--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ปัญหาสินค้าราคาแพง รัฐบาลอย่าโทษคนอื่น !!?

นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้สั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งแก้ปัญหาสินค้าราคาแพง

ทั้งมาตรการจำหน่ายสินค้าราคาถูกและมาตรการเชิงนโยบาย โดยสั่งให้กระทรวงพาณิชย์หาทางคุมราคาสินค้าให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม นั่นหมายถึงราคาถูกกว่าปัจจุบัน แต่นายกรัฐมนตรีต้องไม่ลืมว่าปัญหาสินค้าราคาแพงนั้นไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น 1-2 วัน แต่เริ่มทยอยปรับขึ้นมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว จนกระทั่งประชาชนรู้สึกว่าปัจจุบันราคาสินค้าได้ปรับขึ้นแทบทุกประเภท

รัฐบาลจะปฏิเสธว่าราคาสินค้าไม่ได้ปรับสูงขึ้น แต่มีแนวโน้มลดลง อาจสวนทางกับความรู้สึกของประชาชนที่บริโภคสินค้าในชีวิตประจำวัน ซึ่งขณะนี้สินค้าหลายประเภททยอยปรับขึ้นในหลากหลายรูปแบบไปแล้ว อีกทั้งก่อนหน้านั้น ก็มีสัญญาณเตือนมาก่อนหน้านี้ว่าราคาสินค้าปรับสูงขึ้น แต่รัฐบาลเห็นว่าเป็นเพียงชั่วคราวจากผลกระทบจากน้ำท่วมเท่านั้น โดยหวังว่าในที่สุดราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จะปรับลง แต่แล้วสินค้าในท้องตลาดมีแต่จะปรับเพิ่มขึ้น

หากย้อนกลับไปดูนโยบายของรัฐบาลหลายอย่าง ก็จะเห็นว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำให้สินค้าปรับลดราคา เช่น รัฐบาลปรับเพิ่มเงินเดือนระดับปริญญาตรีเป็น 15,000 บาท ปรับขึ้นค่าแรง 7 จังหวัดวันละ 300 บาท รวมทั้งล่าสุดได้อนุมัติให้ค่าโดยสารรถสาธารณะปรับราคาขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าต้นทุนดำเนินชีวิตของประชาชนปรับเพิ่มขึ้น ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่แก้ไขได้ยากหากกระทรวงพาณิชย์จะแก้ปัญหาสินค้าราคาแพงโดยการขายของถูกหรือออกราคาแนะนำให้ประชาชนเลือกซื้อ

หากจำกันได้ กระทรวงพาณิชย์เคยดำเนินการข้าวแกงธงฟ้าและสินค้าธงฟ้า เพื่อเป็นทางเลือกในการจำหน่ายให้กับประชาชน แต่ก็ปรากฏว่าโครงการดังกล่าวได้ผลในวงแคบมาก เนื่องจากมีข้อจำกัด ไม่อาจเข้าถึงประชาชนอย่างทั่วถึง อีกทั้งร้านอาหารธงฟ้าของกระทรวงพาณิชย์ก็ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะเรื่องคุณภาพ ซึ่งการแก้ปัญหาของกระทรวงพาณิชย์ก็แสดงให้เห็นว่ายอมรับว่าราคาสินค้าแพงขึ้นจริง ดังนั้นจึงไม่เข้าใจเหตุผลว่าทำไมพยายามชี้แจงว่าสินค้าราคาถูกลง

เราต้องไม่ลืมว่าราคาในการดำรงชีวิตของประชาชนนั้น ไม่เพียงแค่ราคาอาหารเท่านั้น แต่ยังรวมถึงรายจ่ายอื่นมากมาย ทั้งค่าเดินทาง ค่าขนส่ง ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย ซึ่งก่อนหน้านั้นได้ปรับขึ้นไปอย่างมากในด้านราคา และอาจกล่าวได้ว่าราคาสินค้าในตลาดทั้งหมดพร้อมใจกันปรับราคาขึ้น ยกเว้นสินค้าตามฤดูกาลอาจปรับลดลงมาบ้าง แต่โดยรวมแล้วปรับขึ้นกันถ้วนหน้า ซึ่งก็เท่ากับว่าต้นทุนการดำเนินชีวิตทั้งหมดสูงขึ้น ดังนั้นความพยายามฝืนตลาดจึงเป็นเรื่องที่ยากมาก

หากติดตามสถานการณ์ราคาสินค้าและติดตามการแก้ปัญหาของรัฐมาตั้งแต่ต้นในช่วงต้นปีที่ผ่านมา หลังมีสัญญาณราคาสินค้าปรับขึ้น เราเห็นว่าราคาสินค้าและบริการที่ปรับขึ้นอย่างรุนแรงนั้นอาจมาจากความผิดพลาดของรัฐบาล กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือในขณะที่ประเทศขาดแคลนสินค้าอันเนื่องมาจากน้ำท่วม แต่รัฐบาลดำเนินนโยบายเพิ่มรายได้และต้นทุนให้สูงขึ้น กรณีของสินค้าที่ปรับขึ้นอย่างมากในตลาดอาจสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลมองปัญหาไม่ดีพอทั้งๆ ที่มีผู้รู้อยู่จำนวนมาก เช่นเดียวกับการแก้น้ำท่วมที่ผ่านมา ซึ่งการประเมินผิดพลาดเพียงครั้งเดียวอาจสร้างความเสียหายและยากจะแก้ไขได้โดยง่าย นอกจากยืนยันเสียงแข็งว่า "สินค้าราคาไม่แพง"

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

กินข้าวร้อนนอนห้องแอร์ !!?

กินข้าวร้อนนอนห้องแอร์
เสพสุขสำราญ อย่างอิ่มหนำ..แต่ทว่า “บริวาร” มีสภาพย่ำแย่
ว่ากันว่า “ท่านอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกรัฐมนตรีหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ..ไม่เอาใจเขา มาใส่ใจเราเสียเลย? ..กรณี“รถตำรวจนำขบวน”นั่นปะไร.. ปล่อยให้อยู่ตามยถากรรม
ไม่ควักกระเป๋า จ่ายเงินสักเก๊ ทั้งที่ขี่รถนำขบวน ตั้งแต่เช้ายันค่ำ
เพิ่งมาเปลี่ยนพฤติกรรม รู้จัก “ทิป” ให้เงินคนเป็น หลังใช้เขามานาน..อีตอนมาเป็น “ผู้นำฝ่ายค้าน” เริ่มรู้จักเปย์ ให้เงินทิปกับผู้น้อยกันบ้าง
ขี้เหนียวเหลือดี...ขี้เหนียวเช่นนี้...ทะเลยังต้องเรียกพี่กระมัง

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เป็นนักกลอนนอนเปล่าก็เศร้าใจ
ต้องยอมรับว่า “เนวิน ชิดชอบ” หัวหน้าประสาทสายฟ้า แห่งเมืองบุรีรัมย์ ถึงอย่างไร ก็ล้างมือในอ่างทองคำ ยังไม่ได้
เขาครือ, ผู้ที่ให้กำเนิด “คนเสื้อแดง”โดยดูแล และ เท็คแคร์ ส่งวิตามิน และอาหารเสริม
ข่าวว่าตอนนี้, “เดอะโอ่ง” ตีเกราะเรียกรวมพล แกนนำคนเสื้อแดง ให้มารวมตัวเหมือนเดิม
มีขาใหญ่ผู้นำ “แท็กซี่” นำแกนนำแดงตัวเบิ้ม ๆ กว่า ๒๐ ชีวิต หันมาจับมือกันเสร็จสรรพ
“เนวิน”พลิกตัว..น่าจับตาดูนะทูนหัว...ถ้าไม่ชัวร์ เขาไม่ออกหรอกขอรับ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สมบัติผลัดกันชม
เปิดหมวกต้อนรับ “คุณพี่วิสาร เตชะธีราวัฒน์” ผู้ยิ่งใหญ่เมืองเชียงราย ที่มีคนหนุนกันจม
ได้ไฟเขียว จาก “คุณเยาวภา วงศ์สวัสดิ์” และ “ยงยุทธ ติยะไพรัช” ให้พลาสชั้นก้าวขึ้นเป็น “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม”
เบียดวีซ่า เข้ามาแทนโควตา ของ “คุณพี่ปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข” ..นัยว่า “คุณพี่วิสาร” มีศักยภาพทุกด้านพร้อม
ฉะนั้น,การเข้ามากะดึบ กะเดิ๊ป เป็น “รัฐมนตรี” ของ “ท่านวิสาร” จึงมีแต่เสียงหนุน
เข้ามาเป็นรัฐมนตรีอย่ามัวจับจ้อง...รีบปั่นงานปั่นสมอง..อย่าให้เสียของเชียวนะคุณ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

โกหกเป็นไฟ
ถูกจับว่าเป็น “เด็กออกซ์ฟอร์ด์เลี้ยงแกะ” ก็ยังไม่อับไม่อาย
ยืนยันแล้วว่า “ผู้นำหัวหน้าแก๊งค์ไอสครีม” ชื่นชมโสมนัส ต่อการ “ปฏิวัติ ๑๙ กันยาฯ”ที่ผ่านมา
โดยประกาศให้ทั่วโลกทราบ ถ้าไม่มีปฏิวัติ ก็ไม่สามารถชนะ “ทักษิณ ชินวัตร”ได้..จึงอาศัยวงจรอุบาทว์นอกรัฐธรรมนูญ เข้ามาจัดการตามเข่นตามฆ่า
ชิชะ,อวดตัวว่าเป็น “นักประชาธิปไตย”..แต่สุดท้ายหางที่ม้วนเอาไว้ ก็โผล่ให้เห็นอันเนื่องจาก ไร้ซึ่งจุดยืน
ขอประณามคนไม่รับผิดชอบ...ที่หนุนทหารให้ออกมารับจ๊อบ..เพราะหลงในระบอบเผด็จการ จนถอนตัวไม่ขึ้น

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

มาตรฐานสูง
วางตัว ด้วยคุณภาพที่เปี่ยมล้น ..จนต้องให้เครดิตกันร้อยเปอร์เซ็นต์ สิคุณลุง
ทั้งนี้,ขอบอกว่า “ซุปเปอร์ไก่” คุณพี่จุติ ไกรฤกษ์ อดีตรัฐมนตรีไอซีที ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อยู่ในกรอบคนดี ชั้นหนึ่งประเภทหนึ่ง
เป็นนักการเมือง ที่มีบทบาทและบารมีถึง
ไม่พึ่งทำหน้าที่อันไม่ประสงค์ ให้ประชาชนทั้งประเทศให้เห็น...เป็นหนึ่งในพรรคประชาธิปัตย์ ที่ค้านอย่างสร้างสรรค์ และมีเหตุผล...ไม่ลุกขึ้นมาค้าน ให้เป็นที่รำคาญไงล่ะจ้า
ทำหน้าที่ตงฉิน..ไม่ตีร่วนหากิน...คนจึงไม่สิ้นศรัทธา

ที่มา:คอลัมน์ ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เสียงสะท้อน จากคนริมคลองแพะรับบาป น้ำท่วมกรุง !!?

