--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

นายอภิสิทธิ์และศาลอาญาระหว่างประเทศ

โดย Political Prisoners



หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ด้เผยแพร่บทความเกี่ยวกับ“รายงานเบื้องต้นสถานการณ์ในราชอาณาจักรไทยที่อาจถือเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” ของสำนักงานกฎหมายอัมสเตอร์ดัม แอนด์ พีรอฟฟ์ ซึ่งยื่นในนามของ “แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติและบุคคลอื่น”

หลังจากอ่านบทความนี้แล้ว PPT (Political Prisoners Thailand) สงสัยว่าผู้เขียนบทความเคยอ่านรายงานดังกล่าวหรือไม่ เนื่องจากประเด็นที่หยิบยกขึ้นมาหรือแม้แต่ประเด็นของข่าวในบทความชิ้นดังกล่าว โดยเราจะขออธิบายว่าเหตุใดเราจึงสงสัยเช่นนั้น

ตอนต้นผู้เขียนกล่าวว่า “การประกาศของกลุ่มคนเสื้อแดงและอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยหวังว่าจะดำเนินคดีต่อนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในข้อหาอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ในศาลอาญาระหว่างประเทศ นั้นเป็นเรื่องที่น่าตกใจอย่างยิ่งในประเด็นของการบิดเบือนการใช้กระบวนการยุติธรรม”

ในรายงานดังกล่าวระบุชื่อนายอภิสิทธิ์ แต่นายอภิสิทธิ์เป็นเพียงหนึ่งใน “รายชื่อทั้งหมด 15 รายชื่อ ซึ่งทั้งหมดเป็นสมาชิกคนสำคัญของรัฐบาลและกองทัพ โดยส่วนใหญ่เป็นบุคคลที่มีตำแหน่งระดับสูงในศอฉ. และเป็นบุคคลที่คนทั่วไปรับรู้ดีว่ามีส่วนในการร่างนโยบายอันนำไปสู่อาชญากรรมที่ได้อธิบายไว้ในรายงาน”

ผู้เขียนยังกล่าวต่อว่า “ทนายความชาวอเมริกันที่เป็นที่พึ่งพิงและไร้รสนิยมของทักษิณ นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัมเป็นผู้ร่างรายงานฉบับนี้ และยังทำหน้าที่เป็นประชาสัมพันธ์ โดยสรุปคือ นายอัมสเตอร์ดัมยื่นเอกสารดังกล่าวในนามของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติต่อศาลอาญาระหว่างประเทศเพื่อให้ดำเนินคดีต่อนายอภิสิทธิ์”

ในขณะที่เราตั้งคำถามกับประเด็นที่ใช้โจมตีนายอัมสเตอร์ดัม เราจะต้องเข้าใจก่อนว่ารายงานดังกล่าวไม่ได้มีวัตถุประสงค์ที่จะดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์ แต่เป็นการทำรายงานเบื้องต้น เพื่อที่จะให้อัยการศาลอาญาระหว่างประเทศพิจารณา และท้ายที่สุดจะนำไปสู่การดำเนินคดี ประเทศไทยไม่ได้ให้สัตยาบันในบทบัญญัติศาลอาญาระหว่างประเทศ ดังนั้นเหตุการณ์ดังกล่าวจึง “อาจจะสามารถที่จะนำเข้าสู่เขตอำนาจของศาลอาญาระหว่างประเทศได้ ซึ่งประเด็นดังกล่าวจะอธิบายในเอกสารอีกฉบับซึ่งจะยื่นในนามของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติและบุคคลอื่น อีกภายใน 8 สัปดาห์”

โดยปราศจากข้อโต้แย้งใด ผู้เขียนกล่าวว่า “บุคคลที่มีความคิดอันถูกต้องจะต้องประณามการทำให้กระบวนการยุติธรรมแปดเปื้อนและทักษิณ และจะต้องสั่งให้มีการหยุดดำเนินการดังกล่าว”

เพราะเหตุใด? มันจะทำให้กระบวนการยุติธรรมแปดเปื้อนอย่างไร? คดีดังกล่าวเป็นคดีที่ระบุว่ารัฐบาลไทยกระทำผิดกฎหมาย และบางทีประเด็นของกระบวนการยุติธรรมที่ควรจะถูกตั้งคำถามคือความเสื่อมโทรมของระบบกฎหมายไทยที่ดำเนินมาในระยะเวลาหนึ่งและเมื่อไม่นานมานี้ นายอัมสเตอร์ดัมและทีมงานพยายามดำเนินคดีและแสวงหาความถูกต้องของระบบกฎหมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่เหมือนกับว่าหาไม่ได้ในประเทศไทย ลองไปถามผู้ที่ถูกพิพากษาจำคุก และถูกดำเนินคดีลับในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือถามคนที่ดูวิดีโอของผู้พิพากษาที่กำลังเจรจาต่อรองเรื่องผลประโยชน์ที่ผิดกฎหมาย

ต่อมาผู้เขียนยังพยายามที่จะตำหนิศาลอาญาระหว่างประเทศเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว “รายงานเบื้องต้น” เผยให้เห็นถึงข้อตำหนิสำคัญในการกระบวนการดำเนินงานทั้งหมดของศาลอาญาระหว่างประเทศ ตามกฎของศาลอาญาระหว่างประเทศ ศาลมีหน้าที่จะต้องพิจารณาเอกสารอย่างจริงจัง เจ้าหน้าระดับสูงในศาลจะต้องพิจารณาข้อหาอันไร้สาระที่ถูกหยิบยกขึ้นโดยบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ บุคคลที่สามซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของโลกในขณะที่การชุมนุมของนปช.เิกิดขึ้น

อันที่จริง นายอัมสเตอร์ดัมอ้างว่าเขาอยู่ในกรุงเทพมหานคร ในขณะที่มีการสลายการชุมนุมครั้งสุดท้ายของกลุ่มคนเสื้อแดงเกิดขึ้น แต่นั้นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือความเห็นกลุ่มรัฐบาลไทยที่โกรธเคืองและคิดว่า การสังหารประชาชนของตนเอง (ครั้งแล้วครั้งเล่า) เป็นความผิดเพียงเล็กน้อย และคิดว่าศาลอาญาระหว่างประเทศนั้นมีข้อตำหนิที่พยายามจะพิจารณาข้อกล่าวหาที่เกี่ยวกับความรุมแรงืที่ก่อโดยรัฐบาล
ผู้เขียนได้หยิบยกหลักฐานเพื่อสนับสนุนข้ออ้างนี้  “การยื่นคำร้องให้ดำเนินคดีต่อนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันในข้อหาร้ายแรงอย่างอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ทำให้รัฐบาลทั้งหลายตั้งข้อสงสัยอย่างหนักต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ”

อะไรกัน? จะปล่อยให้อภิสิทธิ์หลุดพ้นความผิดเพราะเป็นนายกรัฐมนตรีอย่างนั้นหรือ? ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น หลังจากนั้นมีการเพิ่มเติมไปด้วยว่าการสังการพลเรือนนั้นเป็น “เรื่องการเมือง” และยังกล่าวว่า “ประเทศไทยเป็นหนึ่งใน 114 ประเทศที่ลงนานในบทบัญญัติแห่งกรุงโรม ซึ่งให้อำนาจก่อตั้งศาลอาญาระหว่างประเทศในปี 2545 แต่ประเทศไทยไม่เคยให้สัตยาบันในบทบัญญัติดังกล่าว ผู้เชียวชาญในประเทศไทยเกรงกลัวมานานว่าศัตรูทางการเมืองของตนเองจะใช้ความพยายามอันมีศีลธรรมนี้ในการนำข้อเท็จจริงขึ้นสู่ศาลโลก ประเทศหลายประเทศมีความคิดเห็นเหมือนกัน รวมถึงอเมริกา รัสเซีย อิหร่าน ฟิลิปปินส์และจีน” โดยประเทศที่ไม่ได้ให้สัตยาบันเหล่านี้กระทำอาชญากรรมซึ่งอยู่ในอำนาจการพิจาณาของศาลอาญาระหว่างประเทศหลายครั้ง  อ่านเรื่องราวของสหรัฐอเมริกาได้ที่นี่

อย่างไรก็ตามเราคิดว่าจำนวนของประเทศที่ให้สัตยาบัน แต่ไม่ได้ลงนามมี 35 ประเทศ ไม่ใช่ 114 ประเทศ โดยมี 113 เป็นสมาชิก

ผู้เขียนกล่าวว่า “วัตถุประสงค์ของศาลอาญาระหว่างประเทศ คือการนำผู้นำเผด็จการที่น่าประณามอย่างที่สุดเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดี กระบวนการแซกแทรงควรจะเกิดขึ้นเมื่อประเทศดังกล่าวกำลังจะแตกสลาย มีผู้นำประเทศที่เป็นเผด็จการทรราช และศาลโลกเป็นที่พึ่งเดียวของประเทศ”

ข้ออ้างดังกล่าวนั้นไม่ถูกต้องด้วยเช่นกัน ศาลอาญาระหว่างประเทศเป็น “ศาลอิสระและถาวรที่ดำเนินคดีกับบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่า กระทำความผิดทางอาญาที่นานาประเทศรู้สึกกังวล อาทิเช่น การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ และอาชญากรรมสงคราม” ซึ่งเป็นศาลตัวเลือกสุดท้าย แต่ประเด็นสำคัญคือ “ศาลจะไม่ดำเนินการใด หากคดีดังกล่าวถูกสอบสวน หรือนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของประเทศดังกล่าวแล้ว นอกเสียจากว่า กระบวนการดังกล่าวไม่มีความแท้จริง อาทิเช่น หากกระบวนการดังกล่าวใช้เป็นเครื่องมือในการปกป้องบุคคลจากความรับผิดทางอาญาเพียงอย่างเดียว ” ซึงเป็นประเด็นที่ถูกอ้างถึงในรายงานเบื้องต้น

จากนั้น ผู้เขียนได้กล่าวอย่างโง่เขลาว่า “มีการแสดงความเห็นขัดแย้งต่อเหตุการณ์สลายการชุมนุมในเดือนเมษายนและพฤษภาคมอย่างมีเหตุมีผล แลยังมีความรู้สึกที่รุนแรง ต่อการที่นายอภิสิทธิ์สั่งสลายการชุมนุม ในวันที่ 19 พฤษภาคม แต่ระบบกฎหมายของประเทศไม่ได้ล้มเหลว นายอภิสิทธิ์จะรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในการเลือกตั้งทั่วไปปีหน้า” “การอภิปราย” ว่าจะปกปิดการตายของประชาชนหลายรายเป็นการอภิปรายที่ “สมเหตุสมผล”? จริงเหรอ? ข้อโต้แย้งนี้ขัดต่อหลักเหตุผลและกฎหมาย และยังทำให้นึกถึงข้อโต้แย้งที่เกี่ยวกับทักษิณ การเลือกตั้งและการเลือกตั้ง

