ตรงเป็นไม้บรรทัด “ท่านปานเทพ กล้าณรงค์ราญ” ประธาน ปปช. คนนี้สิทูนหัว
คดี “ปรส.” โกงทรัพย์แผ่นดิน เงินของชาติ ๑.๔ ล้านล้านบาท..อายุความใกล้ชิดฉาก ในปี ๒๕๕๖
“ปปช.” อืดเป็นเต่าคลาน..จนแล้วจนรอด ยังไม่มีการ “สั่งศาล” ช่างเป็นเรื่องตลก
จะดองเค็ม แช่เย็น เก็บใส่ลิ้นชักไว้ทำไม?...นักการเมืองพรรคไหน,คนใด ที่เป็น “โจรใส่สูท” รวยไปพุงปลิ้น ต้องลากตัวมาลงโทษ ให้จั๋งหนับ
นักการเมืองขี้ฉ้อ....ต้องฟันคอ?..พะเน้าพะนอกับมัน ไม่ได้ดอกขอรับ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ร่วมกันโกง
คดี “ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) หรือ “แบ็งค์บีบีซี” ที่จะรื้อกันขึ้นมาใหม่ เป็นเรื่องที่ต้องเสริมส่ง
เกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ และ ราเกซ สักเสนา โกงกันในหมู่ผู้บริหารแบ็งค์บีบีซี ไม่ได้
ผู้ที่ยื่นหลักฐาน ไปขอกู้ โดยเอาโฉนดไร้ราคา ไปกู้ในราคาสูง ต้องผิดร่วมอีกบานตะทัย
ไม่คอยปล่อยให้ อดีตนักการเมือง ที่เข้ามาเป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอล ที่กู้เงินไปโกง อยู่กับทรัพย์สินหมื่นล้านบาท อย่างสบายแฮ
“กลุ่ม ๑๖”เจ้าเก่า...ที่รวยเอ้า-รวยเอา...ประตูคุกเปิดรอเค้า แล้วแน่ ๆ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คดี ๙๑ ศพ
คนสั่งฆ่า ได้รับโทษทัณฑ์..โดยคดีสู่กระบวนการยุติธรรม ทุกอย่างก็จบ
คดีมาถึงด่านสุดท้าย ...เมื่อ “ธาริต เพ็งดิษฐ์” อธิบดีกรมดีเอสไอ ทำงานอย่างไม่ไว้หน้า
ยกนิ้วให้ “อธิบดีธาริต” ที่เดินชน กันอย่างตรงไปตรงมา
พ้นภารกิจจากเรื่องฆ่า ๙๑ ศพ “ท่านธาริต” ขอล้างมือในอ่างทองคำ พ้นไปจากอธิบดีกรมดีเอสไอเสียที เจ้านาย
ขอต้อนรับคนคุยสนุก...พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย อธิบดีคุก...ที่จะลุกมานั่งที่ดีเอสไอ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++
แผ่นเสียงตกร่อง
“กรณ์ จาติกวณิช” อดีตขุนคลัง พรรคประชาธิปัตย์ โชว์กึ๋นขาดไอคิว อย่างแรงสิพี่น้อง
แหกปากกู่ก้อง แก้รัฐธรรมนูญ ๕๐ ฟันแหลมหน้าดำ ทำไปทำไม? และแก้เพื่อใคร?
ที่เค้าผ่าตัด ชำแหละ โดยตั้ง “สสร.” ขึ้นมา เพื่อให้เป็น “ประชาธิปไตยเต็มใบ”
“รัฐธรรมนูญเผด็จการ” กากเดนทรราช ให้อภิสิทธิ์เหนือฟ้าเหนือแผ่นดิน ..โดยให้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามผู้ทุจริตแห่งชาติ หรือ “ปปช.” มีอำนาจตรวจสอบบุคคลท่านใดก็ได้..แต่ตัวเอง กลับไม่ต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สิน ..ใครก็เล่นงานไม่ได้แม้กระทงเดียว
รัฐธรรมนูญที่ขาดหลักการ..ต้องแก้ไขโดยฉับพลัน...ไฉนท่านจึงออกมาต้านจนเสียงเขียว
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
กระสุนดินดำ
บางพรรค?...ที่มีเสบียงกรัง ร้อยล้าน พันล้าน เพราะทำเรื่องใต้ดิน กันวันยังค่ำ
อยากให้ “บิ๊กอ๊อฟ” พล.ต.อ.เพรียงพันธุ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. และ “บิ๊กเหลิม” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ กวดขันให้เข้าเป้า
เฉพาะเรื่องค้าน้ำมันเถื่อน ในทะเลภาคใต้ มีนักการเมืองหนุน ไม่เกรงกฎหมาย
เงินนอกรีตพวกนี้ เอามาเป็นฐานเสียงตั้งสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม ด่า “รัฐบาลปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างไม่เกรงกลัว
นักการเมืองลูกลาว...มันก่อเรื่องฉาว?...เป็นเจ้าใหม่ ที่ค้าน้ำมันเถื่อน อยู่ขณะนี้สิทูนหัว
คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
***********************************************************************
วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2555
นายกฯ ตัวจริง !!?
ทำเนียบรัฐบาล ณ เมืองดูไบ ออกมติ ครม.ส่งสัญญาณถึง “บ้านเลขที่ 111” เตรียมตัวเตรียมใจฟิตร่างกายให้พร้อมเพื่อการกระโดดเข้าเสียบเป็นเสนาบดีไม่เกินเดือนมิ.ย.-ก.ค.ปีนี้อย่างแน่นอน นัยว่าเพื่อช่วยอุ้มสม “ท่านนายกฯ น้องรัก” ให้กลับมาแข็งโป๊กเหมือนสมัยที่ “นายใหญ่” เคยรุ่งเรืองมาแล้วในอดีต ก็ขอให้บรรดาเจ้าของมุ้ง หัวหน้าก๊วน แต่งตัวรอการปรับ “ครม.ยิ่งลักษณ์ 3” หลังคุกการเมืองแตกในอีก 3 เดือนข้างหน้านี้
แต่ขอเตือนให้ระวัง “วิกฤติตัวสำรอง” ที่กำลังลุ่มหลงในอำนาจรัฐ อาจจะดื้อไม่ยอมลุกจากเก้าอี้แต่โดยดี..เพราะหลังจากบ้านเลขที่ 111 กระโดดเสียบเป็นเจ้ากระทรวงแทนตัวสำรอง หากเคลียร์กันไม่ลงตัวย่อมเกิด “คลื่นใต้น้ำ” ตามมาภายในพรรคเพื่อไทย..ลำพังพรรคประชาธิปัตย์ชั่วโมงนี้ไม่สามารถระคายผิวรัฐบาล ได้เลยแม้แต่นิดเดียว แต่ “สนิมย่อมเกิดแต่เนื้อในตน” ปัญหาความแตกร้าวภายในพรรคเพื่อไทยเองต่างหาก จะเป็นตัวสั่นคลอน “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ให้ลงจาก อำนาจก่อนเวลาอันควร
ชั่วโมงนี้ “นายใหญ่” ไม่ต้องออกอาการเหนียมอายกันอีกต่อไปแล้ว หลังถูกโค่นอำนาจไปด้วยวิธีไม่ปกติ แต่ก็กลับมาชนะใจประชาชนอีกครั้ง จนนำพรรคเพื่อไทย มีเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภา เข้าครอบครองอำนาจรัฐแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เมื่อทุกอย่าง เริ่มนิ่งก็ต้องรีบเดินหน้าร้องหา “ความปรองดอง” ของผู้คนภายในชาติ โดยให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน เพื่อเป็นยันต์กันผีรัฐประหารและการต่อต้านจากม็อบข้างถนน
“นายกฯ ตัวจริง” เริ่มส่งสัญญาณให้ทุกฝ่ายยอมรับ “ความเป็นจริง” ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย สิ่งไหนดีควรเก็บรักษาเอาไว้ก็ไม่ต้องไปแตะ ส่วนสิ่งไหนที่เป็นปัญหากับการพัฒนาประเทศก็ต้องกล้าที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลง โดยโฟกัส ไปที่สถาบันตุลาการแบบเต็มหมัด เป็นหมู ที่ไม่กลัวน้ำร้อนอีกต่อไปแล้ว หลังจากพรรคที่ปั้นมากับมือถูก “ยุบทิ้ง” ไปถึงสองครั้งสองครา วันนี้ภาพพรรคเพื่อไทยไม่ต่าง จากพรรคพลังประชาชนหรือไทยรักไทยเดิมเลยแม้แต่น้อย แล้วยิ่ง “สารวัตรเหลิม” ออกมาคำรามผ่านสื่อว่าหากมีการจงใจยุบพรรคเพื่อไทยอีกครั้ง จะเดินหน้าแก้เกมตุลาการด้วยการตั้ง “พรรคทักษิณ” ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
การส่งสารครั้งนี้ของ “นายกฯ ตัวจริง” จนเป็นประเด็นร้อนทำให้ศาลสถิตยุติธรรมแทบจะละลายเป็นขี้ผึ้งถูกไฟลน ก็ตรงที่ “นายใหญ่” ดันเผยไต๋เรื่องความพยายามจะเปลี่ยนแปลงอำนาจในฝ่ายตุลาการและองค์กรอิสระอย่าง “ศาลรัฐธรรมนูญ” โดยพยายามให้เหตุผลที่ว่า..ทุกส่วนของอำนาจในประเทศ ควรที่จะมีส่วนที่ยึดโยงกับประชาชนบ้าง..
การที่ “อดีตนายกฯ ผู้ยิ่งใหญ่” ได้ยิงตรงไปที่ศาลรัฐธรรมนูญในทำนองว่า เป็นองค์กรอิสระที่แต่งตั้งจากใครที่ไหนก็ไม่รู้ ตั้งมา 8-9 คน แล้วสามารถปลดนายกฯ ที่ประชาชนเลือกมา 10 กว่าล้านคนได้ง่ายๆ..มันควรที่จะเป็นอย่างนั้นหรือ??? สอดรับกับกรณี “สมัคร สุนทรเวช” ที่โดนสอยร่วงลงจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เพราะดันไปแอบถือตะหลิว แล้วถูกองค์กรอิสระแห่งนี้เชือดแบบค้านสายตาคนดูทั้งประเทศ.. สื่อความหมายกันชัดๆ ว่าการแก้รัฐธรรมนูญเที่ยวนี้ จะต้องมีการยกเครื่องกันครั้งใหญ่ สำหรับองค์กรอิสระโดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญ โดยมีศาลปกครองถูกหางเลข ไปด้วย
ส่วนการออกมาหยอกแรงๆ เรื่องการตั้งประธานศาลฎีกานั้นควรจะต้องมาขอการรับรองจากสภาด้วยหรือไม่??? ประเด็นนี้คงเป็นเพียงแค่หมากล่อ เพื่อข่มขู่ใคร บางคน?!?! แต่ธงของฝ่ายการเมืองโดยเฉพาะพรรคร่วมรัฐบาลนั้นก็คือ “แค้นนี้ ต้องชำระ”... ในเมื่อศาลรัฐธรรมนูญ มีอำนาจยุบทิ้งพรรคการเมืองไปแล้วตั้งหลายพรรค ก็คงถึงคราวที่องค์กรอิสระแห่งนี้จะรับรู้อารมณ์ของการถูกย้อนศรบ้างจะเป็น ไรไป???
ที่มา.สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
แต่ขอเตือนให้ระวัง “วิกฤติตัวสำรอง” ที่กำลังลุ่มหลงในอำนาจรัฐ อาจจะดื้อไม่ยอมลุกจากเก้าอี้แต่โดยดี..เพราะหลังจากบ้านเลขที่ 111 กระโดดเสียบเป็นเจ้ากระทรวงแทนตัวสำรอง หากเคลียร์กันไม่ลงตัวย่อมเกิด “คลื่นใต้น้ำ” ตามมาภายในพรรคเพื่อไทย..ลำพังพรรคประชาธิปัตย์ชั่วโมงนี้ไม่สามารถระคายผิวรัฐบาล ได้เลยแม้แต่นิดเดียว แต่ “สนิมย่อมเกิดแต่เนื้อในตน” ปัญหาความแตกร้าวภายในพรรคเพื่อไทยเองต่างหาก จะเป็นตัวสั่นคลอน “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ให้ลงจาก อำนาจก่อนเวลาอันควร
ชั่วโมงนี้ “นายใหญ่” ไม่ต้องออกอาการเหนียมอายกันอีกต่อไปแล้ว หลังถูกโค่นอำนาจไปด้วยวิธีไม่ปกติ แต่ก็กลับมาชนะใจประชาชนอีกครั้ง จนนำพรรคเพื่อไทย มีเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภา เข้าครอบครองอำนาจรัฐแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เมื่อทุกอย่าง เริ่มนิ่งก็ต้องรีบเดินหน้าร้องหา “ความปรองดอง” ของผู้คนภายในชาติ โดยให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน เพื่อเป็นยันต์กันผีรัฐประหารและการต่อต้านจากม็อบข้างถนน
“นายกฯ ตัวจริง” เริ่มส่งสัญญาณให้ทุกฝ่ายยอมรับ “ความเป็นจริง” ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย สิ่งไหนดีควรเก็บรักษาเอาไว้ก็ไม่ต้องไปแตะ ส่วนสิ่งไหนที่เป็นปัญหากับการพัฒนาประเทศก็ต้องกล้าที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลง โดยโฟกัส ไปที่สถาบันตุลาการแบบเต็มหมัด เป็นหมู ที่ไม่กลัวน้ำร้อนอีกต่อไปแล้ว หลังจากพรรคที่ปั้นมากับมือถูก “ยุบทิ้ง” ไปถึงสองครั้งสองครา วันนี้ภาพพรรคเพื่อไทยไม่ต่าง จากพรรคพลังประชาชนหรือไทยรักไทยเดิมเลยแม้แต่น้อย แล้วยิ่ง “สารวัตรเหลิม” ออกมาคำรามผ่านสื่อว่าหากมีการจงใจยุบพรรคเพื่อไทยอีกครั้ง จะเดินหน้าแก้เกมตุลาการด้วยการตั้ง “พรรคทักษิณ” ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
การส่งสารครั้งนี้ของ “นายกฯ ตัวจริง” จนเป็นประเด็นร้อนทำให้ศาลสถิตยุติธรรมแทบจะละลายเป็นขี้ผึ้งถูกไฟลน ก็ตรงที่ “นายใหญ่” ดันเผยไต๋เรื่องความพยายามจะเปลี่ยนแปลงอำนาจในฝ่ายตุลาการและองค์กรอิสระอย่าง “ศาลรัฐธรรมนูญ” โดยพยายามให้เหตุผลที่ว่า..ทุกส่วนของอำนาจในประเทศ ควรที่จะมีส่วนที่ยึดโยงกับประชาชนบ้าง..
การที่ “อดีตนายกฯ ผู้ยิ่งใหญ่” ได้ยิงตรงไปที่ศาลรัฐธรรมนูญในทำนองว่า เป็นองค์กรอิสระที่แต่งตั้งจากใครที่ไหนก็ไม่รู้ ตั้งมา 8-9 คน แล้วสามารถปลดนายกฯ ที่ประชาชนเลือกมา 10 กว่าล้านคนได้ง่ายๆ..มันควรที่จะเป็นอย่างนั้นหรือ??? สอดรับกับกรณี “สมัคร สุนทรเวช” ที่โดนสอยร่วงลงจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เพราะดันไปแอบถือตะหลิว แล้วถูกองค์กรอิสระแห่งนี้เชือดแบบค้านสายตาคนดูทั้งประเทศ.. สื่อความหมายกันชัดๆ ว่าการแก้รัฐธรรมนูญเที่ยวนี้ จะต้องมีการยกเครื่องกันครั้งใหญ่ สำหรับองค์กรอิสระโดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญ โดยมีศาลปกครองถูกหางเลข ไปด้วย
ส่วนการออกมาหยอกแรงๆ เรื่องการตั้งประธานศาลฎีกานั้นควรจะต้องมาขอการรับรองจากสภาด้วยหรือไม่??? ประเด็นนี้คงเป็นเพียงแค่หมากล่อ เพื่อข่มขู่ใคร บางคน?!?! แต่ธงของฝ่ายการเมืองโดยเฉพาะพรรคร่วมรัฐบาลนั้นก็คือ “แค้นนี้ ต้องชำระ”... ในเมื่อศาลรัฐธรรมนูญ มีอำนาจยุบทิ้งพรรคการเมืองไปแล้วตั้งหลายพรรค ก็คงถึงคราวที่องค์กรอิสระแห่งนี้จะรับรู้อารมณ์ของการถูกย้อนศรบ้างจะเป็น ไรไป???
ที่มา.สยามธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2555
กรณี ฮิโรยูกิ. กับ ขนาดของ (ใจ) นายกรัฐมนตรี !!?