พลันที่กระแสข่าวกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เตรียมดำเนินการตามนโยบาย ป้องกันน้ำท่วมของรัฐบาล ด้วยการเสนอจัดที่อยู่อาศัยใหม่ให้กลุ่มชุมชนที่อยู่อาศัยริมคลองในโครงการบ้านเอื้ออาทรทั้งแนวราบและแนวดิ่ง บน พื้นที่ใกล้เคียงบริเวณที่อยู่เดิม โดยเริ่มต้นในพื้นที่ 5 คลองหลักอย่าง คลองเปรมประชากร คลองบางบัว คลองลาดพร้าว คลองแสนแสบ และคลองมหาสวัสดิ์ ประหนึ่งโยนความผิดตอกย้ำว่าคนริมคลองคือ แพะรับบาปเหตุการณ์น้ำท่วมกรุงครั้งใหญ่

เรื่องของการยกชุมชนริมคลองขึ้นไปอยู่บนแฟลตไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด เป็นเรื่องที่มีการพูดคุยกันมาอย่างยาวนาน แต่เอาเข้าจริงหลายหน่วยงานก็แบ่งรับแบ่งสู้ไม่กล้ายื่นมือออกมารับลูกสักเท่าไหร่ เพราะอย่าลืมว่าปัญหาที่ตามมาหลังจากการไล่รื้อชุมชนริมคลองแล้วก็คือปัญหาเรื่องที่ทำกิน เมื่อไม่มีที่ทำกินพวกเขาเหล่าชาวคลองก็คงจะย้อนลงมาอยู่ยังหลักแหล่งที่เดิมอีกครั้ง

“สยามธุรกิจ” ในฉบับนี้ได้ลงพื้นที่ จับเข่าคุยกับผู้นำชุมชน และชาวบ้านในพื้นที่ 3 คลองได้แก่ คลองลาดพร้าว คลองเปรมประชากร และคลองบางบัว ซึ่งเป็น 3 ใน 5 คลองหลักของเส้นทางระบายน้ำตามนโยบายการป้องกันน้ำท่วมของรัฐบาล แน่นอนว่าความคิดเห็นจากชาวริมคลองเหล่านี้ น่าจะเป็นตัวแปรให้ผู้ใหญ่ ผู้บริหารหลายคนได้ตระหนักในสิ่งที่กำลังจะทำอยู่ โดยมีคุณภาพชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นเป็นเดิมพัน

“การออกมาให้ข่าวบางข่าวของผู้ใหญ่ในหน่วยงานรัฐทำให้ชาวบ้านแตกตื่น แต่หากรัฐจะทำโครงการนี้อย่างจริงจังเป็นรูปธรรมก็สามารถทำได้ แต่จะต้องคำนึงถึงการมีที่ทำมาหากินของชาวบ้าน ต้องลงมาสำรวจพื้นที่ ดูความเป็นอยู่ของชาวบ้าน การจัดสรรที่อยู่อาศัยใหม่ให้จะต้องเพียงพอต่อความต้องการของแต่ละครอบครัว เพราะที่นี่มีประชากรว่า 3 พันคน กว่า 300 ครัวเรือน ต้องทำประชาพิจารณ์หากชาวบ้านพอใจ ถ้าเขาจะให้รื้อก็จำเป็นต้องรื้อ ถ้ารัฐจะให้ย้ายก็ต้องมีสถานที่ที่เหมาะสม การคมนาคมสะดวก มีแหล่งทำมาหากินที่ดีเราก็พร้อมจะไป แต่คำถามก็คือรัฐจริงจังแค่ไหนกับนโยบายนี้ “นี่คือเสียงสะท้อนจากจำรัส กลิ่นอุบล กรรมการชุมชนลาดพร้าว 45 ริมคลองลาดพร้าว

ขณะที่ชาวคลองลาดพร้าวพร้อมที่จะไป หากมีที่อยู่ใหม่ดีกว่าแต่ชาวชุมชนตลาดหลักสี่ ริมคลองเปรมประชากรก็พร้อมที่จะอยู่และต่อต้านกับการกระทำของรัฐ โดย ชูศักดิ์ เรือนราน หรือ “ผู้ใหญ่ตั๋ง” ประธานชุมชนตลาดหลักสี่ คลองเปรมประชากรที่ยืนยันด้วยเสียงหนักแน่น ว่าการจะย้ายชุมชนริมคลองขึ้นไปอยู่บนแฟลตมันเป็นไปไม่ได้ หรือหากจะให้ย้ายก็จะขอต่อสู้ ลองดูกันสักยก

“ลุงเป็นคนดั้งเดิม อยู่ริมคลองแห่งนี้มาชั่วชีวิตกว่า 60 ปี ชุมชนแหล่งนี้มันมีประวัติศาสตร์กว่า 3 ชั่วอายุคนแล้ว ตั้งแต่สมัยสงครามโลก บ้านลุงก็อยู่ตรงนี้ คนเก่าก็รู้ดีและเคารพในกฎกติกาอยู่ แต่พอเมืองมันขยายขึ้น ชาวบ้านจากที่อื่นก็เข้ามาจับจองพื้นที่สร้างที่อยู่อาศัย คนมาใหม่นี่แหละที่รุกล้ำที่ริมคลองลงไป จึงกลายเป็นคนดั้งเดิมปะปนอาศัยอยู่กับคนมาใหม่ จนตอนนี้มีกว่า 100 ครัวเรือน แบ่งเป็นสัดส่วนคือคนดั้งเดิม 40% และคนที่ย้ายเข้ามาอยู่ใหม่กว่า 60% จนมีคน อาศัยอยู่กัน 400-500 คน คนดั้งเดิมก็ยังอยากจะยึดที่นี่เป็นเรือนตาย คงไม่ย้ายไปไหน แต่บางทีอาจจะดีเหมือนกันถ้ารัฐเอาจริงเอาจัง ชาวบ้านก็ยอม มันจะได้ล้างบางกลุ่มนายทุนออกไปเสียที”

เมื่อมีการเอ่ยถึง “กลุ่มนายทุน” ใน บริบทสุดท้าย จึงได้รับรู้ข้อมูลที่น่าสนใจอีกแง่มุมหนึ่งว่าพื้นที่ริมคลองเปรมประชากร คือแหล่งผลประโยชน์มหาศาลของกลุ่มนายทุน ซึ่ง “ผู้ใหญ่ตั๋ง” ขยายความให้ฟังว่า จำนวนตัวเลข 60% ของผู้ที่เข้ามา อยู่ใหม่คือกลุ่มที่อาศัยอยู่ในบ้านเช่าที่มีราคาตั้งแต่ 1-3 พันบาทต่อหลัง หรือแม้ แต่ร้านค้าร้านอาหารริมคลอง ในซ.แจ้ง วัฒนะ 5 ที่มีราคาค่าเซ้งพื้นที่ 1-2 แสนบาท ล้วนมีผลประโยชน์ของกลุ่มนายทุนทั้งสิ้น ทำให้พื้นที่นี้มันเป็นสุญญากาศระหว่างชุมชนชาวบ้านดั้งเดิมและพื้นที่ที่มีนายทุนยึดครอง

จึงเป็นที่มาของคำถามว่าหน่วยงานของรัฐรับรู้หรือมีส่วนรู้เห็นหรือไม่ว่า เคยลงมาสำรวจและแก้ไขหรือไม่ อย่างไรก็ตามชาวชุมชนตลาดหลักสี่ยอมรับได้ หากจะมีการจัดระเบียบบ้านเรือนอยู่ในที่เหมาะที่ควร เพื่อไม่ให้รุกล้ำริมคลอง สุดท้าย “ผู้ใหญ่ตั๋ง” กล่าวฝากไว้ว่า “คนริมคลองเป็นคนสุจริต จะมาหาว่าเราเป็นผู้บุกรุกได้อย่างไร ในเมื่อเราทำกินบนผืนดิน นี้มาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย เปรียบเทียบกับตอนที่รัฐเวนคืนที่ดินเราไปเป็นร้อยๆ ไร่ ทำไมไม่ถามความเห็นเราบ้าง ว่าเราจะอยู่อย่างไร รัฐไม่ได้มองถึงความจริงตรงนั้น”

แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับพื้นที่ชุมชน คลองบางบัว เชิงสะพานไม้ 1 ที่นี่ชาวชุมชน ได้เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ดังกล่าวมากว่า 7 ปีแล้ว ด้วยทราบดีว่าแรกเริ่มการก่อตั้งสมัยพ่อแม่ คือการบุกรุกพื้นที่ราชพัสดุ เมื่อรู้ว่าผิด พวกเขาจึงทำให้ถูกต้อง โดยการทำสัญญาเช่าพื้นที่ที่มีลายลักษณ์อักษรกับกรมธนารักษ์ เพื่อประกันว่าพวกเขาจะมีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งอย่างแน่นอนต่อไปในอนาคตอย่างน้อยก็อีก 30 ปี

นอกจากการเช่าที่ดินโดยมีการออกโฉนดที่ดินอย่างถูกต้องแล้ว ชุมชนแห่งนี้ยังได้เข้าร่วม “โครงการบ้านมั่นคง” ซึ่งเป็นโครงการที่จัดขึ้นโดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน เพื่อการปล่อยกู้เงินเพื่อการ สร้างบ้านในชุมชนแออัด

“โครงการนี้ถือเป็นโครงการที่เกิดขึ้นจากการพูดคุยกันภายในชุมชน ซึ่งส่วนใหญ่ เป็นคนจนและผู้มีรายได้น้อย ที่ไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง เมื่อมาอยู่อาศัยแล้วก็มีการปลูกบ้านตามอำเภอใจ ไม่เป็นระเบียบ ก่อให้เกิดสภาพของชุมชนแออัด ประกอบกับการเกิดเพลิงไหม้ขึ้นในชุมชน เมื่อทางสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนเสนอ ตัวเข้ามาทำโครงการบ้านมั่นคง เราก็เลยเปิดเวทีชาวบ้าน สำรวจความคิดเห็นและตอบรับที่จะเข้าร่วมโครงการโดยในระยะแรก มีชาวบ้านร่วมโครงการประมาณ 19 ราย ต่อมาก็เพิ่มขึ้นเป็น 73 ราย และน่าจะมีจำนวน 108 ครัวเรือน บนพื้นที่กว่า 4 ไร่ โดยการออกแบบผังชุมชนของนักศึกษา ม.ศรี ปทุม เป็นลักษณะบ้าน 2 ชั้นมีพื้นที่กว้าง 5 และยาว 9 เมตร ซึ่งคาดว่าโครงการ จะแล้วเสร็จสมบูรณ์ในปี 2556” พ.ท. สมชาย จินต์ประยูร ประธานชุมชนบางบัว เชิงสะพานไม้ 1 ผู้ซึ่งมีบทบาทในฐานะพ่องานบอกกล่าว