แต่ประเด็นที่น่าหงุดหงิดคือ ผู้เขียนรู้สึกกังวลว่าการหยิบยกข้อกล่าวหาดังกล่าวต่อศาลอาญาระหว่างประเทศนั้น เป็นวิธีการ “ที่ทำลายเชื่อเสียงของประเทศชาติ” และเป็นการทำร้ายกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยและของนานาประเทศ” และนี่คือประเด็นสำคัญ หนึ่งในเหตุผลที่อภิสิทธิ์ถูกแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คือการแก้ชื่อเสียงของประเทศไทยหลังจากรัฐประหารในเวทีโลก ซึ่งที่จริงแล้ว นายอภิสิทธิ์ได้ทำให้ชื่อเสียงประเทศนั้นแย่ลงกว่าเดิม

ผู้เขียนควรจะหยิบยกข้อเท็จจริง ใช้เหตุผลและหลักกฎหมายในการโต้แย้ง แทนที่จะพูดจาเพ้อเจ้อเกี่ยวกับเพื่อนและญาติพี่น้องที่กำลังตกที่นั่งลำบาก

วันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เรื่องที่มากับ น้ำท่วม

โดย:นักวิชาการ ลูกพ่อขุน

จากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ทำให้ผมได้เห็นอะไรหลายๆอย่าง ที่หลายคนมองข้ามไป วันนี้เลยเอามาเล่าสู่กันฟังเผื่อจะสะกิดใจใครให้รู้สำนึกเสียทีว่าประเทศนี้กำลังเกิดอะไรขึ้น

เริ่มจากคุณหนูอภิสิทธิ์ ที่ร้อยวันพันปีไม่เคยลงพื้นที่เลยเพราะกลัวถูกลอบฆ่าจากใครก็ไม่รู้ที่ยังไม่เคยมีหลักฐานใดๆ ก็ต้องลงพื้นที่เพื่อสร้างภาพพร้อมการ์ดนับร้อย เดินทางลงพื้นที่บอกว่าจะมาช่วยประชาชนที่ประสบอุทกภัย แต่ภาพที่เห็นคือคุณหนู่ท่านก็นั่งอยู่บนเรือยาง สวมชูชีพไม่เปียกน้ำสักนิด คอยโปรยยิ้มให้กับชาวบ้านที่ต้องว่ายน้ำเอาปากคาบดอกไม้มาถวายถึงกาบเรือ น่าชื่นใจจริงๆ พอเรื่องนี้ถูกถามโดยนักข่าวก็ได้รับคำตอบว่าไม่อยากทำเหมือนใคร(ทักษิณ)ผมไม่จำเป็นต้องลง

หลังจากนั้นไม่นานกระแสนายกลูกคุณหนูก็แรงจัดจนคนเริ่มหมั่นไส้ จนกุนซือประชาธิปัตย์ทนไม่ได้ต้องสะกิดหนูอภิสิทธิ์ให้ลงจากสวรรค์มาโปรดชาวโลก เปลี่ยนลุ๊คสวมบู๊ทยาวเก้ๆกังๆลงเหยียบน้ำที่ท่วมระดับไม่ถึงแข้ง แต่ทว่าหน้าตากลับบอกบุญไม่รับกับกลิ่นเน่าของน้ำแต่ต้องทำใจยิ้มสู้ เพื่อฐานเสียง ซึ่งเป็นพื้นที่ตัวเมืองล้วนๆไม่ได้เข้าไปในพื้นที่ประสบอุทกภัยร้ายแรงเลย

โดยปรกติไม่ว่ายุคใด เมื่อมีอุทกภัยสิ่งที่เราจะเห็นกันเป็นประจำคือผู้นำประเทศจะสั่งกองกำลังทหาร ออกมาช่วยเหลือประชาชนอย่างขันแข็ง ด้วยทหารมีเครื่องไม้เครื่องมือครบ แต่สำหรับคราวนี้เราแทบไม่เห็นบทบาทของทหารอย่างที่ควรจะเป็นเลย กลับเป็นสื่ออย่าง ช่อง 3 ที่กลายเป็นแม่ข่ายใหญ่ที่ดูและช่วยเหลืออย่างมีประสิทธิภาพ(อันนี้ต้องขอชื่นชมจากใจจริง)

ความจริงในหน่วยทหารมีทั้งรถสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก ยานยนต์สะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก(หรือที่เราเรียกว่าโฮเวอร์คราฟ) เรือปฏิบัติการขนาดเล็ก(เจ็ทสกีหรือเรือยาง)เป็นต้น ซึ่งที่กล่าวมาข้างต้นหน่วยงานทหารมีเป็นร้อยๆ ซึ่งยานยนต์พวกนี้สามารถเข้าถึงทุกพื้นที่ได้แม้จะเป็นพื้นที่เสียงแค่ไหนก้ตาม แต่เราก็ไม่เห็นมาวิ่งสักลำกลับจอดสงบนิ่งอยู่ในกรมกอง แม้แต่ในเขตจังหวัดทหารแท้ๆก็ไม่พบออกมาเลย เมื่อนักข่าวสายทหารถามประเด็นนี้กับทหารชั้นผู้ใหญ่ ก็ได้รับคำตอบว่าทหารไม่มีงบฯจึงไม่สามารถจัดเครื่องมือดังกล่าวไปช่วยชาวบ้านได้

ฟังดูก็น่าแปลกใจมิใช่น้อย ทั้งที่กลาโหมได้งบแบบกินเรียบจากการถวายของรัฐบาลหนูอภิสิทธิ์แล้ว เหตุใดกลับบอกว่าไม่มีงบประมาณอีก แล้วเงินที่ได้ทหารเอาไปใช้อะไรกันหมด ทั้งที่ความจริงก็ปรากฎกับสังคมว่าทหารสามารถนำยานยนต์ทหารพวกนี้ไปซ้อมรบกับต่างชาติ หรือแม้แต่ส่งไปช่วยประเทศแถบแอฟริกาปราบโจรสลัดแบบฟรี

ที่แย่สุดๆคือ สามารถเอากำลังทหารออกมาล้อมกรอบประชาชนและไล่ฆ่าที่ราชประสงค์ได้เป็นเดือนๆ มาตอนนี้ตอนที่กระทรวงกลาโหมได้งบประมาณมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา ตอนที่ประชาชนตาดำๆต้องทนทุกข์กับอุบัติภัยร้ายต้องการทหารมากที่สุดครั้งหนึ่งก็ว่าได้ กลับบอกว่างบประมาณไม่มี การจะนำยานยนต์ทหารมาช่วยชาวบ้านตาดำๆที่กำลังรอความช่วยเหลือจึงเป็นไปไม่ได้อย่างนี้มันเหมาะควรหรือ

ยังดีที่สังคมไทยยังไม่แล้งน้ำใจไปซะหมด เราจึงเห็นภาพเจ็ทสกีของพลเรือน ลากเรือขนของเข้าไปช่วยชาวบ้านกันในหน้าข่าว แต่มันน่าเสียใจตรงที่กลายเป็นภาคเอกชนที่เข้ามามีบทบาทในการช่วยเหลือพี่น้องที่มีทุกข์
แทนที่จะเป็นภาครัฐ เป็นเรื่องดีที่แย่ที่ต้องเห็นประชาชนช่วยกันเอง ที่บอกอย่างนี้เพราะหากรัฐบาลเข้มแข็งคงสามารถจัดการปัญหาได้ดีกว่านี้ ไม่ต้องรอให้คนในประเทศออกมาช่วยกันเอง

ในระบอบประชาธิปไตยเราเลือกตั้ง ส.ส.เพื่อเข้าไปดูแลบริหารประเทศ เมื่อประชาชนเดือดร้อนจึงเป็นหน้าที่หลักของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่ต้องเข้าช่วยเหลืออย่างสุดความสารถ หากวันนี้เรามีรัฐบาลแต่พึ่งไม่ได้กลับต้องมาช่วยกันเองเมื่อเกิดทุข์ แล้วรัฐบาลก็คอยปรบมือให้ ลองคิดดูดีๆซิว่าเราจะมีรัฐบาลแบบนี้ไปทำไมกัน

******************************************************

‘อภิสิทธิ์’หมดอำนาจก็กลายเป็น‘อาชญากร-ฆาตกร’

นายสิงห์ทอง บัวชุม นักวิชาการอิสระที่มีดีกรีนิติศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ ถือเป็นนักวิชาการที่มีมุมมองน่าสนใจเกี่ยวกับการเมืองการปกครองไทยคนหนึ่ง โดยเฉพาะการสะท้อนภาพการเกาะเกี่ยวอำนาจและผลประโยชน์ของรัฐบาลและทหาร

การเมืองในสถานการณ์ปัจจุบัน

การเมืองภาพใหญ่วันนี้ต้องยอมรับว่าเมื่อมีการวางกรอบของกลุ่มอำนาจเก่าที่ต้องการให้พรรคการเมืองอ่อนแอประสบผลสำเร็จ คือหลายพรรคการเมืองอ่อนแอลงไปมาก หลายพรรคการเมืองเมื่อเข้าไปเป็นรัฐบาลผสม รัฐบาลก็จะไร้ประสิทธิภาพ ไร้เอกภาพ มีก๊กมีเหล่า มีกลุ่มต่อรองเรื่องอำนาจและผลประโยชน์ในแต่ละกระทรวง ทบวง กรม วันนี้เราเห็นความชัดเจนว่ามีข่าวการทุจริตคอร์รัปชันในแต่ละกระทรวง ขณะเดียวกันก็มีข่าวการซื้อขายตำแหน่งในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการหลายกระทรวง รวมไปถึงการเล่นพรรคเล่นพวกที่เป็นข่าวคราวจนทำให้เกิดความเสียหายกับราชการมากที่สุดคือตำรวจและกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเห็นชัดเจนมากที่สุด เพราะสมัยนี้กลายเป็นใครเป็นพวก ใครยอมสยบให้ก็เอามาเป็นปลัด เป็นอธิบดี เป็นผู้บริหารระดับสูง อย่างปัญหาการตั้งปลัดกระทรวงมหาดไทย ตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นต้น นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้น

