธ์ที่สำคัญที่สุดในโลก พวกเราในสหรัฐอเมริกามีภาพอันแจ่มชัดเกี่ยวกับความท้าทาย ที่จะไม่ดำเนินหนทางที่ผิดพลาดในเรื่องนี้ และเรายังจะคว้าโอกาสในการสร้างความร่วมมือและสร้างความสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้นอีกด้วย
โดยส่วนตัวแล้วผมขอให้คำมั่นที่จะสร้าง ความสัมพันธ์ ที่เข้มแข็ง สถาพร มั่นคง และต่อเนื่องยาวนาน อย่างใกล้ชิด กับประเทศจีน ผมมีโอกาสได้เป็นเจ้าภาพรองประธานาธิบดีสี และต่อมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายพลเหลียง ที่เพนตากอน ซึ่งเป็นความพยายามที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว เป้าประสงค์ของเราก็คือเพื่อดำเนินการปรับปรุงความไว้วางใจทางยุทธศาสตร์ซึ่งจำเป็นต่อประเทศของเราสอง รวมทั้งการพูดคุยเกี่ยวกับการดำเนินการ่วมเพื่อจะแบ่งปันความท้าทายด้านความมั่นคงร่วมกัน
เรากำลังร่วมมือกับจีนเพื่อดำเนินแผนความร่วมมือระหว่างกองทัพต่อกองทัพที่แข็งแกร่งในช่วงหลังของปีนี้ และเราจะแสวงหาการดำเนินการด้าน ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม การต่อต้านการค้ายาเสพติด และ การต่อต้านการแพร่กระจายอาวุธ กับหุ้นส่วนอย่างลึกซึ้งมากขึ้น..
ติดตามปาฐกถาตอนจบเร็วๆ นี้
ที่มา.Siam Intelligence Unit
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2555
ชาวบ้าน ฮือต้านทำเขื่อน-แก้มลิง ส่งผลโครงการป้องกันน้ำท่วมฟันหลอ !!?
ชาวบ้านฮือต้านก่อสร้างเขื่อนคันดินริมเจ้าพระยา ผู้รับเหมาผวาไม่กล้าเข้าพื้นที่ ส่งผลโครงการป้องกันน้ำท่วมฟันหลอ หวั่น กทม.-ปริมณฑลน้ำมาเร็วและแรงกว่าปี"54 "เสรี ศุภราทิตย์" จี้รัฐเปิดข้อมูลพื้นที่รับน้ำนอง
รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม อุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า จากที่ได้ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าในการป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัยเร่งด่วน และวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อประเมินความเสี่ยงน้ำท่วมในปีนี้ พบว่าพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) และปริมณฑลโอกาสเสี่ยงประสบปัญหาน้ำท่วม 20% โดยระดับน้ำอาจเท่าปี 2549 และน้อยกว่าปี 2554 ที่ผ่านมา ที่น่าเป็นห่วงคือเมื่อพื้นที่ตอนบนไม่เอาน้ำแล้ว นิคมอุตสาหกรรมกว่า 30,000 ไร่ไม่เอาน้ำ ชุมชนเทศบาลต่าง ๆ ยกคันเพิ่มขึ้นไปอีก ฉะนั้นน้ำจะวิ่งลงมาข้างล่าง จ.พระนครศรีอยุธยาอาจเจอน้ำท่วมรุนแรงขึ้นเพราะพื้นที่ต่ำ เช่นเดียวกับ กทม.-ปริมณฑลที่อาจประสบปัญหาจากกระแสน้ำที่มาเร็วและแรงขึ้น
หลัง จากเดือนกรกฎาคมจะชัดเจนว่าควรรับมืออย่างไร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะพยากรณ์ฝนได้แม่นยำมากขึ้น โดยดูจากจำนวนพายุที่จะเข้ามา อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เงินงบประมาณที่ภาครัฐอนุมัติไว้ 120,000 ล้านบาท ขณะนี้มีการเบิกจ่ายไม่ถึง 12,000 ล้านบาท จึงมีปัญหาว่าหากนำตรงนี้มาวัดการทำงานถือว่าการลงทุนเพื่อแก้ปัญหาเรื่อง น้ำยังไม่ถึง 20% ประมาณ 18% เท่านั้น ที่สำคัญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบความคืบหน้าในทุก พื้นที่ ว่ามีความคืบหน้าอย่างไร บางแห่งที่กำลังทำ บางแห่งยังทำไม่ได้
ขณะ เดียวกันพื้นที่รับน้ำนองที่กำหนดไว้ 2 ล้านไร่เศษ ตกลงเป็นอย่างไร เพราะชาวบ้านถามว่า เขาอยู่ในพื้นที่รับน้ำนองหรือไม่ เพราะไม่มีการประกาศเขตชัดเจน เท่าที่ทราบเวลานี้ชาวบ้านหลายพื้นที่คัดค้านและไม่เห็นด้วยที่ภาครัฐจะ ประกาศกำหนดพื้นที่รับน้ำนองโดยที่ชาวบ้านไม่มีส่วนร่วมในการรับรู้หรือแสดง ความคิดเห็น
เห็นได้ชัดเจนจากกรณีก่อสร้างโครงการป้องกันพื้นที่ เศรษฐกิจ การทำคันกั้นน้ำ 300 กิโลเมตร ปรากฏว่าไม่มีใครเห็นด้วย มีความขัดแย้งสูง หลายโครงการประมูลก่อสร้างเขื่อนคันกั้นน้ำริมแม่น้ำ แต่ผู้รับเหมาไม่สามารถเข้าพื้นทีก่อสร้างได้ ชาวบ้านไม่ยินยอม ส่งผลให้เขื่อนและคันกั้นน้ำบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยามีลักษณะเป็นฟันหลอ หลายจุด ไม่สามารถป้องกันน้ำได้ สุดท้ายพื้นที่ กทม.-ปริมณฑลอาจประสบปัญหารุนแรงกว่าเดิมเพราะกระแสน้ำจะเร็วและแรงขึ้นกว่า น้ำท่วมครั้งที่ผ่านมา
ด้านแหล่งข่าวจากกรมชลประทานเปิดเผย ถึงความคืบหน้าในการกำหนดพื้นที่รับน้ำนองว่า จำแนกเป็น 4 กลุ่มพื้นที่ คือ 1.พื้นที่ฝั่งซ้ายแม่น้ำน่าน 2.พื้นที่ระหว่างแม่น้ำยมและแม่น้ำน่าน 3.พื้นที่ฝั่งขวาแม่น้ำยม และ 4.พื้นที่ตอนต้นแม่น้ำเจ้าพระยา
ในส่วนของลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างมีพื้นที่รับน้ำนองเป็น 7 พื้นที่ ได้แก่
1.ฝั่ง ซ้ายแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่ชัยนาทถึงแม่น้ำลพบุรี 2.พื้นที่ระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยากับแม่น้ำลพบุรี 3.พื้นที่ระหว่างแม่น้ำลพบุรีกับคลองชัยนาท-ป่าสัก 4.พื้นที่ระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยากับแม่น้ำน้อย 5.พื้นที่ระหว่างแม่น้ำน้อยกับแม่น้ำท่าจีน 6.ฝั่งขวาของแม่น้ำท่าจีน และ 7.ทุ่งผักไห่ เจ้าเจ็ด บางบาล
แบ่งเป็น 4 ประเภท ประกอบด้วย 1.พื้นที่เกษตรชลประทาน 2.8 ล้านไร่ 2.พื้นที่พักน้ำชั่วคราว ซึ่งไม่มีพื้นที่ใดเข้าเกณฑ์ 3.พื้นที่แก้มลิงแม่น้ำ 4.9 พันไร่ และ 4.พื้นที่ลุ่มต่ำหรือทุ่งรับน้ำที่น้ำไหลเข้าออกตามธรรมชาติ 9.8 แสนไร่ รองรับน้ำได้ทั้งสิ้น 6.6 ล้าน ลบ.ม. โดยระยะเร่งด่วนปีนี้หากฝนตกหนักและมีน้ำหลากมากเหมือนปี 2554 จะใช้พื้นที่รับน้ำนองที่มีระบบปิดล้อมและควบคุมน้ำเข้าออกได้ คือพื้นที่เกษตรชลประทาน 2.8 ล้านไร่ รองรับน้ำ 4.3 ล้าน ลบ.ม. ครอบคลุม 10 จังหวัดในพื้นที่เจ้าพระยาตอนบน ได้แก่ พิษณุโลก พิจิตร นครสวรรค์ และเจ้าพระยาตอนล่าง ใน จ.ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง ลพบุรี สระบุรี พระนครศรีอยุธยา และสุพรรณบุรี
ขณะเดียวกันได้กำหนดมาตรการช่วยเหลือ ชดเชยความเสียหาย 2 กรณี 1.จ่ายตอบแทนทุกพื้นที่ที่ประกาศเป็นพื้นที่รับน้ำนอง 650 บาท/ไร่ 2.จ่ายช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษหากได้รับความเสียหาย แยกเป็นข้าวนาปี 4,900 บาท/ไร่ พืชไร่ 6,875 บาท/ไร่ และพืชสวน 11,125 บาท/ไร่
สำหรับราย ละเอียดของพื้นที่รับน้ำนองแต่ละแห่งมีดังนี้ พื้นที่รับน้ำนองพลายชุมพล ใน อ.เมือง อ.พรหมพิราม อ.บางระกำ อ.บางกระทุ่ม จ.พิษณุโลก และ อ.เมือง อ.สามง่าม และ อ.โพธิ์ประทับช้าง จ.พิจิตร รวม 1.36 แสนไร่ ความลึกน้ำเฉลี่ย 1-2 เมตร พื้นที่รับน้ำนองดงเศรษฐี อ.เมือง จ.พิจิตร 9.1 พันไร่ พื้นที่รับน้ำนองดงเศรษฐี 2 ใน อ.เมือง จ.พิจิตร 4.3 พันไร่ ความลึกน้ำเฉลี่ย 1 เมตรฯลฯ
พื้นที่รับน้ำนองพลเทพฝั่งขวาแม่น้ำท่า จีน อ.หันคา จ.ชัยนาท 7.5 พันไร่ ความลึกน้ำ 0.80 เมตร สามชุก ทุ่งโคกยายเกตุฝั่งขวาแม่น้ำท่าจีน ใน อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี 7.3 พันไร่ ความลึก 1 เมตร ทุ่งศาลาขาวฝั่งขวาแม่น้ำท่าจีน ใน อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี 5.3 พันไร่ ความลึก 0.80 เมตร สามชุก ทุ่งท่าว้า อ.เมือง อ.อู่ทอง และ อ.บางระจัน จ.สุพรรณบุรี 1.03 หมื่นไร่ ความลึกน้ำ 1 เมตร เป็นต้น