ขนาดของ "ใจ" ระหว่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีความแตกต่างกันอย่างแน่นอน
ทั้งๆ ที่นิยามโดยทั่วไปที่ว่า ใจเท่า "กำปั้น" ยังดำรงอยู่
แม้ว่าตามขนบความเชื่อแต่โบราณ มักโน้มเอียงที่จะเห็นว่า ใจของชายชาญมีความแกร่ง มีความใหญ่กว่า ใจของอิสตรี
แต่เมื่อเทียบกับขนาดของใจระหว่าง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แล้วหลายคนอาจมีความเห็นว่า
"ไม่แน่"
ไม่แน่ว่าขนาดของใจ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะมีความใหญ่มากยิ่งกว่าขนาดของใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ถามว่าเอาอะไรเป็นมาตรวัด เอาอะไรเป็นเครื่องเปรียบเทียบ
คำตอบ 1 ที่เห็นได้อย่างเด่นชัด คือ การเอาการตายของ นายฮิโรยูกิ ยามาโมโตะ ช่างภาพสำนักข่าวรอยเตอร์ ชาวญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 มาเป็นเครื่องวัด ว่า 2 คนนี้มีท่าทีและการแสดงออกอย่างไร
ไม่มีความแจ่มชัดจาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่มีความแจ่มชัดจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
มองตามสภาพความเป็นจริง นายฮิโรยูกิ ยามาโมโตะ ไม่ได้เป็นฝ่ายแดง ไม่ได้เป็นฝ่ายเหลือง ไม่ได้เป็นฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้เป็นฝ่าย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
เขาเป็นช่างภาพ เขาสังกัดสำนักข่าวรอยเตอร์
ในวันที่ 10 เมษายน 2553 อันเป็นวันขอคืนพื้นที่บริเวณถนนราชดำเนิน สี่แยกคอกวัว สะพานผ่านฟ้าลีลาศ เขาออกปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ
แล้วเขาก็ตายเพราะกระสุนปืน
วันที่ 10 เมษายน 2553 เป็นห้วงเวลาที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีและมีส่วนอย่างสำคัญในการตัดสินใจใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุม
เป็นความรับผิดชอบของนายกรัฐมนตรีที่จะต้องหาคนสังหาร นายฮิโรยูกิ ยามาโมโตะ
ระยะเวลาจากวันที่ 10 เมษายน 2553 กระทั่งถึงวันที่ 2 มีนาคม 2555 ที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เดินทางไปเยือนญี่ปุ่นอันเป็นบ้านเกิดของ นายฮิโรยูกิ ยามาโมโตะ แม้ไม่สามารถระบุสาเหตุการตายได้ แต่ก็ควรแสดงความรู้สึก
ความรู้สึกของในการสูญเสียของช่างภาพชาวญี่ปุ่นผู้ตายระหว่างการปฏิบัติหน้าที่
แต่ตลอดเวลาการเยือนญี่ปุ่นของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่มีท่าทีใด แม้กระทั่งต่อครอบครัวของ นายฮิโรยูกิ ยามาโมโตะ
นี่ย่อมตรงกันข้ามกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
การเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เกิดขึ้นภายหลังสถานการณ์สลายการชุมนุมอันนำไปสู่การเสียชีวิตของ นายฮิโรยูกิ ยามาโมโตะ เป็นเวลากว่า 1 ปี
เป็น 1 ปีที่การสอบสวนสืบสวนหลงทิศผิดทาง หาคำตอบไม่ได้
กระนั้น ภายในระยะเวลาจากเดือนกรกฎาคม จนถึงเดือนธันวาคม 2554 รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็สามารถมีคำตอบ
มีคำตอบว่า นายฮิโรยูกิ ยามาโมโตะ ตายเพราะกระสุนปืนของเจ้าหน้าที่ทหาร
มีคำตอบกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจแห่งกองบัญชาการตำรวจนครบาลสามารถทำสำนวนส่งให้สำนักงานอัยการสูงสุดและพนักงานอัยการได้ส่งฟ้องศาลเพื่อให้มีการไต่สวน
ยิ่งกว่านั้น ยังมีคำตอบในเรื่องการเยียวยาด้วยเงินจำนวนหนึ่ง
การเดินทางไปญี่ปุ่นของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จึงนอกจากจะมีสารอันเหมือนเป็นคำตอบต่อครอบครัวของ นายฮิโรยูกิ ยามาโมโตะ แล้วยังมีคำมั่นในเรื่องการเยียวยา
เป็นการแสดงความเสียใจโดยรัฐบาลอย่างเป็นทางการ
นี่คือความรับผิดชอบในฐานะแห่งนายกรัฐมนตรี ขณะเดียวกัน ก็เป็นความรับผิดชอบในฐานะแห่งมนุษย์ต่อมนุษย์ด้วยกัน เพราะเมื่อมีการตายอย่างไม่สมควรโดยเจ้าหน้าที่รัฐ นายกรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบ
เป็นความรับผิดชอบอันต่างไปจากที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แสดงออกเสมอมา
มีความแตกต่างอย่างแน่นอนในเรื่องขนาดของ "ใจ" ระหว่างนายกรัฐมนตรี 2 คนของไทย
นายกรัฐมนตรีคนหนึ่งเป็นคนออกคำสั่งอันนำไปสู่การสูญเสีย นายกรัฐมนตรีคนหนึ่งได้รับเลือกจากประชาชนให้มาชำระสะสางเรื่องเลวร้ายอันเพิ่งเกิดขึ้นในประเทศ
เด่นชัดยิ่งว่าของใครมีขนาดใหญ่กว่า
ที่มา: มติชนออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ทั้งๆ ที่นิยามโดยทั่วไปที่ว่า ใจเท่า "กำปั้น" ยังดำรงอยู่
แม้ว่าตามขนบความเชื่อแต่โบราณ มักโน้มเอียงที่จะเห็นว่า ใจของชายชาญมีความแกร่ง มีความใหญ่กว่า ใจของอิสตรี
แต่เมื่อเทียบกับขนาดของใจระหว่าง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แล้วหลายคนอาจมีความเห็นว่า
"ไม่แน่"
ไม่แน่ว่าขนาดของใจ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะมีความใหญ่มากยิ่งกว่าขนาดของใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ถามว่าเอาอะไรเป็นมาตรวัด เอาอะไรเป็นเครื่องเปรียบเทียบ
คำตอบ 1 ที่เห็นได้อย่างเด่นชัด คือ การเอาการตายของ นายฮิโรยูกิ ยามาโมโตะ ช่างภาพสำนักข่าวรอยเตอร์ ชาวญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 มาเป็นเครื่องวัด ว่า 2 คนนี้มีท่าทีและการแสดงออกอย่างไร
ไม่มีความแจ่มชัดจาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่มีความแจ่มชัดจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
มองตามสภาพความเป็นจริง นายฮิโรยูกิ ยามาโมโตะ ไม่ได้เป็นฝ่ายแดง ไม่ได้เป็นฝ่ายเหลือง ไม่ได้เป็นฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้เป็นฝ่าย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
เขาเป็นช่างภาพ เขาสังกัดสำนักข่าวรอยเตอร์
ในวันที่ 10 เมษายน 2553 อันเป็นวันขอคืนพื้นที่บริเวณถนนราชดำเนิน สี่แยกคอกวัว สะพานผ่านฟ้าลีลาศ เขาออกปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ
แล้วเขาก็ตายเพราะกระสุนปืน
วันที่ 10 เมษายน 2553 เป็นห้วงเวลาที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีและมีส่วนอย่างสำคัญในการตัดสินใจใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุม
เป็นความรับผิดชอบของนายกรัฐมนตรีที่จะต้องหาคนสังหาร นายฮิโรยูกิ ยามาโมโตะ
ระยะเวลาจากวันที่ 10 เมษายน 2553 กระทั่งถึงวันที่ 2 มีนาคม 2555 ที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เดินทางไปเยือนญี่ปุ่นอันเป็นบ้านเกิดของ นายฮิโรยูกิ ยามาโมโตะ แม้ไม่สามารถระบุสาเหตุการตายได้ แต่ก็ควรแสดงความรู้สึก
ความรู้สึกของในการสูญเสียของช่างภาพชาวญี่ปุ่นผู้ตายระหว่างการปฏิบัติหน้าที่
แต่ตลอดเวลาการเยือนญี่ปุ่นของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่มีท่าทีใด แม้กระทั่งต่อครอบครัวของ นายฮิโรยูกิ ยามาโมโตะ
นี่ย่อมตรงกันข้ามกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
การเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เกิดขึ้นภายหลังสถานการณ์สลายการชุมนุมอันนำไปสู่การเสียชีวิตของ นายฮิโรยูกิ ยามาโมโตะ เป็นเวลากว่า 1 ปี
เป็น 1 ปีที่การสอบสวนสืบสวนหลงทิศผิดทาง หาคำตอบไม่ได้
กระนั้น ภายในระยะเวลาจากเดือนกรกฎาคม จนถึงเดือนธันวาคม 2554 รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็สามารถมีคำตอบ
มีคำตอบว่า นายฮิโรยูกิ ยามาโมโตะ ตายเพราะกระสุนปืนของเจ้าหน้าที่ทหาร
มีคำตอบกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจแห่งกองบัญชาการตำรวจนครบาลสามารถทำสำนวนส่งให้สำนักงานอัยการสูงสุดและพนักงานอัยการได้ส่งฟ้องศาลเพื่อให้มีการไต่สวน
ยิ่งกว่านั้น ยังมีคำตอบในเรื่องการเยียวยาด้วยเงินจำนวนหนึ่ง
การเดินทางไปญี่ปุ่นของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จึงนอกจากจะมีสารอันเหมือนเป็นคำตอบต่อครอบครัวของ นายฮิโรยูกิ ยามาโมโตะ แล้วยังมีคำมั่นในเรื่องการเยียวยา
เป็นการแสดงความเสียใจโดยรัฐบาลอย่างเป็นทางการ
นี่คือความรับผิดชอบในฐานะแห่งนายกรัฐมนตรี ขณะเดียวกัน ก็เป็นความรับผิดชอบในฐานะแห่งมนุษย์ต่อมนุษย์ด้วยกัน เพราะเมื่อมีการตายอย่างไม่สมควรโดยเจ้าหน้าที่รัฐ นายกรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบ
เป็นความรับผิดชอบอันต่างไปจากที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แสดงออกเสมอมา
มีความแตกต่างอย่างแน่นอนในเรื่องขนาดของ "ใจ" ระหว่างนายกรัฐมนตรี 2 คนของไทย
นายกรัฐมนตรีคนหนึ่งเป็นคนออกคำสั่งอันนำไปสู่การสูญเสีย นายกรัฐมนตรีคนหนึ่งได้รับเลือกจากประชาชนให้มาชำระสะสางเรื่องเลวร้ายอันเพิ่งเกิดขึ้นในประเทศ
เด่นชัดยิ่งว่าของใครมีขนาดใหญ่กว่า
ที่มา: มติชนออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นิติราษฎร์โมเดลรธน.ใหม่เน้นล้างผลพวงรัฐประหาร !!?
นิติราษฎร์ใช้โอกาสครบรอบ 80 ปีเปลี่ยนแปลงการปกครองในเดือน มิ.ย. เปิดโมเดลรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เน้นลบล้างผลพวงจากการทำรัฐประหารเมื่อปี 2549 ห่วงการตั้ง ส.ส.ร. ของรัฐบาลอาจถูกใช้เทคนิคทางกฎหมายเตะถ่วงจนไม่สามารถจัดตั้งได้ และกระบวนการลงประชามติจะยิ่งทำให้รัฐธรรมนูญใหม่มีผลบังคับใช้ล่าช้าออกไปอีก “ทักษิณ” เชื่อคนส่วนใหญ่หนุนแก้ไขให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น มั่นใจรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์” อยู่ได้ยาว หากไม่มีประเด็นเกี่ยวกับสถาบันทหารไม่ออกมายึดอำนาจแน่ เปรยภายในปีนี้อาจได้กลับบ้านเพราะกระบวนการสร้างความปรองดองกำลังเดินหน้า โดยอาจเห็นผลภายในสิ้นปี
นายปูนเทพ ศิรินุพงศ์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สมาชิกคณะนิติราษฎร์ เปิดเผยว่า ในโอกาสครบรอบ 80 ปีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในเดือน มิ.ย. นี้คณะนิติราษฎร์จะจัดสัมมนาทางวิชาการที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อเสนอร่างโมเดลรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของนิติราษฎร์ แต่อาจไม่ใช่การเสนอทั้งฉบับ คงเริ่มจากหมวดที่เกี่ยวข้องกับการลบล้างผลพวงรัฐประหารปี 2549 ที่ได้นำเสนอต่อสังคมเมื่อปีที่แล้วก่อน
ดร.ปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สมาชิกคณะนิติราษฎร์ กล่าวว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาลที่ใช้รูปแบบการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) อาจมีปัญหาการร้องค้านจนทำให้ไม่สามารถได้ตัว ส.ส.ร. และไม่รู้ว่าจะได้ ส.ส.ร. เมื่อไร นอกจากนี้หากมีการยกร่างรัฐธรรมนูญเสร็จเรียบร้อยแล้วต้องนำกลับไปให้ประชาชนออกเสียงลงประชามติว่าจะรับร่างนี้หรือไม่ ซึ่งจะทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญล่าช้าออกไป
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานคำให้สัมภาษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่อยู่ระหว่างการร่วมเสวนาหัวข้อการบริหารประเทศในยามวิกฤตกับอดีตผู้นำจากหลายชาติที่ประเทศเกาหลีใต้ว่า รัฐบาลไทยชุดปัจจุบันจะไม่ถูกยึดอำนาจแน่นอน เพราะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี มีสัมพันธ์ที่ดีกับกองทัพ
“ตราบใดที่ไม่มีประเด็นเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์หรือความมั่นคงภายใน ทหารจะอยู่แต่ในกรมกอง” พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวและว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ทำงานหนักเพื่อประชาชน สามารถทำงานร่วมกับทหารได้ และยังมีความจงรักภักดีต่อสถาบันอย่างสูงสุดด้วย
พ.ต.ท.ทักษิณระบุว่า ประชาชนส่วนใหญ่ของไทยสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น
“จะไม่มีการประท้วงรุนแรงหรือมีผู้เสียชีวิตจากการชุมนุมอีก เพราะไทยกำลังเดินหน้าสู่ความปรองดอง ซึ่งอย่างเร็วที่สุดจะได้เห็นภายในปีนี้”
เมื่อถูกถามว่าจะยอมรับโทษในเรือนจำเพื่อช่วยให้เกิดความปรองดองเร็วขึ้นหรือไม่ อดีตนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “ผมไม่ได้ทำอะไรผิด”
พ.ต.ท.ทักษิณยืนยันว่า ไม่มีความทะเยอทะยานที่จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก และจะขอทำหน้าที่ที่ปรึกษาให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์หากได้กลับประเทศไทย ซึ่งคาดว่าอาจเป็นปีนี้
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นายปูนเทพ ศิรินุพงศ์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สมาชิกคณะนิติราษฎร์ เปิดเผยว่า ในโอกาสครบรอบ 80 ปีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในเดือน มิ.ย. นี้คณะนิติราษฎร์จะจัดสัมมนาทางวิชาการที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อเสนอร่างโมเดลรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของนิติราษฎร์ แต่อาจไม่ใช่การเสนอทั้งฉบับ คงเริ่มจากหมวดที่เกี่ยวข้องกับการลบล้างผลพวงรัฐประหารปี 2549 ที่ได้นำเสนอต่อสังคมเมื่อปีที่แล้วก่อน
ดร.ปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สมาชิกคณะนิติราษฎร์ กล่าวว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาลที่ใช้รูปแบบการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) อาจมีปัญหาการร้องค้านจนทำให้ไม่สามารถได้ตัว ส.ส.ร. และไม่รู้ว่าจะได้ ส.ส.ร. เมื่อไร นอกจากนี้หากมีการยกร่างรัฐธรรมนูญเสร็จเรียบร้อยแล้วต้องนำกลับไปให้ประชาชนออกเสียงลงประชามติว่าจะรับร่างนี้หรือไม่ ซึ่งจะทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญล่าช้าออกไป
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานคำให้สัมภาษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่อยู่ระหว่างการร่วมเสวนาหัวข้อการบริหารประเทศในยามวิกฤตกับอดีตผู้นำจากหลายชาติที่ประเทศเกาหลีใต้ว่า รัฐบาลไทยชุดปัจจุบันจะไม่ถูกยึดอำนาจแน่นอน เพราะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี มีสัมพันธ์ที่ดีกับกองทัพ
“ตราบใดที่ไม่มีประเด็นเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์หรือความมั่นคงภายใน ทหารจะอยู่แต่ในกรมกอง” พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวและว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ทำงานหนักเพื่อประชาชน สามารถทำงานร่วมกับทหารได้ และยังมีความจงรักภักดีต่อสถาบันอย่างสูงสุดด้วย
พ.ต.ท.ทักษิณระบุว่า ประชาชนส่วนใหญ่ของไทยสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น
“จะไม่มีการประท้วงรุนแรงหรือมีผู้เสียชีวิตจากการชุมนุมอีก เพราะไทยกำลังเดินหน้าสู่ความปรองดอง ซึ่งอย่างเร็วที่สุดจะได้เห็นภายในปีนี้”
เมื่อถูกถามว่าจะยอมรับโทษในเรือนจำเพื่อช่วยให้เกิดความปรองดองเร็วขึ้นหรือไม่ อดีตนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “ผมไม่ได้ทำอะไรผิด”
พ.ต.ท.ทักษิณยืนยันว่า ไม่มีความทะเยอทะยานที่จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก และจะขอทำหน้าที่ที่ปรึกษาให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์หากได้กลับประเทศไทย ซึ่งคาดว่าอาจเป็นปีนี้
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2555
ประเด็นร้อนค่าเช่าตลาดนัดจตุจักร ร.ฟ.ท.ฝันขยับตัวเลขตุนรายได้สู่ธุรกิจเต็มสูบ !!?