วันนี้รัฐบาลกำลังถูกระแสสังคมกดดัน ไม่ว่าจะเป็นสีไหนก็ตาม สีแดง สีเหลือง หรือสีที่เป็นกลางเยอะที่สุดก็ไม่พอใจเรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน เพราะแต่ละกระทรวงเกิดปัญหาทุจริตเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นโครงการไทยเข้มแข็ง โครงการชุมชนพอเพียง โครงการต้นกล้าอาชีพ โครงการในกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงสาธารณสุข วันนี้รัฐบาลทำได้แค่การตัดตอนเท่านั้น เช่น โครงการชุมชนพอเพียงก็มีแค่นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรีที่ลาออกไปเท่านั้น แล้วเรื่องก็จบ

ขณะเดียวกันในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทยก็มีข่าวเรื่องการทุจริตมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงคมนาคม คนในรัฐบาลพูดเองเรื่องการทำงานที่ส่อไปในทางไม่สุจริตหลายโครงการ ไม่ว่าจะเป็นข้าว มันสำปะหลัง ถนนไร้ฝุ่น เครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิดจีที 200 การสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอและการโยกย้ายนายตำรวจ

เมื่อภาพเป็นเช่นนี้กระแสสังคมก็โหมไปที่รัฐบาลว่าไม่สามารถจัดการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันได้ พรรคประชาธิปัตย์เองก็เกรงว่าจะส่งผลต่อการเลือกตั้ง จึงจำเป็นต้องผลักเรื่องการทุจริตทั้งหมดออกไปให้พรรคภูมิใจไทยที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล เพราะตัวเองต้องการเป็นนายสะอาด และพรรคภูมิใจไทยก็มีภาพไม่ดีนัก เมื่อประชาธิปัตย์เล่นเกมสาดโคลนมาเช่นนี้ก็ไม่กล้าทำอะไรมากเพราะตัวเองยังไม่พร้อมจะเลือกตั้งเช่นกัน แต่ต้องการสร้างภาพประชาธิปัตย์ว่าเป็นพรรคมือสะอาด จึงคิดการใหญ่โดยเขี่ยภูมิใจไทยออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงเพียงเพราะต้องการกวาดบ้านตัวเองก่อนจะเข้าสู่โหมดการเลือกตั้ง

ภาพในขณะนี้คือการออกโฆษณาโครงการของประชาธิปัตย์ โครงการซูเปอร์ประชานิยม มีการทำการตลาด ติดรูปนายอภิสิทธิ์และรัฐมนตรีต่างๆทั่วประเทศ นี่คือสัญญาณที่ออกมาว่าจะมีการเลือกตั้งกันแล้ว ในขณะเดียวกันทหารก็เริ่มไม่ไหวกับการเป็นไม้ค้ำให้รัฐบาลนี้ คือหมดแล้วซึ่งความอดทนกับรัฐบาลนี้ เพราะทหารก็มองว่ารัฐบาลชุดนี้มีแผลใหญ่เรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน

ขณะเดียวกันพรรคภูมิใจไทยก็ส่งสัญญาณเรื่องการปกป้องสถาบัน ซึ่งแน่นอนว่าคนไทยไม่ต้องการให้คนไปยุ่งกับสถาบัน นี่คือเรื่องที่คนไทยให้ความสำคัญมาก

มองคดียุบพรรคอย่างไร

วันนี้ไม่ว่าผลการตัดสินของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะออกมาอย่างไร จะยุบหรือไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ สุดท้ายพรรคประชาธิปัตย์ก็จะพบกับวิบากกรรมของตัวเองอยู่ดี เพราะวันนี้ประชาธิปัตย์จะมาอ้างถึงการจัดฉาก มัวแต่มาถามกันว่าใครจัดฉาก มันไม่ใช่เรื่องของการจัดฉาก แต่เป็นเรื่องของเนื้อหาในการพูดคุยกันมากกว่า เพราะในข้อเท็จจริงนั้นคุณไปล็อบบี้ศาลหรือเปล่า เมื่อก่อนคุณเคยบอกว่ามีการล็อบบี้ศาลให้มีการยกเลิก กกต. แต่วันนี้คุณวิรัช ร่มเย็น ส.ส.ระนอง พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นทั้งทนายความ เป็นคนที่เกี่ยวข้องกับคดี ทำไมต้องไปพบเจ้าหน้าที่ระดับสูงของศาลรัฐธรรมนูญ ถือเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง

ผลการตัดสินของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่าจะยุบหรือไม่ยุบประชาธิปัตย์จึงน่าจับตามองมากที่สุด หากตัดสินว่าไม่ยุบผมมองว่าพี่น้องคนเสื้อแดงคงจะลุกฮือทั้งประเทศ และเกิดความรุนแรงทางการเมืองอย่างแน่นอน เพราะเขาเชื่อว่าเป็นเรื่อง 2 มาตรฐาน

แล้วถามว่ากรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์รู้หรือไม่ อันนี้อยู่ที่พรรคประชาธิปัตย์จะตัดสินเพราะเชื่อว่าสุดท้ายคนผิดก็จะเป็นนายวิรัช ร่มเย็น คนเดียว เหมือนกับกรณีของนายทศพล เพ็งส้ม ส.ส.นนทบุรี ที่ไปรับเอกสารหลังจากเลิกทำงานของเจ้าหน้าที่ศาลแล้ว ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องตัดตอน เรื่องของคลิปเป็นเรื่องการตรวจสอบว่าใครทำอะไรบ้าง ไม่ใช่มาไล่จับคนที่เปิดเผย แล้วจะอยู่กันอย่างไรในเมื่อมีความพยายามโยนความผิดให้คนอื่น

ขณะเดียวกันความขัดแย้งในพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ใช่ไม่มี มีเหมือนกัน เพราะในขณะที่กลุ่มผลัดใบหรือกลุ่มผู้ใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์เองก็ไม่พอใจกลุ่มทศวรรษใหม่ที่มักจะทำอะไรข้ามหน้าข้ามตา หากมีการยุบพรรคเกิดขึ้นอาจมีการเอาคืนจาก ส.ส. รุ่นใหญ่ในพรรคประชาธิปัตย์ก็ได้ เพราะที่ผ่านมาก็ไม่ได้รักกันดูดดื่มนัก นายอภิสิทธิ์เองก็ไม่ได้มีคนรักมากนักในประชาธิปัตย์

ข่าวลือทหารเตรียมปฏิวัติเป็นเช่นไร

อยากจะเตือนไปยังทหารเหมือนกันว่าหากคุณปฏิวัติเมื่อไร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ลำบากแน่ เพราะวันนี้นอกจากคนเสื้อแดงที่ออกมาเรียกร้องเรื่องประชาธิปไตยแล้วยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับการทำปฏิวัติ ซึ่งคนเหล่านี้จะออกมาทันที เพราะเรื่องประชาธิปไตยเป็นเรื่องที่ไม่มีใครยอมรับง่ายๆ ซึ่งการปฏิวัติที่ผ่านมาก็ทำให้เราล้าหลังไปมากแล้ว อย่าคิดว่าประชาชนจะยอมให้ทหารทำเช่นนี้อีก ซึ่งช่วงที่ผ่านมาก่อนจะล้อมปราบประชาชนก็มีข่าวออกมาว่ามีนายทหารระดับสูงของกองทัพบกคนหนึ่งมีความกระสันจะใช้กฎอัยการศึกปราบปรามคนเสื้อแดง มีความพยายามที่จะทำทุกวิถีทาง แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ ทำให้นายทหารคนนั้นผูกใจเจ็บมาจนถึงวันนี้ นี่คือสาเหตุของการใช้กำลังทหารกับอาวุธสงครามในการปราบปรามคนเสื้อแดง ส่งผลให้คนไทยกับทหารใช้อาวุธเข่นฆ่ากันจนเสียชีวิต 91 คน บาดเจ็บเกือบ 2,000 คน ก็มาจากนายทหารระดับสูงคนนี้เช่นกัน

ข้อกล่าวหาไม่จงรักภักดี

เรื่องการกล่าวหากันว่าไม่จงรักภักดีเป็นการกระทำที่เลวร้ายที่สุด เพราะกล่าวหากันโดยไม่มีหลักฐาน หากเรามองย้อนกลับไปจะพบว่าบรรดาคนเก่งของประเทศไทยไม่ว่าจะเป็น ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ นายปรีดี พนมยงค์ ต่างก็โดนใส่ร้ายทั้งนั้น มาจนถึงท่านนายกฯทักษิณก็ไม่ต่างกัน เฉกเช่นเดียวกับการใส่ข้อกล่าวหาว่าก่อการร้ายให้กับนายบิน ลาดิน เลยทีเดียว

การตายของคนเสื้อแดงจะมีคำตอบหรือไม่

ขอพูดความจริงว่าตอนนี้เรากำลังทำทุกอย่างเพื่อให้ความจริงปรากฏออกมา และที่สำคัญ 6 ศพที่ตายในวัดปทุมวนารามฯถึงวันนี้ยังไม่มีการเผา ยังคงเก็บศพไว้เพราะยังไม่มีการชันสูตรพลิกศพ ที่ผ่านมามีการดำเนินการคืออัยการทำเรื่องส่งไปที่ศาลบอกว่าให้ตัดสินเพื่อชันสูตรพลิกศพ แต่ศาลบอกว่าไม่ใช่อำนาจศาลจึงส่งเรื่องกลับมาที่อัยการ ตอนนี้เรื่องอยู่ที่อัยการก็ยังไม่มีคำตอบออกมาว่าจะมีการชันสูตรกันเมื่อไร ศพที่อยู่ตรงนี้จะกลับมาเล่นงานรัฐบาลในเรื่องของการใช้กำลัง ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าอัยการจะดึงเรื่องไว้เช่นไร

ที่รัฐบาลออกมาบอกว่าคนเสื้อแดงยิงกันเอง อันนี้รัฐบาลยังไม่สามารถหาหลักฐานมาโยงกับเรื่องเหล่านี้ได้ เป็นการกล่าวอ้างกันลอยๆเท่านั้น แต่วันนี้รัฐบาลมามุขใหม่พยายามจะโยนว่าเป็นการยิงของคนชุดดำ ถามว่าวันนี้รัฐบาลมีทั้งอำนาจ มีทั้งสรรพกำลังทุกอย่าง แต่ยังไม่สามารถเอาคนชุดดำมาดำเนินการได้เลยแม้แต่คนเดียว รวมทั้งกรณีการเผาอาคารที่อยู่ในพื้นที่ชุมนุมรัฐบาลก็บอกว่าคนเสื้อแดงเผา แต่อยากจะบอกว่าในความเป็นจริงการเผาอาคารขนาดใหญ่เช่นนี้ไม่ใช่ใครก็ทำได้ เพราะต้องมีการเตรียมการ เตรียมความพร้อม ที่น่าสังเกตคือทำไมอุปกรณ์การเผาถึงไปอยู่ข้างบนอาคารได้ ต้องมีการเตรียมการมาอยู่แล้ว ผมกล้าพูดเลยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมาจากคำที่ว่า “คนเสื้อแดงเผายาง รัฐบาลเผาเมือง”