ชุมชนแห่งนี้ถือเป็นแบบอย่างของชุมชนริมคลองที่ต้องการมีบ้านที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งอย่างแท้จริง พร้อมๆ กับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวชุมชนควบคู่กันไปด้วย ซึ่งนอกจากการสร้างบ้านแล้ว พ.ท.สมชาย และ ชาวชุมชนยังได้วางโครงการระบบสาธารณูปโภคของชุมชนเองอีกด้วย อาทิ การก่อสร้างถนนริมคลองความกว้าง 3 ม.เพื่อการคมนาคม การก่อสร้างลานกีฬา และพื้นที่รองรับการสร้างเขื่อนทำนบกั้นริมคลอง การทำบ่อบำบัดน้ำเสียและท่อระบายน้ำ ตั้งกลุ่มชมรมเพื่อการฝึกอาชีพ รวมทั้งการจัดกิจกรรมชุมชนสัมพันธ์ระหว่างคนในชุมชน เพื่อสร้างความรักความสามัคคีของคนในชุมชนเดียวกัน

“ไม่ใช่เราทำบ้านแล้วจะได้บ้านเพียงอย่างเดียว มันจะต้องได้ความรู้สึกที่ดี จะต้องได้คุณภาพชีวิตที่ดีของคนในชุมชน ต่อไปในอนาคตเราอาจจะสร้างชุมชนแห่งนี้ในกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวทำเป็นตลาดน้ำขึ้นมา เพราะที่นี่ถือว่าเป็นชุมชนริมคลองที่เป็นรอยต่อของ 3 เขตใน กทม. คือเขตลาดพร้าว เขตบางเขน และเขตหลักสี่”

ดังนั้น ความคิดเห็นของ พ.ท. สมชาย จึงแตกต่างจากแนวคิดของผู้ใหญ่ในหน่วยงานรัฐบาล ถึงการจะจับยกเอาคนริมคลองไปอยู่บนแฟลต บนอาคารชุด ที่รัฐกำลังจะทำโดยไม่ถาม ถึงความรู้สึกของพวกเขาคนริมคลอง ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยมีชีวิตผูกพันกับสายน้ำ แต่กำลังจะถูกตราบาปว่าเป็นต้นเหตุหนึ่งของมหาอุทกภัยน้ำท่วมกรุง

ที่มา.สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ก่อนจะถึงวัน !!?

เมื่อถึงเวลาหนึ่ง...ทุกๆ ปัญหาก็จะพบทางออกของมันเอง...ปัญหาการเมืองของประเทศไทย...กำลังจะเดินไปถึงเวลาเวลาหนึ่ง...
เมื่อถึงเวลานั้น...จะมีแต่เหตุการณ์ที่เป็นผู้นำทาง มนุษย์จะเป็นเพียงอุปกรณ์ประกอบเหตุการณ์...จนกว่าปัญหานั้นมันจะจบตัวของมันเอง

ความพยายามของมนุษย์จำนวนหนึ่งที่คิดว่า...จะมีวิธีการที่จะนำความเป็นปรกติสุขกลับมาสู่การเมืองไทย...คิดถึงวิธีการหลากหลายที่จะนำมาใช้...และชื่นชมเหลือหลายว่าคิดถูกทำถูก
แต่พวกเขาลืมไปว่า...ตราบเท่าที่การต่อสู้ยังไม่ไปไม่ถึงชนะกับแพ้...หรือผู้แพ้ยังคิดว่าไม่แพ้...คำว่าปรองดองจะไม่มีวันเกิดขึ้น

ด้วยเหตุผลดังว่า...โลกจึงเต็มไปด้วยเรื่องราวแสนโง่ของผู้มีอำนาจล้นฟ้ายามที่ต้องมาพบกับหายนะที่ไกลเกินคาด อาทิเช่น...

ถ้า เฟอร์ดินัล มาร์คอส…ไม่ลั่นกระสุนสังหารใส่ อาควิโน...และยอมเข้าสู่การเลือกตั้ง...ชนะเขาก็คือผู้ปกครองผู้ยิ่งใหญ่...ถ้าแพ้เขาก็คือผู้มีอิทธิพลสูงสุดในฟิลิปปินส์

ถ้า...พลเอก สุจินดา คราประยูร...ลงสมัครเข้ารับการเลือกตั้ง เป็นผู้แทนราษฏร์และเป็นนายกรัฐมนตรี...ประเทศไทยก็จะไม่มีพฤษภาทมิฬ...และตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของเขาก็จะยาวนานกว่า 1 เดือน

ถ้า ซัดดัม แห่งอิรัค...ไม่วู่วามและเชื่อมั่นจนเกินตน...ยอมรับอิทธิพลของสหรัฐอเมริกาและพบปะเจรจากับประธานาธิบดีของชาติจ้าวโลก...วันนี้อิรัคก็ยังเป็นของเขา

ถ้า เหมาเจ๋อตุง...ยกพลขึ้นบกทำลายประเทศไต้หวัน...เขาอาจจะต้องแพ้สงครามใหญ่...เมื่อฝรั่งผิวขาวรวมพลกันบุกแผ่นดินใหญ่...

ประเทศไทยวันนี้...คำว่าปรองดองที่มันเกิดขึ้นยากเย็นหนักหนานั้น...เพราะมันยังไม่ถึงเวลา...แพ้ชนะยังก้ำกึ่ง...ฝ่ายแพ้ยังฝันถึงความปราชัยของฝ่ายชนะ
สงครามยังจะต้องดำเนินต่อไปจนกว่า...ประวัติศาสตร์บัญญัติไว้เช่นนั้น

โดย:พญาไม้ทูเดย์,บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ลุ้นเลือกตั้งนายกเทศมนตรี. แดงตัวจริงเชียงราย VS ผู้สมัครที่พท.กับแดง นปช.หนุน !!?


รายงานจากสะท้อนจากเว็บไซต์ประชาทอลค์โดยคุณเสือมืดตั้งกระทู้ว่า "พรรคเพื่อไทย กับแดงเชียงราย ครานี้ต้องมาประดาบกันแล้วเป็นที่แรกของประเทศไทย!!!" โดยเป็นข้อมูลในการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเทศบาลจังหวัดเชียงราย ในวันที่ 5 พฤษภาคม ที่จะถึงนี้

คุณเสือมืดกล่าวว่า

"ตั้งแต่ผมติดตามข่าวการเมืองท้องถิ่นมาหลายอาทิตย์ ทั้งในเว็บและข้อมูลท้องถิ่น

ผมพอสรุปได้ว่า นี่คือการต่อสู้กันระหว่าง เสื้อแดงพันธุ์แท้และพรรคเพื่อไทยอย่างแท้จริง

อย่างแรก การชิงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเทศบาลนครเชียงราย มีคนลงชิง ๔ คน คือ
หมายเลข ๑ นายวันชัย จงสุทธนามณี
หมายเลข ๒ นายวิทยา ตันติภูวนารถ
หมายเลข ๓ นายสมพงษ์ กูลวงศ์
หมายเลข ๔ จำชื่อไม่ได้

หมายเลข ๑ นายวันชัย ค่ายภูมิใจไทยส่งเข้าประกวด
หมายเลข ๒ นายวิทยา คนเสื้อแดง ส่งเข้าประกวด
หมายเลข ๓ นายสมพงษ์ สส.๗คนของเชียงรายส่งเข้าประกวด

หมายเลข ๑ ไม่มีข้อพิพาทในเรื่องนี้ เพราะเป็นลูกครอกของไอ้ยี๊ห้อย
หมายเลข ๒ เฮียเป็ดวิทยา แดงแท้แน่นอน ผมมีหลักฐานมาประกอบ (ดูด้านล่าง)
หมายเลข ๓ ผมไม่ทราบว่า ส.ส.ทั้ง ๗ คนของเชียงราย ไปฟังยาหอมอะไรถึงได้ให้มีแผ่นป้ายโฆษณาสมพงษ์ชัดเจนขนาดนี้?"


ด้านคุณ Nirvana สมาชิกเว็บ ก็ได้แสดงข้อมูลเพิ่มเติม และพิสูจน์ได้ว่าเบอร์ 2 เป็นคนเสื้อแดงอุดมการณ์จริง เพราะได้ต่อสู้มาตั้งแต่มีการทำรัฐประหาร 49 โดยมีข้อมูลดังนี้

          นอกจากนี้คุณ bearart ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า
"คุณสมพงษ์ได้เป็นนายกเทศมนตรีนครเชียงรายเพราะวันชัยถูกจับแพ้ฟาวล์ (ก่อนหน้าที่สมพงษ์จะได้เป็นนายกฯ วันชัยเป็นมา 2 สมัย) ความจริงคุณสมพงษ์เมื่อทราบว่าคุณวิทยาจะลงสมัคร น่าจะหลีกทางให้กับคุณวิทยาแข่งกันกับวันชัย (ใต้เงาภูมิใจห้อย) แบบตัวต่อตัว เพื่อคะแนนของฝ่ายประชาธิปไตยจะได้ไม่แตก ถ้าคุณวิทยาเข้าวิน มันเหมือนกับคนเสื้อแดงได้ตบหน้าเพื่อไทยเป็นการสั่งสอนการชิงตำแหน่งนายกเทศมนตรีนครเชียงรายจึงเปรียบเสมือนการชกมวยในยกแรก การชิงตำแหน่งนายกอบจ. จะเป็นการชกในยกที่ 2 – 5 รัตนา (ภูมิใจห้อย) vs สลักจิตร (เพื่อไทย) vs สฤษฏ์ (เสื้อแดง) ถ้ายกแรกฝ่ายเสื้อแดงชนะ เชื่อได้เลยว่ายกที่ 2 – 5 ภูมิใจห้อยและเพื่อไทยต้องหนาวสั่นจนเป็นไข้แน่"

        
 ล่าสุดคุณเสือมืดที่อยู่ในพื้นที่ได้รายงานว่า
       " ข่าวล่ามาเร็ว เบอร์3 เอารถปักธงแดงพริ้วไสวทั้งคัน พา"ก่อแก้ว พิกุลทอง"แห่ไปรอบๆเมือง   
        เชียงราย

....แม่ง..ไอ้พวกนี้ก็หน้าด้านกันเหลือเกินว่ะ! รู้อยู่แก่ใจว่าพวกมึงไม่ใช่คนเสื้อแดงแต่ก็ยังพยายามจั๊งที่จะให้ประชาชนเข้าใจผิด ไอ้พวกนี้ยังไม่เท่าไหร่ พวก นปช.สิ ทำไมบ้าจี้มากะพวกมันด้วย?

พวกมึงตาบอดหูหนวกกันหรือไง ไม่รู้เลยหรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับเสื้อแดงในพื้นที่? ทำไมไม่วางตัวเป็นกลาง? ยย.หรือสามารถโทรมาขอ ก็ปฎิเสธได้นี่หว่า ก็รู้ๆกันอยู่ว่าใครเป็นใคร ขึ้นเวทีด้วยกันเห็นๆหน้ากันอยู่ ไอ้พวกที่มึงไปขึ้นรถแห่กะเค้าน่ะ ดมยังไงก็ไม่ได้กลิ่นแดง

แถมไม่พอ ได้ข่าวว่านัดวุด-จตุพร แอบมาเชียงรายเงียบๆเรียบร้อยแล้ว ไม่รู้ข่าวจริงหรือข่าวลวง แล้วเบอร์3 นายสมพงษ์ไปตั้งเวทีแล้วที่ตลาดนำสวัสดิ์หรือตลาด 4 แยกแม่กรณ์ อะไรสักอย่างเนี่ย ถ้าตั้งจริง คืนนี้ก็คงขึ้นเวที...เอา เอากันให้พอ...จะไม่ให้เหลืออะไรไว้ชื่นชมเลยใช่มั๊ย?" "มีข่าวล่าจากเวทีที่เบอร์3 ...คนไปฟังร้อยกว่าคน! จตุพรขึ้นพูดแล้วและลงไปแล้ว...เป็นไงล่ะ คนร้อยกว่าคน? ขายหน้าเค้าตายห่ะ จัดทั้งทีมีคนไปร้อยกว่าคน เสียหมามั๊ยพี่?"