เชื่อว่าเรื่องวุ่นๆ ภายในตลาดนัดจตุจักรน่าจะมีความคืบหน้าหรือได้ข้อยุติกันไปบ้างในบางประเด็น หลังจากก่อนหน้านี้มีเรื่องราวที่ทำให้ใครต่อใครที่เข้าไปข้องแวะเป็นต้องได้ปวดกบาล จนแทบจะควานหาพาราเซตามอลเพื่อใช้บรรเทาอาการไม่ทัน เพราะปัญหาตลาดนัดจตุจักรในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีมากมายเหลือเกิน ในทางกลับกันก็ต้องยอมรับว่าตลาดนัดแห่งนี้ได้กลายเป็นแหล่งทำกินที่สร้างความมั่งคั่งร่ำรวยให้กับใครต่อใครหลายคน จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมอัตราค่าเช่าแผงค้าที่ทางการรถไฟฯ (ร.ฟ.ท.) ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลได้ประกาศเคาะราคาก่อนหน้านี้ถึงได้สูงปรี๊ด จนทำให้บรรดากลุ่มผู้ค้าต้องออกมาประท้วงแสดงความไม่เห็นด้วย กระทั่งทางการรถไฟฯ ต้องรีบถอยเพื่อกลับไปสู่กระบวนการเจรจากันอีกรอบ
ลองย้อนกลับไปดูเรื่องของอัตราค่าเช่าแผงค้ารวมค่าสาธารณูปโภคส่วนกลางที่ถูกกำหนดขึ้นโดยการรถไฟฯก่อนหน้านี้สักนิดว่าทำไมกลุ่มผู้ค้าถึงบอกรับไม่ได้ โดยอัตราค่าเช่าระบุไว้เดือนละ 3,157 บาท ค่าธรรมเนียมอีก 50,000 บาท ระยะเวลาในสัญญาเช่า 5 ปี ซึ่งหากคิดคำนวณจากสูตรตามที่ได้กล่าวในข้างต้นด้วยจำนวนแผงค้าที่มีอยู่ทั้งหมดจำนวน 8,875 แผง ต้องยอมรับว่าเป็นตัวเลขที่สร้างความตื่นตระหนกตกใจกันพอสมควร เพราะลำพังแค่ปีเดียวจะมีเงินไหลเข้าสู่ร.ฟ.ท.จากอัตราค่าเช่าแผงค้าประมาณ 186 ล้านบาท และถ้าคิดแบบเบ็ดเสร็จตามที่ระบุไว้ในสัญญาจะเติมเต็มสร้างรายได้ให้กับการรถไฟฯ เฉียด 1,000 ล้านบาทเลยทีเดียว เรียกว่าแค่ลำพังแผงค้าเพียงอย่างเดียวยังสามารถสร้างรายได้ให้การรถไฟฯ ได้ เป็นกอบเป็นกำ และถ้ารวมตัวเลขที่เกิดจากรายได้จิปาถะอื่นๆ รับรองได้ว่าจะทำให้ ร.ฟ.ท.มีความศักดิ์สิทธิ์และมีเสียงดังมากขึ้น กระทั่งเชื่อว่าจะทำให้เป็นที่ยำเกรงของใครต่อใคร
หันไปดูเรื่องของรายได้อื่นๆ กันบ้างจากที่ได้กล่าวมาในข้างต้น จากการตรวจสอบของ “สยามธุรกิจ” เฉพาะแค่ปี 2553 เพียงปีเดียวจากตัวเลขที่จัดเก็บโดยกทม. จะเห็นว่าเป็นตัวเลขที่น่าสนใจไม่น้อย เช่น ค่าปรับการกระทำผิดระเบียบของแผงค้า จำนวน 2.88 แสนบาท, ค่าตั้งวางสินค้า 2.6 ล้านบาท, ค่าธรรมเนียมการจำหน่ายสินค้า วันพุธ-ศุกร์ 65 บาท/แผง/วัน จำนวน 1 ล้านบาท, ค่าใช้ซุ้มจำหน่ายเครื่องดื่มจำนวน 7.3 แสนบาท, ค่าซุ้มหนังสือ 500 บ./แผง/เดือนจำนวน 3.4 แสนบาท, ค่าสถานที่ติดตั้งร่มเช่า จำนวน 1.1 แสนบาทค่าตั้งวางสินค้าริมรั้วจำนวน 4.7 แสนบาท, ค่าธรรมเนียม ใช้สถานที่ จำนวน 1.2 ล้านบาท, ตลาดนัดประเภทผู้ค้าส่ง 6.15 ล้านบาท ค่าธรรมเนียมบริการรถเข็นน้ำ จำนวน 3.8 แสนบาท, ค่าธรรมเนียมรถเข็นไอศกรีมจำนวน 2.4 แสนบาท, ค่าธรรมเนียมรถเข็นสินค้า จำนวน 5.95 แสนบาท, ค่าธรรมเนียมรถเข็นผลไม้ จำนวน 2.01 แสนบาท, ค่าธรรมเนียมรถเข็นทั่วไป, รถเข็นบริการ 9.6 หมื่นบาท, ค่าปรับค่าเช่าสถานที่เพิ่มจำนวน 5.4 ล้านบาท, ค่าปรับริมรางสาธารณะ, ริมรั้วจำนวน 4.1 ล้านบาท
ตามไปดูกันต่อกับเรื่องของค่าธรรมเนียมและค่าปรับจากการตรวจสอบมีตัวเลขที่น่าสนใจหลายๆ รายการ เช่น การโอนแผงค้าจำนวน 1.9 ล้านบาท , ค่าธรรมเนียมทะเบียนแผงค้าจำนวน 8.8 แสนบาท, ค่าธรรมเนียมในการเปลี่ยนแปลงประเภทสินค้า จำนวน 7.2 แสนบาท, ค่าจอดรถ + ค่าปรับจำนวน 7.2 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของค่าเช่าและค่าธรรมเนียมการใช้สถานที่ของธนาคาร, หน่วยงานต่างๆ เช่น ธนาคารออมสิน 1.7 แสนบาท, ธนาคารกรุงเทพจำนวน 5.02 แสนบาท, ธนาคารทหารไทย จำนวน 4.5 แสนบาท, บริษัท ทีโอที จำกัด จำนวน 2.6 แสนบาท, บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำนวน 7.8 แสนบาท, ร้านค้าในโครงการแม่ฟ้าหลวง + ซุ้มโครงการหลวง จำนวน 4.05 แสนบาท, สุขาสาธารณะ (ประมูล) จำนวน 4.3 ล้านบาท, ป้ายข่าวสาร จำนวน 2.3 แสนบาท นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของค่าติดตั้งตู้เอทีเอ็ม รวมถึงค่าบำรุงตลอดอายุสัญญาค่าใช้พื้นที่บางส่วนของธนาคารต่างๆ
ที่น่าสนใจอย่างยิ่งเมื่อดูจากตัวเลขรายได้ที่จะเกิดขึ้นในส่วนอื่นๆ ดูเหมือนว่าทางร.ฟ.ท.ได้มีการเตรียมการเพื่อรองรับในเรื่องเหล่านี้ไว้แล้วเช่นกัน ดังจะเห็นได้จากการออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อมวลชนของ นายจรัสพันธ์ วัชโรทัย รองผู้อำนวยการฝ่ายการเดินรถ การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ในฐานะผู้อำนวยการตลาดนัดจตุจักร ที่ระบุว่านอกจากรายได้แผงค้าตลาดนัดสวน จตุจักรที่การรถไฟฯ จะได้แล้ว ยังมีการให้เช่าพื้นที่ เชิงพาณิชย์ ค่าโฆษณา ซึ่งในปัจจุบันมีการให้เช่าพื้นที่เชิงพาณิชย์ กว่า 20 จุด ภายในพื้นที่ตลาดนัดสวนจตุจักร โดยที่ผ่านมารายได้จากการที่ให้เช่าพื้นที่เชิงพาณิชย์ 50,000-60,000 บาทต่อเดือน เช่นเดียวกับ นายประเสริฐ อัตตะนันทน์ รองผู้ว่าการ การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ในฐานะ ประธานคณะทำงานบริหารพื้นที่ตลาดนัดจตุจักร ที่ออกมากล่าวว่าร.ฟ.ท.ได้มีการว่าจ้าง ม.ธรรมศาสตร์ศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนากิจการตลาดนัดจตุจักรทั้งหมด เพื่อทำให้ตลาดเป็นที่น่าสนใจและเพิ่มจำนวนผู้เข้ามาใช้บริการในตลาด รวมทั้งจะศึกษาทิศทางการพัฒนาตลาดนัดจตุจักรให้เป็นจตุจักรไนท์พลาซ่าด้วย คาดว่าจะทราบผลภายในเดือนมี.ค.นี้
“การเปลี่ยนแปลงอะไรที่กระทบต่อพ่อค้าแม่ค้าภายในตลาดนัดจตุจักร การรถไฟฯ จะต้องศึกษาและสอบถามความคิดเห็นของพวกเขาก่อน เรื่องทำตลาดนัดจตุจักรเป็นตลาดค้าขายกลางคืน หรือตลาดไนท์พลาซ่า ซึ่งเป็นการพลิกโฉมจากตลาดปกติ เราก็ต้องสอบ ถามด้วย ซึ่งขณะนี้เรื่องดังกล่าวยังเป็นเพียงแนวคิดเท่านั้น” นายประเสริฐ กล่าว
ตัวเลขรายได้ตามที่ได้กล่าวมาเป็นเพียงบางส่วนบางตอนที่พึงจะเกิดขึ้นสำหรับการบริหารตลาดนัดจตุจักรนอกเหนือจากรายได้ในส่วนของค่าเช่าแผงค้า ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมาต้องบอกว่าลำพังการจัดเก็บรายได้โดยกทม.อาจจะมีในเรื่องของข้อจำกัดอยู่บ้างโดยเฉพาะการมุ่งแสวงหากำไรในเชิงธุรกิจแบบเต็มตัว เหมือนเช่นบริษัทเอกชนต่างๆ แต่เมื่อมีการเปลี่ยนมือบริหารจากกทม.มาเป็นการรถไฟฯ แทน ขณะเดียวกันเมื่อดูจากตัวเลขตามที่ได้มีการประกาศอัตราค่าเช่าไว้ก่อนหน้านี้ เชื่อว่าตัวเลขรายได้อื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นจากการบริหารก็น่าจะมีการขยับเป็นเงาตามตัวอย่างแน่นอน ซึ่งพอจะสะท้อนให้เห็นภาพที่ชัดขึ้นว่าทำไมตลาดนัดแห่งนี้ถึงเป็นที่หมายปองสำหรับใครต่อใครในการแสวงหาผลประโยชน์จากที่ดินผืนงามผืนนี้
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ลองย้อนกลับไปดูเรื่องของอัตราค่าเช่าแผงค้ารวมค่าสาธารณูปโภคส่วนกลางที่ถูกกำหนดขึ้นโดยการรถไฟฯก่อนหน้านี้สักนิดว่าทำไมกลุ่มผู้ค้าถึงบอกรับไม่ได้ โดยอัตราค่าเช่าระบุไว้เดือนละ 3,157 บาท ค่าธรรมเนียมอีก 50,000 บาท ระยะเวลาในสัญญาเช่า 5 ปี ซึ่งหากคิดคำนวณจากสูตรตามที่ได้กล่าวในข้างต้นด้วยจำนวนแผงค้าที่มีอยู่ทั้งหมดจำนวน 8,875 แผง ต้องยอมรับว่าเป็นตัวเลขที่สร้างความตื่นตระหนกตกใจกันพอสมควร เพราะลำพังแค่ปีเดียวจะมีเงินไหลเข้าสู่ร.ฟ.ท.จากอัตราค่าเช่าแผงค้าประมาณ 186 ล้านบาท และถ้าคิดแบบเบ็ดเสร็จตามที่ระบุไว้ในสัญญาจะเติมเต็มสร้างรายได้ให้กับการรถไฟฯ เฉียด 1,000 ล้านบาทเลยทีเดียว เรียกว่าแค่ลำพังแผงค้าเพียงอย่างเดียวยังสามารถสร้างรายได้ให้การรถไฟฯ ได้ เป็นกอบเป็นกำ และถ้ารวมตัวเลขที่เกิดจากรายได้จิปาถะอื่นๆ รับรองได้ว่าจะทำให้ ร.ฟ.ท.มีความศักดิ์สิทธิ์และมีเสียงดังมากขึ้น กระทั่งเชื่อว่าจะทำให้เป็นที่ยำเกรงของใครต่อใคร
หันไปดูเรื่องของรายได้อื่นๆ กันบ้างจากที่ได้กล่าวมาในข้างต้น จากการตรวจสอบของ “สยามธุรกิจ” เฉพาะแค่ปี 2553 เพียงปีเดียวจากตัวเลขที่จัดเก็บโดยกทม. จะเห็นว่าเป็นตัวเลขที่น่าสนใจไม่น้อย เช่น ค่าปรับการกระทำผิดระเบียบของแผงค้า จำนวน 2.88 แสนบาท, ค่าตั้งวางสินค้า 2.6 ล้านบาท, ค่าธรรมเนียมการจำหน่ายสินค้า วันพุธ-ศุกร์ 65 บาท/แผง/วัน จำนวน 1 ล้านบาท, ค่าใช้ซุ้มจำหน่ายเครื่องดื่มจำนวน 7.3 แสนบาท, ค่าซุ้มหนังสือ 500 บ./แผง/เดือนจำนวน 3.4 แสนบาท, ค่าสถานที่ติดตั้งร่มเช่า จำนวน 1.1 แสนบาทค่าตั้งวางสินค้าริมรั้วจำนวน 4.7 แสนบาท, ค่าธรรมเนียม ใช้สถานที่ จำนวน 1.2 ล้านบาท, ตลาดนัดประเภทผู้ค้าส่ง 6.15 ล้านบาท ค่าธรรมเนียมบริการรถเข็นน้ำ จำนวน 3.8 แสนบาท, ค่าธรรมเนียมรถเข็นไอศกรีมจำนวน 2.4 แสนบาท, ค่าธรรมเนียมรถเข็นสินค้า จำนวน 5.95 แสนบาท, ค่าธรรมเนียมรถเข็นผลไม้ จำนวน 2.01 แสนบาท, ค่าธรรมเนียมรถเข็นทั่วไป, รถเข็นบริการ 9.6 หมื่นบาท, ค่าปรับค่าเช่าสถานที่เพิ่มจำนวน 5.4 ล้านบาท, ค่าปรับริมรางสาธารณะ, ริมรั้วจำนวน 4.1 ล้านบาท
ตามไปดูกันต่อกับเรื่องของค่าธรรมเนียมและค่าปรับจากการตรวจสอบมีตัวเลขที่น่าสนใจหลายๆ รายการ เช่น การโอนแผงค้าจำนวน 1.9 ล้านบาท , ค่าธรรมเนียมทะเบียนแผงค้าจำนวน 8.8 แสนบาท, ค่าธรรมเนียมในการเปลี่ยนแปลงประเภทสินค้า จำนวน 7.2 แสนบาท, ค่าจอดรถ + ค่าปรับจำนวน 7.2 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของค่าเช่าและค่าธรรมเนียมการใช้สถานที่ของธนาคาร, หน่วยงานต่างๆ เช่น ธนาคารออมสิน 1.7 แสนบาท, ธนาคารกรุงเทพจำนวน 5.02 แสนบาท, ธนาคารทหารไทย จำนวน 4.5 แสนบาท, บริษัท ทีโอที จำกัด จำนวน 2.6 แสนบาท, บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำนวน 7.8 แสนบาท, ร้านค้าในโครงการแม่ฟ้าหลวง + ซุ้มโครงการหลวง จำนวน 4.05 แสนบาท, สุขาสาธารณะ (ประมูล) จำนวน 4.3 ล้านบาท, ป้ายข่าวสาร จำนวน 2.3 แสนบาท นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของค่าติดตั้งตู้เอทีเอ็ม รวมถึงค่าบำรุงตลอดอายุสัญญาค่าใช้พื้นที่บางส่วนของธนาคารต่างๆ
ที่น่าสนใจอย่างยิ่งเมื่อดูจากตัวเลขรายได้ที่จะเกิดขึ้นในส่วนอื่นๆ ดูเหมือนว่าทางร.ฟ.ท.ได้มีการเตรียมการเพื่อรองรับในเรื่องเหล่านี้ไว้แล้วเช่นกัน ดังจะเห็นได้จากการออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อมวลชนของ นายจรัสพันธ์ วัชโรทัย รองผู้อำนวยการฝ่ายการเดินรถ การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ในฐานะผู้อำนวยการตลาดนัดจตุจักร ที่ระบุว่านอกจากรายได้แผงค้าตลาดนัดสวน จตุจักรที่การรถไฟฯ จะได้แล้ว ยังมีการให้เช่าพื้นที่ เชิงพาณิชย์ ค่าโฆษณา ซึ่งในปัจจุบันมีการให้เช่าพื้นที่เชิงพาณิชย์ กว่า 20 จุด ภายในพื้นที่ตลาดนัดสวนจตุจักร โดยที่ผ่านมารายได้จากการที่ให้เช่าพื้นที่เชิงพาณิชย์ 50,000-60,000 บาทต่อเดือน เช่นเดียวกับ นายประเสริฐ อัตตะนันทน์ รองผู้ว่าการ การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ในฐานะ ประธานคณะทำงานบริหารพื้นที่ตลาดนัดจตุจักร ที่ออกมากล่าวว่าร.ฟ.ท.ได้มีการว่าจ้าง ม.ธรรมศาสตร์ศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนากิจการตลาดนัดจตุจักรทั้งหมด เพื่อทำให้ตลาดเป็นที่น่าสนใจและเพิ่มจำนวนผู้เข้ามาใช้บริการในตลาด รวมทั้งจะศึกษาทิศทางการพัฒนาตลาดนัดจตุจักรให้เป็นจตุจักรไนท์พลาซ่าด้วย คาดว่าจะทราบผลภายในเดือนมี.ค.นี้
“การเปลี่ยนแปลงอะไรที่กระทบต่อพ่อค้าแม่ค้าภายในตลาดนัดจตุจักร การรถไฟฯ จะต้องศึกษาและสอบถามความคิดเห็นของพวกเขาก่อน เรื่องทำตลาดนัดจตุจักรเป็นตลาดค้าขายกลางคืน หรือตลาดไนท์พลาซ่า ซึ่งเป็นการพลิกโฉมจากตลาดปกติ เราก็ต้องสอบ ถามด้วย ซึ่งขณะนี้เรื่องดังกล่าวยังเป็นเพียงแนวคิดเท่านั้น” นายประเสริฐ กล่าว
ตัวเลขรายได้ตามที่ได้กล่าวมาเป็นเพียงบางส่วนบางตอนที่พึงจะเกิดขึ้นสำหรับการบริหารตลาดนัดจตุจักรนอกเหนือจากรายได้ในส่วนของค่าเช่าแผงค้า ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมาต้องบอกว่าลำพังการจัดเก็บรายได้โดยกทม.อาจจะมีในเรื่องของข้อจำกัดอยู่บ้างโดยเฉพาะการมุ่งแสวงหากำไรในเชิงธุรกิจแบบเต็มตัว เหมือนเช่นบริษัทเอกชนต่างๆ แต่เมื่อมีการเปลี่ยนมือบริหารจากกทม.มาเป็นการรถไฟฯ แทน ขณะเดียวกันเมื่อดูจากตัวเลขตามที่ได้มีการประกาศอัตราค่าเช่าไว้ก่อนหน้านี้ เชื่อว่าตัวเลขรายได้อื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นจากการบริหารก็น่าจะมีการขยับเป็นเงาตามตัวอย่างแน่นอน ซึ่งพอจะสะท้อนให้เห็นภาพที่ชัดขึ้นว่าทำไมตลาดนัดแห่งนี้ถึงเป็นที่หมายปองสำหรับใครต่อใครในการแสวงหาผลประโยชน์จากที่ดินผืนงามผืนนี้
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
แรงงานลาว มองไทย ร่ำรวยกว่า...แต่ยังไม่เลิกดูถูก !!?