ทำไมต้องใส่ร้ายคนเสื้อแดง

ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าทั้งโทรทัศน์ วิทยุที่เป็นสื่อของรัฐบาลได้โจมตีคนเสื้อแดงมาโดยตลอด แม้แต่ทีวี.ของกลุ่มเสื้อเหลืองเองก็ออกมาโจมตี ซึ่งผมเคยออกมาบอกว่าที่ผ่านมาสื่อของรัฐบิดเบือนกล่าวหาคนเสื้อแดงมาตลอด ในขณะเดียวกันก็มีการฉายภาพความโหดร้ายของคนเสื้อแดง ทั้งๆที่ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด จนถึงวันนี้รัฐบาลจับมือคนเผาได้หรือไม่ ไม่ได้เลยสักคน แต่ภาพที่คนเสื้อแดงถูกยิงตายกลับไม่มีเลยที่จะไปจับภาพตรงนั้น

การทำเช่นนี้เป็นเหมือนการจ้องจะทำให้คนเสื้อแดงเป็นผู้ร้าย รัฐบาลเป็นพระเอก ทหารเป็นอัศวินอย่างนั้นหรือ คนเสื้อแดงไม่ใช่คนไทย ไม่ใช่ลูกหลานไทย ไม่ใช่คนอย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หรือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มองว่าคนเสื้อแดงไม่ใช่คนไทยเช่นเดียวกับคนเสื้อเหลืองอย่างนั้นหรือ เพราะคนเสื้อแดงรัฐบาลจับติดคุกหมด แต่คนเสื้อเหลืองแม้แต่จะออกหมายเรียกยังลำบากเลย เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วจะให้ไม่มองว่าเป็น 2 มาตรฐานได้อย่างไร

เชื่อหรือไม่ที่ทหารบอกว่าไม่มีการใช้สไนเปอร์

กรณีที่ พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เสนาธิการทหารบก บอกว่าไม่มีการใช้ปืนสไนเปอร์ในปฏิบัติการกระชับพื้นที่ล้อมปราบปรามคนเสื้อแดง ผมบอกเลยว่าเรื่องแบบนี้เช็กได้ไม่ยากหรอก เท่าที่ผมรู้ความจริงคือในส่วนของกองทัพมีกองกำลังชุดดำทั้งชุดประมาณ 120 คน ซึ่งทางกองทัพเรียกว่าหน่วยล่าสังหาร ชุดซุ่มโจมตี หรือหน่วยสไนเปอร์ ซึ่งการทำงานของหน่วยนี้ไม่ใช่ในแนวราบ แต่เป็นการซุ่มอยู่บนอาคารสูงบริเวณที่มีการชุมนุม คนที่จะขึ้นไปอยู่ในอาคารสูงได้จะเป็นใครนอกจากเจ้าหน้าที่รัฐ โดยดูได้จากการยิง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ก็เป็นการยิงมาจากอาคารสูงเช่นกัน

กรณี 11 นักรบเสื้อแดงเป็นอย่างไร

เป็นการจัดฉากที่ทำเป็นขบวนการ มีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เป็นตัวเดินเรื่อง เพราะขณะนี้ดีเอสไอเป็นองค์กรที่คอยรับใช้รัฐบาลในทุกกรณี เปรียบเสมือนว่าดีเอสไอเป็น (...) รับใช้รัฐบาลอย่างไม่ต้องสงสัย องค์กรนี้ทำตัวเองให้หมดความน่าเชื่อถือ ทั้งที่ผ่านมามีการมองกันว่าดีเอสไอประหนึ่งองค์กรเอฟบีไอเหมือนอเมริกา แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ เพราะเอฟบีไอไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจรัฐ เขามีอำนาจในการสอบสวน สืบสวนเรื่องทุกเรื่องอย่างอิสระ แต่วันนี้ดีเอสไอโดยเฉพาะอธิบดีไปรับใช้รัฐบาลทุกเรื่อง แม้แต่กรณีที่มีพลเรือนเอาสถานที่ของดีเอสไอไปแถลงข่าวเรื่องความสัมพันธ์กับดารา อย่างนี้มีที่ไหน ที่สุดดีเอสไอใครจะไปเชื่อถือ ทุกวันนี้คนในองค์กรนี้หมดความเชื่อถือในตัวผู้บริหารแล้ว

เรื่อง 11 นักรบแดงหากทำผิดจริงทำไมไม่ดำเนินการ คุณนำเขามาไว้เป็นพยานทำไม เพื่อจะจัดฉากให้มีการใส่ร้ายคนเสื้อแดงเท่านั้นหรือ ถ้ามีการทำผิดจริงคุณต้องดำเนินคดีจนถึงที่สุด และต้องมีพยานหลักฐานจริง แต่วันนี้คุณปิดบังทุกอย่าง

ข้อแตกต่างระหว่างเสื้อเหลืองกับเสื้อแดง

เสื้อเหลืองออกมาบอกว่าจะกู้ชาติ ทหารจึงอำนวยความสะดวกเต็มที่ ทุกสิ่งทุกอย่าง ในขณะที่คนเสื้อแดงออกมากลับถูกไล่ล่า ถูกฆ่าตายกลางถนน ทั้งๆที่พวกเขามือเปล่า ภาพข่าวที่ออกมาก็ชัดอยู่แล้วว่าคนเสื้อแดงไม่มีอาวุธ ที่สำคัญคนเสื้อแดงคือผู้ถูกกระทำจากอำนาจรัฐโดยตรง ต่างกันตรงนี้ คนเสื้อเหลืองคือส่วนหนึ่งของรัฐบาลนี้ คนเสื้อแดงไม่ใช่ ฉะนั้นอย่าเอามาเทียบกัน มันคนละเรื่อง

2 มาตรฐานส่งผลร้ายอย่างไร

เรื่อง 2 มาตรฐานเลวร้ายมาก ทั้งๆที่ตามรัฐธรรมนูญต้องมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน นายอภิสิทธิ์บอกว่าใช้นิติรัฐในการบริหารประเทศ แต่วันนี้นิติรัฐกำลังหมดความน่าเชื่อถือลงไป เมื่อไม่มีการดำเนินการเรื่องของความยุติธรรมให้บังเกิด ชาวบ้านก็รับไม่ได้กับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศ วันนี้คุณกำลังใช้อภิสิทธิ์ ใช้กำลัง เอานิติรัฐไปรังแกคน เอานิติรัฐไปไล่ล่าคนอื่นที่ไม่ใช่พวกคุณ เอานิติรัฐจับคนขังคุกโดยไม่มีการสอบสวน เรื่องแบบนี้วันหนึ่งเมื่อคุณไล่ล่าเขาจนเข้ามุมอับ เมื่อนั้นเขาจะลุกขึ้นและหันกลับมาต่อสู้ นี่คือความจริง หากไม่หยุดจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะคำว่า “หมาจนตรอก” ก็ต้องสู้เพื่อเอาตัวรอด ดังนั้น การสะท้อนกลับของความยุติธรรมจะแรงมาก

มองนายกฯอภิสิทธิ์อย่างไร

ต้องบอกว่าหมดหวังในตัวนายอภิสิทธิ์ เพราะเป็นคนที่ไม่มีความเป็นผู้นำ ไม่มีความเด็ดขาดในการตัดสินใจ แค่จะตั้งคนเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติยังทำไม่ได้ การบริหารราชการภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์จึงล้มเหลวไม่เป็นท่า มีแต่การทุจริตคอร์รัปชันเต็มไปหมด ภาพของการแก่งแย่งชิงดีมากเสียจนคนมองแล้วน่าสมเพชรัฐบาลมากกว่าชื่นชม เพราะรัฐบาลยิ่งบริหาร ชาวบ้านยิ่งจน ขณะที่คนที่อยู่ในกลุ่มก้อนการเมืองรวยขึ้น หมายถึงรวยกระจุก จนกระจาย ไม่รู้บริหารงานแบบไหนเหมือนกัน ส่งผลให้กระแสของพรรคประชาธิปัตย์ลดลงอย่างหนัก จนไม่กล้าแม้แต่คิดจะยุบสภา แต่เชื่อว่าไม่น่าจะอยู่ครบเทอม เพราะกระแสการกดดันจากประชาชน

ส่วนที่มีข่าวว่าจะมีการเลือกตั้งนั้นขึ้นอยู่กับรัฐบาลว่าจะทำอะไรให้กลุ่มอำนาจเก่าไม่พอใจหรือไม่ ซึ่งต้องยอมรับว่าอำนาจนอกระบบยังยิ่งใหญ่ เมื่อเป็นแบบนี้จะส่งผลร้ายกับประเทศไทยมาก จนผู้ใหญ่คนหนึ่งถึงกับเอ่ยออกมาว่า “ผมไม่รู้ว่าผมอาจตายก่อนที่จะเห็นประชาธิปไตยในประเทศไทยหรือเปล่า” เพราะทุกวันนี้ไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่เป็นช่องว่างรัฐบาลกับทหารที่อาศัยกดหัวประชาชนเท่านั้น

มองรัฐธรรมนูญปี 2550 อย่างไร

ยอมรับว่าที่มาของสภาร่างรัฐธรรมนูญทำให้รัฐธรรมนูญปี 2550 สร้างเผด็จการขึ้นมามาก เช่น วันนี้หากคิดย้ายนายพลสักคน ถามว่าทำได้หรือไม่ ตอบเลยว่าทำไม่ได้ เพราะต้องเอาเรื่องเข้าสภากลาโหม คนเป็นนายกรัฐมนตรียังย้ายไม่ได้เลย ที่เป็นเช่นนี้เพราะการเขียนกฎหมายขึ้นมาเพื่อเป็นข้อกำหนดในการปฏิบัติงาน คนที่เขียนกฎหมายก็ทำเพื่อคนชั้นนั้น ซึ่งคนที่ร่างจะได้ประโยชน์มากที่สุด ตราบใดก็ตามที่ยังมีรัฐธรรมนูญฉบับนี้ประเทศไทยไม่มีทางได้ชื่อว่าเป็นประชาธิปไตยแน่ เพราะรัฐธรรมนูญปี 2550 เขียนขึ้นมาสืบทอดอำนาจเผด็จการของกลุ่มอำมาตย์ให้ยาวนานต่อไป