ปิดท้ายด้วยความเห็นของคุณ bearart
"แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า แกนนำเสื้อแดงหลักในกรุงเทพฯจะยอมให้พรรคเพื่อไทยจูงจมูก พวกคุณไม่รู้เลยหรือว่าผู้สมัครนายกเทศมนตรีคนใดเป็นเสื้อแดงด้วยอุดมการณ์ คนใดเคยต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย

ถ้าคนที่เพื่อไทยสนับสนุนมีความสามารถดีพอพวกเราก็คงรับได้ แต่ความสามารถก็หาไม่พบ แถมยังมาชี้หน้าด่าคนที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยว่าเป็นแดงปลอมอีก ทั้งๆทีตัวเองไม่เคยร่วมต่อสู้กับชาวเชียงรายเลยแม้แต่ครั้งเดียว

แต่แปลก สส ทั้งเจ็ดกลับสนับสนุนคนที่ไม่เคยต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเลยหรือเพียงเพราะว่าเป็นคนของสามารถและยงยุทธสนับสนุน นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าแกนนำ นปช.กลาง ที่เป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย จะมาช่วยหาเสียงให้กับคนที่ไม่เคยต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเลย

หลังการรัฐประหาร 19 กันยาฯ 49 ส.ส. เชียงรายทั้งเจ็ดคนไม่มีใครกล้าออกมาต่อต้าน คมช.แม้แต่คนเดียว หลบลงรูเลยหรือไง แต่เฮียเป็ด (เบอร์ 2) เป็นแค่ประชาชนธรรมดาคนหนึ่ง กล้าเปิดตัวออกมาต่อต้าน คมช.พร้อมๆกับ นปก.ที่กรุงเทพฯ แล้วท่าน ส.ส.เชียงรายทั้งหลายไม่มีความรักและหวงแหนประชาธิปไตยกันบ้างหรือครับ หรือว่าความรักและความหวงแหน ในประชาธิปไตยมันเป็นสิ่งที่ใร้ค่าสำหรับส.ส.อย่างพวกท่าน ถ้าเสื้อแดงไม่แข็งแกร่งจนเอาชนะรัฐบาลประชาธิปัตย์ได้ ถามจริงๆว่าคุณสมพงษ์ ( เบอร์ 3 ) จะกล้าออกมาหาเสียงในนามคนเสื้อแดงหรือเปล่า"
        ที่มา. ไทยอีนิวส์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

สื่อมวลชนต่างชาติเต็มศาลอาญา เกาะติดคดี ผอ.เว็บดังหมิ่น..!!?

สถานทูตหลายแห่ง องค์กรและสื่อมวลชนต่างชาติ เฝ้าติดตามการตัดสินคดีผู้อำนวยการเว็บไซต์ประชาไทหมิ่นสถาบันเบื้องสูง จากกรณีมีคนเข้ามาโพสต์ข้อความในเว็บ ขณะที่ศาลเลื่อนตัดสินเป็นวันที่ 30 มี.ค. เพราะยังเขียนคำพิพากษาไม่เสร็จ ทนายระบุคดีนี้จะเป็นบรรทัดฐานต่อไป หากผิดจะเกิดการปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นตามมาอีกมาก

วันที่ 30 เม.ย. 2555 ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาคดี น.ส.จีรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการเว็บไซต์ประชาไท กระทำผิดพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 และ 15

คำฟ้องสรุปว่า ระหว่างวันที่ 15 เม.ย.-3 พ.ย. 2551 เวลากลางคืนติดต่อกันวันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยซึ่งเป็นผู้ให้บริการเว็บไซต์ประชาไท โดยเป็นผู้ดูแล (Web master) ได้จงใจสนับสนุนหรือยินยอมให้มีการดำเนินการนำข้อความเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งอยู่ในความควบคุม อันเป็นข้อมูลมีเนื้อหาเป็นการดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์

อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเวลานัด ศาลได้เลื่อนอ่านคำพิพากษาออกไปเป็นวันที่ 30 พ.ค. นี้ เวลา 10.00 น. เนื่องจากคดีนี้มีเอกสารจำนวนมากที่ต้องพิจารณา ยังเขียนคำพิพากษาไม่เสร็จสิ้น

ทีมตัวตัวแทนจากหน่วยงานต่างๆ และผู้สื่อข่าวต่างประเทศให้ความสนใจมาทำข่าวและสังเกตการณ์การตัดสินคดีเป็นจำนวนมาก ทั้งตัวแทนจากสมาชิกสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย และตัวแทนสถานทูตต่างๆ เช่น สวิตเซอร์แลนด์ ฟินแลนด์ สวีเดน อังกฤษ สหรัฐอเมริกา องค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน Reporters Without Borders (RSF), Freedom House, Human Right Watch, Google, The International Commission of Jurists (ICJ), Front Line Defenders, Amnesty International Thailand (AI), Malaysiakini, SEACAM , Bytes for All (ปากีสถาน), ilaw, FACT, เครือข่ายพลเมืองเน็ต และเครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน เป็นต้น

ขณะที่ Asian Correspondent เว็บไซต์ข่าวออนไลน์ ได้เตรียมรายงานสดผ่านบล็อก http://asiancorrespondent.com/81457/live-blog-chiranuch-verdict/ โดยก่อนที่ศาลจะแถลงเลื่อนการอ่านคำพิพากษา Asian Correspondent ตั้งข้อสังเกตว่า อย่างน้อยวันนี้เราจะได้รู้ในระดับหนึ่งว่าตอนนี้รัฐไทยปกครองด้วยระบอบอะไร และมีจุดยืนอย่างไรต่อประเด็นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

นายธีรพันธุ์ พันธุ์คีรี ทนายจำเลย ระบุว่า คดีนี้ไม่ได้สำคัญเฉพาะกับจำเลยเท่านั้น แต่สำคัญสำหรับผู้ให้บริการรายอื่นๆด้วย ในแง่การเป็นบรรทัดฐานต่อไปสำหรับ “ตัวกลาง” ว่าจะต้องมีภาระรับผิดชอบขนาดไหน การเอาผิดกับผู้ให้บริการจะสร้างภาระที่ทำให้ผู้บริการต้องตั้งเงื่อนไขจำนวนมากกับผู้ใช้บริการหรือผู้โพสต์ความเห็น จะเกิดการปิดกั้นการแสดงความคิดเห็น และจะทำให้ผู้ใช้บริการหันไปใช้พื้นที่ของเว็บไซต์หรือเว็บบอร์ดที่มีเซิร์ฟเวอร์อยู่ต่างประเทศ ซึ่งสุดท้ายก็จะทำให้มาตรการทางกฎหมายไม่บรรลุวัตถุประสงค์

นายธีรพันธุ์กล่าวว่า ในต่างประเทศจะใช้ระบบการแจ้งเตือนจากเจ้าหน้าที่รัฐมายังผู้ให้บริการ และมีกำหนดระยะเวลาในการแก้ไข จัดการ อย่างชัดเจน

ด้าน น.ส.จีรนุชกล่าวว่า ศาลคงต้องการอ่านเอกสารต่างๆอย่างละเอียดก่อนตัดสิน จึงเลื่อนการพิพากษาออกไป

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้

**********************************************************************

เพื่อไทยใส่เกียร์ถอย ปลดล็อค บ้านเลขที่ 109

"คณะยุทธศาสตร์พท."สั่งถอยปลดล็อคบ้านเลขที่ 109 ออกจากพ.ร.บ.ปรองดอง แถมปล่อยฝ่ายค้านลากยาวถกแก้รธน.จนพอใจ ด้านส.ส.หน้าบานรับเงินเดือนอื้อ

ในการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทย ที่ประชุมได้มีการหารือถึงการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 2 ในระหว่างวันที่ 1 - 3 พ.ค. โดยที่ประชุมได้เสนอว่า การประชุมร่วมรัฐสภาในสัปดาห์นี้พรรคควรที่จะตอบโต้ฝ่ายค้านบ้างได้แล้วหลังจากที่ก่อนหน้านี้พรรคใช้ยุทธศาสตร์ให้ส.ส.อดทนมาโดยตลอด

ส่วนกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์อาจจะยื้อเวลาออกไปอีกนั้นที่ประชุมมองว่า หากฝ่ายค้านอยากจะยื้อเวลาก็ให้ยื้อไป จะลากยาวออกไปจากนี้อีก 2 - 3 สัปดาห์พรรคก็ยังรับได้ ไม่เป็นปัญหา นอกจากนี้ ที่ประชุมยังหารือกันถึงการออกพ.ร.บ.ปรองดองด้วยว่า เดิมที่มีการเสนอให้มีการปลดล็อคบ้านเลขที่ 109 ไว้ในพ.ร.บ.ปรองดองด้วยนั้น แต่ล่าสุดกระแสสังคมมีการวิพากษ์วิจารณ์กรณีดังกล่าวเนอย่างมาก ดังนั้นที่ประชุมจึงมองว่า ควรที่จะรอดำเนินการในเรื่องดังกล่าวไปพร้อมกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเลยจะดีกว่า

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมส.ส.พรรคเพื่อไทยวันนี้(30 เม.ย.)ใช้เวลาการประชุมเพียงไม่นาน เนื่องจากอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย อดีตกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน และส.ส.พรรคเพื่อไทย มีกำหนดการที่จะต้องเดินทางไปร่วมแข่งขันฟุตบอลกระชับมิตร อย่างไรก็ตาม ส.ส.ที่เดินทางมายังพรรคเพื่อไทยวันนี้ซึ่งเป็นวันเงินเดือนของพรรคออกนั้น ส.ส.ของพรรคจึงได้รับเงินคนละ 1.5 แสนบาท แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการลงพื้นที่ 5 หมื่นบาท และเงินเดือน 1 แสนบาท

นายประวัฒน์ อุตโมท ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และน้องชายนางพนิตา กำภู ณ อยุธยา อดีตปลัดกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า นางพนิตาได้ทำความเข้าใจกับนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จนเป็นที่เข้าใจกันดีแล้วว่า คงต้องรอผลการสอบสวนของคณะกรรมการชุดของนายธงทอง จันทรางศุ ที่จะเรียกสอบในช่วง 1 - 2 วันนี้ก่อน ซึ่งคาดหวังว่าคณะกรรมการชุดดังกล่าวจะคืนความชอบธรรมให้กับนางพนิตา ทั้งนี้ กระแสข่าวที่ว่ามีการเคลียร์ใจกับนายสันติแล้วนั้น ยืนยันว่ายังไม่มีการเคลียร์ใจหรือพูดคุยกัน เพราะเรื่องการคืนความชอบธรรม หรือการคืนตำแหน่งนั้นเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ในพรรคที่จะกรุณา

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2555

สอบเส้นทาง. จริยธรรมอล่างฉ่าง !!?

