--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ศาลโลกนำเรื่องเข้าพิจารณาการ" สังหารหมู่ที่ราชประสงค์ "ในวาระพิเศษวาระแรกแล้ว

 



ลางร้ายสำหรับรัฐบาลไทย 

วันนี้ ดูเหมือนว่าความดิ้นรนพยายามสร้าง “กระบวนการปรองดองสมานฉันท์” ของนายอภิสิทธิ์ดูจะท่าจะไม่เป็นผล เพราะ ICG องค์กรนิรโทษกรรมสากล และ Human Rights Watch ได้ถอนตัวจากการมีส่วนร่วมกับกระบวนการสมานฉันท์จอมปลอมในศรีลังกา และได้ยังเผยแพร่แถลงการณ์ตักเตือนว่า

“ICG องค์การนิรโทษกรรมสากล และ Human Rights Watch ได้ปฏิเสธคำเชิญของคณะกรรมการเรียนรู้จากบทเรียนและสร้างความสมานฉันท์ปรองดอง (LLRC) แห่งศรีลังกา รัฐบาลศรีลังกาได้ตั้งคณะกรรมการดังกล่าวเพื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างความสมานฉันท์และนำความยุติธรรมกลับคืนสู่ประเทศหลังจากสงครามการเมืองที่ยาวนานระหว่างรัฐบาลและกลุ่ม the Liberation Tigers of Tamil Eelam (LTTE) แต่กระนั้นคณะกรรมการล้มเหลวปฏิบัติตามมาตรฐานเบื้องต้น และยังทำลายโครงสร้างพื้นฐานและหลักการปฏิบัติ ”


เป็นที่แน่ชัดว่า นายกอภิสิทธิ์เพิกเฉยต่อคำแนะนำนี้ และทำให้หลายคนคิดว่าแผนการดังกล่าวเป็นแค่กระบวนการสมานฉันท์จอมปลอมที่ใช้ปกปิดความจริง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงอันอำมหิตในเดือนเมษายนและพฤษภาคมซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 90ราย ได้รับการปูนบำเหน็จ ในขณะที่จำนวนคนเสื้อแดงที่ถูกปฏิบัติอย่างไร้ความเป็นธรรมและถูกกักขังเพิ่มมากขึ้น

 สิ่งสำคัญคือคณะกรรมการไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสอบสวนถึงข้อกล่าวหาอันน่าเชื่อถือหลายข้อที่มีต่อหน่วยความมั่นคงและกลุ่ม LTTE ว่าทั้งสองกลุ่มกระทำความผิดอาชญากรรมสงคราม กระบวนการพิจารณารับฟังที่มีขึ้นสองเดือนที่แล้วจนกระทั่งวันนี้ สมาชิกคณะกรรมการหลายคนที่ได้เกษียณอายุราชการไปแล้วไม่ได้พยายามจะตั้งคำถามถึงเหตุการณ์ความรุนแรงที่เล่าโดยฝ่ายรัฐบาล และยังปล่อยให้สมาชิกคณะกรรมการใหม่เข้าใจผิดถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว


ในวันที่ 27 ตุลาคม พันเอกสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศอฉ. ได้แถลงต่อสื่อมวลชนว่า  “ที่ประชุมยังไม่มีการรายงานเรื่องนี้เข้ามา ขณะเดียวกันผมก็ไม่ชัดเจนในข้อกฎหมายว่าทำได้หรือไม่ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเป็นที่รับรู้กันว่าอะไรเกิดขึ้น ไม่ใช่ทหารเราไปไล่ฆ่าประชาชน แต่เกิดจากการชุมนุมที่เกินขอบเขตกฎหมาย”  นอกจากนี้พันเอกสรรเสริญยังกล่าวว่า “ศาลในประเทศไทยก็วินิจฉัยรัฐบาลเป็นผู้ดูแลความมั่นคงมีอำนาจระงับยับยั้งเหตุการณ์ เพราะได้มีความพยายามต่อรองและได้ดำเนินการอย่างถึงที่สุดด้วยความรอบคอบ (สำหรับการดำเนินการสลายการชุมนุม) การดำเนินการของเจ้าหน้าที่จึงต้องทำด้วยหลักสากล มีการชี้แจงผ่านวิทยุ โทรทัศน์ และผ่านสื่อ รวมทั้งไม่ปิดกั้นเสรีภาพของสื่อมวลชน”

ตามมาด้วยคำชี้แจงของสมาชิกรัฐบาลอย่างนายเทพไท เสนพงศ์ “เหตุการณ์ดังกล่าวต่างจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของกัมพูชา ซึ่งอยู่ในการตัดสินของศาลโลก แต่เหตุการณ์ความวุ่นวายในประเทศไทย เป็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในประเทศ และรัฐบาลไม่ได้มีเจตนาไปเข่นฆ่าประชาชน เป็นเพียงการบังคับใช้กฎหมายที่มีบทบัญญัติกฎหมายรับรอง จึงคิดว่าไม่สามารถนำไปฟ้องดำเนินคดีต่อศาลโลกได้”

หากพิจารณาคำอธิบายของศอฉ.และชี้แจงเหล่านี้ จะพบว่ามีความโดดเด่นอย่างมาก เพราะแนวความคิดของศอฉ. (ซึ่งเราสามารถตีความได้โดยทั่วไปว่าเป็นความคิดของกลุ่มอำมาตย์) แสดงให้เห็นว่ายังคงมีความพยายามที่จะปฏิเสธว่าทหารและตำรวจไม่ได้สังหารผู้ชุมนุม จุดยืนของศอฉ. แสดงให้เห็นถึงพยายามชี้นำสังคมในทางที่ผิดเท่าที่จะสามารถจินตนาการได้ ซึ่งขัดต่อหลักฐานที่ถูกเผยแพร่อย่างแพร่หลายในที่สาธารณะ และความพยายามนี้ช่วยอธิบายว่าเหตุใด รัฐบาลจึงปฏิเสธโอกาสในการเข้าถึงหลักฐานทางนิติเวชและพยายามที่จะปกปิดข้อเท็จจริงและข้อมูลอื่นที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว และนี่คือตัวอย่างหนึ่งของการกระทำของรัฐบาลทีเราเลือกออกมาจากยุทธศาสตร์สร้างความยุ่งยากในการตรวจสอบเหตุการณ์ของรัฐบาลไทย ซึ่งแสดงในเห็นถึงความพยายามปฏิเสธการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม นั้นคือการที่ศาลปฏิเสธคำร้องผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 19 คน ในวันที่ 27 สิงหาคม โดยเป็นคำร้องที่ขอดำเนินการชันสูตรศพทั้ง 9ศพที่ถูกสังหารหมู่ ด้วยผู้เชี่ยวชาญของผู้ถูกกล่าวหา

แม้รัฐบาลจะทำการชันสูตรศพดังกล่าว แต่จนถึงปัจจุบันรัฐบาลไม่เคยเปิดเผยผลการชันสูตรแก่ผู้ถูกกล่าวหา นอกจากนี้ ครอบครัวของผู้เสียชีวิตไม่ได้ดำเนินพิธีการเผาศพ เพื่อต้องการเก็บรักษาหลักฐาน ด้วยความหวังที่ว่า ความยุติธรรมจะเกิดขึ้นในที่สุด การปฏิเสธคำร้องดังกล่าวของศาลละเมิดต่อสนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเรือนและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ซึ่งประเทศไทยได้ลงนามไว้ ICCPR บัญญัติว่า ผู้ถูกกล่าวหาทางอาญามีสิทธิเข้าถึงหลักฐานเช่นเดียวกับกับรัฐบาล เหตุผลเดียวที่ศาลใช้ปฏิเสธคือ อัยการเป็นผู้เดียวที่มีอำนาจในการร้องขอชันสูตร

วัตถุประสงค์หนึ่งในการชันสูตรคือ การตรวจสอบทิศทางกระสุน ชนิดกระสุน และระยะทาง เพื่อพิสูจน์ว่าผู้เสียชีวิตเหล่านี้ถูกมือปืนซุ่มยิงทหาร หรือถูกยิงจากระดับพื้นดินโดยบุคคลอื่นตามที่รัฐบาลอ้าง และนี่คือประเด็นที่เจ้าหน้ารัฐล้มเหลวในการชันสูตรพลิกศพ การที่รัฐบาลปฏิเสธคำร้องของผู้ถูกกล่าวหา แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลพยายามทำลายหลักฐานสำคัญที่จะระบุว่ามือปืนซุ่มยิงทหารได้สังหารประชาชน เพราะเมื่อการชันสูตรเสร็จสิ้นลง ศพเหล่านั้นจะถูกนำไปประกอบพิธีวางเพลิงศพ

เหตุใดจึงพยายามปกปิดผลการชันสูตร?

รัฐบาลได้จับกุมแกนนำเสื้อแดงในข้อหาก่อการร้าย ก่อนที่จะมีการสอบสวนข้อเท็จจริง หากมีข้อเท็จจริงที่จะพิสูจน์ข้อกล่าวหาของรัฐบาลที่ว่า มีกลุ่มหัวรุนแรงในการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง รัฐบาลควรจะสอบสวนและระบุตัวบุคคลดังกล่าวให้แน่ชัด ก่อนที่จะกุมกุมแกนนำเสื้อแดงในข้อหาก่อการร้าย เพราะบุคคลเหล่านั้นเพียงแค่ใช้สิทธิตามกฎหมาย และยังเป็นสิทธิที่รับรองใน ICCPR ในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองเท่านั้น

* มาตรา ๘๑ รัฐต้องดำเนินการตามแนวนโยบายด้านกฎหมายและการยุติธรรม ดังต่อไปนี้ (มีทั้งหมด ๕ ข้อ)  (๒) คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของบุคคลให้พ้นจากการล่วงละเมิด ทั้งโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐและโดยบุคคลอื่น และต้องอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนอย่างเท่าเทียมกัน* มาตรา ๘๒ รัฐต้องปฎิบัติตามสนธิสัญญาด้านสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยเป็นภาคี รวมทั้งตามพันธกรณีที่ได้กระทำไว้กับนานาประเทศและองค์การระหว่างประเทศ* มาตรา ๖ รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้  * มาตรา ๒๖ การใช้อำนาจโดยองค์กรของรัฐทุกองค์กร ต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพ ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้     ในคดีอาญา ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด ก่อนคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทำความผิด จะปฎิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำผิด มิได้

* มาตรา ๔๐ บุคคลย่อมมีสิทธิในกระบวนการยุติธรรม


แกนนำเสื้อแดงถูกปฏิเสธสิทธิในการเข้ารับฟังการพิจารณาคดีของตนเอง ในวันที่ 27 สิงหาคม แกนนำเสื้อแดงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ารับฟังการแจ้งข้อหาอย่างเป็นทางการ พร้อมทั้งชี้แจ้งและแก้ต่างข้อหาเหล่านั้น นอกจากนี้ ศาลยังได้กล่าวว่า ผู้ถูกกล่าวหาเหล่านี้จะไม่ได้รับอนุญาตในเข้าฟังการพิจารณาคดีครั้งต่อไป ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดบทบัญญัติใน ICCPR ที่ประกันความยุติธรรมในการพิจารณาคดี เพราะการกีดกันไม่ให้ผู้ถูกกล่าวหามีโอกาสที่จะสื่อสารกับทนายของคนเองในประเด็นที่เกี่ยวกับ ข้อหา/ข้อเท็จจริง/ข้อกล่าวหา และยังส่งผลต่อความสามารถในการตระเตรียมข้อแก้ต่างให้กับตนเองอีกด้วย เหตุผลที่พวกเขาถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าฟังการพิจารณาคดีคือ ห้องพิจารณามีขนาดคับแคบเกินไป อันแสดงให้เห็นถึงความไร้สาระของรัฐบาลนี้ในการจัดการกับคดีดังกล่าว (มีที่นั่ง 3 ที่นั่ง สำหรับทนายทั้ง 19 คน ในการพิจารณาคดีวันที่ 27 สิงหาคม) ครอบครัวของผู้ถูกกล่าวหายังถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าร่วมรับฟังการพิจารณาคดีเช่นกัน ในขณะที่คำร้องขอให้พิจารณาคดีในห้องพิจารณาคดีที่มีขนาดใหญ่ขึ้นถูกปฏิเสธ

เมื่อพิจารณาจุดยืนของรัฐบาลอภิสิทธิ์ในคดีนี้จะพบว่า แทนที่จะแสดงข้อมูลที่สนับสนุนข้อกล่าวอ้างของตน รัฐบาลกลับพยายามอย่างมากที่จะปัดความรับผิดชอบต่อประชาคมโลก ข้อเท็จจริงคือ มีฝ่ายหนึ่งที่สนใจให้มีการนำเสนอข้อมูล หลักฐาน การสอบสวนและดำเนินคดีอย่างเปิดเผย และอีกฝ่ายที่กล่าวตนเองเท่านั้นที่มีสิทธิขาดในการพิจารณาตรวจสอบคดี โดยสรุป เรายินดีที่จะพิสูจน์หลักฐานที่ระบุว่ารัฐบาลกระทำความผิดจริงอย่างเปิดเผยในศาลยุติธรรม

จนถึงทุกวันนี้ พันเอกสรรเสริญ นายเทพไท และนายอภิสิทธิ์ รวมถึงบุคคลอื่นๆ ไม่ได้แสดงความมั่นใจต่อจุดยืนของตนเอง แต่กลับพยายามแสดงพฤติกรรมหลีกเลี่ยงความผิดของตนเอง

หลังเหตุการณ์ 19 พฤษภาคม ผ่านพ้นไปและดูท่าทีรัฐบาลอภิสิทธิยังกอดอำนาจแน่น จึงมีกลุ่มผู้รอบรู้ทางกฏหมายและการสืบสวนสอบสวน

ได้ ลงมือรวบรวมพยานหลักฐานอย่างละัเอียด เป็นขั้นเป็นตอน น่าเชื่อถือ เก็บพยานวัตถุ สอบปากคำพยานบุคคลที่รู้เห็นเหตุการณ์เป็นจำนวนมาก สอบกันแบบมืออาชีพ

สำคัญที่สุดผลการตรวจพิสูจน์ผู้เสียชีวิต เท่าที่สามารถรวบรวมได้ โดยผลการตรวจพิสูจน์ทางนิติเวช ยืนยันได้ว่า ส่วนใหญ่ผู้เสียชีวิตถูกกระสุนเข้าที่ศรีษะ

นั่นหมายความว่า คนตายจำนวนมากถูกยิงจากที่สูง ไม่ใช่ยิงในแนวระนาบ

เหมือน กรณี 6 ศพในวัดปทุมวนาราม ซึ่งมีการตรวจพบรอยกระสุนยิงลงบนพื้นซีเมนต์จนเป็นรูเต็มไปหมด ซึ่งเป็นไปไม่ได้ว่าจะยิงจากแนวราบ ต้องยิงจากที่สูงทั้งนั้น

ขณะที่มีภาพถ่าย คลิปวีดีโอ ละเอียดทุกมุม เห็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ พร้อมอาวุธยืนเล็งปืนอยู่เต็มรางรถไฟฟ้าบีทีเอส หน้าวัดปทุมนั่นเอง

ทีม นักกฏหมายและผู้รอบรู้ด้านการสืบสวนสอบสวนในไทยได้ลงมือรวบรวมพยาน หลักฐานเหล่านี้มาระยะหนึ่งแล้ว ก่อนประสานกับนายโรเบิรต์ อัมสเตอร์ดัม เพื่อนำไปประกอบการฟ้องร้องต่อศาลในต่างประเทศ

อย่งน้อยก็ไม่ใช่การฟ้องร้องอย่างเลื่อนลอย

หาก แต่แนบพยานหลักฐาน รวมทั้งผลการตรวจพิสูจน์ศพ การตรวจที่เกิดเหตุ ที่รวบรวมอย่างเป็นระบบและหนาแน่นน่าเชื่อถือ พร้อม ๆ กับการยื่นฟ้องร้องด้วย

อย่างว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นในกลางเมืองหลวง ต่อหน้าต่อตาประชาชนมากมาย ในยุคที่อุปกรณ์ไฮเทคมีอยู่ทุกครัวเรือน

ดังนั้นการบันทึกพยานหลักฐานในเหตุการณ์ดังกล่าว จึงยุบยั่บไปหมด

ขณะ เดียวกันนักกฏหมายและผู้เชี่ยวชาญด้้านสืบสวนสอบสวนจำนวนมาก ก็ไม่สามารถทนดูการเข่นฆ่ากันกลางเมืองโดยคำสั่งอันผิดพลาดของรัฐบาลได้

จึงมีการแอบลงมือรวมรวมเป็นรูปคดีสมบูรณ์แบบ เพื่อประสานกับทนายความระดับสากล ในการนำคดีนี้ไปพิสูจน์ในศาลระหว่างประเทศ



...นอกจากนี้ ศาลยังได้กล่าวว่า ผู้ถูกกล่าวหาเหล่านี้จะไม่ได้รับอนุญาตในเข้าฟังการพิจารณาคดีครั้งต่อไป ...