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม อุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า จากที่ได้ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าในการป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัยเร่งด่วน และวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อประเมินความเสี่ยงน้ำท่วมในปีนี้ พบว่าพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) และปริมณฑลโอกาสเสี่ยงประสบปัญหาน้ำท่วม 20% โดยระดับน้ำอาจเท่าปี 2549 และน้อยกว่าปี 2554 ที่ผ่านมา ที่น่าเป็นห่วงคือเมื่อพื้นที่ตอนบนไม่เอาน้ำแล้ว นิคมอุตสาหกรรมกว่า 30,000 ไร่ไม่เอาน้ำ ชุมชนเทศบาลต่าง ๆ ยกคันเพิ่มขึ้นไปอีก ฉะนั้นน้ำจะวิ่งลงมาข้างล่าง จ.พระนครศรีอยุธยาอาจเจอน้ำท่วมรุนแรงขึ้นเพราะพื้นที่ต่ำ เช่นเดียวกับ กทม.-ปริมณฑลที่อาจประสบปัญหาจากกระแสน้ำที่มาเร็วและแรงขึ้น
หลัง จากเดือนกรกฎาคมจะชัดเจนว่าควรรับมืออย่างไร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะพยากรณ์ฝนได้แม่นยำมากขึ้น โดยดูจากจำนวนพายุที่จะเข้ามา อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เงินงบประมาณที่ภาครัฐอนุมัติไว้ 120,000 ล้านบาท ขณะนี้มีการเบิกจ่ายไม่ถึง 12,000 ล้านบาท จึงมีปัญหาว่าหากนำตรงนี้มาวัดการทำงานถือว่าการลงทุนเพื่อแก้ปัญหาเรื่อง น้ำยังไม่ถึง 20% ประมาณ 18% เท่านั้น ที่สำคัญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบความคืบหน้าในทุก พื้นที่ ว่ามีความคืบหน้าอย่างไร บางแห่งที่กำลังทำ บางแห่งยังทำไม่ได้
ขณะ เดียวกันพื้นที่รับน้ำนองที่กำหนดไว้ 2 ล้านไร่เศษ ตกลงเป็นอย่างไร เพราะชาวบ้านถามว่า เขาอยู่ในพื้นที่รับน้ำนองหรือไม่ เพราะไม่มีการประกาศเขตชัดเจน เท่าที่ทราบเวลานี้ชาวบ้านหลายพื้นที่คัดค้านและไม่เห็นด้วยที่ภาครัฐจะ ประกาศกำหนดพื้นที่รับน้ำนองโดยที่ชาวบ้านไม่มีส่วนร่วมในการรับรู้หรือแสดง ความคิดเห็น
เห็นได้ชัดเจนจากกรณีก่อสร้างโครงการป้องกันพื้นที่ เศรษฐกิจ การทำคันกั้นน้ำ 300 กิโลเมตร ปรากฏว่าไม่มีใครเห็นด้วย มีความขัดแย้งสูง หลายโครงการประมูลก่อสร้างเขื่อนคันกั้นน้ำริมแม่น้ำ แต่ผู้รับเหมาไม่สามารถเข้าพื้นทีก่อสร้างได้ ชาวบ้านไม่ยินยอม ส่งผลให้เขื่อนและคันกั้นน้ำบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยามีลักษณะเป็นฟันหลอ หลายจุด ไม่สามารถป้องกันน้ำได้ สุดท้ายพื้นที่ กทม.-ปริมณฑลอาจประสบปัญหารุนแรงกว่าเดิมเพราะกระแสน้ำจะเร็วและแรงขึ้นกว่า น้ำท่วมครั้งที่ผ่านมา
ด้านแหล่งข่าวจากกรมชลประทานเปิดเผย ถึงความคืบหน้าในการกำหนดพื้นที่รับน้ำนองว่า จำแนกเป็น 4 กลุ่มพื้นที่ คือ 1.พื้นที่ฝั่งซ้ายแม่น้ำน่าน 2.พื้นที่ระหว่างแม่น้ำยมและแม่น้ำน่าน 3.พื้นที่ฝั่งขวาแม่น้ำยม และ 4.พื้นที่ตอนต้นแม่น้ำเจ้าพระยา
ในส่วนของลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างมีพื้นที่รับน้ำนองเป็น 7 พื้นที่ ได้แก่
1.ฝั่ง ซ้ายแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่ชัยนาทถึงแม่น้ำลพบุรี 2.พื้นที่ระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยากับแม่น้ำลพบุรี 3.พื้นที่ระหว่างแม่น้ำลพบุรีกับคลองชัยนาท-ป่าสัก 4.พื้นที่ระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยากับแม่น้ำน้อย 5.พื้นที่ระหว่างแม่น้ำน้อยกับแม่น้ำท่าจีน 6.ฝั่งขวาของแม่น้ำท่าจีน และ 7.ทุ่งผักไห่ เจ้าเจ็ด บางบาล
แบ่งเป็น 4 ประเภท ประกอบด้วย 1.พื้นที่เกษตรชลประทาน 2.8 ล้านไร่ 2.พื้นที่พักน้ำชั่วคราว ซึ่งไม่มีพื้นที่ใดเข้าเกณฑ์ 3.พื้นที่แก้มลิงแม่น้ำ 4.9 พันไร่ และ 4.พื้นที่ลุ่มต่ำหรือทุ่งรับน้ำที่น้ำไหลเข้าออกตามธรรมชาติ 9.8 แสนไร่ รองรับน้ำได้ทั้งสิ้น 6.6 ล้าน ลบ.ม. โดยระยะเร่งด่วนปีนี้หากฝนตกหนักและมีน้ำหลากมากเหมือนปี 2554 จะใช้พื้นที่รับน้ำนองที่มีระบบปิดล้อมและควบคุมน้ำเข้าออกได้ คือพื้นที่เกษตรชลประทาน 2.8 ล้านไร่ รองรับน้ำ 4.3 ล้าน ลบ.ม. ครอบคลุม 10 จังหวัดในพื้นที่เจ้าพระยาตอนบน ได้แก่ พิษณุโลก พิจิตร นครสวรรค์ และเจ้าพระยาตอนล่าง ใน จ.ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง ลพบุรี สระบุรี พระนครศรีอยุธยา และสุพรรณบุรี
ขณะเดียวกันได้กำหนดมาตรการช่วยเหลือ ชดเชยความเสียหาย 2 กรณี 1.จ่ายตอบแทนทุกพื้นที่ที่ประกาศเป็นพื้นที่รับน้ำนอง 650 บาท/ไร่ 2.จ่ายช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษหากได้รับความเสียหาย แยกเป็นข้าวนาปี 4,900 บาท/ไร่ พืชไร่ 6,875 บาท/ไร่ และพืชสวน 11,125 บาท/ไร่
สำหรับราย ละเอียดของพื้นที่รับน้ำนองแต่ละแห่งมีดังนี้ พื้นที่รับน้ำนองพลายชุมพล ใน อ.เมือง อ.พรหมพิราม อ.บางระกำ อ.บางกระทุ่ม จ.พิษณุโลก และ อ.เมือง อ.สามง่าม และ อ.โพธิ์ประทับช้าง จ.พิจิตร รวม 1.36 แสนไร่ ความลึกน้ำเฉลี่ย 1-2 เมตร พื้นที่รับน้ำนองดงเศรษฐี อ.เมือง จ.พิจิตร 9.1 พันไร่ พื้นที่รับน้ำนองดงเศรษฐี 2 ใน อ.เมือง จ.พิจิตร 4.3 พันไร่ ความลึกน้ำเฉลี่ย 1 เมตรฯลฯ
พื้นที่รับน้ำนองพลเทพฝั่งขวาแม่น้ำท่า จีน อ.หันคา จ.ชัยนาท 7.5 พันไร่ ความลึกน้ำ 0.80 เมตร สามชุก ทุ่งโคกยายเกตุฝั่งขวาแม่น้ำท่าจีน ใน อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี 7.3 พันไร่ ความลึก 1 เมตร ทุ่งศาลาขาวฝั่งขวาแม่น้ำท่าจีน ใน อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี 5.3 พันไร่ ความลึก 0.80 เมตร สามชุก ทุ่งท่าว้า อ.เมือง อ.อู่ทอง และ อ.บางระจัน จ.สุพรรณบุรี 1.03 หมื่นไร่ ความลึกน้ำ 1 เมตร เป็นต้น
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2555
สำรวจ : รอยเลื่อนตุลาการ-การเมือง ??
ในช่วงเวลาที่ผ่านมาประเด็นการถกเถียงเรื่องรัฐธรรมนูญถือเป็นประเด็น เผ็ดร้อน ในกระแสการเมืองจนอาจก่อให้เกิดเรื่องบาน-ปลายหากมีการตะแบงดึงดัน ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ในวงวิชาการเองเรื่องนี้ก็เป็นข้อถกเถียงกันอยู่ในหลายวงเสวนา แต่ก็เชื่อว่าอาจเป็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ได้หากนักการเมืองจะเปิดใจรับฟัง
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีการเสวนาวิชาการ จัดโดยวิทยาลัย นานาชาติปรีดี พนมยงค์ เรื่องปรีดี พนมยงค์หลักการแบ่งแยกอำนาจตามหลักประชาธิปไตย ตุลาการ vs. นิติบัญญัติ ภายในงานดังกล่าวมีผู้ทรงคุณวุฒิหลายท่านร่วมแสดงความคิดเห็น อย่างนายพนัส ทัศนียานนท์ อดีต สสร.รัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งสารภาพว่า สสร. 2540 ทำบาปสร้างองค์กรอิสระให้กลายเป็นอำนาจที่ 4 อยู่เหนืออำนาจนิติบัญญัติ บริหาร รวมถึงนายโภคิณ พลกุล อดีต ประธานรัฐสภา และ นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
พนัส ทัศนียานนท์ กล่าวว่า กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้อำนาจ ก้าวล่วงมาวินิจฉัยและมีคำสั่งกรณีการลงมติแก้ไขรธน. วาระ 3 ของรัฐสภาครั้งนี้ เป็นบาปที่เกิดจากการร่างรัฐธรรมนูญที่เปิดโอกาสให้มีอำนาจอื่นเข้ามาใช้อำนาจเหนืออำนาจนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ “อาจจะเป็นบาปของผมด้วย เพราะตอนนั้นผมเป็นสสร. 2540 คือสถานการณ์ตอนนั้นมันเลวร้ายมาก จึงจำเป็นต้องหามือปราบ หาเปาบุ้นจิ้นมา ในขณะนั้นเรามีความหวังกันมาก ในรธน. 2540 ก็หวังว่าการเมืองจะใสสะอาด การเลือกตั้งจะไม่มีการซื้อสิทธิ์ขายเสียงไม่โกงกัน นักการเมืองก็จะทำงานกันอย่างบริสุทธิ์ โปร่งใส เพราะกลไกต่างๆ มันมัดไว้หมดเลย เรามีองค์กรอิสระ กกต. ปปช. ผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งองค์กรอิสระต่างๆ เหล่านี้ มี อีกหลายองค์กรล้วนแค่เกิดขึ้นมาเพื่อเป็นเปาบุ้นจิ้นปราบนักการเมืองที่ได้อำนาจมาโดยมิชอบ นี่เป็นกระแสของความรู้สึก ในขณะนั้น เรามีรธน. เขียนออกมาก็เฮโลเห็นดีเห็นงามกันไป ผมเองก็คัดค้านว่านี่คือการสร้างระบบขุนนางขึ้นมา ไม่ได้ผ่านความเห็นดีเห็นงามของประชาชนเลย ผ่านการสรรหาทั้งสิ้น แล้ว กรรมการก็ล้วนแต่อำมาตย์”
