ผบ.สส.ชี้เสียเวลามาหลายปีแล้ว อยากให้ประเทศชาติเดินหน้าต่อไปด้วยความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่ห่วงเรื่อง "จตุพร" ชี้แจง ด้านแม่ทัพภาค 1 ไม่ห่วงหากเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แล้วแต่จะพิจารณา แต่ที่ผ่านมาได้รับประโยชน์จากการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ผบ.สส.เผยเราเสียเวลามาหลายปีแล้ว อยากให้ประเทศเดินหน้า
วันนี้ (13 ธ.ค.) เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ รายงานโดยอ้างคำพูดของ พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) ซึ่งกล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลมีแนวโน้มจะยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ว่า ในส่วนของกองทัพคงไม่ต้องมีการปรับลดกำลัง หรือเปลี่ยนแผนการอะไร เราทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งหากประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็ยังมีหน่วยงานด้านความมั่นคงอื่นๆ หรือกฎหมายปกติดูแลอยู่ อย่างไรก็ตาม ตนเห็นว่า หากยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไปแล้วก็ไม่ได้ทำให้หน่วยงานที่รับผิดชอบทำงานยากขึ้น เพราะตามปกติก็ดูแลกันได้
“พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ประกาศใช้เมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน เป็นการนำกฎหมายหลายๆ กระทรวง อำนาจแต่ละกระทรวงมารวมกันอยู่ที่นายกรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีได้จัดตั้งให้มีผู้ดูแลในนาม ศอฉ.โดยนำเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ ทั้งทหาร ตำรวจ และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องมารวมกันตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี เมื่อสถานการณ์กลับไปอยู่ในทิศทางที่ดี หรือไม่มีเหตุฉุกเฉินแล้ว หากมีการยกเลิก พ.ร.ก.อำนาจต่างๆ เหล่านั้นก็กลับเข้ามาสู่กระทรวง ทบวง กรมต่างๆ เหมือนเดิม และถ้าจะมีการร้องขอกำลังนอกเหนืออำนาจของแต่ละกระทรวง ก็จะมีการประสานงาน โดยมอบงานเป็นครั้งคราว นอกจากนี้ ยังมีกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ซึ่งมีภารกิจที่ดูแลเรื่องความมั่นคงภายใน ก็จะเป็นหน่วยงานหลักที่จะประสานการดำเนินการในโอกาสต่อไป”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า วันที่ 19 ธ.ค.คนเสื้อแดงจะนัดชุมนุมทางการเมือง กองทัพมีความเป็นห่วงหรือไม่ พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า ไม่เป็นห่วง เพราะถ้าการชุมนุมเป็นลักษณะเพื่อการแสดงออก และอยู่ในกรอบของกฎหมาย ถ้าทุกคนเข้าใจว่าประเทศชาติต้องเดินหน้าต่อไปและเคารพสิทธิของผู้อื่นก็ สามารถชุมนุมได้ ไม่มีปัญหา
“การแสดงออกมีทั้งการแสดงออกในสภา ในระบบของรัฐสภา และนอกสภา ซึ่งนอกสภานั้นก็ขอให้เป็นไปตามกรอบของกฎหมาย ไม่ไปรบกวนสิทธิ์ของผู้อื่น ส่วนกรณีที่อาจจะมีกลุ่มที่ต้องการป่วนหรือสร้างสถานการณ์นั้นก็คงต้องเตรียมการในเรื่องกำลังเพื่อป้องกันเหตุ ประชาชนทุกคนก็ต้องช่วยกันสอดส่องดูแล ผมคิดว่าทุกคนในชาติอยากจะให้ประเทศชาติเดินหน้าต่อไป อยากจะอยู่อย่างมีความสุข อยากจะมีปีใหม่ที่แจ่มใส ไม่ใช่ปีใหม่ที่สลัวๆ ถ้าเราอยากจะให้ประเทศชาติเดินหน้าต่อไปเราก็ต้องทำ คิด ในสิ่งที่ดี ส่วนการเฝ้าระวังป้องกันเหตุ ทั้งตำรวจ ทหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำอยู่แล้ว”
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ภารกิจหนักจะอยู่ที่ กอ.รมน.หรือไม่ พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า ไม่มีใครมีภารกิจหนัก ภารกิจของคนไทยต้องเดินไปด้วยกันทุกฝ่าย เพื่อนำไปสู่ทิศทางที่ดีของประเทศชาติ จะปีใหม่แล้วพยายามมองประเทศชาติให้สดใสหน่อย
“ไม่ได้อยากฝากอะไรถึงใคร แต่อยากบอกแค่ว่าเราเสียเวลามาหลายปีแล้ว ตนอยากให้ประเทศชาติเดินหน้าต่อไปด้วยความสามัคคีและอยากให้ทุกคนร่วมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เราช้ามาหลายปีแล้วที่จะก้าวหน้า ไม่ใช่หยุดแต่ไม่ก้าวหน้า แล้วเราทำไมจะต้องหยุด เราควรจะก้าวหน้าต่อไปเพื่ออนาคตของเรา อนาคตของลูกหลาน และอนาคตของประเทศไทย” พล.อ.ทรงกิตติ กล่าว
ส่วนที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ออกมาอ้างว่า ทหารมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของกลุ่มคนเสื้อแดง พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า ตนไม่มีอะไรจะชี้แจง เพราะสังคมไทยอยู่ในการกล่าวหาและพูดจาในลักษณะนี้มานานแล้ว ตนก็มีหน้าที่ทำงานของตนอยู่ในกรอบของกฎหมายตามข้อบังคับต่างๆ ถ้าหากเราทำในสิ่งที่ดีแล้ว ประชาชนก็คงจะเข้าใจว่าเราทำอย่างไร ซึ่งตนคงไม่หวั่นไหว
ส่วนที่กลุ่มคนเสื้อแดงได้นำหลักฐานไปเรียกร้องที่หน้าสถานทูต ญี่ปุ่นประจำประเทศไทย โดยอ้างว่า ทหารเป็นคนทำให้นักข่าวชาวญี่ปุ่นเสียชีวิต พล.อ.ทรงกิตติ กล่าวว่า มีกระบวนการตรวจสอบ มีกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว ไม่มีอะไรเลย ส่วนจะมีการชี้แจงหรือไม่นั้น ตอนนี้สถานทูตก็ยังไม่ได้เชิญให้กองทัพไปชี้แจงถึงเรื่องดังกล่าว ซึ่งตนคิดว่า สถานทูตเข้าใจ
ส่วนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางไปชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อคณะกรรมาธิการด้านความมั่นคงและความ ร่วมมือในยุโรป (ซีเอสซีอี) ของสหรัฐอเมริกานั้น ผบ.สส.กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางไปหรือไม่ เพราะเรื่องนี้ยังไม่เกิดขึ้น เป็นเหมือนการพยากรณ์ว่าเรื่องนี้ เรื่องนั้นจะเกิดขึ้น มันยังไม่ได้เกิด จะห่วงอะไรไปถึงไหน ทั้งนี้ ข้อมูลต่างๆ ที่ออกมาก็พูดกันมาตลอด แล้วแต่จะมองในแต่ละแง่ แต่ตนใช้ข้อเท็จจริงมาใช้ในอนาคต
แม่ทัพภาคหนึ่งชี้ได้รับประโยชน์จาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ด้าน พล.ท.อุดมเดช สีตบุตร แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าวถึงการดูแลความเรียบร้อยในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ในวันที่ 19 ธ.ค.นี้ และสถานการณ์ช่วงปีใหม่ หากยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินว่า ไม่มีปัญหาอะไร สุดแล้วแต่ผู้บังคับบัญชาจะพิจารณา หากมี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะสะดวกในการปฏิบัติงาน ซึ่งที่ผ่านมาเราได้รับประโยชน์ ทั้งนี้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่รัฐบาลประกาศ เราได้ใช้ให้อยู่ในความเหมาะสมไม่กระทบกระเทือนประชาชนทั่วไป แต่กลับให้ความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินและความเรียบร้อย และส่งผลดีด้วยซ้ำไป แต่คงเป็นเรื่องความเหมาะสมที่รัฐบาลจะพิจารณาต่อไป ซึ่งทางกองทัพภาคที่ 1 ได้นำข้อมูลเรียนศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ไปแล้ว ส่วนแนวโน้มสถานการณ์ภายหลังการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงเมื่อวันที่ 10 ธ.ค.ที่ ผ่านมานั้น คิดว่า ไม่น่ามีปัญหาอะไร ทางกลุ่มผู้ชุมนุมคงได้รับการประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจจนมีความเข้าใจแล้ว ซึ่งคิดว่า จะสามารถผ่านพ้นไปด้วยความเรียบร้อย
ส่วนที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง จะนำเรื่องที่ทหารมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของประชาชนไปร้องต่อคณะ กรรมาธิการของสหรัฐอเมริกานั้น พล.ท.อุดมเดช กล่าวว่า ผู้บังคับบัญชาชั้นสูงพูดชัดเจนแล้ว เราพยายามอธิบายว่า ในการปฏิบัติทุกอย่าง ไม่มีความจำเป็นต้องทำอย่างนั้น เรามีแต่จะปกป้องชีวิต ทรัพย์สินประชาชน ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้น ตนเชื่อว่า ประชาชนจะมีความเข้าใจ แต่บางส่วนที่อาจไม่เข้าใจ ต้องพยายามอธิบายให้เข้าใจ แต่สุดท้ายหวังว่า สิ่งที่ดีจะปรากฏขึ้น และทุกส่วนจะเข้าใจ ขอให้มั่นใจว่า ทางผู้บัญชาการทหารบก เป็นห่วงประชาชน ไม่ต้องการให้ประชาชนเดือดร้อน การปฏิบัติอยู่ในความรอบคอบ และอยู่ในกรอบที่เหมาะสม
ส่วนถึงความเหมาะสมกรณีที่กลุ่มเสื้อแดงไปยื่นข้อมูลพร้อมนำนกกระดาษ สีแดงไป ที่สถานทูตญี่ปุ่น เพื่อแสดงว่า ทหารมีส่วนทำให้นักข่าวญี่ปุ่นเสียชีวิต พล.ท.อุดมเดช กล่าวว่า เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะไปสื่ออย่างนั้น เพราะที่ผ่านมาได้ถูกพิสูจน์แล้ว และกำลังจะได้รับการพิสูจน์ต่อไป ตนยังยืนยันว่า ไม่มีสิ่งที่เกิดขึ้นจากทางทหาร เรารักประชาชน และเราคือประชาชน เราจะทำสิ่งที่เป็นอันตรายต่อประชาชนทำไม ผู้สื่อข่าวทั้งหมดร่วมกันติดตามข่าวสารเพื่อให้ความจริงปรากฏ ซึ่งทหารต้องดูแลทุกส่วนทั้งประชาชนและผู้สื่อข่าว ดังนั้น สิ่งที่ออกมาไม่เป็นความจริง ไม่ถูกต้อง ต่อไปคงจะได้รับการพิสูจน์
ที่มา: เอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์
--------------------------------------------
วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553
วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553
ท่องคาถา ความกลัวทำให้เสื่อม!
นักศึกษาเรียกร้อง 3 ข้อ
ปล่อยนักโทษการเมือง!
เสียงเพรียกหาประชาธิปไตย จริงๆแล้วไม่ได้มีเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น หากแต่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ทั่วโลก
หากว่าคนในสังคมนั้นมองว่า ประเทศของตนยังไร้ซึ่งประชาธิปไตยที่แท้จริง
อย่างเช่นในประเทศพม่า การต่อสู้เรียกร้อง “ประชาธิปไตย” จากรัฐบาลทหาร ก็มีมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน แม้กระทั่งว่า นางอองซาน ซูจี จะถูกปล่อยตัวแล้วก็ตาม แต่การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริงก็ยังคงไม่จบสิ้น
เช่นเดียวกับในประเทศไทย วันนี้แม้ว่ารัฐบาลจะกุมอำนาจเบ็ดเสร็จ มีกำลังทหาร-กำลังกองทัพให้การสนับสนุนอย่างเต็มเปี่ยมสุดลิ่มทิ่มประตู จนสามารถที่จะจับใครต่อใครใส่ตะกร้าล้างน้ำอย่างได้ผลเสมอ
แต่ลึกๆแล้วการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยที่แม้จริงยังคงมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง
ไม่ใช่แค่เฉพาะสีเหลือง หรือแค่เฉพาะสีแดง ที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พยายามที่จะป่าวประกาศตลอดเวลาว่า เป็นมวลชนที่มีกระบวนการจัดตั้ง
แต่ในความเป็นจริง ถึงวันนี้หากรัฐบาลยอมรับความเป็นจริง จะรู้ว่า ยิ่งรัฐบาลได้รับการเกื้อหนุนจากทหาร จากขั้วอำนาจพิเศษต่างๆ แม้แต่กระทั่ง “อำนาจในระบบยุติธรรม” รวมไปถึงแม้กระทั่งนักการเมืองหลายแก๊งหลายก๊วนที่เอื้ออำนาจและผลประโยชน์ร่วมกันคอยค้ำยันอย่างเต็มที่
จนดูราวกับว่ารัฐบาลชุดนี้แข็งแกร่งเอามากๆก็ตาม
แต่ลึกๆแล้ว อาจจะไม่เป็นเช่นที่บรรดากลุ่มอำนาจวาดฝันไว้ก็เป็นได้......??
เพราะขณะนี้ “พลังบริสุทธิ์” หลายภาคส่วนเริ่มที่จะตื่นขึ้นมาต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว โดยเฉพาะในส่วนของนักศึกษา อาจารย์ และนักวิชาการทั้งหลาย ที่ทนเห็นปรากฏการณ์ลำเอียงที่แปลกพิศดารมากขึ้นเรื่อยๆไม่ไหวแล้ว
อย่างล่าสุด กลุ่มนิสิตนักศึกษาจากประชาคมธรรมศาสตร์คัดค้านอำนาจนอกระบบ และกลุ่มประชาคมจุฬาฯเพื่อประชาชน ได้มีการไปอ่านแถลงการณ์ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยต่อหน้ากลุ่มคนเสื้อแดงที่มารวมตัวกันรำลึกถึงผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์สลายการชุมนุมและเรียกร้องให้ปล่อยนักโทษการเมืองที่ถูกจองจำ
ซึ่งข้อเรียกร้องของทั้ง 2 ประชาคม มีเนื้อหาดังนี้
1. ต้องเร่งให้ดำเนินการตั้ง”สภาร่างรัฐธรรมนูญ” ขึ้นใหม่ เพื่อออกกฎหมายใหม่ เพื่อออกกฎหมายร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ร่างโดยผู้แทนที่ชอบธรรมจากประชาชนทั้งประเทศ โดยมีเนื้อหาอยู่บนบรรทัดฐานแห่งเจตนารมณ์ของระบอบประชาธิปไตยที่มาจากประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน แทนฉบับปัจจุบันที่ไม่มีความชอบธรรมในที่มาและกระบวนการร่างทั้งฉบับ
2.รับผิดชอบต่อการเสียชีวิตและบาดเจ็บของประชาชนจากการสลายการชุมนุม โดยการเร่งดำเนินการสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด และเปิดโอกาสให้องค์กรระหว่างประเทศเข้ามามีส่วนร่วม
3.รัฐบาลต้องปล่อยตัวนักโทษการเมืองทั้งหมด และหยุดคุกคามผู้มีความคิดแตกต่างจากรัฐบาลด้วยการยกเลิกพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และหลักสิทธิมนุษยชน
น.ส.รวิวรรณ รักถิ่นกำเนิด นักศึกษา ปี 1 สาขาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พูดชัดเจนว่า เป็นการมาเพื่อเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวนักโทษทางการเมืองและามาเพื่อหาผู้รับผิดชอบจากการสลายการชุมนุม และยกเลิกรัฐธรรมนูญบนกองเลือด
"กลุ่มของพวกเราดำเนินงานตั้งแต่การจัดงาน "รำลึก19 กันยา ประเทศชาติไม่ดีขึ้น" งาน "6 ตุลา ใครฆ่าพี่เราไม่ลืม" นอกจากนี้ยังมีการเคลื่อนไหวใน social network กับเครือข่าวนักศึกษาทั่วประเทศ เพียงแต่ว่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กับจุฬาฯ เป็นแกนหลัก
เรามาแสดงออกในเรื่องสิทธิทางการเมืองที่พวกเราพึงมี พวกเราเข้ามาเพื่อจุดประเด็นให้เพื่อนนักศึกษาคนอื่นที่ยังไม่กล้าได้เห็นว่า ยังมีคนที่คิดเหมือนเขานะเรายังกล้าออกมาทำและเชื่อว่าถ้าเราเป็นจุดเริ่มต้นให้เขา เขาก็จะกล้าออกมาเหมือนกับเรา" นักศึกษารัฐศาสตร์กล่าว
ทั้งนี้เพราะ ผ่านไป 8 เดือนแล้วยังไม่มีใครออกมารับผิดชอบกับโศกนาฏกรรมในครั้งนี้ ทางกลุ่มนักศึกษาเรียกร้องกันมากี่ครั้งก็ยังถูกเมินเฉย และไม่มีผู้ออกมารับผิดชอบ แต่ก็จะเรียกร้องต่อไป เพราะไม่ว่าจะเรียกร้อง 1 ครั้ง 10 ครั้ง 100 ครั้ง หรือ 1000 ครั้ง ก็ต้องทำเพื่อคนที่ตายไป
"เราเชื่อว่าเมื่อเทียบกับผู้ที่ตายไปเรื่องแค่นี้มันไม่เหลือบ่ากว่าแรงของพวกเรา เราต้องพูดซ้ำๆให้เขาได้ยินว่าพวกเราไม่ลืมเหตุการณ์ในครั้งนี้ จนกว่าฆาตกรตัวจริงจะออกมาแสดงความรับผิดชอบ ถึงแม้ใครจะเมินเฉยต่อโชคชะตาของพวกเราต่อการเสียชีวิตของพวกเราจะเย็นชาไม่ดูดำดูดี แต่ตอนนี้พวกเราชาวไพร่ที่กำลังต่อสู้เป็นพลเมืองจะไม่ขอเรียกร้องให้ผู้ใดมากำหนดโชคชะตาของพวกเรา เพราะพวกเราทุก
คนจะเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของตัวเอง" น.ส.รวิวรรณ กล่าว
น่าทึ่งที่กลุ่มนักศึกษามีการประกาศเจตนารมณ์อย่างชัดเจนว่า........
"ขอให้พี่น้องทุกคนสู้ต่อไป อย่ายอมแพ้ นักศึกษาทุกคนยืนอยู่ข้างความยุติธรรมเสมอ เพราะพลังต่อสู้ที่แท้จริงไม่ใช่นักศึกษา ไม่ใช่ชนชั้นกลาง ที่เมินเฉยต่ออำนาจรัฐที่เข่นฆ่าประชาชน แต่พลังที่แท้จริง คือ พลังของพี่น้องทุกคนที่อยู่ที่แห่งนี้ ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการเปลี่ยนแปลงประเทศ"
นอกจากนี้นักศึกษาชายที่มาร่วมทำกิจกรรมในกลุ่ม ฝากไปถึงเพื่อนๆนักศึกษาว่า อยากให้เพื่อนนักศึกษาเข้าใจโลก เข้าใจสังคม เปิดใจให้กับสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงไปในสังคม สังคมนี้ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงไปได้ถ้าไม่มีพลังจากพวกคุณ
"กิจกรรมของพวกเราจะมีเรื่อยๆ ไหนๆก็ต้องออกจากบ้านมาเพื่อเรียกร้องอยู่แล้ว และคิดว่าเราคงไม่กลับไปตราบใดที่ยังไม่มีความรับผิดชอบจากตรงนี้......
ไม่กลัว ไม่มีอะไรต้องกลัว!! เราแค่ยืนอยู่บนความถูกต้อง สิทธิเสรีภาพในการพูด หลักประชาธิปไตยที่ต้องไม่มีอำนาจนอกระบบเข้ามาแทรกแซง ไม่จำเป็นต้องเลือกว่าอยู่สีไหน แค่ยืนอยู่บนหลักความถูกต้องแล้วต้องออกมา ไม่มีอะไรต้องกลัว
ความกลัวทำให้เสื่อม ความกลัวไม่ได้ช่วยอะไร ถ้าเขาปกครองเราด้วยความกลัวและถ้าเรากลัวเขา เราก็แพ้ครับ"
นักศึกษากลุ่มนี้บอกว่า การเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองของนิสิตนักศึกษาทั่วไปจะได้แนวร่วมเพิ่มครั้งละ 3-4 คน จากวงสัมมนาเล็กๆ ที่จัดกันเอง แม้จะมีคนบางกลุ่มที่ไม่พอใจพยายามออกมาคัดค้านกิจกรรมดังกล่าว แต่พวกเขาก็จะยังคงสู้ต่อไปในฐานะพลเมืองที่มีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน รวมพลทีละนิดเพื่อเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่
ในขณะที่ นายธีระ สุธีวรางกูร อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ หนึ่งในผู้ก่อตั้ง “เว็บไซต์ นิติราษฎร์” ก็มีการให้สัมภาษณ์ ในรายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว คลื่น FM 100.5 อสมท. โดยให้ความเห็นว่า
จริงๆแล้วรัฐธรรมนูญ ปี2550 มีคำถามทั้งทางวิชาการ ทั้งทางการเมือง สองสามเรื่อง ตั้งแต่เรื่องที่มาของรัฐธรรมนูญ กระบวนการในการยกร่างรัฐธรรมนูญ และในตัวเนื้อหารัฐธรรมนูญ แต่ว่าทั้งสามเรื่องเป็นคำถามที่บางเวลา บางปี จะมีความเข้มข้มตามสถานการณ์ทางการเมือง หรือน้อยลง แต่ถึงอย่างไรคำถามก็ยังมี
เพราะว่า ตั้งแต่มีการรัฐประหารในปี 2549 ตัวรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีที่มาจาก คณะรัฐประหาร แม้จะมีการลงประชามติก็ตาม ก็ยังมีคำถามจากกลุ่มในสังคม ทั้งในกลุ่มวิชาการ ทั้งกลุ่มการเมือง โดยเฉพาะเหล่าเสื้อแดงก็ยังมีคำถามอยู่เรื่อยๆ
ส่วนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยังถือเป็นประเด็นสำคัญ ถ้าหากต้องการแก้ไขรัฐธรรมนุญจริงๆ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งเห็นว่า รัฐธรรมนูญไม่ควรจะยกร่างแบบเดิมๆ มีเนื้อหาแบบเดิมไม่ได้ เพราะในความคิดเห็นของคนกลุ่มนี้เห็นว่า ในวันนี้รัฐธรรมนูญจะถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองไม่ได้อีกแล้ว และถ้าจะมีการแก้ไขก็ยืนยันหลักการมีอำนาจสูงสุดของประชาชน ให้ได้รับการปฏิบัติ
ฉะนั้น ถ้าแก้ไขเพียงเล็กๆน้อยๆก็แก้ปัญหาไม่ได้ เพราะรัฐธรรมนูญกลายเป็นเครื่องมือที่นำมาสู่ความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งคงปฏิเสธไม่ได้ ถ้าหากจะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพียงสองข้อ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง แก้ไขไปก็ไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งได้
ซึ่งโดยส่วนตัวไม่ได้สนใจข้อนี้เลย เพราะถ้ารากของปัญหาจริง อยู่ที่รัฐธรรมนูญ ก็ควรแก้ไขครั้งใหญ่ และแก้ไขบนพื้นฐานของความคิดทางการเมืองที่สอดรับประชาธิปไตยจริงๆ ไม่เช่นนั้นก็แก้ไขอะไรไม่ได้
และเกี่ยวกับการตรวจสอบข้อเท็จจริง การสลายม็อบเสื้อแดง เมษายน-พฤษภาคม 2552 นายธีระ กล่าวว่า จริงๆ แล้ว กระบวนการสอบสวนที่ล่าช้า ไม่ใช่แค่ประชาชนในประเทศเท่านั้นที่รู้สึก ในต่างประเทศเองก็รู้สึกเช่นกัน
ก็ต้องจับตาดูผลสืบสวนสอบสวน มาจะออกมาอย่างไร เพราะตอนนี้เริ่มมีหลักฐานบางส่วนเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต ว่า เจ้าหน้าของรัฐทำเกินกว่าเหตุ เป็นเรื่องที่ไม่ควรจะทำ ซึ่งจริงๆแล้วทำรึเปล่า ส่วนนี้ก็ต้องมีส่วนรับผิดบ้าง หลังจากนี้ไปหลายคนคงจะคอยดูผลสุดท้ายว่าจะเป็นอย่างไร หากเจ้าหน้ารัฐไม่มีความผิดเลย ทั้งที่มีหลักฐาน ตรงนี้ก็อาจเกิดความขัดแย้งเกิดขึ้นก็ได้
ก็ต้องคอยจับตาดูกันต่อไป เจ้าหน้าของรัฐจะรับผิดชอบมากน้อยเพียงใดต่อการสลายการชุมนุมในช่วงเมษายน พฤษภาคมที่ผ่านมา
ส่วนเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัย คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ทั้งสองคดี กลุ่มนิติราษฏร์จะมีคำแถลงการณ์ออกมาเมื่อใดนั้น
“ผมได้คำวินิจฉัยอย่างเป็นทางการเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา และได้มีการนัดพบปะพูดคุยกับเพื่อนๆในกลุ่ม ภายในวันจันทร์นี้ จะเอาคำวินิจฉัยมาดู เมื่อเจอสิ่งที่น่าสนใจก็จะทำเป็นบทวิเคราะห์ออกมา อาจใช้เวลาเขียนประมาณสามสี่วัน หากไม่มีสิ่งได้คลาดเคลื่อน วันพฤหัสบดี หรือวันศุกร์ก็จะมีบทวิเคราะห์ออกมาอย่างเป็นทางการ”
ความรู้สึก การแสดงออก และกระบวนการตรวจสอบเรียกร้องความจริง ของกลุ่มปัญญาชนอย่างนักศึกษา และอาจารย์ ที่ต้องถือว่าเป็นพลังบริสุทธิ์เหล่านี้ เป็นสิ่งที่รัฐบาลและขั้วอำนาจพิเศษต่างๆไม่ควรมองข้ามโดยเด็ดขาด
เพราะแม้จะมีอำนาจมากล้นในเวลานี้ จนอาจจะรู้สึกมั่นคงเหลือล้น แต่อย่าลืมว่าแม้แต่กิ้งกือร้อยขา ก็สามารถที่จะหกล้มได้เหมือนกัน หากหลงในอำนาจขืนประมาทพลังบริสุทธิ์ของนักศึกษา!!!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ปล่อยนักโทษการเมือง!