ศาลไทยน่าจะพิจารณาจาก ป.วิอาญา ลักษณะ 2 การพิจาณา ม.172 และ ม.172 ทวิ

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ในม.172 ทวิ (2)หรือ(3) ซึ่งหมายถึงกรณีที่คดีมีจำเลยจำนวนหลายคน จำเลยยังคงสิทธิที่จะรับการพิจารณาและสืบพยานต่อหน้า หากการจำกัดสิทธิของจำเลยตามมาตราดังกล่าว ก่อให้เกิดความเสียหายต่อจำเลย

ทั้งนี้ เจตนาของมาตรานี้ก็คือ ห้ามมิให้ศาลรับฟังการพิจาณาสืบพยานที่กระทำลับหลังและเป็นโทษหรือมีผลเสียหายกับจำเลย

นอกจากนี้ ม.172 ทวิ (1) กำหนดให้การพิจารณาสืบพยานสามารถทำลับหลังจำเลยได้หากทนายจำเลยและตัวจำเลยให้ความยินยอม  และจะต้องเป็นความผิดที่มีอัตราโทษสูงสุดไม่เกิน 10 ปี

แต่ในกรณีแกนนำเสื้อแดง ที่ถูกดำเนินคดีในข้อหาก่อการร้ายนั้น อัตราโทษสูงสุดถึงประหารชีวิตดังนั้น การพิจารณาสืบพยาน จะกระทำลับหลังจำเลยไม่ได้เด็ดขาด


ส่วนที่ ๔

สิทธิในกระบวนการยุติธรรม

*****************


มาตรา ๓๙   บุคคลไม่ต้องรับโทษทางอาญา เว้นแต่ได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระทำนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ และโทษที่จะลงแก่บุคคลนั้นจะหนักกว่าโทษที่กำหนดไว้ในกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระทำความผิดมิได้

ในคดีอาญา ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด ก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทำความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้

มาตรา ๔๐  บุคคลย่อมมีสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ดังต่อไปนี้

(๑)    สิทธิเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยง่าย สะดวก รวดเร็ว และทั่วถึง(๒)    สิทธิพื้นฐานในกระบวนการพิจารณา ซึ่งอย่างน้อยต้องมีหลักประกันขั้นพื้นฐานเรื่องการได้รับ      การพิจารณาโดยเปิดเผย การได้รับทราบข้อเท็จจริงและตรวจเอกสารอย่างเพียงพอ การเสนอข้อเท็จจริง ข้อโต้แย้ง และพยานหลักฐานของตน การคัดค้านผู้พิพากษาหรือตุลาการ การได้รับการพิจารณาโดยผู้พิพากษาหรือตุลาการที่นั่งพิจารณาคดีครบองค์คณะ และการได้รับทราบเหตุผลประกอบคำวินิจฉัย คำพิพากษา หรือคำสั่ง(๓)    บุคคลย่อมมีสิทธิที่จะให้คดีของตนได้รับการพิจารณาอย่างถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม(๔)    ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา โจทย์ จำเลย คู่กรณี ผู้มีส่วนได้เสีย หรือพยานในคดี มีสิทธิได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสมในการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งสิทธิในการได้รับการสอบสวนอย่างถูกต้อง รวดเร็ว เป็นธรรม และการไม่ให้ถ้อยคำเป็นปฏิปักษ์แก่ตนเอง(๕)    ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา จำเลย และพยานในคดีอาญา มีสิทธิได้รับการรับความคุ้มครอง และความช่วยเหลือที่จำเป็นและเหมาะสมจากรัฐ ส่วนค่าตอบแทน ค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายที่จำเป็น ให้เป็นไปตามกฎหมายบัญญัติ(๖)    เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ หรือผู้พิการ หรือผู้ทุพพลภาพ ย่อมมีสิทธิได้รับการคุ้มครองในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีอย่างเหมาะสม และย่อมมีสิทธิได้รับการปฎิบัติที่เหมาะสมในคดีที่เกี่ยวกับความรุนแรงทางเพศ(๗)    ในคดีอาญา ผู้ต้องหาหรือจำเลยมีสิทธิได้รับการสอบสวนหรือการพิจารณาคดีที่ถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม โอกาสในการต่อสู้คดีอย่างเพียงพอ การตรวจสอบหรือได้รับทราบพยานหลักฐานตามสมควร การได้รับความช่วยเหลือในทางคดีจากทนายความ และการได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว (๘)    ในคดีแพ่ง บุคคลมีสิทธิได้รับการช่วยเหลือทางกฎหมายอย่างเหมาะสมจากรัฐ


หมายเหตุ > รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐



รายชื่อที่อัมสเตอร์ดัมสั่งฟ้องมีกี่คนจำไม่ได้จำได้แค่ว่าเป็นคณะกรรมการใน ศอฉ.ทั้งหมด

โดยเริ่มตั้งแต่ม้ากในฐานะหัวหน้ารัฐบาลเทือก ผอ. ศอฉ. แม่ทัพทั้ง 4 เหล่าทัพนายธาริต ผอ.ดีเอสไอ นอกนั้นจำไม่ได้

แต่น่าเสียดายตรงที่ว่าคนสั่งฆ่าตัวจริงซึ่งเราก็ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร รู้แค่ว่าคนเสื้อแดงเรียกคนพวกนั้นว่า **ไอ้เฮี่ยสั่งฆ่า**มีชื่ออยู่บัญชีที่ถูกฟ้องด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้

สิ่งที่สงสัยและยังไม่มีใครตอบได้คือ

1...ตอนนี้ศาลโลกรับฟ้องแล้วใช่หรือไม่ถึงได้บรรจุเรื่องนี้เป็นวาระแรก

2...ถ้าคนที่มีรายชื่อถูกฟ้องครั้งนี้ไม่ยอมไปขึ้นศาลโลก จะทำอย่างไรศาลโลกมีมาตรการอะไรบ้างที่จะบังคับหรือทำให้คนพวกนี้ไปขึ้นศาลให้จงได้

ขอบคุณข้อมูล โดย :d-day ตาสว่าง และ Thai Free News 

**************************************************

ตุ๊กแกเรียกพี่? “บุญจง”เหนื่อย!!


‘มาร์ค-เทือก’... สามวาสองศอก
แม้ว่า คำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ในเรื่องการถือหุ้นของ ส.ส. และ ส.ว. ที่สุดท้ายมีผู้ที่ถูกเชือดแค่หยิบมือเดียว

เพราะคำวินิจฉัยให้ ส.ส. 6 รายพ้นสมาชิกภาพ ประกอบด้วย 1. นายสมเกียรติ ฉันทวานิช ส.ส. กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ 2. นายเกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคชาติไทยพัฒนา และ รมช.คมนาคม 3. นางมลิวัลย์ ธัญญสกุลกิจ ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อแผ่นดิน 4. ม.ร.ว.กิติวัฒนา ไชยันต์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อแผ่นดิน 5. นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ ส.ส.นครราชสีมา พรรคภูมิใจไทย และ รมช.มหาดไทย และ 6. ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช ส.ส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย
เนื่องจากขณะถือครองหุ้นทั้งหมดมีสถานะเป็น ส.ส. แล้ว

ส่วน 22 ส.ส.-16 ส.ว. โล่งอกเก้าอี้ยังอยู่เพราะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ระบุว่าการถือหุ้นมาก่อนได้รับตำแหน่ง จะต้องถือว่าไม่ผิดกติกา

ดูแล้วก็ไม่น่ามีอะไร 6 ส.ส.ที่พ้นสภาพก็แค่มาลงเลือกตั้งใหม่ก็จบ เพราะไม่มีบทลงโทษอย่างอื่น ไม่มีการตัดสิทธิ์

แต่ปัญหาที่ไม่น่ามีก็ยังมีจนได้ เมื่อนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ ส.ส.นครราชสีมา พรรคภูมิใจไทย และ นายเกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคชาติไทยพัฒนา นั้นมีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีอยู่ด้วย
หากลงสมัครเลือกตั้งทั้งๆที่ยังเป็นรัฐมนตรีอยู่ ไม่ว่ามองอย่างไรก็ไม่งามแน่ เพราะคนเป็นรัฐมนตรี ไว่าอย่างไรก็มีอำนาจบริหารอยู่ในมือ มีผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งกระทรวง ที่สำคัญมีงบราชการอยู่ในมือด้วย
มองมุมไหนก็ต้องได้เปรียบคู่แข่งขันในสนามเลือกตั้งแน่นอน กระแสสังคมจึงเห็นว่าสมควรที่ทั้งคู่จะต้องลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีเสียก่อน แล้วจึงค่อยไปลงสมัครรับเลือกตั้ง

ซึ่งก็ไม่น่าจะมีอะไร เพราะนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ต้องลาออกมาก่อนที่จะลงเลือกตั้งซ่อมที่สุราษฎร์ธานีมาแล้วเช่นกัน

แต่ที่เป็นเรื่องก็เพราะ ดันมีกองเชียร์ กองหนุน มากระชุ่นว่านายบุญจงไม่จำเป็นต้องลาออกจากการเป็นรัฐมนตรีก็ได้ เพราะกฎหมายไม่ได้บังคับไว้

งานนี้แม้ว่านายบุญจงจะยังไม่ตัดสินใจว่าจะทำตามคำแนะนำที่ว่าหรือไม่ แต่ที่แน่ๆคำถามเรื่อง “จริยธรรม”ดังกระฉ่อน ไปแล้ว

โดนกันระนาว ไล่ตั้งแต่นายบุญจง ไปยันผู้ใหญ่ในพรรคภูมิใจไทย และแน่นอนว่าลามไปถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะนายกรัฐมนตรีด้วยเต็มๆ

อย่างเช่นนายอนุวัฒน์ วิเศษจินดาวัฒน์ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อแผ่นดิน คนสนิท ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี แกนนำพรรคเพื่อแผ่นดิน กล่าวถึงกรณี นายบุญจง อาจจะไม่ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีเพื่อไปลงสมัครเลือกตั้งซ่อม ส.ส.นครราชสีมา เขต 6 ว่า ยิ่งนายบุญจง เกาะเก้าอี้แน่นอย่างนี้ยิ่งถูกคู่แข่งโจมตีง่าย ว่ากลัวจะแพ้เลือกตั้งจึงไม่ยอมลาออก เพราะกลัวว่าจะหลุดทั้ง 2 ตำแหน่ง

เนื่องจากถูกจองกฐินเยอะ ทั้งจากบรรดาผู้รับเหมา ข้าราชการ และผู้นำท้องถิ่น ที่ไม่พอใจการบริหารงาน ถึงแม้จะทุ่มเทงบประมาณลงไปในพื้นที่เยอะ แต่ก็ไม่ได้ใจชาวบ้าน เพราะมีกระแสข่าวเรื่องทุจริตการรับเหมาในโครงการต่างๆหนาหู

ดังนั้นจึงอยากรู้เหมือนกันว่านายกรัฐมนตรี จะตัดสินใจอย่างไร???
เพราะกรณีของนายสุเทพ อดีตรองนายกรัฐมนตรี จะไปลงสมัครเลือกตั้งซ่อม ส.ส.สุราษฎร์ธานี ยังให้ลาออกจากตำแหน่งก่อน ทั้งที่ไม่ได้โดนคำพิพากษาของศาล แต่กรณีนายบุญจงถือว่าขาดคุณสมบัติไปแล้ว นายกฯจะปกป้องคนที่ขาดคุณสมบัติเพื่อเอาใจพรรคร่วมหรือ!!!
ที่สุดจะกลายเป็นอนุสาวรีย์เน่าๆของครม.อภิสิทธิ์ 5 ??

“กระแสในพื้นที่ขณะนี้ไม่ถือว่า นายบุญจง ได้เปรียบ และยิ่งถ้าพรรคเพื่อไทยจับมือกับกลุ่ม 3 พี บวกกับ นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ แกนนำพรรครวมชาติพัฒนา นายบุญจง สาหัสแน่ เพราะการเลือกตั้งทั่วไปที่ผ่านมาก็แพ้ นายมีชัย จิตต์พิพัฒน์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.นครราชสีมา เขต 6 พรรคเพื่อแผ่นดิน ซึ่งขณะนี้ได้ย้ายไปอยู่พรรคเพื่อไทย มาแล้ว ซึ่งอยู่ที่ทางผู้ใหญ่จะได้พูดคุยกันต่อไปว่าจะเอาอย่างไร”นายอนุวัฒน์กล่าว
ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี แกนนำพรรคเพื่อแผ่นดิน กล่าวถึงข้อวิจารณ์ว่ากลุ่มโคราชจับมือกับนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ แกนนำรวมชาติพัฒนา เพื่อคว่ำพรรคภูมิใจไทยในสนามเลือกตั้งซ่อม ส.ส.นครราชสีมา ว่า ในทางการเมืองคงจะฮั้วกันไม่ได้ แม้ว่าโดยส่วนตัวอยากให้พื้นที่ จ.นครราชสีมา เกิดความสมานฉันท์ปรองดอง

แต่จะไม่คุยกันในเรื่องแบบนี้ ส่วนการส่งบุคคลลงสมัครรับเลือกตั้งในพื้นที่ต้องขึ้นอยู่กับที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคเพื่อแผ่นดินที่จะมีการประชุมกันในสัปดาห์หน้า

อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาพรรคไม่ได้เตรียมบุคลากรไว้รอเลือกตั้งซ่อม เพราะผู้สมัครเดิมของพรรค ได้ย้ายไปอยู่พรรคเพื่อไทย

นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน กล่าวว่าถึงความคืบหน้าการส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งซ่อมว่า ในวันอังคารที่ 9 พ.ย.นี้จะมีการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อขอมติว่าจะส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งซ่อมกี่เขตและใครบ้าง

ส่วนกระแสข่าวที่ว่าพรรคเพื่อไทย เตรียมขอร้องให้พรรคเพื่อแผ่นดิน งดส่งผู้สมัครนั้น นายชาญชัย กล่าวว่า “ข่าวลือก็คือข่าวลือ ต้องฟังหูไว้หู ทุกอย่างพรรคจะเป็นผู้ตัดสินใจ”

นายนิคม ไวยรัชพาณิช รองประธานวุฒิสภา กล่าวว่าหาก นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย และนายเกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร รมช.คมนาคม ต้องการลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อมส.ส. ก็ควรลาออกจากการเป็นรัฐมนตรี จะปฏิเสธผลประโยชน์ทับซ้อนที่เกิดขึ้นไม่ได้

และเสี่ยงที่จะได้ใบเหลืองหรือใบแดงหากคู่แข่งนำไปเป็นประเด็นร้องเรียนต่อ คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ดังนั้นการลาออกจึงดีที่สุด

หากหลังการเลือกตั้ง ผลปรากฏว่าชนะคู่แข่งแล้วกลับมาเป็นรัฐมนตรีได้ วิธีนี้จะเรียกศรัทธาจากประชาชนให้กับคืนมาสู่พรรคการเมืองได้

ดังนั้นจึงคิดว่าควรยึดมาตรฐานที่นายสุเทพ ทำไว้ เพราะเป็นบรรทัดฐานด้านจริยธรรมของนักการเมือง ที่ประเทศไทยและคนไทยต้องการ

สำหรับมาตรฐานทางจริยธรรมนักการเมือง หลังถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้พ้นส.ส.นั้น ควรจะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้กำหนดบท ลงโทษที่ชัดเจนหรือไม่ นายนิคมมองว่า จะมัวมาแก้รัฐธรรมนูญทำไม อยู่ที่คนปฏิบัตินั้นแหละ

“แม้กฎหมายไม่ได้กำหนด แต่หากนักการเมืองมีจิตสำนึกก็คิดได้เอง ถึงแก้รัฐธรรมนูญไป แต่คนไม่นำไปปฏิบัติ ก็เสียเปล่า”

ในขณะที่นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ยืนกรานว่าเป็นเรื่องที่นายบุญจงจะต้องพิจารณาเองว่าควรที่จะดำเนินการอย่างไร

แต่ในวันที่ 9 พ.ย.นี้ กรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทย จะช่วยกันพิจารณาเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง รวมถึงพิจารณาตัวผู้สมัครด้วย

อย่างไรก็ตามการไม่ลาออกจากตำแหน่งก็ไม่ได้ขัดกับกฎหมาย
ส่วนว่าถ้าจะพูดเรื่องจริยธรรม ก็เป็นเรื่องที่พูดยากและน่าหนักใจแทนนายบุญจง!!!
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ระบุว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้ทำให้เห็นแล้วในกรณีของนายสุเทพ ที่ลาออกไปเมื่อไปลงสมัครรับเลือกตั้ง

ส่วนการที่พรรคภูมิใจไทย อ้างว่าไม่สามารถใช้บรรทัดฐานเดียวกันได้นั้น ยืนยันว่าบรรทัดฐานการเมืองควรจะเป็นบรรทัดฐานเดียวกัน

และจะไปเทียบเคียงกับเวลาที่เป็นการยุบสภาคงไม่ได้เพราะเวลาที่ยุบสภาที่เป็นลักษณะของการรักษาการ คือโดยสภาพตามธรรมชาติและก็มีบทบัญญัติรองรับไว้ไม่ให้ฝ่ายการเมืองมีอำนาจเต็มที่ เพราะ กกต.จะต้องเข้ามาดูเรื่องงบประมาณ การโยกย้ายและการแต่งตั้ง