“การมีองค์กรอิสระก็เพื่อจะควบคุมการบริหารแผ่นดินโดย การปกครองระบอบประชาธิปไตยตามระบอบรัฐสภา ศาล หรือองค์กรอิสระต่างๆ นั้นแนวคิดพื้นฐานเพื่อเอามาควบคุมรัฐสภาและคณะรัฐมนตรีโดยตรง โดยสรุปคือองค์กรต่างๆ เหล่านี้มีอำนาจเหนือกว่าฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร ในความรู้สึกผม หลังจากที่เหตุการณ์มันพัฒนามาถึงปัจจุบันนี้แล้ว ผมคิดว่าอันที่จริงแล้วตอนที่เราทำรัฐธรรมนูญ 2540 นั้น หลักการคานอำนาจ ถูกทำลายลงโดยสิ้นเชิงโดยอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ แหม เรา รู้สึกภูมิอกภูมิใจเหลือเกินว่าเราสร้างรัฐธรรมนูญของประชาชนขึ้นมา แต่มันได้ทำลายระบอบรัฐสภาลงโดยสิ้นเชิง เป็นการสร้าง ระบอบนี้ขึ้นมาเป็นอำนาจที่สี่ ควบคุมอีกสามอำนาจที่เหลือ”
“ถ้ามีช่องเมื่อไหร่ท่านก็จะอ้างอำนาจทันที นี่คือตุลาการภิวัตน์ เรามาถึง รธน. 2550 นี่จึงไม่น่าแปลกใจเลย เริ่มจากใคร เป็นสสร.-ตุลาการเข้ามาเต็มไปหมดเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ การที่ศาล รธน. สร้างอำนาจตรงนี้ ออกคำสั่งมายังสภา ถือว่าผิดต่อหลักการ กระจายอำนาจไหม”
การตีความของศาลรัฐธรรมนูญในการใช้ ม.68 ว่า ศาลคงตีความว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นการทำลายล้างรัฐธรรมนูญ และอ้างว่าตัวเองเป็นผู้แทนของอำนาจในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญ เป็นองค์กรซึ่งมีอำนาจในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญ
“แต่ผมอยากจะถามว่าถ้าเป็นเหตุผลที่ฟังขึ้นจริง แล้วรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะเขียนไว้ทำไมในหมวดการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เวลาฟังท่านฟังให้ดีๆ นะครับ เพราะเวลาพูดแล้วฟังดูลื่นมาก ถ้าไม่มีท่านก็ไม่มีใครทำหน้าที่พิทักษ์รัฐธรรมนูญ”
สสร. 2540 ผู้นี้ยืนยันว่าคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญนี้เป็น คำสั่งที่ไม่ชอบ แต่หลายฝ่ายอาจจะรู้สึกแหยงเพราะผลงานที่ผ่านมาของศาลรัฐธรรมนูญนั้นน่าแขยง ทั้งการพจนานุกรมมา ตีความ การยุบพรรคการเมืองชนิดที่ทำผิดคนเดียวก็ถือว่าผิดทั้งหมู่
“เรากำลังอยู่ในวิกฤติรัฐธรรมนูญครั้งสำคัญที่สุด และไม่รู้ จะหาใครเป็นคนตัดสิน ในเมื่ออำนาจในการตัดสินอยู่ที่ท่าน ในเมื่อรัฐสภาเองก็ยังลงมติไม่ได้ว่าจะปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง แต่มีความเห็นว่าศาลไม่มีอำนาจออกคำสั่ง แต่การโต้แย้งนี้ ไปยื่น ต่อศาลซึ่งผลก็เท่ากับเป็นการยอมรับอำนาจโดยปริยาย แล้วถ้าศาลตัดสินว่าใช่ตามที่ผู้ร้องเขาร้องแล้วอะไรจะเกิดขึ้น ก็ขอให้คิดกันต่อไป”
หากจะผ่าทางตัน..“พนัส” เสนอวิธีการทางกฎหมายในการแก้ไขปัญหากรณีศาลรธน. สั่งชั่วคราวระงับการลงมติวาระ 3 แก้ไขรัฐธรรนูญของ รัฐสภา เพื่อรอการพิจารณคำร้องตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ว่า ส.ส. ต้องไม่กลัว เพราะที่ศาลรธน. ทำคือต้องการให้หยุด แต่ ส.ส. และ ส.ว.จะไม่ฟังคำสั่งก็ไม่ได้ เพราะเสี่ยงต่อการจะถูกถอดถอน
อย่างไรก็ตาม ส.ส. ต้องมีความกล้าให้มาก ในเมื่อรัฐสภาเป็นตัวแทนของประชาชน เสียงข้างมากของสภาต้องการให้มีการแก้รัฐธรรมนูญ แต่ศาลรัฐธรรมนูญกับพวกกลับขัดขวาง ดังนั้น มีทางเลือก 2 ทาง คือ หนึ่ง ยุบศาลรัฐธรรมนูญทิ้งไป แล้ว ส.ส. เข้าชื่อกันใหม่ ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญแก้ไขรัฐธรรมนูญเอง เลยโดยไม่ต้องมีสสร. และในอันดับแรกที่จะแก้ไขคือ ยกเลิกศาล รัฐธรรมนูญเสีย แต่แนวทางนี้ต้องอาศัยความกล้า ส่วนประธาน รัฐสภาที่ไม่มีความกล้าต้องเอาออกไป
ทางเลือกที่สอง ศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าแก้รัฐธรรมนูญไม่ได้เป็นการขัดขวางความต้องการของประชาชน เมื่อขัดขวางประชาชนก็ต้องเอาอาวุธของประชาชนมาใช้คือลงประชามติ โดยวิธีการประชามตินั้นทำได้โดยนายกรัฐมนตรี ปรึกษาประธาน สภาผู้แทนและประธานวุฒิสภาโดยมีเหตุผลว่าขณะนี้เกิดวิกฤติรัฐธรรมนูญ ก็ขอให้ประชาชนลงประชามติเพียงอย่างเดียวว่า ต้องการให้แก้รัฐธรรมนูญหรือไม่ และในการลงประชามตินั้นก็สามารถให้ประชาชนลงประชามติไปพร้อมกันเลยว่าต้องการให้ยกเลิกศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ด้วย
“นายกฯ ยิ่งลักษณ์ต้องเลิกไปดูน้ำเสียที มาปรึกษาหารือกัน ว่าจะแก้ลำเขาอย่างไร ดูสิว่าจะสู้กับอำนาจประชาชนได้หรือไม่”
ด้านโภคิณ พลกุล อดีตประธานรัฐสภา เห็นว่าความวุ่นวายในอดีตที่ส่งผลมาถึงปัจจุบัน รวมทั้งประเด็นที่เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญปี 2550 ซึ่งมีที่มาจากรัฐประหาร พยายามจำกัดอำนาจ ฝ่ายประชาธิปไตย ไม่ให้เป็นไปตามหลักยุติธรรมที่ควรจะเป็น ฉะนั้นการแก้รัฐธรรมนูญตามประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ควรกระทำ อะไรที่ไม่เป็นไปตามหลักก็ต้องทำให้ถูกหลักนิติธรรม ความไม่เหมาะสมของรัฐธรรมนูญที่เขียนขึ้นโดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) และการวินิจฉัยของตุลาการที่มีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคเป็นการตีความย้อนหลังและเหมาเข่งเอาคนที่ไม่เกี่ยว ข้องไม่ได้กระทำผิดให้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองยาวนานถึง 5 ปีไปด้วย นี่คือตัวอย่างที่ไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้น
โดยทั่วไปแล้วกฎหมายมีมาตรฐานเดียว แต่คนตีความกฎหมายพยายามใช้ 2-3 มาตรฐาน และการจะยื่นถอดถอนศาล รัฐธรรมนูญเป็นสิ่งที่กระทำได้ยาก เพราะต้องอาศัยเสียงของวุฒิสภาจำนวนมากแล้วจึงส่งเรื่องไปที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะเห็นได้ว่ากลไกเหล่านี้ ถูกวางไว้หมดแล้ว เขาจึงเสียกลไกนี้ไปไม่ได้
“พวกคนไม่ชอบอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีคนเสนอว่าหากจะให้บ้านเมืองสงบพ.ต.ท.ทักษิณ จะต้องมาติดคุก แต่ถ้าไปดูจริงๆ แล้วจะเห็นว่ากระบวนการที่กล่าวหาอดีต นายกฯ มีที่มาไม่ถูกต้องเกิดจากการรัฐประหารจากนั้นก็มีการแต่งตั้งคตส.รวมถึงหน่วยงานต่างๆ มาทำตรงจุดนี้ ทิ้งท้ายด้วยการตั้งคำถามให้ฉุกคิดว่าการที่พ.ต.ท.ทักษิณ ไปได้ทั่วโลกยกเว้น ประเทศไทย แสดงว่าหลักนิติธรรมทั้งโลกแย่กว่าประเทศไทยใช่หรือไม่”
ไม่ว่าผลของพิจารณากรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเป็นอย่างไร แต่นี่จะเป็นกรณีที่ทำให้คนหูตาสว่างมากขึ้น และอยากให้ทุกคนก้าวพ้นความกลัว (ภยาคติ) เพราะความกลัวทำให้เสื่อมทุกอย่าง ก็จะไม่เดินหน้า หากเราก้าวข้ามความกลัว ส.ส.เลิกกลัว ประชาชน เลิกกลัว แล้วเดินหน้าเลิกเราก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงไปในทาง ที่ดีขึ้น โดยไม่ยอมให้เขาทำเราอยู่ฝ่ายเดียว เป็นคำสรุปของ “ชาญวิทย์ เกษตรศิริ”..ที่ไม่จำเป็นต้องขยายต่อ...