เสียงเพรียกหาประชาธิปไตย จริงๆแล้วไม่ได้มีเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น หากแต่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ทั่วโลก
หากว่าคนในสังคมนั้นมองว่า ประเทศของตนยังไร้ซึ่งประชาธิปไตยที่แท้จริง
อย่างเช่นในประเทศพม่า การต่อสู้เรียกร้อง “ประชาธิปไตย” จากรัฐบาลทหาร ก็มีมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน แม้กระทั่งว่า นางอองซาน ซูจี จะถูกปล่อยตัวแล้วก็ตาม แต่การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริงก็ยังคงไม่จบสิ้น
เช่นเดียวกับในประเทศไทย วันนี้แม้ว่ารัฐบาลจะกุมอำนาจเบ็ดเสร็จ มีกำลังทหาร-กำลังกองทัพให้การสนับสนุนอย่างเต็มเปี่ยมสุดลิ่มทิ่มประตู จนสามารถที่จะจับใครต่อใครใส่ตะกร้าล้างน้ำอย่างได้ผลเสมอ
แต่ลึกๆแล้วการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยที่แม้จริงยังคงมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง
ไม่ใช่แค่เฉพาะสีเหลือง หรือแค่เฉพาะสีแดง ที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พยายามที่จะป่าวประกาศตลอดเวลาว่า เป็นมวลชนที่มีกระบวนการจัดตั้ง
แต่ในความเป็นจริง ถึงวันนี้หากรัฐบาลยอมรับความเป็นจริง จะรู้ว่า ยิ่งรัฐบาลได้รับการเกื้อหนุนจากทหาร จากขั้วอำนาจพิเศษต่างๆ แม้แต่กระทั่ง “อำนาจในระบบยุติธรรม” รวมไปถึงแม้กระทั่งนักการเมืองหลายแก๊งหลายก๊วนที่เอื้ออำนาจและผลประโยชน์ร่วมกันคอยค้ำยันอย่างเต็มที่
จนดูราวกับว่ารัฐบาลชุดนี้แข็งแกร่งเอามากๆก็ตาม
แต่ลึกๆแล้ว อาจจะไม่เป็นเช่นที่บรรดากลุ่มอำนาจวาดฝันไว้ก็เป็นได้......??
เพราะขณะนี้ “พลังบริสุทธิ์” หลายภาคส่วนเริ่มที่จะตื่นขึ้นมาต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว โดยเฉพาะในส่วนของนักศึกษา อาจารย์ และนักวิชาการทั้งหลาย ที่ทนเห็นปรากฏการณ์ลำเอียงที่แปลกพิศดารมากขึ้นเรื่อยๆไม่ไหวแล้ว
อย่างล่าสุด กลุ่มนิสิตนักศึกษาจากประชาคมธรรมศาสตร์คัดค้านอำนาจนอกระบบ และกลุ่มประชาคมจุฬาฯเพื่อประชาชน ได้มีการไปอ่านแถลงการณ์ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยต่อหน้ากลุ่มคนเสื้อแดงที่มารวมตัวกันรำลึกถึงผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์สลายการชุมนุมและเรียกร้องให้ปล่อยนักโทษการเมืองที่ถูกจองจำ
ซึ่งข้อเรียกร้องของทั้ง 2 ประชาคม มีเนื้อหาดังนี้
1. ต้องเร่งให้ดำเนินการตั้ง”สภาร่างรัฐธรรมนูญ” ขึ้นใหม่ เพื่อออกกฎหมายใหม่ เพื่อออกกฎหมายร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ร่างโดยผู้แทนที่ชอบธรรมจากประชาชนทั้งประเทศ โดยมีเนื้อหาอยู่บนบรรทัดฐานแห่งเจตนารมณ์ของระบอบประชาธิปไตยที่มาจากประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน แทนฉบับปัจจุบันที่ไม่มีความชอบธรรมในที่มาและกระบวนการร่างทั้งฉบับ
2.รับผิดชอบต่อการเสียชีวิตและบาดเจ็บของประชาชนจากการสลายการชุมนุม โดยการเร่งดำเนินการสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด และเปิดโอกาสให้องค์กรระหว่างประเทศเข้ามามีส่วนร่วม
3.รัฐบาลต้องปล่อยตัวนักโทษการเมืองทั้งหมด และหยุดคุกคามผู้มีความคิดแตกต่างจากรัฐบาลด้วยการยกเลิกพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และหลักสิทธิมนุษยชน
น.ส.รวิวรรณ รักถิ่นกำเนิด นักศึกษา ปี 1 สาขาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พูดชัดเจนว่า เป็นการมาเพื่อเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวนักโทษทางการเมืองและามาเพื่อหาผู้รับผิดชอบจากการสลายการชุมนุม และยกเลิกรัฐธรรมนูญบนกองเลือด
"กลุ่มของพวกเราดำเนินงานตั้งแต่การจัดงาน "รำลึก19 กันยา ประเทศชาติไม่ดีขึ้น" งาน "6 ตุลา ใครฆ่าพี่เราไม่ลืม" นอกจากนี้ยังมีการเคลื่อนไหวใน social network กับเครือข่าวนักศึกษาทั่วประเทศ เพียงแต่ว่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กับจุฬาฯ เป็นแกนหลัก
เรามาแสดงออกในเรื่องสิทธิทางการเมืองที่พวกเราพึงมี พวกเราเข้ามาเพื่อจุดประเด็นให้เพื่อนนักศึกษาคนอื่นที่ยังไม่กล้าได้เห็นว่า ยังมีคนที่คิดเหมือนเขานะเรายังกล้าออกมาทำและเชื่อว่าถ้าเราเป็นจุดเริ่มต้นให้เขา เขาก็จะกล้าออกมาเหมือนกับเรา" นักศึกษารัฐศาสตร์กล่าว
ทั้งนี้เพราะ ผ่านไป 8 เดือนแล้วยังไม่มีใครออกมารับผิดชอบกับโศกนาฏกรรมในครั้งนี้ ทางกลุ่มนักศึกษาเรียกร้องกันมากี่ครั้งก็ยังถูกเมินเฉย และไม่มีผู้ออกมารับผิดชอบ แต่ก็จะเรียกร้องต่อไป เพราะไม่ว่าจะเรียกร้อง 1 ครั้ง 10 ครั้ง 100 ครั้ง หรือ 1000 ครั้ง ก็ต้องทำเพื่อคนที่ตายไป
"เราเชื่อว่าเมื่อเทียบกับผู้ที่ตายไปเรื่องแค่นี้มันไม่เหลือบ่ากว่าแรงของพวกเรา เราต้องพูดซ้ำๆให้เขาได้ยินว่าพวกเราไม่ลืมเหตุการณ์ในครั้งนี้ จนกว่าฆาตกรตัวจริงจะออกมาแสดงความรับผิดชอบ ถึงแม้ใครจะเมินเฉยต่อโชคชะตาของพวกเราต่อการเสียชีวิตของพวกเราจะเย็นชาไม่ดูดำดูดี แต่ตอนนี้พวกเราชาวไพร่ที่กำลังต่อสู้เป็นพลเมืองจะไม่ขอเรียกร้องให้ผู้ใดมากำหนดโชคชะตาของพวกเรา เพราะพวกเราทุก
คนจะเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของตัวเอง" น.ส.รวิวรรณ กล่าว
น่าทึ่งที่กลุ่มนักศึกษามีการประกาศเจตนารมณ์อย่างชัดเจนว่า........
"ขอให้พี่น้องทุกคนสู้ต่อไป อย่ายอมแพ้ นักศึกษาทุกคนยืนอยู่ข้างความยุติธรรมเสมอ เพราะพลังต่อสู้ที่แท้จริงไม่ใช่นักศึกษา ไม่ใช่ชนชั้นกลาง ที่เมินเฉยต่ออำนาจรัฐที่เข่นฆ่าประชาชน แต่พลังที่แท้จริง คือ พลังของพี่น้องทุกคนที่อยู่ที่แห่งนี้ ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการเปลี่ยนแปลงประเทศ"
นอกจากนี้นักศึกษาชายที่มาร่วมทำกิจกรรมในกลุ่ม ฝากไปถึงเพื่อนๆนักศึกษาว่า อยากให้เพื่อนนักศึกษาเข้าใจโลก เข้าใจสังคม เปิดใจให้กับสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงไปในสังคม สังคมนี้ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงไปได้ถ้าไม่มีพลังจากพวกคุณ
"กิจกรรมของพวกเราจะมีเรื่อยๆ ไหนๆก็ต้องออกจากบ้านมาเพื่อเรียกร้องอยู่แล้ว และคิดว่าเราคงไม่กลับไปตราบใดที่ยังไม่มีความรับผิดชอบจากตรงนี้......
ไม่กลัว ไม่มีอะไรต้องกลัว!! เราแค่ยืนอยู่บนความถูกต้อง สิทธิเสรีภาพในการพูด หลักประชาธิปไตยที่ต้องไม่มีอำนาจนอกระบบเข้ามาแทรกแซง ไม่จำเป็นต้องเลือกว่าอยู่สีไหน แค่ยืนอยู่บนหลักความถูกต้องแล้วต้องออกมา ไม่มีอะไรต้องกลัว
ความกลัวทำให้เสื่อม ความกลัวไม่ได้ช่วยอะไร ถ้าเขาปกครองเราด้วยความกลัวและถ้าเรากลัวเขา เราก็แพ้ครับ"
นักศึกษากลุ่มนี้บอกว่า การเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองของนิสิตนักศึกษาทั่วไปจะได้แนวร่วมเพิ่มครั้งละ 3-4 คน จากวงสัมมนาเล็กๆ ที่จัดกันเอง แม้จะมีคนบางกลุ่มที่ไม่พอใจพยายามออกมาคัดค้านกิจกรรมดังกล่าว แต่พวกเขาก็จะยังคงสู้ต่อไปในฐานะพลเมืองที่มีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน รวมพลทีละนิดเพื่อเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่
ในขณะที่ นายธีระ สุธีวรางกูร อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ หนึ่งในผู้ก่อตั้ง “เว็บไซต์ นิติราษฎร์” ก็มีการให้สัมภาษณ์ ในรายการช่วยกันคิดทิศทางข่าว คลื่น FM 100.5 อสมท. โดยให้ความเห็นว่า
จริงๆแล้วรัฐธรรมนูญ ปี2550 มีคำถามทั้งทางวิชาการ ทั้งทางการเมือง สองสามเรื่อง ตั้งแต่เรื่องที่มาของรัฐธรรมนูญ กระบวนการในการยกร่างรัฐธรรมนูญ และในตัวเนื้อหารัฐธรรมนูญ แต่ว่าทั้งสามเรื่องเป็นคำถามที่บางเวลา บางปี จะมีความเข้มข้มตามสถานการณ์ทางการเมือง หรือน้อยลง แต่ถึงอย่างไรคำถามก็ยังมี
เพราะว่า ตั้งแต่มีการรัฐประหารในปี 2549 ตัวรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีที่มาจาก คณะรัฐประหาร แม้จะมีการลงประชามติก็ตาม ก็ยังมีคำถามจากกลุ่มในสังคม ทั้งในกลุ่มวิชาการ ทั้งกลุ่มการเมือง โดยเฉพาะเหล่าเสื้อแดงก็ยังมีคำถามอยู่เรื่อยๆ
ส่วนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยังถือเป็นประเด็นสำคัญ ถ้าหากต้องการแก้ไขรัฐธรรมนุญจริงๆ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งเห็นว่า รัฐธรรมนูญไม่ควรจะยกร่างแบบเดิมๆ มีเนื้อหาแบบเดิมไม่ได้ เพราะในความคิดเห็นของคนกลุ่มนี้เห็นว่า ในวันนี้รัฐธรรมนูญจะถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองไม่ได้อีกแล้ว และถ้าจะมีการแก้ไขก็ยืนยันหลักการมีอำนาจสูงสุดของประชาชน ให้ได้รับการปฏิบัติ
ฉะนั้น ถ้าแก้ไขเพียงเล็กๆน้อยๆก็แก้ปัญหาไม่ได้ เพราะรัฐธรรมนูญกลายเป็นเครื่องมือที่นำมาสู่ความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งคงปฏิเสธไม่ได้ ถ้าหากจะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพียงสองข้อ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง แก้ไขไปก็ไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งได้
ซึ่งโดยส่วนตัวไม่ได้สนใจข้อนี้เลย เพราะถ้ารากของปัญหาจริง อยู่ที่รัฐธรรมนูญ ก็ควรแก้ไขครั้งใหญ่ และแก้ไขบนพื้นฐานของความคิดทางการเมืองที่สอดรับประชาธิปไตยจริงๆ ไม่เช่นนั้นก็แก้ไขอะไรไม่ได้
และเกี่ยวกับการตรวจสอบข้อเท็จจริง การสลายม็อบเสื้อแดง เมษายน-พฤษภาคม 2552 นายธีระ กล่าวว่า จริงๆ แล้ว กระบวนการสอบสวนที่ล่าช้า ไม่ใช่แค่ประชาชนในประเทศเท่านั้นที่รู้สึก ในต่างประเทศเองก็รู้สึกเช่นกัน
ก็ต้องจับตาดูผลสืบสวนสอบสวน มาจะออกมาอย่างไร เพราะตอนนี้เริ่มมีหลักฐานบางส่วนเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต ว่า เจ้าหน้าของรัฐทำเกินกว่าเหตุ เป็นเรื่องที่ไม่ควรจะทำ ซึ่งจริงๆแล้วทำรึเปล่า ส่วนนี้ก็ต้องมีส่วนรับผิดบ้าง หลังจากนี้ไปหลายคนคงจะคอยดูผลสุดท้ายว่าจะเป็นอย่างไร หากเจ้าหน้ารัฐไม่มีความผิดเลย ทั้งที่มีหลักฐาน ตรงนี้ก็อาจเกิดความขัดแย้งเกิดขึ้นก็ได้
ก็ต้องคอยจับตาดูกันต่อไป เจ้าหน้าของรัฐจะรับผิดชอบมากน้อยเพียงใดต่อการสลายการชุมนุมในช่วงเมษายน พฤษภาคมที่ผ่านมา
ส่วนเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัย คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ทั้งสองคดี กลุ่มนิติราษฏร์จะมีคำแถลงการณ์ออกมาเมื่อใดนั้น
“ผมได้คำวินิจฉัยอย่างเป็นทางการเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา และได้มีการนัดพบปะพูดคุยกับเพื่อนๆในกลุ่ม ภายในวันจันทร์นี้ จะเอาคำวินิจฉัยมาดู เมื่อเจอสิ่งที่น่าสนใจก็จะทำเป็นบทวิเคราะห์ออกมา อาจใช้เวลาเขียนประมาณสามสี่วัน หากไม่มีสิ่งได้คลาดเคลื่อน วันพฤหัสบดี หรือวันศุกร์ก็จะมีบทวิเคราะห์ออกมาอย่างเป็นทางการ”
ความรู้สึก การแสดงออก และกระบวนการตรวจสอบเรียกร้องความจริง ของกลุ่มปัญญาชนอย่างนักศึกษา และอาจารย์ ที่ต้องถือว่าเป็นพลังบริสุทธิ์เหล่านี้ เป็นสิ่งที่รัฐบาลและขั้วอำนาจพิเศษต่างๆไม่ควรมองข้ามโดยเด็ดขาด
เพราะแม้จะมีอำนาจมากล้นในเวลานี้ จนอาจจะรู้สึกมั่นคงเหลือล้น แต่อย่าลืมว่าแม้แต่กิ้งกือร้อยขา ก็สามารถที่จะหกล้มได้เหมือนกัน หากหลงในอำนาจขืนประมาทพลังบริสุทธิ์ของนักศึกษา!!!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
78 ปีที่ก้าวพ้นได้อะไร?
ความเหลื่อมล้ำในสังคม‘รวยกระจุกจนกระจาย’หรือได้แค่ประชาธิปตาย
วันที่ 24 มิ.ย.2475 ถือเป็นวันเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์การปกครองของไทย จาก “ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์” มาเป็น “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข”
วันที่ 10 ธ.ค. 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยามฉบับถาวร โดยทรงลงพระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พระราชทานเป็นกฎหมายสูงสุดเพื่อเป็นหลักในการปกครองประเทศ จึงได้ถือว่าวันดังกล่าว...เป็น “วันรัฐธรรมนูญ”
วันที่ 10 ธ.ค.2553 ผ่านมา 78 ปี...ประเทศไทย มีการใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 อันเป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับที่ 18 เฉลี่ย 4.3 ปี เราจะมีการรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ออกมาใช้ 1 ฉบับ
ยิ่งเวลานี้...วาระแรกในการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ใน 2 ประเด็น คือมาตรา 93-98 และ มาตรา 190 ที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรี ก็เพิ่งผ่านการเห็นชอบจากที่ประชุมร่วมรัฐสภา ในวาระ แรกสดๆ ร้อนๆ
แต่เชื่อหรือไม่ว่า...การแก้รัฐธรรมนูญในระยะหลังนี้ รวมถึง การเขียนรัฐธรรมนูญหลายฉบับที่ผ่านมา...ล้วนมีแต่ “พวกหน้า เดิมๆ” และ “วาระการแก้ไข” ก็ล้วนแต่เป็นไปเพื่อ “อำนาจ” ของ “นักการเมือง” เท่านั้น...ไม่ใช่ทำเพื่อ “ประชาชน” อย่างแท้จริง
หากย้อนกลับไปดู...นับตั้งแต่ “ตุลาฯ 2516 / ตุลาฯ 2519 / พ.ค.ทมิฬ 2535 / 19 ก.ย. 2549” ประเทศชาติต้องจ่ายเงินเพื่อ คำว่า “ประชาธิปไตย” ด้วยเม็ดเงินที่มหาศาล แต่ขณะเดียวกัน... เราก็ต้องเสียชีวิต “ผู้บริสุทธิ์” ทั้งพวกที่หลงผิด-ถูกชักจูง...ไป ไม่น้อย...จนมีการเหน็บแนมกันว่า หรือจะเป็น “ประชาธิปตาย” กันแน่!!!
ยิ่งถ้ามองลึกไปถึง “การศึกษา” และ “จิตสำนึก” ของผู้คนในสังคมแล้ว...จะพบว่า “มีคนกลุ่มหนึ่ง” ที่ยังไม่พัฒนาทาง ความคิดในเรื่อง “ประชาธิปไตย” แต่ “คนกลุ่มนี้” กลับเป็นผู้มีบทบาทในการนำพาประเทศชาติ และมีเรื่อง “ผลประโยชน์” และ “สินบน” เข้ามาเกี่ยวข้องตลอดเวลา ที่น่าเจ็บปวดคือ... “เขาและเธอเหล่านี้” สามารถโน้มน้าวจิตใจให้ผู้คนทั่วไปยอมรับได้อย่างหน้าตาเฉยว่า “โกง...แต่ทำงาน ก็ไม่เป็นไร” ซึ่งเป็นวิธีปลูกฝังที่ผิดอย่างสิ้นเชิง
จะเห็นว่า...ตลอดเวลา 78 ปีที่ผ่านมา แม้เราจะได้ชื่อว่า ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ที่ประชาชนทุกคนมีสิทธิ์มีเสียงเท่าเทียมกัน...แต่กลายเป็นว่า “ความเหลื่อมล้ำทาง สังคม” ยังคงปรากฏให้เห็นตลอดเวลา ยังมีการแบ่งแยกระหว่าง “คนรวย-คนจน” “คนมีอำนาจ-คนไร้วาสนา” แต่ไม่เคยมีการตรวจสอบและทวงถามถึง “ที่มาของเงิน” ว่า “พวกเขาเหล่านั้น” มั่งมีศรีสุข...มาได้อย่างไร เป็น “เงินที่บริสุทธิ์ถูกต้อง...จริงหรือไม่”
ปัญหาเหล่านี้...สามารถแก้ไขได้ หาก “ผู้มีอำนาจ” คิดถึง “ประชาชน” อย่างแท้จริง...อย่าให้ถึงกับ “ต้องรอคอยวัน เวลา” ที่ “พลังมวลชนจริงๆ” ที่ไม่ได้จัดตั้ง...จะลุกขึ้นมา “เปลี่ยนแปลง” เลย...
ที่พูดนี้ต้องขอบอกตรงๆ ว่า “ผม” ไม่กล้าแนะนำ “ผู้มีอำนาจในเวลานี้” ว่าควรจะต้องทำอย่างไร...??? เพราะเชื่อว่า “คงรู้ดี” ว่า... “ถ้าคิดจะทำ-จะทำกันอย่างไร”...เวลานี้ได้แต่เฝ้ามองและหวังว่า...จะเปลี่ยนแปลง ไปในทิศทางที่ดีขึ้น...เพื่อให้เป็น “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” อย่างแท้จริง
ที่มา.สยามธุรกิจ
---------------------------------------------
วันที่ 24 มิ.ย.2475 ถือเป็นวันเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์การปกครองของไทย จาก “ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์” มาเป็น “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข”
วันที่ 10 ธ.ค. 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยามฉบับถาวร โดยทรงลงพระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พระราชทานเป็นกฎหมายสูงสุดเพื่อเป็นหลักในการปกครองประเทศ จึงได้ถือว่าวันดังกล่าว...เป็น “วันรัฐธรรมนูญ”
วันที่ 10 ธ.ค.2553 ผ่านมา 78 ปี...ประเทศไทย มีการใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 อันเป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับที่ 18 เฉลี่ย 4.3 ปี เราจะมีการรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ออกมาใช้ 1 ฉบับ
ยิ่งเวลานี้...วาระแรกในการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ใน 2 ประเด็น คือมาตรา 93-98 และ มาตรา 190 ที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรี ก็เพิ่งผ่านการเห็นชอบจากที่ประชุมร่วมรัฐสภา ในวาระ แรกสดๆ ร้อนๆ
แต่เชื่อหรือไม่ว่า...การแก้รัฐธรรมนูญในระยะหลังนี้ รวมถึง การเขียนรัฐธรรมนูญหลายฉบับที่ผ่านมา...ล้วนมีแต่ “พวกหน้า เดิมๆ” และ “วาระการแก้ไข” ก็ล้วนแต่เป็นไปเพื่อ “อำนาจ” ของ “นักการเมือง” เท่านั้น...ไม่ใช่ทำเพื่อ “ประชาชน” อย่างแท้จริง
หากย้อนกลับไปดู...นับตั้งแต่ “ตุลาฯ 2516 / ตุลาฯ 2519 / พ.ค.ทมิฬ 2535 / 19 ก.ย. 2549” ประเทศชาติต้องจ่ายเงินเพื่อ คำว่า “ประชาธิปไตย” ด้วยเม็ดเงินที่มหาศาล แต่ขณะเดียวกัน... เราก็ต้องเสียชีวิต “ผู้บริสุทธิ์” ทั้งพวกที่หลงผิด-ถูกชักจูง...ไป ไม่น้อย...จนมีการเหน็บแนมกันว่า หรือจะเป็น “ประชาธิปตาย” กันแน่!!!
ยิ่งถ้ามองลึกไปถึง “การศึกษา” และ “จิตสำนึก” ของผู้คนในสังคมแล้ว...จะพบว่า “มีคนกลุ่มหนึ่ง” ที่ยังไม่พัฒนาทาง ความคิดในเรื่อง “ประชาธิปไตย” แต่ “คนกลุ่มนี้” กลับเป็นผู้มีบทบาทในการนำพาประเทศชาติ และมีเรื่อง “ผลประโยชน์” และ “สินบน” เข้ามาเกี่ยวข้องตลอดเวลา ที่น่าเจ็บปวดคือ... “เขาและเธอเหล่านี้” สามารถโน้มน้าวจิตใจให้ผู้คนทั่วไปยอมรับได้อย่างหน้าตาเฉยว่า “โกง...แต่ทำงาน ก็ไม่เป็นไร” ซึ่งเป็นวิธีปลูกฝังที่ผิดอย่างสิ้นเชิง
จะเห็นว่า...ตลอดเวลา 78 ปีที่ผ่านมา แม้เราจะได้ชื่อว่า ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ที่ประชาชนทุกคนมีสิทธิ์มีเสียงเท่าเทียมกัน...แต่กลายเป็นว่า “ความเหลื่อมล้ำทาง สังคม” ยังคงปรากฏให้เห็นตลอดเวลา ยังมีการแบ่งแยกระหว่าง “คนรวย-คนจน” “คนมีอำนาจ-คนไร้วาสนา” แต่ไม่เคยมีการตรวจสอบและทวงถามถึง “ที่มาของเงิน” ว่า “พวกเขาเหล่านั้น” มั่งมีศรีสุข...มาได้อย่างไร เป็น “เงินที่บริสุทธิ์ถูกต้อง...จริงหรือไม่”
ปัญหาเหล่านี้...สามารถแก้ไขได้ หาก “ผู้มีอำนาจ” คิดถึง “ประชาชน” อย่างแท้จริง...อย่าให้ถึงกับ “ต้องรอคอยวัน เวลา” ที่ “พลังมวลชนจริงๆ” ที่ไม่ได้จัดตั้ง...จะลุกขึ้นมา “เปลี่ยนแปลง” เลย...
ที่พูดนี้ต้องขอบอกตรงๆ ว่า “ผม” ไม่กล้าแนะนำ “ผู้มีอำนาจในเวลานี้” ว่าควรจะต้องทำอย่างไร...??? เพราะเชื่อว่า “คงรู้ดี” ว่า... “ถ้าคิดจะทำ-จะทำกันอย่างไร”...เวลานี้ได้แต่เฝ้ามองและหวังว่า...จะเปลี่ยนแปลง ไปในทิศทางที่ดีขึ้น...เพื่อให้เป็น “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” อย่างแท้จริง
ที่มา.สยามธุรกิจ
---------------------------------------------
78 ปี..18 ฉบับ..นับลงคลอง!