ส่วนที่ว่าแม้นายกฯส่งสัญญาณมาอย่างนี้ แต่ถ้าพรรคภูมิใจไทย ตอบกลับไม่ตรงกับสัญญาณที่ให้ไปจะทำอย่างไรนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อย่าเพิ่งไปสมมุติ เพราะได้มอบให้นายสุเทพไปคุยอยู่ บอกไปเมื่อวันที่ 4 พ.ย.ซึ่งนายสุเทพบอกว่าจะไปคุยให้เร็วที่สุด

ปัญหาก็เลยกลายมาเป็นประเด็นงานเข้าที่นายสุเทพไปในทันที
เพราะนายสุเทพ ได้มีการให้สัมภาษณ์ว่ากรณีของนายบุญจง กับ นายเกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร รมช.คมนาคม ไม่มีรัฐธรรมนูญกำหนด

พูดง่ายๆก็คือพูดอ้างในลักษณะที่สอดคล้องเป็นปี่เป็นขลุ่ยเหมือนกับพรรคภูมิใจไทย นั่นคือรัฐมนตรีรักษาการยังลงสมัครได้โดยไม่ต้องลาออก

เมื่อถูกจี้ในเรื่องนี้นายอภิสิทธิ์ ก็ยืนยันว่าได้คุยกับนายสุเทพแล้ว นายสุเทพอ้างว่าไม่ได้พูดอย่างที่เป็นข่าว

“ท่านบอกผมไม่ได้พูดอย่างนั้นหรอก”
เลยเจรายการยืนยันว่านายสุเทพให้สัมภาษณ์แบบนั้นจริงๆ แต่นายอภิสิทธิ์ ก็ยังคงยืนกรานว่า
“ก็ท่านบอกผมว่าท่านไม่ได้พูดอย่างนั้น”

งานนี้ได้เห็นอาการที่ออกมาแล้ว บอกได้แค่ว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์คลอนแคลนเต็มที ไม่เช่นนั้นคงไม่ปล่อยให้เกิดภาพเช่นนี้หลุดออกมาแน่

ที่มา.บางกอกทูเดย์
**************************************************

‘แม้ว-สนั่น’คุยเงียบไม่มีข่าวดีจากนอร์เวย์

“สนั่น” กลับถึงไทยวันนี้ (8 พ.ย.) ยังไม่มีคำชี้แจงรายละเอียดหารือกับ “ทักษิณ” ที่นอร์เวย์ “อภิสิทธิ์” ยังไม่แน่ใจว่าได้พบกันหรือไม่ เผยรองนายกฯยืนยันไม่มีเงื่อนไขเรื่องนิรโทษกรรมไปต่อรอง แต่จะพยายามดึงให้อดีตนายกฯกลับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของไทย ส.ส.ประชาธิปัตย์ระบุเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะคุยกันดีกว่าด่ากันไปมา ชี้ปัญหาเกิดจาก 2 ฝ่ายมองคนละมุม

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี ผู้ประสานงานสร้างความปรองดอง เดินทางไปประเทศนอร์เวย์เพื่อพบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่ายังไม่ทราบว่าไปพบกันหรือไม่ อย่างไร หากพบพบในลักษณะใด

“เรื่องนี้มีคนเพียง 3 คนที่ออกมาพูด หากอยากทราบรายละเอียดต้องไปถาม พล.ต.สนั่นเอง” นายอภิสิทธิ์กล่าว

ส่วนเรื่องความเหมาะสมที่รองนายกรัฐมนตรีเดินทางไปพบกับผู้ต้องหาที่ทางการต้องการตัวนั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เคยคุยเรื่องนี้กับ พล.ต.สนั่นแล้ว ซึ่ง พล.ต.สนั่นบอกว่าหากไปพบจะคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณว่าจะกลับเข้ามาสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างไร ส่วนเรื่องการนิรโทษกรรมนั้น เท่าที่ พล.ต.สนั่นเล่าให้ฟังทราบว่าการเดินทางไปพบกับแกนนำเสื้อแดงและกลุ่มอื่นๆก่อนหน้านี้ไม่ได้พูดกันเรื่องนิรโทษกรรมและไม่มีเงื่อนไขลักษณะนี้เลย พูดกันแต่ว่าจะทำอย่างไรให้ทุกฝ่ายหยุดความขัดแย้งและไม่ใช้ความรุนแรงเท่านั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การพบกันของ พ.ต.ท.ทักษิณและ พล.ต.สนั่นที่ประเทศนอร์เวย์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 พ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งทั้ง 2 คนไปร่วมพิธีรับมอบพระไตรปิฎกโบราณ โดย พ.ต.ท.ทักษิณได้รับเชิญจากเจ้าอาวาสวัด ขณะที่ พล.ต.สนั่นเป็นตัวแทนรัฐบาลไทย แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีรายงานข่าวออกมาว่าทั้ง 2 คนหารือกันเรื่องอะไร และผลของการหารือเป็นอย่างไร

นายเจริญ คันธวงศ์ ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การพบกันระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณกับ พล.ต.สนั่นเป็นเรื่องที่ดี แต่การปรองดองจะเกิดขึ้นหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

“ขึ้นอยู่กับ พ.ต.ท.ทักษิณว่าจะมีความจริงใจแค่ไหน แต่หวังว่า พล.ต.สนั่นจะประสบความสำเร็จในการเจรจา” นายเจริญกล่าวพร้อมย้ำว่า การพูดคุยเป็นการเริ่มต้นที่ดี เพราะดีกว่าด่ากันไปมา

ผู้สื่อข่าวถามว่านายกรัฐมนตรีและรัฐบาลต้องยอมรับข้อตกลงระหว่าง พล.ต.สนั่นกับ พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่ นายเจริญกล่าวว่า พล.ต.สนั่นทำในนามส่วนตัวด้วยความหวังดีกับบ้านเมือง ปัญหาของบ้านเราคือมองกันคนละมุม อีกฝ่ายบอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณคือตัวปัญหา ขณะที่อีกฝ่ายก็มองว่า พ.ต.ท.ทักษิณถูกกลั่นแกล้ง ส่วนตัวเห็นว่าทางออกในการสร้างความปรองดองคือทำตามกรอบของกฎหมายดีที่สุด

ส่วนที่พรรคเพื่อไทยบอกว่าการยุบสภาจะช่วยสร้างความปรองดองได้นั้น นายเจริญกล่าวว่า ไม่ได้แก้ปัญหา เพราะหากไปหาเสียงแล้วโดนไล่ทุบจะยิ่งบานปลายไปกันใหญ่ ตามหลักการแล้วพรรคประชาธิปัตย์ยังสามารถเป็นรัฐบาลต่อได้ถึงปีหน้า เรื่องการยุบสภาจึงยังไม่ได้พูดถึงในขณะนี้

นายวัชระ กรรณิการ์ โฆษกพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า อยากให้รอฟังการชี้แจงการ พล.ต.สนั่นที่จะเดินทางกลับมาถึงประเทศไทยวันที่ 8 พ.ย. นี้ เวลา 06.00 น.

“ที่ผ่านมา พล.ต.สนั่นไปคุยกับทุกสีทุกกลุ่มมาแล้ว ผมเชื่อว่าท่านมีเจตนาที่บริสุทธิ์และสามารถชี้แจงเรื่องทั้งหมดได้”


ที่มา:หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

**********************************************************************

เปิดใจผ่านลูกกรง-กุญแจมือ สุชาติ นาคบางไทร ผู้ต้องหาคนล่าสุด "คดีหมิ่น-ม.112"

สัมภาษณ์พิเศษ
ช่วงสายของวันที่ 1 พ.ย. 2553 ข่าวสำคัญอีก 1 ข่าวสำหรับ คอการเมือง คือตำรวจกองปราบปรามรวบตัว นายวราวุฒิ ฐานังกรณ์ หรือ สุชาติ นาคบางไทร ผู้ต้องหาคดี หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ผู้ปราศรัย บนเวทีสนามหลวงของฝ่ายแดง เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2551

โดยการปราศรัยครั้งนั้น มีเนื้อหาที่ถึงขนาดทำให้นักการเมืองหลังเวทีไฮด์ปาร์ก รีบสตาร์ตรถเผ่นหนีออกจากจุดชุมนุม แทบไม่ทัน เพราะทุกคนที่เติบโตใน สังคมไทยย่อมเข้าใจว่า เนื้อหาเช่นนั้น เข้าข่ายผิดกฎหมายอย่างแน่นอน

วราวุฒิ หรือสุชาติ เป็น 1 ในกลุ่มคนจากโลกไซเบอร์สเปซ ที่นัดหมายกันปรากฏตัว ณ สนามหลวง เพื่อต้านรัฐประหาร 2549 ในนามกลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ ก่อนที่นักการเมืองจะจัดตั้ง PTV ขึ้นมาใช้เฉพาะกิจแล้ว ยกเลิกไป เมื่อหมดประโยชน์

ต่อมากลุ่มคนวันเสาร์ฯแตกตัวเป็น คลับทักษิณ, นิวสกายไทยแลนด์ และสุดท้ายคือกลุ่มมดคันไฟ

การจับกุมตัวขณะที่วราวุฒิ นัดหมาย กินข้าวกับลูกสาว ในห้างย่านประตูน้ำ ครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่เขาไม่ปรากฏ ตัวมาเป็นเวลา 2 ปี

เช้าวันที่ 2 พ.ย. 2553 หลังนอนคุก โรงพักคืนแรกและคืนเดียว ณ ห้องขัง ของสถานีตำรวจนครบาลชนะสงคราม เจ้าของพื้นที่สนามหลวง จุดเกิดเหตุ...

อดีตนักไฮด์ปาร์กผู้เปลี่ยนฐานะเป็นจำเลยในข้อหาฉกรรจ์ เขาเปิดใจสนทนา ขณะที่ถูกพันธนาการกุญแจมือ ก่อนถูกนำขึ้นรถตำรวจไปยังห้องฝากขังของศาลอาญา และนำตัวไปยังเรือนจำ

ผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพบอกว่า "ผมปฏิเสธให้สัมภาษณ์นักข่าวหลายคน เนื่องจากไม่อยากให้ใครสนใจ ผมไม่ได้ต้องการเป็นข่าว ไม่อยากดัง ไม่อยากจะมีสื่อที่ไม่เข้าใจเจตนาของ ผมมาทำข่าว เพราะมันจะยุ่งยากและ ทำให้ครอบครัวของผมวุ่นวาย เพราะฉะนั้นผมมีความรู้สึกว่า ควรจะ ซอฟต์ ๆ และจบลง ดี ๆ..."

ก่อนการตั้งคำถามเรื่องอนาคตหลังลูกกรง เขาบอกสถานภาพของเขาชัดเจน ไม่มีเป้าหมายเป็นนักการเมือง ไม่ได้เป็น นปช. และไม่เกี่ยวข้องกับ "ทักษิณ"

- มีแนวทางในการต่อสู้คดีอย่างไร

รับสารภาพ เพื่อให้โทษลดลงครึ่งหนึ่ง และหากทำความดี โทษก็จะเหลือน้อยลง

- ได้ติดต่อกับแกนนำเสื้อแดง นปช. ที่อยู่ทั้งในคุกและนอกคุกหรือไม่

ผมเป็นคนละกลุ่มกับพวกเขา ...ไม่มีใครเอาผม ผมไม่ได้มีค่าอะไรสำหรับพวกเขา ...ผมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ไม่ได้ต่อสู้เพื่อเลือกตั้ง

- การต่อสู้ที่ผ่านมา ทำเพื่อคุณทักษิณ ชินวัตร หรือไม่

ไม่เกี่ยวข้อง

- มองคุณทักษิณอย่างไร

เป็นเหยื่อ...

- ที่ผ่านมาได้รับการติดต่อจากนักการเมือง หรือพรรคการเมืองหรือไม่

ไม่มีใครติดต่อผม และผมไม่ติดต่อใคร ผมอยู่คนเดียวมาตลอด

- เหตุผลที่ไม่แก้ต่างในคดี แต่เลือกวิธีรับสารภาพเพราะอะไร

เป็นวิธีที่ดีที่สุด...ผมเห็นแนวทางที่ คุณสุวิชา ท่าค้อ และแม่หมอ (นางบุญยืน ประเสริฐยิ่ง) ปฏิบัติแล้ว เห็นว่าเป็นแนว ทางที่ดี ติดคุกประมาณ 2 ปี หรือไม่ถึง 2 ปี ...คิดว่าอยากไปช่วยครอบครัว เพราะฉะนั้นสรุปคือ เรายอมรับผิดดีกว่า...สั้น ง่าย สะดวก แล้วเราก็มาทำมาหากินเพื่อครอบครัว อันนี้น่าจะเป็นทางตรง เราอยู่...เราก็ไม่ใช่คนของใคร เราไม่ได้ทำงานเพื่อใคร ไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะต้องไปลำบาก นี่เป็นเหตุผลที่แท้จริง และอีกอย่างหนึ่ง สิ่งที่เราพูด ที่เราทำ ถูกบันทึกวิดีโอไว้หมดแล้ว มันไปเปลี่ยนก็ไม่ได้ จะบอกว่าไม่พูด เป็นไปไม่ได้ ก็รับสารภาพไป

แล้วผมเชื่อว่าศาลก็คงจะพิจารณาไปตามรูปคดีที่เกิดจริง ผมเชื่อตรงนั้นนะ ไม่งั้นผมจะเข้ามาทำไม ถ้าเข้ามาแล้วไม่ เชื่อก็... จริง ๆ ผมจะไม่ถูกจับก็ได้ ถ้าพูดตรง ๆ แต่ผมเลือกนะ อันนี้ผมพูดอีกครั้ง...โอเค ตำรวจเก่ง อันนี้ต้องยอมรับ... แต่อีกส่วนหนึ่งเราก็มาดูแลครอบครัว พอครอบครัวเราเข้าที่เข้าทางแล้ว เราก็รู้สึกว่าเราน่าจะถึงเวลาแล้ว เราก็เริ่มลดความเคร่งครัดของตัวเองลง เมื่อเริ่มลดความเคร่งครัดของตัวเองลง ก็ไม่ยาก ที่จะถูกจับได้

- ถ้าพ้นโทษแล้วจะกลับมาเคลื่อนไหวทางการเมืองอีกหรือไม่

ผมไม่เรียกว่าเคลื่อนไหวนะ ผมคงไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง เพราะว่าการเมืองกับผมก็ไม่ได้เกี่ยวกันเลยนะ ตั้งแต่ในอดีตจนมาถึงวันนี้ ผมก็ไม่ได้เรียกว่าเคลื่อนไหวเพื่อการเมือง

- สิ่งที่ทำนั้นเพื่ออะไร

เพื่อประเทศชาติ ประชาชน และเพื่อตัวผมเอง ไม่ได้เพื่อการเมืองของใคร ผมไม่ได้อยากเป็นนักการเมือง ผมไม่ได้อยากเป็น ส.ส. ผมไม่ได้อยากเป็นนายกฯ ผมอยากทำหน้าที่ต่อครอบครัว ดูแลครอบครัวผม... แต่เมื่อเราเห็นความไม่ถูกต้อง เราก็ออกมาแสดงความคิดเห็น แต่เมื่อเราทำแล้ว เราสรุปว่าเราทำไม่ได้ ในฐานะประชาชน เราทำมากไปกว่านี้ ไม่ได้หรอก

- ก่อนหน้านี้เคยลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.