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีการเสวนาวิชาการ จัดโดยวิทยาลัย นานาชาติปรีดี พนมยงค์ เรื่องปรีดี พนมยงค์หลักการแบ่งแยกอำนาจตามหลักประชาธิปไตย ตุลาการ vs. นิติบัญญัติ ภายในงานดังกล่าวมีผู้ทรงคุณวุฒิหลายท่านร่วมแสดงความคิดเห็น อย่างนายพนัส ทัศนียานนท์ อดีต สสร.รัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งสารภาพว่า สสร. 2540 ทำบาปสร้างองค์กรอิสระให้กลายเป็นอำนาจที่ 4 อยู่เหนืออำนาจนิติบัญญัติ บริหาร รวมถึงนายโภคิณ พลกุล อดีต ประธานรัฐสภา และ นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
พนัส ทัศนียานนท์ กล่าวว่า กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้อำนาจ ก้าวล่วงมาวินิจฉัยและมีคำสั่งกรณีการลงมติแก้ไขรธน. วาระ 3 ของรัฐสภาครั้งนี้ เป็นบาปที่เกิดจากการร่างรัฐธรรมนูญที่เปิดโอกาสให้มีอำนาจอื่นเข้ามาใช้อำนาจเหนืออำนาจนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ “อาจจะเป็นบาปของผมด้วย เพราะตอนนั้นผมเป็นสสร. 2540 คือสถานการณ์ตอนนั้นมันเลวร้ายมาก จึงจำเป็นต้องหามือปราบ หาเปาบุ้นจิ้นมา ในขณะนั้นเรามีความหวังกันมาก ในรธน. 2540 ก็หวังว่าการเมืองจะใสสะอาด การเลือกตั้งจะไม่มีการซื้อสิทธิ์ขายเสียงไม่โกงกัน นักการเมืองก็จะทำงานกันอย่างบริสุทธิ์ โปร่งใส เพราะกลไกต่างๆ มันมัดไว้หมดเลย เรามีองค์กรอิสระ กกต. ปปช. ผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งองค์กรอิสระต่างๆ เหล่านี้ มี อีกหลายองค์กรล้วนแค่เกิดขึ้นมาเพื่อเป็นเปาบุ้นจิ้นปราบนักการเมืองที่ได้อำนาจมาโดยมิชอบ นี่เป็นกระแสของความรู้สึก ในขณะนั้น เรามีรธน. เขียนออกมาก็เฮโลเห็นดีเห็นงามกันไป ผมเองก็คัดค้านว่านี่คือการสร้างระบบขุนนางขึ้นมา ไม่ได้ผ่านความเห็นดีเห็นงามของประชาชนเลย ผ่านการสรรหาทั้งสิ้น แล้ว กรรมการก็ล้วนแต่อำมาตย์”
“การมีองค์กรอิสระก็เพื่อจะควบคุมการบริหารแผ่นดินโดย การปกครองระบอบประชาธิปไตยตามระบอบรัฐสภา ศาล หรือองค์กรอิสระต่างๆ นั้นแนวคิดพื้นฐานเพื่อเอามาควบคุมรัฐสภาและคณะรัฐมนตรีโดยตรง โดยสรุปคือองค์กรต่างๆ เหล่านี้มีอำนาจเหนือกว่าฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร ในความรู้สึกผม หลังจากที่เหตุการณ์มันพัฒนามาถึงปัจจุบันนี้แล้ว ผมคิดว่าอันที่จริงแล้วตอนที่เราทำรัฐธรรมนูญ 2540 นั้น หลักการคานอำนาจ ถูกทำลายลงโดยสิ้นเชิงโดยอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ แหม เรา รู้สึกภูมิอกภูมิใจเหลือเกินว่าเราสร้างรัฐธรรมนูญของประชาชนขึ้นมา แต่มันได้ทำลายระบอบรัฐสภาลงโดยสิ้นเชิง เป็นการสร้าง ระบอบนี้ขึ้นมาเป็นอำนาจที่สี่ ควบคุมอีกสามอำนาจที่เหลือ”
“ถ้ามีช่องเมื่อไหร่ท่านก็จะอ้างอำนาจทันที นี่คือตุลาการภิวัตน์ เรามาถึง รธน. 2550 นี่จึงไม่น่าแปลกใจเลย เริ่มจากใคร เป็นสสร.-ตุลาการเข้ามาเต็มไปหมดเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ การที่ศาล รธน. สร้างอำนาจตรงนี้ ออกคำสั่งมายังสภา ถือว่าผิดต่อหลักการ กระจายอำนาจไหม”
การตีความของศาลรัฐธรรมนูญในการใช้ ม.68 ว่า ศาลคงตีความว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นการทำลายล้างรัฐธรรมนูญ และอ้างว่าตัวเองเป็นผู้แทนของอำนาจในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญ เป็นองค์กรซึ่งมีอำนาจในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญ
“แต่ผมอยากจะถามว่าถ้าเป็นเหตุผลที่ฟังขึ้นจริง แล้วรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะเขียนไว้ทำไมในหมวดการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เวลาฟังท่านฟังให้ดีๆ นะครับ เพราะเวลาพูดแล้วฟังดูลื่นมาก ถ้าไม่มีท่านก็ไม่มีใครทำหน้าที่พิทักษ์รัฐธรรมนูญ”
สสร. 2540 ผู้นี้ยืนยันว่าคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญนี้เป็น คำสั่งที่ไม่ชอบ แต่หลายฝ่ายอาจจะรู้สึกแหยงเพราะผลงานที่ผ่านมาของศาลรัฐธรรมนูญนั้นน่าแขยง ทั้งการพจนานุกรมมา ตีความ การยุบพรรคการเมืองชนิดที่ทำผิดคนเดียวก็ถือว่าผิดทั้งหมู่
“เรากำลังอยู่ในวิกฤติรัฐธรรมนูญครั้งสำคัญที่สุด และไม่รู้ จะหาใครเป็นคนตัดสิน ในเมื่ออำนาจในการตัดสินอยู่ที่ท่าน ในเมื่อรัฐสภาเองก็ยังลงมติไม่ได้ว่าจะปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง แต่มีความเห็นว่าศาลไม่มีอำนาจออกคำสั่ง แต่การโต้แย้งนี้ ไปยื่น ต่อศาลซึ่งผลก็เท่ากับเป็นการยอมรับอำนาจโดยปริยาย แล้วถ้าศาลตัดสินว่าใช่ตามที่ผู้ร้องเขาร้องแล้วอะไรจะเกิดขึ้น ก็ขอให้คิดกันต่อไป”
หากจะผ่าทางตัน..“พนัส” เสนอวิธีการทางกฎหมายในการแก้ไขปัญหากรณีศาลรธน. สั่งชั่วคราวระงับการลงมติวาระ 3 แก้ไขรัฐธรรนูญของ รัฐสภา เพื่อรอการพิจารณคำร้องตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ว่า ส.ส. ต้องไม่กลัว เพราะที่ศาลรธน. ทำคือต้องการให้หยุด แต่ ส.ส. และ ส.ว.จะไม่ฟังคำสั่งก็ไม่ได้ เพราะเสี่ยงต่อการจะถูกถอดถอน
อย่างไรก็ตาม ส.ส. ต้องมีความกล้าให้มาก ในเมื่อรัฐสภาเป็นตัวแทนของประชาชน เสียงข้างมากของสภาต้องการให้มีการแก้รัฐธรรมนูญ แต่ศาลรัฐธรรมนูญกับพวกกลับขัดขวาง ดังนั้น มีทางเลือก 2 ทาง คือ หนึ่ง ยุบศาลรัฐธรรมนูญทิ้งไป แล้ว ส.ส. เข้าชื่อกันใหม่ ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญแก้ไขรัฐธรรมนูญเอง เลยโดยไม่ต้องมีสสร. และในอันดับแรกที่จะแก้ไขคือ ยกเลิกศาล รัฐธรรมนูญเสีย แต่แนวทางนี้ต้องอาศัยความกล้า ส่วนประธาน รัฐสภาที่ไม่มีความกล้าต้องเอาออกไป
ทางเลือกที่สอง ศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าแก้รัฐธรรมนูญไม่ได้เป็นการขัดขวางความต้องการของประชาชน เมื่อขัดขวางประชาชนก็ต้องเอาอาวุธของประชาชนมาใช้คือลงประชามติ โดยวิธีการประชามตินั้นทำได้โดยนายกรัฐมนตรี ปรึกษาประธาน สภาผู้แทนและประธานวุฒิสภาโดยมีเหตุผลว่าขณะนี้เกิดวิกฤติรัฐธรรมนูญ ก็ขอให้ประชาชนลงประชามติเพียงอย่างเดียวว่า ต้องการให้แก้รัฐธรรมนูญหรือไม่ และในการลงประชามตินั้นก็สามารถให้ประชาชนลงประชามติไปพร้อมกันเลยว่าต้องการให้ยกเลิกศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ด้วย
“นายกฯ ยิ่งลักษณ์ต้องเลิกไปดูน้ำเสียที มาปรึกษาหารือกัน ว่าจะแก้ลำเขาอย่างไร ดูสิว่าจะสู้กับอำนาจประชาชนได้หรือไม่”
ด้านโภคิณ พลกุล อดีตประธานรัฐสภา เห็นว่าความวุ่นวายในอดีตที่ส่งผลมาถึงปัจจุบัน รวมทั้งประเด็นที่เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญปี 2550 ซึ่งมีที่มาจากรัฐประหาร พยายามจำกัดอำนาจ ฝ่ายประชาธิปไตย ไม่ให้เป็นไปตามหลักยุติธรรมที่ควรจะเป็น ฉะนั้นการแก้รัฐธรรมนูญตามประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ควรกระทำ อะไรที่ไม่เป็นไปตามหลักก็ต้องทำให้ถูกหลักนิติธรรม ความไม่เหมาะสมของรัฐธรรมนูญที่เขียนขึ้นโดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) และการวินิจฉัยของตุลาการที่มีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคเป็นการตีความย้อนหลังและเหมาเข่งเอาคนที่ไม่เกี่ยว ข้องไม่ได้กระทำผิดให้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองยาวนานถึง 5 ปีไปด้วย นี่คือตัวอย่างที่ไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้น
โดยทั่วไปแล้วกฎหมายมีมาตรฐานเดียว แต่คนตีความกฎหมายพยายามใช้ 2-3 มาตรฐาน และการจะยื่นถอดถอนศาล รัฐธรรมนูญเป็นสิ่งที่กระทำได้ยาก เพราะต้องอาศัยเสียงของวุฒิสภาจำนวนมากแล้วจึงส่งเรื่องไปที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะเห็นได้ว่ากลไกเหล่านี้ ถูกวางไว้หมดแล้ว เขาจึงเสียกลไกนี้ไปไม่ได้
“พวกคนไม่ชอบอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีคนเสนอว่าหากจะให้บ้านเมืองสงบพ.ต.ท.ทักษิณ จะต้องมาติดคุก แต่ถ้าไปดูจริงๆ แล้วจะเห็นว่ากระบวนการที่กล่าวหาอดีต นายกฯ มีที่มาไม่ถูกต้องเกิดจากการรัฐประหารจากนั้นก็มีการแต่งตั้งคตส.รวมถึงหน่วยงานต่างๆ มาทำตรงจุดนี้ ทิ้งท้ายด้วยการตั้งคำถามให้ฉุกคิดว่าการที่พ.ต.ท.ทักษิณ ไปได้ทั่วโลกยกเว้น ประเทศไทย แสดงว่าหลักนิติธรรมทั้งโลกแย่กว่าประเทศไทยใช่หรือไม่”
ไม่ว่าผลของพิจารณากรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเป็นอย่างไร แต่นี่จะเป็นกรณีที่ทำให้คนหูตาสว่างมากขึ้น และอยากให้ทุกคนก้าวพ้นความกลัว (ภยาคติ) เพราะความกลัวทำให้เสื่อมทุกอย่าง ก็จะไม่เดินหน้า หากเราก้าวข้ามความกลัว ส.ส.เลิกกลัว ประชาชน เลิกกลัว แล้วเดินหน้าเลิกเราก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงไปในทาง ที่ดีขึ้น โดยไม่ยอมให้เขาทำเราอยู่ฝ่ายเดียว เป็นคำสรุปของ “ชาญวิทย์ เกษตรศิริ”..ที่ไม่จำเป็นต้องขยายต่อ...
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
อีเวนต์การเมือง : ข้างถนน ปะทุศึกม็อบชนม็อบ !!?