ทหารยังพร้อมทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลหรือไม่

ผมเชื่อว่าวันนี้ทหารยังพร้อมที่จะโอบอุ้มรัฐบาล หากเขาอุ้มรัฐบาลนี้จะไม่ออกมาทำปฏิวัติหรอก แต่เมื่อใดก็ตามที่อำนาจทหารมองว่านายอภิสิทธิ์เป็นอะไหล่ที่เสื่อมสภาพแล้ว วันนั้นก็จะมองหาอะไหล่ตัวใหม่เข้ามาเปลี่ยน แต่มีข้อแม้ว่าทหารยังคงเป็นคนคุมเกมเช่นเดิม

นายอภิสิทธิ์จะอยู่อย่างไรหากไม่เป็นนายกฯ

นายอภิสิทธิ์จะกลายเป็นอาชญากร เป็นฆาตกรที่เข่นฆ่าประชาชน ต้องขึ้นศาลโลก ศาลอาญาระหว่างประเทศแน่นอน วันนี้คนเสื้อแดงก็ดำเนินการตามกฎหมายทุกอย่าง แต่ผลที่ออกมาคือช้าและมีการดึงเรื่อง วันนี้คนเสื้อแดงกำลังฟ้องทางแพ่ง คือเรียกร้องความเสียหายส่วนบุคคลทั้งหมดมากกว่า 2,000 คดี ซึ่งจะฟ้องเรื่อยไปจนกว่านายอภิสิทธิ์จะหมดอำนาจ และหลังจากนั้นจะฟ้องอาญาทันที ผมเชื่อว่าหลังลงจากอำนาจแล้วคนอย่างนายอภิสิทธิ์ไม่น่าจะอยู่เมืองไทย จะต้องไปต่างประเทศสักระยะตามแผนที่วางเอาไว้ เพราะหากยังอยู่ในประเทศไทยนายอภิสิทธิ์จะเดินไปไหนมาไหนได้หรือเปล่า ต้องไม่ลืมว่าในวันที่มีอำนาจคุณทำกับเขาไว้อย่างไร ดังนั้น เมื่อคุณไม่มีอำนาจเขาก็จะเอาคืนกับคุณเช่นกัน

ไม่ต้องดูอะไรมาก วันนี้แค่ไปตรวจน้ำท่วมยังต้องระดมทั้งทหารตำรวจนับพันไว้คอยคุ้มครอง คนเราหากทำดีกับพี่น้องประชาชนหรือเป็นคนดีจริงคงไม่ต้องใช้คนมากขนาดนี้ ไม่ต้องแสดงความกลัวตายให้เห็นเช่นนี้ เลยเป็นเรื่องของความกลัว บวกกับความน่าสมเพชของคนเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยที่ไปไหนก็ไม่กล้าหากไม่มีใครคอยคุ้มครอง

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข

***************************************************

“แก้รธน.” เกมวัดใจ “ปชป.”

หลังจาก "เตะถ่วง" มานานในที่สุด “ระเบิดเวลา” ที่ซุกเอาไว้นานก็ค่อยๆ นับถอยหลังรอวัน “ทำงาน” สำหรับประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

นาทีที่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ยังไม่หายจากอาการ “สำลักน้ำ” ข้อเสนอจานด่วนของ “สมบัติ ธำรงธัญวงศ์” ประธานคณะกรรมการพิจารณาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ลำเลียง 6 ประเด็นออกจากเตาร้อนๆ เตรียมเสิร์ฟเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ 2 พ.ย.นี้

6 ประเด็นที่จะแก้ไขประกอบด้วย

1.แก้ไข ม.190 กำหนดประเภทสัญญาที่จะได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา

2.แก้ไขเขตเลือกตั้งจาก “พวงใหญ่เรียงเบอร์” เป็น “เขตเดียวเบอร์เดียว” และโละระบบบัญชีรายชื่อ 8 บัญชีเหลือ 1 บัญชี ใช้เขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง

3.คง ส.ว.เลือกตั้งและสรรหาในสัดส่วนเท่าเดิมแต่ให้เพิ่มกรรมการสรรหา

4.คงข้อห้าม ส.ส.และ ส.ว.ไม่ให้ดำรงตำแหน่งในหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ ที่ปรึกษา หรือเลขานุการรัฐมนตรี

5.ยังคงห้าม ส.ส.และ ส.ว.แทรกแซงการทำงานของฝ่ายบริหาร แต่เปิดช่องให้เล็กน้อยกรณีหากจะแจ้งความเดือดร้อนของประชาชนให้ทำเป็นลายลักษณ์อักษร

และ 6.แก้ไขโทษยุบพรรค ให้เหลือเฉพาะความผิดที่กระทบต่อความมั่นคงของระบอบประชาธิปไตย ส่วนโทษเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งให้มุ่งไปที่หัวหน้าพรรค

ในประเด็นอื่นๆ ดูท่าจะ “สมประโยชน์” กันถ้วนหน้า แต่เรื่องที่ “ขบเหลี่ยม” กันหนัก ระหว่าง “ประชาธิปัตย์” กับ “พรรคร่วมรัฐบาล” เห็นจะเป็นเรื่องเขตเลือกตั้งที่ประชาธิปัตย์ยืนยันว่าจะต้อง “เขตใหญ่” เท่านั้น

ขณะที่พรรคร่วมฯ ซึ่งเป็นพรรคขนาดกลาง ขนาดเล็ก ไม่ได้มี “กระแส-กระสุน” หนุนหลังเหมือนพรรคใหญ่ ฉะนั้นหนทางในการ “ตีเมืองขึ้น” อย่างเดียวคือ “เจาะทะลวง” เข้าไปทีละเขต ทีละเขต ขืนเลือกกันเป็น “พวง” เห็นจะมีแต่ “พัง”

“ข้อสรุป” ของคณะกรรมการชุด “อ.สมบัติ” ออกมาเป็นแบบนี้ “อภิสิทธิ์” ตีกรรเชียงหนีลำบาก มองไม่เห็นหนทางที่จะ “ยื้อ” อีกรอบ เพราะแค่ “ซื้อเวลา” มาถึงขนาดนี้ก็แทบจะมองหน้าเพื่อนไม่ติดอยู่แล้ว

บาดหมางกันขนาดไหน “สุเทพ เทือกสุบรรณ” รู้ดีที่สุด !!!

ฉะนั้น “ศึกในรัฐบาล” จะร้อนระอุอีกรอบ ในวันประชุม ครม.อังคารที่จะถึงนี้

งานนี้ “พรรคร่วมฯ” เดินเกมรุกหนัก ถึงขนาด “ส่งสัญญาณ” ล่วงหน้าแบบ “ลับๆ” ผ่าน “ประธานชัย ชิดชอบ” ถ้าร่างแก้ไข 6 ข้อนี้เข้าสภาปุ๊บ จะดันเข้าสภาปั๊บ

มีการเตรียมแผนบันได 3 ขั้นไว้ล่วงหน้าแล้ว เริ่มด้วย หลังจากที่ ครม.ผ่านมติแก้ไขรัฐธรรมนูญชุด อ.สมบัติ ร่างนี้จะถูกลำเลียงเข้าสภาอย่างรวดเร็ว จากนั้นใช้เสียงข้างมากในสภารับหลักการร่างของ อ.สมบัติ พร้อมๆ ไปกับ “เบียด” ร่างฉบับหมอเหวงที่คาอยู่มาแรมปีให้ร่วงผล็อยลงข้างทาง แล้วพิจารณาร่างนี้ให้แล้วเสร็จใน 2 เดือนจากนั้นจะ “ยุบสภา” เมื่อไหร่ก็ได้แล้ว

หนึ่งในกรรมการชุด อ.สมบัติ ระบุ “ทราบว่าขณะนี้มีการคุยกับประธานชัยแล้วว่า ถ้าแก้รัฐธรรมนูญในสมัยประชุมนี้ไม่เสร็จ ก็จะเปิดสภาสมัยวิสามัญพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะ ตามกฎหมายแล้วจะใช้เวลาไม่เกิน 2 เดือนก็เสร็จ”

ทุกแผนเพื่อรองรับการ "เลือกตั้ง" ถูกขับเคลื่อนอย่างเต็มสูบ

จับตา...เมื่อยามน้ำลด ฝุ่นจะตลบทันที

ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ

*************************************************

ลีลาแม่น้ำร้อยสาย-เจ้าแม่ กทม. คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หลังพิงเพื่อไทย-เทใจมูลนิธิ "ไทยพึ่งไทย"

คนการเมืองจากมหาสาขา "ไทยรักไทย" แยกเป็นแม่น้ำร้อยสาย

สายหนึ่งอยู่ในมูลนิธิ 111 อิงอยู่กับกลุ่มอำนาจสาย "ชินวัตร"

สายหนึ่งอยู่ในสถาบันศึกษาการพัฒนาประชาธิปไตย ตามแนวทาง "จาตุรนต์ ฉายแสง"

สายหนึ่งแยกตัวไปทำธุรกิจส่วนตัว หันหลังให้การเมืองแบบ "น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี-น.พ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช"

สายหนึ่งถูกตั้งให้เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี หนุนส่งกับทีม "สมคิด จาตุศรีพิทักษ์"

ที่เหลือแยกเป็นแม่น้ำสาขาไปสังกัดพรรคเพื่อแผ่นดิน และพรรคภูมิใจไทย ในน่านน้ำรัฐบาล

อีกสายหนึ่งมีนัยสำคัญในพื้นที่เมืองหลวง ส่วนหนึ่งยังอยู่ในสาขาพรรคเพื่อไทย ส่วนหนึ่งแยกไปตั้งสำนักมูลนิธิไทยพึ่งไทย จัดกิจกรรมการเมืองต่อเนื่องกับ "คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์"

อนาคตทางการเมืองของแต่ละสาขา จะชัดเจนอีกไม่เกิน 16 เดือนข้างหน้า

เฉพาะสาขา "คุณหญิงสุดารัตน์" จากนี้ไปจะไหลไปในทิศทางใด อ่านทางจากปาก "เจ้าแม่ กทม."