สิ่งที่ผมจะบอกก็คือ เราทำมาหมดแล้ว ที่ประชาชนคนหนึ่ง มือเปล่า ตัวคนเดียว จะทำได้ นอกจากนี้ก็เป็นหน้าที่ของคนอื่นแล้ว

ทางสุดท้าย ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง บวก ลบ คูณ หารแล้ว ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้ มีแต่เสีย เราไม่ได้สู้เพื่อเสีย เราไม่ได้เคลื่อนไหวเพื่อตาย เราไม่ได้อยากเป็นวีรชน เราไม่ได้อยากเป็นวีรบุรุษ... เหมือนอย่างเราเจอผัวเมียตีกัน อย่างน้อยเราก็แค่ห้ามไม่ให้ตีกัน พอเขาไม่ตีกันแล้วเราก็ จากไป เขาอาจจะมาตีกันอีกเรื่องของเขา แต่เราได้ทำหน้าที่ ณ เวลานั้นแล้วว่า เราเห็นมันไม่ถูกต้อง แต่เราคงไปห้ามเขาไม่ให้ตีกันตลอด เป็นไปไม่ได้หรอก เขาเป็นผัวเมียกัน เดี๋ยวเขาก็กลับมาตีกัน

- ช่วงที่ผ่านมาอยู่ที่ประเทศกัมพูชาหรือไม่

ไม่ได้อยู่ที่กัมพูชา

- ได้ติดต่อกับคุณจักรภพ เพ็ญแข หรือไม่

ไม่ได้ติดต่อ

- ทราบข่าวหรือไม่ว่าคุณจักรภพ ไปไหนมาไหนอย่างไร

ไม่ทราบ ไม่รู้

- ช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เดินทางมากัมพูชา เคยได้พบปะกันหรือไม่

ไม่ได้พบ คือผมพยายามจะไม่เกี่ยวข้องกับนักการเมือง ทั้งเจตนาเดิม ปัจจุบัน และอนาคต และถ้าจะพูดให้ตรงเลยนะ นักการเมืองเขาก็ไม่ค่อยชอบผมหรอก (หัวเราะ) นี่ก็ต้องพูดตรง ๆ เลย เพราะผมไม่ใช่คนที่สั่งได้ ไม่ใช่คนที่จะมีนาย ไม่พร้อมที่จะเป็นลูกน้องใคร เรียกใครว่านาย เรียกใครว่าท่านแล้วผมทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่วิสัยเลย

ผมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใครหลายคนพยายามจะไปผูกโยงให้ผมเข้าไปเกี่ยวข้อง ทั้งโดยบังเอิญ ทั้งโดยเจตนา อะไรก็แล้วแต่ แต่ถ้าคุยกันตรง ๆ แล้ว เราไม่ต้องการ ผมกล้าพูดว่าเราไม่ต้องการ (การติดต่อ) ในขณะเดียวกัน ผมก็ยืนยันว่า เขา (นักการเมือง) ก็พูดคำเดียวกัน ... เขาก็ไม่ต้องการเราเหมือนกัน เพราะว่า เราไม่ได้ทำงานเพื่อเป้าหมายของคนอื่น (นักการเมือง) แต่เราทำงานเพื่อตัวเรา ประเทศชาติของเรา ส่วนประเทศชาติ ของคนอื่นเขาเป็นยังไง มันคนละภาพ กับของผม มันก็ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับเขา

- มองการเคลื่อนไหวของ นปช. อย่างไร ขณะนี้แกนนำก็อยู่ในคุก

ผมไม่รู้... เขาไม่เคยให้ผมรู้ สรุป ผมให้เกียรติกลุ่มอื่นที่จะทำงาน ใครจะเคลื่อนไหวยังไงเป็นสิทธิของเขา เขารับผิดชอบชีวิตเขา เขาเอาชีวิตมาแลกคุกตะราง แลกกระสุน ก็เป็นสิ่งที่น่าขอบคุณ แต่ เป้าหมายที่แท้จริง วิธีการเป็นยังไง ผมไม่รู้ เพราะฉะนั้นเมื่อไม่รู้ เราก็ไปพูดไม่ได้

- ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ จะปราศรัยอย่างที่พูดในคืนวันที่ 14 ตุลาคม 2551 หรือไม่

คงไม่พูดหรอก เราคงไม่พูดเพื่อจะให้มาติดคุก ไม่พูดแน่...


ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ
***************************************************

โฆษกศาลยุติธรรมแจง ประเทศไทยมีกี่ศาล

หมายเหตุ- นายสิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม เขียนบทความ 'ประเทศไทยมีกี่ศาล' เพื่ออธิบายถึงระบบโครงสร้างของศาล และอำนาจหน้าที่ตามภารกิจที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน

นับแต่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2540 จนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยได้เปลี่ยนจากระบบศาลเดี่ยวมาเป็นระบบศาลคู่

กล่าวคือจากเดิมที่มีเฉพาะศาลสถิตยุติธรรมที่ทำหน้าที่ชี้ขาดตัดสินอรรถคดีทั้งปวง เปลี่ยนมาเป็นมีศาลปกครองและศาลรัฐธรรมนูญเพิ่มขึ้น

ภายใต้ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว แม้แต่ผู้คนที่อยู่ในแวดวงกระบวนการยุติธรรมบางส่วนยังสับสนไขว้เขวเข้าใจไม่ถูกต้อง

จึงไม่แปลกหากประชาชนและสื่อมวลชนบางสาขา จะมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนในระบบการศาลของไทยที่ปฏิรูปใหม่

ดังตัวอย่างเช่น บทความการเมืองหน้า 3 หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ หัวข้อ

"น้ำท่วมกับประชาชนต้องมาก่อน 'ไม่ครบเทอม' สัญญาณ 'อภิสิทธิ์' ย่อหน้าที่ 9 ความว่า 'สถานการณ์ต่อมาคือการต่อสู้ในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ที่มี 'ทางโค้ง' ให้ใจหายใจคว่ำ จากกรณี 'คลิปการสนทนา' ระหว่างทีมกฎหมายของพรรคกับอดีตเลขานุการส่วนตัวประธานศาลฎีกา..."

ผู้เขียนเชื่อว่า บทความข้างต้นคงมุ่งหมายถึงเหตุการณ์ในคลิปภาพและเสียงการสนทนาระหว่างเลขานุการส่วนตัวของประธานศาลรัฐธรรมนูญ กับสมาชิกสภาผู้แทนพรรคประชาธิปัตย์ที่กำลังตกเป็นข่าวตามสื่อในขณะนี้มากกว่า

เนื่องจากคดียุบพรรคประชาธิปัตย์กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ และประธานศาลรัฐธรรมนูญสามารถแต่งตั้งเลขานุการส่วนตัวได้ตามระเบียบศาลรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการแต่งตั้งเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2551

ส่วนประธานศาลฎีกาซึ่งเป็นประมุขสูงสุดของศาลยุติธรรม ไม่มีตำแหน่งเลขานุการส่วนตัวเช่นศาลรัฐธรรมนูญ

ดังนั้น เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจระบบศาลในประเทศไทยโดยไม่ผิดหลง ผู้เขียนจึงอาสาขออรรถาธิบายขยายความ คำว่าระบบศาลคู่ในประเทศไทย ดังนี้

1. ศาลยุติธรรม ก่อตั้งขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2425

มีอำนาจพิจารณาพิพากษาอรรถคดีทั้งปวงตามที่กฎหมายบัญญัติ เช่น คดีแพ่ง คดีอาญา คดีเยาวชนและครอบครัว คดีล้มละลาย คดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ คดีภาษีอากร คดีเลือกตั้ง คดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา เป็นต้น

มีนายสบโชค สุขารมณ์ เป็นประธานศาลฎีกา นายวรวุฒิ ทวาทศิน เป็นเลขาธิการประธานศาลฎีกา และนายเชวง ชูศิริ เป็นเลขานุการศาลฎีกา

โดยไม่มีตำแหน่งเลขานุการส่วนตัวประธานศาลฎีกา

2. ศาลปกครอง จัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองพ.ศ. 2542 เปิดทำการเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2544

มี 2 ชั้นศาล คือ ศาลปกครองสูงสุดและศาลปกครองกลาง

มีอำนาจหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดีปกครองโดยเฉพาะอันไม่อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรมหรือศาลอื่น

คดีที่เกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือ/เจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามกฎหมายให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร

หรือคดีเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ฯลฯ เป็นต้น

มีนายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล เป็นประธานศาลปกครองสูงสุด

3. ศาลรัฐธรรมนูญ จัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 เริ่มเปิดทำการเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2543

ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีทั้งหมด 9 คน

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 กำหนดอำนาจหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญไว้หลายประการ

เช่น การวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายที่ประกาศใช้บังคับแล้วมิให้ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือกรรมาธิการ กระทำการใดเพื่อให้ตนมีส่วนโดยตรงและโดยอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายหรือไม่

หรือวินิจฉัยมติ หรือข้อบังคับของพรรคการเมือง การพิจารณาอุทธรณ์ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการวินิจฉัยกรณีบุคคลหรือพรรคการเมืองใช้สิทธิและเสรีภาพในทางการเมืองโดยมิชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เป็นต้น

มีนายชัช ชลวร เป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ

และนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ เป็นเลขานุการส่วนตัว ซึ่งปัจจุบันได้พ้นจากตำแหน่งดังกล่าวแล้ว

4. ศาลทหาร เป็นศาลพิเศษที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ.2498

แบ่งได้ 3 ประเภทคือ ศาลทหารในเวลาปกติ ศาลทหารในเวลาไม่ปกติ ศาลอาญาศึก

ศาลทหารปกติมี 3 ชั้นศาลคือ ศาลทหารชั้นต้น ศาลทหารชั้นกลาง (ชั้นอุทธรณ์) และศาลทหารชั้นสูงสุด (ชั้นฎีกา)

"มีอำนาจพิจารณาพิพากษาลงโทษผู้กระทำผิดอาญาซึ่งเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารในขณะกระทำผิด...."

เช่น ทหารประจำการ ทหารกองประจำการ (ทหารเกณฑ์หรือที่สมัครเข้ากองประจำการเพราะกฎหมายบังคับให้ต้องเป็นทหาร)

ส่วนคดีที่ไม่อยู่ในอำนาจศาลทหาร เช่น คดีที่เกี่ยวพันกับคดีที่อยู่ในอำนาจศาลพลเรือน เช่น ทหารกระทำผิดอาญาร่วมกับพลเรือน คดีที่ต้องดำเนินการในศาลเยาวชนและครอบครัว เนื่องจากอายุของผู้กระทำความผิด เป็นต้น

ที่กล่าวมาทั้งหมด คือ ระบบศาลคู่ในประเทศไทยโดยสังเขป ตามที่กำหนดในกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง

แม้ผู้เขียนจะระบุอำนาจหน้าที่ตามภารกิจทั้งหมด หรือระบบโครงสร้างของศาลแต่ละศาลไม่ครบถ้วนกระบวนความก็ตาม แต่ก็พอทำให้ท่านผู้อ่านรู้จักประเภทของศาลและระบบศาลคู่ในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น

โดยเฉพาะข้อเท็จจริงที่ผู้คนในสังคมยังไม่ค่อยรู้ประการหนึ่งก็คือ ศาลยุติธรรมได้แยกออกจากกระทรวงยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรม พ.ศ.2543

ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2543 ด้วยแล้วอีกเช่นกัน

ที่มา:ข่าวสดรายวัน
*********************************************

เมื่อความจริงเป็นสิ่งที่เจ็บปวดสำหรับรัฐบาลไทย



ตามคาดหมาย รัฐบาลไทยได้ออกมาตอบโต้บทความของเรา “ละครแห่งการพิจารณาคดี การดำเนินคดีทางการเมือง และอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” ที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ข่าวสดในวันศุกร์ที่ผ่านมาอย่างดุเดือด คำแก้ต่างให้กับรัฐบาลของนพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์นั้นฟังดูไม่มีเหตุมีผลเหมือนคราวก่อนๆ

คำแถลงการณ์ที่กล่าวหาว่าสำนักงานกฎหมายของผมเกี่ยวข้องกับ “แผนการสมรู้ร่วมคิดเพื่อลดความน่าเชื่อถือของระบบตุลาการไทย” ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่น่าขบขันที่สุด

ประเด็นที่สำคัญคือการ “ลดความน่าเชื่อถือ” ของระบบตุลาการในประเทศไทยให้ดูแย่ลงไปกว่านี้เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก เพราะระบบไม่มี “ความน่าเชื่อถือ” อยู่เลย และประชาคมโลกต่างรู้ดีว่าระบบตุลาการในประเทศไทยนั้นไม่มีความน่าเชื่อถือแม้แต่น้อย เพราะจะคาดหวังให้ใครเชื่อถือระบบตุลาการที่ไม่เคยตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนแม้แต่ครั้งเดียว หรือไม่เคยตั้งคำถามในเรื่องความชอบธรรมของรัฐบาลที่ตั้งขึ้นโดยการทำรัฐประหาร และไม่เคยที่จะลังเลที่จะกล่าวหาคนที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลว่าเป็นอาชญากร?

ระบบตุลาการในประเทศไทยต่างหากที่ “ลดความน่าเชื่อถือ” ตนเอง พฤติกรรมอันน่าตกใจของผู้พิพากษาศาลรัฐธรรมที่ถูกบันทึกวิดีโอ เผยให้เห็นถึงการทำงานของสถาบันที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่กลุ่มอำมาตย์เป็นเวลาหลายสิบปี สำนักงานกฎหมายของผมเพียงแค่หยิบยกประเด็นที่ว่าระบบตุลาการในประเทศไทยใช้วิธีการหลายอย่าง เพื่อที่จะลิดรอบสิทธิของฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ซึ่งสำนักงานกฎหมายของเราต่างจากรัฐบาลตรงที่ว่าเราไม่ได้พยายามที่จะลิดรอนสิทธิของประชาชน แต่เราสนับสนุนพวกเขาในการพยายามต่อสู้เพื่อให้ได้มาสิทธิของพวกเขา

และประเด็นที่สำคัญอีกประเด็นคือคือ ไม่มีใครทำประเทศเสื่อมเสียชื่อเสียงได้เท่ารัฐบาลและกลุ่มนายทหารที่หนุนหลังรัฐบาลนี้ แทนที่จะสร้างความอับอายให้ประเทศ รัฐบาลไทยควรที่จะพิจารณาว่าวิธีการที่ดีที่สุดในการกอบกู้ “ภาพลักษณ์” ของประเทศคือการหยุดละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือพยายามปกปิดความล้มเหลวของตนเอง และหยุดขัดขวางประชาธิปไตย ปัญหาของรัฐบาลนี้ไม่ใช่การขาดแคลนที่การโฆษณาด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ทันสมัย การประชาสัมพันธ์ที่ฉูดฉาด หรือการพาผู้นำต่างชาติไปรับประทานอาหารสุดหรู แต่เป็นการปราศจากความชอบธรรม ความรับผิด และความเคารพแต่หลักนิติรัฐ
แม้จะพยายามหาเหตุผลนับร้อยเพื่อมาอธิบายเหตุการณ์เข้าข้างตนเอง แต่รัฐบาลก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงเหล่านี้ได้

ที่มา:ประเทศไทย Robert Amsterdam

***********************************************************

วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

กกต.ชี้รมว.พิษหุ้นสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีตามรธน.

นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านกิจการสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย กล่าวถึงกรณีมีการเรียกร้องให้ 2 รัฐมนตรีลาออกจากรัฐมนตรีก่อนลงสมัคร ส.ส. ว่าเมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นสมาชิกภาพความเป็น ส.ส. เนื่องจากถือครองหุ้นที่เป็นบริษัทที่เป็นสัมปทานจากรัฐ ซึ่งเป็นกิจการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 265 ถือว่าเป็นการกระทำที่เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ อีกทั้งในมาตรา 267 ยังระบุไว้ว่าให้นำบทบัญญัติมาตรา 265 มาใช้บังคับกับนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีด้วย ดังนั้น เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยมาแบบนี้ เท่ากับเป็นการทำให้ความเป็นรัฐมนตรีต้องสิ้นสุดลงด้วย

"คนที่รู้กฎหมายอ่านต้องเข้าใจได้ ผมเห็นว่าทั้ง 2 คนควรที่จะลาออกจากความเป็นรัฐมนตรีเลยดีกว่า ไม่ใช่เรียกร้องหาสปิริตให้ลาออกหากจะลงเลือกตั้ง แต่ควรแสดงสปิริตโดยตัวเองเพราะกฎหมายก็ระบุไว้ชัดเจนแล้วความเป็นรัฐมนตรีต้องสิ้นสุดเพราะความขัดกันแห่งผลประโยชน์ ที่ตนเอง หรือภรรยา เข้าไปถือหุ้น ไม่ต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาอีก ถึงไม่ลาออกตอนนี้ เมื่อ กกต.ยื่นและศาลมีคำวินิจฉัยมาก็ต้องออกอยู่ดี ดังนั้น จะเป็นการดีถ้าทั้ง 2 ลาออกตอนนี้ กกต.จะได้ไม่ต้องนำเรื่องนี้มายื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยในเรื่องของให้สิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรี เพราะมีหุ้นต้องห้าม" นายสมชัยกล่าว

นายสมชัยกล่าวว่า หากรัฐมนตรีที่อาจเข้าข่ายยังไม่ลาออก กกต.อาจจะต้องดำเนินการร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยอีกครั้ง เพราะมาตรา 269 ระบุว่า นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีจะต้องไม่เป็นหุ้นส่วนหรือถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท หรือไม่คงไว้ซึ่งความเป็นหุ้นส่วน ซึ่งการร้องครั้งนั้นผู้ร้องเข้ามาไม่ได้ร้องเรื่องนี้กกต.จึงไม่ได้ร้องให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดด้วยศาลจึงไม่ได้วินิจฉัยในประเด็นดังกล่าว

*****************************************************

ประธานศาลปกครองสูงสุดคนใหม่"หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล" เราไม่ใช่ไผ่ลู่ลม...แน่นอน !

"หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล" เป็นประธานศาลปกครองสูงสุดคนใหม่ ต่อจาก ดร.อักขราทร จุฬารัตน
        

ก่อนจะมาเป็นตุลาการ "หัสวุฒิ" เคยเป็นอาจารย์สอนกฎหมาย คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ และทำงานบริหารฝ่ายวิชาการในมหาวิทยาลัยมากว่า 10 ปี
 

หลายคนอาจไม่รู้ว่าประธานศาลปกครองสุงสุด คือผู้จุดประกายอยู่เบื้องหลังแนวคิดการสอบตรงเข้ามหาวิทยาลัยเป็นคนแรก ๆ  
       

ท่ามกลางวิกฤตภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือในองค์กรศาล เปิดใจคุยครั้งแรกกับ "หัสวุฒิ" อย่างตรงไปตรงมาในประเด็นที่หลายคนอยากรู้คำตอบ...   