บนความเคลื่อนไหวทางการเมือง หลังถอดสลักวาระแห่งความขัดแย้ง ด้วยการยับยั้งร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้กรรม และ พ.ร.บ.ปรองดอง...ปรองเดือด แม้ดูเหมือนกับว่าทุกขั้วการเมืองพากันถอยกลับสู่ป้อมประตูค่าย เพื่อสงบศึกเป็นการชั่วคราว แต่นั่นก็เป็นเพียงความ นิ่งสงบ ก่อนหน้าพายุใหญ่จะพัดถล่ม ยิ่งตลอดหลายวันที่ผ่านมา การเผชิญหน้าของขั้วการเมือง กลุ่มมวลชน กับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เป็นไปอย่างถึงลูกถึงคน หลังมีความชัดเจนว่าฝ่ายการ เมืองกำลังตกอยู่ในภาวะเพลี่ยงพล้ำ หาก คิดจะฝ่าด่านอรหันต์ เพื่อดันแก้รัฐธรรมนูญ “วาระ 3” ผ่านกระบวนการในสภา
เวลานี้ จังหวะก้าวในซีกรัฐนาวา ยัง คงมีความสุ่มเสี่ยงในการถูก “ยัดเยียดข้อหา” โดยเฉพาะในเรื่องการตีความมาตรา 68 ที่ยังมีความเห็นต่างกันสุดขั้วภายใต้ข้อกฎหมายตัวเดียวกัน เช่นที่ว่านี้ เมื่อมีระฆังสั่งพักยกให้ต่างฝ่ายถอยกันไปคนละก้าว! สัญญาณดังกล่าวจึงถูกมอง เป็นแค่การสลับเวทีเล่น เปลี่ยนจากการลับฝีปากในสภา ย้ายวิกมา สู่เกมการเมืองข้างถนนเท่านั้นเอง โดยทาง พรรคเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ ก็ยังดาหน้า ถล่มกันผ่านอีเวนต์การเมือง ทั้งการเปิดเวทีปราศรัยและวงเสวนา ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็น การแลกกันคนละหมัด โดยไม่มีใครเก็บงำ อาการอีกต่อไป แต่เหนืออื่นใด การที่พรรคการเมือง ใหญ่ทั้งคู่มุ่งขยายประเด็นเผือกร้อนดังกล่าว ส่งผลให้บรรยากาศทางการเมืองทวีความ รุนแรง ขยับเข้าไปใกล้จุดแตกหักมากขึ้นทุกที
ขณะเดียวกัน การเคลื่อนไหวในภาค ประชาชน ก็ไม่ได้มีแค่ “ม็อบเสื้อเหลือง” หรือ “เสื้อแดง” เท่านั้น ทว่ายังรวมไปถึง “แนวร่วมรบ” ที่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มก้อนอำนาจทางการเมือง ตลอดจนมวลชน จัดตั้งที่ออกมาตีปีกเชียร์! การทำหน้าที่ของ คณะตุลาการและคัดค้านโรดแมปปรองดอง-รธน.แก้กรรมของรัฐบาล เช่นการนัดชุมนุมที่ทุ่งศรีเมือง จ.อุดรธานี โดยมีกลุ่มมวลชนในภาคอีสาน กว่า 5 พันคน ภายใต้ชื่อกองทัพปลดแอก ประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย ได้แห่กันมาร่วมเวทีปราศรัยเพื่อปกป้องและสนับสนุนคณะ 7 ตุลาการศาล รัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ หลังจากศาล รธน.ถูกโจมตีอย่างหนัก กรณีไปล้วงลูกฝ่ายนิติบัญญัติ ด้วยการออกคำสั่งให้ “รัฐสภา” ชะลอการลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ “วาระ 3” ออกไปจนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย ซึ่งทางมวลชน กลุ่มนี้กล่าวอ้างว่าศาล รธน.มีอำนาจและ มีความชอบธรรม
บนเวทีไฮด์ปาร์คที่ทุ่งศรีเมือง “คมสัน โพธิ์คง” อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ปี 2550 และนักวิชาการด้านนิติศาสตร์ ม.สุโขทัยธรรมาธิราช ได้ขึ้นปราศรัย พร้อมกล่าวโจมตีผู้ที่ออกมา เคลื่อนไหวต่อต้านคำสั่งดังกล่าว ไม่ยอมรับ มติของตุลาการศาล พร้อมแจกจ่ายแถลงการณ์ต่อประชาชนที่มาร่วมชุมนุม โดยแถลงการณ์ระบุว่า ขณะนี้ได้มีบุคคลและกลุ่มบุคคลบางพวกที่ไม่ยอมรับ ไม่เคารพต่อคำสั่งจากสถาบันตุลาการ ศาล รัฐธรรมนูญที่มีหน้าที่ถ่วงดุลอำนาจอธิปไตย ของปวงชนชาวไทย โดยบิดเบือนข้อเท็จจริง อันจะเกิดมหันตภัยอย่างใหญ่หลวงต่อ ประเทศชาติ ตามที่นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธาน นปช.และพวก ได้กระทำการตั้งโต๊ะออกล่ารายชื่อเพื่อดำเนินการถอดถอน คณะตุลาการ เพราะมีคำสั่งให้ชะลอการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราวนั้น ในฐานะประชาชนคนไทยผู้เป็นส่วนหนึ่งของการใช้อำนาจอธิปไตย ภายใต้กฎหมาย รัฐธรรมนูญที่ใช้ปกครองประเทศ จึงมีความเห็นพ้องต้องกันว่าการกระทำดังกล่าว ของกลุ่ม นปช.ถือเป็นการข่มขู่ คุกคาม คณะตุลาการอย่างให้อภัยมิได้ และถือว่า เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของคณะบุคคลใดบุคคลหนึ่งเท่านั้น จึงขอเรียกร้อง ให้ทางกลุ่ม นปช.ได้ยุติพฤติกรรมดังกล่าว นั้นโดยเด็ดขาด
ทางด้านความเคลื่อนไหวในภาคประชาชน ทั้งในระดับพื้นที่และในหัวเมือง ต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งเวลานี้เต็มไปด้วยความ อึมครึมไม่แพ้กัน เพราะทุกม็อบจากทุกสี ต่างพากันเปิดเวทีปลุกระดม! ภายใต้ มหกรรม หลากสีเสื้อ ซึ่งถือเป็นการ “จัดแถว” เพื่อรอคำสั่งเคลื่อนพลจากส่วนกลาง เช่นเดียวกับการเป่านกหวีดเรียก “คนเสื้อแดง” ให้ออกมาชุมนุมใหญ่ในวันที่ 24 มิ.ย. ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดย “ธิดา ถาวรเศรษฐ” ประธาน นปช. ได้ประกาศจุดยืนชัดเจนว่า...จะเดินหน้าต่อต้าน “ฝ่ายอำมาตย์” ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง เพราะยังมีความพยายามในการจ้องล้ม รัฐบาล และมุ่งทำลายกลุ่มคนเสื้อแดง “สถานการณ์ขณะนี้ยังไม่น่าไว้วางใจ เพราะมีความพยายามตัดสิทธิ์การทำหน้าที่ ของฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ รวมถึง มีการแฝงตัวในกลุ่มพวกเรา เพื่อหวังทำลายเสื้อแดง”
ขณะที่หนึ่งในแกนนำอย่าง “จตุพร พรหมพันธุ์” ได้ขอให้กลุ่มคนเสื้อแดง เก็บความน้อยอกน้อยใจกรณีที่ไม่ถูกยับยั้งการ ลงมติวาระ 3 เอาไว้ก่อน เพราะเวลานี้คนเสื้อแดงยังต้องสามัคคีเพื่อร่วมกันต่อสู้ โดยย้ำถึงความพยายามในการล้มรัฐบาล จากการดำเนินการขององค์กรอิสระ ทั้งศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. และผู้ตรวจการแผ่นดิน ด้วยความเชื่ออย่างลึกซึ้งว่า..เป็น “เจตนา” และ “จงใจ” ที่จะนำมาซึ่งการล้มกระดาน “อำนาจแห่งรัฐนาวา” พร้อมเรียกร้องให้คนเสื้อแดง ออกมารวมพลังในการชุมนุม!!
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
เวลานี้ จังหวะก้าวในซีกรัฐนาวา ยัง คงมีความสุ่มเสี่ยงในการถูก “ยัดเยียดข้อหา” โดยเฉพาะในเรื่องการตีความมาตรา 68 ที่ยังมีความเห็นต่างกันสุดขั้วภายใต้ข้อกฎหมายตัวเดียวกัน เช่นที่ว่านี้ เมื่อมีระฆังสั่งพักยกให้ต่างฝ่ายถอยกันไปคนละก้าว! สัญญาณดังกล่าวจึงถูกมอง เป็นแค่การสลับเวทีเล่น เปลี่ยนจากการลับฝีปากในสภา ย้ายวิกมา สู่เกมการเมืองข้างถนนเท่านั้นเอง โดยทาง พรรคเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ ก็ยังดาหน้า ถล่มกันผ่านอีเวนต์การเมือง ทั้งการเปิดเวทีปราศรัยและวงเสวนา ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็น การแลกกันคนละหมัด โดยไม่มีใครเก็บงำ อาการอีกต่อไป แต่เหนืออื่นใด การที่พรรคการเมือง ใหญ่ทั้งคู่มุ่งขยายประเด็นเผือกร้อนดังกล่าว ส่งผลให้บรรยากาศทางการเมืองทวีความ รุนแรง ขยับเข้าไปใกล้จุดแตกหักมากขึ้นทุกที
ขณะเดียวกัน การเคลื่อนไหวในภาค ประชาชน ก็ไม่ได้มีแค่ “ม็อบเสื้อเหลือง” หรือ “เสื้อแดง” เท่านั้น ทว่ายังรวมไปถึง “แนวร่วมรบ” ที่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มก้อนอำนาจทางการเมือง ตลอดจนมวลชน จัดตั้งที่ออกมาตีปีกเชียร์! การทำหน้าที่ของ คณะตุลาการและคัดค้านโรดแมปปรองดอง-รธน.แก้กรรมของรัฐบาล เช่นการนัดชุมนุมที่ทุ่งศรีเมือง จ.อุดรธานี โดยมีกลุ่มมวลชนในภาคอีสาน กว่า 5 พันคน ภายใต้ชื่อกองทัพปลดแอก ประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย ได้แห่กันมาร่วมเวทีปราศรัยเพื่อปกป้องและสนับสนุนคณะ 7 ตุลาการศาล รัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ หลังจากศาล รธน.ถูกโจมตีอย่างหนัก กรณีไปล้วงลูกฝ่ายนิติบัญญัติ ด้วยการออกคำสั่งให้ “รัฐสภา” ชะลอการลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ “วาระ 3” ออกไปจนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย ซึ่งทางมวลชน กลุ่มนี้กล่าวอ้างว่าศาล รธน.มีอำนาจและ มีความชอบธรรม
บนเวทีไฮด์ปาร์คที่ทุ่งศรีเมือง “คมสัน โพธิ์คง” อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ปี 2550 และนักวิชาการด้านนิติศาสตร์ ม.สุโขทัยธรรมาธิราช ได้ขึ้นปราศรัย พร้อมกล่าวโจมตีผู้ที่ออกมา เคลื่อนไหวต่อต้านคำสั่งดังกล่าว ไม่ยอมรับ มติของตุลาการศาล พร้อมแจกจ่ายแถลงการณ์ต่อประชาชนที่มาร่วมชุมนุม โดยแถลงการณ์ระบุว่า ขณะนี้ได้มีบุคคลและกลุ่มบุคคลบางพวกที่ไม่ยอมรับ ไม่เคารพต่อคำสั่งจากสถาบันตุลาการ ศาล รัฐธรรมนูญที่มีหน้าที่ถ่วงดุลอำนาจอธิปไตย ของปวงชนชาวไทย โดยบิดเบือนข้อเท็จจริง อันจะเกิดมหันตภัยอย่างใหญ่หลวงต่อ ประเทศชาติ ตามที่นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธาน นปช.และพวก ได้กระทำการตั้งโต๊ะออกล่ารายชื่อเพื่อดำเนินการถอดถอน คณะตุลาการ เพราะมีคำสั่งให้ชะลอการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราวนั้น ในฐานะประชาชนคนไทยผู้เป็นส่วนหนึ่งของการใช้อำนาจอธิปไตย ภายใต้กฎหมาย รัฐธรรมนูญที่ใช้ปกครองประเทศ จึงมีความเห็นพ้องต้องกันว่าการกระทำดังกล่าว ของกลุ่ม นปช.ถือเป็นการข่มขู่ คุกคาม คณะตุลาการอย่างให้อภัยมิได้ และถือว่า เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของคณะบุคคลใดบุคคลหนึ่งเท่านั้น จึงขอเรียกร้อง ให้ทางกลุ่ม นปช.ได้ยุติพฤติกรรมดังกล่าว นั้นโดยเด็ดขาด
ทางด้านความเคลื่อนไหวในภาคประชาชน ทั้งในระดับพื้นที่และในหัวเมือง ต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งเวลานี้เต็มไปด้วยความ อึมครึมไม่แพ้กัน เพราะทุกม็อบจากทุกสี ต่างพากันเปิดเวทีปลุกระดม! ภายใต้ มหกรรม หลากสีเสื้อ ซึ่งถือเป็นการ “จัดแถว” เพื่อรอคำสั่งเคลื่อนพลจากส่วนกลาง เช่นเดียวกับการเป่านกหวีดเรียก “คนเสื้อแดง” ให้ออกมาชุมนุมใหญ่ในวันที่ 24 มิ.ย. ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดย “ธิดา ถาวรเศรษฐ” ประธาน นปช. ได้ประกาศจุดยืนชัดเจนว่า...จะเดินหน้าต่อต้าน “ฝ่ายอำมาตย์” ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง เพราะยังมีความพยายามในการจ้องล้ม รัฐบาล และมุ่งทำลายกลุ่มคนเสื้อแดง “สถานการณ์ขณะนี้ยังไม่น่าไว้วางใจ เพราะมีความพยายามตัดสิทธิ์การทำหน้าที่ ของฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ รวมถึง มีการแฝงตัวในกลุ่มพวกเรา เพื่อหวังทำลายเสื้อแดง”
ขณะที่หนึ่งในแกนนำอย่าง “จตุพร พรหมพันธุ์” ได้ขอให้กลุ่มคนเสื้อแดง เก็บความน้อยอกน้อยใจกรณีที่ไม่ถูกยับยั้งการ ลงมติวาระ 3 เอาไว้ก่อน เพราะเวลานี้คนเสื้อแดงยังต้องสามัคคีเพื่อร่วมกันต่อสู้ โดยย้ำถึงความพยายามในการล้มรัฐบาล จากการดำเนินการขององค์กรอิสระ ทั้งศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. และผู้ตรวจการแผ่นดิน ด้วยความเชื่ออย่างลึกซึ้งว่า..เป็น “เจตนา” และ “จงใจ” ที่จะนำมาซึ่งการล้มกระดาน “อำนาจแห่งรัฐนาวา” พร้อมเรียกร้องให้คนเสื้อแดง ออกมารวมพลังในการชุมนุม!!