หากมีการศึกษาถึงทัศนคติและระบบแนวคิดระหว่างไทยและลาว โดยเฉพาะความสัมพันธ์ของแรงงานลาวที่มีต่อคนไทยได้จะนำไปสู่มุมมองมิติทางความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของไทยได้ ขณะเดียวกันยังสามารถนำไปสู่ตัวแปลที่จะสร้างกลไกในการดำเนินการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในอีกทางหนึ่ง นอกเหนือจากกลไกของรัฐซึ่งเป็นผู้ดำเนินความสัมพันธ์ผ่านนโยบายต่างประเทศเพียงอย่างเดียว
ดังนั้น เพื่อมองให้เห็นถึงภาพมุมมองเดียวกัน สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงได้จัดสัมมนาวิชาการในหัวข้อ "จากอุษาคเนย์ถึงแดนอาทิตย์อุทัย สถานะของชนกลุ่มน้อยและแรงงานข้ามชาติในศักราชใหม่"
"อดิศร เสมแย้ม" นักวิจัยสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เจ้าของงานวิจัยหัวข้อ "ลาวมองไทย เปิดโลกทัศน์แรงงานข้ามชาติ" ได้เปิดมุมมองเรื่องนี้ไว้ว่า เหตุที่เลือกทำงานวิจัยเรื่องทัศนคติของแรงงานลาวที่มีต่อคนไทยนั้น สืบเนื่องมาจากยังไม่ค่อยมีการศึกษาในเรื่องการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นในกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคประชาชน ซึ่งเชื่อว่าสื่อยังคงมีบทบาทในการติดต่อและสานสัมพันธ์ระหว่างประเทศในสังคมสมัยใหม่ที่เป็นสังคมข่าวสารและโลกไร้พรมแดนอยู่ ซึ่งรัฐไม่สามารถควบคุมหรือกำหนดการรับรู้และความเข้าใจของประชาชนได้ว่ามีมุมมอง การรับรู้ และความเข้าใจต่อไทยอย่างไรบ้าง
"ผมจึงเริ่มทำวิจัยโดยเริ่มจากการเก็บข้อมูลโดยใช้การสัมภาษณ์ในบริเวณพื้นที่ชายแดนของไทย ทั้งส่วนของแรงงานที่ได้รับใบอนุญาตผ่อนผันทำงานและแรงงานต่างด้าวที่ผิดกฎหมาย พบว่า การที่สื่อไทยสามารถสร้างแรงดึงดูดได้มากกว่าสื่อลาว ซึ่งถูกกำหนดให้ทำหน้าที่ทางการเมือง และความได้เปรียบในเรื่องภาษา ที่มีความเข้าใจภาษาลาวมากกว่าภาษาอื่น ประกอบกับการที่รัฐบาลลาวไม่มีนโยบายในการปิดกั้นไม่ให้ประชาชนเข้าถึงสื่อต่างประเทศ ทำให้กลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียรับทราบข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เกี่ยวกับไทยได้อีกช่องทางหนึ่ง"
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการได้รับสื่อโทรทัศน์ของไทยทุกวัน นั่นจึงเป็นผลสืบเนื่องที่ทำให้ชาวลาวชอบประเทศไทยมากที่สุดในบรรดาประเทศในภูมิภาคอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ
แต่ในอีกแง่มุมหนึ่ง "อดิศร" บอกว่า เรายังพบปัญหาแรงงานในประเทศลาวว่าค่าจ้างแรงงานของลาวค่อนข้างต่ำและมักไม่มีงานทำหลังจากการเก็บเกี่ยว นั่นจึงส่งผลกระทบเกิดภาวะการว่างงานของลาว ดังนั้นการหางานทำในประเทศของตนจึงเป็นไปได้ยาก
"นั่นจึงนำไปสู่ข้อสรุปที่ว่า แรงงานลาวนึกถึงความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจของไทยเป็นสำคัญ เพราะยังคงมองว่าไทยเป็นต้นแบบการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้านที่จะทำให้เขามีคุณภาพที่ดีขึ้น และเศรษฐกิจไทยยังมีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของลาว ทั้งยังเป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญ เป็นแหล่งงานของภูมิภาค จึงเป็นเหตุผลทำให้แรงงานลาวตัดสินใจอยากมาทำงานในประเทศไทยอยู่"
แต่ในทางตรงกันข้าม ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้แรงงานลาวรู้สึกไม่ชอบประเทศไทยอย่างมากนั่นก็คือ การที่คนไทยมักดูถูกคนลาวมากน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลที่ไปประสบพบเจอมา
"อดิศร" ยอมรับว่า จากการวิจัยในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา มักไม่พบการสำรวจในเชิงของทัศนคติปลายเปิดจากแรงงานมากนัก เพราะส่วนใหญ่เน้นหนักไปในเรื่องการศึกษาการค้ามนุษย์ การใช้แรงงานเด็กเสียมากกว่า
แล้วโดยส่วนตัวเขามองว่า ยิ่งในยุคสมัยใหม่ที่การมองให้เห็นถึงเชิงทัศนคติเป็นส่วนที่จำเป็นมาก เพราะเราจะได้ทราบถึงทัศนคติที่มีอยู่ของแต่ละบุคคล เพื่อจะได้สร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างประเทศแบบสมัยใหม่ได้ด้วย
"สิ่งหนึ่งที่ผมอยากให้ลองทบทวนดู ในฐานะที่เป็นภาคประชาชนคนหนึ่ง สิ่งที่เราต้องตระหนักก็คือ การสร้างความสัมพันธ์อันดีของ 2 ประเทศ ซึ่งนั่นจะนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนได้ในอนาคต"
ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการสร้างการเดินหน้าสู่การเป็นพลเมืองอาเซียนร่วมกันของทั้งแรงงานชาวลาวและแรงงานอีกหลายเชื้อชาติในภูมิภาคนี้
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ดังนั้น เพื่อมองให้เห็นถึงภาพมุมมองเดียวกัน สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงได้จัดสัมมนาวิชาการในหัวข้อ "จากอุษาคเนย์ถึงแดนอาทิตย์อุทัย สถานะของชนกลุ่มน้อยและแรงงานข้ามชาติในศักราชใหม่"
"อดิศร เสมแย้ม" นักวิจัยสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เจ้าของงานวิจัยหัวข้อ "ลาวมองไทย เปิดโลกทัศน์แรงงานข้ามชาติ" ได้เปิดมุมมองเรื่องนี้ไว้ว่า เหตุที่เลือกทำงานวิจัยเรื่องทัศนคติของแรงงานลาวที่มีต่อคนไทยนั้น สืบเนื่องมาจากยังไม่ค่อยมีการศึกษาในเรื่องการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นในกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคประชาชน ซึ่งเชื่อว่าสื่อยังคงมีบทบาทในการติดต่อและสานสัมพันธ์ระหว่างประเทศในสังคมสมัยใหม่ที่เป็นสังคมข่าวสารและโลกไร้พรมแดนอยู่ ซึ่งรัฐไม่สามารถควบคุมหรือกำหนดการรับรู้และความเข้าใจของประชาชนได้ว่ามีมุมมอง การรับรู้ และความเข้าใจต่อไทยอย่างไรบ้าง
"ผมจึงเริ่มทำวิจัยโดยเริ่มจากการเก็บข้อมูลโดยใช้การสัมภาษณ์ในบริเวณพื้นที่ชายแดนของไทย ทั้งส่วนของแรงงานที่ได้รับใบอนุญาตผ่อนผันทำงานและแรงงานต่างด้าวที่ผิดกฎหมาย พบว่า การที่สื่อไทยสามารถสร้างแรงดึงดูดได้มากกว่าสื่อลาว ซึ่งถูกกำหนดให้ทำหน้าที่ทางการเมือง และความได้เปรียบในเรื่องภาษา ที่มีความเข้าใจภาษาลาวมากกว่าภาษาอื่น ประกอบกับการที่รัฐบาลลาวไม่มีนโยบายในการปิดกั้นไม่ให้ประชาชนเข้าถึงสื่อต่างประเทศ ทำให้กลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียรับทราบข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เกี่ยวกับไทยได้อีกช่องทางหนึ่ง"
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการได้รับสื่อโทรทัศน์ของไทยทุกวัน นั่นจึงเป็นผลสืบเนื่องที่ทำให้ชาวลาวชอบประเทศไทยมากที่สุดในบรรดาประเทศในภูมิภาคอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ
แต่ในอีกแง่มุมหนึ่ง "อดิศร" บอกว่า เรายังพบปัญหาแรงงานในประเทศลาวว่าค่าจ้างแรงงานของลาวค่อนข้างต่ำและมักไม่มีงานทำหลังจากการเก็บเกี่ยว นั่นจึงส่งผลกระทบเกิดภาวะการว่างงานของลาว ดังนั้นการหางานทำในประเทศของตนจึงเป็นไปได้ยาก
"นั่นจึงนำไปสู่ข้อสรุปที่ว่า แรงงานลาวนึกถึงความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจของไทยเป็นสำคัญ เพราะยังคงมองว่าไทยเป็นต้นแบบการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้านที่จะทำให้เขามีคุณภาพที่ดีขึ้น และเศรษฐกิจไทยยังมีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของลาว ทั้งยังเป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญ เป็นแหล่งงานของภูมิภาค จึงเป็นเหตุผลทำให้แรงงานลาวตัดสินใจอยากมาทำงานในประเทศไทยอยู่"
แต่ในทางตรงกันข้าม ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้แรงงานลาวรู้สึกไม่ชอบประเทศไทยอย่างมากนั่นก็คือ การที่คนไทยมักดูถูกคนลาวมากน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลที่ไปประสบพบเจอมา
"อดิศร" ยอมรับว่า จากการวิจัยในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา มักไม่พบการสำรวจในเชิงของทัศนคติปลายเปิดจากแรงงานมากนัก เพราะส่วนใหญ่เน้นหนักไปในเรื่องการศึกษาการค้ามนุษย์ การใช้แรงงานเด็กเสียมากกว่า
แล้วโดยส่วนตัวเขามองว่า ยิ่งในยุคสมัยใหม่ที่การมองให้เห็นถึงเชิงทัศนคติเป็นส่วนที่จำเป็นมาก เพราะเราจะได้ทราบถึงทัศนคติที่มีอยู่ของแต่ละบุคคล เพื่อจะได้สร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างประเทศแบบสมัยใหม่ได้ด้วย
"สิ่งหนึ่งที่ผมอยากให้ลองทบทวนดู ในฐานะที่เป็นภาคประชาชนคนหนึ่ง สิ่งที่เราต้องตระหนักก็คือ การสร้างความสัมพันธ์อันดีของ 2 ประเทศ ซึ่งนั่นจะนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนได้ในอนาคต"
ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการสร้างการเดินหน้าสู่การเป็นพลเมืองอาเซียนร่วมกันของทั้งแรงงานชาวลาวและแรงงานอีกหลายเชื้อชาติในภูมิภาคนี้
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ยักษ์ตื่น !!?
ผมคุยนอกรอบกับท่านประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน 'ผาณิต นิติทัณฑ์ประภาศ' หลังแถลงข่าวเรื่องผลการตรวจสอบประมวลจริยธรรม ของนายกรัฐมนตรี 'ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 'นลินี ทวีสิน' รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 'ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ' และรายสุดท้ายคือ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี 'อำพน กิตติอำพน' ถึงเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยมีผู้เสนอให้ยุบรวมองค์กรอิสระบางองค์กรเข้าด้วยกันในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่กำลังจะมาถึง
ท่านประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน บอกว่า "มันเป็นเรื่องไม่เที่ยง พวกเรา(ผู้ตรวจการแผ่นดิน)มีกันแค่สามคน เขาจะแก้หรือจะทำอะไรยิ่งง่ายใหญ่"
ผม บอกท่านไปว่ามันไม่แฟร์ โดยเฉพาะวันนี้การที่ผู้ที่ผู้ตรวจการสามท่านลงมติเหมือนหันสปอร์ตไลท์ไปที่ ตัวนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ฝ่ายการเมืองอาจจะไม่พอใจ
ท่านประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ย้ำกับผมอีกว่า "เรา ทำใจได้ อะไรที่เกิดขึ้น ก็ย่อมมีดับไป เราทำงานข้าราชการ มันก็มีวันเกษียณอายุราชการ ทำงานเอกชนก็มีวันหนึ่งที่เขาบอกเลิกจ้างเรา หรือบริษัทเลิกกิจการ"
ผมยังไม่ย่อท้อที่จะแย้งท่านประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ว่า "แต่ที่ผู้ตรวจการแผ่นดินไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์หรือผลกำไรให้องค์กรผู้ตรวจการแผ่นดิน แต่นี่ทำเพื่อประเทศชาติโดยแท้"
ท่านประธานผาณิต บอกผมว่า "ทุกอย่างขอให้เป็นเรื่องอนาคต"
ครับ ผมเห็นด้วยว่าเป็นเรื่องอนาคต แต่ก็ไม่ควรที่จะลืมซึ่งอดีตเพราะไม่เช่นนั้นการพัฒนาประชาธิปไตยจะไร้ฐานราก
สำหรับผมแล้ว ผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้แสดงให้เห็นว่าเป็น 'ยักษ์ที่เพิ่งตื่นจากหลับใหล' เสียดายที่ยักษ์ตนนี้ตื่นสายไป เพราะมาตื่นเอาเมื่อวันที่การเมือง กำลังจะเขย่ารัฐธรรมนูญ และเป็นไปได้ที่จะทำลายซึ่งองค์กรควบคุมจริยธรรมนักการเมืองแห่งนี้
ห้วง หนึ่งของการเมือง ที่ความประพฤติแม้ไม่มีใบเสร็จมามัดการกระทำความผิด แต่สังคมตระหนักรู้ว่าการกระทำของนักการเมืองผู้นั้นไร้ซึ่งคุณธรรม จริยธรรม แต่ไม่มีใครชี้ผิด นักการเมืองจึง 'ย่ามใจ' ตัดสินใจ 'บุ่มบ่าม' เพราะสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองแบบผิดๆ โกงได้แต่ต้องไม่ให้มีใบเสร็จมามัดตัวเอง
ดังนั้น ผู้ร่างรัฐธรรมนูญ 2550 จึงกลับมามองว่าที่บ้านเมืองไม่มีพัฒนาการ เพราะมาตรฐานทาง'จริยธรรม'นักการเมืองไม่มี
ผู้ร่างรัฐธรรมนูญ 2550 จึงกำหนดให้มีผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยแก้ไขจุดบกพร่องในอดีต
ในอดีตปี พ.ศ.2517 คณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญได้บัญญัติให้มี 'ผู้ตรวจราชการแผ่นดินของรัฐสภา' ไว้ในร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2517 แต่ในขั้นสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้ปรับปรุงร่างรัฐธรรมนูญโดยตัดผู้ตรวจการแผ่นดินออกไป
ใน ปี พ.ศ.2538 เกิดแรงผลักดันอย่างจริงจังในการที่จะบัญญัติสถาบันผู้ตรวจการรัฐสภาไว้ ในรัฐธรรมนูญของประเทศไทย โดยแก้ไขเพิ่มเติมรัฐ ธรรมนูญ พุทธศักราช 2534 ฉบับที่ 5 ปีพุทธศักราช 2538 โดยบัญญัติในมาตรา 162 ทวิ ดังนี้
“พระ มหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งผู้ตรวจการรัฐสภามีจำนวนไม่เกินห้าคน ตามมติของรัฐสภาและให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่ง ตั้งผู้ตรวจการรัฐสภา”
แต่เนื่องจากไม่มีบทบังคับในเรื่องระยะเวลาการดำเนินการจึงไม่มีการตั้งผู้ตรวจการแผ่นดิน
ภาย หลังจากมีกระแสผลักดันให้มีการปฏิรูปการเมือง จนกระทั่งได้นำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2534 โดยแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 211 เรื่องการตั้งคณะกรรมการสภาร่างรัฐธรรมนูญ การจัดตั้งระบบผู้ตรวจการแผ่นดินจึงประสบความสำเร็จ โดยใช้ชื่อว่า “ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา” และได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ 2540 หมวด 6 รัฐสภา ส่วนที่ 7 ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา
1 เมษายน 2543 ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง 'พิเชต สุนทรพิพิธ' เป็นผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาคนแรกของไทย
หลัง รัฐประหาร 2549 มีการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จและจัดให้มีการออกเสียงประชามติ ผลปรากฏว่าประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งโดยเสียงข้างมากเห็นชอบให้นำร่างรัฐ ธรรมนูญ 2550 มาใช้เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2550 ซึ่งยังคงระบบผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ พร้อมทั้งมอบอำนาจหน้าที่เพิ่มเติมให้อีกหลายประการ และเปลี่ยนแปลงชื่อจาก 'ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา' เป็น 'ผู้ตรวจการแผ่นดิน'
'ผู้ ตรวจการแผ่นดิน'ทำให้เป็นที่ประจักษ์ถึงความจำเป็นที่ต้องควบคุมจริยธรรม นักการเมือง เพราะไม่ว่ายุคสมัยใด 'สันดาน' นักการเมืองไม่เคยเปลี่ยน
ที่มา:กรุงเทพธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันพุธที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2555
พลังท้าทายที่เป็นจริง....
ภาพที่ปรากฎ ณ โบนันซ่า เขาใหญ่เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มันเป็นสิ่งที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงสำหรับคนที่เป็นปรปักษณ์กับกลุ่มคนเสื้อแดง
เพราะบนเนื้อที่ประมาณ 300 ไร่ที่อยู่ท่ามกลางขุนเขาในวันนั้น มองไปทางไหนก็เห็นแต่สีแดงที่แน่นขนัดไปหมดทุกทิศทุกทาง
พื้นที่ 300 ไร่ เท่ากับ 120,000 ตารางวา หรือ 480,000 ตารางเมตร
ดังนั้น หากประเมินอย่างหยาบๆ ที่สุดแล้ว กลุ่มคนเสื้อแดงไปชุมนุมกันในวันนั้นจะไม่น้อยกว่า 240,000 คน ในขณะที่ฝ่ายตำรวจประเมินว่า มีคนไปร่วมชุมนุมประมาณ 50,000 คน
คนเสื้อแดงหรือแนวร่วมต่อต้านเผด็จการแห่งชาติจัดชุมนุมในวันนั้น เพื่อ “ต้านรัฐประหาร สานต่อรัฐธรรมนูญ” เป็นการชุมนุมใหญ่ที่สุดครั้งแรกนับตั้งแต่พวกเขาถูกรัฐบาลของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ พรรคประชาธิปัตย์ ใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามในการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย ณ บริเวณสี่แยกราชประสงค์เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553
ซึ่งยังผลให้มีผู้เสียชีวิต 92 ศพ บาดเจ็บประมาณ 2,000 คน และมีคนถูกจับกุมคุมขังหลายร้อยคน
แต่ภายหลังจากที่ถูกปราบปรามเข่นฆ่ากลางเมืองหลวง...จนคนที่มีใจรักความเป็นธรรมไม่สามารถจะยอมรับได้และก่นด่าประนามกันทั้งโลก...คนเสื้อแดงก็ไม่ได้หลบลี้หนีหายไปไหน
พวกเขายังคงยืนหยัดต่อสู้เรียกร้องสิทธิประชาธิปไตยที่แท้จริงของประชาชนต่อไป
พวกเขายังคงยืนหยัดชุมนุมและต่อสู้ด้วยรูปแบบต่างๆ โดยไม่หวาดหวั่นต่อการข่มขู่คุกคามจากอำนาจรัฐ ทำให้คำกล่าวที่ว่า “ตายสิบเกิดแสน” เป็นความจริง
ขณะเดียวกัน พวกเขาก็ได้พัฒนาจากการมี “ตาสว่าง” ไปเป็นการ “ก้าวข้ามความตาย”และการก้าวข้ามสิ่งอื่นๆ
รวมทั้ง “การก้าวข้ามทักษิณ” ไปเป็นการมุ่งมั่นต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริงของประชาชน
ได้เป็นที่ยอมรับว่า...ชัยชนะแบบถล่มทะลายของพรรคเพื่อไทยและคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตรในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคมนั้น เกิดจากพลังของคนเสื้อแดง
ซึ่งมันพิสูจน์ว่า...ขณะนี้คนเสื้อแดงมีอยู่ไม่น้อยกว่า 15 ล้านคน
พวกเขาไม่เพียงแต่เติบใหญ่ในด้านปริมาณ แต่นักวิชาการจำนวนมากได้ยอมรับว่า บัดนี้พลังเสื้อแดงในชนบทได้พัฒนาเป็นชนชั้นกลางแล้ว อันเป็นการพัฒนาทางด้านคุณภาพ
และพวกเขาก็ยังมีปัญญาชนชั้นสูงและชั้นกลางมาร่วมสามัคคีในเส้นทางการต่อสู้มากยิ่งขึ้นตามลำดับ มิพักจะต้องพูดถึงปัญญาชนชั้นล่างอันเป็นพลังพื้นฐานที่หล่อหลอมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับคนรากหญ้าทั้งหลายในสังคมชนบทอยู่แล้ว
ความเป็นจริงดังกล่าวนี้ มันจึงทำให้เกิดปรากฎการณ์ “แดงทั้งแผ่นดิน” แน่นขนัดเขาใหญ่ เพียงแค่มีการนัดหมายกันว่า...คนเสื้อแดงจะแสดงพลัง “ต้านรัฐประหาร สานต่อรัฐธรรมนูญ” เท่านั้น
การแสดงพลังดังกล่าวเป็นไปอย่างที่อำนาจใดๆ ไม่ว่าอำนาจรัฐหรืออำนาจเงินไม่สามารถจะดลบรรดาลให้เกิดขึ้นได้ เว้นเสียแต่การมีอุดมการณ์ร่วมกันอย่างแน่นแฟ้น เป็นอุดมการณ์ที่เรียกร้องต้องการในสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย
ภาพที่ปรากฎให้เห็นจึงน่าประหวั่นพรั่นพรึงสำหรับคนที่ฝักใฝ่อำนาจเผด็จการและการกดขี่ ยิ่ง อาจารย์ธิดา ถาวรเศรษฐ ประธาน นปช.ประกาศว่า...