@ ตั้งแต่เป็นประธานศาลปกครองสูงสุด ภารกิจเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง            

ก็คงเปลี่ยนเพราะเราต้องดูแลเพิ่มมากขึ้น ทั้งตุลาการ ฝ่ายสำนักงาน และเจ้าหน้าที่ เป็นงานบริหาร งานคดีคงน้อยลง แต่จริง ๆ ผมชอบงานคดีมากกว่า (นะ) เพราะทำงานคดีสนุกกว่า แต่เราก็มีนโยบายต่าง ๆ ที่ชัดเจน ที่ได้พูดกับบุคลากรที่เป็นศาล ตุลาการ และเจ้าหน้าที่ชัดเจน เพียงแต่ตอนนี้จะทำยังไงที่จะทำให้นโยบายที่เราพูดไปเป็นจริงได้มากที่สุด ตรงนี้สำคัญ

 @ แนวนโยบายจะสานต่อจากคุณอักขราทร           

ถูกต้อง เพราะผมคิดว่านโยบาย เจตนารมณ์ หรืองานหลักของศาลเปลี่ยนไม่ได้ คงต้องดูแลเรื่องการให้ความยุติธรรม เพียงแต่การบริหารงานหรือวิธีทำงานเพื่อไปสู่ผลลัพธ์อาจจะต่างกัน

@ ช่วงปลายสมัยคุณอักขราทรมีคำพิพากษาอย่างน้อย 2 เรื่อง คือ คดีมาบตาพุด และ 3 จี ศาลปกครองถูกวิพากษ์วิจารณ์เยอะมาก ตรงนี้มีความเห็นอย่างไร             

ทั้ง 2 คดียังไม่อยากจะพูด เพราะคดียังไม่ถึงที่สุด พูดไปคงไม่ค่อยจะเหมาะสม เรื่องนี้คงต้องปล่อยให้เป็นตุลาการเจ้าของสำนวนและองค์คณะ ผมคิดว่า มีความเป็นอิสระอย่างเต็มที่ที่จะวินิจฉัยหรือตัดสิน
             
ส่วนเรื่องการถูกวิพากษ์วิจารณ์ ผมคิดว่าคงต้องยอมรับว่ามันต้องมี เพราะการตัดสินคดีผมคิดว่าไม่ว่าจะออกมาทางใดทางหนึ่งก็มีคำวิพากษ์วิจารณ์ทั้งสิ้น แต่ที่สำคัญผมว่าอยู่ที่เหตุผลของคำตัดสินนั้นมากกว่า 

 @ คำวิพากษ์วิจารณ์ เช่น กรณี 3 จีว่าศาลฉุดรั้งความเจริญ มีผลกระทบต่อการพิจารณาของศาลบ้างหรือไม่            

อืม...ทำไมถึงมองว่าศาลเป็นคนฉุดรั้งความเจริญ (ล่ะ) ที่จริงที่มีปัญหาก็เพราะว่าฝ่ายบริหารทำงานไม่ครบถ้วนหรือเปล่า ตรงนี้น่าจะไปดูบ้างหรือเปล่า ที่จริงศาลก็เป็นเพียงองค์กรตรวจสอบสิ่งที่ได้ทำมาว่าถูกต้องหรือไม่ ครบถ้วนหรือไม่ แต่ศาลคงไม่มีหน้าที่ไปแก้ปัญหาเอง (มั้ง)
           
โดยเฉพาะศาลคงไม่มีอำนาจ ถ้าไม่มีการฟ้องคดีอยู่ ๆ เราจะไปพูดอย่างใดอย่างหนึ่งคงไม่ได้ ฉะนั้นผมอยากจะบอกว่าทุกฝ่ายที่มีหน้าที่ก็ต้องดำเนินการทำหน้าที่ของตัวเองให้ถูกต้อง โดยเฉพาะปัญหาเรื่องกฎหมายเป็นหน้าที่ของใครก็ต้องแก้ไป และต้องรวดเร็วด้วย
           
สำหรับศาลเองคดีที่สำคัญหรือคดีจำเป็นเร่งด่วนที่มีผลกระทบเป็นวงกว้างต่อประเทศ เราก็พยายามรีบพิจารณาวินิจฉัยเพราะไม่อย่างนั้นแล้วก็จะเกิดผลเสียมาก หรือบางเรื่องถ้าการพิจารณาพิพากษาล่าช้าก็อาจจะเยียวยาไม่ได้ นี่ก็เป็นที่มาที่เราเสนอแก้กฎหมายของเรา เพื่อให้การทำงานของศาลมีความคล่องตัวขึ้น
           
 ในอนาคตเมื่อพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองได้แก้ไขแล้ว ในเรื่องการจัดตั้งหน่วยงานพิจารณาคดี ซึ่งนั่นก็จะรวมไปถึงการแก้ไขกฎหมายวิธีพิจารณาในคดีบางประเภท เพื่อให้คดีนั้นเสร็จลงได้โดยรวดเร็ว

 @ เสียงวิจารณ์อีกส่วนหนึ่งจากภาควิชาการ คือ ช่วงหลังศาลปกครองดูเหมือนจะเบรกรัฐบาลเป็นส่วนใหญ่  ตรงนี้มีข้อเท็จจริงอย่างไร
             
ผมไม่ได้คิดอย่างนั้น อย่างที่บอกคือศาลมีหน้าที่ตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้นหรือสิ่งที่มันยังไม่ได้ดำเนินการ เมื่อไม่ได้ดำเนินการแล้วมีปัญหาเป็นข้อพิพาทเกิดขึ้น ก็จำเป็นที่ศาลต้องชี้ ไม่ว่าจะเป็นคดีมาบตาพุด หรือ 3 จี
              
จริง ๆ ผมว่าศาลก็มีหน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบต่อสังคม มีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศให้เจริญเช่นเดียวกัน ฉะนั้นคงไม่ใช่เรื่องตั้งหน้าตั้งตาขัดขวางฝ่ายบริหารทำงาน คงไม่ใช่แน่นอน เพียงแต่ฝ่ายบริหารต้องทำตามอำนาจหน้าที่ของตัวเอง

@ ศาลปกครองในหลายประเทศ จะมีปฏิสัมพันธ์กับนักวิชาการที่สอนกฎหมายปกครองหรือกฎหมายมหาชน เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่สอนกฎหมายในด้านนี้ อาจารย์รับฟังมากน้อยแค่ไหน                 

ผมรับฟังครับ รับฟังหมด แต่จะเห็นด้วยหรือไม่นั้นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะผมคิดว่าแต่ละคนพูดบนพื้นฐานและจุดยืนของตัวเขาเอง เบื้องหลังเราไม่รู้ว่าคืออะไร แม้ว่าบางครั้งจะถ่ายทอดมาทางคำพูดได้ แต่เราก็ไม่อยากจะก้าวล่วงว่าเขามีจุดยืนอย่างไร ฉะนั้นอยู่ที่เราว่าเมื่อเขาพูดแล้วเราจะรับฟังอย่างไรแค่ไหน            

ธรรมดามากเลยในการฟังเสียงสังคมภายนอกให้รอบด้าน ไม่ว่าจะฝ่ายวิชาการ ฝ่ายการเมือง หรือฝ่ายอื่น ๆ แต่ว่าเราคงไม่ใช่ไผ่ลู่ลม หรือเสาหลักปักขี้เลนแน่นอน ฉะนั้นเราก็ฟัง แต่ก็ต้องดูว่าสิ่งนั้นมันถูกต้อง มันควรจะแก้ไขก็ต้องรับไปแก้ไข ไม่ใช่ดื้อรั้น
       
แต่ถ้าสิ่งนั้นไม่ถูกต้อง เราก็ต้องมีจุดยืนของเรา โดยเฉพาะเราเป็นองค์กรหนึ่งในอำนาจรัฐที่ควรจะเป็นเสาหลักของบ้านเมือง ไม่ใช่ลมแรงแค่ไหน แล้วเราจะลู่ไปตามลมไม่ใช่แน่นอน 

 @ มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า ท่านเป็นเด็กคุณอักขราทร             

ก็มีเสียงสะท้อนเหมือนกันว่า เด็กไป แต่ก็สงสัยว่าอายุเกิน 60 อย่างผม ถ้ารับราชการก็เกษียณแล้ว ยังเป็นเด็กอยู่อีกเหรอ ฉะนั้นก็ไม่รู้ว่าตรงไหนเป็นผู้ใหญ่
 แต่ผมคิดว่าผมมีความเป็นตัวของตัวเอง
             

@ ในช่วงคุณอักขราทร การเมืองค่อนข้างปั่นป่วนวุ่นวายจนมีกระแสเรื่องตุลาการภิวัตน์ ยุคสมัยอาจารย์ตุลาการภิวัตน์จะดำรงอยู่ แผ่วไปหรือปิดฉาก
              
ที่จริงตุลาการภิวัตน์ต้องถามว่ามันคืออะไร แต่การที่ตุลาการออกไปทำเรื่องการใช้อำนาจตุลาการ ผมคิดว่ามันไม่น่าเป็นเรื่องของตุลาการภิวัตน์ แต่คนก็มักจะพูดว่าเป็นตุลาการภิวัตน์
              
แต่ถ้าพูดว่าตุลาการเป็นคนหนึ่งหรือสมาชิกของสังคม เขาจะแสดงความคิดเห็นอะไรก็เป็นสิทธิส่วนบุคคลของผู้นั้น แต่ไม่ว่าจะอะไร เพื่อให้ประเทศและสังคมดีขึ้น ผมคิดว่าเราคงไม่เหมือนก้อนหินก้อนหนึ่งที่ตั้งอยู่ในที่ใดที่หนึ่งที่เขาจัดให้เราอยู่ ก็อยู่ คงไม่เป็นอย่างนั้น ฉะนั้นก็ต้องคอยดู
              
มีคนถามผมว่า ศาลปกครองแบกไว้ทุกอย่างจะทำยังไง ผมตอบว่าไม่หรอก เพราะเราแค่ชี้สิ่งที่ฝ่ายบริหารทำมาว่าถูกไม่ถูก ฝ่ายนิติบัญญัติออกกฎหมายมาว่าทำได้หรือไม่ได้ ส่วนการแก้ปัญหาก็เป็นเรื่องของฝ่ายบริหาร หรือกฎหมายที่มันไม่ดี ฝ่ายนิติบัญญัติก็ต้องไปดูสิ ศาลจะทำอะไรได้ก็แค่ชี้ตามกฎหมาย แต่เราก็ต้องดูเหมือนกัน ไม่ใช่สักแต่ใช้กฎหมาย ต้องดูว่ามันถูกมั้ย ถ้าเผื่อเราตัดสินโดยไม่อิงกฎหมายแล้วเราจะอิงอะไร หรืออ้างอะไร
              
แต่ผมยอมรับนะว่า ผมไม่ใช่คนรู้ทุกเรื่อง ฉะนั้นเรื่องที่ผมไม่รู้ ผมคงพูดไม่ได้ และผมคงไม่พูด โดยเฉพาะเรื่องที่มันเฉพาะลงไปมาก ๆ เพราะไม่อย่างนั้นผมคิดว่ามันจะเป็นการสร้างปัญหา ผมคิดว่าหลายสิ่งหลายอย่างในบ้านเมืองเราที่มีปัญหาขณะนี้ ก็เพราะคนที่ไม่ใช่ field ของตัวเอง คือพูดแล้วทำไม่ได้ หรือพูดแล้วตัวเองไม่ใช่ผู้ปฏิบัติ มีแต่จะสร้างปัญหา ฉะนั้นสิ่งแรกเลยคือจะต้องปล่อยให้คนที่มีอำนาจหน้าที่ทำหน้าที่ของเขาก่อน ส่วนผมก็จะทำหน้าที่ในส่วนของผมให้ดี
              
จริง ๆ ผมอยากจะบอกว่า ผมคิดว่าผมทุ่มเทกับงาน และไม่ได้ต้องการอะไร ฉะนั้นการทำงานของผม ผมไม่หนักใจเท่าไร เพราะผมเป็นตัวของตัวเองมาก เพราะคนที่จะมาเป็นศาล ถ้าเรายืนอยู่บนจุดที่ถูกต้องแล้วก็พิจารณาอย่างตรงไปตรงมา ผมคิดว่าก็ไม่น่าจะมีปัญหา แล้วผมก็ไม่กลัวด้วย

 @ 2 ปีมานี้คดีสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเรื่อย ๆ ระบบศาลปกครองได้พัฒนาองค์ความรู้หรือความเป็นผู้เชี่ยวชาญคดีสิ่งแวดล้อมมากน้อยเพียงใด                

 2 ปีก่อนเราประกาศให้ทราบว่า เราจะตั้งองค์คณะชำนาญการที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ฉะนั้นตุลาการที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมทุกวันนี้มี แต่เราก็ไม่ได้หยุดยั้งแค่นี้ ทุกวันนี้เราก็พยายามสร้างตุลาการด้านสิ่งแวดล้อม เพราะในอนาคตปัญหาข้อพิพาทเรื่องสิ่งแวดล้อมก็จะมีมากขึ้น ๆ
              
ฉะนั้น เรามีฝ่ายวิชาการซึ่งอันนี้ที่จริงแล้วผมเป็นคนคิดสมัยท่านอาจารย์อักขราทร ผมคิดว่าจำเป็นอย่างยิ่งในการตัดสินคดี เพราะงานตุลาการก็มาก ฉะนั้นการค้นคว้าก็ควรจะต้องมีหน่วยงานสนับสนุน ฉะนั้นกรรมการวิชาการที่ผมคิดขึ้นมาอาจจะแตกต่างจากกรรมการวิชาการที่คนทั่วไปเข้าใจ
              
 "คือของผมเป็นด้าน ๆ ไปเลย ซึ่งปัจจุบันมี 3 ชุดแล้ว ในอนาคตน่าจะมีเพิ่มอีก แต่ที่มีอยู่แล้วก็คือ กรรมการวิชาการเกี่ยวกับกฎหมายสิ่งแวดล้อม กรรมการวิชาการเกี่ยวกับกฎหมายด้านการบริหารงานบุคคล กรรมการวิชาการเกี่ยวกับวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล และคิดว่าอีกไม่นานจะตั้งคณะกรรมการวิชาการที่เกี่ยวกับกฎหมายวิธีพิจารณาความ"
             
อันนี้ก็จำเป็นเพราะเหตุว่ามันคงมีปัญหาในแง่ต่าง ๆ หรือการพัฒนาวิธีพิจารณาให้มันดียิ่งขึ้น คือเมื่อมีปัญหาต่าง ๆ เช่นเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เราก็กำลังคิดอยู่ว่า คดีสิ่งแวดล้อมมันเป็นคดีที่มีผลกระทบในวงกว้างมาก
             
ฉะนั้น เช่นวิธีพิจารณาคดีสิ่งแวดล้อมเรากำลังดูอยู่ว่าเราจะใช้วิธีพิจารณา ซึ่งเรากำลังคิดทำอยู่ อาจจะบอกได้อันหนึ่ง เช่น ต่อไปในอนาคตอาจจะให้ตัวตุลาการลงไปรับฟ้องเอง ก็หมายความว่าจะได้ข้อเท็จจริงที่ตุลาการจะรู้ทันที
           
 ในคดีปกครอง เมื่อฟ้องมาก็ต้องตรวจเงื่อนไขของการฟ้องก่อนว่า เงื่อนไขการฟ้องครบมั้ย ถ้าครบก็รับฟ้อง ฉะนั้นทุกวันนี้เส้นทางการฟ้องกระบวนการค่อนข้างยาวมาก แต่ถ้าตุลาการรับฟ้องเองก็เท่ากับเป็นการตรวจเงื่อนไขรับฟ้องไปในตัว
            
 "เมื่อรับฟ้องก็อาจจะส่งไปให้ผู้ถูกฟ้องทำคำให้การได้ทันทีภายในวันสองวัน อันนี้ยังเป็นความคิดแต่ก็ต้องคุยกันอีก ซึ่งถ้าไม่มีปัญหาผมก็มองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องดี" ถามว่ากรรมการวิชาการจะสนับสนุนการทำงานของตุลาการอย่างไร ก็คือปัจจุบันคดีปกครองมันเป็นคดีที่ซับซ้อนยุ่งยากมากขึ้น ตัวตุลาการเองก็ไม่ได้มีคดีเดียว เพราะฉะนั้นบางครั้งก็อาจจะติดปัญหาข้อกฎหมายว่าเรื่องนี้มันมีข้อกฎหมายเกี่ยวหรือไม่เกี่ยว มีหรือไม่มี ก็อาจจะปรึกษามาที่กรรมการฝ่ายวิชาการ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคดีจะเข้ามาที่กรรมการวิชาการ 
           
 แต่ตรงนี้อยากจะพูดให้ชัดเจนว่า การให้คำปรึกษากับความเป็นอิสระของตุลาการในการวินิจฉัยนั้น ตุลาการก็ยังคงมีความเป็นอิสระ ไม่ได้ผูกพันว่าจะต้องทำตามคำแนะนำกรรมการวิชาการหรือไม่ เขายังมีความเป็นอิสระอย่างเต็มที่ พูดง่าย ๆ คือเขาจะต้องหาคำตอบที่ดีที่สุด คือมีเหตุผลสนับสนุนที่เขาเห็นว่าถูกต้อง.

ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ
************************************************************************

วันเสาร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ประชาธิปัตย์ดวงไม่ดี??? หรือ ‘มาร์ค’หมดดวง!!!



แม้สถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ ที่สร้างภัยพิบัติให้กับพื้นที่ 33 จังหวัด มีประชาชนเดือดร้อนมากกว่า 3 ล้านคน ความเสียหายทางด้านเศรษฐกิจไม่ว่าอย่างไร ก็คงไม่หนี 20,000 ล้านบาทอย่างแน่นอนนั้น อาจจะถูกมองว่าเป็นสถานการณ์ที่เหมือนกับเข้ามาเป็นรายการ“พักยก” ทางการเมือง

เพราะในจังหวะที่รัฐบาลโคลงเคลง พรรคร่วมรัฐบาลกระเพื่อม พรรคฝ่ายค้านเองก็ตกอยู่ในสภาพรบกับคู่ต่อสู้ แต่ก็มีทะเลาะกันเองตลอดเวลา แถมองค์กรอิสระต่างๆ ก็อยู่ในสภาพที่ถูกตั้งคำถามสารพัด

ทั้งเรื่องความพยายามที่จะเกาะติดหนึบเก้าอี้แม้อายุ 65 ปีแล้ว ของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ที่จะไม่ยอมลุกจากตำแหน่งผู้ว่าการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน จนต้องเดือดร้อนถึงศาลปกครอง หรือเรื่องของรถประจำตำแหน่งของบรรดาบิ๊กองค์กรอิสระ ที่เล่นเอาประชาชนที่โดนน้ำท่วมอ้าปากค้าง ช็อกซ้ำไปตามๆ กัน

เพราะเวลาจะให้คนจนที่น้ำท่วมบ้าน หมดเนื้อหมดตัว ข้าวของในบ้านพังหมด ปรากฏว่ารัฐบาลให้จิ๊บจ๊อยชนิดที่แต่ละครอบครัวยังได้ไม่พอแค่ค่ายางรถยนต์ของบรรดาบิ๊กๆ องค์กรอิสระเลยด้วยซ้ำ
และโดยเฉพาะเรื่องคลิปตุลาการรัฐธรรมนูญ ที่เกี่ยวพันโยงไปถึงเรื่องคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ถือเป็นเรื่องยุ่งยิ่งกว่าลิงแก้แห เพราะสุดท้ายแล้วไม่รู้ว่าแหจะพันลากลิงตัวไหนตกน้ำลงไปบ้าง หรือลิงตัวไหนจะจมน้ำตายบ้าง!!!

ดังนั้นจริงๆ แล้วแม้ดูเหมือนว่าน้ำท่วมอาจจะทำให้ดูเหมือนเป็นจังหวะพักยกทางการเมือง แต่ในความเป็นจริงแล้ว อาการทางเมืองในตอนนี้น่าจะเป็นอาการของ

ทะเลสงบ ก่อนจะเกิดพายุใหญ่... เสียมากกว่า
ก็ขนาดผู้ที่มีข้อมูลวงในใกล้ชิดขั้วอำนาจ ขั้วสีเขียว อย่างนายบุญเลิศ ไพรินทร์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา จ.ฉะเชิงเทรา ที่ชอบทำตัวเป็นโหร สว. ยังยอมรับว่าสถานการณ์ดวงบ้านเมืองของไทยยังไม่ดีทั้งปลายปีนี้ และลากยาวไปถึงต้นเดือนพฤษภาคม 2554 โน่นเลย

ดวงเมืองไม่ดี ดวงพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ดี เพราะดาวดีตกที่เสียหมด ดาวร้ายให้โทษยังให้โทษได้อยู่ ดวงเมืองยังไม่ปกติ ดวงเมืองจะเริ่มดีขึ้นก็หลังวันที่ 4 พ.ค.54 เป็นต้นไป

“ช่วงนี้จนถึงวันที่ 3 พ.ค.54 ยังไม่ปกติ มีโอกาสเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เปลี่ยนแปลงพรรคการเมือง เปลี่ยนแปลงพรรคร่วมรัฐบาลที่ยังแกว่งอยู่มากตอนนี้ พรรคประชาธิปัตย์อาจถูกยุบ เพราะดวงพรรคประชาธิปปัตย์ตกอยู่ในที่เสีย ตามดวงดาวมีโอกาสถูกยุบสูงถึง 95 เปอร์เซ็นต์ เพราะดาวบาปเคราะห์ตรึงทุกด้าน เหลือ 5 เปอร์เซนต์ เพราะดาวดีดาวพฤหัสบดียังให้คุณอยู่ทำมุมเล็งลักษณ์ให้คุณพรรคประชาธิปัตย์อยู่ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่จะช่วยได้” นายบุญเลิศพูดเหมือนจะฝากประชาธิปัตย์ไว้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์บางอย่าง

แต่แน่นอนว่าหากมองคอนเนกชั่น การชิดใกล้หรือการคลุกข้อมูลวงในของนายบุญเลิศ เมื่อมาบวกกับเหตุการณ์คลลิปลับที่ทำให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกสังคมจับตามองเขม็ง ชนิดที่ไม่ว่าจะวินิจฉัยออกมาในด้านไหน ก็ย่อมหนีไม่พ้นคำถาม หนีไม่พ้นคำวิพากษ์วิจารณ์

และที่สำคัญที่สุดก็คือการวิเคราะห์คำวินิจฉัยของบรรดานักฎหมาย... อย่างแน่นอน
ฉะนั้นสิ่งที่กดดันตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอย่างมากจากวันนี้ไปจนถึงปลายเดือนพฤศจิกายนหรือต้นเดือนธันวาคม ที่เชื่อกันว่า ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องมีการอ่านคำวินิจฉัยคดียุบพรรคประชาธิปัตย์แล้วนั้น... ไม่ใช่เรื่องของผลว่าจะออกมายุบหรือไม่ยุบ

แต่กดดันที่สุดคือการเขียนเหตุผลคำวินิจฉัย เพื่อให้สังคมยอมรับให้ได้ โดยที่คำว่า 2 มาตรฐานไม่ดังสนั่นขึ้นมาต่างหาก

เพราะหากถามวันนี้ พรรคประชาธิปัตย์ก็ย่อมเชื่อมั่นว่า ไม่มีทางถูกยุบ
ในขณะที่ทางฝ่ายค้าน ฝ่ายคนเสื้อแดง ก็เชื่อมั่นเช่นกันว่า ยังไงก็ต้องยุบชัวร์
เรียกว่าต่างฝ่ายหากเดิมพัน...ร้อยบาท ขี้หมากองเดียว งานนี้มีคนต้องอมขี้หมาอย่างแน่นอน
ซึ่งทั้งหลายทั้งปวง ก็ตกไปเป็นภาระของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอย่างที่บอก

ด้วยเหตุนี้แหละที่มีกระแสข่าวว่า จริงๆ คนที่ควรรับภาระหนักที่สุดน่าจะเป็นนายอภิชาติ สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองมากกว่า

เพราะด้วยความที่มัวแต่เหลียวหน้าเหลียวหลัง ฟังซ้ายฟังขวาตลอด เลยทำให้เรื่องนี้ไม่สะเด็ดน้ำ และกลายเป็นเรื่องบวมฉึ่งจบไม่ง่ายอย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้

ปัญหาที่เป็นประเด็นที่จะต้องเกิดขึ้นตามมาและจะต้องเกาะติดสถานการณ์ให้ดีจากนี้ไปก็คือ หากยุบพรรคประชาธิปัตย์แล้วจะเป็นอย่างไร???
หรือหากว่าไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์แล้วจะเกิดอะไรขึ้น!?!

เนื่องจากถ้าหากจะว่ากันตามเทอมแบบประชาธิปไตยเต็มใบอย่างแท้จริง การเลือกตั้งใหญ่ครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550

เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะดันทุรังลากยาวกันอย่างไรก็ตาม ระยะเวลา 4 ปี ตามระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงก็ต้องถูกเป่านกหวีดหมดเวลาในวันที่ 23 ธันวาคม 2554

ลากยาวไปเกินกว่านั้น โดยไม่ยอมให้มีเลือกตั้งใหญ่ครั้งใหม่ในวันที่ 24 ธันวาคม 2554 มีเรื่องแน่
ยกเว้นแต่จะมีนายทหารบางคนบางกลุ่มที่อาจจะมีการออกมาเอ็กเซอไซส์ เพราะไม่ได้ยินคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ที่ประกาศบอกว่าใน 4 ปีที่ดำรงตำแหน่งจะไม่มีการปฏิวัติ เพราะทหารและข้าราชการไม่ได้มีหน้าที่เป็นเครื่องมือให้กับนักการเมืองที่กอบโกยผลประโยชน์ของชาติ
ถ้ามีปฏิวัติแล้วทำให้เลือกตั้งไม่เกิด ตรงนี้ก็ถือว่าเป็นคราวเคราะห์ของประเทศนั่นแหละ

ดังนั้นตอนนี้หากมองกันตามเนื้อผ้า เฉพาะจากคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ และอาการง่อนแง่นระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว แม้ว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะใช้คารมโวหาร เล่นคำในเรื่องการเลือกตั้ง ว่าไม่ว่าอย่างไรก็เป็น “ปีหน้า” แน่นอน

ส่วนวันไหน เดือนไหนไม่รู้
แต่นั่นสะท้อนชัดว่า นายอภิสิทธิ์เองก็รู้ดีว่า หากไม่ประกาศในเรื่องการเลือกตั้งออกมาเป็นระยะๆ แรงกดดันจะต้องสูงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นพอมีจังหวะก็ถือโอกาสพูดเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศเสียหน่อยเป็นระยะๆ
หรืออาจจะฉวยโอกาสในการเป็น “มิสเตอร์โพเดียม” เรียกคะแนนพ่วงไปด้วย กับการที่ออกมาเล่นบทพระเอกว่าไม่ได้ตั้งใจจะอยู่ครบเทอม แม้จะอยู่ครบเทอมก็จะเป็นปีถัดไป แต่คิดว่าไม่อยู่ครบเทอม และมีเลือกตั้งแน่ในปีหน้า ซึ่งถ้าการเลือกตั้งเป็นไปโดยเรียบร้อยนั่นเป็นสิ่งที่ต้องการมากที่สุด

“ผมเคยพูดชัดเจนว่า ผมอยากจะแพ้การเลือกตั้งที่ทำให้บ้านเมืองกลับมาสู่ความสงบสุข มากกว่าชนะการเลือกตั้งแล้วเกิดรุนแรง เพราะฉะนั้นก็หวังว่าปีหน้ามีการเลือกตั้ง และเป็นไปอย่างราบรื่น ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะทำให้เรื่องทางการเมืองมีความเป็นเสถียรภาพ และกลับเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น”

เล่นเอาแม้แต่คนในพรรคประชาธิปัตย์ด้วยกันเองยังรับไม่ได้ ที่นายอภิสิทธิ์มีฐานะเป็นหัวหน้าพรรค แต่กลับบอกว่าต้องการที่จะแพ้การเลือกตั้ง... ซึ่งผิดธรรมชาติของคนการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง

ยิ่งประโยคที่ว่า “คนชอบมาบอกว่าทำไมคะแนนดีแล้วไม่ยุบสภา ชนะเลือกตั้งแล้วยุบสภาสิ ผมบอกว่า ผมไม่ได้สนใจเรื่องนั้น ผมบอกว่า ถ้าเลือกตั้งแล้วนองเลือด ให้ผมชนะแล้วผมไม่เอาหรอก ผมแพ้เลือกตั้งให้มันสงบดีกว่า บ้านเมืองเดินหน้าได้เท่านั้นเองครับ ดังนั้น เป้าหมายหลักของการเลือกตั้งไม่ได้อยู่ที่จังหวะเวลาของพรรคครับ เป็นเรื่องของบ้านเมือง จะได้ประโยชน์จากการเลือกตั้งที่สงบ ผมก็ต้องการแค่เท่านั้นให้เกิดขึ้น”

แน่นอนว่าพูดแบบนี้บรรดาแม่ยกขนลุกซุ่น้ำตาไหลพราก แต่สำหรับเวทีการเมืองแล้ว ทำให้ในพรรคประชาธิปัตย์เองก็ต้องหันไปจับเข่าคุยกันใหม่เหมือนกันว่า ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ดีกับพรรคประชาธิปัตย์แน่ๆ

เพราะจะว่าออกแนววิเคราะห์จุดอ่อน หรือออกแนวเตือนเพื่อนร่วมพรรค เหมือนอย่างที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรค ออกมาบอกว่าพรรคเพื่อไทยต้องเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้ง ซึ่งมีเป้าหมายอยากได้ส.ส.เกินครึ่งเพื่อจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว ซึ่งมีความหวังเป็นไปได้หรือไม่ เพราะวันนี้รัฐบาลกำลังดำเนินการอะไรอยู่

อีกทั้งวันนี้การทำโพลล์เปรียบเทียบพบว่าภาคเหนือ ภาคตะวันออก น่าเป็นห่วง ส่วนภาคอีสานก็ยังดี ส่วนภาคตะวันตกก็กำลังเตรียมย้ายขุมกำลังไปทางอื่น แถวๆ จ.นครปฐม

“ที่พูดอย่างนี้ทุกคนก็คงเข้าใจ ดังนั้นภาระข้างหน้าหนักหนาสาหัสมาก สิ่งสำคัญสุดคือต้องมีความสามัคคี ต้องละวางบางสิ่งบางอย่างไว้ก่อนบ้างเพื่อสร้างความสามัคคีในชาติ อีกทั้งหูต้องมั่นคง ต้องฟังหูไว้หูครึ่ง อย่าฟังทั้งหมด”

พูดแบบพลเอกชวลิตในลักษณะประเมินสถานการณ์ ประเมินความพร้อม ยอมรับจุดอ่อนอย่างนี้ในทางการเมืองถือว่าดี เพราะเป็นการไม่ประมาทไว้ก่อนล่วงหน้า

แต่พูดแบบนายอภิสิทธิ์ นั้นคนในพรรคประชาธิปัตย์ยังงงๆ เอ๋อๆ กันอยู่เลยว่า แล้วแบบนี้จะไปยังไงต่อ
หรือว่าหลังคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ หากมีความจำเป็นต้องใช้หัว “พรรคธรรมาธิปัตย์” ขึ้นมาจริงๆ ก็จะต้องเปลี่ยนหัวหน้าพรรคไปพร้อมๆ กันเสียเลยดีหรือไม่

หรือจะจริงอย่างที่นายบุญเลิศ ไพรรินทร์ ว่าก็ได้... ว่าพรรคประชาธิปัตย์นั้น ดวงไม่ดีจริงๆ

ที่มา:บางกอกทูเดย์,นารถ นเรนทร

***********************************************************************

ละครแห่งกระบวนการพิจารณาคดี, การพิจาณาคดีการเมือง และอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ



โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม และ ศาสตราจารย์คนูปส์

หลังจากเหตุการณ์สังหารมวลชนในกรุงเทพมหานครในเดือนเมษายนและพฤษภาคมที่ผ่านมา เราได้เริ่มตระเตรียมข้อเท็จจริงอย่างย่อเกี่ยวกับการกระทำอาชญากรรมต่อมนุษยชาติต่ออัยการ นอกจากคำให้การของพยานที่ให้สัตยาบันแล้ว เรายังมีหลักฐานวีดีโอและหลักฐานทางนิติเวชวิทยา ซึ่งหลักฐานทั้งหมดเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ระบุถึงความไม่เต็มใจของรัฐบาลไทยที่จะนำผู้กระทำความผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศ รวมสิ่งที่ผมได้พบเห็นและรับรู้ในประเทศรัสเซียเมื่อไม่นานมานี้ เป็นเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นถึงการบิดเบือนการใช้กระบวนการตุลาการทำลายฝ่ายตรงข้ามโดยไม่ยั้งคิด และมีการปกปิดอาชญากรรมโดยผู้ทีใช้อำนาจในศาลยุติธรรมและสถาบันอื่นๆ

บุคคลที่ประณามความพยายามของเราในการบังคับใช้กฎหมายอาญาระหว่างประเทศ ควรพิจารณาเหตุการณ์ในประเทศไทยที่เป็นเหมือนฝันร้าย หลังจากสั่งปิดเวปไซต์กว่า 250000 เวปไซต์ รัฐบาลยังจับกุมฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองด้วยข้อหาก่อการร้าย คุมขังพวกเขาโดยใช้อำนาจทางกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมอย่างพระราชกำหนดบริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉิน และพยายามที่จะปิดบังความรับผิดของตนด้วยการใช้ “คณะกรรมการปรองดองสมานฉันท์” จอมปลอมมาบังหน้า