กระแสข่าวฉาวยังไม่ตก..ยิ่งคาวคนยิ่งชอบไม่เว้นแม้แต่ในวงการการเมือง อย่างกรณีที่มีภาพล่อแหลมขึ้นฉายอล่างฉ่างกลางการประชุมรัฐสภา สร้างความฮือฮาให้กับบรรดาสมาชิกรัฐสภาที่อยู่ในห้องประชุม

จนต้องเร่งควานหาต้นตอกันจ้าละหวั่น กระทั่งมีภาพนายณัฏฐ์ บรรทัดฐาน ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ นั่งดูภาพวาบหวิวกลางห้องประชุมสภาจนต้องมานั่งถกกันว่าฝีมือพี่แกจริงหรือ..แม้จะใช่หรือไม่ใช่ในด้านของจริยธรรมการทำหน้าที่ของนักการเมืองก็ต้องมาตรวจสอบกันดูอีกทีว่า เหมาะสมหรือเปล่า

ล่าสุดนายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย จ.นครพนม ในฐานะประธานกรรมาธิการกิจการสภาผู้แทนราษฎร ได้เชิญนายณัฏฐ์ บรรทัดฐาน ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ มาชี้แจงต่อกรรมาธิการแล้วโดยวางกรอบให้นายณัฏฐ์ ชี้แจงหลักฐานต่างๆ ที่มี เพื่อแสดงว่าได้กระทำไปจริงหรือไม่ อย่างไร

งานนี้จะว่าเรื่องใหญ่ก็ใหญ่..จะว่าเรื่องเล็กก็มองได้ว่า คงไม่มีเจตนาตามที่นายณัฏฐ์ ได้เคยชี้แจงแถลงไขมาแล้ว แต่ที่แน่ๆ เมื่อมีช่องทางแบบนี้ไม่ว่าใครก็คงอยู่เฉยไม่ได้ ตามวิสัยนักการเมือง แน่นอนว่า สารพัดขุนพลเพื่อไทยย่อมไม่ยอมพลาดโอกาสนี้เป็นแน่แท้

ร.ท.หญิงสุณิสา เลิศภควัต หรือหมวดเจี๊ยบคนสวย ในฐานะรองโฆษกพรรคเพื่อไทยออกบริภาษด้วยศักดิ์ศรีลูกผู้หญิงว่า

“ขอไว้อาลัย แด่ ความไร้บรรทัดฐานทางจริยธรรมของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ทำได้แค่ โยนเรื่อง ส.ส.ของพรรคตัวเองดูภาพโป๊ในสภาฯ ให้สภาฯ เป็นผู้ตรวจสอบ การกระทำดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า นายอภิสิทธิ์ ทำได้แค่ปล่อย ให้คนลืมๆ เรื่องนี้ไปเอง และไม่ได้เดือดร้อนกับเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งๆ ที่สังคมมองว่า นี่เป็นเรื่องใหญ่ โดยโพลระบุว่า กรณีดังกล่าวส่งผล ให้ประชาชนร้อยละ 83.4 เสื่อมศรัทธาต่อรัฐสภา และประชาชน ร้อยละ 35.5 เรียกร้องให้ ส.ส. ประชาธิปัตย์ ลาออก เพื่อแสดง ความรับผิดชอบ แต่นายอภิสิทธิ์ กลับไม่เห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่ ทั้ง ยังประกาศว่าพรรคประชาธิปัตย์จะไม่ตั้งกรรมการตรวจสอบ ข้อเท็จจริง แต่จะปล่อยให้เป็นเรื่องของสภาฯ เท่านั้น ซึ่งเป็นการโยนกลองไปให้คนอื่น และเป็นการปัดความรับผิดชอบ”

พร้อมกะเทาะสนิมความจำอดีตนายกฯ ว่า ลืมกฎเหล็กที่ตนเองเคยตั้งไว้อย่างสวยหรูว่า “ความรับผิดชอบทางการเมือง สำคัญกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมาย”

พร้อมย้ำว่า นายณัฏฐ์ บรรทัดฐาน เพื่อสร้างบรรทัดฐานที่ดีด้านจริยธรรมให้กับสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ให้สมกับที่สร้าง ภาพมาตลอดว่ามีจริยธรรมเหนือกว่า มีชาติตระกูลสูงกว่า และมีการศึกษาดีกว่าผู้อื่น

ด้านพรรคประชาธิปัตย์เองก็พร้อมออกมาตีกำแพงตั้งโล่รับหอกเพื่อไทยอย่างเหนียวแน่น โดยในมุมของน.พ.วรงค์ เดชวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาป้องว่า นายณัฏฐ์ เองได้ออกมาแสดงความเป็นลูกผู้ชายแล้วโดยการออกมา อธิบายในเรื่องดังกล่าวแล้วและมีการลบภาพดังกล่าวที่อยู่ในเฟซบุ๊ก โปรไฟล์พิกเจอร์ ออกไปจากโทรศัพท์มือถือหมดแล้ว ซึ่ง ช่วงที่นายณัฏฐ์เปิดคลิปดังกล่าวนั้นอยู่ในช่วงเวลาประมาณ 18.00 น.แต่ภาพที่เกิดขึ้นใน สภาเกิดขึ้นเวลา 15.00 น. ดังนั้น มันเป็นความ บกพร่องของระบบการที่พรรคเพื่อไทยคนหนึ่งพยายามเชื่อมโยงภาพที่นายณัฏฐ์ดูกับภาพที่ปรากฏบนจอสภา ซึ่งทางสภาก็กำลังดำเนินการสอบอยู่ ผู้เชี่ยวชาญหลายคนก็ระบุว่าอาจเป็นความบกพร่องในการสับสวิตช์ของเจ้าหน้าที่ ซึ่งมันเป็นคนละเรื่องกัน ตนถือว่า พรรคเพื่อไทยกำลังบิดเบือนต่อ นายณัฏฐ์อย่างมหาศาล จนคนถูกอาจกลายเป็นคนผิด ดังนั้น สองเรื่องนี้จึงไม่มีความเกี่ยวข้องกัน เป็นความจงใจบิดเบือนของพรรคเพื่อไทย

ส่วนในประเด็นของการซิ้งภาพฉาวขึ้นจอมอนิเตอร์ก็ได้มีผู้ทรงภูมิเฉพาะด้านออกมาไขข้อข้องใจกันมากมายอย่าง ในรายการ “แบไต๋ไฮเทค” ของคุณหนุ่ย พงศ์สุข ซึ่งเป็นรายการที่นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับเทคโนโลยีได้ทำการทดสอบระบบโดยจำลองให้คล้ายคลึงกับความเป็นไปได้ที่อาจเกิดในห้องประชุมรัฐสภาซึ่งข้อสันนิษฐานของรายการได้ทดสอบว่า เป็นไปได้ว่าผู้ที่อยู่ในละแวกห้องประชุมอาจใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนทำการเปิดดูรูป ภาพดังกล่าว แล้วกดแชร์ภาพผ่านระบบที่มีการเซ็ตไว้ที่จอของเครื่องโทรทัศน์ในห้องประชุมแบบไวไฟ ซึ่งโทรทัศน์รุ่นที่ใช้ในห้อง ประชุมทางรายการระบุว่า ได้ติดตั้งระบบรองรับการแชร์ภาพจากสมาร์ทโฟน โน้ตบุ๊ก ไอแพด รวมทั้งจากการสอบถามบริษัทดังกล่าวได้ระบุว่า ได้จำหน่ายโทรทัศน์รุ่นนี้ให้กับทางรัฐสภาด้วย

อีกด้านหนึ่งดร.ปริญญา หอมเอนก เลขานุการสมาคมความมั่นคงและความปลอดภัยสารสนเทศ ให้ความเห็นว่า กรณีการนำภาพโป๊ยิงขึ้นบนจอทีวีของรัฐสภาไทยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนั้น เป็นการใช้งานเทคโนโลยี DLNA (Digital Living Network Alliance) ซึ่งสามารถใช้งานได้ร่วมกับแท็บเล็ตหรือโทรศัพท์มือถือภายในเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเดียวกัน เช่นการเปิดดูวิดีโอ จากอุปกรณ์แท็บเล็ตหรือมือถือสมาร์ทโฟน ให้เปิดบนโทรทัศน์ที่รับสัญญาณ WIFI ทั้งแบบ Built-in หรือแบบ Dongle โดยการ ใช้แอพพลิเคชั่นหรือโปรแกรมที่เกี่ยวกับระบบ DLNA เช่น iMediashare ก็จะสามารถส่งไฟล์เข้าทีวีได้ทันที

ดร.ปริญญา ยืนยันว่า ไม่ใช่เพียงแค่ระบบ Andriod เท่านั้น ที่สามารถแชร์ภาพเข้าทีวีได้ แต่ยังสามารถใช้งานได้กับเครื่องตระกูล IOS หรือ iPad และ iPhone ได้อีกด้วย จากการดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นที่เกี่ยวข้องกับ DLNA ก็ใช้งานได้ทันที แตกต่าง เพียงแค่วิธีการหรือรูปแบบของการใช้งานเท่านั้น

ส่วนกรณีการตรวจสอบผู้ส่งภาพอนาจารขึ้นไปบนจอทีวีภายในรัฐสภาระหว่างการประชุมสภานั้น ดร.ปริญญา เห็นว่า ควร ตรวจสอบตัว Dongle หรือตัวรับสัญญาณ WIFI ว่ามีระยะรับได้ไกลแค่ไหนตั้งแต่ 10-100 เมตร เพราะอาจเป็นผู้ไม่หวังดีที่อยู่ ด้านนอกก็ได้

ในด้านกระแสสังคมที่สะท้อนออกมากับกรณีดังกล่าว โดย เฉพาะคนในพื้นที่ที่เป็นฐานเสียงของนายณัฏฐ์ บรรทัดฐาน เองกลับมองเรื่องดังกล่าวไม่ดีนักโดยกลุ่มสตรีและเยาวชนเขตบางกะปิ ประมาณ 20 คนเข้ายื่นหนังสือถึงนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา เพื่อขอให้สอบสวนจริยธรรม คุณธรรมของนายณัฏฐ์ โดยอ้างว่า พฤติกรรมดังกล่าวทำให้ผู้หญิงและเด็กเกิดความอับอายเพราะนายณัฏฐ์เป็นตัวแทนของชาวบางกะปิ แต่กลับมีภาพดังกล่าว เผยแพร่ออกต่อสาธารณชนจึงขอให้ประธานรัฐสภาตรวจสอบว่าการกระทำของนายณัฏฐ์ทำผิดคุณธรรมจริยธรรมหรือไม่ ถ้ามีผลออกมาอย่างไร ให้แถลงข่าวชี้แจง เพื่อให้ประชาชนรับทราบด้วย

แต่เรื่องดังกล่าวต้องผ่านการสอบสวนหาความจริง และนั่นคงไม่พ้นผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการทำหน้าที่ตรวจสอบจริยธรรมนักการเมือง หากผลการพิจารณา มีความเหมาะสม ทางผู้ตรวจการแผ่นดินก็จะดำเนินการตาม ความเห็นดังกล่าว แต่หากผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นต่าง จะใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 280 เรียกให้มีการไต่สวนสาธารณะ เพิ่มเติม เพื่อเสนอเป็นแนวทางหนึ่งได้

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2555

Cabinet Watch: รัฐบาลอนุมัติงบสนับสนุนโครงการ SMEs 7,325 ล้านบาท !!?