วันนี้คนเสื้อแดงขอท้าทายว่าใครที่จะทำรัฐประหาร โปรดดูภาพของคนเสื้อแดงที่โบนันซ่านี้ แล้วลองคิดดูว่าท่านจะกล้าทำรัฐประหารในประเทศไทยอีกหรือไม่?
จะยอมรับหรือไม่ก็ตามที สิ่งที่เห็นที่โบนันซ่าวันนั้น เป็นพลังท้าทายที่แท้จริง ซึ่งผู้มีอำนาจจะต้องเตือนตัวเองว่าอย่าได้คิดทดสอบพลังนี้เป็นอันขาด
เว้นเสียแต่อยากจะทำลายตัวเอง
โดย:คนชายขอบ (ศรี อินทปันตี)
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เพราะบนเนื้อที่ประมาณ 300 ไร่ที่อยู่ท่ามกลางขุนเขาในวันนั้น มองไปทางไหนก็เห็นแต่สีแดงที่แน่นขนัดไปหมดทุกทิศทุกทาง
พื้นที่ 300 ไร่ เท่ากับ 120,000 ตารางวา หรือ 480,000 ตารางเมตร
ดังนั้น หากประเมินอย่างหยาบๆ ที่สุดแล้ว กลุ่มคนเสื้อแดงไปชุมนุมกันในวันนั้นจะไม่น้อยกว่า 240,000 คน ในขณะที่ฝ่ายตำรวจประเมินว่า มีคนไปร่วมชุมนุมประมาณ 50,000 คน
คนเสื้อแดงหรือแนวร่วมต่อต้านเผด็จการแห่งชาติจัดชุมนุมในวันนั้น เพื่อ “ต้านรัฐประหาร สานต่อรัฐธรรมนูญ” เป็นการชุมนุมใหญ่ที่สุดครั้งแรกนับตั้งแต่พวกเขาถูกรัฐบาลของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ พรรคประชาธิปัตย์ ใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามในการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย ณ บริเวณสี่แยกราชประสงค์เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553
ซึ่งยังผลให้มีผู้เสียชีวิต 92 ศพ บาดเจ็บประมาณ 2,000 คน และมีคนถูกจับกุมคุมขังหลายร้อยคน
แต่ภายหลังจากที่ถูกปราบปรามเข่นฆ่ากลางเมืองหลวง...จนคนที่มีใจรักความเป็นธรรมไม่สามารถจะยอมรับได้และก่นด่าประนามกันทั้งโลก...คนเสื้อแดงก็ไม่ได้หลบลี้หนีหายไปไหน
พวกเขายังคงยืนหยัดต่อสู้เรียกร้องสิทธิประชาธิปไตยที่แท้จริงของประชาชนต่อไป
พวกเขายังคงยืนหยัดชุมนุมและต่อสู้ด้วยรูปแบบต่างๆ โดยไม่หวาดหวั่นต่อการข่มขู่คุกคามจากอำนาจรัฐ ทำให้คำกล่าวที่ว่า “ตายสิบเกิดแสน” เป็นความจริง
ขณะเดียวกัน พวกเขาก็ได้พัฒนาจากการมี “ตาสว่าง” ไปเป็นการ “ก้าวข้ามความตาย”และการก้าวข้ามสิ่งอื่นๆ
รวมทั้ง “การก้าวข้ามทักษิณ” ไปเป็นการมุ่งมั่นต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริงของประชาชน
ได้เป็นที่ยอมรับว่า...ชัยชนะแบบถล่มทะลายของพรรคเพื่อไทยและคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตรในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคมนั้น เกิดจากพลังของคนเสื้อแดง
ซึ่งมันพิสูจน์ว่า...ขณะนี้คนเสื้อแดงมีอยู่ไม่น้อยกว่า 15 ล้านคน
พวกเขาไม่เพียงแต่เติบใหญ่ในด้านปริมาณ แต่นักวิชาการจำนวนมากได้ยอมรับว่า บัดนี้พลังเสื้อแดงในชนบทได้พัฒนาเป็นชนชั้นกลางแล้ว อันเป็นการพัฒนาทางด้านคุณภาพ
และพวกเขาก็ยังมีปัญญาชนชั้นสูงและชั้นกลางมาร่วมสามัคคีในเส้นทางการต่อสู้มากยิ่งขึ้นตามลำดับ มิพักจะต้องพูดถึงปัญญาชนชั้นล่างอันเป็นพลังพื้นฐานที่หล่อหลอมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับคนรากหญ้าทั้งหลายในสังคมชนบทอยู่แล้ว
ความเป็นจริงดังกล่าวนี้ มันจึงทำให้เกิดปรากฎการณ์ “แดงทั้งแผ่นดิน” แน่นขนัดเขาใหญ่ เพียงแค่มีการนัดหมายกันว่า...คนเสื้อแดงจะแสดงพลัง “ต้านรัฐประหาร สานต่อรัฐธรรมนูญ” เท่านั้น
การแสดงพลังดังกล่าวเป็นไปอย่างที่อำนาจใดๆ ไม่ว่าอำนาจรัฐหรืออำนาจเงินไม่สามารถจะดลบรรดาลให้เกิดขึ้นได้ เว้นเสียแต่การมีอุดมการณ์ร่วมกันอย่างแน่นแฟ้น เป็นอุดมการณ์ที่เรียกร้องต้องการในสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย
ภาพที่ปรากฎให้เห็นจึงน่าประหวั่นพรั่นพรึงสำหรับคนที่ฝักใฝ่อำนาจเผด็จการและการกดขี่ ยิ่ง อาจารย์ธิดา ถาวรเศรษฐ ประธาน นปช.ประกาศว่า...
วันนี้คนเสื้อแดงขอท้าทายว่าใครที่จะทำรัฐประหาร โปรดดูภาพของคนเสื้อแดงที่โบนันซ่านี้ แล้วลองคิดดูว่าท่านจะกล้าทำรัฐประหารในประเทศไทยอีกหรือไม่?
จะยอมรับหรือไม่ก็ตามที สิ่งที่เห็นที่โบนันซ่าวันนั้น เป็นพลังท้าทายที่แท้จริง ซึ่งผู้มีอำนาจจะต้องเตือนตัวเองว่าอย่าได้คิดทดสอบพลังนี้เป็นอันขาด
เว้นเสียแต่อยากจะทำลายตัวเอง
โดย:คนชายขอบ (ศรี อินทปันตี)
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ดับฝันแต่ต้นลม !!?
คิดว่าจะมีพาวเวอร์สูง แต่คิดผิดถนัดอย่างแรง สำหรับตัว “บิ๊กโอ๋” พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ไม่โดดเดี่ยว ดุดันทุรัง สมกับเป็น “ทหารนักบู๊”
หนำซ้ำ คุมทหารนอกแถว ยังไม่อยู่
รู้ทั้งรู้ “รัฐบาลปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เจอรายการเจาะยาง เพื่อปฏิวัติโค่นอำนาจเป็นรายวัน
นึกว่า “บิ๊กโอ๋”จะเด็ดเดี่ยว..ทีแท้ก็พวกไร้เขี้ยว?..ปล่อยให้พวกมันเฮี้ยว คิดแต่จะล้มรัฐบาล
++++++++++++++++++++++++++++++++++
จุดตายเป็นตับ
แผล “รัฐบาลปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีแค่สิว ๆ แต่ปล่อยให้มันหวด อย่างจั๋งหนับ
จากเรื่องมุสาวาทา ว. ๕ โฟร์ซีชั่นชั้น ๗..ถึงเรื่อง “บิ๊กเหลิม” ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง เมาเดินเซกลางสภาฯ
ที่ประณาม กล่าวหาเขานั้น ล้วนปั้นน้ำแข็งเป็นตัว ทั้งนั้นแหละจ้า
ที่พยายามสร้างรอยด่างอย่างสุดทิ่ม เพื่อกลบรอยชั่ว ..ผู้บังการสั่งฆ่าประชาชน ๙๑ ศพ..ดีสเครดิต “บิ๊กเหลิม”เพื่อให้ล้มละลาย ทางสาธารณะ
ตีคนอื่นดัง ๆ ...ก็เพื่อกลบฝัง....คดีสั่งฆ่าประชาชนกันเจ้าค่ะ
+++++++++++++++++++++++++++++++++
แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน
เทพเจ้าสะตอ “ชวน หลีกภัย” ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ออกลูกเหวอตลอดแล้วล่ะท่าน
ยกก้นคนภาคใต้ เป็นผู้ที่มีอุดมการณ์ซื่อตรง
งั้น,ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก ..เป็นพวกงี่เง่า ต้องโดนสาปส่ง
จนแล้วจนรอด ยังไม่รู้สัจจะธรรมแห่งความเป็นจริง..ว่านักการเมือง “ที่ดีแต่พูด” แต่ทำงานไม่เป็นสับปะรดขลุ่ยนั้น ชาวบ้านเขาหันหลังหนี ไม่มาแยแส
ด่าคนภาคอื่นให้เขาหงุดหงิด....แต่ไม่เคยมองตัวเองสักนิด...ที่สำคัญ ทำผิดก็ไม่เคย คิดแก้
++++++++++++++++++++++++++++++++
นิ่งเป็นน้ำแข็ง
ไม่ออกอาการเป๋ หรือซวนเซ ถึง “มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จะจัดเกิดหนัก เปิดเกมแรง
แต่ “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินตามกรอบระเบียบเป๊ะ เหมือนกับ “อดีตนายกรัฐมนตรี” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และ รัฐบุรุษ
ใช้กุศโลบาย เฉยไว้ ..ไม่ต้องพูด
เมื่อไม่ก่อความยาว สาวความยืดด้วย “ประชาธิปัตย์” จึงชกลม หมดแรงข้าวต้มไปเอง
ไม่ก่อเรื่องให้ยุ่ง..พวกนี้ก็ไม่มีอะไรมากระทุ้ง...โถ,เขาเป็นพวก พูดน้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง
++++++++++++++++++++++++++++++++
ก่อชนวน ตีร่วน อย่างไร้ค่า
ตั้งป้อม สร้างสถานการณ์ ไม่ให้คนใต้ คนเมืองเพชร รับ “เต้น-ตู่” ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรฯ และ จตุพร พรหมพันธุ์ ..คิดแบบคน ไร้ปัญญา
ที่บางพรรค?.. กลายเป็นหมาหัวเน่า ขนาดหัวหน้าพรรคอดีตเคยเป็นนายกรัฐมนตรี..เพราะไปภาคเหนือ ภาคอีสานไม่ได้ เป็นเพราะอะไร
เพราะการสร้าง “ภาคนิยม” ผิด ๆ ใช่หรือเปล่าเจ้านาย
ก้อ,เพราะคิดสร้างสถานการณ์ผิด อย่างพวก “กบอยู่ในกะลาครอบ” ..ประชาชนจึงมอง กลุ่มนี้ในแง่ไม่ดี
ทำแต่เรื่องเหม็นหึ่ง...ทั้งที่สุนัขก็เลียก้นไม่ถึง... เมื่อไหร่จึงจะสำนึกได้เสียที
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////
ไม่โดดเดี่ยว ดุดันทุรัง สมกับเป็น “ทหารนักบู๊”
หนำซ้ำ คุมทหารนอกแถว ยังไม่อยู่
รู้ทั้งรู้ “รัฐบาลปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เจอรายการเจาะยาง เพื่อปฏิวัติโค่นอำนาจเป็นรายวัน
นึกว่า “บิ๊กโอ๋”จะเด็ดเดี่ยว..ทีแท้ก็พวกไร้เขี้ยว?..ปล่อยให้พวกมันเฮี้ยว คิดแต่จะล้มรัฐบาล
++++++++++++++++++++++++++++++++++
จุดตายเป็นตับ
แผล “รัฐบาลปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีแค่สิว ๆ แต่ปล่อยให้มันหวด อย่างจั๋งหนับ
จากเรื่องมุสาวาทา ว. ๕ โฟร์ซีชั่นชั้น ๗..ถึงเรื่อง “บิ๊กเหลิม” ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง เมาเดินเซกลางสภาฯ
ที่ประณาม กล่าวหาเขานั้น ล้วนปั้นน้ำแข็งเป็นตัว ทั้งนั้นแหละจ้า
ที่พยายามสร้างรอยด่างอย่างสุดทิ่ม เพื่อกลบรอยชั่ว ..ผู้บังการสั่งฆ่าประชาชน ๙๑ ศพ..ดีสเครดิต “บิ๊กเหลิม”เพื่อให้ล้มละลาย ทางสาธารณะ
ตีคนอื่นดัง ๆ ...ก็เพื่อกลบฝัง....คดีสั่งฆ่าประชาชนกันเจ้าค่ะ
+++++++++++++++++++++++++++++++++
แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน
เทพเจ้าสะตอ “ชวน หลีกภัย” ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ออกลูกเหวอตลอดแล้วล่ะท่าน
ยกก้นคนภาคใต้ เป็นผู้ที่มีอุดมการณ์ซื่อตรง
งั้น,ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก ..เป็นพวกงี่เง่า ต้องโดนสาปส่ง
จนแล้วจนรอด ยังไม่รู้สัจจะธรรมแห่งความเป็นจริง..ว่านักการเมือง “ที่ดีแต่พูด” แต่ทำงานไม่เป็นสับปะรดขลุ่ยนั้น ชาวบ้านเขาหันหลังหนี ไม่มาแยแส
ด่าคนภาคอื่นให้เขาหงุดหงิด....แต่ไม่เคยมองตัวเองสักนิด...ที่สำคัญ ทำผิดก็ไม่เคย คิดแก้
++++++++++++++++++++++++++++++++
นิ่งเป็นน้ำแข็ง
ไม่ออกอาการเป๋ หรือซวนเซ ถึง “มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จะจัดเกิดหนัก เปิดเกมแรง
แต่ “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินตามกรอบระเบียบเป๊ะ เหมือนกับ “อดีตนายกรัฐมนตรี” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และ รัฐบุรุษ
ใช้กุศโลบาย เฉยไว้ ..ไม่ต้องพูด
เมื่อไม่ก่อความยาว สาวความยืดด้วย “ประชาธิปัตย์” จึงชกลม หมดแรงข้าวต้มไปเอง
ไม่ก่อเรื่องให้ยุ่ง..พวกนี้ก็ไม่มีอะไรมากระทุ้ง...โถ,เขาเป็นพวก พูดน้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง
++++++++++++++++++++++++++++++++
ก่อชนวน ตีร่วน อย่างไร้ค่า
ตั้งป้อม สร้างสถานการณ์ ไม่ให้คนใต้ คนเมืองเพชร รับ “เต้น-ตู่” ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรฯ และ จตุพร พรหมพันธุ์ ..คิดแบบคน ไร้ปัญญา
ที่บางพรรค?.. กลายเป็นหมาหัวเน่า ขนาดหัวหน้าพรรคอดีตเคยเป็นนายกรัฐมนตรี..เพราะไปภาคเหนือ ภาคอีสานไม่ได้ เป็นเพราะอะไร
เพราะการสร้าง “ภาคนิยม” ผิด ๆ ใช่หรือเปล่าเจ้านาย
ก้อ,เพราะคิดสร้างสถานการณ์ผิด อย่างพวก “กบอยู่ในกะลาครอบ” ..ประชาชนจึงมอง กลุ่มนี้ในแง่ไม่ดี
ทำแต่เรื่องเหม็นหึ่ง...ทั้งที่สุนัขก็เลียก้นไม่ถึง... เมื่อไหร่จึงจะสำนึกได้เสียที
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันอังคารที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2555
รร.นายร้อย จปร.พลิกกลยุทธ์ เล็งเปิดรับ ม.6 ต่อป.ตรี วิทย์-วิศวะ-ศิลปศาสตร์ โควต้า ปีละ 30%....