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
อู่ตะเภา - เขาวิหาร สันดาน แมลงสาป !!?
กษิต พูดชัดรัฐบาลสหรัฐฯไม่ทำเพื่อคนๆเดียว ถือเป็นประเด็นร้อนแรง ปลุกกระแสสังคมได้สมเจตนาของขั้วการเมืองที่ต้องการทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้กระแสต้านแม้ว กระแสไม่เอาทักษิณ เงียบหายไป
โดยครั้งนี้เปิดประเด็นว่า รัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ไปเขียวให้สหรัฐอเมริกามาใช้พื้นที่อู่ตะเภาตั้งฐานปฏิบัติการได้ เพื่อแลกกับวีซ่าเข้าสหรัฐของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยที่กองทัพไทยในยุคนี้ก็ไม่ได้มีการคัดค้านอะไรเลย
เจอข่าวปล่อยออกมาแบบนี้ กระแสเลือดรักชาติก็ย่อมพลุ่งพล่านเป็นธรรมดา และยิ่งหากเป็นพวกที่ไม่ชอบ พ.ต.ท.ทักษิณอยู่แล้ว ยิ่งเดือดเป็น 2 เท่า
ซึ่งบังเอิญเรื่องที่ปล่อยออกมานี้ก็มีข้อมูลจริงอยู่ส่วนหนึ่ง คือมีโครงการเกี่ยวกับองค์การการบินอวกาศสหรัฐอเมริกา หรือ “นาซา” จะมาขอใช้พื้นที่สนามบินอู่ตะเภา เพื่อทำการศึกษาสภาพภูมิอากาศ ในโครงการ Southeast Asia Composition, Cloud, Climate Coupling Regional Study หรือ SEAC4RS จริงๆ
แต่เรื่องที่เอาไปโยงว่านี่คือการยกแผ่นดิน การเปิดประตูให้รุกล้ำอธิปไตยของชาติเพียงเพื่อแลกกับวีซ่าเข้าสหรัฐให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นเป็นเรื่องจินตนาการกับความจงใจของคนปล่อยข่าว เพราะรู้ว่าประเด็นนี้ปล่อยออกมาแล้วแรงแน่ คนไทยจะเดือดแน่ๆ แล้วรัฐบาลก็จะเอียงกระเท่เร่ได้ง่ายๆ
เป็นประเด็นที่คล้ายหรือเหมือนกันกับกรณีพื้นที่เขาวิหาร ที่มีการปลุกเร้ากระแสรักชาติจนประเทศไทยกับประเทศกัมพูชาเกือบจะต้องรบกันนั่นแหละ
แต่ที่รอบนี้ไม่ได้ผลอย่างที่ต้องการ ก็เป็นเพราะหลังจากที่เปิดประเด็นสร้างกระแสออกมาจนทำท่าว่าจะจุดติด รัฐบาลต้องเร่งชี้แจงเป็นพัลวัน ว่ากรณีนี้คือสหรัฐได้ยื่นข้อเสนอใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็นศูนย์สำรวจชั้นบรรยากาศ และ เป็นศูนย์กู้ภัยพิบัติธรรมชาติประจำภูมิภาคเอเชียเท่านั้น
ไม่ได้มีกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา ไม่ได้มีเพนตากอน เข้ามาแอบแฝงพัฒนาโครงการดาวเทียมหรือเครื่องบินสอดแนมเพื่อคุกคามจีน และที่สำคัญไม่ได้มีเรื่องวีซ่าเข้าสหรัฐของ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ามาเกี่ยวเลยสักนิด
เพราะต้นตอจุดเริ่มต้นของการเจรจาเรื่องนี้ ไม่ใช่มาจากรัฐบาลชุดนี้ แต่เริ่มมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ในขณะนั้นแล้ว
กลายเป็นเรื่องกลับตาลปัตร โอละพ่อ ขึ้นมาในทันที ว่าอ้าวแล้วจริงๆมันอย่างไรแน่
ซึ่งแรกๆก็ตามสไตล์ ปชป. ที่ถูกล้อเลียนว่าชอบเอาดีเข้าตัว เอาชั่วโยนให้คนอื่นนั่นแหละ แต่บังเอิญรอบนี้ นายกษิต ภิรมย์ อดีต รัฐมนตรีต่างประเทศ เป็นคนที่ออกมาแถลงเรื่องการขอใช้สนามบินอู่ตะเภาของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เพื่อใช้เป็นศูนย์บรรเทาสาธารณภัยและความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และองค์การนาซ่าขอใช้พื้นที่ด้วย เพื่อจอดอากาศยานและขึ้นทำการบินตรวจสภาพอากาศ
ยอมรับอย่างชัดเจนว่า โครงการนี้ทำมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์
ว่าเป็นการเสนอไปที่จะให้ใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็นศูนย์บรรเทาสาธารณภัยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการพูดคุยกับ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ องค์การสหประชาชาติ และเวิลด์ฟู๊ด โดยทางนั้นขอเสนอให้สนามบินอู่ตะเภาเป็นศูนย์บรรเทาสาธารณภัยฯ ส่วนทางรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็จะทำเรื่องนี้เป็นนโยบายของอาเซียน
ซึ่งเรื่องนี้มีการพูดชัดเจนในอาเซียน ว่าจะทำเรื่องนี้ในกรอบของสหประชาชาติ โดยได้มีการประสานงานระหว่างกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้เคยหารือกันและมาสำรวจพื้นที่สนามบินอู่ตะเภาว่าจะสามารถใช้พื้นที่ไหนในการทำศูนย์บรรเทาสาธารณภัยฯได้บ้าง
เพียงแต่ว่าพอมาในรัฐบาลชุดนี้ รวมถึงกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงไอซีที กลับไม่มีการแถลงข่าวความคืบหน้าความชัดเจนในเรื่องนี้ จึงก่อให้เกิดความเข้าใจผิด และก่อให้เกิดความรู้สึกไม่ดีของประชาชน
ทั้งที่จริงเรื่องนี้เราเป็นฝ่ายไปเจรจาเองในการขอความร่วมมือในการมาช่วยเหลือภัยพิบัติในอาเซียน ส่วนจะไปเกี่ยวกับ มาตรา 190 หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเนื้อหา เพราะด้านความมั่นคงเรามีกรอบความร่วมมือกับสหรัฐฯเราอยู่แล้ว
“การที่องค์การน่าซ่ามาขอใช้ก็มาในช่วงปลายสมัยที่ผมเป็น รมว.ต่างประเทศ จนเสนาธิการทหารสหรัฐมาให้สัมภาษณ์ในรายการโทรทัศน์ คนไทยจึงมาทราบเรื่อง ส่วนเรื่องขอนาซ่ามาขอใช้ด้วยนั้น ทางเสนาธิการทหารสหรัฐฯบอกว่าเรื่องนาซ่าไม่เกี่ยวกับกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ แต่ผลงานของนาซ่าในการสำรวจอวกาศจะช่วยให้เราสามารถรู้ถึงการเกิดภัยพิบัติล่วงหน้า และจะทำให้เราสามารถเตือนภัยและป้องกันภัยได้ ข้อมูลของน่าซ่าก็จะเป็นประโยชน์กับเรา”นายกษิต กล่าว
ชัดเจนแจ่มกระจ่างกันแล้วว่าโครงการนี้เกิดขึ้นในยุครัฐบาลใด
แถมยังบอกด้วยว่าเรื่องนี้กลุ่มพันธมิตรเข้าใจผิด ส่วนการต่างตอบแทนเรื่องวีซ่าเข้าสหรัฐฯของ พ.ต.ท.ทักษิณ แลกกับการใช้สนามบินอู่ตะเภานั้น นายกษิต พูดชัดเลยว่า รัฐบาลสหรัฐฯสูงส่งกว่าเรื่องนี้เยอะ เขาเคารพกฎหมาย คงไม่ใช่ประเทศที่จะมาทำเพื่อผลประโยชน์ของคนๆเดียว
“เรื่องนี้จริงๆแล้วไทยได้ประโยชน์ ได้ความรู้ ได้เทคโนโลยี และไม่ได้เสียอธิปไตยแน่นอน เพราะเราเป็นคนอนุญาตให้เขามาใช้พื้นที่ของเราเอง เขาเข้ามา เราก็มีอธิปไตยอยู่”นายกษิต สรุป
เล่นเอาแม้แต่นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ยังต้องออกมาขอบคุณนายกษิต ที่กล้าพูดสวนทางกับนายอภิสิทธิ์ ที่ก่อนหน้านี้กล่าวหาว่าความร่วมมือระหว่างไทย-สหรัฐครั้งนี้ เพื่อแลกกับวีซ่าของพ.ต.ท.ทักษิณ
และยังกล้าหักต้นสังกัดเดิมคือกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ระบุว่าการให้สหรัฐใช้สนามบินอู่ตะเภา ทำให้เสียดินแดน เป็นความเข้าใจผิด
อย่างไรก็ตามในเรื่องการต่างประเทศเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เปราะบาง และหลายครั้งถูกลากโยงมาเป็นเครื่องมือการเมือง เพราะปลุกระดมแล้วจุดติดง่าย เช่น กรณีคดีปราสาทพระวิหาร ซึ่งเป็นการทำงานต่อเนื่องจากรัฐบาลชุดที่ผ่านมา ยืนยันไม่มีอะไรที่ไทยเสียประโยชน์และไม่กระทบกับความสัมพันธ์กับประเทศใดๆ ในภูมิภาคแน่นอน
เมื่อเจอแบบนี้ นายอภิสิทธิ์ จึงมีการอ้างว่าการใช้สนามบินอู่ตะเภาในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์จะเน้น2ด้านคือ
1.ภารกิจการช่วยเหลือด้านภัยพิบัติและมนุษยธรรม
2.เป็นความร่วมมือในระดับพหุภาคีและในแง่ของการร่วมมือทั้งในระดับภูมิภาค ซึ่งยังรวมไปถึงการพูดถึงสหประชาชาติและมิตรประเทศต่างๆ
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้เป็นเรื่องระหว่างสหรัฐกับไทย ซึ่งเหตุผลที่ขอใช้ในขณะนี้ต้องมีความชัดเจนว่า ใช้โดยใครและอย่างไร หากเป็นเรื่องของการตกลงทวิภาคีระหว่างไทยและสหรัฐก็ไม่ใช่แนวทางที่เคยวางไว้
ส่วนคำขอจากสหรัฐได้ส่งมาจริง ในช่วงที่มีการเลือกตั้ง ซึ่งรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้นยังไม่มีการพิจารณาแต่อย่างใด และก็ตามสไตล์คือเรียกร้องว่าเรื่องนี้ต้องโปร่งใสและต้องชี้แจง ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นคนไทยส่วนใหญ่ไม่เคยรู้เลยสักนิดว่ามีเรื่องนี้เกิดขึ้นในยุครัฐบาลประชาธิปัตย์
กับนายอภิสิทธิ์ยังพูดให้ล่อแหลมอีกว่าต้องให้มิตรประเทศของเราในภูมิภาค เช่น ประเทศจีนมีความเข้าใจ เพราะสหรัฐมียุทธศาสตร์ปิดล้อมประเทศจีน
พูดแบบนี้จีนอาจจะสบายใจ แต่สหรัฐอาจจะไม่สบายใจที่อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยอย่างนายอภิสิทธิ์พูดว่าสหรัฐมียุทธศาสตร์ปิดล้อมประเทศจีนก็เป็นได้
ซึ่งเมื่อต้องการความกระจ่าง เพราะคนไทยไม่รู้มาตลอดตั้งแต่รัฐบาลที่แล้ว นายธานี ทองภักดี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้แถลงในเรื่องนี้ว่า
1. การจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือทางมนุษยธรรมและบรรเทาภัยพิบัติระดับภูมิภาค (Humanitarian Assistance and Disaster Relief – HADR) ในประเทศไทย เป็นข้อริเริ่มของฝ่ายไทยในรัฐบาลสมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งได้เสนอในที่ประชุมสุดยอดอาเซียน - สหประชาชาติ ครั้งที่ 3 ในปี 2553 ด้วยเห็นว่าภูมิภาคประสบภัยพิบัติในหลายรูปแบบ และที่ผ่านมาหลายประเทศได้ใช้ประเทศไทยเป็นศูนย์กระจายความช่วยเหลือ