และวันที่สยามประเทศก็ได้มีรัฐธรรมนูญเป็นของตัวเองได้เวียนบรรจบครบรอบมา แล้ว 78 ปีแห่งการเป็นประชาธิปไตย ภายหลัง การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข78 ปีเรามีรัฐธรรมนูญมาแล้ว 18 ฉบับ ในขณะที่ประเทศอื่นๆ อย่างสหรัฐอเมริกาใช้ เพียง 1 ฉบับ สำหรับการก่อร่างสร้างประเทศ ในเวลา 223 ปี คือใช้มาแต่ต้นถึงปัจจุบัน
จะว่าไปแล้วการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ น่าจะนำไปสู่การพัฒนาที่ดีขึ้นมิใช่หรือ???... แต่เหตุใดประชาธิปไตยบ้านนี้เมืองนี้ถึงย่ำอยู่ กับที่...หรือที่ถูกน่าจะเรียกว่าถอยหลังลงคลอง เสียมากกว่ารัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวบางฉบับใช้บังคับเป็นเวลานาน เช่น ธรรมนูญการปกครอง ราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502 ซึ่งเกิดขึ้น โดยการทำรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ใช้บังคับเป็นเวลา 9 ปีเศษ แต่รัฐธรรมนูญฉบับถาวรหลายฉบับใช้บังคับในระยะเวลา สั้นๆ...อันที่จริงแล้วก็น่าคิดยิ่งนักว่าสาเหตุ ที่ต้องเปลี่ยนแปลงอยู่ที่เนื้อหาซึ่งไม่สอดคล้อง กับหลักประชาธิปไตย หรือไม่ถูกใจคนใช้ หรือเพราะผู้ใช้ใช้แบบผิดๆ มุ่งหาช่องว่างกอบโกย ผลประโยชน์เข้าตัวกันแน่
การฉีกรัฐธรรมนูญ!!!...มักถูกดำเนินการ โดยคณะนายทหารระดับสูง ด้วยกระบวนการ ที่เรียกว่า “กระทำรัฐประหาร” เมื่อคณะรัฐประหาร ซึ่งมีชื่อเรียกแตกต่างกันไป เช่น คณะปฏิวัติ คณะปฏิรูป หรือคณะรักษาความสงบเรียบร้อย ยึดอำนาจได้สำเร็จก็จะประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว แล้วจึงร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร และเมื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญที่มุ่งจะใช้บังคับเป็นการถาวรแล้วก็จะมีการเลือกตั้ง และตามด้วยการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ตามวิถีทาง ของรัฐธรรมนูญฉบับถาวร แต่เมื่อรัฐบาลดังกล่าว บริหารประเทศไปได้สักระยะหนึ่งก็จะถูกทำ การรัฐประหาร และประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับถาวร แล้วก็ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พร้อมทั้งจัดให้การร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับถาวรใหม่อีก หมุนเวียนเป็นวงจรการเมือง ของรัฐไทยมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานนับหลายสิบปี เสมือนวังวนที่หาทางออกไม่ได้ของการเมืองไทย....ซึ่งถ้าเป็นละครก็มักเรียก ว่าละครน้ำเน่า แต่เมื่อเป็นการเมืองเราจึงเรียก ว่าเป็น....การเมืองน้ำเน่า!!!
เฉลี่ยแล้ว รัฐธรรมนูญไทยเปลี่ยนแปลง ทุกๆ 4 ปี ต่างจากกรณีของประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีรัฐธรรมนูญเพียงฉบับเดียว ซึ่งนับ ตั้งแต่ประกาศใช้ จำนวน 7 มาตรา 55 อนุมาตรา ใน พ.ศ.2332 จนถึงปัจจุบันสองร้อยกว่าปีนั้น ก็มีแต่การแก้ไขให้ทันสมัยเท่านั้น ยังหาได้มีการยกเลิกทั้งฉบับเฉกเช่นกรณีของประเทศไทยแต่อย่างใด อย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
จะว่าไปแล้วเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็เป็นสิ่งที่ทำได้เพราะโลกหมุนเวียนเปลี่ยน ไปทุกวัน การแก้ไขเพื่อให้กฎหมายมีความทันสมัยขึ้นจึงถือเป็นสิ่งจำเป็นอยู่มิใช่น้อย อย่างกรณีของสหรัฐอเมริกา ที่กล่าวมาแล้วนั้น แม้ปัจจุบันยังไม่เคยเปลี่ยนรัฐธรรมนูญลายลักษณ์ อักษร ยังคงใช้ฉบับเดิมมาแต่แรก มีเพียงการ แก้ไขปรับปรุงส่วนที่จำเป็นเท่านั้น ดังนั้น การจะทำให้กลไกหรือมาตรการต่างๆ แต่กฎหมาย ไทยกลับแตกต่างกัน เรามีการฉีกแล้วเขียนรัฐธรรมนูญใหม่มา 18 ฉบับแล้วแต่กฎหมายเก่า ที่ล้าหลังหลายต่อหลายข้อกลับไม่ได้รับการชำระหากลองมาไล่เรียงรัฐธรรมนูญฉบับต่างๆ ได้ดังนี้...
1.พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครอง แผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475
2.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475
3.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489
4.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490
5.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492
6.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495
7.ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502
8.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511
9.ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2515
10.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517
11.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2519
12.ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2520
13.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521
14.ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2534
15.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534
16.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540
17.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549
18.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
นับมา 78 ปี ประชาชนชาวไทยก็ยังคงรอ ความหวังว่าจะได้รัฐธรรมนูญฉบับของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ฉบับสมบูรญ์ ด้วยจิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง
ที่มา.สยามธุรกิจ
จะว่าไปแล้วการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ น่าจะนำไปสู่การพัฒนาที่ดีขึ้นมิใช่หรือ???... แต่เหตุใดประชาธิปไตยบ้านนี้เมืองนี้ถึงย่ำอยู่ กับที่...หรือที่ถูกน่าจะเรียกว่าถอยหลังลงคลอง เสียมากกว่ารัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวบางฉบับใช้บังคับเป็นเวลานาน เช่น ธรรมนูญการปกครอง ราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502 ซึ่งเกิดขึ้น โดยการทำรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ใช้บังคับเป็นเวลา 9 ปีเศษ แต่รัฐธรรมนูญฉบับถาวรหลายฉบับใช้บังคับในระยะเวลา สั้นๆ...อันที่จริงแล้วก็น่าคิดยิ่งนักว่าสาเหตุ ที่ต้องเปลี่ยนแปลงอยู่ที่เนื้อหาซึ่งไม่สอดคล้อง กับหลักประชาธิปไตย หรือไม่ถูกใจคนใช้ หรือเพราะผู้ใช้ใช้แบบผิดๆ มุ่งหาช่องว่างกอบโกย ผลประโยชน์เข้าตัวกันแน่
การฉีกรัฐธรรมนูญ!!!...มักถูกดำเนินการ โดยคณะนายทหารระดับสูง ด้วยกระบวนการ ที่เรียกว่า “กระทำรัฐประหาร” เมื่อคณะรัฐประหาร ซึ่งมีชื่อเรียกแตกต่างกันไป เช่น คณะปฏิวัติ คณะปฏิรูป หรือคณะรักษาความสงบเรียบร้อย ยึดอำนาจได้สำเร็จก็จะประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว แล้วจึงร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร และเมื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญที่มุ่งจะใช้บังคับเป็นการถาวรแล้วก็จะมีการเลือกตั้ง และตามด้วยการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ตามวิถีทาง ของรัฐธรรมนูญฉบับถาวร แต่เมื่อรัฐบาลดังกล่าว บริหารประเทศไปได้สักระยะหนึ่งก็จะถูกทำ การรัฐประหาร และประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับถาวร แล้วก็ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พร้อมทั้งจัดให้การร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับถาวรใหม่อีก หมุนเวียนเป็นวงจรการเมือง ของรัฐไทยมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานนับหลายสิบปี เสมือนวังวนที่หาทางออกไม่ได้ของการเมืองไทย....ซึ่งถ้าเป็นละครก็มักเรียก ว่าละครน้ำเน่า แต่เมื่อเป็นการเมืองเราจึงเรียก ว่าเป็น....การเมืองน้ำเน่า!!!
เฉลี่ยแล้ว รัฐธรรมนูญไทยเปลี่ยนแปลง ทุกๆ 4 ปี ต่างจากกรณีของประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีรัฐธรรมนูญเพียงฉบับเดียว ซึ่งนับ ตั้งแต่ประกาศใช้ จำนวน 7 มาตรา 55 อนุมาตรา ใน พ.ศ.2332 จนถึงปัจจุบันสองร้อยกว่าปีนั้น ก็มีแต่การแก้ไขให้ทันสมัยเท่านั้น ยังหาได้มีการยกเลิกทั้งฉบับเฉกเช่นกรณีของประเทศไทยแต่อย่างใด อย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
จะว่าไปแล้วเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็เป็นสิ่งที่ทำได้เพราะโลกหมุนเวียนเปลี่ยน ไปทุกวัน การแก้ไขเพื่อให้กฎหมายมีความทันสมัยขึ้นจึงถือเป็นสิ่งจำเป็นอยู่มิใช่น้อย อย่างกรณีของสหรัฐอเมริกา ที่กล่าวมาแล้วนั้น แม้ปัจจุบันยังไม่เคยเปลี่ยนรัฐธรรมนูญลายลักษณ์ อักษร ยังคงใช้ฉบับเดิมมาแต่แรก มีเพียงการ แก้ไขปรับปรุงส่วนที่จำเป็นเท่านั้น ดังนั้น การจะทำให้กลไกหรือมาตรการต่างๆ แต่กฎหมาย ไทยกลับแตกต่างกัน เรามีการฉีกแล้วเขียนรัฐธรรมนูญใหม่มา 18 ฉบับแล้วแต่กฎหมายเก่า ที่ล้าหลังหลายต่อหลายข้อกลับไม่ได้รับการชำระหากลองมาไล่เรียงรัฐธรรมนูญฉบับต่างๆ ได้ดังนี้...
1.พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครอง แผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475
2.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475
3.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489
4.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490
5.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492
6.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495
7.ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502
8.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511
9.ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2515
10.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517
11.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2519
12.ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2520
13.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521
14.ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2534
15.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534
16.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540
17.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549
18.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
นับมา 78 ปี ประชาชนชาวไทยก็ยังคงรอ ความหวังว่าจะได้รัฐธรรมนูญฉบับของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ฉบับสมบูรญ์ ด้วยจิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง
ที่มา.สยามธุรกิจ
กมธ.สหรัฐ ขอเลื่อนกำหนดการให้"ทักษิณ"เข้าชี้แจง เจ้าตัวรับลูกบอกดีจะได้มีเวลาทำวีซ่า
"ซีเอสซีอี" ขอยืดเวลาเชิญ "แม้ว" แจงละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทย อ้างติดเปิดสมัยประชุมสภา เจ้าตัวบอกขอบคุณจะได้มีเวลาเตรียมเรื่องวีซ่า-ข้อมูลเพิ่มเติม
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แถลงที่พรรคเพื่อไทย อาคารโอเอไอ ทาวเวอร์ ย่านถนนเพชรบุรีถึงความคืบหน้าในการตัดสินใจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในการเดินทางไปชี้แจงกับ คณะกรรมาธิการด้านความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป หรือ ซีเอสซีอี ของสหรัฐอเมริกา กรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ในความวุ่นวายทางการเมืองช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 และเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 16 ธันวาคม ว่า ช่วงกลางดึกคืนวันที่ 12 ธันวาคม ตนได้รับการแจ้งจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าทาง คณะกรรมาธิการฯได้ตัดสินใจเลื่อนการพิจารณาปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยออกไป ซึ่งอาจจะเป็นช่วงเดือนมกราคมเนื่องจากสหรัฐอเมริกาเพิ่งมีการเลือกตั้ง ส.ส. เข้ามาใหม่ จะมีการเปิดสมัยประชุมสภาคองเกรสในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โดย พ.ต.ท.ทักษิณได้ตอบรับการเลื่อนทางจดหมายไปแล้วว่าขอบคุณที่ได้มีการเลื่อนออกไป เพราะตัวเองจะได้มีเวลาในการดำเนินการเรื่องวีซ่าให้เสร็จสิ้น รวมไปถึงรวบรวมหลักฐานใหม่ที่เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนเข้าสู่การพิจารณาของ คณะกรรมาธิการฯเพิ่มเติม
"การไต่สวนและพิจารณาของ คณะกรรมาธิการฯ มีผลเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้ชาวโลกตระหนักว่ามันยังไม่มีการไต่สวน โดยคณะกรรมการที่เป็นอิสระและเป็นกลางอย่างแท้จริง ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมเดือนเมษายนและพฤษภาคมที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่ครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บเรียกร้องมาตลอด นอกจากนี้รัฐบาลยังไม่ได้แสดงความรับผิดชอบใดๆ ต่อการตาย การบาดเจ็บและการละเมิดสิทธิมนุษยชน" นายนพดลอ้างคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในจดหมาย
เมื่อถามว่าหลายกระแสเริ่มมองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ลงทุนปั่นกระแสให้แฟนคลับออกมาใช้เสียงเลือกตั้งซ่อม นายนพดลกล่าวว่า เราดำเนินการทุกอย่างด้วยความระมัดระวัง เพราะเกรงว่าจะมีผู้เข้าใจว่าเราพยายามปั่นกระแส
ที่มา.มติชนออนไลน์
-----------------------------------------------------
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แถลงที่พรรคเพื่อไทย อาคารโอเอไอ ทาวเวอร์ ย่านถนนเพชรบุรีถึงความคืบหน้าในการตัดสินใจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในการเดินทางไปชี้แจงกับ คณะกรรมาธิการด้านความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป หรือ ซีเอสซีอี ของสหรัฐอเมริกา กรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ในความวุ่นวายทางการเมืองช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 และเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 16 ธันวาคม ว่า ช่วงกลางดึกคืนวันที่ 12 ธันวาคม ตนได้รับการแจ้งจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าทาง คณะกรรมาธิการฯได้ตัดสินใจเลื่อนการพิจารณาปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยออกไป ซึ่งอาจจะเป็นช่วงเดือนมกราคมเนื่องจากสหรัฐอเมริกาเพิ่งมีการเลือกตั้ง ส.ส. เข้ามาใหม่ จะมีการเปิดสมัยประชุมสภาคองเกรสในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โดย พ.ต.ท.ทักษิณได้ตอบรับการเลื่อนทางจดหมายไปแล้วว่าขอบคุณที่ได้มีการเลื่อนออกไป เพราะตัวเองจะได้มีเวลาในการดำเนินการเรื่องวีซ่าให้เสร็จสิ้น รวมไปถึงรวบรวมหลักฐานใหม่ที่เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนเข้าสู่การพิจารณาของ คณะกรรมาธิการฯเพิ่มเติม
"การไต่สวนและพิจารณาของ คณะกรรมาธิการฯ มีผลเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้ชาวโลกตระหนักว่ามันยังไม่มีการไต่สวน โดยคณะกรรมการที่เป็นอิสระและเป็นกลางอย่างแท้จริง ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมเดือนเมษายนและพฤษภาคมที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่ครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บเรียกร้องมาตลอด นอกจากนี้รัฐบาลยังไม่ได้แสดงความรับผิดชอบใดๆ ต่อการตาย การบาดเจ็บและการละเมิดสิทธิมนุษยชน" นายนพดลอ้างคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในจดหมาย
เมื่อถามว่าหลายกระแสเริ่มมองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ลงทุนปั่นกระแสให้แฟนคลับออกมาใช้เสียงเลือกตั้งซ่อม นายนพดลกล่าวว่า เราดำเนินการทุกอย่างด้วยความระมัดระวัง เพราะเกรงว่าจะมีผู้เข้าใจว่าเราพยายามปั่นกระแส
ที่มา.มติชนออนไลน์
-----------------------------------------------------
AHRC ออกรายงานประจำปีจวกไทยรื้อฟื้นรัฐทหาร
เมื่อเร็วๆ นี้ คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย Asian Human Rights Commission (AHRC) เผยแพร่รายงานประจำปี 2553 ซึ่งในส่วนของประเทศไทยมีเนื้อหาในรายงานประมาณ 20 หน้า สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
รายงานนี้เริ่มด้วยการเสนอว่า ในไทยมีการรื้อฟื้น “รัฐทหาร” ซึ่งเน้นความมั่นคงภายใน หลังรัฐประหาร 19 กันยาเรื่อยมา มีการเพิ่มอำนาจให้กับพวกที่ต่อต้านสิทธิมนุษยชนในหน่วยงานต่างๆ ของรัฐและแม้แต่ในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของไทย AHRC มีการเรียกร้องให้สหประชาชาติยกเลิกความสัมพันธ์กับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของไทย พร้อมกันนั้น AHRC วิจารณ์การเพิกเฉยของกรรมการสิทธิฯ ขององค์กรสหประชาชาติเอง โดยสาเหตุมาจากการที่ประธานคณะกรรมการนี้เป็นคนของรัฐบาลไทย
AHRC อธิบายว่าในรัฐทหาร มีการจงใจผูกพันสถาบันกษัตริย์ กับนิยามของ “ความมั่นคงภายใน” ทั้งๆ ที่บทบาทสถาบันกษัตริย์เป็นประเด็นถกเถียงอย่างรุนแรงภายในสังคมไทยปัจจุบัน
รายงานของ AHRC กล่าวถึง ดา ตอร์ปิโด ที่ถูกจำคุก 18 ปีในข้อหาหมิ่นกษัตริย์ จีรนุช เปรมชัยพร ผู้บริหารประชาไท ที่โดนข้อกล่าวหามากมาย สมบัติ บุญงามอนงค์ (บก.ลายจุด) ที่โดนกลั่นแกล้งจากการที่เขาเป็นนักเคลื่อนไหวแบบสันติ และกรณีการอุ้มฆ่าทนาย สมชาย และ อิหม่ามในภาคใต้ ฯลฯ ในกรณีภาคใต้ผู้กระทำความผิดยังคงลอยนวลอยู่
ในกรณีการสลายการชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้า และแยกราชประสงค์ปีนี้ AHRC ฟันธงว่า รัฐบาลไทยจงใจเลือกสังหารพลเมืองเสื้อแดงที่ออกมาประท้วง โดยที่รัฐบาลใช้อาวุธสงครามรุนแรงและสไนเปอร์ เมื่อพิจารณาการประท้วงของคนเสื้อแดงครั้งนี้ มันอาจจะเป็นภัยต่อการคงอยู่ของรัฐบาล แต่ไม่มีหลักฐานอะไรทั้งสิ้นที่บ่งบอกว่าเป็นภัยต่อประเทศชาติ ดังนั้นการเข่นฆ่าประชาชนที่ราชประสงค์ไม่มีความชอบธรรมตามหลักการสิทธิมนุษยชนสากล และแม้แต่ในกรอบของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเองก็ไม่มีความชอบธรรม
รายงานนี้มีการพูดถึงการทรมานคนเสื้อแดงโดยทหาร เช่น การเอาน้ำมันราดและข่มขู่ว่าจะเผาทั้งเป็น การที่ ศอฉ. ใช้อำนาจเผด็จการในการเรียกนักเคลื่อนไหวเข้าพบ รวมถึงนักศึกษาโดยที่ไม่ให้ทนายเข้าไปด้วย และการที่ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฟอกตัวเจ้าหน้าที่รัฐล่วงหน้าเพราะระบุว่า เจ้าหน้าที่รัฐทำอะไรก็ได้ภายใต้ พ.ร.ก.นี้ โดยที่ไม่มีความผิด การเผยแพร่แผนผัง “แนวร่วมล้มเจ้า” ของ ศอฉ. และรองนายกรัฐมนตรี สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นการกล่าวหาและข่มขู่พลเมืองโดยไม่มีหลักฐานอะไรทั้งสิ้น ทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงโดยรัฐบาลไทย
AHRC เปิดโปงระบบสองมาตรฐานในระบบยุติธรรม เช่น เรื่องของการจับกุมแม่ค้าเสื้อแดงที่ขายรองเท้าแตะ ทั้งๆ ที่ในสมัยพันธมิตรฯเคลื่อนไหวก็มีการขายรองเท้าแตะที่มีใบหน้าของอดีต นายกรัฐมนตรีทักษิณ โดยที่ไม่มีข้อกล่าวหาและการจับกุมแต่อย่างใด ในกรณีรองเท้าแตะคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของไทย ได้ทำให้เรื่องสิทธิมนุษยชนกลายเป็น “เรื่องไร้สาระ” โดยการพูดว่าการนำภาพนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ไปไว้บนรองเท้าเป็นการละเมิดสิทธิของนายอภิสิทธิ์
ผู้ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย คือ ทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล ทั้งก่อนและหลังรัฐประหาร 19 กันยา และจนถึงทุกวันนี้ไม่มีใครถูกลงโทษเพราะระบบศาลล้มเหลวในการปกป้องสิทธิ มนุษยชน ไม่ว่าจะเป็นกรณีความขัดแย้งในภาคใต้ หรือ สงครามปราบยาเสพติด หรือความขัดแย้งปัจจุบันระหว่างคนเสื้อแดง กับรัฐบาลอภิสิทธิ์
ท่ามกลางการปกป้อง “รัฐทหาร” นอกจากจะมีการจัดการกับผู้ที่เป็นปรปักษ์ต่อรัฐทหารนี้แล้ว ยังมีการข่มขู่คนที่ไม่เลือกข้างจนพื้นที่เสรีภาพในสังคมหายไป และมีการเซนเซอร์สื่ออย่างรุนแรง การรื้อฟื้น “รัฐทหาร” ในประเทศไทยครั้งนี้ มีลักษณะคล้ายคลึงกับรัฐเผด็จการเก่าในยุคเผด็จการทหาร แต่มีการพัฒนาความสามารถของรัฐในการโฆษณาชวนเชื่อ และการใช้เทคโนโลยีเพื่อปราบปรามฝ่ายตรงข้าม
ทุกวันนี้ ในการรื้อฟื้น “รัฐทหาร” ที่เน้นความมั่นคงภายใน ผู้ที่ประท้วงอย่างสันติ หรือแสดงออกด้วยวาจากับข้อเขียน เสี่ยงกับการติดคุกหลายสิบปี แต่การอุ้มฆ่าทนายสิทธิมนุษยชน การประทุษร้าย การทรมาน และจงใจฆ่า ผู้ประท้วงเสื้อแดงที่มีแต่หนังสติ๊ก ดอกไม้ไฟ ไม้ไผ่ และ ปลาร้า ได้รับคำชมและทหารผู้กระทำความผิดได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นรางวัล นี่คือประเทศไทย
อ่านฉบัยเต็มภาษาอังกฤษที่
http://www.humanrights.asia/resources/hrreport/2010/AHRC-SPR-011-2010.pdf
ที่มา.ประชาไท
**********************************************
รายงานนี้เริ่มด้วยการเสนอว่า ในไทยมีการรื้อฟื้น “รัฐทหาร” ซึ่งเน้นความมั่นคงภายใน หลังรัฐประหาร 19 กันยาเรื่อยมา มีการเพิ่มอำนาจให้กับพวกที่ต่อต้านสิทธิมนุษยชนในหน่วยงานต่างๆ ของรัฐและแม้แต่ในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของไทย AHRC มีการเรียกร้องให้สหประชาชาติยกเลิกความสัมพันธ์กับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของไทย พร้อมกันนั้น AHRC วิจารณ์การเพิกเฉยของกรรมการสิทธิฯ ขององค์กรสหประชาชาติเอง โดยสาเหตุมาจากการที่ประธานคณะกรรมการนี้เป็นคนของรัฐบาลไทย
AHRC อธิบายว่าในรัฐทหาร มีการจงใจผูกพันสถาบันกษัตริย์ กับนิยามของ “ความมั่นคงภายใน” ทั้งๆ ที่บทบาทสถาบันกษัตริย์เป็นประเด็นถกเถียงอย่างรุนแรงภายในสังคมไทยปัจจุบัน
รายงานของ AHRC กล่าวถึง ดา ตอร์ปิโด ที่ถูกจำคุก 18 ปีในข้อหาหมิ่นกษัตริย์ จีรนุช เปรมชัยพร ผู้บริหารประชาไท ที่โดนข้อกล่าวหามากมาย สมบัติ บุญงามอนงค์ (บก.ลายจุด) ที่โดนกลั่นแกล้งจากการที่เขาเป็นนักเคลื่อนไหวแบบสันติ และกรณีการอุ้มฆ่าทนาย สมชาย และ อิหม่ามในภาคใต้ ฯลฯ ในกรณีภาคใต้ผู้กระทำความผิดยังคงลอยนวลอยู่
ในกรณีการสลายการชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้า และแยกราชประสงค์ปีนี้ AHRC ฟันธงว่า รัฐบาลไทยจงใจเลือกสังหารพลเมืองเสื้อแดงที่ออกมาประท้วง โดยที่รัฐบาลใช้อาวุธสงครามรุนแรงและสไนเปอร์ เมื่อพิจารณาการประท้วงของคนเสื้อแดงครั้งนี้ มันอาจจะเป็นภัยต่อการคงอยู่ของรัฐบาล แต่ไม่มีหลักฐานอะไรทั้งสิ้นที่บ่งบอกว่าเป็นภัยต่อประเทศชาติ ดังนั้นการเข่นฆ่าประชาชนที่ราชประสงค์ไม่มีความชอบธรรมตามหลักการสิทธิมนุษยชนสากล และแม้แต่ในกรอบของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเองก็ไม่มีความชอบธรรม
รายงานนี้มีการพูดถึงการทรมานคนเสื้อแดงโดยทหาร เช่น การเอาน้ำมันราดและข่มขู่ว่าจะเผาทั้งเป็น การที่ ศอฉ. ใช้อำนาจเผด็จการในการเรียกนักเคลื่อนไหวเข้าพบ รวมถึงนักศึกษาโดยที่ไม่ให้ทนายเข้าไปด้วย และการที่ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฟอกตัวเจ้าหน้าที่รัฐล่วงหน้าเพราะระบุว่า เจ้าหน้าที่รัฐทำอะไรก็ได้ภายใต้ พ.ร.ก.นี้ โดยที่ไม่มีความผิด การเผยแพร่แผนผัง “แนวร่วมล้มเจ้า” ของ ศอฉ. และรองนายกรัฐมนตรี สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นการกล่าวหาและข่มขู่พลเมืองโดยไม่มีหลักฐานอะไรทั้งสิ้น ทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงโดยรัฐบาลไทย
AHRC เปิดโปงระบบสองมาตรฐานในระบบยุติธรรม เช่น เรื่องของการจับกุมแม่ค้าเสื้อแดงที่ขายรองเท้าแตะ ทั้งๆ ที่ในสมัยพันธมิตรฯเคลื่อนไหวก็มีการขายรองเท้าแตะที่มีใบหน้าของอดีต นายกรัฐมนตรีทักษิณ โดยที่ไม่มีข้อกล่าวหาและการจับกุมแต่อย่างใด ในกรณีรองเท้าแตะคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของไทย ได้ทำให้เรื่องสิทธิมนุษยชนกลายเป็น “เรื่องไร้สาระ” โดยการพูดว่าการนำภาพนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ไปไว้บนรองเท้าเป็นการละเมิดสิทธิของนายอภิสิทธิ์
ผู้ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย คือ ทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล ทั้งก่อนและหลังรัฐประหาร 19 กันยา และจนถึงทุกวันนี้ไม่มีใครถูกลงโทษเพราะระบบศาลล้มเหลวในการปกป้องสิทธิ มนุษยชน ไม่ว่าจะเป็นกรณีความขัดแย้งในภาคใต้ หรือ สงครามปราบยาเสพติด หรือความขัดแย้งปัจจุบันระหว่างคนเสื้อแดง กับรัฐบาลอภิสิทธิ์
ท่ามกลางการปกป้อง “รัฐทหาร” นอกจากจะมีการจัดการกับผู้ที่เป็นปรปักษ์ต่อรัฐทหารนี้แล้ว ยังมีการข่มขู่คนที่ไม่เลือกข้างจนพื้นที่เสรีภาพในสังคมหายไป และมีการเซนเซอร์สื่ออย่างรุนแรง การรื้อฟื้น “รัฐทหาร” ในประเทศไทยครั้งนี้ มีลักษณะคล้ายคลึงกับรัฐเผด็จการเก่าในยุคเผด็จการทหาร แต่มีการพัฒนาความสามารถของรัฐในการโฆษณาชวนเชื่อ และการใช้เทคโนโลยีเพื่อปราบปรามฝ่ายตรงข้าม
ทุกวันนี้ ในการรื้อฟื้น “รัฐทหาร” ที่เน้นความมั่นคงภายใน ผู้ที่ประท้วงอย่างสันติ หรือแสดงออกด้วยวาจากับข้อเขียน เสี่ยงกับการติดคุกหลายสิบปี แต่การอุ้มฆ่าทนายสิทธิมนุษยชน การประทุษร้าย การทรมาน และจงใจฆ่า ผู้ประท้วงเสื้อแดงที่มีแต่หนังสติ๊ก ดอกไม้ไฟ ไม้ไผ่ และ ปลาร้า ได้รับคำชมและทหารผู้กระทำความผิดได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นรางวัล นี่คือประเทศไทย
อ่านฉบัยเต็มภาษาอังกฤษที่
http://www.humanrights.asia/resources/hrreport/2010/AHRC-SPR-011-2010.pdf
ที่มา.ประชาไท
**********************************************
ชวรัตน์ ชาญวีรกูล ไขปมแพ้โหวตวัดใจ-โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี "หวังว่านายกรัฐมนตรีจะมีวุฒิภาวะมากขึ้น"
สัมภาษณ์พิเศษ
หากไม่มีพรรคภูมิใจไทยเป็น องค์ประกอบ รัฐบาล "เทพประทาน" ก็ยากจะ เกิดขึ้น
ตลอดเวลากว่า 2 ปีของการร่วมหอ-ลงโรง ระหว่างประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย จึงมีแต่ความราบรื่น แทบไม่มีโครงการใด ที่ภูมิใจไทยต้องการแล้วไม่ได้
แต่เมื่อประชาธิปัตย์รอดพ้นคดี ยุบพรรค-วาระการดำรงตำแหน่งอีก ไม่น้อยกว่า 9 เดือน
นาฬิกาการเมืองถูกนับถอยหลังไปสู่การเลือกตั้ง
ความสัมพันธ์ฉันพรรคร่วมจืดจาง-หมางเมิน
"นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล" หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ไขปมสัมพันธ์ร้าว
- เบื้องหลังการโหวตลงมติ ครม.ให้แก้ กฎกระทรวงมหาดไทย ฉบับที่ 22 เพื่อแก้ไขปัญหาบัตรสมาร์ทการ์ด
รัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทย งดออกเสียง ก็เพื่อป้องกันปัญหาหากมีการฟ้องร้องกันขึ้น และทุกฝ่ายจะได้ทราบจุดยืนของกระทรวงว่าไม่เห็นด้วยกับการแก้ไข กฎกระทรวงเพื่อรองรับบัตรที่ผลิตขึ้นไม่ ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ในเมื่อที่ประชุม ครม.นายกฯขอให้โหวตเพื่อให้แก้กฎกระทรวง มติส่วนใหญ่ออกมาก็ต้องกลับ ไปแก้ ถือเป็นทางออกเพื่อช่วยประหยัด งบประมาณ
- ถูกหักหน้าอย่างนี้ พรรครู้สึกเสียหน้าหรือไม่
ไม่ถือว่าพรรคภูมิใจไทยเสียหน้า แต่การที่กระทรวงมหาดไทยคัดค้านไม่รับรองบัตรสมาร์ทการ์ดที่ผลิตไม่ถูกต้องตามกฎกระทรวง เพื่อรักษาผลประโยชน์ให้ประชาชนได้ใช้บัตรที่ถูกต้อง เพราะบัตรที่ภาคเอกชนผลิตมาทำผิดกฎกระทรวง ข้อที่ 22
- ถ้าไม่เห็นด้วย ทำไมไม่โหวตสวนหรือวอล์กเอาต์
การไม่ออกเสียงก็ถือว่าเนกาทีฟ- negative (เป็นเรื่องลบ) แล้ว ที่มีมติอย่างนั้นก็แสดงให้เห็นว่าเราไม่เห็นด้วย ผมมองดูแล้วออกเสียงอย่างไรเราก็แพ้เขา (พรรคประชาธิปัตย์) วันยังค่ำ ท่านนายกรัฐมนตรีไม่น่าจะให้โหวตอยู่แล้ว เพราะถึงอย่างไรเขาก็ชนะอยู่แล้ว เราแพ้น็อกอยู่แล้ว ท่านนายกรัฐมนตรีจะให้โหวตไปทำไมไม่ทราบ
ท่านนายกรัฐมนตรีอาจจะอยากให้เห็นว่าเป็นประชาธิปไตย ผมคิดบวก ไม่อยากคิดลบให้เครียด
- ในเมื่อฝ่ายกระทรวงมหาดไทย ยืนยันโดยเอกสารในข้อเสนอเพื่อพิจารณาว่า ถ้าแก้จะผิดกฎหมาย ทำไมไม่ยืนยันให้ หนักแน่น เมื่ออภิปรายถกกันใน ครม.