- นับถอยหลังหากสิ้นสุดเวลาถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง แล้วจะมาลงสมัคร ส.ส.ในนามพรรคเพื่อไทยอีกหรือไม่

ประเด็นแรกก่อนว่าจะไปอยู่ตรงไหนเนี่ยอีกปีกว่า จะกลับเข้ามาการเมืองหรือเปล่า ก็เปิดใจเลยว่าอีกปีกว่า ก็ยังไม่แน่ว่าจะกลับเข้ามาทำการเมือง 100 เปอร์เซ็นต์ คือการกลับเข้าเป็นนักการเมืองเต็มตัว เพราะในวันนี้สภาพบ้านเมืองที่เป็นอยู่ สภาพความเป็นจริงที่เป็นอยู่ มันค่อนข้างที่จะยากลำบาก

สำหรับการเดินหน้าของประเทศ มันค่อนข้างที่จะยากลำบากสำหรับคนไทย ทั้งที่เรามีปัจจัยพื้นฐานที่ดี เรามีเอกชนหรือภาคประชาชนที่เข้มแข็ง เรามีสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ทรงให้ความเมตตากับประชาชนทั้งประเทศอย่างดีมาโดยตลอด

แต่เหมือนกับสภาพการเมืองเรากลับเป็นปัญหาที่ทำให้ทุกอย่างมันค่อนข้างชะงัก ฉะนั้น ถ้าจะกลับหรือไม่กลับเข้าไปสู่การเมืองเนี่ย อีกปีกว่า คงจะดูว่าถ้า สภาพการเมืองยังเป็นลักษณะการใช้กฎหมาย 2 มาตรฐานอยู่ การไม่เคารพเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน การไม่สนับสนุนให้ประชาธิปไตยเป็นประชาธิปไตยเต็มตัว พี่อาจจะเลือกทำงานบุญอย่างที่ทำทุกวันนี้ ทำมูลนิธิอาจจะได้ประโยชน์กว่า

ก่อนจะถามว่าไปอยู่ที่ไหน พรรคไหน พี่ยังตอบตัวเองไม่ได้ว่าจะกลับไปการเมืองหรือเปล่า พี่อยู่อย่างนี้อาจมีความสุข มากกว่า แต่ไม่ทิ้งการช่วยเหลือประชาชน...ต้องดูปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้...

- มองว่าปัจจุบันพรรคเพื่อไทยเดินหน้าในทิศทางที่เหมาะสมหรือไม่

คือมองจากคนนอก คิดว่าพรรคเพื่อไทยมีบุคลากรเยอะ คนมีความรู้ความสามารถเยอะ และในสภาพความเป็นจริงที่เป็นอยู่ เขาโดนกระทำทุกทางนะ ถ้าพูดถึงก็ถูกยุบมา 2 ครั้งแล้ว พรรคนี้ และทุกวันนี้ก็โดนกระทำทุกทางในทุกด้าน ดังนั้นเขาสามารถที่จะเดินได้หรือยืนได้ในขณะนี้ ก็นับว่าเขาเก่งแล้ว ก็ต้องช่วยกันให้กำลังใจไปเหมือนกับเขาโดนมรสุม วันนี้เขาสามารถฝ่ามรสุมได้ก็ถือว่าเก่ง...

- ในพรรคมีความขัดแย้งกันเหมือนกับที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์หรือไม่

ก็ไม่อยากให้มี และเราไม่สามารถจะไปพูดว่ามีจริงหรือไม่จริง เพราะวันนี้อาจจะเป็นเหยื่อของการถูกโจมตีหรือปลุกปั่นก็ได้ เหมือนวันที่พี่ไปโคราชก็มีนักข่าวโทร.มาเยอะแยะว่าพรุ่งนี้พี่จะแถลงเปิดพรรค ทั้งที่ในข้อเท็จจริงก็ไม่ใช่อย่างนั้น บางทีอาจจะเป็นข่าวลือว่าแตกแยก แต่ถ้ามีจริงก็ไม่ควรจะแตกแยก เพราะถูกกระทำมาเยอะ

- กระแสความนิยมของพรรคในพื้นที่กรุงเทพฯลดลง คุณหญิงมีข้อเสนอหรือไม่

ก็ต้องก้มหน้าทำงานให้หนัก พิสูจน์ ตัวเอง...หลัง ๆ มีน้อง ๆ มาปรึกษาเรื่องกระแส เราก็บอกว่าต้องก้มหน้าทำงานอย่างเดียว...

- การที่มี ส.ส.พรรคเพื่อไทยมาร่วมงานกับมูลนิธิไทยพึ่งไทย เป็นการสะท้อนบทบาทคุณหญิงในการคัดเลือกผู้สมัคร ส.ส.ลงภาค กทม.หรือไม่

(หัวเราะ) ไม่หรอกค่ะ พรรคเขามีระบบแล้ว และเขาก็ทำได้ดี กรุงเทพฯก็มีท่าน อนุดิษฐ์ ท่านวิชาญเป็นประธานภาคอยู่แล้ว ตอนนี้พี่เป็นพวกยาหมดอายุแล้ว ถูกตัดสิทธิ์นะ ก็ได้แต่ทำงานการกุศล และพี่ ๆ น้อง ๆ ก็ไม่ปฏิเสธ มีอะไร ก็แวะเวียนมาปรึกษาหารือ อย่างตอนนี้ ชาวบ้านเดือดร้อนอยากออกไปช่วย ก็ไปช่วยด้วยกัน

เรื่องงานบุญอย่าเอางานการเมืองเข้ามาเลย...อย่างมีนักข่าวบางช่องไม่ได้อ้างคำให้สัมภาษณ์พี่ แต่บอกว่าพี่อึดอัดกับพรรคก็ขอบอกว่าไม่ได้อึดอัดอะไร เพราะวันนี้ ไม่สามารถไปยุ่งเกี่ยวอะไรในพรรคได้อยู่แล้ว...งานการเมืองเนี่ย พวกเรา 111 ไปทำคงลำบาก ถ้าอยู่อีกฝั่งหนึ่งก็ไม่ผิด แต่อยู่ฝั่งนี้ถ้าทำให้พรรคเขาถูกยุบก็จะยุ่ง อีกนะ (หัวเราะ)

- ยังมีข่าวด้วยว่า ส.ส. กทม.กลุ่มหนึ่งไม่แฮปปี้กับตระกูลชินวัตร

ก็ต้องถาม ส.ส. เพราะพี่ก็ไม่เคยได้ยินเขาบ่นอย่างงั้น...(หัวเราะ) เพราะพวกนี้เขาพวกทำงาน

- การที่กลุ่ม ร.ต.อ.เฉลิมดึง "กลุ่ม กรุงเทพฯ 50" เข้าพรรค ถูกมองเป็นการชิงการนำกันในพื้นที่กรุงเทพฯหรือเปล่า

พี่ก็ไม่อยากวิพากษ์วิจารณ์ เพราะพรรคเพื่อไทยก็เป็นพรรคที่เคยเป็นพวก ๆ กันมาจากไทยรักไทย พี่ไม่เคยอยู่พรรคเพื่อไทยนะ ถ้าบอกว่าเคยอยู่เดี๋ยวจะถูกยุบอีก (หัวเราะ) เวลาอ่านข่าวทุกครั้งพี่ก็ไม่สบายใจ เพราะอยากให้พรรคเพื่อไทยมีความสมัครสมานสามัคคีกัน เดินหน้าทำหน้าที่ฝ่ายค้านตรวจสอบรัฐบาลเพราะมีเรื่องทุจริตเยอะแยะ ถ้าเรียกภาษาฟุตบอลก็คือมีลูกเข้าเท้าทุกวัน ถ้าพรรคเพื่อไทยทำหน้าที่ของตนเอง ทำงานด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวก็จะสามารถเตะ ลูกเข้าประตูทุกวัน

พี่เองไม่ได้ไมนด์หรอกว่า ถ้าคุณเฉลิมหรือใครจะมาดูแลกรุงเทพฯแทนพี่ เพราะวันนี้พี่ก็ไม่ได้สามารถจะไปทำงานการเมืองได้แล้ว ใครที่เขาไม่ได้ถูกตัดสิทธิ์ก็ให้เขาทำให้มันดีเถอะ มันดีทั้งนั้นแหละ... พี่ก็ระวังตัวนะ เดี๋ยวจะหาว่าเอาพี่ไปอยู่ในความขัดแย้ง พี่ก็ต้องระวังตัว และก็เดี๋ยวบางคนก็จะมาระแวงว่าพี่ไป ขวางทางสู่ดวงดาวของเขา ดังนั้นพี่ก็พยายามจะไม่ยุ่งอะไรที่จะทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งในพรรคเพื่อไทย สิ่งที่ทำก็ทำในนามตัวเอง การเมืองก็ขอพักไว้ก่อน

- บทบาทของมูลนิธิและการทำกิจกรรมการเมืองของกลุ่ม ส.ส.กทม.เพื่อไทยในปัจจุบัน จะเปลี่ยนสถานภาพไปเป็นพรรคการเมือง เหมือนกับบทบาทกลุ่ม พลังไทยในอดีตที่ปรับเป็นพรรคไทยรักไทยหรือไม่

อันนั้น (กลุ่มพลังไทย) เป็นกลุ่มการเมืองชัดเจนไง อันนี้เป็นมูลนิธิไม่ใช่การเมืองนะ ส่วน ส.ส.ในพรรคเพื่อไทย มาช่วย ก็มาช่วยเพราะความสัมพันธ์ส่วนตัว มันน่าจะเกื้อกัน มูลนิธิมีคนบริจาคมีข้าวของก็เอาไปช่วยผู้ประสบภัย

- การที่มูลนิธิมาทำงานโดยมี ส.ส.จากพรรคเพื่อไทยบางส่วนมาร่วมด้วย เท่ากับเป็นการแบ่งการทำงานของพรรคเพื่อไทยกับ ส.ส. กทม.ออกมาอย่างชัดเจนหรือไม่

ไม่แบ่งหรอกค่ะ เพราะ ส.ส.ก็เป็น ส.ส.ที่ทำหน้าที่อยู่ในสภา อยู่ในพรรคอยู่ เพียงแต่ว่ามูลนิธิจะออกไปช่วย ก็ต้องขอความช่วยเหลือจาก ส.ส. ส.ก. ส.ข.ในพื้นที่ที่เขารู้พื้นที่ รู้ปัญหาประชาชน พอไปต่างจังหวัดเราก็ไปประสานกับ ส.ส. ต่างจังหวัดแล้วแต่พื้นที่