เนื่องจากประเทศไทยตั้งอยู่ในจุดศูนย์กลางของภูมิภาคอันเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ดี จึงเห็นว่าการจัดตั้ง HADR ที่ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภาจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยและภูมิภาค อย่างไรก็ดี โครงการดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการหารือ ซึ่งยังต้องมีการพิจารณาในมิติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดต่อไป
2. องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (National Aeronautic and Space Administration - NASA) ซึ่งเป็นองค์กรของพลเรือนได้ขอดำเนินโครงการศึกษาการก่อตัวของเมฆที่มีผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia Composition, Cloud, Climate Coupling Regional Study - SEAC4RS) ในประเทศไทย ซึ่งโครงการในลักษณะเดียวกันนี้ได้เคยดำเนินการแล้วในหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออก
เช่น เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ญี่ปุ่น และคอสตาริกา โดยจะใช้ท่าอากาศยานในประเทศเหล่านั้นทำการบินเพื่อเก็บตัวอย่างของอากาศในพื้นที่และสำรวจสภาพอากาศในพื้นที่ ซึ่งต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลของแต่ละประเทศ โดยโครงการดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ในการศึกษาผลกระทบของสภาพภูมิอากาศ ประโยชน์ในทางวิทยาศาสตร์ การพยากรณ์อากาศ ตลอดจนการบริหารจัดการสภาพภูมิอากาศและภัยธรรมชาติ
ที่ผ่านมากระทรวงการต่างประเทศได้จัดการประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย ทั้งหน่วยงานด้านความมั่นคง และด้านวิทยาศาสตร์ เพื่อร่วมกันพิจารณาข้อเสนอโครงการแล้ว ซึ่งโดยสรุปเห็นว่า โครงการนี้จะเป็นประโยชน์ในการช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ของไทย และช่วยพัฒนาขีดความสามารถในการพยากรณ์และป้องกันภัยพิบัติทางธรรมชาติ ทั้งนี้ หน่วยงานปฏิบัติหลักของไทยคือสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA)
สำหรับฝ่ายไทยที่จะได้เข้าไปมีส่วนร่วมในโครงการ อาทิ การตรวจอุปกรณ์ การทำการบิน ซึ่งจะมีทั้งนักวิชาการ และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย อาทิ สำนักฝนหลวง และการบินเกษตร เป็นต้น
อีกทั้งการใช้พื้นที่ท่าอากาศยานอู่ตะเภาจะต้องขออนุญาตทำการบินผ่านในพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีการบินสำรวจเหนือน่านน้ำสากลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่อยู่ภายใต้การควบคุมการบินของไทย สิงคโปร์ และกัมพูชา ซึ่งฝ่ายสหรัฐฯ ได้รับความยินยอมจากสิงคโปร์และกัมพูชา และได้แจ้งประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคแล้ว ซึ่งไม่มีประเทศใดคัดค้าน ด้วยเห็นว่าโครงการนี้เป็นประโยชน์ในเชิงวิชาการ และก่อประโยชน์ให้แก่ภูมิภาคโดยรวม
ก็เป็นเรื่องที่ชี้แจงออกมาชัดเจนแล้ว ส่วนเรื่องวีซ่านั้น พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต กล่าวว่า ข่าวที่ระบุว่ารัฐบาลไทยยอมให้สหรัฐเข้ามาเพื่อแลกเปลี่ยนกับวีซ่าของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีจริงๆ และไม่เกี่ยวกันเลย พ.ต.ท.ทักษิณสามารถเดินทางเข้าออกประเทศไหนก็ได้อยู่แล้ว แม้แต่ประเทศอังกฤษ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เข้าไปได้เลย ถือเป็นเรื่องเล็ก แต่หากจะขอแลกเปลี่ยนกันต้องขอมากกว่านี้
ทั้งนี้มีรายงานข่าวจากแหล่งข่าวความมั่นคงแจ้งว่า นาซาได้คัดเจ้าหน้าที่ วิศวกร และนักวิทยาศาสตร์ของนาซาที่มีเชื้อสายไทยร่วมคณะมาด้วย รวมทั้ง ดร.ก้องภพ อยู่เย็น วิศวกรไทยคนเดียวในนาซา เพื่อให้ไทยสบายใจขึ้นว่า นาซามาเพื่อสำรวจสภาพอากาศจริงๆ
ไม่ได้แอบส่งเครื่องบินหรือดาวเทียมจารกรรมมาสอดแนมจีน
งานนี้เป็นอีกกรณีที่ทำให้เห็นชัดว่า ที่ไทยมีปัญหากับประเทศต่างๆในรัฐบาลก่อนหน้า หรือที่มีการปลุกเร้ากระแสรักชาติเรื่องพื้นที่เขาพระวิหารจนหวิดเกิดเรื่อง และกระทั่งมาถึงเรื่องอู่ตะเภาในครั้งนี้
ก็น่าจะเป็นเพราะสไตล์หรือนิสัย แมลงสาป นั่นแหละที่ชอบก่อเหตุ
ที่มา.บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
โดยครั้งนี้เปิดประเด็นว่า รัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ไปเขียวให้สหรัฐอเมริกามาใช้พื้นที่อู่ตะเภาตั้งฐานปฏิบัติการได้ เพื่อแลกกับวีซ่าเข้าสหรัฐของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยที่กองทัพไทยในยุคนี้ก็ไม่ได้มีการคัดค้านอะไรเลย
เจอข่าวปล่อยออกมาแบบนี้ กระแสเลือดรักชาติก็ย่อมพลุ่งพล่านเป็นธรรมดา และยิ่งหากเป็นพวกที่ไม่ชอบ พ.ต.ท.ทักษิณอยู่แล้ว ยิ่งเดือดเป็น 2 เท่า
ซึ่งบังเอิญเรื่องที่ปล่อยออกมานี้ก็มีข้อมูลจริงอยู่ส่วนหนึ่ง คือมีโครงการเกี่ยวกับองค์การการบินอวกาศสหรัฐอเมริกา หรือ “นาซา” จะมาขอใช้พื้นที่สนามบินอู่ตะเภา เพื่อทำการศึกษาสภาพภูมิอากาศ ในโครงการ Southeast Asia Composition, Cloud, Climate Coupling Regional Study หรือ SEAC4RS จริงๆ
แต่เรื่องที่เอาไปโยงว่านี่คือการยกแผ่นดิน การเปิดประตูให้รุกล้ำอธิปไตยของชาติเพียงเพื่อแลกกับวีซ่าเข้าสหรัฐให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นเป็นเรื่องจินตนาการกับความจงใจของคนปล่อยข่าว เพราะรู้ว่าประเด็นนี้ปล่อยออกมาแล้วแรงแน่ คนไทยจะเดือดแน่ๆ แล้วรัฐบาลก็จะเอียงกระเท่เร่ได้ง่ายๆ
เป็นประเด็นที่คล้ายหรือเหมือนกันกับกรณีพื้นที่เขาวิหาร ที่มีการปลุกเร้ากระแสรักชาติจนประเทศไทยกับประเทศกัมพูชาเกือบจะต้องรบกันนั่นแหละ
แต่ที่รอบนี้ไม่ได้ผลอย่างที่ต้องการ ก็เป็นเพราะหลังจากที่เปิดประเด็นสร้างกระแสออกมาจนทำท่าว่าจะจุดติด รัฐบาลต้องเร่งชี้แจงเป็นพัลวัน ว่ากรณีนี้คือสหรัฐได้ยื่นข้อเสนอใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็นศูนย์สำรวจชั้นบรรยากาศ และ เป็นศูนย์กู้ภัยพิบัติธรรมชาติประจำภูมิภาคเอเชียเท่านั้น
ไม่ได้มีกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา ไม่ได้มีเพนตากอน เข้ามาแอบแฝงพัฒนาโครงการดาวเทียมหรือเครื่องบินสอดแนมเพื่อคุกคามจีน และที่สำคัญไม่ได้มีเรื่องวีซ่าเข้าสหรัฐของ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ามาเกี่ยวเลยสักนิด
เพราะต้นตอจุดเริ่มต้นของการเจรจาเรื่องนี้ ไม่ใช่มาจากรัฐบาลชุดนี้ แต่เริ่มมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ในขณะนั้นแล้ว
กลายเป็นเรื่องกลับตาลปัตร โอละพ่อ ขึ้นมาในทันที ว่าอ้าวแล้วจริงๆมันอย่างไรแน่
ซึ่งแรกๆก็ตามสไตล์ ปชป. ที่ถูกล้อเลียนว่าชอบเอาดีเข้าตัว เอาชั่วโยนให้คนอื่นนั่นแหละ แต่บังเอิญรอบนี้ นายกษิต ภิรมย์ อดีต รัฐมนตรีต่างประเทศ เป็นคนที่ออกมาแถลงเรื่องการขอใช้สนามบินอู่ตะเภาของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เพื่อใช้เป็นศูนย์บรรเทาสาธารณภัยและความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และองค์การนาซ่าขอใช้พื้นที่ด้วย เพื่อจอดอากาศยานและขึ้นทำการบินตรวจสภาพอากาศ
ยอมรับอย่างชัดเจนว่า โครงการนี้ทำมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์
ว่าเป็นการเสนอไปที่จะให้ใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็นศูนย์บรรเทาสาธารณภัยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการพูดคุยกับ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ องค์การสหประชาชาติ และเวิลด์ฟู๊ด โดยทางนั้นขอเสนอให้สนามบินอู่ตะเภาเป็นศูนย์บรรเทาสาธารณภัยฯ ส่วนทางรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็จะทำเรื่องนี้เป็นนโยบายของอาเซียน
ซึ่งเรื่องนี้มีการพูดชัดเจนในอาเซียน ว่าจะทำเรื่องนี้ในกรอบของสหประชาชาติ โดยได้มีการประสานงานระหว่างกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้เคยหารือกันและมาสำรวจพื้นที่สนามบินอู่ตะเภาว่าจะสามารถใช้พื้นที่ไหนในการทำศูนย์บรรเทาสาธารณภัยฯได้บ้าง
เพียงแต่ว่าพอมาในรัฐบาลชุดนี้ รวมถึงกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงไอซีที กลับไม่มีการแถลงข่าวความคืบหน้าความชัดเจนในเรื่องนี้ จึงก่อให้เกิดความเข้าใจผิด และก่อให้เกิดความรู้สึกไม่ดีของประชาชน