โรงเรียนนายร้อย จปร.พลิกกลยุทธ์ใหม่ เล็งเปิดรับนักเรียน ม.6 ศึกษาต่อระดับปริญญาตรี กำหนดโควตาปีละ 30% ชู 3 ปริญญา "วิทยาศาสตร์-วิศวกรรม-ศิลปศาสตร์" เป็นจุดขายตอบโจทย์โลกการศึกษายุคใหม่ นักวิชาการชี้ปรับเปลี่ยนค่านิยมในทางที่ดี หนุนให้วุฒิทหารควบคู่วุฒิการศึกษาตามปกติ
ข่าวจากกระทรวงกลาโหมเปิดเผย ว่า โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า, โรงเรียนนายเรือ และโรงเรียนนายเรืออากาศ มีแนวคิดที่จะเปิดรับบุคคลพลเรือนที่จบการศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เข้ารับการศึกษาใน 3 สถาบันการศึกษาดังกล่าว จากเดิมที่รับเฉพาะผู้ที่จบการศึกษาจากโรงเรียนเตรียมทหาร สาเหตุมาจากปัจจุบันโรงเรียนเตรียมทหารมีการรับบุคคลเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารน้อยลง ทำให้มีนักเรียนเตรียมทหารเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า โรงเรียนนายเรือ และโรงเรียนนายเรืออากาศน้อยลงด้วย ไม่สอดคล้องกับความพร้อมและศักยภาพของทั้งโรงเรียนในสังกัดเหล่าทัพทั้ง 3 โรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นด้านอาคาร สถานที่ และบุคลากร
ดังนั้นเพื่อให้มีการกระจายโอกาสทางการศึกษา และสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างทหารกับพลเรือน รวมทั้งมีการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า จึงประสงค์จะรับบุคคลพลเรือนที่สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เข้าศึกษาในโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า, โรงเรียนนายเรือ และโรงเรียนนายเรืออากาศ โดยกำหนดสัดส่วนการรับนักเรียนที่เป็นพลเรือนประมาณร้อยละสามสิบ สำหรับการเปิดสอนจะเปิดสอนเฉพาะสาขาวิชาที่มีความพร้อม ได้แก่ หลักสูตรปริญญาตรีวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และศิลปศาสตร์
แหล่งข่าวกล่าวว่า ก่อนหน้านี้ กระทรวงกลาโหมได้มีหนังสือที่ กห 0202/2317 ลงวันที่ 30 กันยายน 2554 ถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อหารือถึงความเป็นไปได้ในการดำเนินการดังกล่าวว่าขัดต่อระเบียบข้อกฎหมายหรือไม่ และจะต้องดำเนินการอย่างไร
หลังคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 8) พิจารณา ได้ตอบข้อหารือว่า โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า, โรงเรียนนายเรือ และโรงเรียนนายเรืออากาศ มีลักษณะเป็นสถาบันการศึกษาเฉพาะทาง ตามมาตรา 21[1] แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ขณะเดียวกันมาตรา 5 (4)[2] แห่งพระราชบัญญัติกำหนดวิทยฐานะผู้สำเร็จวิชาการทหาร พ.ศ. 2497 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติกำหนดวิทยฐานะผู้สำเร็จวิชาการทหาร (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2533 สภาการศึกษาวิชาการทหารจึงสามารถกำหนดให้บุคคลพลเรือนผู้มีคุณสมบัติสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เข้าเป็นนักเรียนทหารได้
ส่วนจะสามารถให้ปริญญาแก่นักเรียนซึ่งเป็นบุคคลพลเรือนผู้สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรที่สภาการศึกษาวิชาการทหารอนุมัติได้หรือไม่นั้นเมื่อกระทรวงกลาโหมประสงค์จะรับบุคคลพลเรือนเข้าศึกษาในโรงเรียนนายร้อยทั้ง 3 เหล่าทัพ โดยเปิดสอนสาขาวิชาที่มีความพร้อม แต่ไม่ได้มีการศึกษาวิชาการทหาร ดังเช่นนักเรียนวิชาการทหาร บุคคลดังกล่าวย่อมไม่เป็นผู้สำเร็จวิชาการทหาร
สภาการศึกษาวิชาการทหารจึงไม่สามารถอนุมัติให้ปริญญาแก่บุคคลพลเรือนที่ไม่ได้ผ่านการศึกษาวิชาการทหารได้หากกระทรวงกลาโหมประสงค์จะจัดการศึกษาแก่บุคคลพลเรือนเช่นเดียวกับสถาบันอุดมศึกษาโดยทั่วไปก็จะต้องแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติกำหนดวิทยฐานะผู้สำเร็จวิชาการทหาร พ.ศ. 2497 กำหนดอำนาจหน้าที่ในการจัดการศึกษา และอนุมัติปริญญาสำหรับหลักสูตรการศึกษาทั่วไป และกำหนดโครงสร้างการบริหารจัดการทางวิชาการให้สอดคล้องกับมาตรฐานสถาบันอุดมศึกษาที่คณะกรรมการการอุดมศึกษากำหนดเสียก่อน
นายกำจรตติยกวีรองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา กล่าวว่า กระทรวงกลาโหมสามารถให้โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า, โรงเรียนนายเรือ และโรงเรียนนายเรืออากาศ เปิดรับพลเรือนเข้าเรียนได้ ตราบใดที่การบริหารการศึกษาเป็นไปตามมาตรฐาน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีการเปิดสอนสาขาวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับสภาวิศวกร จึงต้องให้คำตอบคำถามนักศึกษาให้ได้ว่าเมื่อจบออกมาแล้วจะได้รับใบประกอบวิชาชีพหรือไม่ เพราะการได้มาซึ่งใบประกอบวิชาชีพ สภาวิชาชีพจะต้องให้การรับรองสถาบันสอนก่อน
ด้าน รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นว่า หากโรงเรียนนายร้อยเปิดรับพลเรือนเข้าเรียนจะเป็นการดี เพราะโดยปกติโรงเรียนนายร้อยเป็นโรงเรียนที่มีค่านิยมเดียว หากพลเรือนเข้าไปเรียนด้วยจะทำให้มีความแตกต่างทางความคิดมากกว่าเดิม ความเข้มข้นของความคิดแบบทหารจะน้อยลง เช่น เรื่องรัฐประหาร ส่งผลให้ต้องปรับปรุงลักษณะการสอน และหลักสูตรให้เป็นไปตามค่านิยมของพลเรือนด้วย การสั่งสอน หรือระเบียบวินัยแบบเดิมอาจต้องเปลี่ยนเป็นวิถีประชาธิปไตยมากขึ้น ทั้งเรื่องวิธีการคิด วิธีการเรียนรู้ หรือวิถีชีวิต
"อย่างไรก็ดี หากจบจากโรงเรียนนายร้อยแล้วได้รับวุฒิการศึกษาตามสาขาวิชาอย่างเดียวอาจไม่มีใครสนใจเข้าเรียน เพราะสามารถไปเรียน 3 สาขาที่มหาวิทยาลัยอื่นเปิดสอนได้ ดังนั้นน่าจะให้วุฒิทหารด้วย หรือเปิดโอกาสให้พลเรือนที่จบโรงเรียนนายร้อยมีสิทธิ์สอบเข้ารับราชการทหาร จะดึงดูดให้คนมาเข้าเรียนมากกว่าได้รับวุฒิการศึกษาตามปกติ"
ขณะที่แหล่งข่าวจากสภาการศึกษาวิชาการทหารยอมรับว่าปัจจุบันมีนักเรียนที่สมัครสอบและสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารน้อยลงจริงอาจเป็นเพราะค่านิยมที่เปลี่ยนไป เพราะรู้สึกว่าวิชาชีพทางด้านนี้ไม่ตอบโจทย์วิชาชีพในระดับสากล ที่ต่างมุ่งไปสู่ความเป็นทุนนิยมในอนาคต ประกอบกับปัจจุบันโอกาสเลือกในเส้นทางการศึกษาเพิ่มมากขึ้น มีการเปิดหลักสูตรต่าง ๆ มากขึ้น ทั้งในระดับมัธยมศึกษาและระดับอุดมศึกษา ที่ต่างตอบสนองผู้เรียนให้มีความเป็นเลิศในวิชาชีพ
ระดับสากล สามารถเชื่อมโยงกับโลกทางการศึกษาที่เปิดกว้างขึ้น ยิ่งเฉพาะต่อประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่จะเกิดขึ้นในปี 2558
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ข่าวจากกระทรวงกลาโหมเปิดเผย ว่า โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า, โรงเรียนนายเรือ และโรงเรียนนายเรืออากาศ มีแนวคิดที่จะเปิดรับบุคคลพลเรือนที่จบการศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เข้ารับการศึกษาใน 3 สถาบันการศึกษาดังกล่าว จากเดิมที่รับเฉพาะผู้ที่จบการศึกษาจากโรงเรียนเตรียมทหาร สาเหตุมาจากปัจจุบันโรงเรียนเตรียมทหารมีการรับบุคคลเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารน้อยลง ทำให้มีนักเรียนเตรียมทหารเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า โรงเรียนนายเรือ และโรงเรียนนายเรืออากาศน้อยลงด้วย ไม่สอดคล้องกับความพร้อมและศักยภาพของทั้งโรงเรียนในสังกัดเหล่าทัพทั้ง 3 โรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นด้านอาคาร สถานที่ และบุคลากร
ดังนั้นเพื่อให้มีการกระจายโอกาสทางการศึกษา และสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างทหารกับพลเรือน รวมทั้งมีการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า จึงประสงค์จะรับบุคคลพลเรือนที่สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เข้าศึกษาในโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า, โรงเรียนนายเรือ และโรงเรียนนายเรืออากาศ โดยกำหนดสัดส่วนการรับนักเรียนที่เป็นพลเรือนประมาณร้อยละสามสิบ สำหรับการเปิดสอนจะเปิดสอนเฉพาะสาขาวิชาที่มีความพร้อม ได้แก่ หลักสูตรปริญญาตรีวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และศิลปศาสตร์
แหล่งข่าวกล่าวว่า ก่อนหน้านี้ กระทรวงกลาโหมได้มีหนังสือที่ กห 0202/2317 ลงวันที่ 30 กันยายน 2554 ถึงสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อหารือถึงความเป็นไปได้ในการดำเนินการดังกล่าวว่าขัดต่อระเบียบข้อกฎหมายหรือไม่ และจะต้องดำเนินการอย่างไร
หลังคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 8) พิจารณา ได้ตอบข้อหารือว่า โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า, โรงเรียนนายเรือ และโรงเรียนนายเรืออากาศ มีลักษณะเป็นสถาบันการศึกษาเฉพาะทาง ตามมาตรา 21[1] แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ขณะเดียวกันมาตรา 5 (4)[2] แห่งพระราชบัญญัติกำหนดวิทยฐานะผู้สำเร็จวิชาการทหาร พ.ศ. 2497 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติกำหนดวิทยฐานะผู้สำเร็จวิชาการทหาร (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2533 สภาการศึกษาวิชาการทหารจึงสามารถกำหนดให้บุคคลพลเรือนผู้มีคุณสมบัติสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เข้าเป็นนักเรียนทหารได้
ส่วนจะสามารถให้ปริญญาแก่นักเรียนซึ่งเป็นบุคคลพลเรือนผู้สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรที่สภาการศึกษาวิชาการทหารอนุมัติได้หรือไม่นั้นเมื่อกระทรวงกลาโหมประสงค์จะรับบุคคลพลเรือนเข้าศึกษาในโรงเรียนนายร้อยทั้ง 3 เหล่าทัพ โดยเปิดสอนสาขาวิชาที่มีความพร้อม แต่ไม่ได้มีการศึกษาวิชาการทหาร ดังเช่นนักเรียนวิชาการทหาร บุคคลดังกล่าวย่อมไม่เป็นผู้สำเร็จวิชาการทหาร
สภาการศึกษาวิชาการทหารจึงไม่สามารถอนุมัติให้ปริญญาแก่บุคคลพลเรือนที่ไม่ได้ผ่านการศึกษาวิชาการทหารได้หากกระทรวงกลาโหมประสงค์จะจัดการศึกษาแก่บุคคลพลเรือนเช่นเดียวกับสถาบันอุดมศึกษาโดยทั่วไปก็จะต้องแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติกำหนดวิทยฐานะผู้สำเร็จวิชาการทหาร พ.ศ. 2497 กำหนดอำนาจหน้าที่ในการจัดการศึกษา และอนุมัติปริญญาสำหรับหลักสูตรการศึกษาทั่วไป และกำหนดโครงสร้างการบริหารจัดการทางวิชาการให้สอดคล้องกับมาตรฐานสถาบันอุดมศึกษาที่คณะกรรมการการอุดมศึกษากำหนดเสียก่อน
นายกำจรตติยกวีรองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา กล่าวว่า กระทรวงกลาโหมสามารถให้โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า, โรงเรียนนายเรือ และโรงเรียนนายเรืออากาศ เปิดรับพลเรือนเข้าเรียนได้ ตราบใดที่การบริหารการศึกษาเป็นไปตามมาตรฐาน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีการเปิดสอนสาขาวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับสภาวิศวกร จึงต้องให้คำตอบคำถามนักศึกษาให้ได้ว่าเมื่อจบออกมาแล้วจะได้รับใบประกอบวิชาชีพหรือไม่ เพราะการได้มาซึ่งใบประกอบวิชาชีพ สภาวิชาชีพจะต้องให้การรับรองสถาบันสอนก่อน
ด้าน รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นว่า หากโรงเรียนนายร้อยเปิดรับพลเรือนเข้าเรียนจะเป็นการดี เพราะโดยปกติโรงเรียนนายร้อยเป็นโรงเรียนที่มีค่านิยมเดียว หากพลเรือนเข้าไปเรียนด้วยจะทำให้มีความแตกต่างทางความคิดมากกว่าเดิม ความเข้มข้นของความคิดแบบทหารจะน้อยลง เช่น เรื่องรัฐประหาร ส่งผลให้ต้องปรับปรุงลักษณะการสอน และหลักสูตรให้เป็นไปตามค่านิยมของพลเรือนด้วย การสั่งสอน หรือระเบียบวินัยแบบเดิมอาจต้องเปลี่ยนเป็นวิถีประชาธิปไตยมากขึ้น ทั้งเรื่องวิธีการคิด วิธีการเรียนรู้ หรือวิถีชีวิต
"อย่างไรก็ดี หากจบจากโรงเรียนนายร้อยแล้วได้รับวุฒิการศึกษาตามสาขาวิชาอย่างเดียวอาจไม่มีใครสนใจเข้าเรียน เพราะสามารถไปเรียน 3 สาขาที่มหาวิทยาลัยอื่นเปิดสอนได้ ดังนั้นน่าจะให้วุฒิทหารด้วย หรือเปิดโอกาสให้พลเรือนที่จบโรงเรียนนายร้อยมีสิทธิ์สอบเข้ารับราชการทหาร จะดึงดูดให้คนมาเข้าเรียนมากกว่าได้รับวุฒิการศึกษาตามปกติ"
ขณะที่แหล่งข่าวจากสภาการศึกษาวิชาการทหารยอมรับว่าปัจจุบันมีนักเรียนที่สมัครสอบและสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารน้อยลงจริงอาจเป็นเพราะค่านิยมที่เปลี่ยนไป เพราะรู้สึกว่าวิชาชีพทางด้านนี้ไม่ตอบโจทย์วิชาชีพในระดับสากล ที่ต่างมุ่งไปสู่ความเป็นทุนนิยมในอนาคต ประกอบกับปัจจุบันโอกาสเลือกในเส้นทางการศึกษาเพิ่มมากขึ้น มีการเปิดหลักสูตรต่าง ๆ มากขึ้น ทั้งในระดับมัธยมศึกษาและระดับอุดมศึกษา ที่ต่างตอบสนองผู้เรียนให้มีความเป็นเลิศในวิชาชีพ
ระดับสากล สามารถเชื่อมโยงกับโลกทางการศึกษาที่เปิดกว้างขึ้น ยิ่งเฉพาะต่อประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่จะเกิดขึ้นในปี 2558
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
จ่ายทันที 7.7ล้าน ยงยุทธ ลั่นเยียวยาไม่รอศาลปกครอง !!?
“ยงยุทธ” ยืนยันหาก ครม. เห็นชอบตามข้อเสนอพร้อมจ่ายเงินเยียวยาผู้ได้รับกระทบจากเหตุการณ์ทางการเมืองทันที ไม่จำเป็นต้องรอคำตัดสินของศาลปกครองที่ ส.ส.ประชาธิปัตย์จะไปยื่นฟ้อง ย้ำไม่ได้จ่ายให้คนผิด ไม่ได้ทำเพื่อหาเสียงกับคนเสื้อแดง ตำรวจเผย 12 มี.ค. นี้ศาลเปิดไต่สวนหาสาเหตุการตายจากการสลายการชุมนุม 4 ราย แต่ยังไม่มีชื่อ “เสธ.แดง” ด้านคดีชกหน้า “วรเจตน์” จะขอเพิ่มโทษแฝดพี่ เพราะมีคดีติดตัวที่ศาลสั่งรอลงอาญา 2 ปี
นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานประชุมคณะกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (ปคอป.) ยืนยันว่า ถ้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบกรอบวงเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์การเมืองในวันนี้ (6 มี.ค.) จะสามารถจ่ายเงินเยียวยาได้ทันที โดยเฉพาะในรายที่คดีความสิ้นสุดแล้ว
ส่วนกรณีที่นายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ จะยื่นฟ้องศาลปกครองเพื่อให้ระงับการจ่ายเยียวยานั้น นายยงยุทธยืนยันว่าไม่มีผลทำให้การจ่ายเยียวยาต้องสะดุด เพราะไม่มีการจ่ายให้กับคนที่คดีความยังไม่สิ้นสุดหรือผู้ที่กระทำความผิด
“ผมยืนยันว่าการเยียวยาไม่ได้ทำเพื่อหาเสียงกับคนเสื้อแดง”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การจ่ายเยียวยามีตัวเลขสูงสุดอยู่ที่รายละ 7.75 ล้านบาท โดยพิจารณาตามหลักเกณฑ์ขององค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น)
พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เปิดเผยว่า วันที่ 12 มี.ค. นี้ศาลจะไต่สวนสาเหตุการเสียชีวิตของคนเสื้อแดง 4 ราย ส่วนกรณีของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ยังต้องดูพยานหลักฐานเพิ่มเติมก่อนส่งให้อัยการเพื่อส่งศาลเปิดไต่สวน
สำหรับ 4 รายที่จะเปิดไต่สวนประกอบด้วย นายชาญณรงค์ พลศรีลา, พลทหารณรงค์ฤทธิ์ สาละ, นายพัน คำกอง และ ด.ช.คุณากร สิงห์สุวรรณ
ด้านความคืบหน้าคดีทำร้ายร่างกายนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แกนนำคณะนิติราษฎร์ : นิติศาสตร์เพื่อราษฎร พ.ต.อ.วิชาญญ์วัชร์ บริรักษ์กุล รอง ผบก.น.1 ระบุว่า เบื้องต้นสามารถเพิ่มโทษนายสุพจน์ ศิลารัตน์ แฝดผู้พี่ได้ เพราะมีคดีอาวุธปืนผิดมือที่ศาลสั่งรอลงอาญา 2 ปีติดตัวอยู่ ส่วนการครอบครองอาวุธปืนของนายสุพัฒน์ ได้สอบถามกรมการปกครองเรื่องความถูกต้องของการออกใบอนุญาตอยู่ หากทุกอย่างเรียบร้อย น่าจะส่งฟ้องศาลได้ตามกำหนดวันที่ 12 มี.ค. นี้
ที่มา:หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
**********************************************************************
นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานประชุมคณะกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (ปคอป.) ยืนยันว่า ถ้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบกรอบวงเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์การเมืองในวันนี้ (6 มี.ค.) จะสามารถจ่ายเงินเยียวยาได้ทันที โดยเฉพาะในรายที่คดีความสิ้นสุดแล้ว
ส่วนกรณีที่นายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ จะยื่นฟ้องศาลปกครองเพื่อให้ระงับการจ่ายเยียวยานั้น นายยงยุทธยืนยันว่าไม่มีผลทำให้การจ่ายเยียวยาต้องสะดุด เพราะไม่มีการจ่ายให้กับคนที่คดีความยังไม่สิ้นสุดหรือผู้ที่กระทำความผิด
“ผมยืนยันว่าการเยียวยาไม่ได้ทำเพื่อหาเสียงกับคนเสื้อแดง”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การจ่ายเยียวยามีตัวเลขสูงสุดอยู่ที่รายละ 7.75 ล้านบาท โดยพิจารณาตามหลักเกณฑ์ขององค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น)
พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เปิดเผยว่า วันที่ 12 มี.ค. นี้ศาลจะไต่สวนสาเหตุการเสียชีวิตของคนเสื้อแดง 4 ราย ส่วนกรณีของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ยังต้องดูพยานหลักฐานเพิ่มเติมก่อนส่งให้อัยการเพื่อส่งศาลเปิดไต่สวน
สำหรับ 4 รายที่จะเปิดไต่สวนประกอบด้วย นายชาญณรงค์ พลศรีลา, พลทหารณรงค์ฤทธิ์ สาละ, นายพัน คำกอง และ ด.ช.คุณากร สิงห์สุวรรณ
ด้านความคืบหน้าคดีทำร้ายร่างกายนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แกนนำคณะนิติราษฎร์ : นิติศาสตร์เพื่อราษฎร พ.ต.อ.วิชาญญ์วัชร์ บริรักษ์กุล รอง ผบก.น.1 ระบุว่า เบื้องต้นสามารถเพิ่มโทษนายสุพจน์ ศิลารัตน์ แฝดผู้พี่ได้ เพราะมีคดีอาวุธปืนผิดมือที่ศาลสั่งรอลงอาญา 2 ปีติดตัวอยู่ ส่วนการครอบครองอาวุธปืนของนายสุพัฒน์ ได้สอบถามกรมการปกครองเรื่องความถูกต้องของการออกใบอนุญาตอยู่ หากทุกอย่างเรียบร้อย น่าจะส่งฟ้องศาลได้ตามกำหนดวันที่ 12 มี.ค. นี้
ที่มา:หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
**********************************************************************
เมาค้าง !!?