เราหนักแน่น เรายืนยันว่าผิดกฎหมาย นี่ยังไม่หนักแน่นพออีกหรือ เรายืนยัน หลักการที่ถูกต้องเป็นหลัก
- ในที่ประชุมเลขาธิการสำนักงานกฤษฎีกาช่วยอธิบายว่า แก้ได้ไม่ผิดกฎหมายใช่หรือเปล่า
การแก้กฎหมายรองรับการ์ด-บัตรประชาชนที่ทำไว้แล้ว ไม่ได้ทำให้ใคร เดือดร้อน ถ้าถามว่าใครถูก ใครผิด ก็ตอบได้ว่า ถูกทั้งคู่ ฝ่ายเขา (ประชาธิปัตย์) ต้องการประหยัดงบประมาณ ฝ่ายเรา (ภูมิใจไทย) เรายึดกฎหมายเป็นหลัก
เราถือว่าเรา protect (ป้องกัน) ไว้แล้ว เราห่วงว่าจะถูกฟ้องร้องเพราะไปออกกฎกระทรวง แก้กฎหมายรองรับสิ่งที่ไม่ถูก เรา defend (ออกตัว) อีกครั้ง ประเด็นอื่นเราก็เห็นด้วยกับนายกรัฐมนตรีหมด
- ในเมื่อมหาดไทยมีหลักฐานว่าอาจจะถูกฟ้องร้อง ทำไมไม่แสดงหลักฐานออกมา
ผมไม่ทราบ ต้องไปถามท่านนายกรัฐมนตรี เพราะท่านก็ผ่านการกลั่นกรองมากแล้ว และต้องอนุมานได้ว่าการประมูลมีความโปร่งใส
- จากนี้ไปกระทรวงมหาดไทยต้องทำอย่างไร
เราก็ต้องแก้กฎหมาย เพราะเราแพ้โหวต เสียงคณะรัฐมนตรีส่วนใหญ่เขาเห็นด้วยที่จะแก้กระทรวง เมื่อ ครม.มีมติออกมาต้องรอให้กระทรวงไอซีทีส่งเรื่องมา กระทรวงมหาดไทยจะตั้งคณะกรรมการ ขึ้นมาแก้ มีกรมการปกครองเป็นเจ้าของเรื่อง คาดว่าจะเสร็จภายใน 2 สัปดาห์ แต่ขั้นตอนอื่น ๆ เช่น ขั้นตอนการพิมพ์บัตรและการส่งมอบคงต้องใช้เวลาอีก 1 เดือนจึงจะให้บริการบัตรสมาร์ทการ์ดกับประชาชนได้
- พรรคร่วมรัฐบาลที่สำคัญ 2 พรรคมีเรื่องขัดแย้งกันหนัก จะอยู่ด้วยกันไปอีกยาวหรือไม่
ไม่มีอะไรหรอกครับ ทำงานก็ต้องเห็นแย้งกัน ถ้าทำงานแล้วมีความเห็นเหมือนกันหมดก็เปลืองงบประมาณแย่
- ทำไมมีเรื่องขัดแย้งผลประโยชน์ในคณะรัฐมนตรีทีไร ต้องเป็นเรื่องระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับภูมิใจไทย
ก็เป็นเพราะ 2 พรรคนี้เป็นพรรคใหญ่ พรรคเราอันดับ 2 แต่ก็ต้องไปถามผู้กระทำ อย่ามาถามผู้ถูกกระทำ (หัวเราะ) ผมไม่น้อยใจ...ให้ตาย ไม่เลย เราต้องทำงาน มันก็เป็นอย่างนี้ตลอด สมัยก่อนผมทำธุรกิจ คุยกับลูกน้องในโต๊ะประชุม เขาเถียงกับ เราคอเป็นเอ็น แต่เราก็ต้องเข้าใจว่า ข้อมูลลูกน้องอาจจะถูกก็ได้
แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องกฎหมาย มันหมิ่นเหม่ที่จะถูกกล่าวหา เพราะฉะนั้นเราต้อง protect ตัวเอง ไม่งั้นอนาคตอาจต้อง ไปสำนักงานสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) หรือต้องไปสำนักงานป้องกันปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หลักทางด้านการบริหารราชการแผ่นดิน มันมีทุกข์มากว่าการบริหารธุรกิจเอกชนเยอะ
เปรียบเทียบกับงานภาคธุรกิจเอกชน มีการถกเถียงกัน แต่พอออกจากห้องประชุม ก็จบ แต่ราชการฝ่ายบริหารตัดสินใจอะไรไปแล้วยังมี consequence (ผลที่เกิดขึ้นตามมา) อีกเยอะ
- หากเป็นองค์กรธุรกิจ ผู้จัดการฝ่ายทะเลาะกับซีอีโอหนักทุกครั้ง ประชุมคราวหน้าจะมองหน้ากันติดหรือ
เราทะเลาะกันด้วยหลักการ ฝ่ายหนึ่งพิจารณาความจำเป็นตามหลักเศรษฐกิจ ฝ่ายหนึ่งก็ถือหลักกฎหมายไม่มีใครผิด ท่านนายกรัฐมนตรีในฐานะซีอีโอก็ต้องการประหยัดงบประมาณเพราะมันต้องใช้เงินหลายร้อยล้าน
- ท่านมีข้อสงสัยเรื่องกระทรวงไอซีทีมีเบื้องหน้าเบื้องหลังหรือไม่
เราไม่ทราบว่ากระทรวงไอซีทีไปเจรจากับใคร กระทรวงมหาดไทยมีหน้าที่พิมพ์บัตร ออกบัตร เราไม่มีหน้าที่ไป เจรจากับใคร
- 2 พรรคขัดแย้งกันหลายครั้งหลายโครงการ หากจัดตั้งรัฐบาลสมัยหน้ายังจะร่วมรัฐบาลกันได้อีกหรือไม่
ผมหวังว่าตอนนั้นท่านนายกรัฐมนตรีจะมี maturity (วุฒิภาวะ) มากขึ้น มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น (หัวเราะ)
- หมายความว่า หลังเลือกตั้งใหญ่สมัยหน้าก็ร่วมรัฐบาลกันอีก
ไม่มีปัญหา
- ในแง่พื้นที่เลือกตั้ง พรรคภูมิใจไทยก็ทำพื้นที่ภาคอีสานแทนพรรคประชาธิปัตย์หรือเปล่า
โอย...การทำพรรคการเมืองต้อง ขี้เหนียว...โลกนี้ไม่มีอะไรฟรีหรอก
- เป็นนักธุรกิจมาทำงานการเมือง ตอนนี้คิดเรื่องวางมือจากการเมืองบ้างหรือไม่
ผมอยากจะวางนะ แต่ยังไม่มีคนมาทำแทน เพราะเขาอยู่ในบ้านเลขที่ 111 บางส่วนก็อยู่ในกลุ่ม 109 คนที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง
ส่วนตัวผมไม่ค่อยซีเรียส ตอนอยู่ภาคธุรกิจโดนหนักกว่านี้ ผมยังอยู่นิ่งเฉยได้...เจ็บนะ แต่ทนได้ ก็ยึดหลักขันติให้ มากที่สุด
ตอนทำธุรกิจเป้าหมายคือกำไร สร้างผลิตภัณฑ์ของตัวเองให้ผู้ซื้อยอมรับ แต่ทำการเมืองเป้าหมายคือการสร้างพื้นที่ยุทธศาสตร์ไม่เหมือนกัน
ในใจผมไม่ได้อยากมาทำการเมือง แต่เมื่อมาทำแล้วก็ 50/50 ยังอยากจะมีอิสระ ไปไหนมาไหนได้บ้าง นี่ไปเที่ยวไหนไม่ได้เลย ออกทีวีถี่เกินไปคนจำได้หมด
- เลือกตั้งคราวหน้าพรรคภูมิใจไทย ชูนโยบายอะไรบ้าง
ผมกำลังวาง master plan (แผนแม่บท) ผมจะทำแคมเปญเลือกตั้งที่ยิ่งใหญ่มาก จะ change (เปลี่ยนแปลง) พลิกโฉมหน้าประเทศไทยอย่างชัดเจน ทำแล้วคนรากหญ้าสบายเลย ลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ ทำให้ประเทศไทยไม่มีคำว่า ยากจน ผมอยากให้ประเทศไทยมีรายได้ ต่อหัวไม่ห่างกันมาก
- คุณเนวิน ชิดชอบ ที่เป็นครูใหญ่ของพรรค ร่วมงานกับท่านได้ดี
เขาก็คิดด้วยกันกับผม เขาคิดเร็วทำเร็ว ทำงานเก่งจนทำให้คนอื่นอิจฉาเขาเยอะ ข้อเสียคือแก (เนวิน) เหยียบหลายคนขึ้นมา คนที่ถูกเหยียบไหล่ก็เลยแค้น แต่ตอนนั้นก็ไม่ค่อยมีบันไดให้เขาเหยียบเท่าไร (หัวเราะ)
- คุณเนวินมีศัตรูทางการเมืองเยอะ การเป็นรัฐบาลสมัยหน้าจะยากหรือไม่
ผมว่าสักวัน...ซึ่งก็ต้องใช้เวลานานพอควรที่จะพิสูจน์ว่าคนอย่างเขา (เนวิน) ก็อาจจะใช้มือดึงคนที่เขาเคยเหยียบไหล่ให้ขึ้นมาก็ได้ เพราะบางทีคุณเนวินแกก็เคยถูกเหยียบไหล่เหมือนกัน...แกคงเข้าใจ
- กระทรวงมหาดไทยจะขึ้นเงินเดือนให้ ผู้บริหาร อบต.ถูกประชาธิปัตย์ขวาง
การปรับเงินเดือนผู้บริหาร อบต.ไม่ได้หวังผลทางการเมืองหรือเตรียมเลือกตั้ง และไม่ใช่การหาเสียงเลือกตั้งแข่งขันกับพรรคประชาธิปัตย์ที่เตรียมขึ้นเงินเดือนข้าราชการในเดือน เม.ย. 2554 แต่เป็นการขึ้นค่าครองชีพให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจ และได้พิจารณาจาก พื้นฐานเงินเดือนค่าตอบแทนที่ผู้บริหารจะได้รับ เพราะเห็นว่ายังมีสัดส่วนที่ต่ำกว่าหน่วยงานอื่น การปรับครั้งนี้แต่ละคนจะได้รับเงินประมาณ 7,900-9,200 บาท ปรับขึ้นเพียงร้อยละ 60-70 เท่านั้น โดยใช้งบประมาณปีละกว่า 1,000 ล้านบาท หาก ส.ก.และ ส.ข.จะขึ้นเงินเดือนตาม โดยมีเหตุผลก็ต้องยอมรับ
- ที่สุดแล้วเงินเดือนของ อบต.ก็ได้ตามเสนอ เพียงแต่นายกรัฐมนตรีอยากร่วมพิจารณาในรายละเอียด
ใช่ครับ คงได้ขึ้น แต่ได้ให้อธิบดีกรม ส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นทำตารางตัวเลขเปรียบเทียบอัตราการขึ้นเงินเดือนและตัวเลขงบประมาณ เพื่อเสนอนายกฯให้ทันก่อนการประชุม ครม.สัปดาห์หน้า แต่ผมได้ลงนามการปรับขึ้นเงินเดือน ผู้บริหาร อบต.ไปแล้ว คงมีผลหลัง ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา
การขึ้นเงิน อบต.เรื่องนี้ไม่ได้เป็นการนำเรื่องเข้าพิจารณาใน ครม. แต่เป็นกรณีที่นายกรัฐมนตรีแสดงความเป็นห่วงและขอให้ยื่นตารางเปรียบเทียบค่าตอบแทนระหว่างองค์กรต่าง ๆ ทั้ง อบต. อบจ. เทศบาล และสภา กทม. ซึ่งไม่มีปัญหาอะไร
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
--------------------------------------------------------------
หากไม่มีพรรคภูมิใจไทยเป็น องค์ประกอบ รัฐบาล "เทพประทาน" ก็ยากจะ เกิดขึ้น
ตลอดเวลากว่า 2 ปีของการร่วมหอ-ลงโรง ระหว่างประชาธิปัตย์-ภูมิใจไทย จึงมีแต่ความราบรื่น แทบไม่มีโครงการใด ที่ภูมิใจไทยต้องการแล้วไม่ได้
แต่เมื่อประชาธิปัตย์รอดพ้นคดี ยุบพรรค-วาระการดำรงตำแหน่งอีก ไม่น้อยกว่า 9 เดือน
นาฬิกาการเมืองถูกนับถอยหลังไปสู่การเลือกตั้ง
ความสัมพันธ์ฉันพรรคร่วมจืดจาง-หมางเมิน
"นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล" หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ไขปมสัมพันธ์ร้าว
- เบื้องหลังการโหวตลงมติ ครม.ให้แก้ กฎกระทรวงมหาดไทย ฉบับที่ 22 เพื่อแก้ไขปัญหาบัตรสมาร์ทการ์ด
รัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทย งดออกเสียง ก็เพื่อป้องกันปัญหาหากมีการฟ้องร้องกันขึ้น และทุกฝ่ายจะได้ทราบจุดยืนของกระทรวงว่าไม่เห็นด้วยกับการแก้ไข กฎกระทรวงเพื่อรองรับบัตรที่ผลิตขึ้นไม่ ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ในเมื่อที่ประชุม ครม.นายกฯขอให้โหวตเพื่อให้แก้กฎกระทรวง มติส่วนใหญ่ออกมาก็ต้องกลับ ไปแก้ ถือเป็นทางออกเพื่อช่วยประหยัด งบประมาณ
- ถูกหักหน้าอย่างนี้ พรรครู้สึกเสียหน้าหรือไม่
ไม่ถือว่าพรรคภูมิใจไทยเสียหน้า แต่การที่กระทรวงมหาดไทยคัดค้านไม่รับรองบัตรสมาร์ทการ์ดที่ผลิตไม่ถูกต้องตามกฎกระทรวง เพื่อรักษาผลประโยชน์ให้ประชาชนได้ใช้บัตรที่ถูกต้อง เพราะบัตรที่ภาคเอกชนผลิตมาทำผิดกฎกระทรวง ข้อที่ 22
- ถ้าไม่เห็นด้วย ทำไมไม่โหวตสวนหรือวอล์กเอาต์
การไม่ออกเสียงก็ถือว่าเนกาทีฟ- negative (เป็นเรื่องลบ) แล้ว ที่มีมติอย่างนั้นก็แสดงให้เห็นว่าเราไม่เห็นด้วย ผมมองดูแล้วออกเสียงอย่างไรเราก็แพ้เขา (พรรคประชาธิปัตย์) วันยังค่ำ ท่านนายกรัฐมนตรีไม่น่าจะให้โหวตอยู่แล้ว เพราะถึงอย่างไรเขาก็ชนะอยู่แล้ว เราแพ้น็อกอยู่แล้ว ท่านนายกรัฐมนตรีจะให้โหวตไปทำไมไม่ทราบ
ท่านนายกรัฐมนตรีอาจจะอยากให้เห็นว่าเป็นประชาธิปไตย ผมคิดบวก ไม่อยากคิดลบให้เครียด
- ในเมื่อฝ่ายกระทรวงมหาดไทย ยืนยันโดยเอกสารในข้อเสนอเพื่อพิจารณาว่า ถ้าแก้จะผิดกฎหมาย ทำไมไม่ยืนยันให้ หนักแน่น เมื่ออภิปรายถกกันใน ครม.
เราหนักแน่น เรายืนยันว่าผิดกฎหมาย นี่ยังไม่หนักแน่นพออีกหรือ เรายืนยัน หลักการที่ถูกต้องเป็นหลัก
- ในที่ประชุมเลขาธิการสำนักงานกฤษฎีกาช่วยอธิบายว่า แก้ได้ไม่ผิดกฎหมายใช่หรือเปล่า
การแก้กฎหมายรองรับการ์ด-บัตรประชาชนที่ทำไว้แล้ว ไม่ได้ทำให้ใคร เดือดร้อน ถ้าถามว่าใครถูก ใครผิด ก็ตอบได้ว่า ถูกทั้งคู่ ฝ่ายเขา (ประชาธิปัตย์) ต้องการประหยัดงบประมาณ ฝ่ายเรา (ภูมิใจไทย) เรายึดกฎหมายเป็นหลัก
เราถือว่าเรา protect (ป้องกัน) ไว้แล้ว เราห่วงว่าจะถูกฟ้องร้องเพราะไปออกกฎกระทรวง แก้กฎหมายรองรับสิ่งที่ไม่ถูก เรา defend (ออกตัว) อีกครั้ง ประเด็นอื่นเราก็เห็นด้วยกับนายกรัฐมนตรีหมด
- ในเมื่อมหาดไทยมีหลักฐานว่าอาจจะถูกฟ้องร้อง ทำไมไม่แสดงหลักฐานออกมา
ผมไม่ทราบ ต้องไปถามท่านนายกรัฐมนตรี เพราะท่านก็ผ่านการกลั่นกรองมากแล้ว และต้องอนุมานได้ว่าการประมูลมีความโปร่งใส
- จากนี้ไปกระทรวงมหาดไทยต้องทำอย่างไร
เราก็ต้องแก้กฎหมาย เพราะเราแพ้โหวต เสียงคณะรัฐมนตรีส่วนใหญ่เขาเห็นด้วยที่จะแก้กระทรวง เมื่อ ครม.มีมติออกมาต้องรอให้กระทรวงไอซีทีส่งเรื่องมา กระทรวงมหาดไทยจะตั้งคณะกรรมการ ขึ้นมาแก้ มีกรมการปกครองเป็นเจ้าของเรื่อง คาดว่าจะเสร็จภายใน 2 สัปดาห์ แต่ขั้นตอนอื่น ๆ เช่น ขั้นตอนการพิมพ์บัตรและการส่งมอบคงต้องใช้เวลาอีก 1 เดือนจึงจะให้บริการบัตรสมาร์ทการ์ดกับประชาชนได้
- พรรคร่วมรัฐบาลที่สำคัญ 2 พรรคมีเรื่องขัดแย้งกันหนัก จะอยู่ด้วยกันไปอีกยาวหรือไม่
ไม่มีอะไรหรอกครับ ทำงานก็ต้องเห็นแย้งกัน ถ้าทำงานแล้วมีความเห็นเหมือนกันหมดก็เปลืองงบประมาณแย่
- ทำไมมีเรื่องขัดแย้งผลประโยชน์ในคณะรัฐมนตรีทีไร ต้องเป็นเรื่องระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับภูมิใจไทย
ก็เป็นเพราะ 2 พรรคนี้เป็นพรรคใหญ่ พรรคเราอันดับ 2 แต่ก็ต้องไปถามผู้กระทำ อย่ามาถามผู้ถูกกระทำ (หัวเราะ) ผมไม่น้อยใจ...ให้ตาย ไม่เลย เราต้องทำงาน มันก็เป็นอย่างนี้ตลอด สมัยก่อนผมทำธุรกิจ คุยกับลูกน้องในโต๊ะประชุม เขาเถียงกับ เราคอเป็นเอ็น แต่เราก็ต้องเข้าใจว่า ข้อมูลลูกน้องอาจจะถูกก็ได้
แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องกฎหมาย มันหมิ่นเหม่ที่จะถูกกล่าวหา เพราะฉะนั้นเราต้อง protect ตัวเอง ไม่งั้นอนาคตอาจต้อง ไปสำนักงานสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) หรือต้องไปสำนักงานป้องกันปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หลักทางด้านการบริหารราชการแผ่นดิน มันมีทุกข์มากว่าการบริหารธุรกิจเอกชนเยอะ
เปรียบเทียบกับงานภาคธุรกิจเอกชน มีการถกเถียงกัน แต่พอออกจากห้องประชุม ก็จบ แต่ราชการฝ่ายบริหารตัดสินใจอะไรไปแล้วยังมี consequence (ผลที่เกิดขึ้นตามมา) อีกเยอะ
- หากเป็นองค์กรธุรกิจ ผู้จัดการฝ่ายทะเลาะกับซีอีโอหนักทุกครั้ง ประชุมคราวหน้าจะมองหน้ากันติดหรือ
เราทะเลาะกันด้วยหลักการ ฝ่ายหนึ่งพิจารณาความจำเป็นตามหลักเศรษฐกิจ ฝ่ายหนึ่งก็ถือหลักกฎหมายไม่มีใครผิด ท่านนายกรัฐมนตรีในฐานะซีอีโอก็ต้องการประหยัดงบประมาณเพราะมันต้องใช้เงินหลายร้อยล้าน
- ท่านมีข้อสงสัยเรื่องกระทรวงไอซีทีมีเบื้องหน้าเบื้องหลังหรือไม่
เราไม่ทราบว่ากระทรวงไอซีทีไปเจรจากับใคร กระทรวงมหาดไทยมีหน้าที่พิมพ์บัตร ออกบัตร เราไม่มีหน้าที่ไป เจรจากับใคร
- 2 พรรคขัดแย้งกันหลายครั้งหลายโครงการ หากจัดตั้งรัฐบาลสมัยหน้ายังจะร่วมรัฐบาลกันได้อีกหรือไม่
ผมหวังว่าตอนนั้นท่านนายกรัฐมนตรีจะมี maturity (วุฒิภาวะ) มากขึ้น มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น (หัวเราะ)
- หมายความว่า หลังเลือกตั้งใหญ่สมัยหน้าก็ร่วมรัฐบาลกันอีก
ไม่มีปัญหา
- ในแง่พื้นที่เลือกตั้ง พรรคภูมิใจไทยก็ทำพื้นที่ภาคอีสานแทนพรรคประชาธิปัตย์หรือเปล่า
โอย...การทำพรรคการเมืองต้อง ขี้เหนียว...โลกนี้ไม่มีอะไรฟรีหรอก
- เป็นนักธุรกิจมาทำงานการเมือง ตอนนี้คิดเรื่องวางมือจากการเมืองบ้างหรือไม่
ผมอยากจะวางนะ แต่ยังไม่มีคนมาทำแทน เพราะเขาอยู่ในบ้านเลขที่ 111 บางส่วนก็อยู่ในกลุ่ม 109 คนที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง
ส่วนตัวผมไม่ค่อยซีเรียส ตอนอยู่ภาคธุรกิจโดนหนักกว่านี้ ผมยังอยู่นิ่งเฉยได้...เจ็บนะ แต่ทนได้ ก็ยึดหลักขันติให้ มากที่สุด
ตอนทำธุรกิจเป้าหมายคือกำไร สร้างผลิตภัณฑ์ของตัวเองให้ผู้ซื้อยอมรับ แต่ทำการเมืองเป้าหมายคือการสร้างพื้นที่ยุทธศาสตร์ไม่เหมือนกัน
ในใจผมไม่ได้อยากมาทำการเมือง แต่เมื่อมาทำแล้วก็ 50/50 ยังอยากจะมีอิสระ ไปไหนมาไหนได้บ้าง นี่ไปเที่ยวไหนไม่ได้เลย ออกทีวีถี่เกินไปคนจำได้หมด
- เลือกตั้งคราวหน้าพรรคภูมิใจไทย ชูนโยบายอะไรบ้าง
ผมกำลังวาง master plan (แผนแม่บท) ผมจะทำแคมเปญเลือกตั้งที่ยิ่งใหญ่มาก จะ change (เปลี่ยนแปลง) พลิกโฉมหน้าประเทศไทยอย่างชัดเจน ทำแล้วคนรากหญ้าสบายเลย ลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ ทำให้ประเทศไทยไม่มีคำว่า ยากจน ผมอยากให้ประเทศไทยมีรายได้ ต่อหัวไม่ห่างกันมาก
- คุณเนวิน ชิดชอบ ที่เป็นครูใหญ่ของพรรค ร่วมงานกับท่านได้ดี
เขาก็คิดด้วยกันกับผม เขาคิดเร็วทำเร็ว ทำงานเก่งจนทำให้คนอื่นอิจฉาเขาเยอะ ข้อเสียคือแก (เนวิน) เหยียบหลายคนขึ้นมา คนที่ถูกเหยียบไหล่ก็เลยแค้น แต่ตอนนั้นก็ไม่ค่อยมีบันไดให้เขาเหยียบเท่าไร (หัวเราะ)
- คุณเนวินมีศัตรูทางการเมืองเยอะ การเป็นรัฐบาลสมัยหน้าจะยากหรือไม่
ผมว่าสักวัน...ซึ่งก็ต้องใช้เวลานานพอควรที่จะพิสูจน์ว่าคนอย่างเขา (เนวิน) ก็อาจจะใช้มือดึงคนที่เขาเคยเหยียบไหล่ให้ขึ้นมาก็ได้ เพราะบางทีคุณเนวินแกก็เคยถูกเหยียบไหล่เหมือนกัน...แกคงเข้าใจ
- กระทรวงมหาดไทยจะขึ้นเงินเดือนให้ ผู้บริหาร อบต.ถูกประชาธิปัตย์ขวาง
การปรับเงินเดือนผู้บริหาร อบต.ไม่ได้หวังผลทางการเมืองหรือเตรียมเลือกตั้ง และไม่ใช่การหาเสียงเลือกตั้งแข่งขันกับพรรคประชาธิปัตย์ที่เตรียมขึ้นเงินเดือนข้าราชการในเดือน เม.ย. 2554 แต่เป็นการขึ้นค่าครองชีพให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจ และได้พิจารณาจาก พื้นฐานเงินเดือนค่าตอบแทนที่ผู้บริหารจะได้รับ เพราะเห็นว่ายังมีสัดส่วนที่ต่ำกว่าหน่วยงานอื่น การปรับครั้งนี้แต่ละคนจะได้รับเงินประมาณ 7,900-9,200 บาท ปรับขึ้นเพียงร้อยละ 60-70 เท่านั้น โดยใช้งบประมาณปีละกว่า 1,000 ล้านบาท หาก ส.ก.และ ส.ข.จะขึ้นเงินเดือนตาม โดยมีเหตุผลก็ต้องยอมรับ
- ที่สุดแล้วเงินเดือนของ อบต.ก็ได้ตามเสนอ เพียงแต่นายกรัฐมนตรีอยากร่วมพิจารณาในรายละเอียด
ใช่ครับ คงได้ขึ้น แต่ได้ให้อธิบดีกรม ส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นทำตารางตัวเลขเปรียบเทียบอัตราการขึ้นเงินเดือนและตัวเลขงบประมาณ เพื่อเสนอนายกฯให้ทันก่อนการประชุม ครม.สัปดาห์หน้า แต่ผมได้ลงนามการปรับขึ้นเงินเดือน ผู้บริหาร อบต.ไปแล้ว คงมีผลหลัง ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา
การขึ้นเงิน อบต.เรื่องนี้ไม่ได้เป็นการนำเรื่องเข้าพิจารณาใน ครม. แต่เป็นกรณีที่นายกรัฐมนตรีแสดงความเป็นห่วงและขอให้ยื่นตารางเปรียบเทียบค่าตอบแทนระหว่างองค์กรต่าง ๆ ทั้ง อบต. อบจ. เทศบาล และสภา กทม. ซึ่งไม่มีปัญหาอะไร
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
--------------------------------------------------------------
ก่อน 16 ธ.ค.