บทความนี้ต้องการที่จะกล่าวถึงประเด็นของความไม่เท่าเทียมทางอำนาจ (การดำเนินคดี) ระหว่างบุคคลที่แย่งชิงอำนาจในการควบคุมสถาบันต่างๆไปอย่างมิชอบด้วยกฎหมาย และบุคคลหนึ่งที่พยายามใช้ิสิทธิตามรัฐธรรมนูญของตน ภายใต้สถานการณ์ที่มีการบิดเบือนใช้กฎหมายฉุกเฉินอย่างยืดเยื้อ (ของรัฐบาล)

เราเชื่ออย่างหนึ่งว่า การจะกล่าวถึงประเด็นของความไม่เป็นธรรมนั้นนั้น เราต้องมองไปไกลกล่าวประเด็นที่เราสามารถเห็นได้ชัดอย่าง การไม่ทำการสอบสวนเป็นอิสระครั้งแล้วครั้งเล่าของรัฐบาลไทย ซึ่งเรามีหลักฐานเป็นรายงานและจดหมายเปิดผนึกหลายฉบับ โดยครั้งนี้เราได้ตัดสินใจหยิบยกประเด็นที่ว่า การกระทำของรัฐบาลต่อกลุ่มคนเสื้อแดงอาจเข้าข่ายเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติภายใช้กฎหมายระหว่างประเทศ

ตามบทบัญญัติที่ว่าด้วยกฎเกณฑ์แห่งสงคราม ที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๓ อนุสัญญาระหว่างประเทศแห่งกรุงเจนีวา กล่าวว่า การพิพากษาลงโทษและการประหารชีวิตโดยปราศจากคำพิพากษาของศาลยุติธรรมโดยทั่วไป อันเป็นหลักประกันที่ประเทศอารยะธรรมยอมรับโดยทั่วไปนั้น ไม่อาจกระทำได้
นอกจากนี้ บทบัญญัติของศาลอาญาระหว่างประเทศยังได้บัญญัติคำอธิบายเพิ่มไว้ในมาตราที่ ๘ (๒) (a)(vi) อย่างชัดเจนว่า “เจตนาลิดรอนสิทธิของนักโทษสงครามและบุคคลที่ได้รับการปกป้องซึ่งสิทธิดังกล่าวในการเข้าถึงกระบวนการพิจารณาคดีที่เป็นธรรมและเป็นปกติวิสัย”ถือเป็นอาชญากรรมสงคราม และละเมิดต่ออนุสัญญาระหว่างประเทศแห่งกรุงเจนีวา

ภายใต้สภานการณ์บิดเบือนการใช้กฎหมายฉุกเฉินนี้ ในไม่ช้าละครแห่งการพิจารณาคดีของรัฐบาล (ประกอบกับการสมรู้ร่วมคิดของตุลาการที่ฉ้อฉล) ต่อแกนนำของกลุ่มคนเสื้อแดง จะแสดงในเห็นว่ารัฐบาลละเมิดต่อกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศ คำถามคือ รัฐบาลไทยมีเหตุผลทางการเมืองและกฎหมายอย่างพอเพียงที่จะใช้ปกปิดการกระทำที่ละเมิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ สนธิสัญญาระหว่างประเทศ และจารีตประเพณีอาชญากรรมระหว่างประเทศหรือไม่? หรือสิบปีหลังจากเสวยสุขจากความพยายามปัดความรับผิดต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่น่าสยดสยองที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย นายอภิสิทธิ์จะเป็นผู้นำคนแรกของประเทศไทยที่ต้องรับผิดต่ออาชญากรรมที่เขาได้ร่วมก่อขึ้น?

ที่มา: ประเทศไทย Robert Amsterdam

*******************************************************************************

วันศุกร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

น้ำท่วมศาล!?

“คณะกรรมการได้สรุปไปด้วยว่านายวิรัชมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ทำไม่ถูกไม่ควร ไปพบกับนายพสิษฐ์ และที่เขาถามนำก็ไม่ควรตอบให้เกี่ยวพันโยงใยถึงขนาดนั้น เพราะรู้อยู่แล้วว่านายพสิษฐ์เป็นเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ขณะที่ตัวเองเป็นทีมกฎหมายของพรรคยิ่งไม่ควรไป เพราะผูกโยงกันอยู่ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นเกิดผลกระทบต่อพรรค ทำให้คนรู้สึกคลางแคลงใจสับสนในพรรคว่าเป็นอย่างไรกันแน่ ส่วนบทลงโทษจะกระทบต่อตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคของนายวิรัชหรือไม่นั้นอยู่ที่ดุลยพินิจของหัวหน้าพรรคที่ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับพรรคข้อที่ 79 คือการตักเตือนหรือภาคทัณฑ์”

นายเทอดพงษ์ ไชยนันทน์ ส.ส.ตาก พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีนายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.ระนอง ปรากฏตัวในคลิป และหารือกับนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ โดยจะให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายก-รัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ตัดสินใจดำเนินการต่อ

ขณะที่ นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ อ้างว่าเป็นกระบวนการทำลายความน่าเชื่อถือของ ศาลรัฐธรรมนูญ และกล่าวหาว่าพรรคเพื่อไทยพยายามสร้างกระแสว่าหากไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์เช่นเดียวกับพรรคการเมืองอื่นที่ถูกยุบไปก่อนหน้านี้จะเป็น 2 มาตรฐาน โดยเฉพาะนายจาตุรนต์ ฉายแสง ที่ออกมาแสดงจุดยืนสอดรับว่ามีการพิจารณา 2 มาตรฐาน และเรียกร้องให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญลาออกทั้งคณะ เพื่อสร้างกระแสสังคมให้เกิดวิกฤตศรัทธาต่อศาลรัฐธรรมนูญ

ความจริงในมุมมืด?

ผลการสอบสวนของพรรคประชาธิปัตย์จึงไม่ได้ทำให้คนทั่วไปแปลกใจที่ระบุว่านายวิรัชไม่ผิดและมีโทษ เบาหวิว ทั้งที่คำพูดในคลิปเชื่อมโยงถึงคดียุบพรรคประชาธิปัตย์โดยตรง และนายวิรัชยอมรับว่าได้พบกับนายพสิษฐ์หลายครั้งก่อนหน้านี้

เช่นเดียวกับผลการสอบสวนของศาลรัฐธรรมนูญที่มีนายสนิท จรอนันต์ ที่ปรึกษาสำนัก งานศาลรัฐธรรมนูญ เป็นประธานคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณีคลิปการหารือของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์หลุดออกไปเผยแพร่ต่อสาธารณชน เปิดเผยว่า จะสรุปผลการสอบให้กับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป คณะกรรมการทำได้แค่การประมวลเรื่องราวว่ามีใครเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างไรบ้าง หากมีเจ้าหน้าที่ของศาลเข้าไปเกี่ยวข้องต้องดำเนินการภายในตามกระบวนการทางวินัย ส่วนทางตำรวจก็สอบสวนหาว่าใครเป็นคนทำคลิปและนำไปเผยแพร่ แม้แต่นายพสิษฐ์ยังสรุปไม่ได้ว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่

ดังนั้น ผลการสอบสวนคลิปฉาวของพรรคประชาธิปัตย์และศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ได้ตอบข้อกังขาหรือข้อสงสัยของสังคมว่ามีการพยายามใช้อำนาจทางการเมืองแทรกแซงศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ และตุลาการศาล รัฐธรรมนูญยังเป็นองค์กรที่มีความสุจริตเที่ยงธรรมหรือไม่

เพราะคลิปที่ถูกเผยแพร่ 2 ชุดคือ ชุดแรก 5 ตอน เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม และชุดที่สอง 3 ตอน เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม กลายเป็นระเบิดลูกใหญ่ที่อาจทำลายศาลรัฐธรรมนูญและสถาบันตุลาการให้หมดความน่าเชื่อถือจากประชาชน โดยเฉพาะคลิปชุดที่ 2 ยิ่งตอกย้ำความขัดแย้งและพฤติกรรมไม่เหมาะสมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะจริงหรือเท็จอยู่ที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่า “จะทำความจริงให้ปรากฏ” หรือปกปิดความจริง และปล่อยให้เรื่องเงียบหายไปเอง โดยเพิกเฉยต่อความเชื่อถือและศรัทธาของประชาชน

ปฏิรูปหรือยุบทิ้ง?

เสียงที่เรียกร้องให้มีการปฏิรูปศาลทั้งระบบจึงดังมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญที่มีการเสนอให้ยุบทิ้งเพื่อไม่ให้ศาลต้องถูกครหาว่าเป็นเครื่องมือของฝ่ายการเมือง แม้แต่ตุลาการจำนวนไม่น้อยต้องการให้ดึงศาลกลับมา เพราะไม่ว่าศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง หรือศาลฎีกาแผนกคดี อาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทาง การเมือง ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงหรือเกี่ยวข้องกับการเมืองได้ เพราะรัฐ ธรรมนูญบัญญัติให้ใช้อำนาจหน้าที่กับองค์กรของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่ยังมีผลไปถึงเรื่องสิทธิ เสรีภาพของประชาชนและการควบคุมตรวจสอบต่างๆ

โดยเฉพาะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญถือเป็นที่สุดและเด็ดขาด มีผลผูกพันบุคคล องค์กร และหน่วยงานของรัฐทั้งฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ จึงต้องยอมรับผลกระทบจากทุกฝ่าย

ตุลาการจึงต้องมีจรรยาบรรณ โดยเฉพาะความสุจริตเที่ยงธรรม ต้องไม่มีแม้แต่ความอคติ หรือความชอบ ความเกลียดชังส่วนตัว เพื่อยืนหยัดในความถูกต้อง ต้องพร้อมถูกตรวจสอบและถูกยื่นถอดถอนจากวุฒิสภา

วิกฤตศาลรัฐรรมนูญขณะนี้จึงส่งผลกระทบต่อตุลาการทั้งระบบ หลังจากก่อนหน้านี้มีการวิพากษ์วิจารณ์ “ตุลาการภิวัฒน์” ที่กล่าวหา 2 ประมุขศาลว่าเกี่ยวข้องกับการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ทำให้บ้านเมืองวิกฤตและกลายเป็น “ตุลาการวิบัติ” ขณะนี้

ชาวเน็ตจวกเละ

วิกฤตหรือความเสื่อมที่เกิดขึ้นกับศาลรัฐธรรมนูญยังดูได้จากกระแสสังคมชาวเน็ตที่แห่เข้าชมคลิปฉาว 3 ตอนใหม่หลังจากถูกเผยแพร่ไม่กี่วัน ปรากฏว่ามียอดเข้าชมหลายหมื่นครั้ง แถมโพสต์จวกเละว่าถ้าบทสนทนาเป็นความจริงก็ถือเป็นความเสื่อมเสียอย่างยิ่งกับกระบวนการยุติธรรม บางคนเชื่อว่าตุลาการไม่มีอิสระ ถูกอำนาจมืดแทรกแซง และเรียกร้องให้ลาออก แต่มีบางกลุ่มโพสต์ให้กำลังใจตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและนายอภิสิทธิ์ให้ทำงานต่อไป

อย่างผู้ใช้นาม TheFlukemon ระบุว่า “ผมไม่สนใครถ่ายคลิป ใครปล่อยคลิป ผมสนใจแต่ที่เขาพูดในคลิป 3 คลิปนี้ไม่จัดฉาก ถามเองตอบเองแน่ ฟังเขาพูดก็รู้แล้ว” bestbuysiam ระบุว่า “โดนเต็มๆ บอกตรงๆ เลยว่าควรปลดได้แล้ว ถ้าไม่ปลดแสดงว่าสมรู้ร่วมคิดกัน เผด็จการมันเป็นแบบนี้นี่เอง” genotype1000 ระบุว่า “วันนี้สื่อกระแสหลักไม่ใช่สื่อที่เป็นกลางอีกต่อไป สื่อที่เห็นแก่ผลประโยชน์ไม่สามารถเป็นที่พึ่งของประชาชนได้ ยุคนี้สื่อซื้อได้ถ้ามีเงินและปืน” kazilong ระบุว่า “ศาลประเทศนี้เป็นอย่างนี้นี่เอง สงสารประ- เทศนี้จริงๆ” DonXedoza ระบุว่า “นี่เพียงแค่ซ้อมละครเรื่อง “น้ำท่วมฟ้า ปลากินดาวเท่านั้นแหละ”

songthai ระบุว่า “มันชัดเจนแล้วว่าพวกมันเป็นพวกเดียวกันหมดอย่างที่เขาว่ากันจริงๆด้วย นี่แหละหนอมือที่มองไม่เห็นที่คอยบงการประเทศไทยที่คุณสมัครว่าไว้ อำมาตย์ครอบงำชาติหมด แล้ว” และข้อความว่า “เป็นกลางยังไง คนทั่วประเทศตาสว่างแล้ว พูดมาได้พวกมัน!!! อย่างโน้นอย่างนี้ เรียกฝ่ายโจทก์คือพรรคเพื่อไทยว่าพวกมัน เรียก ส.ส.เพื่อไทยว่าไอ้ตู่!! เหอๆ แถมยังเตรียมอีกเพียบ แต่แหกหมดแล้วครับ เจอแฉไปอีกรอบ!!! นี่แหละคนที่ คมช. ตั้งขึ้นมา” bundit1180 ระบุว่า “พระบิดาแห่งกฎหมายไทยเคยสอนไว้ว่า เอ็งกินเหล้าเมายาไม่ว่าหรอก...แต่อย่ากินสินบาทคาดสินบน ลืมหรือยังท่านระพีฯสอนไว้น่ะ”

ถามหาความรับผิดชอบ

แม้วันนี้จะมีเสียงเรียกร้องให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญลาออกทั้งคณะ แต่พรรคประชาธิปัตย์ที่มีนายอภิ-สิทธิ์เป็นหัวหน้าไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้เช่นกัน หาก “ความจริง” ในคลิปไม่ปรากฏหรือยังคลุมเครือ แค่การตำหนินายวิรัชมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมเท่านั้น ทั้งที่นายวิรัชเป็นฝ่ายกฎหมายของพรรคและเป็น ส.ส. หลายสมัย จึงมีวุฒิภาวะมากพอที่จะรู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก ก่อนหน้านี้มีกรณีนายทศพล เพ็งส้ม ส.ส.นนทบุรี พรรค ประชาธิปัตย์ ที่เป็นทีมกฎหมายของพรรคไปรับเอกสารจากเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญนอกสถานที่ว่ามีเบื้องหลังอะไรหรือไม่ แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้คือความไม่เหมาะสม

กรณีคลิปฉาวคดียุบพรรคประชาธิปัตย์จึงอาจมองได้ทุกแง่มุม ไม่ใช่จะระบุทันทีว่าเป็นพรรคการ เมืองฝ่ายตรงข้าม แต่ไม่ว่าจะเป็นฝีมือของฝ่ายใด ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้ว่าไม่ได้เป็น “โสเภณี” ที่ใครจะซื้อหรืออยู่ภายใต้อำนาจของกลุ่มใดที่จะสั่งได้

ขณะเดียวกันมีเสียงเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์แสดงความรับผิดชอบด้วยการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ เพราะไม่ว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ออกมาอย่างไรก็มีข้อกังขาและถูกโจมตีทั้งจากฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยแน่นอน

หากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญตัดสินไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์จะมีกระแสการเมืองและกระแสสังคมกดดันศาลรัฐธรรมนูญจนอาจมีคนบางกลุ่มถือโอกาสสร้างสถานการณ์ให้ลุกลามบานปลาย และนำไปสู่ข้ออ้างให้กองทัพทำรัฐประหารได้

รัฐบาลเน่า-ผู้นำหมดสภาพ?

โดยเฉพาะการโจมตีถึงภาวะความเป็นผู้นำของนายอภิสิทธิ์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นหลายครั้งว่ามีภาวะความเป็นผู้นำที่จะบริหารบ้านเมืองหรือไม่ ไม่ใช่แค่เชื่องช้าและไม่เด็ดขาด แต่ยังเต็มไปด้วยข่าวการทุจริตคอร์รัปชันมากมาย ปัญหายาเสพติดและแก๊งมาเฟียก็เต็มบ้านเต็มเมือง แม้แต่ปัญหาสลากขายเกินราคาและเจ้ามือหวยเถื่อนที่เคยประกาศจะกวาดล้างอย่างเด็ดขาดก็แก้ไม่ได้ ทั้งยังมอมเมาประชาชนโดยให้พิมพ์สลากกินแบ่งรัฐบาลเพิ่มอีกถึง 18 ล้านฉบับ จึงเหมือนการส่งเสริมมาเฟียกองสลากและเจ้ามือหวยเถื่อนที่มีเงินหมุนเวียนนอกระบบนับหมื่นล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนมีสีและนักการเมือง

อย่างที่ พล.ต.ต.วิสุทธิ์ วานิชบุตร รองผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี เปิดโปงการโยกย้ายนายตำรวจที่ไม่เป็นธรรม เพราะตนไปขัดแย้งกับเจ้ามือหวยเถื่อน บ่อนการพนัน และการค้าน้ำมันเถื่อน รวมถึงนักการเมืองใกล้ชิดนายกรัฐมนตรีชื่อ “สระอิ สระอา” จึงถูกกลั่นแกล้ง ทั้งยังโจมตีคนใกล้ชิดนายอภิสิทธิ์ว่าเป็น “วอลเปเปอร์เน่า” ที่ทำให้คนในบ้านติดโรค ทำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติตั้งคณะกรรมการตรวจสอบด้านวินัยกับ พล.ต.ต.วิสุทธิ์ นอกจากนี้นายศิริโชคยังเตรียมฟ้อง พล.ต.ต.วิสุทธิ์อีกด้วย

การออกมาพูดความเน่าเฟะในระบบราชการและ การเมืองจึงอาจทำให้ พล.ต.ต.วิสุทธิ์ตายเหมือน “จ่าเพียร” (พล.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา) ที่ก่อนหน้านี้ก็ออกมาร้องขอความเป็นธรรมกับนายอภิสิทธิ์แต่ถูกเพิกเฉยจนเสียชีวิตในที่สุด

ความจริงกับโจร?