คะแนน 399 ต่อ 199 เสียง ของที่ประชุมรัฐสภาที่เห็นชอบในวาระแรกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 3 ฉบับ แม้จะเป็นเพียงกระบวนการสู่การเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) แต่ก็ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และกลุ่มสลิ่มที่เป็นขาประจำ ออกอาการเป็น “เจ้าเข้า” ต้องออกมาปลุกกระแสต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้อย่างจริงจัง และอาจกลับมา “สุมหัว” กันสู้อีกครั้ง
อย่างที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุ-ราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และอดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวตอนหนึ่ง ในการสัมมนาพรรคที่หาดใหญ่ว่า ตนฝันร้ายมาตลอด เพราะไม่รู้ว่าหากพวกเสื้อแดง (กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติหรือ นปช.) คุมประเทศได้อะไรจะเกิดขึ้น จึงถึงเวลาแล้วที่เราต้อง “สุมหัว” กันปกป้องประเทศ
ก้าวไม่พ้น “ทักษิณ”
นายสุเทพกล่าวว่า หนักใจหากเรายังไม่ตระหนักว่าประเทศกำลังมีวิกฤต กำลังจะเกิดเหตุร้ายขึ้นในประเทศ และถือว่าประมาทโดยสิ้นเชิง เพราะวิกฤตประเทศไทยเริ่มมาตั้งแต่วันที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตั้งพรรคการเมืองและเข้าสู่อำนาจทางการเมือง เพราะไม่ได้เดินมาในแนวทางประชาธิปไตยปรกติ พ.ต.ท.ทักษิณใช้ทรัพย์สินเงินทองที่ได้มาจากการรับสัมปทานผูกขาดจากรัฐในยุคเผด็จการมาเป็นทุนตั้งพรรคการเมือง ซื้อนักการเมืองจนมีอำนาจรัฐและได้เป็นนายกรัฐมนตรี
ขณะที่กลุ่มพันธมิตรฯถือว่าตัวเลขที่ออกมาพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณและเครือข่ายมั่นใจว่าทุกอย่างอยู่ในมืออย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว ซึ่งเป็น “พิธีกรรม” ประชาธิปไตยสำหรับการ “รัฐประหาร” ฉีกรัฐธรรมนูญรูปแบบใหม่
เช่นเดียวกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่อภิปรายยืนยันว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ เพราะถือเป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญปี 2550 และยกร่างใหม่ ซึ่งจะนำไปสู่ความขัดแย้ง เพราะมีวาระแอบแฝง
แม้รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยยืนยันว่าจะไม่มีการแก้ไขหมวดพระมหากษัตริย์ก็ตาม แต่นายอภิสิทธิ์ก็ต้องการให้กำหนดไว้ชัดเจนในการแปรญัตติ เช่นเดียวกับต้องไม่ทำให้ความเป็นอิสระขององค์กรตุลาการและองค์กรตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐลดลง และต้องไม่ให้รัฐธรรมนูญถูกใช้ไปในลักษณะของการนิรโทษกรรมเพื่อล้มล้างคำพิพากษาของศาลไปเอื้อประโยชน์ให้กับผู้หนึ่งผู้ใด โดยเฉพาะ พ.ต.ท.ทักษิณ
“สลิ่ม” ประสานเสียง “พันธมิตรฯ”
ขณะที่กลุ่มสยามสามัคคีได้นัดรวมตัวกันในวันที่ 2 มีนาคมนี้ เพื่อคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทย โดยมีนักวิชาการ “ขาประจำ” มาร่วมอภิปราย อาทิ นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นายเสรี วงศ์มณฑา นายแก้วสรร อติโพธิ และนายบรรเจิด สิงคะเนติ แกนนำกลุ่มสยามสามัคคี
นายประสาร มฤคพิทักษ์ หนึ่งในแกนนำกลุ่มสยามสามัคคี ระบุว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้จะเป็นการเรียกแขกที่เคยกระจัดกระจายให้กลับมารวมตัวกัน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มพันธมิตรฯที่หมายรวมถึงประชาชนที่รักความเป็นธรรมและจงรักภักดีต่อในหลวงจะออกมาเคลื่อนไหว กลุ่มพลังประชาธิปไตยต่างๆจะยกระดับการต่อสู้เป็นการผนึกกำลังเป็นแนวร่วมใหญ่ต้านยันระบอบเผด็จการเสียงข้างมากของทุนนิยมสามานย์ ขณะที่ ส.ส.ร. ในกำกับของพรรคเพื่อไทยจะเป็นจำอวดการเมืองที่ไร้ความไว้วางใจจากประชาชน
“การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้จะเป็นการบั่นทอนกระบวนการยุติธรรมอย่างรุนแรง เพราะมันเป็นการฟอกขาวให้นักโทษจำคุกที่ไม่สำนึกและไม่ยอมรับโทษทัณฑ์ใดๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมไทยจะยอมไม่ได้ และถ้ายังใช้อำนาจแบบย่ามใจ ใช้เสียงข้างมากสามานย์อย่างซ้ำซาก สุดท้ายจะกลายเป็นความแค้นเคืองสะสมของประชาชนที่เครือข่ายทักษิณต้องจ่ายคืนอย่างบอบช้ำกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา”
ขณะที่ก่อนหน้านี้กลุ่มพันธมิตรฯได้ออกแถลงการณ์พร้อมจะชุมนุมใหญ่ต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ โดยจะประชุมในวันที่ 10 มีนาคม เพราะถือว่าเป็นแค่นิติกรรมอำพรางเพื่อล้มล้างรัฐธรรมนูญ และเปิดทางให้ทุนสามานย์ยึดอำนาจประเทศ รวมถึงลบล้างความผิดในอดีต พร้อมกระชับอำนาจให้เจ้าของพรรค การเมือง ซึ่งนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้จึงพิสูจน์ชัดว่าการเมืองไทยโดยนักการเมืองไม่ว่าจะพรรคไหนก็ตามล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เพราะส่วนใหญ่เป็นคนที่บัดซบ ไม่ได้รักชาติ รักประชาชนเลยแม้แต่นิดเดียว เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว เพราะฉะนั้นการตั้ง ส.ส.ร. จึงเป็นการพิสูจน์ชัดเจนว่าทุกอย่างทำเพื่อพวกเขา ทำเพื่อหัวหน้าพวกเขา ทำเพื่อเจ้าของพรรค ไม่ว่าพรรคใดก็เหมือนกันไม่มีผิด เพียงแต่ว่าบางพรรคปล้นกลางแดด บางพรรคใส่เสื้อนอกปล้น แต่สรุปแล้วคือปล้นคนไทยนั่นเอง
ส่วนนายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรฯ ยืนยันว่า รัฐธรรมนูญปี 2550 ผ่านการลงประชามติกว่า 14 ล้านเสียง จึงเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนเช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญปี 2540 และไม่เป็นอุปสรรคต่อการบริหารงานของรัฐ-บาลพรรคเพื่อไทยเลย เพราะฉะนั้นเหตุผลที่จะแก้รัฐธรรมนูญมีประการเดียวคือ เพื่อจะแทรกการนิรโทษกรรมให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ และจัดโครงสร้างทางอำนาจใหม่ให้กระชับและรับใช้นักการเมือง โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยและกลุ่มทุนของพรรคเพื่อไทยที่อยู่รอบตัว พ.ต.ท.ทักษิณ
แก้เพราะไม่เป็นประชาธิปไตย
การคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มสยามสา-มัคคี กลุ่มเสื้อหลากสี หรือพันธมิตรฯ ไม่สามารถใช้วาทกรรม “ความจงรักภักดี” มาโจมตีได้อย่างที่ผ่านมา เพราะพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลรู้ดีว่าเป็นประเด็นร้อนที่แตะต้องไม่ได้ แม้ แต่มาตรา 112 ก็ตาม จึงประกาศยืนยันมาโดยตลอดว่าจะไม่มีการแก้ไขหมวดพระมหากษัตริย์โดยเด็ดขาด
แต่ยังมีความพยายามโยงให้สถาบันเกี่ยว ข้องให้ได้ เช่น พรรคประชาธิปัตย์ที่ให้รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยต้องระบุไว้ในการแปรญัตติชัดเจนว่าจะไม่แก้ไขใดๆในหมวดพระมหากษัตริย์ หรือนายสนธิที่อ้างว่าพันธมิตรฯออกมาเคลื่อนไหวเพราะมีความจงรักภักดี
ดังนั้น ทุกกลุ่มที่ต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงต้อง “จินตนาการ” ว่าพรรคเพื่อไทยมีวาระแอบแฝงเพื่อกระชับอำนาจให้ได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดและช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งที่เป็นเรื่องปรกติของการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย ทุกพรรคก็ต้องการได้ ส.ส. มากที่สุด เพื่อให้รัฐบาลมีเสถียรภาพมากที่สุด แต่ก็ต้องเป็นไปตามกฎกติกา ไม่ใช่ซื้อเสียงหรือปล้นจี้เขามาอย่างบางพรรค
ประเด็น พ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศนั้น พรรค เพื่อไทยเองไม่ได้ปฏิเสธ เพราะ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ประกาศมาโดยตลอดว่าจะนำ พ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศให้ได้ แต่จะเป็นการนิรโทษกรรมหรือ พ.ร.บ.ปรองดองก็ตาม ก็ไม่ใช่การใช้อำนาจที่ไม่ชอบธรรมหรืออำนาจเผด็จการอย่างการทำรัฐประหาร
แม้แต่ พ.ต.ท.ทักษิณยังให้ความเห็นถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านวิดีโอลิ้งค์มายังเวทีคอนเสิร์ต “การหยุดรัฐประหารเปลี่ยนผ่านรัฐธรรมนูญ” ที่จัดโดย นปช. เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า เป็นเรื่องของประชาธิปไตยที่จำเป็นต้องแก้ไขเพื่อให้เกิดการถ่วงดุล
“ทำไมต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะเนื่องจากการไม่เป็นประชาธิปไตย การไม่มีความยุติธรรม การที่ผู้รักษากติกาขาดความยุติธรรมทำให้บ้านเมืองสับสนวุ่นวาย แล้วมีเรื่องบาดหมาง ทะเลาะเบาะแว้งแตกแยกกันเพราะความไม่มียุติธรรมนั่นเองนะครับ ถ้าทุกฝ่ายทำหน้าที่ของตัวเองอย่างยุติธรรมนะครับ ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเป็นกลางบ้านเมืองจะไม่เป็นอย่างนี้ บ้านเมืองเป็นอย่างนี้เพราะหลายฝ่ายได้เลือกข้างโดยไม่คำนึงถึงกติกาที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เรามั่นใจว่าถ้าเป็นของประชาชน ทุกอย่างจะเป็นกติกาที่เป็นกลางและเป็นธรรม บ้านเมืองจะได้กลับสู่ภาวะปรกติ ผมไปเห็นแต่ละประเทศมาแล้ว ผมบอกได้เลยว่าศักยภาพประเทศไทยนั้น ถ้าเป็นประชาธิปไตยและทุกอย่างเป็นธรรมจะทำให้ประเทศรุ่งเรืองขนาดไหน”
รัฐธรรมนูญฉบับสุดท้าย
จึงไม่แปลกที่โพลสำรวจความเห็นของประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น และเพิ่มอำนาจให้ประชาชนตรวจสอบนักการเมืองมากขึ้น แม้บางส่วนวิตกว่าจะเกิดความขัดแย้งรุนแรง เพราะแต่ละฝ่ายมุ่งแต่จะเอาชนะคะคานเพื่อผลประโยชน์ของตนเองมากกว่าประเทศชาติและประชาชน เช่นเดียวกับความขัดแย้งกว่า 5 ปีที่ผ่านมาที่ไม่มีใครต้องการรัฐประหาร และต้องการให้ประเทศไทยเลิกฉีกรัฐธรรมนูญ
ด้านนายคณิน บุญสุวรรณ อดีต ส.ส.ร. ปี 2540 หวังว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้จะเป็นฉบับสุดท้ายหรือถาวรจริงๆ เพราะ 18 ฉบับมากเกินไปแล้ว ถ้ายังมีการแก้ไขและกลับมาสู่วงจรอุบาทว์อีก คำว่า “ล่มสลายของรัฐ” คงไม่ไกลเกินจริง
นายคณินยังระบุว่า การมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด ส.ส.ร. จึงต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชนที่สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม กระบวนการ ยกร่างต้องเป็นประชาธิปไตยและเป็นอิสระจากระบบราชการ หรือแม้กระทั่งระบบศาล
ขณะที่นายเดโช สวนานนท์ อดีต ส.ส.ร. ปี 2550 ตั้งคำถามว่า ส.ส.ร. ครั้งนี้ควรจะเป็นครั้งสุดท้ายหรือไม่ เพราะประเทศไทยถือว่ามีรัฐธรรมนูญมากที่สุดในโลก เนื่องจากประเทศไทยปฏิวัติมาหลายครั้ง ส.ส.ร.ชุดใหม่จึงต้องไปเขียนและตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนว่าจะทำให้เป็นรัฐธรรมนูญถาวรอย่างไร
ด้านนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตแกนนำพรรคเพื่อไทยและ ส.ส.ร. ปี 2540 ตั้งข้อสังเกตว่า รู้สึกแปลกใจที่พูดกันถึงหมวด 1-2 เพราะโดยปรกติผู้ร่างไม่ว่าชุดไหนก็ตามไม่มีใครคิดจะแก้ไขอยู่แล้ว การอภิปรายในสภาก็มีมาก จึงไม่คิดว่าสภากลัวมีการแก้ไข แต่ต้องการใช้มาปรักปรำคนอื่นมากกว่า เป็นการสร้างความเสื่อมเสียให้แก่ประเทศชาติ ศาล และองค์กรอิสระที่เป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยที่ต้องตรวจสอบซึ่งกันและกัน โดยศาลและองค์กรอิสระ รัฐสภาและรัฐบาล ต้องมีกลไกในการตรวจสอบ หากไม่ดุลและคานเป็นไปไม่ได้เลย แต่ที่เป็นปัญหาเพราะที่มาขององค์กรอิสระไม่มีจุดยึดโยงจากประชาชน จึงทำให้เกิดปัญหา “ผลัดกันเกาหลัง” ระหว่างองค์กรอิสระกับศาล ผู้อยู่ในองค์กร อิสระจึงต้องไปหาจุดว่าที่มาควรจะเป็นอย่างไร
“ส.ส.ร.ชุดใหม่นี้มาจากการเลือกตั้งโดย ตรงของประชาชน ใครจะมาบอกว่าไม่เชื่อถือ เพราะเกรงว่าจะมีพรรคการเมืองครอบงำ ผมคิดว่าท่านคงไม่เห็นด้วยกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ประเทศไหนพัฒนาแล้วเขาก็เชื่อถือประชาชน เพราะฉะนั้นข้ออ้างดังกล่าวผมคิดว่าไม่มีเหตุผล และขัดกับหลักการประชาธิปไตย ผมเชื่อว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดเท่าที่จะคิดกันได้ ขณะเดียวกันก็ได้เห็นข้ออ้างที่ฟังแล้วขัดในตัว เช่น ถ้ามีสภาร่างแล้วจะเป็นการให้เช็คเปล่า ขณะเดียวกันถ้าให้ ส.ส. หรือ ส.ว. แก้กันเองก็บอกว่าจะทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง สองอย่างที่พูดมาดูเหมือนว่าจะไปทางไหนไม่ได้”
เมาค้าง-เมาอำนาจ
เห็นได้ว่าการออกมาเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มสยามสามัคคี กลุ่มเสื้อหลากสี และพันธมิตรฯครั้งนี้ไม่ได้นำเหตุผลในเรื่องของหลักนิติรัฐ นิติธรรม และประชาธิปไตยมาต่อสู้เลย แม้แต่ประเด็นมาตรา 112 ก็ปิดประตูตาย หลังจากพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลชิงประกาศว่าไม่แตะต้องหมวดพระมหากษัตริย์และมาตรา 112 อย่างเด็ดขาดเพื่อตัดเกมก่อน เพราะรู้ดีว่าเป็น การ “ชิงสุกก่อนห่าม”
พรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มที่ต่อต้านจึงต้องพุ่งเป้ามาที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และพยายาม “จินตนาการ” ให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้มีวาระแอบแฝง เพื่อยึดโยงให้เกี่ยวข้องกับสถาบันให้มากที่สุด ซึ่งไม่ต่างกับอาการ “เมาค้าง” จากการ เสพติด “อำนาจ” ซึ่งเคยสุมหัวกันปล้นจี้โค่นล้มพรรคเพื่อไทยและยุบพรรคพลังประชาชน
อาการ “เมาค้าง” และ “เมาอำนาจ” จึงอันตรายยิ่งกว่า “เมาเหล้า” หรือ “เมารัก” เพราะ “น้ำอมฤตแห่งอำนาจ” นอกจากจะทำให้คนไม่เป็นคนแล้ว ยังไม่เกรงกลัวหรือละอายต่อบาป แม้แต่การเป็น “ฆาตกรฆ่าคน” ได้อย่างเลือดเย็นและอำมหิต
ขณะที่การดื่มเหล้าและเมามีคำเตือนว่า “ดื่มเหล้าเป็นอันตรายต่อสุขภาพตัวเอง” แต่ “เมาอำนาจ” สามารถทำลายบ้านเมืองให้หายนะได้ในชั่วพริบตา อย่างรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่ผ่านมากว่า 5 ปี ประเทศไทยวันนี้ยังถูกประณามและจัดอยู่ในกลุ่มประเทศเผด็จการล้าหลัง เพราะพวก “เมาค้าง” จากการเสพติด “อำนาจ”
เช่นเดียวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ไม่รู้จะยกเหตุผลอะไรมาต่อต้าน จึงต้องออกมาปลุกกระแสขับไล่ “ทักษิณ” ออกไปอีกครั้ง ทั้งที่วันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณก็มิได้อยู่ในประเทศไทย และคงรู้ตัวดีว่ายังไม่จำเป็นต้องรีบกลับ อีกทั้งยังทำตัว เป็นทูตพิเศษ เดินทางไปพบปะผู้นำประเทศต่างๆทั่วโลก ไม่ต่างอะไรกับนายกรัฐมนตรีตัวจริง
ดังนั้น หากพรรคประชาธิปัตย์ สลิ่ม และพันธมิตรฯยัง “ดื้อ ดึง ดัน” จะไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ครั้งนี้คงต้อง ไล่ให้ไปอยู่ดาวอังคารแล้ว!