ผลการประชุมของคณะรัฐมนตรี นำโดย นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ วันที่ 24 เมษายน 2555 มีมติที่น่าสนใจด้านเศรษฐกิจ ประเด็นที่ ๑๒ ว่าด้วยเรื่อง มาตรการเพิ่มขีดความสามารถ SMEs คณะรัฐมนตรีเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ดังนี้
  1. เห็นชอบมาตรการเพิ่มขีดความสามารถ SMEs
  2. อนุมัติให้จัดสรรงบประมาณที่ต้องใช้ในการสนับสนุนโครงการเป็นวงเงินไม่เกิน 7,325 ล้านบาท และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเบิกจ่ายตามจริง โดยให้ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณในรายละเอียดต่อไป
  3. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา รวม 3 ฉบับ ดังนี้ (3.1) ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….(3.2) ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….(3.3) ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอว่า ได้จัดทำมาตรการทางการเงินและมาตรการภาษีเพื่อแก้ไขปัญหาและอุปสรรคในการประกอบธุรกิจของ SMEs ใน 3 ด้าน ได้แก่
  1. การยกระดับผลิตภาพการผลิต (Productivity)
  2. การสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และ
  3. การลดภาระต้นทุนจากค่าแรงที่เพิ่มขึ้น สรุปได้ดังนีั

ภาพจาก ไทยรัฐ

1. มาตรการทางการเงิน ประกอบด้วย

1.1 โครงการสินเชื่อเพื่อพัฒนาผลิตภาพการผลิต (Productivity Improvement Loan) โดย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ประกอบด้วยสินเชื่อ 2 ประเภท คือ
  • สินเชื่อเพื่อพัฒนาเครื่องจักรและสินเชื่อเพื่อพัฒนากระบวนการทำงาน โดยมีวงเงินโครงการ 20,000 ล้านบาท ระยะเวลาโครงการ 2 ปี นับจากวันที่มติคณะรัฐมนตรี
  • และงบประมาณที่ใช้ในการสนับสนุนไม่เกิน 1,805 ล้านบาท
1.2 โครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 4 (PGS ระยะที่ 4) ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)
  • โดยมีวงเงินค้ำประกันรวม 24,000 ล้านบาท โดย บสย. จ่ายอัตราค่าประกันชดเชยให้กับสถาบันการเงินสูงสุดไม่เกินร้อยละ 18 ของภาระค้ำประกันเฉลี่ยตลอดระยะเวลาโครงการ 5 ปี
  • และรัฐบาลชดเชยส่วนต่างค่าประกันชดเชยตามจริงแต่ไม่เกิน 2,220 ล้านบาท
1.3 โครงการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme สำหรับผู้ประกอบการใหม่ (PGS New/Start-up) ของ บสย. สำหรับ SMEs ที่มีอายุกิจกรรมไม่เกิน 2 ปี มีวงเงินค้ำประกันรวม 10,000 บาท โดย บสย. จ่ายอัตราค่าประกันชดเชย (Coverage ratio) ให้กับสถาบันการเงินในอัตราสูงสุดไม่เกินร้อยละ 48 ของภาระค้ำประกันเฉลี่ยตลอดระยะเวลาโครงการ 7 ปี และงบประมาณที่ใช้ในการสนับสนุนรวม 3,300 ล้านบาท
1.4 กองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน ให้ SMEs
  • กู้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.1 ต่อปี
  • วงเงินกู้ยืมสูงสุด 42,000 บาท
  • ระยะเวลาชำระคืน 4 ปี ขึ้นอยู่กับระยะเวลาการฝึกอบรม ทั้งนี้ ปัจจุบันมีเงินกองทุนอยู่ 570 ล้านบาท และคณะกรรมการกองทุนฯ มีมติเห็นชอบรายละเอียดการกู้ยืมดังกล่าว
1.5 โครงการสินเชื่อส่งเสริมการจ้างงาน (กองทุนประกันสังคม) ให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ โดยอาศัยแหล่งเงินทุนจากกองทุนประกันสังคมให้แก่ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากค่าแรงที่เพิ่มขึ้นเพื่อเป็นเงินทุนในการเสริมสภาพคล่องหรือเพิ่มผลิตภาพการผลิต มีวงเงินรวม 10,000 ล้านบาท และคณะกรรมการประกันสังคมได้มีมติเห็นชอบรายละเอียดการกู้ยืมแล้ว
มาตรการตามข้อ 1.1 – 1.3 มีงบประมาณที่ต้องใช้ในการสนับสนุนทั้งสิ้นไม่เกิน 7,325 ล้านบาท ส่วนมาตรการตามข้อ 1.4 – 1.5 ไม่ต้องใช้งบประมาณในการสนับสนุน ทั้งนี้ มาตรการทั้ง 5 มาตรการดังกล่าวจะก่อให้เกิดการสร้างสินเชื่อให้กับ SMEs เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 86,000 ล้านบาท และคาดว่าจะมี SMEs ที่ได้รับประโยชน์กว่า 28,000 ราย

2. มาตรการภาษี

โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับ SMEs ซึ่งเป็นนิติบุคคลที่มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท และรายได้จากการขายสินค้าและบริการไม่เกิน 30 ล้านบาทต่อปี ประกอบด้วยมาตรการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต มาตรการหักค่าเสื่อมเครื่องจักร และมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเพื่อยกเว้นรัษฎากรและหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน รวม 3 ฉบับ
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
  • 1. ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกินห้าล้านบาทและมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการไม่เกินสามสิบล้านบาทต่อปี ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการขายทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตสินค้าให้บริการรับจ้างผลิตสินค้าเพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่ทดแทน ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2555
  • 2. ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. กำหนดเงื่อนไขและอัตราการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตสินค้าหรือให้บริการรับจ้างผลิตสินค้าให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกินห้าล้านบาทและมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการไม่เกินสามสิบล้านบาทต่อปี ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธิ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2555
  • 3. ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. กำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้เป็นจำนวนร้อยละห้าสิบของรายจ่ายที่ได้มีการจ่ายเป็นค่าจ้างเฉพาะส่วนต่างของค่าจ้างที่ได้มีการจ่ายเพิ่มขึ้นจากอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในปัจจุบันตามที่กำหนดในแต่ละเขตจังหวัดกับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่เป็นเงินวันละสามร้อยบาท ให้แก่บุคคลธรรมดาที่มีเงินได้พึงประเมิน ซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากรและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกินห้าล้านบาทและมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการไม่เกินสามสิบล้านบาทต่อปี ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2555 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2555

ที่มา.Siam Intelligence Unit
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันเสาร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2555

ปฏิกิริยาสังคมต่อกรณี นายกฯ เข้ารดน้ำดำหัว พล.อ.เปรม !!?


ปฏิกิริยาของแต่ละบุคคล และกระแสสังคมต่อกรณี 'ยิ่งลักษณ์' เข้ารดน้ำขอพร'พล.อ.เปรม' เนื่องในโอกาสปีใหม่ไทย

กระแสสังคมและบุคคลต่างๆที่มีความเห็นหลากหลายต่อการเตรียมคณะรัฐมนตรีเข้าพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เพื่อขอพรในโอกาสปีใหม่ไทย โดยมีความเห็นหลากหลายอย่างต่อเนื่อง

โดยนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐมนตรีที่จะเข้าในครั้งนี้จะเป็นในส่วนของรองนายกรัฐมนตรีเท่านั้น เพื่อเป็นการขอพรเนื่องในโอกาสปีใหม่ไทย และพล.อ.เปรม ถือเป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่ให้ความเคารพ ขออย่าโยงเป็นประเด็นทางการเมือง ซึ่งการเข้าพบในครั้งนี้ไม่ได้มีการหารือข้อราชการ หรือ เรื่องการเมือง และพร้อมที่จะรับคำแนะนำจากท่าน

พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รองนายกรัฐมนตรีที่จะเดินทางไปพร้อมนายกรัฐมนตรี จะประกอบด้วย นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง และตน ส่วนร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุงและนายชุมพล ศิลปอาชา ติดภารกิจ โดยจะเดินทางไปที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ในเวลา 14.00 น.

ทั้งนี้การที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นำคณะเข้าพบ พล.อ.เปรม จะทำให้ประชาชนสบายใจ และท่าที่ตรวจสอบปฏิกิริยาจากผู้นำเหล่าทัพ ตั้งแต่ระดับผบ.ส.ส.จนถึงผบ.เหล่าทัพ อย่างผบ.ทบ.ก็คุยกับตนตอนเดินทางลงภาคใต้ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าการที่นายกฯเข้ารดน้ำดำหัวพล.อ.เปรมเป็นเรื่องดี การแสดงความเคารพผู้ใหญ่เป็นภาพที่ดี เหล่าทัพไม่มีปัญหาอะไร

ส่วนกรณีที่คนเสื้อแดงบางส่วนแสดงความไม่เห็นด้วย พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า คงมีบางส่วน แต่อยากให้คนเหล่านั้นมองภาพรวมของประเทศ ในการสร้างความปรองดอง เพราะหากบ้านเมืองเรายังแตกแยก จะสูญเสียความสามารถในการพัฒนา ส่วนฝ่ายอื่นที่ยังไม่เห็นด้วยก็คงต้องมีการทำความเข้าใจต่อไป

ด้านผู้นำฝ่ายค้าน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กล่าวว่า การที่ครม.จะรดน้ำขอพรผู้ใหญ่ในโอกาสสงกรานต์เป็นสิ่งที่ทำได้ไม่เกี่ยวข้องกับความปรองดอง เป็นการแสดงความเคารพ เพราะถ้าอยากแสดงความปรองดองต้องให้แกนนำเสื้อแดงไปขอขมา พล.อ.เปรมมากกว่า เช่น นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตร นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ก็ไปขอขมาได้ว่าสิ่งที่เคยกล่าวหา พล.อ.เปรม เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง จึงจะเรียกว่าปรองดอง

แต่ถ้าเป็น ครม.เข้ารดน้ำดำหัวเป็นเรื่องของการทำตามประเพณี ถ้านายณัฐวุฒิเข้าไปและขอขมาในสิ่งที่เคยล่วงเกินก็จะได้เห็นว่าปรองดองจริงหรือไม่ แต่ถ้านายณัฐวุฒิไม่ไปก็จะยิ่งชัดเข้าไปใหญ่ว่า ในเมื่อ ครม.ว่างหมดแล้ว ทำไมนายณัฐวุฒิจะไม่ว่างอยู่คนเดียว สิ่งเหล่านี้จะสะท้อนข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไร

ด้านผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เชื่อไม่มีนัยยะทางการเมืองที่ นายกรัฐมนตีจะนำคณะรัฐมนตรี เข้ารดน้ำขอพร พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี โดยไม่มี 2 แกนนำนปช.ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กับ จตุพร พรหมพันธุ์ เข้าร่วมด้วย