บ้านเมืองขณะนี้จึงเหมือนอยู่ภายใต้แดนสนธยาที่ไม่ใช่แค่ 2 มาตรฐาน แต่หลายมาตรฐาน เพราะแม้แต่กระบวนการยุติธรรมที่ตุลาการเคยเป็นเสาหลักยังสั่นคลอน และถูกตั้งคำถามถึงความสุจริตเที่ยงธรรม

ศาลรัฐธรรมนูญจึงต้องตรวจสอบเพื่อค้นหา “ความจริง” มาพิสูจน์ต่อประชาชน ไม่ใช่พยายามปิดบังข้อมูลและเบี่ยงเบนประเด็นไปที่ผู้เผยแพร่คลิป ซึ่งมีแต่จะทำให้สังคมกังขาและไม่เชื่อมั่น

อย่างที่นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ยืนยันว่าต้องทำความจริงให้ปรากฏเท่านั้นจึงจะยุติวิกฤตและเรียกความเชื่อมั่นของศาลรัฐธรรมนูญกลับคืนมาได้

ไม่ใช่แค่จับผู้เผยแพร่คลิปเท่านั้น แต่ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเนื้อหาในคลิปนั้นจริงหรือเท็จ ไม่ใช่ใช้คำพูดหักล้างและกล่าวหาใครเป็น “โจร” หรือ “คนผิด” แต่ทั้งหมดอยู่ที่ “ความจริง” ที่จะให้ความยุติธรรมอย่างแท้จริง

“ตุลาการ” วันนี้กำลังอยู่ท่ามกลางพายุและอุทกภัยที่โหมกระหน่ำ...กำลังจะจมแหล่มิจมแหล่...

ธรรมชาตินั้นช่างโหดร้ายในยามที่เกิดภัยพิบัติ แต่เมื่อสืบสาวราวเรื่องย้อนกลับไปก็จะพบว่า “มนุษย์” นั่นเองที่โหดร้ายกับธรรมชาติ ทำลาย “สมดุล” ของธรรมชาติ จึงถูกธรรมชาติ “เอาคืน”

“กฎแห่งกรรม” โดยแท้... บุ๋ง...บุ๋ง...บุ๋ง...!!

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
***********************************************************

3 คน (กทช.) ยลตามช่อง นับถอยหลังภารกิจ กทช. ?

หลังศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งชะลอการดำเนินการออกใบอนุญาตบริการโทรศัพท์มือถือ 3G ของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กทช. ไม่ได้ทำให้อภิโปรเจ็กต์ 3G ล่มไม่เป็นท่าเท่านั้น แต่ยังกระทบถึงการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมโทรคมนาคมภายใต้ความรับผิดชอบของ กทช.อีกด้วย โดยเฉพาะภารกิจที่มีความเกี่ยวพันกับคลื่นความถี่

ล่าสุดกับกรณีการอนุมัตินำเข้าอุปกรณ์โทรคมนาคม มีตั้งแต่อุปกรณ์อย่างสถานีฐานโทรศัพท์มือถือ และอื่น ๆ อีกมากมาย รวมถึงโทรศัพท์มือถือด้วย ซึ่งเดิม กทช.มอบอำนาจให้สำนักงาน กทช.ดำเนินการได้ เป็นต้น

เมื่อไม่มี 3G เมื่ออำนาจ กทช.มีปัญหา "รัฐบาล" เดินหน้าผลักดันแผนบรอดแบนด์แห่งชาติ และ กม.จัดตั้งองค์กรอิสระกสทช.เต็มตัว ถึงกระนั้นหลายฝ่ายมองว่าต้องใช้เวลาอีกเป็นปี กว่าจะมี "กสทช." มาทำหน้าที่แทน

ไม่ต้องพูดถึงว่าจะการเปิดประมูลใบอนุญาต 3G ได้เมื่อไร

มีโอกาสพูดคุยกับ กทช. "พนา ทองมีอาคม-สุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร และ นที ศุกลรัตน์" หลากหลายแง่มุม มีรายละเอียดน่าสนใจดังนี้

- งานสำคัญหลายอย่างดูจะชะงักไป มีภารกิจในมือที่ต้องทำอะไรบ้างในขณะนี้

พ.อ.นที : ถึงประมูล 3G ไม่ได้ แต่หน้าที่ในการให้ความรู้ประชาชนเรื่องเทคโนโลยีต่าง ๆ ยังต้องทำ กำลังเตรียมการจัดการสัมมนาพร้อมโชว์เทคโนโลยี LTE วันที่ 4 -5 พ.ย.นี้ จะนำเทคโนโลยี TD-LTE จากสวีเดนของโซนี่ อิริคสัน มาโชว์ความเร็ว 80-100 Mbps เพื่อให้นักศึกษา อาจารย์มหาวิทยาลัย ประชาชนทั่วไปเห็นเทคโนโลยี 4G บนคลื่น 2.3-2.5 GHz งานนี้จะจัดที่หอประชุม กทช. ใช้งบประมาณแค่เช่าช่องสัญญาณลิงก์ไปต่างประเทศประมาณ 80,000 บาทเท่านั้น

อีกงานที่กำลังเตรียมอยู่ ถือเป็นงานที่กำหนดอนาคตของประเทศเหมือนกัน อีก 2 สัปดาห์ถึงจะเปิดเผยได้ ต้องรอให้ บอร์ด กทช.มีมติอีกครั้ง

พนา : ตอนนี้ได้รับมอบหมายให้ดูแลเรื่องวิทยุโทรทัศน์ และการเชื่อมต่อต่าง ๆ ที่กำลังพยายามผลักดันให้เกิดให้ได้ คือการสร้างสำนักงานกิจการวิทยุโทรทัศน์ ที่จะมาทำหน้าที่กำกับดูแลผู้ประกอบการด้านนี้ เพราะก่อนหน้านี้ กทช.ได้ให้ใบอนุญาตให้บริการเคเบิลทีวี วิทยุชุมชนไปแล้วจำนวนหนึ่ง จึงจำเป็นต้องมีหน่วยงานมากำกับดูแลผู้ได้รับใบอนุญาต แต่จากนี้จะมีการให้ใบอนุญาตเพิ่มอีกหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความเห็นของคณะอนุกรรมการวิทยุกระจายเสียง ว่าจะพิจารณาเบื้องต้นอย่างไรเกี่ยวกับกรอบอำนาจของตัวเอง

นอกนั้นก็มีงานอื่น ๆ ที่ประธานบอร์ด กทช.ได้รับมอบหมาย อาทิ การสร้างความสัมพันธ์กับต่างประเทศในการให้ความรู้และการศึกษา เพื่อพัฒนาบุคลากรให้มีความสามารถในการกำกับดูแลวิทยุกระจายเสียงไว้รองรับการทำงานขององค์กรกำกับดูแลใหม่ กสทช.ด้วย

สุรนันท์ : กำลังทำแผนบริการทั่วถึง ซึ่งต้องมีการปรับแผน จากเดิมที่เคยคิดว่าจะนำร่องไปพร้อมกับการออกใบอนุญาต 3G แต่เป้าหมายในแง่พื้นที่ยังคงเดิมคือขยายบริการบรอดแบนด์ไปยัง 45,000 แห่งทั่วประเทศ ภายใน 5 ปี

- คำสั่งศาลมีผลต่อการทำงานของ กทช. มาก

พนา : ต้องระมัดระวังรอบคอบอย่างสูง เพื่อไม่ให้เป็นการละเมิดคำสั่งศาล แต่ก็ยังมีงานอื่น ๆ ที่สามารถทำได้ ไม่ใช่ต้องหยุดไปทั้งหมด

- กลัวมากไปหรือเปล่า

พนา : กทช.เข้าใจว่าการต้องทำงานด้วยความระมัดระวังแบบนี้ อาจทำให้เอกชนได้รับความไม่สะดวกบางอย่าง อาทิ เรื่องขออนุมัตินำเข้าอุปกรณ์ ตัวเครื่องโทรศัพท์มือถือที่เดิมมอบอำนาจให้สำนักงาน กทช.อนุมัติได้เอง แต่ขณะนี้ต้องให้บอร์ด กทช.กลั่นกรองอีกชั้นก่อนอนุมัติได้ เราก็ห่วงว่าจะกลัวเกินไปไหม แต่ก็จำเป็น เพราะทุกคนควรเคารพคำสั่งศาล

ก็มีเรื่องที่เอกชนยื่นขอนำเข้าโทรศัพท์รอเข้าบอร์ดพอสมควร จะเร่งดูให้เพื่อความรอบคอบและไม่ละเมิดคำสั่งศาล เพราะเข้าใจว่าทั้งประชาชนและผู้ประกอบการเสียประโยชน์ เราก็เห็นใจที่ธุรกิจต้องรับภาระค่าเช่าโกดัง ค่าประกันภัยเพิ่ม และยังเสียโอกาสในการหารายได้ ยอมรับว่ากลายเป็นอุปสรรค แต่ไม่ได้ถึงขั้นรุนแรงมากนัก

- ทุกอย่างต้องเข้าบอร์ดหมดจะไหวหรือ

พนา : กทช.มีตั้ง 7 คน ต้องทำไหว แม้จะมีอุปสรรคบ้างก็ต้องทำให้ได้

- อุปสรรคอยู่ที่ไหน

นที : ศาลบอกว่าตอนนี้ยังไม่มีคณะกรรมการร่วมที่จะมาทำตารางคลื่นความถี่แห่งชาติ ทำให้ กทช.ต้องระวังในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการใช้คลื่นความถี่มาก ถ้าอะไรที่จำเป็นเกี่ยวกับความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคง กทช.ก็ต้องอนุมัติ คือเป็นการตีความของกฎหมายที่มีความเห็นต่างกันอยู่ อย่างเรื่องวิทยุชุมชน กทช.ก็ทำโดยใช้อำนาจ พ.ร.บ.ประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง และวิทยุโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 ที่มีบทเฉพาะกาลให้ทำหน้าที่เป็น กสช.ได้ชั่วคราว

หลาย ๆ อย่างเป็นเรื่องที่ต้องตีความกัน

พนา : การทำงานต่าง ๆ ต้องการนโยบายและสิ่งแวดล้อมที่นิ่ง ถ้าไม่มีก็ทำให้การทำงานต่าง ๆ ทำได้ยาก เหมือนกำลังเตะฟุตบอล แต่ไม่รู้กติกาว่าเล่นแบบไหน หรือทำอะไรแล้วผิดกฎ

- สรุปค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการจัดประมูล 3G ?

นที : คณะกรรมการกำลังเจรจากับเอกชน กำลังพยายามต่อรองลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้ได้ โดยเฉพาะสิ่งที่ยังไม่ได้เริ่มดำเนินการ ณ วันที่ศาลมีคำสั่ง ซึ่งได้ประชุมร่วมกันไปแล้ว 1-2 ครั้ง คงต้องรออีกสักพักถึงจะสรุปตัวเลขค่าใช้จ่ายได้

- วาระเร่งด่วนที่บอร์ดต้องพิจารณา

นที : ก็มีหลายวาระ อย่างล่าสุดมีมติไม่รับคำอุทธรณ์ของทีโอที เรื่องการจ่ายค่าธรรมเนียมเลขหมายพิเศษ 3 หลัก 4 หลัก ที่ทีโอทีค้างชำระตั้งแต่ปี 2548 เป็นเงินกว่า 656.5 ล้านบาท โดยอ้างว่าเป็นเลขหมายเก่าที่ใช้งานเองก่อนมี กทช. แต่จริง ๆ แล้วทีโอทีนำไปให้ผู้ประกอบการเอกชนอื่นใช้บริการ ซึ่งตามประกาศ กทช.เรื่องค่าธรรมเนียมเลขหมายถือว่าเข้าข่ายที่ทีโอทีต้องจ่ายค่าธรรมเนียม แต่ทีโอทีกลับยื่นหนังสือให้ กทช.ไปเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้ เลขหมายเอง

กทช.ก็อาจต้องพิจารณาว่าจะฟ้องทีโอทีให้จ่ายค่าธรรมเนียมที่ค้างอยู่ทั้งหมด หรือไม่ทีโอทีก็อาจฟ้อง กทช.ที่ไม่รับคำอุทธรณ์ก็ได้ ใคร ๆ ก็ฟ้อง กทช.ได้อยู่แล้ว

อีกเรื่องคือการขอคืนคลื่นเพื่อไปจัดสรรใหม่ โดยเฉพาะคลื่น 1900 MHz ของทีโอที ที่หลังเปิด 3G แล้วจะมีประมาณ 15 MB ที่ไม่ได้ใช้ แต่ทีโอทีอ้างว่าจะนำคลื่นที่เหลือนี้ไปเปิดให้บริการ 2G ซึ่งไม่มีความจำเป็น เพราะมี 3G อยู่แล้ว หากยึดคลื่นทั้งหมดไว้คนเดียวไม่เป็นธรรมกับคนอื่น

กทช.ต้องการดึงกลับมาให้คนอื่นใช้บ้าง โดยเฉพาะบริการด้านโมบายทีวี ที่จะเกิดขึ้นหลังตั้ง กสทช.แล้ว คงต้องอาศัยอำนาจจากประกาศรีฟาร์มมิ่งเข้าไปดำเนินการ

- กสทช.ที่ตั้งใหม่จะเจอปัญหาอะไรบ้าง

พนา : เป็นธรรมดาขององค์กรที่ตั้งใหม่ ที่ต้องเจอปัญหาเรื่องการใช้กฎหมาย การตีความกฎหมาย เพราะทุกอย่างเป็นของใหม่หมด ช่วงแรกยังไม่รู้ขอบเขตของอำนาจที่แน่ชัด ทำให้ต้องตีความกฎหมายเยอะ

ขณะที่การเซตโครงสร้างองค์กรใหม่ การจัดบ้านใหม่คงโกลาหล เพราะต้องรับช่วงของเก่า และต้องหารูปแบบที่เหมาะสมสอดคล้องกับกฎหมาย

นที : เรื่องนี้ตอบได้ยากว่าจะต้องใช้เวลาเซตตัวแค่ไหน อยู่ที่ว่า กสทช.ชุดใหม่จะมีความเห็นสอดคล้อง มีกระบวนการทำงานเป็นไปในแนวทางเดียวกันหรือไม่ ยิ่งใน 1 องค์กรแบ่งงานเป็น 2 ส่วน และเป็นของใหม่ทั้งนั้น จะให้ตั้งขึ้นมาแล้วเดินหน้าทำงานได้เลย คงไม่สามารถ

สุรนันท์ : เป็นห่วงเรื่องที่มาและองค์ประกอบของกรรมการ กสทช. อาจมีปัญหาในเชิงปฏิบัติ องค์กรนี้มีความจำเป็นที่จะต้องมีความเป็นอิสระ มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงาน แต่สิ่งที่เขียนในร่าง กม. กสทช.สะท้อนความเป็นอิสระหรือไม่ ไม่แน่ใจ เพราะมีการกำหนดให้เป็นตัวแทนของกลุ่มต่าง ๆ

ไม่ว่าจะกลุ่มไหน การกำหนดแบบนี้ เท่ากับสะท้อนให้เห็นการเป็นตัวแทนกลุ่มผลประโยชน์ได้ ซึ่งบทบาทหน้าที่ของ กสทช.ควรมองภาพรวมและมองประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก ไม่ใช่ประโยชน์ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

การเปิดช่องให้มีการแทรกแซงจากการเมืองได้ก็น่าเป็นห่วง กรณีองค์ประกอบของกลุ่มตัวแทนไม่ครบ

ผมยังคิดว่ากระบวนการสรรหา กทช. เดิมก็มีความเป็นอิสระทำงานได้พอสมควร ช้าบ้างเร็วบ้าง แต่ละคนไม่ได้เป็นตัวแทนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

- มองนโยบายรัฐบาลด้านโทรคมนาคมอย่างไร

พนา : คงไม่วิจารณ์นโยบายรัฐบาล เพราะเป็นเรื่อง กทช. ในฐานะองค์กรอิสระก็ต้องพยายามทำงานให้สอดคล้องอยู่แล้ว

ที่มา:ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

**********************************************************