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อย่างที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุ-ราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และอดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวตอนหนึ่ง ในการสัมมนาพรรคที่หาดใหญ่ว่า ตนฝันร้ายมาตลอด เพราะไม่รู้ว่าหากพวกเสื้อแดง (กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติหรือ นปช.) คุมประเทศได้อะไรจะเกิดขึ้น จึงถึงเวลาแล้วที่เราต้อง “สุมหัว” กันปกป้องประเทศ
ก้าวไม่พ้น “ทักษิณ”
นายสุเทพกล่าวว่า หนักใจหากเรายังไม่ตระหนักว่าประเทศกำลังมีวิกฤต กำลังจะเกิดเหตุร้ายขึ้นในประเทศ และถือว่าประมาทโดยสิ้นเชิง เพราะวิกฤตประเทศไทยเริ่มมาตั้งแต่วันที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตั้งพรรคการเมืองและเข้าสู่อำนาจทางการเมือง เพราะไม่ได้เดินมาในแนวทางประชาธิปไตยปรกติ พ.ต.ท.ทักษิณใช้ทรัพย์สินเงินทองที่ได้มาจากการรับสัมปทานผูกขาดจากรัฐในยุคเผด็จการมาเป็นทุนตั้งพรรคการเมือง ซื้อนักการเมืองจนมีอำนาจรัฐและได้เป็นนายกรัฐมนตรี
ขณะที่กลุ่มพันธมิตรฯถือว่าตัวเลขที่ออกมาพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณและเครือข่ายมั่นใจว่าทุกอย่างอยู่ในมืออย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว ซึ่งเป็น “พิธีกรรม” ประชาธิปไตยสำหรับการ “รัฐประหาร” ฉีกรัฐธรรมนูญรูปแบบใหม่
เช่นเดียวกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่อภิปรายยืนยันว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ เพราะถือเป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญปี 2550 และยกร่างใหม่ ซึ่งจะนำไปสู่ความขัดแย้ง เพราะมีวาระแอบแฝง
แม้รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยยืนยันว่าจะไม่มีการแก้ไขหมวดพระมหากษัตริย์ก็ตาม แต่นายอภิสิทธิ์ก็ต้องการให้กำหนดไว้ชัดเจนในการแปรญัตติ เช่นเดียวกับต้องไม่ทำให้ความเป็นอิสระขององค์กรตุลาการและองค์กรตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐลดลง และต้องไม่ให้รัฐธรรมนูญถูกใช้ไปในลักษณะของการนิรโทษกรรมเพื่อล้มล้างคำพิพากษาของศาลไปเอื้อประโยชน์ให้กับผู้หนึ่งผู้ใด โดยเฉพาะ พ.ต.ท.ทักษิณ
“สลิ่ม” ประสานเสียง “พันธมิตรฯ”
ขณะที่กลุ่มสยามสามัคคีได้นัดรวมตัวกันในวันที่ 2 มีนาคมนี้ เพื่อคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทย โดยมีนักวิชาการ “ขาประจำ” มาร่วมอภิปราย อาทิ นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นายเสรี วงศ์มณฑา นายแก้วสรร อติโพธิ และนายบรรเจิด สิงคะเนติ แกนนำกลุ่มสยามสามัคคี
นายประสาร มฤคพิทักษ์ หนึ่งในแกนนำกลุ่มสยามสามัคคี ระบุว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้จะเป็นการเรียกแขกที่เคยกระจัดกระจายให้กลับมารวมตัวกัน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มพันธมิตรฯที่หมายรวมถึงประชาชนที่รักความเป็นธรรมและจงรักภักดีต่อในหลวงจะออกมาเคลื่อนไหว กลุ่มพลังประชาธิปไตยต่างๆจะยกระดับการต่อสู้เป็นการผนึกกำลังเป็นแนวร่วมใหญ่ต้านยันระบอบเผด็จการเสียงข้างมากของทุนนิยมสามานย์ ขณะที่ ส.ส.ร. ในกำกับของพรรคเพื่อไทยจะเป็นจำอวดการเมืองที่ไร้ความไว้วางใจจากประชาชน
“การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้จะเป็นการบั่นทอนกระบวนการยุติธรรมอย่างรุนแรง เพราะมันเป็นการฟอกขาวให้นักโทษจำคุกที่ไม่สำนึกและไม่ยอมรับโทษทัณฑ์ใดๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมไทยจะยอมไม่ได้ และถ้ายังใช้อำนาจแบบย่ามใจ ใช้เสียงข้างมากสามานย์อย่างซ้ำซาก สุดท้ายจะกลายเป็นความแค้นเคืองสะสมของประชาชนที่เครือข่ายทักษิณต้องจ่ายคืนอย่างบอบช้ำกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา”
ขณะที่ก่อนหน้านี้กลุ่มพันธมิตรฯได้ออกแถลงการณ์พร้อมจะชุมนุมใหญ่ต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ โดยจะประชุมในวันที่ 10 มีนาคม เพราะถือว่าเป็นแค่นิติกรรมอำพรางเพื่อล้มล้างรัฐธรรมนูญ และเปิดทางให้ทุนสามานย์ยึดอำนาจประเทศ รวมถึงลบล้างความผิดในอดีต พร้อมกระชับอำนาจให้เจ้าของพรรค การเมือง ซึ่งนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้จึงพิสูจน์ชัดว่าการเมืองไทยโดยนักการเมืองไม่ว่าจะพรรคไหนก็ตามล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เพราะส่วนใหญ่เป็นคนที่บัดซบ ไม่ได้รักชาติ รักประชาชนเลยแม้แต่นิดเดียว เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว เพราะฉะนั้นการตั้ง ส.ส.ร. จึงเป็นการพิสูจน์ชัดเจนว่าทุกอย่างทำเพื่อพวกเขา ทำเพื่อหัวหน้าพวกเขา ทำเพื่อเจ้าของพรรค ไม่ว่าพรรคใดก็เหมือนกันไม่มีผิด เพียงแต่ว่าบางพรรคปล้นกลางแดด บางพรรคใส่เสื้อนอกปล้น แต่สรุปแล้วคือปล้นคนไทยนั่นเอง
ส่วนนายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรฯ ยืนยันว่า รัฐธรรมนูญปี 2550 ผ่านการลงประชามติกว่า 14 ล้านเสียง จึงเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนเช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญปี 2540 และไม่เป็นอุปสรรคต่อการบริหารงานของรัฐ-บาลพรรคเพื่อไทยเลย เพราะฉะนั้นเหตุผลที่จะแก้รัฐธรรมนูญมีประการเดียวคือ เพื่อจะแทรกการนิรโทษกรรมให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ และจัดโครงสร้างทางอำนาจใหม่ให้กระชับและรับใช้นักการเมือง โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยและกลุ่มทุนของพรรคเพื่อไทยที่อยู่รอบตัว พ.ต.ท.ทักษิณ
แก้เพราะไม่เป็นประชาธิปไตย
การคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มสยามสา-มัคคี กลุ่มเสื้อหลากสี หรือพันธมิตรฯ ไม่สามารถใช้วาทกรรม “ความจงรักภักดี” มาโจมตีได้อย่างที่ผ่านมา เพราะพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลรู้ดีว่าเป็นประเด็นร้อนที่แตะต้องไม่ได้ แม้ แต่มาตรา 112 ก็ตาม จึงประกาศยืนยันมาโดยตลอดว่าจะไม่มีการแก้ไขหมวดพระมหากษัตริย์โดยเด็ดขาด
แต่ยังมีความพยายามโยงให้สถาบันเกี่ยว ข้องให้ได้ เช่น พรรคประชาธิปัตย์ที่ให้รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยต้องระบุไว้ในการแปรญัตติชัดเจนว่าจะไม่แก้ไขใดๆในหมวดพระมหากษัตริย์ หรือนายสนธิที่อ้างว่าพันธมิตรฯออกมาเคลื่อนไหวเพราะมีความจงรักภักดี
ดังนั้น ทุกกลุ่มที่ต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงต้อง “จินตนาการ” ว่าพรรคเพื่อไทยมีวาระแอบแฝงเพื่อกระชับอำนาจให้ได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดและช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งที่เป็นเรื่องปรกติของการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย ทุกพรรคก็ต้องการได้ ส.ส. มากที่สุด เพื่อให้รัฐบาลมีเสถียรภาพมากที่สุด แต่ก็ต้องเป็นไปตามกฎกติกา ไม่ใช่ซื้อเสียงหรือปล้นจี้เขามาอย่างบางพรรค
ประเด็น พ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศนั้น พรรค เพื่อไทยเองไม่ได้ปฏิเสธ เพราะ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ประกาศมาโดยตลอดว่าจะนำ พ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศให้ได้ แต่จะเป็นการนิรโทษกรรมหรือ พ.ร.บ.ปรองดองก็ตาม ก็ไม่ใช่การใช้อำนาจที่ไม่ชอบธรรมหรืออำนาจเผด็จการอย่างการทำรัฐประหาร
แม้แต่ พ.ต.ท.ทักษิณยังให้ความเห็นถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านวิดีโอลิ้งค์มายังเวทีคอนเสิร์ต “การหยุดรัฐประหารเปลี่ยนผ่านรัฐธรรมนูญ” ที่จัดโดย นปช. เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า เป็นเรื่องของประชาธิปไตยที่จำเป็นต้องแก้ไขเพื่อให้เกิดการถ่วงดุล
“ทำไมต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะเนื่องจากการไม่เป็นประชาธิปไตย การไม่มีความยุติธรรม การที่ผู้รักษากติกาขาดความยุติธรรมทำให้บ้านเมืองสับสนวุ่นวาย แล้วมีเรื่องบาดหมาง ทะเลาะเบาะแว้งแตกแยกกันเพราะความไม่มียุติธรรมนั่นเองนะครับ ถ้าทุกฝ่ายทำหน้าที่ของตัวเองอย่างยุติธรรมนะครับ ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเป็นกลางบ้านเมืองจะไม่เป็นอย่างนี้ บ้านเมืองเป็นอย่างนี้เพราะหลายฝ่ายได้เลือกข้างโดยไม่คำนึงถึงกติกาที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เรามั่นใจว่าถ้าเป็นของประชาชน ทุกอย่างจะเป็นกติกาที่เป็นกลางและเป็นธรรม บ้านเมืองจะได้กลับสู่ภาวะปรกติ ผมไปเห็นแต่ละประเทศมาแล้ว ผมบอกได้เลยว่าศักยภาพประเทศไทยนั้น ถ้าเป็นประชาธิปไตยและทุกอย่างเป็นธรรมจะทำให้ประเทศรุ่งเรืองขนาดไหน”
รัฐธรรมนูญฉบับสุดท้าย
จึงไม่แปลกที่โพลสำรวจความเห็นของประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น และเพิ่มอำนาจให้ประชาชนตรวจสอบนักการเมืองมากขึ้น แม้บางส่วนวิตกว่าจะเกิดความขัดแย้งรุนแรง เพราะแต่ละฝ่ายมุ่งแต่จะเอาชนะคะคานเพื่อผลประโยชน์ของตนเองมากกว่าประเทศชาติและประชาชน เช่นเดียวกับความขัดแย้งกว่า 5 ปีที่ผ่านมาที่ไม่มีใครต้องการรัฐประหาร และต้องการให้ประเทศไทยเลิกฉีกรัฐธรรมนูญ
ด้านนายคณิน บุญสุวรรณ อดีต ส.ส.ร. ปี 2540 หวังว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้จะเป็นฉบับสุดท้ายหรือถาวรจริงๆ เพราะ 18 ฉบับมากเกินไปแล้ว ถ้ายังมีการแก้ไขและกลับมาสู่วงจรอุบาทว์อีก คำว่า “ล่มสลายของรัฐ” คงไม่ไกลเกินจริง
นายคณินยังระบุว่า การมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด ส.ส.ร. จึงต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชนที่สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม กระบวนการ ยกร่างต้องเป็นประชาธิปไตยและเป็นอิสระจากระบบราชการ หรือแม้กระทั่งระบบศาล
ขณะที่นายเดโช สวนานนท์ อดีต ส.ส.ร. ปี 2550 ตั้งคำถามว่า ส.ส.ร. ครั้งนี้ควรจะเป็นครั้งสุดท้ายหรือไม่ เพราะประเทศไทยถือว่ามีรัฐธรรมนูญมากที่สุดในโลก เนื่องจากประเทศไทยปฏิวัติมาหลายครั้ง ส.ส.ร.ชุดใหม่จึงต้องไปเขียนและตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนว่าจะทำให้เป็นรัฐธรรมนูญถาวรอย่างไร
ด้านนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตแกนนำพรรคเพื่อไทยและ ส.ส.ร. ปี 2540 ตั้งข้อสังเกตว่า รู้สึกแปลกใจที่พูดกันถึงหมวด 1-2 เพราะโดยปรกติผู้ร่างไม่ว่าชุดไหนก็ตามไม่มีใครคิดจะแก้ไขอยู่แล้ว การอภิปรายในสภาก็มีมาก จึงไม่คิดว่าสภากลัวมีการแก้ไข แต่ต้องการใช้มาปรักปรำคนอื่นมากกว่า เป็นการสร้างความเสื่อมเสียให้แก่ประเทศชาติ ศาล และองค์กรอิสระที่เป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยที่ต้องตรวจสอบซึ่งกันและกัน โดยศาลและองค์กรอิสระ รัฐสภาและรัฐบาล ต้องมีกลไกในการตรวจสอบ หากไม่ดุลและคานเป็นไปไม่ได้เลย แต่ที่เป็นปัญหาเพราะที่มาขององค์กรอิสระไม่มีจุดยึดโยงจากประชาชน จึงทำให้เกิดปัญหา “ผลัดกันเกาหลัง” ระหว่างองค์กรอิสระกับศาล ผู้อยู่ในองค์กร อิสระจึงต้องไปหาจุดว่าที่มาควรจะเป็นอย่างไร
“ส.ส.ร.ชุดใหม่นี้มาจากการเลือกตั้งโดย ตรงของประชาชน ใครจะมาบอกว่าไม่เชื่อถือ เพราะเกรงว่าจะมีพรรคการเมืองครอบงำ ผมคิดว่าท่านคงไม่เห็นด้วยกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ประเทศไหนพัฒนาแล้วเขาก็เชื่อถือประชาชน เพราะฉะนั้นข้ออ้างดังกล่าวผมคิดว่าไม่มีเหตุผล และขัดกับหลักการประชาธิปไตย ผมเชื่อว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดเท่าที่จะคิดกันได้ ขณะเดียวกันก็ได้เห็นข้ออ้างที่ฟังแล้วขัดในตัว เช่น ถ้ามีสภาร่างแล้วจะเป็นการให้เช็คเปล่า ขณะเดียวกันถ้าให้ ส.ส. หรือ ส.ว. แก้กันเองก็บอกว่าจะทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง สองอย่างที่พูดมาดูเหมือนว่าจะไปทางไหนไม่ได้”
เมาค้าง-เมาอำนาจ
เห็นได้ว่าการออกมาเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มสยามสามัคคี กลุ่มเสื้อหลากสี และพันธมิตรฯครั้งนี้ไม่ได้นำเหตุผลในเรื่องของหลักนิติรัฐ นิติธรรม และประชาธิปไตยมาต่อสู้เลย แม้แต่ประเด็นมาตรา 112 ก็ปิดประตูตาย หลังจากพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลชิงประกาศว่าไม่แตะต้องหมวดพระมหากษัตริย์และมาตรา 112 อย่างเด็ดขาดเพื่อตัดเกมก่อน เพราะรู้ดีว่าเป็น การ “ชิงสุกก่อนห่าม”
พรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มที่ต่อต้านจึงต้องพุ่งเป้ามาที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และพยายาม “จินตนาการ” ให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้มีวาระแอบแฝง เพื่อยึดโยงให้เกี่ยวข้องกับสถาบันให้มากที่สุด ซึ่งไม่ต่างกับอาการ “เมาค้าง” จากการ เสพติด “อำนาจ” ซึ่งเคยสุมหัวกันปล้นจี้โค่นล้มพรรคเพื่อไทยและยุบพรรคพลังประชาชน
อาการ “เมาค้าง” และ “เมาอำนาจ” จึงอันตรายยิ่งกว่า “เมาเหล้า” หรือ “เมารัก” เพราะ “น้ำอมฤตแห่งอำนาจ” นอกจากจะทำให้คนไม่เป็นคนแล้ว ยังไม่เกรงกลัวหรือละอายต่อบาป แม้แต่การเป็น “ฆาตกรฆ่าคน” ได้อย่างเลือดเย็นและอำมหิต
ขณะที่การดื่มเหล้าและเมามีคำเตือนว่า “ดื่มเหล้าเป็นอันตรายต่อสุขภาพตัวเอง” แต่ “เมาอำนาจ” สามารถทำลายบ้านเมืองให้หายนะได้ในชั่วพริบตา อย่างรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่ผ่านมากว่า 5 ปี ประเทศไทยวันนี้ยังถูกประณามและจัดอยู่ในกลุ่มประเทศเผด็จการล้าหลัง เพราะพวก “เมาค้าง” จากการเสพติด “อำนาจ”
เช่นเดียวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ไม่รู้จะยกเหตุผลอะไรมาต่อต้าน จึงต้องออกมาปลุกกระแสขับไล่ “ทักษิณ” ออกไปอีกครั้ง ทั้งที่วันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณก็มิได้อยู่ในประเทศไทย และคงรู้ตัวดีว่ายังไม่จำเป็นต้องรีบกลับ อีกทั้งยังทำตัว เป็นทูตพิเศษ เดินทางไปพบปะผู้นำประเทศต่างๆทั่วโลก ไม่ต่างอะไรกับนายกรัฐมนตรีตัวจริง
ดังนั้น หากพรรคประชาธิปัตย์ สลิ่ม และพันธมิตรฯยัง “ดื้อ ดึง ดัน” จะไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ครั้งนี้คงต้อง ไล่ให้ไปอยู่ดาวอังคารแล้ว!
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)