การเมืองไทยช่วงท้ายปีมีเรื่องให้ลุ้นระทึกเกือบทุกสัปดาห์
พื้นที่ข่าว 2 สัปดาห์ก่อนต่อเนื่องสัปดาห์ที่แล้ว
เป็นเรื่องคำวินิจฉัยคดียุบพรรคประชาธิปัตย์จากกรณีเงิน 29 ล้านและ 258 ล้าน
มาถึงสัปดาห์นี้นอกจากผลเลือกตั้งซ่อมส.ส. 5 เขต 5 จังหวัด
ใครสอบได้ ใครสอบตก จะเป็นกระจกสะท้อนแนวโน้มเลือกตั้งใหญ่ปีหน้า
กับอีกเรื่องน่าจับตาไม่แพ้กัน
กรณี'ทักษิณ'ได้รับเชิญจากคณะกรรมาธิการด้านความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป หรือซีเอสซีอี ให้เดินทางเข้าสหรัฐ
เพื่อชี้แจงปัญหาละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทยช่วงสลายม็อบเดือนเม.ย.-พ.ค.
นัดหมายกัน 16 ธ.ค.นี้
ต้องจับตาเพราะรัฐบาลไทยหลายคนเชื่อว่า ทักษิณไม่น่าเข้าสหรัฐได้เนื่องจากมีปัญหายื่นขอวีซ่า
หรือถ้าจับพลัดจับผลูหลุดเข้าไปได้ก็ยังต้องลุ้นช็อตสองว่า
จะโดนทางการสหรัฐล็อกตัวส่งกลับไทยตามสนธิสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนหรือไม่
ยังไม่มีใครรู้ว่าจริงๆ แล้วสหรัฐคิดทำอย่างไรกับเรื่องนี้
แต่ทั้งสองฝ่ายคือรัฐบาลและเครือข่ายนายใหญ่ ต่างก็ออกมาให้ข่าวเกทับบลัฟแหลก
ฝ่ายรัฐบาลไล่ตั้งแต่นายกฯอภิสิทธิ์ รัฐมนตรีกษิต จนถึงศอฉ.
มั่นใจว่าสหรัฐคงไม่ยอมเปิดประตูรับทักษิณ เข้าประเทศง่ายๆ แน่
ขณะเดียวกันบรรดาแนวร่วมรัฐบาลพยายามจะเพิ่มน้ำหนัก ด้วยการหยิบยกกรณีรัฐบาลไทยดำเนินการส่งตัว'วิกเตอร์ บูท'ให้สหรัฐแทนที่จะส่งให้รัสเซีย ขึ้นมาพูดถึง
ทำนองว่าเมื่อเป็นเช่นนี้สหรัฐก็ต้องส่งตัว'ทักษิณ'ให้ไทยเป็นการตอบแทน
ซึ่งเป็นเรื่องต้องระมัดระวัง
เพราะนายกฯอภิสิทธิ์ เพิ่งปฏิเสธไปว่าไม่เคยมีการเจรจาต่อรองใดๆ กับทางการสหรัฐในการแลกตัววิกเตอร์ บูท กับทักษิณ
รวมถึงก่อนหน้านี้นายกฯอภิสิทธิ์ ยังได้ปฏิเสธอย่างแข็งขันว่าการส่งตัววิกเตอร์ บูท ให้กับสหรัฐนั้น
เป็นการตัดสินของศาลไทย โดยรัฐบาลหรือฝ่ายบริหารไม่ได้มีส่วนเข้าไปแทรกแซงแม้แต่น้อย
โฆษกศาลเองก็ออกมาแถลงยืนยันเช่นกัน
การอ้างสนธิสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนนั้นไม่เป็นไรเพราะมีอยู่จริง
แต่การเอาเรื่องวิกเตอร์ บูท มาเป็นข้อต่อรองว่าสหรัฐต้องส่งตัว'ทักษิณ'ให้ไทยนั้น ไม่น่าจะถูกต้อง
เดี๋ยวศาลไทย'งานเข้า'เสียเปล่าๆ
แถมรัสเซียยังจะโกรธเอาอีกด้วย
ข่าวสดรายวัน คอลัมน์เหล็กใน
---------------------------------------
พื้นที่ข่าว 2 สัปดาห์ก่อนต่อเนื่องสัปดาห์ที่แล้ว
เป็นเรื่องคำวินิจฉัยคดียุบพรรคประชาธิปัตย์จากกรณีเงิน 29 ล้านและ 258 ล้าน
มาถึงสัปดาห์นี้นอกจากผลเลือกตั้งซ่อมส.ส. 5 เขต 5 จังหวัด
ใครสอบได้ ใครสอบตก จะเป็นกระจกสะท้อนแนวโน้มเลือกตั้งใหญ่ปีหน้า
กับอีกเรื่องน่าจับตาไม่แพ้กัน
กรณี'ทักษิณ'ได้รับเชิญจากคณะกรรมาธิการด้านความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป หรือซีเอสซีอี ให้เดินทางเข้าสหรัฐ
เพื่อชี้แจงปัญหาละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทยช่วงสลายม็อบเดือนเม.ย.-พ.ค.
นัดหมายกัน 16 ธ.ค.นี้
ต้องจับตาเพราะรัฐบาลไทยหลายคนเชื่อว่า ทักษิณไม่น่าเข้าสหรัฐได้เนื่องจากมีปัญหายื่นขอวีซ่า
หรือถ้าจับพลัดจับผลูหลุดเข้าไปได้ก็ยังต้องลุ้นช็อตสองว่า
จะโดนทางการสหรัฐล็อกตัวส่งกลับไทยตามสนธิสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนหรือไม่
ยังไม่มีใครรู้ว่าจริงๆ แล้วสหรัฐคิดทำอย่างไรกับเรื่องนี้
แต่ทั้งสองฝ่ายคือรัฐบาลและเครือข่ายนายใหญ่ ต่างก็ออกมาให้ข่าวเกทับบลัฟแหลก
ฝ่ายรัฐบาลไล่ตั้งแต่นายกฯอภิสิทธิ์ รัฐมนตรีกษิต จนถึงศอฉ.
มั่นใจว่าสหรัฐคงไม่ยอมเปิดประตูรับทักษิณ เข้าประเทศง่ายๆ แน่
ขณะเดียวกันบรรดาแนวร่วมรัฐบาลพยายามจะเพิ่มน้ำหนัก ด้วยการหยิบยกกรณีรัฐบาลไทยดำเนินการส่งตัว'วิกเตอร์ บูท'ให้สหรัฐแทนที่จะส่งให้รัสเซีย ขึ้นมาพูดถึง
ทำนองว่าเมื่อเป็นเช่นนี้สหรัฐก็ต้องส่งตัว'ทักษิณ'ให้ไทยเป็นการตอบแทน
ซึ่งเป็นเรื่องต้องระมัดระวัง
เพราะนายกฯอภิสิทธิ์ เพิ่งปฏิเสธไปว่าไม่เคยมีการเจรจาต่อรองใดๆ กับทางการสหรัฐในการแลกตัววิกเตอร์ บูท กับทักษิณ
รวมถึงก่อนหน้านี้นายกฯอภิสิทธิ์ ยังได้ปฏิเสธอย่างแข็งขันว่าการส่งตัววิกเตอร์ บูท ให้กับสหรัฐนั้น
เป็นการตัดสินของศาลไทย โดยรัฐบาลหรือฝ่ายบริหารไม่ได้มีส่วนเข้าไปแทรกแซงแม้แต่น้อย
โฆษกศาลเองก็ออกมาแถลงยืนยันเช่นกัน
การอ้างสนธิสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนนั้นไม่เป็นไรเพราะมีอยู่จริง
แต่การเอาเรื่องวิกเตอร์ บูท มาเป็นข้อต่อรองว่าสหรัฐต้องส่งตัว'ทักษิณ'ให้ไทยนั้น ไม่น่าจะถูกต้อง
เดี๋ยวศาลไทย'งานเข้า'เสียเปล่าๆ
แถมรัสเซียยังจะโกรธเอาอีกด้วย
ข่าวสดรายวัน คอลัมน์เหล็กใน
---------------------------------------
วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2553
รอดยุบพรรค ไม่รอดวิกฤต
ไม่มีอะไรผิดไปจากความคาดหมาย
กรณีคำตัดสินของศาลรัฐ ธรรมนูญ 4 ต่อ 3 ยกคำร้องยุบพรรคประชาธิปัตย์
ในข้อหารับเงินบริจาค 258 ล้านบาทจากบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ผ่านทางบริษัท เมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2548
ชนะฟาวล์ซ้ำรอยคดี 29 ล้าน
เนื่องจากกระบวนการยื่นคำร้องข้ามขั้นตอน ไม่ชอบด้วยวิธีปฏิบัติ
เหตุเพราะนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ยังไม่เคยมีความเห็นในคดี
ความผิดพลาดทางเทคนิคจนทำให้คดี 'ตกม้าตาย' ติดกัน 2 ครั้ง
แน่นอนว่าคนที่ 'งานเข้า' ก็คือนายอภิชาต ที่ต้องรับภาระหนักกว่าใครในการตอบคำถามต่อสังคมว่า ทั้งที่เป็นผู้พิพากษาเก่ารู้กฎหมายอย่างดี
แต่ทำไมถึงปล่อยให้เกิดความผิดพลาดทางเทคนิคซ้ำๆ ซากๆ
คำถามสำคัญคือเป็นความผิดพลาดโดยสุจริต หรือมีเบื้องหลังอื่นแอบแฝง
แล้วก็แน่นอนอีกเช่นกันว่าผู้ได้รับประโยชน์ไปเต็มๆ จากการที่คดี 29 ล้าน และ 258 ล้านไม่ได้รับการวินิจฉัยให้ถึงที่สุดว่ามีการกระทำความผิดตามฟ้องจริงหรือไม่
คือนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้เชิดหน้าอยู่ในอำนาจต่อไป
ในช่วงเวลาแห่งการนับถอยหลังเข้าสู่โหมดการ 'ยุบสภา' ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นราวต้นปีหน้า
โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีชนวนเหตุอื่นใดทำให้การเมืองเกิดความเปลี่ยนแปลงพลิกผันก่อนกำหนด
เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญและกกต. พร้อมใจกันพลีชีพ
อาสาปลดชนวนระเบิดให้จนหมดเกลี้ยง
การรอดสันดอนคดียุบพรรคมาได้ 2 ครั้งติดกัน
เป็นเครื่องยืนยันให้เห็นว่า 'ของดี' ที่คอยทำหน้าที่ปกป้องนายกฯ อภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์
ช่วยให้หนังเหนียว เป็นอมตะ ฟันแทงไม่เข้ามาตั้งแต่เหตุการณ์สลายม็อบเสื้อแดงเดือนเม.ย.-พ.ค.
จนถึงปัจจุบันยังแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ไม่หยุดหย่อน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สังเกตเห็นได้ชัดตั้งแต่ชนะฟาวล์คดี 29 ล้านเป็นต้นมา
ดูเหมือนพรรคประชาธิปัตย์จะมีความมั่นใจในการเดินหน้าบริหารประเทศต่อไป
โดยไม่สะทกสะท้านต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ เกี่ยวกับคำตัดสินคดี
และเมื่อผ่านด่านคดี 258 ล้านมาได้ในจังหวะเดียวกับที่รัฐบาลกำลังจะบริหารประเทศใกล้ครบ 2 ปีเต็มวันที่ 17 ธ.ค.นี้
ความมั่นใจยิ่งเพิ่มมากขึ้นเป็นสองเท่า
นายกฯ อภิสิทธิ์ ทยอยปล่อยนโยบายประชานิยมออกมาชุดใหญ่
ไม่ว่าการแก้ปัญหาหนี้สินทั้งในและนอกระบบครบวงจร แก้หนี้สินครัวเรือน ครู เกษตรกร หนี้สิน กองทุนหมู่บ้าน อันเป็นผลพวงความล้มเหลวของประชานิยมยุค 'ทักษิณ'
สร้างความมั่นคงด้านรายได้และลดภาระค่าครองชีพ ต่อยอดโครงการอุดหนุนด้านสาธารณูปโภค ลดค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ารถเมล์ฟรี
แก้ปัญหาราคาเนื้อไก่ เนื้อหมู และไข่อย่างถาวร ลดราคาก๊าซหุงต้มและแผนลดราคาเบนซิน-ดีเซล
ขยายระบบประกันสังคมครอบคลุม 6 กลุ่มอาชีพ ตั้งแต่คนขับสามล้อ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ไปจนถึงคนกลางคืน แรงงานก่อสร้าง
บวกกับโครงการประชานิยมที่ทำไปแล้วในรอบ 2 ปี
อาทิ โครงการเรียนฟรี 15 ปี บัตรประชาชนรักษาทุกโรค เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เบี้ยอาสาสมัครหมู่บ้าน การขึ้นเงินเดือนข้าราชการ เช็คช่วยชาติ 2 พันบาท ประกันราคาพืชผลการเกษตร
ฉายา 'ซานต้ามาร์ค' จึงไม่ใช่เรื่องเกินเลย
แต่ขณะเดียวกันนิสัย 'เหยียบบ่า' เพื่อนก็ยังเป็นนิสัยที่แก้ไม่หาย
อย่างเรื่องขึ้นเงินเดือน อบต. พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ยอมให้พรรคภูมิใจไทยได้หน้าไปคนเดียว
นายกฯ อภิสิทธิ์ ต้องออกมาติดเบรก พร้อมฉวยโอกาสโหมประโคมการขึ้นเงินเดือนข้าราชการเดือนเม.ย.ปีหน้าที่รัฐบาลอนุมัติไปเรียบร้อยแล้ว
หรืออย่างกรณีการแก้ปัญหาบัตรสมาร์ทการ์ด ที่คู่กรณีคือมหาดไทยกับไอซีที
ถึงกับทำให้ นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยต้องตัดพ้อดังๆ ผ่านสื่อ
นายกฯ อภิสิทธิ์ ไม่มีน้ำใจนักกีฬา
ผลจากการที่ประชาธิปัตย์เอาตัวรอดจากคดียุบพรรคมาได้ถึงสองครั้งสองครา
ยังถือเป็นสัญญาณเตือนถึงพรรคการเมืองอื่นๆ ให้รู้กันไว้ก่อนว่า
นาทีนี้พรรคประชาธิปัตย์สามารถคุมเกมอำนาจในประเทศไว้ได้ทั้งหมด
โครงการประชานิยมที่เตรียมปล่อยออกมาล็อตใหญ่ โดยไม่สนใจเสียงท้วงติงนักวิชาการเศรษฐศาสตร์ที่มองเป็นเพียงนโยบายฉาบฉวย ทำง่าย ได้เสียงเร็ว
รวมถึงการเตะตัดขาพรรคร่วมด้วยกันเอง มุ่งไปที่พรรคภูมิใจไทย ท่ามกลางกระแสข่าวลือเริ่มโหมกระพือขึ้นมาอีกระลอกว่า
พรรคแกนนำจ้องหาทางดึงกระทรวงมหาดไทยมาดูแลเองก่อนการยุบสภา
เพื่อวางรากฐานปูทางไปสู่ชัย ชนะศึกเลือกตั้งครั้งหน้า
โดยมีผลเลือกตั้งซ่อมส.ส. 5 เขต 5 จังหวัดวันอาทิตย์นี้ เป็นบททดสอบกระแสเบื้องต้นโดยเฉพาะสนามภาคอีสาน
เพื่อนำมาปรับเกมหาจุดแข็ง-จุดอ่อนรอรับศึกใหญ่
รวมไปถึงกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีนัดเดินทางเข้าสหรัฐ ตามคำเชิญคณะกรรมาธิการด้านความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป หรือซีเอสซีอี
เพื่อชี้แจงปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทยช่วงการสลายม็อบเสื้อแเดงเดือนเม.ย.-พ.ค.ที่ผ่านมา
จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่ารัฐบาล อภิสิทธิ์ เก่งแต่ในบ้านจริงหรือไม่
ขณะเดียวกันคดี 91 ศพที่ยังเป็นปัญหาใหญ่ของรัฐบาลที่ยังเคลียร์ไม่ได้
กับสำนวนการสอบสวนดีเอสไอ ที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำเสื้อแดงนำมาเปิดเผย และนายธาริต เพ็งดิษฐ์ ก็ยอมรับว่าเป็นข้อมูลของจริง
เริ่มทำให้เห็นโฉมหน้าลางๆ ของมือสังหารประชาชนตัวจริง
ตรงนี้เองถึงแม้ นายกฯ อภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์ จะเอาตัวรอดจากคดียุบพรรคมาได้ พร้อมลุยเปิดเกมประชานิยมฉบับ 'ซานต้ามาร์ค'
เกาะกุมความได้เปรียบทุกด้านเดินหน้าสู่การ ยุบสภา
ทั้งยังมีแนวโน้มว่าจะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง กลับมาเป็นแกนนำรัฐบาลโดยมีพรรคร่วมรัฐบาลหน้าเดิมๆ เข้าร่วม
แต่ประเทศชาติยังหาทางออกจากวิกฤตขัดแย้งไม่เจออยู่ดี
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
*****************************************************
กรณีคำตัดสินของศาลรัฐ ธรรมนูญ 4 ต่อ 3 ยกคำร้องยุบพรรคประชาธิปัตย์
ในข้อหารับเงินบริจาค 258 ล้านบาทจากบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ผ่านทางบริษัท เมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2548
ชนะฟาวล์ซ้ำรอยคดี 29 ล้าน
เนื่องจากกระบวนการยื่นคำร้องข้ามขั้นตอน ไม่ชอบด้วยวิธีปฏิบัติ
เหตุเพราะนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ยังไม่เคยมีความเห็นในคดี
ความผิดพลาดทางเทคนิคจนทำให้คดี 'ตกม้าตาย' ติดกัน 2 ครั้ง
แน่นอนว่าคนที่ 'งานเข้า' ก็คือนายอภิชาต ที่ต้องรับภาระหนักกว่าใครในการตอบคำถามต่อสังคมว่า ทั้งที่เป็นผู้พิพากษาเก่ารู้กฎหมายอย่างดี
แต่ทำไมถึงปล่อยให้เกิดความผิดพลาดทางเทคนิคซ้ำๆ ซากๆ
คำถามสำคัญคือเป็นความผิดพลาดโดยสุจริต หรือมีเบื้องหลังอื่นแอบแฝง
แล้วก็แน่นอนอีกเช่นกันว่าผู้ได้รับประโยชน์ไปเต็มๆ จากการที่คดี 29 ล้าน และ 258 ล้านไม่ได้รับการวินิจฉัยให้ถึงที่สุดว่ามีการกระทำความผิดตามฟ้องจริงหรือไม่
คือนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้เชิดหน้าอยู่ในอำนาจต่อไป
ในช่วงเวลาแห่งการนับถอยหลังเข้าสู่โหมดการ 'ยุบสภา' ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นราวต้นปีหน้า
โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีชนวนเหตุอื่นใดทำให้การเมืองเกิดความเปลี่ยนแปลงพลิกผันก่อนกำหนด
เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญและกกต. พร้อมใจกันพลีชีพ
อาสาปลดชนวนระเบิดให้จนหมดเกลี้ยง
การรอดสันดอนคดียุบพรรคมาได้ 2 ครั้งติดกัน
เป็นเครื่องยืนยันให้เห็นว่า 'ของดี' ที่คอยทำหน้าที่ปกป้องนายกฯ อภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์
ช่วยให้หนังเหนียว เป็นอมตะ ฟันแทงไม่เข้ามาตั้งแต่เหตุการณ์สลายม็อบเสื้อแดงเดือนเม.ย.-พ.ค.
จนถึงปัจจุบันยังแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ไม่หยุดหย่อน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สังเกตเห็นได้ชัดตั้งแต่ชนะฟาวล์คดี 29 ล้านเป็นต้นมา
ดูเหมือนพรรคประชาธิปัตย์จะมีความมั่นใจในการเดินหน้าบริหารประเทศต่อไป
โดยไม่สะทกสะท้านต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ เกี่ยวกับคำตัดสินคดี
และเมื่อผ่านด่านคดี 258 ล้านมาได้ในจังหวะเดียวกับที่รัฐบาลกำลังจะบริหารประเทศใกล้ครบ 2 ปีเต็มวันที่ 17 ธ.ค.นี้
ความมั่นใจยิ่งเพิ่มมากขึ้นเป็นสองเท่า
นายกฯ อภิสิทธิ์ ทยอยปล่อยนโยบายประชานิยมออกมาชุดใหญ่
ไม่ว่าการแก้ปัญหาหนี้สินทั้งในและนอกระบบครบวงจร แก้หนี้สินครัวเรือน ครู เกษตรกร หนี้สิน กองทุนหมู่บ้าน อันเป็นผลพวงความล้มเหลวของประชานิยมยุค 'ทักษิณ'
สร้างความมั่นคงด้านรายได้และลดภาระค่าครองชีพ ต่อยอดโครงการอุดหนุนด้านสาธารณูปโภค ลดค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ารถเมล์ฟรี
แก้ปัญหาราคาเนื้อไก่ เนื้อหมู และไข่อย่างถาวร ลดราคาก๊าซหุงต้มและแผนลดราคาเบนซิน-ดีเซล
ขยายระบบประกันสังคมครอบคลุม 6 กลุ่มอาชีพ ตั้งแต่คนขับสามล้อ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ไปจนถึงคนกลางคืน แรงงานก่อสร้าง
บวกกับโครงการประชานิยมที่ทำไปแล้วในรอบ 2 ปี
อาทิ โครงการเรียนฟรี 15 ปี บัตรประชาชนรักษาทุกโรค เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เบี้ยอาสาสมัครหมู่บ้าน การขึ้นเงินเดือนข้าราชการ เช็คช่วยชาติ 2 พันบาท ประกันราคาพืชผลการเกษตร
ฉายา 'ซานต้ามาร์ค' จึงไม่ใช่เรื่องเกินเลย
แต่ขณะเดียวกันนิสัย 'เหยียบบ่า' เพื่อนก็ยังเป็นนิสัยที่แก้ไม่หาย
อย่างเรื่องขึ้นเงินเดือน อบต. พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ยอมให้พรรคภูมิใจไทยได้หน้าไปคนเดียว
นายกฯ อภิสิทธิ์ ต้องออกมาติดเบรก พร้อมฉวยโอกาสโหมประโคมการขึ้นเงินเดือนข้าราชการเดือนเม.ย.ปีหน้าที่รัฐบาลอนุมัติไปเรียบร้อยแล้ว
หรืออย่างกรณีการแก้ปัญหาบัตรสมาร์ทการ์ด ที่คู่กรณีคือมหาดไทยกับไอซีที
ถึงกับทำให้ นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยต้องตัดพ้อดังๆ ผ่านสื่อ
นายกฯ อภิสิทธิ์ ไม่มีน้ำใจนักกีฬา
ผลจากการที่ประชาธิปัตย์เอาตัวรอดจากคดียุบพรรคมาได้ถึงสองครั้งสองครา
ยังถือเป็นสัญญาณเตือนถึงพรรคการเมืองอื่นๆ ให้รู้กันไว้ก่อนว่า
นาทีนี้พรรคประชาธิปัตย์สามารถคุมเกมอำนาจในประเทศไว้ได้ทั้งหมด
โครงการประชานิยมที่เตรียมปล่อยออกมาล็อตใหญ่ โดยไม่สนใจเสียงท้วงติงนักวิชาการเศรษฐศาสตร์ที่มองเป็นเพียงนโยบายฉาบฉวย ทำง่าย ได้เสียงเร็ว
รวมถึงการเตะตัดขาพรรคร่วมด้วยกันเอง มุ่งไปที่พรรคภูมิใจไทย ท่ามกลางกระแสข่าวลือเริ่มโหมกระพือขึ้นมาอีกระลอกว่า
พรรคแกนนำจ้องหาทางดึงกระทรวงมหาดไทยมาดูแลเองก่อนการยุบสภา
เพื่อวางรากฐานปูทางไปสู่ชัย ชนะศึกเลือกตั้งครั้งหน้า
โดยมีผลเลือกตั้งซ่อมส.ส. 5 เขต 5 จังหวัดวันอาทิตย์นี้ เป็นบททดสอบกระแสเบื้องต้นโดยเฉพาะสนามภาคอีสาน
เพื่อนำมาปรับเกมหาจุดแข็ง-จุดอ่อนรอรับศึกใหญ่
รวมไปถึงกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีนัดเดินทางเข้าสหรัฐ ตามคำเชิญคณะกรรมาธิการด้านความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป หรือซีเอสซีอี
เพื่อชี้แจงปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทยช่วงการสลายม็อบเสื้อแเดงเดือนเม.ย.-พ.ค.ที่ผ่านมา
จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่ารัฐบาล อภิสิทธิ์ เก่งแต่ในบ้านจริงหรือไม่
ขณะเดียวกันคดี 91 ศพที่ยังเป็นปัญหาใหญ่ของรัฐบาลที่ยังเคลียร์ไม่ได้
กับสำนวนการสอบสวนดีเอสไอ ที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำเสื้อแดงนำมาเปิดเผย และนายธาริต เพ็งดิษฐ์ ก็ยอมรับว่าเป็นข้อมูลของจริง
เริ่มทำให้เห็นโฉมหน้าลางๆ ของมือสังหารประชาชนตัวจริง
ตรงนี้เองถึงแม้ นายกฯ อภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์ จะเอาตัวรอดจากคดียุบพรรคมาได้ พร้อมลุยเปิดเกมประชานิยมฉบับ 'ซานต้ามาร์ค'
เกาะกุมความได้เปรียบทุกด้านเดินหน้าสู่การ ยุบสภา
ทั้งยังมีแนวโน้มว่าจะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง กลับมาเป็นแกนนำรัฐบาลโดยมีพรรคร่วมรัฐบาลหน้าเดิมๆ เข้าร่วม
แต่ประเทศชาติยังหาทางออกจากวิกฤตขัดแย้งไม่เจออยู่ดี
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
*****************************************************
วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553
รายงานเอ็กซ์คลูซีฟจากรอยเตอร์: หลักฐานบ่งชี้ว่าทหารไทยมีส่วนเกี่ยวข้องในความตายของพลเรือน
ภัควดี ไม่มีนามสกุล แปลจาก Jason Szep and Ambika Ahuja, “Exclusive: Probe reveals Thai troops' role in civilian deaths,” Reuters; http://www.reuters.com/article/idUSTRE6B90OR20101210?pageNumber=1
กรุงเทพฯ (รอยเตอร์) – รอยเตอร์ได้เห็นเอกสารทางการไทยที่รั่วไหลออกมา ซึ่งชี้ให้เห็นว่า กองทัพไทยมีส่วนเกี่ยวข้องในการสังหารชีวิตพลเรือนระหว่างเกิดความไม่สงบทางการเมืองในกรุงเทพฯ เมื่อกลางปีนี้ ถึงแม้รัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐไทยไม่ยอมรับก็ตาม
การสอบสวนเบื้องต้นของรัฐต่อความรุนแรงทางการเมืองที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคม ได้ข้อสรุปว่า กองกำลังพิเศษของไทย ซึ่งวางกำลังอยู่บนรางรถไฟฟ้ายกระดับ ได้ยิงลงไปในบริเวณวัดที่มีผู้ประท้วงหลายพันคนเข้าไปหลบภัยในวันที่ 19 พฤษภาคม
การสอบสวนนี้พบว่า ประชาชน 3 ใน 6 คนที่ถูกยิงตายในวัดน่าจะเสียชีวิตจากกระสุนของกองทหาร ซึ่งขัดแย้งโดยตรงกับแถลงการณ์ของกองทัพไทย ซึ่งออกมาปฏิเสธว่าทหารไม่มีส่วนรับผิดชอบในการสังหารที่วัด
รายงานนี้กล่าวว่า ยังไม่มีหลักฐานมากเพียงพอที่จะสรุปว่า ใครคือผู้รับผิดชอบต่อความตายของประชาชนอีกสามคนในวัดนั้น แต่รายงานระบุว่า เหยื่อทั้งหกรายถูกยิงด้วยกระสุนความเร็วสูง
“มีข้อเท็จจริง หลักฐานและปากคำพยานมากเพียงพอที่จะเชื่อได้ว่า การเสียชีวิต (ทั้งสามราย) เป็นผลมาจากปฏิบัติการของกองกำลังด้านความมั่นคงที่กำลังปฏิบัติหน้าที่” ผู้สอบสวนระบุไว้เช่นนี้ โดยแนะนำให้ตำรวจสืบสวนเกี่ยวกับการเสียชีวิตต่อไป
เมื่อรอยเตอร์ตั้งคำถามเกี่ยวกับเอกสารที่รั่วไหลออกมานี้ นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะไม่ได้ปฏิเสธว่าเอกสารนี้ไม่ใช่เอกสารจริง แต่กล่าวว่า การสอบสวนยังไม่สมบูรณ์และกำลังพยายามเร่งรัดกระบวนการให้รวดเร็วขึ้น
“ขั้นตอนต่อไปจะเกี่ยวข้องกับกระบวนการทางศาล ดังนั้น เราจึงไม่ควรตื่นตูมไปกับข้อมูลที่ยังไม่สมบูรณ์” เขากล่าว
ผลการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษของไทย (ดีเอสไอ) น่าจะยิ่งกระตุ้นขบวนประท้วงต่อต้านรัฐบาลของ “คนเสื้อแดง” ที่ท้าทายความชอบธรรมของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งออกมากล่าวโทษเมื่อเดือนมิถุนายนว่า การเสียชีวิตในวัดเกิดจากกลุ่มคนติดอาวุธในหมู่ผู้ประท้วงด้วยกันเอง
วัดปทุมวนาราม ซึ่งเป็นวัดพุทธศาสนา ถูกประกาศให้เป็น “เขตอภัยทาน” สำหรับผู้หญิง เด็ก คนชราและผู้พิการ ประชาชนหลายพันคนหนีเข้าไปหลบในวัดในวันที่ 19 พฤษภาคม เมื่อกองทัพใช้กำลังเข้าสลายผู้ประท้วงที่ยึดพื้นที่ในย่านการค้าใกล้เคียง
จากการสอบสวนของดีเอสไอ พยานหลายคนรายงานถึงสภาพปั่นป่วนนอกวัด เมื่อเสียงปืนดังรัวขึ้นและพลเรือนพากันหนีออกจากย่านช้อปปิ้ง
พยานคนหนึ่งกล่าวว่า เขาเห็นทหารยิงลงมาจากรางรถไฟฟ้าด้านบน และยิงลงไปในเต๊นท์พยาบาลภายในบริเวณวัด ซึ่งพยาบาลอาสากำลังดูแลพลเรือนที่ได้รับบาดเจ็บ มีพยาบาลอาสาสองคนเสียชีวิต
มีประชาชนถูกฆ่าตาย 91 ราย และมีผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 1,800 ราย ระหว่างเกิดความไม่สงบในเดือนเมษายนและพฤษภาคม อาคารกว่า 30 แห่งถูกไฟไหม้ นี่เป็นความรุนแรงทางการเมืองที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่
รายงานฉบับนี้ชี้ให้เห็นว่า ช่างภาพของรอยเตอร์น่าจะถูกทหารยิงเสียชีวิต
ดีเอสไอกำลังสอบสวนการตายทั้งหมด 89 รายที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้น แต่รัฐบาลไทยยังไม่ยอมเปิดเผยผลการสอบสวนใด ๆ ต่อสาธารณะ แม้จะมีแรงกดดันจากกลุ่มสิทธิมนุษยชนก็ตาม
ผลการสอบสวนที่ตกมาถึงรอยเตอร์มีอยู่ในรายงานสองฉบับของดีเอสไอ ฉบับหนึ่งเกี่ยวกับการยิงที่วัดและอีกฉบับเกี่ยวกับการตายของช่างภาพรอยเตอร์ นายฮิโระ มุราโมโตะ ในเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน
มุราโมโตะ ชาวญี่ปุ่นวัย 43 ปีผู้มีภูมิลำเนาอยู่ในโตเกียว ถูกสังหารด้วยกระสุนความเร็วสูงยิงเข้าที่หน้าอก ขณะกำลังทำข่าวการประท้วงในย่านเมืองเก่าของกรุงเทพฯ
รายงานอ้างพยานคนหนึ่งซึ่งกล่าวว่า มุราโมโตะล้มลงพร้อมกับกระสุนที่ยิงมาจากทิศทางของทหาร รัฐบาลไทยยังไม่ยอมเปิดเผยรายงานเกี่ยวกับการตายของเขาต่อสาธารณะ ถึงแม้มีแรงกดดันทางการทูตจากญี่ปุ่นอย่างมาก
หัวหน้าบรรณาธิการของรอยเตอร์ นายเดวิด ชเลซิงเงอร์ เรียกร้องให้เผยแพร่รายงานฉบับเต็มต่อสาธารณะทันที
“รัฐบาลไทยยังติดค้างครอบครัวของฮิโระ รัฐบาลไทยต้องเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่า โศกนาฏกรรมครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างไรและใครคือผู้รับผิดชอบ” ชเลซิงเงอร์กล่าวในแถลงการณ์
รายละเอียดของเหตุการณ์ที่ทหารยิงใส่พลเรือนอาจกระพือความโกรธแค้นของประชาชน และกระตุ้นกลุ่มผู้สนับสนุนอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเคยได้รับเลือกตั้งถึงสองครั้งและปัจจุบันต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ ทักษิณ ชินวัตรเรียกร้องให้นานาชาติเข้าไปสอบสวนความรุนแรงในเดือนเมษายน-พฤษภาคม รวมทั้งความตายอันน่ากังขาในวัดด้วย
พยานคนหนึ่ง ซึ่งซ่อนอยู่ใต้รถยนต์ที่วัด ให้การว่า เขาถูกระดมยิงถึง 4 หรือ 5 ครั้งจากกลุ่มชายในชุดลายพราง ซึ่งยืนอยู่บนรางรถไฟฟ้ายกระดับ
เขาถูกยิงนัดหนึ่งและได้รับความช่วยเหลือจากพระสงฆ์รูปหนึ่ง การชันสูตรพลิกศพพบว่า กระสุนที่พบในศพ 4 รายจาก 6 รายในวัด เป็นลูกกระสุนชนิดเดียวกับที่ทหารบนรางรถไฟฟ้าให้การว่าใช้เป็นอาวุธ มีประชาชนได้รับบาดเจ็บที่วัดเป็นจำนวนที่ไม่ทราบแน่นอน
“ความลับของทางการ”
คำให้การของทหารที่อ้างในรายงานของดีเอสไอระบุว่า พวกเขายิงเตือนไปที่วัดและถูกยิงตอบโต้จากกลุ่มชายชุดดำที่อยู่ข้างล่างและจากผู้มีอาวุธปืนอีกคนหนึ่งในวัด ทหารกล่าวว่า พวกเขายิงคุ้มกันให้กองทหารบนพื้นดิน ซึ่งร้องขอกำลังสนับสนุน
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า ดีเอสไอได้สรุปผลการสอบสวนเบื้องต้นและส่งต่อผลการสอบสวนนี้ให้กรมตำรวจ แต่ยังไม่ได้เปิดเผยเนื้อหาต่อสาธารณชน
“รายงานการสอบสวนนี้เป็นประเด็นที่อ่อนไหวต่อการถกเถียงหรือการยืนยันความถูกต้อง” เขากล่าว “มันเป็นความลับของทางการ การยืนยันความถูกต้องของรายงานที่ส่งไปถึงกรมตำรวจอาจมีผลกระทบต่อสิทธิของประชาชนที่มีรายชื่ออยู่ในนั้น”
เขาไม่ยืนยันหรือปฏิเสธความถูกต้องของเอกสารสองฉบับที่ตกมาถึงรอยเตอร์ แต่กล่าวว่า จากนี้ตำรวจจะสอบสวนคดีของประชาชนสามรายที่เชื่อว่าถูกทหารฆ่าตายในวัด รวมทั้งประชาชนคนอื่นอีกสามรายที่มีความเป็นไปได้ว่าถูกทหารยิงเสียชีวิต ซึ่งรวมถึงนายมุราโมโตะด้วย
ผลการสอบสวนของกรมตำรวจจะถูกส่งไปให้ดีเอสไอและสำนักงานอัยการ
ถ้าการสอบสวนพบว่าทหารมีส่วนรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของพลเรือน ครอบครัวของผู้เสียชีวิตสามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้ แต่รัฐบาลก็สามารถอ้างได้ว่า การยิงนั้นเกิดขึ้นในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่
(รายงานข่าวเพิ่มเติมโดย Andrew Marshall จากสิงคโปร์; บรรณาธิกรณ์โดย Andrew Marshall และ John Chalmers)
หมายเหตุผู้แปล: ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ในเฟซบุ๊กที่แนะนำข่าวนี้
กรุงเทพฯ (รอยเตอร์) – รอยเตอร์ได้เห็นเอกสารทางการไทยที่รั่วไหลออกมา ซึ่งชี้ให้เห็นว่า กองทัพไทยมีส่วนเกี่ยวข้องในการสังหารชีวิตพลเรือนระหว่างเกิดความไม่สงบทางการเมืองในกรุงเทพฯ เมื่อกลางปีนี้ ถึงแม้รัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐไทยไม่ยอมรับก็ตาม
การสอบสวนเบื้องต้นของรัฐต่อความรุนแรงทางการเมืองที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคม ได้ข้อสรุปว่า กองกำลังพิเศษของไทย ซึ่งวางกำลังอยู่บนรางรถไฟฟ้ายกระดับ ได้ยิงลงไปในบริเวณวัดที่มีผู้ประท้วงหลายพันคนเข้าไปหลบภัยในวันที่ 19 พฤษภาคม
การสอบสวนนี้พบว่า ประชาชน 3 ใน 6 คนที่ถูกยิงตายในวัดน่าจะเสียชีวิตจากกระสุนของกองทหาร ซึ่งขัดแย้งโดยตรงกับแถลงการณ์ของกองทัพไทย ซึ่งออกมาปฏิเสธว่าทหารไม่มีส่วนรับผิดชอบในการสังหารที่วัด
รายงานนี้กล่าวว่า ยังไม่มีหลักฐานมากเพียงพอที่จะสรุปว่า ใครคือผู้รับผิดชอบต่อความตายของประชาชนอีกสามคนในวัดนั้น แต่รายงานระบุว่า เหยื่อทั้งหกรายถูกยิงด้วยกระสุนความเร็วสูง
“มีข้อเท็จจริง หลักฐานและปากคำพยานมากเพียงพอที่จะเชื่อได้ว่า การเสียชีวิต (ทั้งสามราย) เป็นผลมาจากปฏิบัติการของกองกำลังด้านความมั่นคงที่กำลังปฏิบัติหน้าที่” ผู้สอบสวนระบุไว้เช่นนี้ โดยแนะนำให้ตำรวจสืบสวนเกี่ยวกับการเสียชีวิตต่อไป
เมื่อรอยเตอร์ตั้งคำถามเกี่ยวกับเอกสารที่รั่วไหลออกมานี้ นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะไม่ได้ปฏิเสธว่าเอกสารนี้ไม่ใช่เอกสารจริง แต่กล่าวว่า การสอบสวนยังไม่สมบูรณ์และกำลังพยายามเร่งรัดกระบวนการให้รวดเร็วขึ้น
“ขั้นตอนต่อไปจะเกี่ยวข้องกับกระบวนการทางศาล ดังนั้น เราจึงไม่ควรตื่นตูมไปกับข้อมูลที่ยังไม่สมบูรณ์” เขากล่าว
ผลการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษของไทย (ดีเอสไอ) น่าจะยิ่งกระตุ้นขบวนประท้วงต่อต้านรัฐบาลของ “คนเสื้อแดง” ที่ท้าทายความชอบธรรมของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งออกมากล่าวโทษเมื่อเดือนมิถุนายนว่า การเสียชีวิตในวัดเกิดจากกลุ่มคนติดอาวุธในหมู่ผู้ประท้วงด้วยกันเอง
วัดปทุมวนาราม ซึ่งเป็นวัดพุทธศาสนา ถูกประกาศให้เป็น “เขตอภัยทาน” สำหรับผู้หญิง เด็ก คนชราและผู้พิการ ประชาชนหลายพันคนหนีเข้าไปหลบในวัดในวันที่ 19 พฤษภาคม เมื่อกองทัพใช้กำลังเข้าสลายผู้ประท้วงที่ยึดพื้นที่ในย่านการค้าใกล้เคียง
จากการสอบสวนของดีเอสไอ พยานหลายคนรายงานถึงสภาพปั่นป่วนนอกวัด เมื่อเสียงปืนดังรัวขึ้นและพลเรือนพากันหนีออกจากย่านช้อปปิ้ง
พยานคนหนึ่งกล่าวว่า เขาเห็นทหารยิงลงมาจากรางรถไฟฟ้าด้านบน และยิงลงไปในเต๊นท์พยาบาลภายในบริเวณวัด ซึ่งพยาบาลอาสากำลังดูแลพลเรือนที่ได้รับบาดเจ็บ มีพยาบาลอาสาสองคนเสียชีวิต
มีประชาชนถูกฆ่าตาย 91 ราย และมีผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 1,800 ราย ระหว่างเกิดความไม่สงบในเดือนเมษายนและพฤษภาคม อาคารกว่า 30 แห่งถูกไฟไหม้ นี่เป็นความรุนแรงทางการเมืองที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่
รายงานฉบับนี้ชี้ให้เห็นว่า ช่างภาพของรอยเตอร์น่าจะถูกทหารยิงเสียชีวิต
ดีเอสไอกำลังสอบสวนการตายทั้งหมด 89 รายที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้น แต่รัฐบาลไทยยังไม่ยอมเปิดเผยผลการสอบสวนใด ๆ ต่อสาธารณะ แม้จะมีแรงกดดันจากกลุ่มสิทธิมนุษยชนก็ตาม
ผลการสอบสวนที่ตกมาถึงรอยเตอร์มีอยู่ในรายงานสองฉบับของดีเอสไอ ฉบับหนึ่งเกี่ยวกับการยิงที่วัดและอีกฉบับเกี่ยวกับการตายของช่างภาพรอยเตอร์ นายฮิโระ มุราโมโตะ ในเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน
มุราโมโตะ ชาวญี่ปุ่นวัย 43 ปีผู้มีภูมิลำเนาอยู่ในโตเกียว ถูกสังหารด้วยกระสุนความเร็วสูงยิงเข้าที่หน้าอก ขณะกำลังทำข่าวการประท้วงในย่านเมืองเก่าของกรุงเทพฯ
รายงานอ้างพยานคนหนึ่งซึ่งกล่าวว่า มุราโมโตะล้มลงพร้อมกับกระสุนที่ยิงมาจากทิศทางของทหาร รัฐบาลไทยยังไม่ยอมเปิดเผยรายงานเกี่ยวกับการตายของเขาต่อสาธารณะ ถึงแม้มีแรงกดดันทางการทูตจากญี่ปุ่นอย่างมาก
หัวหน้าบรรณาธิการของรอยเตอร์ นายเดวิด ชเลซิงเงอร์ เรียกร้องให้เผยแพร่รายงานฉบับเต็มต่อสาธารณะทันที
“รัฐบาลไทยยังติดค้างครอบครัวของฮิโระ รัฐบาลไทยต้องเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่า โศกนาฏกรรมครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างไรและใครคือผู้รับผิดชอบ” ชเลซิงเงอร์กล่าวในแถลงการณ์
รายละเอียดของเหตุการณ์ที่ทหารยิงใส่พลเรือนอาจกระพือความโกรธแค้นของประชาชน และกระตุ้นกลุ่มผู้สนับสนุนอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเคยได้รับเลือกตั้งถึงสองครั้งและปัจจุบันต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ ทักษิณ ชินวัตรเรียกร้องให้นานาชาติเข้าไปสอบสวนความรุนแรงในเดือนเมษายน-พฤษภาคม รวมทั้งความตายอันน่ากังขาในวัดด้วย
พยานคนหนึ่ง ซึ่งซ่อนอยู่ใต้รถยนต์ที่วัด ให้การว่า เขาถูกระดมยิงถึง 4 หรือ 5 ครั้งจากกลุ่มชายในชุดลายพราง ซึ่งยืนอยู่บนรางรถไฟฟ้ายกระดับ
เขาถูกยิงนัดหนึ่งและได้รับความช่วยเหลือจากพระสงฆ์รูปหนึ่ง การชันสูตรพลิกศพพบว่า กระสุนที่พบในศพ 4 รายจาก 6 รายในวัด เป็นลูกกระสุนชนิดเดียวกับที่ทหารบนรางรถไฟฟ้าให้การว่าใช้เป็นอาวุธ มีประชาชนได้รับบาดเจ็บที่วัดเป็นจำนวนที่ไม่ทราบแน่นอน
“ความลับของทางการ”
คำให้การของทหารที่อ้างในรายงานของดีเอสไอระบุว่า พวกเขายิงเตือนไปที่วัดและถูกยิงตอบโต้จากกลุ่มชายชุดดำที่อยู่ข้างล่างและจากผู้มีอาวุธปืนอีกคนหนึ่งในวัด ทหารกล่าวว่า พวกเขายิงคุ้มกันให้กองทหารบนพื้นดิน ซึ่งร้องขอกำลังสนับสนุน
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า ดีเอสไอได้สรุปผลการสอบสวนเบื้องต้นและส่งต่อผลการสอบสวนนี้ให้กรมตำรวจ แต่ยังไม่ได้เปิดเผยเนื้อหาต่อสาธารณชน
“รายงานการสอบสวนนี้เป็นประเด็นที่อ่อนไหวต่อการถกเถียงหรือการยืนยันความถูกต้อง” เขากล่าว “มันเป็นความลับของทางการ การยืนยันความถูกต้องของรายงานที่ส่งไปถึงกรมตำรวจอาจมีผลกระทบต่อสิทธิของประชาชนที่มีรายชื่ออยู่ในนั้น”
เขาไม่ยืนยันหรือปฏิเสธความถูกต้องของเอกสารสองฉบับที่ตกมาถึงรอยเตอร์ แต่กล่าวว่า จากนี้ตำรวจจะสอบสวนคดีของประชาชนสามรายที่เชื่อว่าถูกทหารฆ่าตายในวัด รวมทั้งประชาชนคนอื่นอีกสามรายที่มีความเป็นไปได้ว่าถูกทหารยิงเสียชีวิต ซึ่งรวมถึงนายมุราโมโตะด้วย
ผลการสอบสวนของกรมตำรวจจะถูกส่งไปให้ดีเอสไอและสำนักงานอัยการ
ถ้าการสอบสวนพบว่าทหารมีส่วนรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของพลเรือน ครอบครัวของผู้เสียชีวิตสามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้ แต่รัฐบาลก็สามารถอ้างได้ว่า การยิงนั้นเกิดขึ้นในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่
(รายงานข่าวเพิ่มเติมโดย Andrew Marshall จากสิงคโปร์; บรรณาธิกรณ์โดย Andrew Marshall และ John Chalmers)
หมายเหตุผู้แปล: ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ในเฟซบุ๊กที่แนะนำข่าวนี้
ความมั่นคงของรัฐ VS อิสรภาพโลกออนไลน์: จากวิกิลีกส์ ถึงเมืองไทย
นายกานต์ ยืนยง Saim Intelligence Unit (SIU) ร่วมสนทนาในประเด็น “วิกิลีกส์” ในงานสัมมนาของเครือข่ายพลเมืองเน็ต ติดตามรายละเอียดได้จากบทความจากเว็บไซต์มติชน
“วิกีลีกส์” จุดประกาย “อำนาจใหม่” ในมือประชาชนอาวุธต่อสู้กับ “ชนชั้นนำ” ผ่าน “อินเตอร์เน็ต”
มติชนออนไลน์ 9 ธันวาคม 2553