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนคิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไร เพราะเป็นเรื่องดีที่ผู้ใหญ่ได้พบกัน แต่ใครจะรู้สึกอะไรก็ขอให้นึกถึงประเทศชาติในระยะยาว และความรู้สึกที่ดีต่อกันถือเป็นเรื่องดี ทั้งนี้ การทำให้คนจำนวนมากมีความเห็นเหมือนกันหมดนั้นคงเป็นไปไม่ได้

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึงกรณีนี้ว่า "ทั้งผู้น้อยผู้ใหญ่ควรจะหันหน้าไปในทิศทางเดียวกันเพื่ออนาคตของประเทศ ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ใครจะขอขมาใคร ประเด็นมันอยู่ที่ต้องเห็นว่าประเทศไทยต้องเห็นร่วมกันว่าเราจะจมปลักอยู่ กับความขัดแย้งไม่ได้"

พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีนี้ว่า การที่นายกฯไป ท่านคิดไตร่ตรองแล้วและในยามสถานการณ์บ้านเมืองอย่างนี้ท่านก็มีหน้าที่ทำทุกอย่าง ส่วนตนได้นำทหารไปรดน้ำ พล.อ.เปรม ด้วยความเคารพในตัวท่าน เพราะท่านเป็นรัฐบุรุษคนหนึ่ง ยามนี้อะไรที่ทำได้และเป็นสิ่งที่ดีก็ต้องทำ ถ้ากลัวคนค้านก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ส่วนจะมีการไปทำความเข้าใจหรือไม่นั้น เราต้องดูว่า คนไหนที่เราจะอธิบายได้และเขาเข้าใจก็อธิบายไป แต่บางคนอธิบายให้ตายก็ไม่รู้เรื่อง ก็ตัดทิ้งไป เราก็รู้ว่าใครเป็นใคร ก็ดูเอา

ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค​เพื่อ​ไทย เผยว่า ทางพรรค​เพื่อ​ไทย ​ได้รับ​โทรศัพท์ว่า ประชาชนรู้สึกสบายที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ​และ ครม. ​ได้​เข้าพบ​ผู้​ใหญ่อย่าง พล.อ.​เปรม ​ทำ​ให้ประชาชนรู้สึกว่าบ้าน​เมืองกำลังมุ่ง​ไปสู่​ความปรองดองสมานฉันท์ ​และจะ​ทำ​ให้รัฐบาลมี​การประสานงานกับ​ผู้​ใหญ่ องค์กรต่างๆ ​ทำ​ให้ประชาชน​เกิด​ความ​เชื่อมั่น​ในรัฐบาลมากขึ้น ​ซึ่งถือ​เป็นนิมิตหมายที่ดี

อย่างไรก็ตามกระแสส่วนมากจากโลกออนไลน์อย่างเฟสบุ๊คต่างเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกันตามความเห็นชอบของแต่ละบุคคล อย่างเช่นหนึ่งความเห็นจากเฟสบุ๊คที่มองว่า "การกลับกรอกของคำพูดบางคนที่อ้างอยากเห็นความปรองดอง แต่ธาตุแท้กลับไม่อยากปรองดอง ที่ทำเพื่อหวังช่วยใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น"

กระแสสังคมออนไลน์ส่วนมากยังติดใจกับคำพูดในอดีตของบางท่านที่เคยพูดไม่ดีถึง พล.อ.เปรม เมื่อครั้งปราศรัยบนเวที ทำให้เชื่อว่าการเข้าพบขอพร พล.อ.เปรม ครั้งนี้มีนัยยะซ่อนเร้นทางการเมืองมากกว่าหวังการปรองดองเพื่อชาติ

โดยส่วนมากมีเสียงวิจารณ์จากกลุ่มคนเสื้อแดงที่แสดงความไม่เห็นด้วยต่อเรื่องนี้อย่างเด่นชัด

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2555

นิติราษฎร์ค้านนิรโทษกรรม

“วรเจตน์” ออกแถลงการณ์ในนามคณะนิติราษฎร์ : นิติศาสตร์เพื่อราษฎร แสดงจุดยืนคัดค้านการออกกฎหมายนิรโทษกรรมยกโทษให้คนสั่งการยันระดับปฏิบัติที่ทำให้มีคนบาดเจ็บล้มตายในทุกเหตุการณ์การเมืองตั้งแต่หลังวันที่ 19 ก.ย. 2549 ส่วนผู้ชุมนุมหากผิดแค่ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กฎหมายความมั่นคงให้ยกโทษ เว้นผู้ทำผิดกฎหมายอื่นต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามปรกติ แนะแก้รัฐธรรมนูญเพิ่มหมวดว่าด้วยการขจัดความขัดแย้ง เปิดทางตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาครบวงจร ทั้งฐานความผิดและการเยียวยา

+++++++++++++

คณะนิติราษฎร์ : นิติศาสตร์เพื่อราษฎร โดย ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ แสดงจุดยืนต่อสถานการณ์การเมืองปัจจุบันผ่านเว็บไซต์ http://www.enlightened-jurists.com 4 ข้อประกอบด้วย 1.ยืนยันว่าประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เมื่อส่งรายชื่อเสนอแก้ไขแล้วเป็นหน้าที่ของสภาที่ต้องพิจารณา

2.ไม่เห็นด้วยกับการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ทุกคนทุกฝ่าย โดยอ้างเรื่องความปรองดองสมานฉันท์ เพราะนอกจากจะทำให้ประชาชนพ้นผิดแล้วจะมีผลให้ผู้สั่งการและปฏิบัติการสลายการชุมนุมพ้นจากความผิดไปพร้อมกันด้วย ถือว่าไม่เป็นธรรมต่อผู้ที่สูญเสียในเหตุการณ์สลายการชุมนุม

3.การตรากฎหมายเพื่อขจัดความขัดแย้งจะต้องพิจารณาแยกแยะลักษณะการกระทำของบุคคลที่เกี่ยวข้อง และจัดวางโครงสร้างของกฎหมายโดยมีสาระสำคัญหลักคือ ต้องไม่นิรโทษกรรมให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์การชุมนุม ตลอดจนการสลายการชุมนุมทุกเหตุการณ์ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ย. 2549 เป็นต้นมา ไม่ว่าจะเป็นผู้สั่งการหรือผู้ปฏิบัติ หากการกระทำนั้นเป็นความผิดต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

ให้นิรโทษกรรมทันทีกับประชาชนที่มีความผิดตามกฎหมายฉุกเฉินต่างๆ และกฎหมายความมั่นคงที่ประกาศใช้ในช่วงที่มีการชุมนุมในที่ต่างๆ หากความผิดนั้นเป็นความผิดลหุโทษ

สำหรับผู้ทำผิดตามกฎหมายอาญาหรือกฎหมายอื่น และไม่ใช่ความผิดลหุโทษ หรือความผิดที่อัตราโทษไม่เกินกว่าที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในหมวดที่ว่าด้วยการขจัดความขัดแย้ง ตลอดจนการกระทำความผิดของบุคคลที่แม้ไม่ได้เข้าร่วมเดินขบวนและชุมนุมประท้วงทางการเมือง แต่มีข้อสงสัยว่ามีมูลเหตุเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมืองหลังวันที่ 19 ก.ย. 2549 ให้นำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการขจัดความขัดแย้ง ซึ่งได้รับการจัดตั้งขึ้นตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในหมวดที่ว่าด้วยการขจัดความขัดแย้ง ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการดังกล่าวจะดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่ถูกกล่าวหาไม่ได้ และให้ปล่อยตัวผู้ถูกกล่าวหาก่อน

กรณีที่คณะกรรมการขจัดความขัดแย้งวินิจฉัยว่าการกระทำใดไม่อยู่ในบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญว่าด้วยการขจัดความขัดแย้ง การกระทำไม่ได้เกิดจากแรงจูงใจทางการเมือง ให้ดำเนินการกับบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป ส่วนผู้ที่คณะกรรมการชี้ว่าการกระทำนั้นเกิดขึ้นจากแรงจูงใจทางการเมือง ให้บุคคลนั้นพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง แต่ต้องไม่ขัดกับพันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิก

การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งตามแนวทางที่นิติราษฎร์เสนอนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแก้ไขเพิ่มรัฐธรรมนูญโดยเพิ่มบทบัญญัติว่าด้วยการขจัดความขัดแย้งเป็นอีกหมวดหนึ่ง เพื่อกำหนดหลัก เกณฑ์ต่างๆ ซึ่งสามารถทำได้ทันทีไม่ต้องรอกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่

4.กรณีลบล้างผลพวงรัฐประหารเสนอให้มีบัญญัติอีกหมวดหนึ่งในรัฐธรรมนูญฉบับที่จะจัดทำขึ้นใหม่ โดยต้องประกาศให้การนิรโทษกรรมการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 เป็นโมฆะ เพื่อเปิดทางให้บุคคลที่มีส่วนร่วมในการทำรัฐประหาร ไม่ว่าจะเป็นผู้กระทำการ ผู้ใช้ ตลอดจนผู้สนับ สนุน เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ส่วนคดีซึ่งเกิดขึ้นจากการเริ่มกระบวนการโดยคณะกรรมการตรวจ สอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากคณะรัฐ ประหาร ก็ให้ลบล้างให้สิ้นผลไป ซึ่งไม่ได้หมายถึงการนิรโทษกรรม แต่ให้เริ่มกระบวนการพิจารณาคดีใหม่ให้ถูกต้องเป็นธรรม

ในเดือน มิ.ย. นี้นิติราษฎร์จะจัดกิจกรรมทางวิชาการที่เกี่ยวเนื่องกับการลบล้างผลพวงรัฐประหาร การขจัดความขัดแย้งในสังคมไทย และวิเคราะห์วิจารณ์ข้อเสนอเกี่ยวกับการปรองดองของบุคคลและสถาบันต่างๆ เพื่อให้การเคลื่อนไหวทางความคิดเกี่ยวกับประชาธิปไตยและนิติรัฐดำเนินไปในวงกว้างยิ่งขึ้น นิติราษฎร์จะจัดให้มีการเผยแพร่ แลกเปลี่ยนความรู้ทางกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายมหาชน ให้แก่ประชาชนทั่วไป รายละเอียดในเรื่องเหล่านี้จะแถลงให้ทราบต่อไป

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2555

ปลดชนวน ปรองดอง ของ คนไกลบ้าน !!?