ทั้งที่จริงเรื่องนี้เราเป็นฝ่ายไปเจรจาเองในการขอความร่วมมือในการมาช่วยเหลือภัยพิบัติในอาเซียน ส่วนจะไปเกี่ยวกับ มาตรา 190 หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเนื้อหา เพราะด้านความมั่นคงเรามีกรอบความร่วมมือกับสหรัฐฯเราอยู่แล้ว
“การที่องค์การน่าซ่ามาขอใช้ก็มาในช่วงปลายสมัยที่ผมเป็น รมว.ต่างประเทศ จนเสนาธิการทหารสหรัฐมาให้สัมภาษณ์ในรายการโทรทัศน์ คนไทยจึงมาทราบเรื่อง ส่วนเรื่องขอนาซ่ามาขอใช้ด้วยนั้น ทางเสนาธิการทหารสหรัฐฯบอกว่าเรื่องนาซ่าไม่เกี่ยวกับกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ แต่ผลงานของนาซ่าในการสำรวจอวกาศจะช่วยให้เราสามารถรู้ถึงการเกิดภัยพิบัติล่วงหน้า และจะทำให้เราสามารถเตือนภัยและป้องกันภัยได้ ข้อมูลของน่าซ่าก็จะเป็นประโยชน์กับเรา”นายกษิต กล่าว
ชัดเจนแจ่มกระจ่างกันแล้วว่าโครงการนี้เกิดขึ้นในยุครัฐบาลใด
แถมยังบอกด้วยว่าเรื่องนี้กลุ่มพันธมิตรเข้าใจผิด ส่วนการต่างตอบแทนเรื่องวีซ่าเข้าสหรัฐฯของ พ.ต.ท.ทักษิณ แลกกับการใช้สนามบินอู่ตะเภานั้น นายกษิต พูดชัดเลยว่า รัฐบาลสหรัฐฯสูงส่งกว่าเรื่องนี้เยอะ เขาเคารพกฎหมาย คงไม่ใช่ประเทศที่จะมาทำเพื่อผลประโยชน์ของคนๆเดียว
“เรื่องนี้จริงๆแล้วไทยได้ประโยชน์ ได้ความรู้ ได้เทคโนโลยี และไม่ได้เสียอธิปไตยแน่นอน เพราะเราเป็นคนอนุญาตให้เขามาใช้พื้นที่ของเราเอง เขาเข้ามา เราก็มีอธิปไตยอยู่”นายกษิต สรุป
เล่นเอาแม้แต่นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ยังต้องออกมาขอบคุณนายกษิต ที่กล้าพูดสวนทางกับนายอภิสิทธิ์ ที่ก่อนหน้านี้กล่าวหาว่าความร่วมมือระหว่างไทย-สหรัฐครั้งนี้ เพื่อแลกกับวีซ่าของพ.ต.ท.ทักษิณ
และยังกล้าหักต้นสังกัดเดิมคือกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ระบุว่าการให้สหรัฐใช้สนามบินอู่ตะเภา ทำให้เสียดินแดน เป็นความเข้าใจผิด
อย่างไรก็ตามในเรื่องการต่างประเทศเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เปราะบาง และหลายครั้งถูกลากโยงมาเป็นเครื่องมือการเมือง เพราะปลุกระดมแล้วจุดติดง่าย เช่น กรณีคดีปราสาทพระวิหาร ซึ่งเป็นการทำงานต่อเนื่องจากรัฐบาลชุดที่ผ่านมา ยืนยันไม่มีอะไรที่ไทยเสียประโยชน์และไม่กระทบกับความสัมพันธ์กับประเทศใดๆ ในภูมิภาคแน่นอน
เมื่อเจอแบบนี้ นายอภิสิทธิ์ จึงมีการอ้างว่าการใช้สนามบินอู่ตะเภาในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์จะเน้น2ด้านคือ
1.ภารกิจการช่วยเหลือด้านภัยพิบัติและมนุษยธรรม
2.เป็นความร่วมมือในระดับพหุภาคีและในแง่ของการร่วมมือทั้งในระดับภูมิภาค ซึ่งยังรวมไปถึงการพูดถึงสหประชาชาติและมิตรประเทศต่างๆ
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้เป็นเรื่องระหว่างสหรัฐกับไทย ซึ่งเหตุผลที่ขอใช้ในขณะนี้ต้องมีความชัดเจนว่า ใช้โดยใครและอย่างไร หากเป็นเรื่องของการตกลงทวิภาคีระหว่างไทยและสหรัฐก็ไม่ใช่แนวทางที่เคยวางไว้
ส่วนคำขอจากสหรัฐได้ส่งมาจริง ในช่วงที่มีการเลือกตั้ง ซึ่งรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้นยังไม่มีการพิจารณาแต่อย่างใด และก็ตามสไตล์คือเรียกร้องว่าเรื่องนี้ต้องโปร่งใสและต้องชี้แจง ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นคนไทยส่วนใหญ่ไม่เคยรู้เลยสักนิดว่ามีเรื่องนี้เกิดขึ้นในยุครัฐบาลประชาธิปัตย์
กับนายอภิสิทธิ์ยังพูดให้ล่อแหลมอีกว่าต้องให้มิตรประเทศของเราในภูมิภาค เช่น ประเทศจีนมีความเข้าใจ เพราะสหรัฐมียุทธศาสตร์ปิดล้อมประเทศจีน
พูดแบบนี้จีนอาจจะสบายใจ แต่สหรัฐอาจจะไม่สบายใจที่อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยอย่างนายอภิสิทธิ์พูดว่าสหรัฐมียุทธศาสตร์ปิดล้อมประเทศจีนก็เป็นได้
ซึ่งเมื่อต้องการความกระจ่าง เพราะคนไทยไม่รู้มาตลอดตั้งแต่รัฐบาลที่แล้ว นายธานี ทองภักดี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้แถลงในเรื่องนี้ว่า
1. การจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือทางมนุษยธรรมและบรรเทาภัยพิบัติระดับภูมิภาค (Humanitarian Assistance and Disaster Relief – HADR) ในประเทศไทย เป็นข้อริเริ่มของฝ่ายไทยในรัฐบาลสมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งได้เสนอในที่ประชุมสุดยอดอาเซียน - สหประชาชาติ ครั้งที่ 3 ในปี 2553 ด้วยเห็นว่าภูมิภาคประสบภัยพิบัติในหลายรูปแบบ และที่ผ่านมาหลายประเทศได้ใช้ประเทศไทยเป็นศูนย์กระจายความช่วยเหลือ
เนื่องจากประเทศไทยตั้งอยู่ในจุดศูนย์กลางของภูมิภาคอันเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ดี จึงเห็นว่าการจัดตั้ง HADR ที่ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภาจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยและภูมิภาค อย่างไรก็ดี โครงการดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการหารือ ซึ่งยังต้องมีการพิจารณาในมิติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดต่อไป
2. องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (National Aeronautic and Space Administration - NASA) ซึ่งเป็นองค์กรของพลเรือนได้ขอดำเนินโครงการศึกษาการก่อตัวของเมฆที่มีผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia Composition, Cloud, Climate Coupling Regional Study - SEAC4RS) ในประเทศไทย ซึ่งโครงการในลักษณะเดียวกันนี้ได้เคยดำเนินการแล้วในหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออก
เช่น เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ญี่ปุ่น และคอสตาริกา โดยจะใช้ท่าอากาศยานในประเทศเหล่านั้นทำการบินเพื่อเก็บตัวอย่างของอากาศในพื้นที่และสำรวจสภาพอากาศในพื้นที่ ซึ่งต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลของแต่ละประเทศ โดยโครงการดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ในการศึกษาผลกระทบของสภาพภูมิอากาศ ประโยชน์ในทางวิทยาศาสตร์ การพยากรณ์อากาศ ตลอดจนการบริหารจัดการสภาพภูมิอากาศและภัยธรรมชาติ
ที่ผ่านมากระทรวงการต่างประเทศได้จัดการประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย ทั้งหน่วยงานด้านความมั่นคง และด้านวิทยาศาสตร์ เพื่อร่วมกันพิจารณาข้อเสนอโครงการแล้ว ซึ่งโดยสรุปเห็นว่า โครงการนี้จะเป็นประโยชน์ในการช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ของไทย และช่วยพัฒนาขีดความสามารถในการพยากรณ์และป้องกันภัยพิบัติทางธรรมชาติ ทั้งนี้ หน่วยงานปฏิบัติหลักของไทยคือสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA)
สำหรับฝ่ายไทยที่จะได้เข้าไปมีส่วนร่วมในโครงการ อาทิ การตรวจอุปกรณ์ การทำการบิน ซึ่งจะมีทั้งนักวิชาการ และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย อาทิ สำนักฝนหลวง และการบินเกษตร เป็นต้น
อีกทั้งการใช้พื้นที่ท่าอากาศยานอู่ตะเภาจะต้องขออนุญาตทำการบินผ่านในพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีการบินสำรวจเหนือน่านน้ำสากลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่อยู่ภายใต้การควบคุมการบินของไทย สิงคโปร์ และกัมพูชา ซึ่งฝ่ายสหรัฐฯ ได้รับความยินยอมจากสิงคโปร์และกัมพูชา และได้แจ้งประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคแล้ว ซึ่งไม่มีประเทศใดคัดค้าน ด้วยเห็นว่าโครงการนี้เป็นประโยชน์ในเชิงวิชาการ และก่อประโยชน์ให้แก่ภูมิภาคโดยรวม
ก็เป็นเรื่องที่ชี้แจงออกมาชัดเจนแล้ว ส่วนเรื่องวีซ่านั้น พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต กล่าวว่า ข่าวที่ระบุว่ารัฐบาลไทยยอมให้สหรัฐเข้ามาเพื่อแลกเปลี่ยนกับวีซ่าของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีจริงๆ และไม่เกี่ยวกันเลย พ.ต.ท.ทักษิณสามารถเดินทางเข้าออกประเทศไหนก็ได้อยู่แล้ว แม้แต่ประเทศอังกฤษ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เข้าไปได้เลย ถือเป็นเรื่องเล็ก แต่หากจะขอแลกเปลี่ยนกันต้องขอมากกว่านี้
ทั้งนี้มีรายงานข่าวจากแหล่งข่าวความมั่นคงแจ้งว่า นาซาได้คัดเจ้าหน้าที่ วิศวกร และนักวิทยาศาสตร์ของนาซาที่มีเชื้อสายไทยร่วมคณะมาด้วย รวมทั้ง ดร.ก้องภพ อยู่เย็น วิศวกรไทยคนเดียวในนาซา เพื่อให้ไทยสบายใจขึ้นว่า นาซามาเพื่อสำรวจสภาพอากาศจริงๆ
ไม่ได้แอบส่งเครื่องบินหรือดาวเทียมจารกรรมมาสอดแนมจีน
งานนี้เป็นอีกกรณีที่ทำให้เห็นชัดว่า ที่ไทยมีปัญหากับประเทศต่างๆในรัฐบาลก่อนหน้า หรือที่มีการปลุกเร้ากระแสรักชาติเรื่องพื้นที่เขาพระวิหารจนหวิดเกิดเรื่อง และกระทั่งมาถึงเรื่องอู่ตะเภาในครั้งนี้
ก็น่าจะเป็นเพราะสไตล์หรือนิสัย แมลงสาป นั่นแหละที่ชอบก่อเหตุ
ที่มา.บางกอกทูเดย์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)