ที่ห้องดวงกมล โรงแรมสยามซิตี้ ถ.ศรีอยุธยา เครือข่ายพลเมืองเน็ตมีการแถลงข่าวสรุปสถานการณ์เสรีภาพอินเตอร์เน็ตประเทศไทย ประจำปี พ.ศ.2553 และอภิปรายสถานการณ์สากลกรณีวิกิลีกส์ มีการนำเสนอรายงานเสรีภาพอินเตอร์เน็ตในประเทศไทย ปี 2553 เรื่อง “ความมั่นคงของรัฐ VS อิสรภาพโลกออนไลน์ : จากวิกิลีกส์ ถึงเมืองไทย” โดย นพ. นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ นายโสรัจจ์ หงศ์ลดารมภ์ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายอัศวิน เนตรโพธิ์แก้ว คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ พ.อ.ดร.ธีรนันท์ นันทขว้าง รองผู้อำนวยการกองการเมือง วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร และนายกานต์ ยืนยง Saim Intelligence Unit (SIU)
นพ.นิรันดร์ กล่าวว่า ตนเป็นพลเมืองหัวโบราณ ประเด็นที่พูดอาจจะไม่ทันสมัย แต่มีสองประเด็นที่มองจาก วิกิลีกส์ คือเรื่อง ความ มั่นคงของรัฐกลายเป็นข้อมูลที่ปล่อยออกมานั้น ไม่ใช่เรื่องจริงแต่เป็นสิ่งหลอกหลวง เพราะแท้จริงข้อมูลดังกล่าวเป็นความมั่นคงของผู้นำ ชนชั้นปกครอง กลุ่มอำนาจผู้มีผลประโยชน์ และ ข้อมูลการทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามมากกว่า จากเดิมที่เรามองว่า ความรู้ คือ อำนาจ แต่ตอนนี้ไม่ใช่ “ข้อมูลข่าวสาร” คือ อำนาจในการล้มล้าง ดังนั้น จึงจำเป็นต้องออกกฎหมายที่เกิดจากอำนาจนิยมไปละเมิดสิทธิเสรีภาพของสื่อ อ้างกฎหมายเพื่อปิดเว็บไซต์ ซึ่งสิทธิเสรีภาพในการเผยแพร่ข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ตเป็นโครงสร้างการต่อสู้ ที่ประชาชนจะใช้ต่อสู้กับชนชั้นนำและชนชั้นปกครอง
“ข้อมูลข่าวสาร คือ อำนาจ คนที่พยายามใช้ความมั่นคงของรัฐเป็นข้ออ้างเพื่อเข้าไปปิดกั้นสื่อเหมือนกับ การเข้าไปครอบงำหรือแทรกแซงการเติบโตของพลเมืองหรือเปล่า” นพ.นิรันดร์ตั้งคำถาม
กรรมการสิทธิฯ ยังกล่าวถึง หลักการทำหน้าที่ของสื่อ ว่า สื่อ ต้องมีหน้าที่ในการบอกความจริงให้สังคมรับรู้เพื่อกระตุ้นสิทธิเสรีภาพการ แสดงออกภาคประชาชนให้เกิดการมีส่วนร่วม เพื่อเปิดพื้นที่สาธารณะจนเกิดปรากฏการณ์ที่เข้มข้นทำให้คนกล้าคิด กล้าทำ แม้แต่รัฐเองก็ไม่อาจโต้แย้งได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องดีทั้งสิ้นแต่ต้องเป็นธรรมและต้องเปิดเผย ส่วนรัฐที่อ้างเรื่องความมั่นคงของรัฐนั้นโกหกทั้งเพ ถ้าปกปิดสื่อจะมาอ้างความมั่นคงของรัฐไม่ได้ ต้องยอมเปิดเผยข้อมูลสู่สาธารณะ ส่วนการนำเสนอของสื่อต้องเป็นข้อเท็จจริงไม่ใช่ไปแบล็คเมล์หรือหาผลประโยชน์เข้าธุรกิจ ถ้าสื่อยึดหลักเรื่องสิทธิและความถูกต้องอันเป็นประโยชน์ต่อส่วน รวมแล้วเท่ากับว่าเป็นการส่งเสริมการเมืองในระบอบประชาธิปไตยมากกว่าการทำลาย
“แต่กรณีวิกิลีกส์ไม่ใช่โอกาสแต่เป็นการตอก ย้ำให้เห็นว่าข้อมูลข่าวสารมีอำนาจในการต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมเพื่อสร้าง พื้นที่สาธารณะอย่างเปิดเผย และตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ไม่ใช่เป็นเครื่องมือของรัฐบาล หลังจากได้ลงไปดูกรณีการจับกุมผู้อำนวยการเว็บไซต์ประชาไท พบว่า เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพสื่อเพราะรัฐไม่มีอำนาจในการปิดกั้น การใช้กฎหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินเข้าไปปิดกั้น ถือเป็นการละเมิดโดยใช้กฎหมายมิชอบ แต่กรรมการสิทธิฯทำได้เพียงแค่ตรวจสอบ ทั้งหมดขึ้นอยู่ที่รัฐว่าจะเชื่อฟังหรือแสดงความรับผิดชอบหรือยอมรับหรือไม่ ที่ผ่านมา 90 % รัฐไม่เคยทำตามที่กรรมการสิทธิฯเสนอเลย ดังนั้นทุกคนต้องมาร่วมตรวจสอบเพราะ ลำพังกรรมการสิทธฯเพียงคนเดียวคงไม่เพียงพอ” นพ.นิรันดร์กล่าวทิ้งท้าย
ทางด้านนายโสรัจจ์ มองสถานการณ์ของเว็บไซต์ “วิกิลีกส์” โดยให้ความเห็นว่า เกี่ยวกับความมั่นคงแน่นอน แต่จะทำลายความมั่นคงโดยตรงคงไม่ใช่ แต่จะว่าไม่เกี่ยวโดยตรงก็ไม่ใช่อีก แรกๆ วิกิลีกส์ มีคนแค่ไม่กี่คน ผู้ก่อตั้ง คือ นายจูเลียน แอสแซนจ์ นำเว็บไซต์วิกิลีกส์มาใช้แพร่เอกสารลับของสหรัฐฯจนเป็นข่าวใหญ่โต คงมีอุดมการณ์ในใจอยากให้โลกดีขึ้น จึงแฮ็คข้อมูลนำมาเผยแพร่ การตัดสินว่ากระทบความมั่นคงหรือไม่ จึงไม่ได้เกิดทุกกรณีแต่ขึ้นอยู่กับประเภทที่นำมาแฉ
“ถ้ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างถูกต้องไม่มีอะไรต้องกลัว หากการกระทำของรัฐบาลโปร่งใส ไม่จำเป็นตัวกลัวเว็บแบบวีกีลีกส์ ไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามปิดกั้นเว็บไซต์ไม่ให้ประชาชนได้เข้าถึงข้อมูล ข่าวสาร และอยากถามว่า ในกรณีของประเทศไทย หากมีการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แล้ว จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างกับเว็บที่ถูกปิดอยู่ในขณะนี้ เพราะความเป็นอิสระของสื่อ ขึ้นอยู่กับประชาชน แม้ว่าสื่อนั้นจะเอนเอียงไปทางพรรคใด การเมืองไหนก็เป็นเสรีภาพในการเข้าไปเกาะเกี่ยวพรรคการเมืองนั้น แต่อย่าไปปิดกั้นกระบอกเสียงพรรคอื่น ปิดกั้นไม่ให้สื่อได้นำเสนอข่าวให้ประชาชนได้รับรู้” นายโสรัจจ์ กล่าว
ทางด้านนายอัศวิน กล่าวว่า เมื่อถึงยุค ข้อมูลข่าวสารสารสนเทศสื่ออินเตอร์เน็ตเป็นปรากฎการณ์ที่สั่นสะเทือนการรับรู้ของสังคม กรณีวิกิลีกส์เข้ามาอยู่ในโจทย์ขณะนี้ได้อย่างเหมาะเจาะ หากมองในแง่ประชาชน แน่นอนว่า เป็นโอกาสและพัฒนาการของมนุษยชาติในการใช้เครื่องมือเทคโนโลยีในการออกมา แสดงความคิดความเห็นแล้วเปิดออกไปสู่อินเตอร์เน็ตได้
“ผมเชื่อว่าสังคมจะได้รับประโยชน์จากการเปิดกว้างเสรีภาพ อยู่แล้ว แต่ประเด็นการปกปิด คุ้มกันความเป็นส่วนตัว ต้องให้ความสำคัญเช่นกัน แต่ประเด็นวิกิลีกส์เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องส่วนตัวก็มีอยู่บ้าง แต่กรณีที่วิกิลีกส์แฉสหรัฐฯสั่นสะเทือนข้อมูลกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ นั้นเป็นประโยชน์สาธารณะเพราะข้อมูลบางอย่างมันถูกปิดบังและไม่ได้ถูกเปิดเผย ซึ่งเกี่ยวกับข้องกับมนุษยชนโดยตรง เขาควรมีสิทธิได้รับรู้ข้อมูลตรงนี้ แต่ถ้าให้เลือกผมคิดว่ามันเป็น “โอกาส” มากกว่าความคุกคาม” นายอัศวิน กล่าว
นายอัศวิน กล่าวต่อว่า ถึงตอนนี้ไม่มีวิกิลีกส์อันแรกก็ต้องมีอันที่สองอีก หากมีความพยายามที่จะเข้าไปควบคุมข้อมูลข่าวสาร กรณีวิกิลีกส์คล้ายคลึงกับการเกิดทีวีดาวเทียมของ อัลจาซีร่า ซึ่งเปรียบเทียบให้เห็นว่าแต่เดิมมีสื่อเดียวที่ผูกขาดความจริงเผยแพร่ต่อสาธารณะ เมื่อเกิดวิกิลีกส์และอัลจาซีร่า เท่ากับว่าเปิดพื้นที่อื่นๆให้กว้างขึ้น ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ จะต้องกลับมาเรียนรู้ใหม่ว่าจะจัดการอย่างไรกับชั้นความลับที่มีอยู่ เพราะถ้ายังแก้รูรั่วไม่ได้ก็จะถูกแฉไปทั้งโลก ครั้นจะไปหยุดก็ไม่ได้แล้ว
“สื่อใหม่ที่เกิดขึ้นทำให้เกิดนักข่าวพลเมือง รับและส่งข้อมูลข่าวสารแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ดังนั้นประโยชน์สาธารณะจึงเกิดจากตรงนี้ เมื่อมีสื่อสาธารณะนำไปเผยแพร่ต่อ ยกตัวอย่าง “ไทม์ แมกาซีน” นำข่าววิกิลิกส์มาขึ้นปก เพราะถ้ามุมมองของรัฐบาลเห็นว่าควรปกปิดข้อมูลให้เป็นความลับต่อไป แต่ในโลกนี้มีผู้มีขีดความสามารถเข้าถึงสื่อใหม่อยู่ทั่วโลก หากนโยบายเรื่องต่างๆที่จะเกิดขึ้นมันกระทบกับพวกเขา คนเหล่านั้นก็ย่อมมีสิทธิในฐานะพลเมืองเข้าไปมีเอี่ยวด้วย เพราะมันคือ ประเด็นส่วนรวม ดังนั้นจึงอยากให้มาดูในเนื้อหาของข้อมูลข่าวสารต่างๆ กันดีกว่า เนื่องจาก “ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย” ไม่ว่าจะลับรั่วชั่วแฉ ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย”
พ.อ.ดร. ธีรนันท์ ในฐานะหน่วยงานความมั่นคง ใช้ชีวิตในอินเตอร์เน็ต ตั้งแต่ยุคแรกของในเว็บพันทิป จากนั้นมีการพัฒนาเว็บไซต์ส่วนตัว มองว่า วิกิลีกส์เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงจากเรื่องความมั่นคงมาสู่ความมั่นคงของมนุษย์ นับตั้งแต่วันนี้ไปจะเกิดการโต้เถียงกันอย่างรุนแรงระหว่างความ มั่นคงของมนุษย์และความมั่นคงของรัฐ จะต้องมีการถกเถียงกันต่อไปอีกในอนาคต
“สังคมไทยในยุคเปลี่ยนผ่านก็ต้องทนอยู่ในสภาพแบบนี้ไปก่อน ซึ่งวิกิลีกส์อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ฉายให้เห็นภาพใต้น้ำได้ ซึ่งทุกคนต้องหันไปมอง” นายทหารผู้นี้กล่าว
นายกานต์ กล่าวว่า ในการบริหารงานของประเทศนั้น ภาครัฐจะเป็นคนกำหนดวาระนโยบายเป็นส่วนใหญ่ แต่ระยะหลังความเห็นภาคประชาชนจะมีเพิ่มมากขึ้น ภาครัฐจึงต้องปกปิดความลับ ปกป้องตนเอง หรืออาจจะเรียกว่าปกป้องผลประโยชน์ของตนเองก็ได้ ส่งผลให้ภาครัฐมีความแข็งตัวสูง ตอบสนองต่อประชาชนได้ยาก
“สำหรับคนไทยเมื่อเกิดปัญหาการเมือง รัฐไทยไม่อนุญาตให้ประกาศอุดมการณ์ทางการเมืองอย่างชัดเจน มันเป็นปมปัญหาของแต่ละประเทศที่จะแก้กันไป ดังนั้นสื่ออินเตอร์เน็ตอาจจะเข้ามาแก้ไขปัญหานี้ในการเปิดเผยข้อมูลข้อเท็จจริง” นายกานต์ กล่าว
สุดท้าย น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ดำเนินการอภิปราย กล่าวสรุปว่า อย่างไรก็ตาม กรณีวิกิลีกศ์กับรัฐบาลสหรัฐฯ ยังมีการห้ามเพียงแค่เรื่องการนำเสนอข้อมูลข้อเท็จจริง แต่ในส่วนของประเทศไทย เรายังก้าวข้ามการปิดกั้นในการแสดงความคิดเห็นไม่ได้เลย ดังนั้น จึงควรช่วยกันทำให้ผู้คนมีพื้นที่ในการต่อสู้อย่างเปิดเผยมากขึ้น
“วิกีลีกส์” จุดประกาย “อำนาจใหม่” ในมือประชาชนอาวุธต่อสู้กับ “ชนชั้นนำ” ผ่าน “อินเตอร์เน็ต”
มติชนออนไลน์ 9 ธันวาคม 2553
ที่ห้องดวงกมล โรงแรมสยามซิตี้ ถ.ศรีอยุธยา เครือข่ายพลเมืองเน็ตมีการแถลงข่าวสรุปสถานการณ์เสรีภาพอินเตอร์เน็ตประเทศไทย ประจำปี พ.ศ.2553 และอภิปรายสถานการณ์สากลกรณีวิกิลีกส์ มีการนำเสนอรายงานเสรีภาพอินเตอร์เน็ตในประเทศไทย ปี 2553 เรื่อง “ความมั่นคงของรัฐ VS อิสรภาพโลกออนไลน์ : จากวิกิลีกส์ ถึงเมืองไทย” โดย นพ. นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ นายโสรัจจ์ หงศ์ลดารมภ์ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายอัศวิน เนตรโพธิ์แก้ว คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ พ.อ.ดร.ธีรนันท์ นันทขว้าง รองผู้อำนวยการกองการเมือง วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร และนายกานต์ ยืนยง Saim Intelligence Unit (SIU)
นพ.นิรันดร์ กล่าวว่า ตนเป็นพลเมืองหัวโบราณ ประเด็นที่พูดอาจจะไม่ทันสมัย แต่มีสองประเด็นที่มองจาก วิกิลีกส์ คือเรื่อง ความ มั่นคงของรัฐกลายเป็นข้อมูลที่ปล่อยออกมานั้น ไม่ใช่เรื่องจริงแต่เป็นสิ่งหลอกหลวง เพราะแท้จริงข้อมูลดังกล่าวเป็นความมั่นคงของผู้นำ ชนชั้นปกครอง กลุ่มอำนาจผู้มีผลประโยชน์ และ ข้อมูลการทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามมากกว่า จากเดิมที่เรามองว่า ความรู้ คือ อำนาจ แต่ตอนนี้ไม่ใช่ “ข้อมูลข่าวสาร” คือ อำนาจในการล้มล้าง ดังนั้น จึงจำเป็นต้องออกกฎหมายที่เกิดจากอำนาจนิยมไปละเมิดสิทธิเสรีภาพของสื่อ อ้างกฎหมายเพื่อปิดเว็บไซต์ ซึ่งสิทธิเสรีภาพในการเผยแพร่ข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ตเป็นโครงสร้างการต่อสู้ ที่ประชาชนจะใช้ต่อสู้กับชนชั้นนำและชนชั้นปกครอง
“ข้อมูลข่าวสาร คือ อำนาจ คนที่พยายามใช้ความมั่นคงของรัฐเป็นข้ออ้างเพื่อเข้าไปปิดกั้นสื่อเหมือนกับ การเข้าไปครอบงำหรือแทรกแซงการเติบโตของพลเมืองหรือเปล่า” นพ.นิรันดร์ตั้งคำถาม
กรรมการสิทธิฯ ยังกล่าวถึง หลักการทำหน้าที่ของสื่อ ว่า สื่อ ต้องมีหน้าที่ในการบอกความจริงให้สังคมรับรู้เพื่อกระตุ้นสิทธิเสรีภาพการ แสดงออกภาคประชาชนให้เกิดการมีส่วนร่วม เพื่อเปิดพื้นที่สาธารณะจนเกิดปรากฏการณ์ที่เข้มข้นทำให้คนกล้าคิด กล้าทำ แม้แต่รัฐเองก็ไม่อาจโต้แย้งได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องดีทั้งสิ้นแต่ต้องเป็นธรรมและต้องเปิดเผย ส่วนรัฐที่อ้างเรื่องความมั่นคงของรัฐนั้นโกหกทั้งเพ ถ้าปกปิดสื่อจะมาอ้างความมั่นคงของรัฐไม่ได้ ต้องยอมเปิดเผยข้อมูลสู่สาธารณะ ส่วนการนำเสนอของสื่อต้องเป็นข้อเท็จจริงไม่ใช่ไปแบล็คเมล์หรือหาผลประโยชน์เข้าธุรกิจ ถ้าสื่อยึดหลักเรื่องสิทธิและความถูกต้องอันเป็นประโยชน์ต่อส่วน รวมแล้วเท่ากับว่าเป็นการส่งเสริมการเมืองในระบอบประชาธิปไตยมากกว่าการทำลาย
“แต่กรณีวิกิลีกส์ไม่ใช่โอกาสแต่เป็นการตอก ย้ำให้เห็นว่าข้อมูลข่าวสารมีอำนาจในการต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมเพื่อสร้าง พื้นที่สาธารณะอย่างเปิดเผย และตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ไม่ใช่เป็นเครื่องมือของรัฐบาล หลังจากได้ลงไปดูกรณีการจับกุมผู้อำนวยการเว็บไซต์ประชาไท พบว่า เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพสื่อเพราะรัฐไม่มีอำนาจในการปิดกั้น การใช้กฎหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินเข้าไปปิดกั้น ถือเป็นการละเมิดโดยใช้กฎหมายมิชอบ แต่กรรมการสิทธิฯทำได้เพียงแค่ตรวจสอบ ทั้งหมดขึ้นอยู่ที่รัฐว่าจะเชื่อฟังหรือแสดงความรับผิดชอบหรือยอมรับหรือไม่ ที่ผ่านมา 90 % รัฐไม่เคยทำตามที่กรรมการสิทธิฯเสนอเลย ดังนั้นทุกคนต้องมาร่วมตรวจสอบเพราะ ลำพังกรรมการสิทธฯเพียงคนเดียวคงไม่เพียงพอ” นพ.นิรันดร์กล่าวทิ้งท้าย
ทางด้านนายโสรัจจ์ มองสถานการณ์ของเว็บไซต์ “วิกิลีกส์” โดยให้ความเห็นว่า เกี่ยวกับความมั่นคงแน่นอน แต่จะทำลายความมั่นคงโดยตรงคงไม่ใช่ แต่จะว่าไม่เกี่ยวโดยตรงก็ไม่ใช่อีก แรกๆ วิกิลีกส์ มีคนแค่ไม่กี่คน ผู้ก่อตั้ง คือ นายจูเลียน แอสแซนจ์ นำเว็บไซต์วิกิลีกส์มาใช้แพร่เอกสารลับของสหรัฐฯจนเป็นข่าวใหญ่โต คงมีอุดมการณ์ในใจอยากให้โลกดีขึ้น จึงแฮ็คข้อมูลนำมาเผยแพร่ การตัดสินว่ากระทบความมั่นคงหรือไม่ จึงไม่ได้เกิดทุกกรณีแต่ขึ้นอยู่กับประเภทที่นำมาแฉ
“ถ้ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างถูกต้องไม่มีอะไรต้องกลัว หากการกระทำของรัฐบาลโปร่งใส ไม่จำเป็นตัวกลัวเว็บแบบวีกีลีกส์ ไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามปิดกั้นเว็บไซต์ไม่ให้ประชาชนได้เข้าถึงข้อมูล ข่าวสาร และอยากถามว่า ในกรณีของประเทศไทย หากมีการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แล้ว จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างกับเว็บที่ถูกปิดอยู่ในขณะนี้ เพราะความเป็นอิสระของสื่อ ขึ้นอยู่กับประชาชน แม้ว่าสื่อนั้นจะเอนเอียงไปทางพรรคใด การเมืองไหนก็เป็นเสรีภาพในการเข้าไปเกาะเกี่ยวพรรคการเมืองนั้น แต่อย่าไปปิดกั้นกระบอกเสียงพรรคอื่น ปิดกั้นไม่ให้สื่อได้นำเสนอข่าวให้ประชาชนได้รับรู้” นายโสรัจจ์ กล่าว
ทางด้านนายอัศวิน กล่าวว่า เมื่อถึงยุค ข้อมูลข่าวสารสารสนเทศสื่ออินเตอร์เน็ตเป็นปรากฎการณ์ที่สั่นสะเทือนการรับรู้ของสังคม กรณีวิกิลีกส์เข้ามาอยู่ในโจทย์ขณะนี้ได้อย่างเหมาะเจาะ หากมองในแง่ประชาชน แน่นอนว่า เป็นโอกาสและพัฒนาการของมนุษยชาติในการใช้เครื่องมือเทคโนโลยีในการออกมา แสดงความคิดความเห็นแล้วเปิดออกไปสู่อินเตอร์เน็ตได้
“ผมเชื่อว่าสังคมจะได้รับประโยชน์จากการเปิดกว้างเสรีภาพ อยู่แล้ว แต่ประเด็นการปกปิด คุ้มกันความเป็นส่วนตัว ต้องให้ความสำคัญเช่นกัน แต่ประเด็นวิกิลีกส์เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องส่วนตัวก็มีอยู่บ้าง แต่กรณีที่วิกิลีกส์แฉสหรัฐฯสั่นสะเทือนข้อมูลกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ นั้นเป็นประโยชน์สาธารณะเพราะข้อมูลบางอย่างมันถูกปิดบังและไม่ได้ถูกเปิดเผย ซึ่งเกี่ยวกับข้องกับมนุษยชนโดยตรง เขาควรมีสิทธิได้รับรู้ข้อมูลตรงนี้ แต่ถ้าให้เลือกผมคิดว่ามันเป็น “โอกาส” มากกว่าความคุกคาม” นายอัศวิน กล่าว
นายอัศวิน กล่าวต่อว่า ถึงตอนนี้ไม่มีวิกิลีกส์อันแรกก็ต้องมีอันที่สองอีก หากมีความพยายามที่จะเข้าไปควบคุมข้อมูลข่าวสาร กรณีวิกิลีกส์คล้ายคลึงกับการเกิดทีวีดาวเทียมของ อัลจาซีร่า ซึ่งเปรียบเทียบให้เห็นว่าแต่เดิมมีสื่อเดียวที่ผูกขาดความจริงเผยแพร่ต่อสาธารณะ เมื่อเกิดวิกิลีกส์และอัลจาซีร่า เท่ากับว่าเปิดพื้นที่อื่นๆให้กว้างขึ้น ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ จะต้องกลับมาเรียนรู้ใหม่ว่าจะจัดการอย่างไรกับชั้นความลับที่มีอยู่ เพราะถ้ายังแก้รูรั่วไม่ได้ก็จะถูกแฉไปทั้งโลก ครั้นจะไปหยุดก็ไม่ได้แล้ว
“สื่อใหม่ที่เกิดขึ้นทำให้เกิดนักข่าวพลเมือง รับและส่งข้อมูลข่าวสารแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ดังนั้นประโยชน์สาธารณะจึงเกิดจากตรงนี้ เมื่อมีสื่อสาธารณะนำไปเผยแพร่ต่อ ยกตัวอย่าง “ไทม์ แมกาซีน” นำข่าววิกิลิกส์มาขึ้นปก เพราะถ้ามุมมองของรัฐบาลเห็นว่าควรปกปิดข้อมูลให้เป็นความลับต่อไป แต่ในโลกนี้มีผู้มีขีดความสามารถเข้าถึงสื่อใหม่อยู่ทั่วโลก หากนโยบายเรื่องต่างๆที่จะเกิดขึ้นมันกระทบกับพวกเขา คนเหล่านั้นก็ย่อมมีสิทธิในฐานะพลเมืองเข้าไปมีเอี่ยวด้วย เพราะมันคือ ประเด็นส่วนรวม ดังนั้นจึงอยากให้มาดูในเนื้อหาของข้อมูลข่าวสารต่างๆ กันดีกว่า เนื่องจาก “ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย” ไม่ว่าจะลับรั่วชั่วแฉ ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย”
พ.อ.ดร. ธีรนันท์ ในฐานะหน่วยงานความมั่นคง ใช้ชีวิตในอินเตอร์เน็ต ตั้งแต่ยุคแรกของในเว็บพันทิป จากนั้นมีการพัฒนาเว็บไซต์ส่วนตัว มองว่า วิกิลีกส์เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงจากเรื่องความมั่นคงมาสู่ความมั่นคงของมนุษย์ นับตั้งแต่วันนี้ไปจะเกิดการโต้เถียงกันอย่างรุนแรงระหว่างความ มั่นคงของมนุษย์และความมั่นคงของรัฐ จะต้องมีการถกเถียงกันต่อไปอีกในอนาคต
“สังคมไทยในยุคเปลี่ยนผ่านก็ต้องทนอยู่ในสภาพแบบนี้ไปก่อน ซึ่งวิกิลีกส์อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ฉายให้เห็นภาพใต้น้ำได้ ซึ่งทุกคนต้องหันไปมอง” นายทหารผู้นี้กล่าว
นายกานต์ กล่าวว่า ในการบริหารงานของประเทศนั้น ภาครัฐจะเป็นคนกำหนดวาระนโยบายเป็นส่วนใหญ่ แต่ระยะหลังความเห็นภาคประชาชนจะมีเพิ่มมากขึ้น ภาครัฐจึงต้องปกปิดความลับ ปกป้องตนเอง หรืออาจจะเรียกว่าปกป้องผลประโยชน์ของตนเองก็ได้ ส่งผลให้ภาครัฐมีความแข็งตัวสูง ตอบสนองต่อประชาชนได้ยาก
“สำหรับคนไทยเมื่อเกิดปัญหาการเมือง รัฐไทยไม่อนุญาตให้ประกาศอุดมการณ์ทางการเมืองอย่างชัดเจน มันเป็นปมปัญหาของแต่ละประเทศที่จะแก้กันไป ดังนั้นสื่ออินเตอร์เน็ตอาจจะเข้ามาแก้ไขปัญหานี้ในการเปิดเผยข้อมูลข้อเท็จจริง” นายกานต์ กล่าว
สุดท้าย น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ดำเนินการอภิปราย กล่าวสรุปว่า อย่างไรก็ตาม กรณีวิกิลีกศ์กับรัฐบาลสหรัฐฯ ยังมีการห้ามเพียงแค่เรื่องการนำเสนอข้อมูลข้อเท็จจริง แต่ในส่วนของประเทศไทย เรายังก้าวข้ามการปิดกั้นในการแสดงความคิดเห็นไม่ได้เลย ดังนั้น จึงควรช่วยกันทำให้ผู้คนมีพื้นที่ในการต่อสู้อย่างเปิดเผยมากขึ้น
วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2553
เสื้อแดงไม่ต้านศาลรธน.ระบุทำกันจนชินชามุ่งรื้อยุติธรรมทั้งระบบ
รักษาการประธาน นปช. ระบุจะไม่เคลื่อนไหวคัดค้านคำตัดสินศาลรัฐธรรมนูญที่ลงมติ 4 ต่อ 3 เสียง ยกคำร้องคดียุบพรรคประชาธิปัตย์จากกรณีรับเงินบริจาค 258 ล้านบาทผิดกฎหมาย เผยคนเสื้อแดงเริ่มตายด้านกับเรื่องเหล่านี้เพราะทำกันจนชิน ประกาศเป้าหมายมุ่งรื้อกระบวนการยุติธรรมใหม่ทั้งระบบ ชี้ประเทศไทยมีทางเลือกแค่ 2 ทางคือ ฆ่ากันให้ตายไปข้าง กับทบทวนบทเรียนหาทางออกร่วมกัน ขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจจะเลือกทางไหน โฆษกอัยการโยนประธาน กกต. ยึกยักไม่ยืนยันความเห็นยุบประชาธิปัตย์จนเป็นเหตุให้ศาลยกคำร้อง โฆษกเพื่อไทยเหน็บพรรคเทวดาทำอะไรก็ไม่ผิด
ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ องค์คณะตุลาการออกนั่งบัลลังก์พิจารณาคดีที่อัยการยื่นฟ้องยุบพรรคประชาธิปัตย์กรณีรับเงินบริจาค 258 ล้านบาท จากบริษัทบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ผ่านทางบริษัท เมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด เพื่อใช้ในการเลือกตั้งในปี 2548
ศาล รธน. มีมติ 4 ต่อ 3 ยกคำร้องยุบ ปชป.