เมื่อถึงช่วงปิดเบรกกันยาวๆในช่วงเวลาแห่งความชุ่มฉ่ำ “มหาสงกรานต์ปีมังกรไฟ” การเมืองไทยก็ขยับไปสู่ “โหมดพักรบชั่วคราว!” แต่กระนั้นอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ก็ยังออกมาปลุกปั่นกระแส..จับจองพื้นที่การเมืองไปเกือบทั้งหมด แถมมีการแย่งซีนสงกรานต์! ผ่านอีเวนต์ใหญ่ “ทักษิณ..ออนทัวร์” มีการทำพิธีสืบชะตา สะเดาะเคราะห์ และบายศรีสู่ขวัญ ที่นครหลวงเวียงจันทน์-ลาว ก่อนที่ “คนแดนไกล” จะย้ายวิกไปเสียมราฐ-กัมพูชา เพื่อปรากฎตัวบนเวทีไฮด์ปาร์ค “เสื้อแดง” เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี

ทั้งสองอีเวนต์การเมือง ได้มีอดีตคนไทยรักไทย และ “ม้าใช้” จากค่ายเพื่อไทย ตลอดจนชาวคณะ “เสื้อแดง” อีกเรือนหมื่น ที่ข้ามฟากไปสาดน้ำ เล่นสงกรานต์ และแห่ไปรดน้ำดำหัว “คนไกลบ้าน”

ตลอดช่วงเวลาบนแผ่นดินเพื่อนบ้าน “ทักษิณ” ก็ทำให้ “กองเชียร์” เคลิบเคลิ้มไปกับการแสดง “วิชั่น!” ในการเดินหน้า “ขับเคลื่อนประเทศไทย” ให้ก้าวสู่แนวหน้าในกลุ่มอาเซียน หรือรับการก้าวไปสู่ “ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” ในอีก 2 ปีข้างหน้า

แถมยังมีรายการขยับลูกคอโดยอดีตนายกฯ ขวัญใจคนจน! ที่มาโชว์น้ำเสียงด้วยเพลง “Let it Be” ของวง “เดอะบีตเทิลส์” หรือ “สี่เต่าทอง” ซึ่งแน่นอนว่า..ทำนองขับขานดังกล่าว ถูกตีความ ได้ว่า..เป็นการประชด หรือแดกดันพวกคัดค้าน “ปรองดอง” ที่พลพรรค “คนรักแม้ว” กำลังขับเคลื่อนกันอยู่!

เหมือนเป็นการส่งสัญญาณข้ามไปยังฝั่งไทย ทำให้สังคมกำลังเฝ้าดูว่า...มีนัยสำคัญทางการเมืองหรือไม่ เพราะอีกความหมายหนึ่งของ Let it Be ก็คือ การเดินหน้าต่อไป โดย “ก้าวข้าม” หรือ “ทิ้ง” ปัญหาบางประการที่อยู่นอกเหนือการจัดการไว้เบื้องหลัง

ยิ่งเมื่ออยู่ท่ามกลาง “กองเชียร์เสื้อแดง” ก็คงไม่น่าแปลกที่ “ทักษิณ” จะรู้สึกฮึกเหิม! จนปล่อย “วาทกรรม” ที่ซ่อนความต้องการเบื้องลึกออกมาจนหมดเปลือก!

ไม่ว่าจะเป็น “สงกรานต์ปีนี้ก็มีนิมิตหมายอันดีที่เราจะมีความสุขด้วยกันสักที 3-4 เดือน ข้างหน้าผมกลับมาแน่!” หรือ..“ปีนี้เป็นปีที่ดีของคนไทย มีอะไรหลายอย่างที่บอกเหตุว่าผมจะได้กลับไปอยู่กับพี่น้อง” และปิดท้ายก่อนเดินทางออกจากกัมพูชา ได้มีการระบุว่า “อยากจะกลับเมืองไทยแล้ว...แต่ถ้าจะกลับต้องให้ทุกอย่าง ดีและลงตัวกว่านี้”

สิ่งที่ย้ำแล้วย้ำอีกจาก “ทักษิณ ชินวัตร” นั่นคือโอกาสกลับสู่ “แผ่นดินเกิด” ชักนำ “กระแส” ให้ไปเล่นในทาง “สนับสนุน” หรือกระทั่ง “ต่อต้าน” ขณะที่ “เกมแก้รัฐธรรมนูญ” และการทำคลอด พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ ซึ่งเป็นวาระหลักของรัฐสภา ทุกอย่างล้วนเข้าทางเกมการเมืองพะยี่ห้อ “ทักษิณ” ไปแล้ว

แนวโน้มของ “หมากตราดูไบ” ตอนนี้ยังแบ่งบทกันเล่น ให้ตัว “ทักษิณ” ผ่าน “กลุ่มคนใกล้ชิด” และ “เครือข่ายเสื้อแดง” ปูพรมด้านการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการ “จัดวางฐานกำลัง” จากการวางตัวข้าราชการ-บอร์ดรัฐวิสาหกิจ ที่ปรับเปลี่ยนกันล็อตใหญ่ ตลอดจนการจัดตั้ง “ฐานมวลชน” มาเป็นกำลังรบสำคัญให้รัฐนาวาน้องเลิฟ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” โดยพลิกหมากไปสู่ “การตลาดนำการเมือง” เพื่อเข้ายึดกุมกระแส..

แม้จะดูเป็น “เกมการเมือง” ที่เหนือชั้น.. ทว่าโดยข้อเท็จจริงแล้ว “ทักษิณ” ยังอยู่ในสถานะของ “นักโทษหนีคดี” เพราะยังมีโทษจำคุก 2 ปี จากคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดีที่ดินถนนรัชดาภิเษก ดังนั้นการกลับบ้านของ “พ.ต.ท.ทักษิณ” คงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะต้องเสี่ยงกับ “โทษจำคุก” ซ้ำยังอาจทำให้เกิดกระแสต่อต้าน! อย่างรุนแรงจากพวกที่ไม่เอาด้วย

ฉะนั้นแล้ว! ก็จำเป็นจะต้องมีกระบวนการ “ปลดล็อก” เพื่อลบล้างความผิด “โทษจำคุก 2 ปี” ให้เรียบร้อยไปเสียก่อน ซึ่งเรื่องนี้ “แกนนำเพื่อไทย” ก็ยืนยันว่า เงื่อนไขที่จะเป็นตัวชี้วัดว่า “ทักษิณ” จะได้กลับประเทศไทยหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าการสร้าง “บรรยากาศ” ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง-แตกแยก ให้ดีขึ้นกว่านี้ได้มากแค่ไหน.. โดยใช้ “กลไกขับเคลื่อน” ผ่านกระบวนการสร้างความปรองดอง ที่กำลังดำเนินไปเป็นขั้นเป็นตอน

ส่วนกระบวนการนำพา “พ.ต.ท.ทักษิณ” กลับสู่มาตุภูมิ! ก็มีแนวทางที่เป็นไปได้อยู่ 2 เส้นทาง คือ ผ่านกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 จากการดำเนินงานของ “ส.ส.ร.3” เพื่อส่งไปให้ “รัฐสภา” เป็นผู้ตัดสินในขั้นสุดท้าย และผ่านกระบวนการนิรโทษกรรม ด้วยการออก “พ.ร.บ.ปรองดอง” ภายหลังจากที่ “รัฐสภา” มีมติรับทราบรายงานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ (กมธ.ปรองดอง) สภาผู้แทนราษฎร แล้วจึงส่งมาให้รัฐสภาพิจารณาเช่นกัน ซึ่งแนวทาง นี้จะเป็นเส้นทางที่ “สั้น” และ “รวดเร็ว” มากกว่าแนวทางแรก

แน่นอนว่า การพาทักษิณกลับบ้านทั้ง 2 กรณีนั้น ย่อมมี “เสียงข้างมาก” เป็นตัวหนุนนำ ดังนั้นไม่ว่า “หวยล็อก” จะออกมาเช่นไร..ผลประโยชน์ย่อมจะตกอยู่กับ “ทักษิณ” ขึ้นอยู่กับ..ได้มาก-ได้น้อยเท่านั้น

ก่อนหน้านี้ “นักปั้นมือทอง” อย่าง “ป๋าเหนาะ-เสนาะ เทียนทอง” ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ได้เคยเสนอแนวทาง.. แหวกกระแสสังคม ด้วยการให้ “ทักษิณ” กลับมารับโทษ.. แต่เป็นการรับโทษด้วยการ “กักบริเวณ” เช่นเดียวกับที่อดีตรัฐบาลทหารพม่ากระทำต่อ “ออง ซาน ซูจี” โดยไม่ต้องรับโทษจำคุก

มาถึงตอนนี้ “ป๋าเหนาะ” ยังคงเสนอให้ “ทักษิณ” ปฏิเสธไม่เอาเงิน 4.6 หมื่นล้านบาทที่ถูก “ยึดทรัพย์” ในคดีซุกหุ้นชินคอร์ปฯ ซึ่งในครั้งนั้น ไม่มีเสียงตอบรับจาก พ.ต.ท.ทักษิณ แต่มา ล่าสุด “อาร์ไอเอ โนวอสติ” สื่อในรัสเซีย ได้ตีพิมพ์คำให้สัมภาษณ์ ว่า “..เรื่องการกลับบ้านนั้น อาจจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้แต่ผมก็จะไม่ เรียกร้องขอเป็นผู้นำประเทศอีกแน่ ขอย้ำไว้เลยว่า ผมจะไม่ขอเป็นนายกรัฐมนตรีอีกเด็ดขาด ส่วนทรัพย์สมบัติที่ถูกยึดไว้นั้น ผมคงไม่เรียกร้องเอากลับคืน”

แม้เรื่อง “กลับบ้าน” กับเรื่องไม่ขอเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง จะพูดกันมาหลายครั้งหลายหน แต่กับมุกของ “ป๋าเหนาะ” ที่บอกไม่ให้เอาเงินคืน ถือเป็นเรื่องที่พูดกันเป็นครั้งแรก

จึงมีข้อสังเกตว่า..จะเป็นการลดดีกรีความขัดแย้ง หรือลด เงื่อนไขเพื่อให้การปรองดองดำเนินไปได้ง่ายขึ้น เพื่อให้ตัวเองสามารถกลับคืนสู่บ้านเกิดได้อีกครั้งหรือไม่!!!

การปูพรมแดงกลับบ้านเกิดเที่ยวล่าสุดนี้ ทั้งรัฐบาลและ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็จำเป็นจะต้องระมัดระวังเป็นยิ่งยวด ในการผลักดัน “กระบวนการปรองดอง” ตลอดจนการ “เกี้ยเซี้ย!” กับคู่ขัดแย้ง เพื่อให้การเจรจาตกผลึก ก่อนนำไปสู่การผลักดันเป็นกฎหมาย

ทั้งหลายทั้งปวง คงปฏิเสธไม่ได้ว่า.. “วิกฤติความขัดแย้ง!” ยังคงเป็นปัญหาในหลากมิติ และเกี่ยวพันกับผู้คนหลายระดับชั้น โดยเฉพาะเมื่อ “การปรองดอง” ยังถูกต้องสงสัยว่า..ผูกโยงต่ออนาคตการกลับประเทศไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงไม่แปลกที่ “ระดับแกนในค่ายเพื่อไทย” จะประเมินออกมาว่า..ไม่ง่ายนัก! ที่จะทำให้ทุกอย่างจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง หรือปิดเกมในเวลาอันรวดเร็ว ตามที่ “นายใหญ่” คาดหวังเอาไว้.. เพราะยังมีโอกาสพลาดพลั้ง จนทำให้ “วาระปรองดอง” ล่มปากอ่าว...ซึ่งไม่เพียงตัว “ทักษิณ” จะไม่ได้กลับประเทศแล้ว ยังส่งผลให้ “วิกฤติ ประเทศไทย” ขยายวงออกไป และทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีก!!!

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++