- ทำไมมูลนิธิไม่ไปรวมกับพรรคเพื่อไทย แทนที่จะแบ่งแยกออกเป็น 2 สาย

อ๋อ...ไม่เป็นการแบ่งแยกหรอกค่ะ ถ้าคิดในทางที่เป็นปัญหาก็เป็นปัญหา แต่ส่วนตัวคิดว่าถ้าจะช่วยกันก็ไม่ควร แบ่งพรรคแบ่งพวก ใครจะช่วยคนลำบากช่วยตรงไหนได้ก็ช่วย ส่วน ส.ส. ส.ก. ส.ข.ที่มาร่วมก็มาในนามพรรคอยู่แล้ว แต่มูลนิธิจะบอกว่าทำในนามพรรคไม่ได้ เพราะมูลนิธิเป็นองค์กรที่ไม่สามารถยุ่งเกี่ยวกับการเมืองได้ และขณะนี้ก็อาจจะต้องระวังตัวมากกว่า เพราะทำอะไรก็จะผิดเหมือนกัน แต่ถ้าอยู่อีกฝั่งหนึ่งก็จะทำอะไรไม่ค่อยผิดเท่าไร (หัวเราะ)

- ขณะนี้มีสายตาจับจ้องว่าพรรคมีหลายกลุ่ม เมื่อกลุ่ม กทม.แยกอย่างนี้ก็ยิ่งเป็นข้อสังเกตใหญ่ว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า

ไม่ได้แยกอะไรเลยค่ะ...ส่วนตัวพวกพี่ที่เป็นมูลนิธิ และเป็น 111 พี่ไม่สามารถที่จะทำงานในนามพรรคใดพรรคหนึ่งได้ แม้แต่ที่มีข่าวว่าจะตั้งพรรคใหม่ เอาพวกพี่ไปตั้งพรรคใหม่เมื่อไร พรรคนั้นก็ถูกยุบเมื่อนั้น นะคะ ฉะนั้นพี่ไม่สามารถทำได้ ฉะนั้นการ เมืองวันนี้ขอพักไว้ก่อน เอาเรื่องงานบุญก่อน

- กรณีคุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็ไปลงพื้นที่น้ำท่วมที่ จ.นครราชสีมา และ จ.ลพบุรี ตรงนี้ทางคุณหญิงสุดารัตน์แบ่งกับคุณสมชายอย่างไร

ทางคุณสมชายไปในนามพรรค คือจริง ๆ แล้วอย่าไปพูดว่าแบ่งทำ เพราะพูดแล้วจะเป็นบาปไปเปล่า ๆ เรื่องการช่วยคน เพราะใครเขาจะช่วยได้ก็ต้องช่วยกันนะ อย่างลองพี่บอกว่าออกหน่วยของพรรค เพื่อไทย แต่พี่เอามูลนิธิไป ก็จะถูกโจมตี อีกแบบหนึ่งว่า อ๋อ เดี๋ยวนี้เอามูลนิธิมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ซึ่งขัดต่อกฎหมาย... ดังนั้นพี่คงไม่สามารถยุ่งเกี่ยวกับการเมืองได้...และมูลนิธิเป็นพรรคการเมืองไม่ได้

ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ

***********************************************************

'เทือก'ชนะซ่อมสุราษฎร์ฯ กระแสปชป.พุ่ง หรือแบ่งฝ่ายรุนแรง

การเลือกตั้งซ่อมส.ส.สุราษฎร์ธานี เขต 1 ที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ชนะคู่แข่งจากพรรคเพื่อไทย แสนกว่าคะแนน

เป็นชัยชนะชนิดถล่มทลาย และไม่ง่ายนักสำหรับนักการเมือง

เม็ดคะแนนที่ออกมาสะท้อนความนิยม ของพรรคประชาธิปัตย์

หรือความขัดแย้งแบ่งสี แบ่งภาค ที่รุนแรงขึ้น

หรือสะท้อนเอกภาพในพรรคประชาธิปัตย์

สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์
คณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์

เรื่องนี้สะท้อนได้ 2 เรื่อง เรื่องแรกคือภาคใต้ที่ยังเห็นได้ชัดว่าปิดประตูตายสำหรับคนเสื้อแดง และพรรคเพื่อไทย

เรื่องที่ 2 คือ เป็นภาพที่เกี่ยวเนื่องจากการเลือกตั้งซ่อมทั้งที่กทม. และส.ก. ส.ข. ที่เห็นได้ชัดว่ากระแสของพรรคที่ผูกพันกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กำลังลดความนิยมลงไป โดยมีสาเหตุเดียวกันคือ การไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงใช้ช่วงเดือนเม.ย. 2552 และพ.ค. 2553

ทำให้คนกลุ่มหนึ่งเปลี่ยนไป ยกเว้นคนที่รักและฝังใจพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งคือผู้ที่ได้ประโยชน์จากพ.ต.ท.ทักษิณ และกลุ่มคนรากหญ้า กลุ่มเหล่านี้ไม่เปลี่ยนแปลง รวมถึงกลุ่มที่ผูกพันกับส.ส.เพื่อไทย จะไม่เปลี่ยนแปลงเช่นกัน ฐานเสียงนี้จะยังคงอยู่

แต่มีอยู่อีกกลุ่มคนหนึ่งคือ สามารถเลือกกลับไปกลับมาได้ ที่จะเห็นได้ว่าคนเหล่านี้อยู่ในกทม. หรืออยู่ในเมือง เป็นคนชั้นกลาง ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือก็อยู่ในเมือง หรือภาคใต้ก็อยู่ในเมือง กลุ่มเหล่านี้แต่เดิมอาจจะชอบพ.ต.ท.ทักษิณ ชอบพรรคเพื่อไทย แต่เมื่อพบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งเม.ย. 2552 และพ.ค. 2553 ทำให้คนกลุ่มนี้เริ่มเกิดความไม่พอใจ และหันมาเลือกพรรคที่ตรงข้ามกับพรรคที่ทำให้พวกเขาไม่พอใจ แม้จะไม่ชอบพรรคนั้นก็ตาม

เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาไม่พอใจกับการกระทำนั้น จึงทำให้คะแนนเสียง 2 ฝั่งมารวมกันคือ กลุ่มคนไม่ชอบทักษิณมาบวกกับกลุ่มที่ต้องการแสดงพลัง ทำให้คะแนนเสียงของพรรคประชาธิปัตย์เพิ่มขึ้น คะแนนเสียงของนายสุเทพเพิ่มขึ้น ทั้งๆ ที่คะแนนเสียงทั้งหมดอาจจะไม่ได้ชอบนายสุเทพก็ได้

ผลการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นไปในทิศทางเดียวกับการเลือกตั้งในครั้งต่อไป ที่คะแนนเสียงของพรรคเพื่อไทยที่แม้จะได้มากอยู่แต่ก็จะน้อยกว่าทุกครั้งที่เคยผ่านมา เพราะเกิดปรากฏการณ์ความไม่พอใจของกลุ่มคนชั้นกลาง หรือคนที่อยู่ในเมืองที่ไม่พอใจเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น

ครั้งหนึ่งคนเหล่านี้อาจเคยชอบหรือพอใจพ.ต.ท.ทักษิณ หรือระบบต่างๆ แต่ครั้งนี้จะมีการแสดงออกให้เห็นว่าไม่เอาแล้ว การเลือกตั้งครั้งต่อไปก็จะดูได้จากการเลือกตั้งย่อย 3 ครั้งที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ยังจะทำให้การแบ่งขั้วลดลง เพราะเมื่อคะแนนเสียงของพรรคเพื่อไทยที่น้อยลงอาจจะมีการแยกขั้วอย่างที่จะเห็นว่ามีส.ส.เพื่อไทยบางคนที่มาเข้าร่วมกับรัฐบาล แตกต่างจากในอดีตที่คนเหล่านี้จะกอดกันแน่นเมื่อมีคะแนนเสียงเข้มแข็ง การเลือกตั้งครั้งหน้าก็จะมีการย้ายข้ามฟากจากพรรคเพื่อไทย มาพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย หรือพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ

ส่วนเหตุผลที่พรรคเพื่อไทยส่งผู้สมัครลงทั้งๆ ที่รู้ว่าจะแพ้ เพราะ 1.เป็นโอกาสแสดงพลังให้ภาคใต้เห็น เป็นการประชาสัมพันธ์ 2.ถ้าได้คะแนนเสียง แม้จะแพ้แต่ห่างกันไม่เยอะก็ถือว่าเขาชนะแล้ว เป็นเครื่องเตือนให้คนทั่วไปรู้ว่านี้ขนาดภาคใต้ และ 3.เป็นการวัดคะแนนเสียงเพื่อเป็นตัวประเมินครั้งต่อไป

ผลการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้จะทำให้พรรคเพื่อไทยต้องพิจารณาหนักว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป และเป็นเหตุผลหนึ่งที่ยังไม่กล้าจะเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่มา เพราะกลัวว่าถ้าเลือกแล้วจะมีการแบ่งแยกมากขึ้น การเลือกตั้งครั้งต่อไปพรรคเพื่อไทยเอกภาพจะลดน้อยลง

พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์
คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ

ผลการเลือกตั้งส.ส.สุราษฎร์ธานี เขต 1 แทนตำแหน่งที่ว่างครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงการแบ่งขั้วที่ชัดเจนระหว่างคนที่เอาประชาธิปัตย์ และคนไม่เอาประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ และก็ถือว่าการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคประชาธิปัตย์ได้เปรียบอยู่แล้ว เพราะไม่ใช่การเลือกตั้งที่ธรรมดา แต่เป็นเลขาธิการพรรคมาลงสมัครส.ส.