ทั้งนี้ ในวันที่ 9 ธ.ค. เป็นการนัดพร้อมคู่ความในคดีครั้งแรก แต่ตุลาการศาลรัฐธรรนูญได้พิพากษาคดีทันที โดยมีมติ 4 ต่อ 3 เสียงให้ยกคำร้อง โดยให้เหตุผลว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ดำเนินการผิดขั้นตอนที่ไม่ให้นายทะเบียนพรรคการเมืองมีความเห็นยุบพรรคก่อน (รายรายละเอียดคำวินิจฉัยได้ที่หน้า 05 A)
“จรัญ” นำทีมเป็นเสียงข้างมาก
สำหรับคดีนี้มีตุลาการเป็นองค์คณะพิจารณาคดี 7 คน เสียงข้างมาก 4 เสียงที่ให้ยกคำร้องประกอบด้วย นายจรัญ ภักดีธนากุล, นายจรูญ อินทจาร, นายนุรักษ์ มาประณีต และนายสุพจน์ ไข่มุกด์ เสียงข้างน้อย 3 เสียง ประกอบด้วย นายชัช ชลวร, นายบุญส่ง กุลบุปผา และนายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี ซึ่งนายอนุศักดิ์เคยเป็นเสียงข้างมากในคดียุบพรรค 29 ล้านบาท มาก่อน
อัยการแจงไม่มีโอกาสคัดค้าน
นายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) ยืนยันว่า อัยการทำงานเต็มที่แล้ว เมื่อศาลยกคำร้องก็ต้องยอมรับ อย่างไรก็ตาม การที่พรรคประชาธิปัตย์ยื่นเรื่องให้ศาลวินิจฉัยข้อกฎหมายก่อน ในส่วนนี้อัยการไม่มีโอกาสได้คัดค้านเพราะไม่สามารถยื่นเรื่องประกบได้ ทั้งนี้ ศาลมีสิทธิที่จะพิจารณาว่าจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร
โยนประธาน กกต. ต้นเหตุยกคำร้อง
“หากจำกันได้คดีนี้ตอนแรกอัยการมีความเห็นไม่ส่งฟ้องเพราะไม่แน่ใจว่านายทะเบียนพรรคการเมืองมีความเห็นให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์มาก่อนที่จะส่งเรื่องถึงอัยการหรือไม่ ต่อมานายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. ซึ่งเป็นนายทะเบียนพรรคการเมือง ทำเรื่องมาถึงอัยการให้ส่งฟ้องศาล จึงถือว่าหนังสือดังกล่าวเป็นความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมืองว่าให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ จากนั้นมีการตั้งคณะทำงานร่วมระหว่าง กกต. และอัยการก็มีการถกกันเรื่องนี้อีก โดยถามว่านายอภิชาตมีความเห็นชัดเจนแล้วใช่หรือไม่ว่าให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ แต่นายอภิชาตไม่ได้ยืนยันเรื่องนี้ อัยการจึงถือว่าหนังสือที่นายอภิชาตส่งมาให้ก่อนหน้านี้เป็นความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมืองจึงยื่นฟ้องคดีต่อศาล” นายธนพิชญ์กล่าว
ยื่นฟ้องใหม่ไม่ได้แล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่านายทะเบียนพรรคการเมืองสามารถกลับไปทำความเห็นเพื่อยื่นฟ้องคดีใหม่ได้หรือไม่ โฆษก อสส. กล่าวว่า คงไม่ได้เพราะถือว่าขั้นตอนสิ้นสุดแล้ว เราคงทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับคำตัดสินของศาล
นายณรงค์เดช สุระโฆษิต ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า หากดูจากคดี 29 ล้านบาทที่ศาลยกคำร้อง คดี 258 ล้านบาทที่ยกคำร้องก็ไม่ได้เกินความคาดหมาย
นักวิชาการชี้น่าจะยื่นฟ้องใหม่ได้
“เมื่อศาลบอกว่าการดำเนินการไม่ถูกต้องตามขั้นตอน ดังนั้น การกลับไปทำให้ถูกต้องตามขั้นตอนแล้วยื่นฟ้องใหม่น่าจะทำได้ เพราะศาลยังไม่ได้วินิจฉัยในเนื้อหาของคดี ซึ่งเป็นไปตามหลักสากล แต่สำหรับคดี 29 ล้านบาท ฟ้องซ้ำไม่ได้เพราะคำวินิจฉัยข้อที่ 2 ได้ปิดช่องไปแล้ว” นายณรงค์เดชกล่าว
รศ.สุขุม นวลสกุล นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์ เชื่อว่าผลการตัดสินที่ออกมาจะไม่ทำให้คนเสื้อแดงออกมาเคลื่อนไหวจนเกิดความรุนแรง เป้าหมายของคนเสื้อแดงตอนนี้คือการเคลื่อนไหวเพื่อนำไปสู่การเลือกตั้ง โดยใช้คำวินิจฉัยของศาลไปแจ้งกับประชาชนเพื่อให้มีความรู้สึกว่ามี 2 มาตรฐานเกิดขึ้นจริง อย่างไรก็ตาม การจุดประเด็นเรื่อง 2 มาตรฐานคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงการเมืองมาก อย่างมากแค่ลดความน่าเชื่อถือของพรรคประชาธิปัตย์ลงได้บ้างเท่านั้น
“มาร์ค” ให้ประชาชนศึกษาคำวินิจฉัย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เป็นเรื่องดีที่ตุลาการเผยแพร่คำวินิจฉัยส่วนตัวในคดี 29 ล้านบาท เพราะจะทำให้ประชาชนที่สนใจมีความเข้าใจมากขึ้นว่าศาลได้พิจารณาทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายก่อนตัดสินว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีความผิดตามข้อกล่าวหา
ส่วนกรณีที่จะมีการนำคำวินิจฉัยของตุลาการเสียงข้างน้อยที่ให้ยุบพรรคไปขยายผลทางการเมืองหรือไม่นั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ต้องมีอยู่แล้ว เมื่อเสียงไม่เอกฉันท์ก็ต้องเป็นแบบนี้ ถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่ตามกติกาเรายึดตามเสียงข้างมาก
โทร.ยินดี “ชวน” ทำงานสำเร็จ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังรับทราบผลคดี 258 ล้านบาท ที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยกคำร้อง นายอภิสิทธิ์ได้โทรศัพท์ไปแสดงความยินดีกับนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ที่ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมทนายต่อสู้คดียุบพรรค
ด้านนายชวนกล่าวว่า ถือว่าหมดภารกิจของทีมกฎหมายแล้ว ส่วนจะมีการยื่นยุบพรรคเพื่อไทยที่ฟ้องยุบพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่นั้นเป็นเรื่องของพรรคจะพิจารณา แต่ในทีมกฎหมายไม่ได้คุยกันเรื่องนี้
ความเห็นนายทะเบียนเป็นสาระสำคัญ
นายบัณฑิต ศิริพันธุ์ หนึ่งในทีมทนายต่อสู้คดียุบพรรค กล่าวว่า การที่นายทะเบียนพรรคการเมืองไม่ได้ทำความเห็นให้ยุบพรรคก่อส่งอัยการฟ้องศาลถือเป็นสาระสำคัญของกฎหมาย ไม่จำเป็นต้องเปิดการไต่สวนเพราะดำเนินการไม่ถูกต้องตามขั้นตอน
“กฎหมายพรรคการเมืองมาตรา 94-95 เขียนชัดอยู่แล้วว่าทนายทะเบียนต้องทำความเห็นก่อนเสนออัยการยื่นฟ้องศาล เมื่อขั้นตอนไม่ถูกต้องก็ไม่ต้องไปพูดเรื่องอื่น”
นปช. เสียดายไม่ตัดสินข้อเท็จจริง
นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ ภรรยา นพ.เหวง โตจิราการ รักษาการประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน กล่าวว่า คำตัดสินของศาลเป็นไปตามความคาดหมายว่าจะเหมือนกับคดี 29 ล้านบาท แต่ถ้าตนเป็นพรรคประชาธิปัตย์จะดีใจมากกว่าหากศาลตัดสินตามข้อเท็จจริง ไม่ใช่เทคนิคกฎหมาย เพราะหากมุ่งเรื่องข้อกฎหมายโดยละเลยข้อเท็จจริงทำให้เกิดข้อครหาเรื่อง 2 มาตรฐาน
ไม่เคลื่อนไหวต้านเพราะเริ่มชินชา
“คนเสื้อแดงกำลังตายด้านกับเรื่องเหล่านี้เพราะเกิดบ่อยจนชิน หลายคนอาจคิดว่าคนเสื้อแดงต้องโกรธ ต้องออกมาต่อต้าน เราไม่รู้จะทำทำไมเพราะที่ผ่านมาโดนกระทำมามากกว่านี้อีก และเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยตรงกับคนเสื้อแดง คนที่เคยเจ็บกับเรื่องหนักพอมาเจอเรื่องเบาๆก็ไม่รู้สึกอะไร” นางธิดากล่าวพร้อมยืนยันว่า คนเสื้อแดงจะไม่ออกไปเคลื่อนไหวต่อต้านคำตัดสินของศาล แต่จะเคลื่อนไหวเพื่อทวงถามความยุติธรรมทั้งระบบ และอยากฝากเตือนไปยังคนที่มองว่าเสื้อแดงเป็นศัตรูด้วยว่าอย่าทำอะไรให้พวกเราสะสมความโกรธแค้นให้มากนัก เพราะแค่นี้บ้านเมืองก็มีปัญหามากอยู่แล้ว
ชี้บ้านเมืองมีทางเลือกแค่ 2 ทาง
นางธิดากล่าวอีกว่า บ้านเมืองหลังจากนี้มีทางเลือกแค่ 2 ทางคือ 1.แต่ละฝ่ายนำบทเรียนในอดีตมาพิจารณาแล้วร่วมกันมองไปข้างหน้าว่าจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร หรือ 2.ต้องฆ่ากันตายไปข้างหนึ่ง หากยังตายไม่หมดก็ฆ่ากันต่อไป บ้านเมืองจะไปทิศทางใดขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจจะเลือก
“ถ้าเขายอมรับความเป็นจริงและคิดว่าจะเดินหน้าไปอย่างไรก็ถือว่าดี แต่หากคิดว่าต้องฆ่าให้หมด ต้องขังให้หมด รับรองได้ปัญหานี้ไม่มีวันจบสิ้น” รักษาการประธาน นปช. กล่าว
เพื่อไทยขอศึกษาคำวินิจฉัยก่อน
นายประเกียรติ นาสิมมา ส.ส.สัดส่วน และคณะทำงานด้านกฎหมาย พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การที่ศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้องยุบพรรคประชาธิปัตย์ทั้ง 2 คดี สร้างความเคลือบแคลงสงสัยให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก ดังนั้น วุฒิสภาและภาคประชาชนจะต้องเข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้ ในส่วนของพรรคเพื่อไทยจะดูข้อกฎหมายว่าสามารถดำเนินการอะไรได้บ้าง
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า น่าเสียดายที่ศาลเลือกยกคำร้อง ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีโอกาสพิสูจน์ตัวเองจากข้อกล่าวหาที่เป็นข้อเท็จจริงของคดี
แขวะพรรคเทวดาทำอะไรไม่ผิด
“พรรคประชาธิปัตย์ถือเป็นพรรคการเมืองที่โชคดีที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เพราะรอดพ้นจากการยุบพรรคมาทุกครั้ง จึงขอตั้งฉายาให้เป็นพรรคเทวดา” นายพร้อมพงศ์กล่าวและว่า หลัง จากที่ศาลมีคำวินิจฉัยโดยละเอียดออกมาแล้ว ฝ่ายกฎหมายของพรรคจะนำมาศึกษาเพื่อทำสมุดปกขาวให้ประชาชนได้อ่านข้อเท็จจริง
โฆษกพรรคเพื่อไทยยังแนะนำให้นายอภิชาต ในฐานะที่เป็นนายทะเบียนพรรคการเมือง ออกมาชี้แจงเรื่องการทำความเห็นยุบพรรค เพราะตามข้อกฎหมายไม่ได้ระบุชัดเจนว่านายทะเบียนจะ ต้องทำความเห็นด้วยวิธีใด เพื่อจะได้ไม่ต้องตกเป็นแพะ ส่วนอัยการก็ต้องชี้แจงข้อกฎหมายที่เห็นต่างจากศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ข้อเท็จจริง
ที่มา.จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************
ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ องค์คณะตุลาการออกนั่งบัลลังก์พิจารณาคดีที่อัยการยื่นฟ้องยุบพรรคประชาธิปัตย์กรณีรับเงินบริจาค 258 ล้านบาท จากบริษัทบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ผ่านทางบริษัท เมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด เพื่อใช้ในการเลือกตั้งในปี 2548
ศาล รธน. มีมติ 4 ต่อ 3 ยกคำร้องยุบ ปชป.
ทั้งนี้ ในวันที่ 9 ธ.ค. เป็นการนัดพร้อมคู่ความในคดีครั้งแรก แต่ตุลาการศาลรัฐธรรนูญได้พิพากษาคดีทันที โดยมีมติ 4 ต่อ 3 เสียงให้ยกคำร้อง โดยให้เหตุผลว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ดำเนินการผิดขั้นตอนที่ไม่ให้นายทะเบียนพรรคการเมืองมีความเห็นยุบพรรคก่อน (รายรายละเอียดคำวินิจฉัยได้ที่หน้า 05 A)
“จรัญ” นำทีมเป็นเสียงข้างมาก
สำหรับคดีนี้มีตุลาการเป็นองค์คณะพิจารณาคดี 7 คน เสียงข้างมาก 4 เสียงที่ให้ยกคำร้องประกอบด้วย นายจรัญ ภักดีธนากุล, นายจรูญ อินทจาร, นายนุรักษ์ มาประณีต และนายสุพจน์ ไข่มุกด์ เสียงข้างน้อย 3 เสียง ประกอบด้วย นายชัช ชลวร, นายบุญส่ง กุลบุปผา และนายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี ซึ่งนายอนุศักดิ์เคยเป็นเสียงข้างมากในคดียุบพรรค 29 ล้านบาท มาก่อน
อัยการแจงไม่มีโอกาสคัดค้าน
นายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) ยืนยันว่า อัยการทำงานเต็มที่แล้ว เมื่อศาลยกคำร้องก็ต้องยอมรับ อย่างไรก็ตาม การที่พรรคประชาธิปัตย์ยื่นเรื่องให้ศาลวินิจฉัยข้อกฎหมายก่อน ในส่วนนี้อัยการไม่มีโอกาสได้คัดค้านเพราะไม่สามารถยื่นเรื่องประกบได้ ทั้งนี้ ศาลมีสิทธิที่จะพิจารณาว่าจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร
โยนประธาน กกต. ต้นเหตุยกคำร้อง
“หากจำกันได้คดีนี้ตอนแรกอัยการมีความเห็นไม่ส่งฟ้องเพราะไม่แน่ใจว่านายทะเบียนพรรคการเมืองมีความเห็นให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์มาก่อนที่จะส่งเรื่องถึงอัยการหรือไม่ ต่อมานายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. ซึ่งเป็นนายทะเบียนพรรคการเมือง ทำเรื่องมาถึงอัยการให้ส่งฟ้องศาล จึงถือว่าหนังสือดังกล่าวเป็นความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมืองว่าให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ จากนั้นมีการตั้งคณะทำงานร่วมระหว่าง กกต. และอัยการก็มีการถกกันเรื่องนี้อีก โดยถามว่านายอภิชาตมีความเห็นชัดเจนแล้วใช่หรือไม่ว่าให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ แต่นายอภิชาตไม่ได้ยืนยันเรื่องนี้ อัยการจึงถือว่าหนังสือที่นายอภิชาตส่งมาให้ก่อนหน้านี้เป็นความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมืองจึงยื่นฟ้องคดีต่อศาล” นายธนพิชญ์กล่าว
ยื่นฟ้องใหม่ไม่ได้แล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่านายทะเบียนพรรคการเมืองสามารถกลับไปทำความเห็นเพื่อยื่นฟ้องคดีใหม่ได้หรือไม่ โฆษก อสส. กล่าวว่า คงไม่ได้เพราะถือว่าขั้นตอนสิ้นสุดแล้ว เราคงทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับคำตัดสินของศาล
นายณรงค์เดช สุระโฆษิต ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า หากดูจากคดี 29 ล้านบาทที่ศาลยกคำร้อง คดี 258 ล้านบาทที่ยกคำร้องก็ไม่ได้เกินความคาดหมาย
นักวิชาการชี้น่าจะยื่นฟ้องใหม่ได้
“เมื่อศาลบอกว่าการดำเนินการไม่ถูกต้องตามขั้นตอน ดังนั้น การกลับไปทำให้ถูกต้องตามขั้นตอนแล้วยื่นฟ้องใหม่น่าจะทำได้ เพราะศาลยังไม่ได้วินิจฉัยในเนื้อหาของคดี ซึ่งเป็นไปตามหลักสากล แต่สำหรับคดี 29 ล้านบาท ฟ้องซ้ำไม่ได้เพราะคำวินิจฉัยข้อที่ 2 ได้ปิดช่องไปแล้ว” นายณรงค์เดชกล่าว
รศ.สุขุม นวลสกุล นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์ เชื่อว่าผลการตัดสินที่ออกมาจะไม่ทำให้คนเสื้อแดงออกมาเคลื่อนไหวจนเกิดความรุนแรง เป้าหมายของคนเสื้อแดงตอนนี้คือการเคลื่อนไหวเพื่อนำไปสู่การเลือกตั้ง โดยใช้คำวินิจฉัยของศาลไปแจ้งกับประชาชนเพื่อให้มีความรู้สึกว่ามี 2 มาตรฐานเกิดขึ้นจริง อย่างไรก็ตาม การจุดประเด็นเรื่อง 2 มาตรฐานคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงการเมืองมาก อย่างมากแค่ลดความน่าเชื่อถือของพรรคประชาธิปัตย์ลงได้บ้างเท่านั้น
“มาร์ค” ให้ประชาชนศึกษาคำวินิจฉัย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เป็นเรื่องดีที่ตุลาการเผยแพร่คำวินิจฉัยส่วนตัวในคดี 29 ล้านบาท เพราะจะทำให้ประชาชนที่สนใจมีความเข้าใจมากขึ้นว่าศาลได้พิจารณาทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายก่อนตัดสินว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีความผิดตามข้อกล่าวหา
ส่วนกรณีที่จะมีการนำคำวินิจฉัยของตุลาการเสียงข้างน้อยที่ให้ยุบพรรคไปขยายผลทางการเมืองหรือไม่นั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ต้องมีอยู่แล้ว เมื่อเสียงไม่เอกฉันท์ก็ต้องเป็นแบบนี้ ถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่ตามกติกาเรายึดตามเสียงข้างมาก
โทร.ยินดี “ชวน” ทำงานสำเร็จ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังรับทราบผลคดี 258 ล้านบาท ที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยกคำร้อง นายอภิสิทธิ์ได้โทรศัพท์ไปแสดงความยินดีกับนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ที่ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมทนายต่อสู้คดียุบพรรค
ด้านนายชวนกล่าวว่า ถือว่าหมดภารกิจของทีมกฎหมายแล้ว ส่วนจะมีการยื่นยุบพรรคเพื่อไทยที่ฟ้องยุบพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่นั้นเป็นเรื่องของพรรคจะพิจารณา แต่ในทีมกฎหมายไม่ได้คุยกันเรื่องนี้
ความเห็นนายทะเบียนเป็นสาระสำคัญ
นายบัณฑิต ศิริพันธุ์ หนึ่งในทีมทนายต่อสู้คดียุบพรรค กล่าวว่า การที่นายทะเบียนพรรคการเมืองไม่ได้ทำความเห็นให้ยุบพรรคก่อส่งอัยการฟ้องศาลถือเป็นสาระสำคัญของกฎหมาย ไม่จำเป็นต้องเปิดการไต่สวนเพราะดำเนินการไม่ถูกต้องตามขั้นตอน
“กฎหมายพรรคการเมืองมาตรา 94-95 เขียนชัดอยู่แล้วว่าทนายทะเบียนต้องทำความเห็นก่อนเสนออัยการยื่นฟ้องศาล เมื่อขั้นตอนไม่ถูกต้องก็ไม่ต้องไปพูดเรื่องอื่น”
นปช. เสียดายไม่ตัดสินข้อเท็จจริง
นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ ภรรยา นพ.เหวง โตจิราการ รักษาการประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน กล่าวว่า คำตัดสินของศาลเป็นไปตามความคาดหมายว่าจะเหมือนกับคดี 29 ล้านบาท แต่ถ้าตนเป็นพรรคประชาธิปัตย์จะดีใจมากกว่าหากศาลตัดสินตามข้อเท็จจริง ไม่ใช่เทคนิคกฎหมาย เพราะหากมุ่งเรื่องข้อกฎหมายโดยละเลยข้อเท็จจริงทำให้เกิดข้อครหาเรื่อง 2 มาตรฐาน
ไม่เคลื่อนไหวต้านเพราะเริ่มชินชา
“คนเสื้อแดงกำลังตายด้านกับเรื่องเหล่านี้เพราะเกิดบ่อยจนชิน หลายคนอาจคิดว่าคนเสื้อแดงต้องโกรธ ต้องออกมาต่อต้าน เราไม่รู้จะทำทำไมเพราะที่ผ่านมาโดนกระทำมามากกว่านี้อีก และเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยตรงกับคนเสื้อแดง คนที่เคยเจ็บกับเรื่องหนักพอมาเจอเรื่องเบาๆก็ไม่รู้สึกอะไร” นางธิดากล่าวพร้อมยืนยันว่า คนเสื้อแดงจะไม่ออกไปเคลื่อนไหวต่อต้านคำตัดสินของศาล แต่จะเคลื่อนไหวเพื่อทวงถามความยุติธรรมทั้งระบบ และอยากฝากเตือนไปยังคนที่มองว่าเสื้อแดงเป็นศัตรูด้วยว่าอย่าทำอะไรให้พวกเราสะสมความโกรธแค้นให้มากนัก เพราะแค่นี้บ้านเมืองก็มีปัญหามากอยู่แล้ว
ชี้บ้านเมืองมีทางเลือกแค่ 2 ทาง
นางธิดากล่าวอีกว่า บ้านเมืองหลังจากนี้มีทางเลือกแค่ 2 ทางคือ 1.แต่ละฝ่ายนำบทเรียนในอดีตมาพิจารณาแล้วร่วมกันมองไปข้างหน้าว่าจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร หรือ 2.ต้องฆ่ากันตายไปข้างหนึ่ง หากยังตายไม่หมดก็ฆ่ากันต่อไป บ้านเมืองจะไปทิศทางใดขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจจะเลือก
“ถ้าเขายอมรับความเป็นจริงและคิดว่าจะเดินหน้าไปอย่างไรก็ถือว่าดี แต่หากคิดว่าต้องฆ่าให้หมด ต้องขังให้หมด รับรองได้ปัญหานี้ไม่มีวันจบสิ้น” รักษาการประธาน นปช. กล่าว
เพื่อไทยขอศึกษาคำวินิจฉัยก่อน
นายประเกียรติ นาสิมมา ส.ส.สัดส่วน และคณะทำงานด้านกฎหมาย พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การที่ศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้องยุบพรรคประชาธิปัตย์ทั้ง 2 คดี สร้างความเคลือบแคลงสงสัยให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก ดังนั้น วุฒิสภาและภาคประชาชนจะต้องเข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้ ในส่วนของพรรคเพื่อไทยจะดูข้อกฎหมายว่าสามารถดำเนินการอะไรได้บ้าง
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า น่าเสียดายที่ศาลเลือกยกคำร้อง ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีโอกาสพิสูจน์ตัวเองจากข้อกล่าวหาที่เป็นข้อเท็จจริงของคดี
แขวะพรรคเทวดาทำอะไรไม่ผิด
“พรรคประชาธิปัตย์ถือเป็นพรรคการเมืองที่โชคดีที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เพราะรอดพ้นจากการยุบพรรคมาทุกครั้ง จึงขอตั้งฉายาให้เป็นพรรคเทวดา” นายพร้อมพงศ์กล่าวและว่า หลัง จากที่ศาลมีคำวินิจฉัยโดยละเอียดออกมาแล้ว ฝ่ายกฎหมายของพรรคจะนำมาศึกษาเพื่อทำสมุดปกขาวให้ประชาชนได้อ่านข้อเท็จจริง
โฆษกพรรคเพื่อไทยยังแนะนำให้นายอภิชาต ในฐานะที่เป็นนายทะเบียนพรรคการเมือง ออกมาชี้แจงเรื่องการทำความเห็นยุบพรรค เพราะตามข้อกฎหมายไม่ได้ระบุชัดเจนว่านายทะเบียนจะ ต้องทำความเห็นด้วยวิธีใด เพื่อจะได้ไม่ต้องตกเป็นแพะ ส่วนอัยการก็ต้องชี้แจงข้อกฎหมายที่เห็นต่างจากศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ข้อเท็จจริง
ที่มา.จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)