ซึ่งผลการเลือกตั้งก็สะท้อนว่านายสุเทพได้รับความนิยมและมีบารมีในพื้นที่เป็นอย่างมาก ผมเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาเพราะพรรคประชาธิปัตย์ได้รับความนิยมในพื้นที่นี้มาอย่างยาวนาน

นายสุเทพไม่ใช่คนแรก จึงไม่มีอะไรที่แปลกประหลาด เช่นเดียวกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีคนกลุ่มหนึ่งไม่ชอบ ไม่เอา แต่เมื่อมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ได้กลับมาอีกครั้ง

ซึ่งประเทศไทยยังต้องเผชิญปัญหาแบบนี้ต่อไป เนื่องจากไม่มีระบบเชื่อมโยงที่จะนำไปสู่การตรวจสอบนักการเมือง

น.พ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์

การที่ประชาชนเลือกนายสุเทพเข้ามาเป็นส.ส.ในพื้นที่ แสดงให้เห็นว่าประชาชนให้โอกาส และไว้ใจให้พรรคประชาธิปัตย์ในการทำงานบริหารประเทศ แม้ว่าจะเป็นการเลือกตั้งในเขตพื้นที่ที่เป็นฐานเสียงเดิมของพรรคประชาธิปัตย์อยู่แล้วก็ตาม แต่มันก็สะท้อนให้เห็นถึงความนึกคิดของประชาชน ที่ยังคงมีความนิยมในพรรคประชาธิปัตย์

ขณะเดียวกัน แม้ว่าที่ผ่านมาสถานการณ์บ้านเมืองของเราจะยังไม่เป็นปกติ เพราะเพิ่งผ่านเหตุการณ์การชุมนุมมา แต่การเลือกตั้งครั้งล่าสุดกลับไม่มีเหตุการณ์ความวุ่นวาย ไม่มีความรุนแรง รวมถึงไม่มีกลุ่มคนที่ออกมาคัดค้านการเลือกตั้งเหมือนที่เคยเกิดในพื้นที่อื่นๆ ในอดีต ถือเป็นการเลือกตั้งโดยประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เป็นแนวทางที่ดีที่สุดในการออกมาใช้สิทธิ์

มันสะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกของประชาชนที่มีต่อทิศทางในการบริหารงานของ ประเทศ ซึ่งรัฐบาลที่นำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นผู้บริหาร เพื่อนำประเทศไปสู่การบริหารงานที่ถูกต้อง พัฒนาทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองให้ดี ยิ่งขึ้น

นอกจากพรรคประชาธิปัตย์จะได้รับคะแนนเสียงเป็นจำนวนมากในพื้นที่ภาคใต้แล้ว ผมยังมองว่าในพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศพรรคประชาธิปัตย์ก็จะได้รับความนิยมเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่กทม. หรือจังหวัดอื่นๆ

ส่วนกรณีที่มีบัตรโนโหวตเป็นจำนวนถึง 1.2 หมื่นใบนั้น ก็ไม่ถือว่าเป็นจำนวนที่มากนัก และคงไม่เกี่ยวกับกรณีที่ประชาชนเบื่อการเมือง เพราะเป็นเรื่องปกติที่จะมีเสียงที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย

ปลอดประสพ สุรัสวดี
รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย

การเลือกตั้งซ่อมส.ส.สุราษฎร์ธานี เขต 1 แม้ว่านายสุเทพจะชนะการเลือกตั้งแบบขาดลอย แต่ถือเป็นการเลือกตั้งที่พรรคพึงพอใจเพราะนายวรวุฒิ วิชัยดิษฐ ผู้สมัครของพรรคได้คะแนนเกิน 2 หมื่นคะแนน ซึ่งถือว่าเยอะมากแล้ว

อีกทั้งสะท้อนให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยจะมีโอกาสที่จะได้ส.ส.ในส่วนของระบบบัญชีรายชื่อเพิ่มมากขึ้น แต่เสียดายที่คะแนนในส่วนโนโหวตนั้นมีมากเกินไปถึง 1 หมื่นกว่าคะแนน แสดงให้เห็นว่าชาวสุราษฎร์ฯ เบื่อการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์

แต่หากมองในส่วนที่เป็นประโยชน์กับทางพรรคประชาธิปัตย์นั้น ก็สะท้อนว่าแม้ภายในพรรคประชาธิปัตย์จะทะเลาะกันเอง แต่พอถึงเวลาเลือกตั้งก็ช่วยเหลือกัน

เพราะผมมองว่าคะแนนของนายสุเทพน่าจะได้ประมาณ 9 หมื่นคะแนน ส่วนที่เหลือเป็นคะแนนในส่วนของนายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์

ที่มา:ข่าวสดรายวัน

************************************************************

วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2553

อัตตาลักษณ์แห่งชาติพันธุ์กับการเมืองเรื่อง "ความเป็นชาตินิยม"

อัฎฮา โต๊ะสาน
สาขาภูมิภาคศึกษา มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
ปฏิบัติงานสหกิจ สถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

อัตลักษณ์ (identity) เป็นความรู้สึกของบุคคลมีต่อตนเองว่า “ฉันคือใคร” การระบุได้ว่าเรามีอัตลักษณ์เหมือนในกลุ่มหนึ่งและมีความแตกต่างจากกลุ่มอื่นอย่างไร และ “ฉันคือใคร” ในสายตาคนอื่น อัตลักษณ์นั้นเป็นลักษณะที่มีความสลับซับซ้อน และไม่ได้ชี้เฉพาะเจาะจงไปในเรื่องใด หรือในลักษณะใดในร่างกายอย่างรัดกุม สำหรับคนๆ หนึ่งแล้วสามารถระบุได้ว่าเป็นมีหลายอัตลักษณ์ภายในคนๆ เดียว

แต่สำหรับอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์แล้วเป็นลักษณะทางชีวภาพไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งในส่วนของแนวคิดเรื่องชาติ ได้ก่อตัวเป็นแนวคิดชาตินิยม ชาตินิยมเป็นกระบวนการในการสร้างอุดมการณ์ให้เกิดการหวงแหน และสำนึกในการรักชาติ เป็นการแสดงถึงอัตลักษณ์อย่างหนึ่งของมนุษย์ ลักษณะของชาตินิยมจากตัวอย่างที่ปรากฏอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มี 2 ลักษณะที่เด่น คือ

1. ชาตินิยมแบบพรมแดน หรือ ชาตินิยมพลเมือง โดยชาตินิยมประเภทได้ให้ความสำคัญต่อประชาชนทุกชาติพันธุ์ภายในประเทศประเทศของตน โดยไม่มีการเน้นถึงกลุ่มชาติพันธุ์ใดชาติพันธุ์หนึ่งในประเทศนั้นๆ ตัวอย่างชาตินิยมประเภทนี้คือ ประเทศอินโดนีเซีย ตัวอย่างเช่น ได้มีการสร้างภาษาขึ้นมาใหม่เพื่อเป็นภาษากลางที่ใช้ภายในประเทศ

2. ชาตินิยมแบบเน้นชาติพันธุ์ เป็นแนวคิดชาตินิยมที่ให้ความสำคัญเฉพาะกลุ่มของตนเองอย่างเช่น มาเลเซีย พม่า เป็นต้น ซึ่งในกรณีนี้ มีความพยายามผลักดันวัฒนธรรมของตนเองให้เป็นวัฒนธรรมกระแสหลักแห่งชาติ

โดยส่วนชาติพันธุ์ได้กลายเป็นปัญหาที่บั่นทอนความมั่นคงภายในประเทศต่างๆ ที่มีความหลากหลายภายในประเทศนั้นๆ สำหรับภาพรวมองปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหาทางชาติพันธุ์เกิดจากปัจจัยต่างๆ เช่น

1. โลกาภิวัตน์ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ความเป็นชาติอ่อนแอลง

2. ทุนนิยม ความไม่เท่าเทียมกันในเรื่องของเศรษฐกิจ และการพัฒนาเศรษฐกิจที่เอื้อประโยชน์ให้กับประชาชนชาติพันธุ์หลักของประเทศ

3. ปัญหาการแย่งชิงทรัพยากร เป็นการผูกขาดในการใช้ทรัพยากร ได้นำทรัพยากรตามภูมิภาคต่างๆ มาใช้ประโยชน์ สำหรับผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากทรัพยากรเหล่านี้กลับไม่ใช่เจ้าของพื้นที่ แต่เป็นนายทุน และรัฐบาลนำไปพัฒนาเมืองหลวงเป็นส่วนใหญ่ เช่นในกรณีของอาเจะห์ ที่ทางรัฐบาลอินโดนีเซีย ได้นำทรัพยากรที่มีในพื้นที่ตรงนี้ แต่กลับนำไปพัฒนาในอาเจะห์เพียงเล็กน้อย

จึงทำให้เรื่องของชาติพันธุ์ได้กลายเป็นปัญหาที่ส่งผลต่อความมั่นคงต่อรัฐบาลในหลายประเทศ โดยปัญหาชาติพันธุ์เป็นเรื่องที่เป็นความขัดแย้ง ตัวอย่างในกรณีของประเทศรวันดา เหตุความขัดแย้งก็เกิดขึ้นจากกลุ่มชาติพันธุ์ 2 กลุ่มที่อาศัยอยู่ภายในประเทศเดียวกันระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ทุทซี่ กับฮูตู ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนนับล้าน หรือแม้แต่สงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นมาเป็นระยะเวลาอย่างช้านานเช่น สงครามระหว่างอิสราเอล กับปาเลสไตน์ ก็มีสาเหตุหนึ่งจากความแตกต่างของชาติพันธุ์ปรากฏอยู่ด้วย คือความขัดแย้งระหว่างชาวยิวกับชาวอาหรับ

นอกจากนี้ปัญหาชาติพันธุ์ภายในประเทศมาเลเซีย จากกรณีของเหตุการณ์ฮินดาฟ ที่มีการประท้วงเรียกร้องการปกครองอย่างเป็นธรรม โดยชาวอินเดียที่อาศัยอยู่ภายในประเทศ การประท้วงครั้งนี้ได้มีการนำเอาสัญลักษณ์ของประเทศอินเดีย รวมถึงมหาตมะ คานธี นับว่าเป็นปรากฏการณ์ทางชาติพันธุ์ ที่มีการเชื่อมโยงสู่ประเทศเดิมของบรรพบุรุษตน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการสำนึกในการเป็นคนในกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกัน แม้นว่าจะอาศัยอยู่นอกพื้นที่ประเทศของตนเองก็ตาม

สำหรับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย โดยเฉพาะความขัดแย้งและความรุนแรงที่เกิดขึ้นรายวันภายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ต้องมองย้อนไปตั้งแต่ยุคที่สังคมไทย เริ่มสร้างแนวคิดใหม่เพื่อการสร้างความเป็นไทยขึ้นมา ความเป็นไทยที่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นวัฒนธรรมของคนในชาติ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วอาจเป็น ความเป็นกรุงเทพฯ ที่นำมาใช้นิยามในลักษณะเช่นนี้ และการสร้างสิ่งที่ใหม่สำหรับกลุ่มอื่นๆ ที่มีวัฒนธรรมเดิมของตนเอง แต่จำต้องรับและปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นไทยตามการกำหนดขึ้นของทางรัฐบาล ซึ่งวิธีการเหล่านี้เป็นกระบวนการหนึ่งที่เกิดขึ้นภายในรัฐสมัยใหม่ ที่บรรจุคนที่มีความหลากหลายเข้าไว้ในเส้นพรมแดนที่เรียกกันว่า รัฐชาติ

โดยเฉพาะในสมัยของ นายกรัฐมนตรี จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้สร้างความเป็นไทยขึ้นมาใหม่ ด้วยการกำหนดนโยบายที่มีความเป็นชาตินิยม และใช้ในการสร้างวัฒนธรรมไทยให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และเชิดชูในความเป็นไทย รวมถึงการการสร้างความเป็นสมัยใหม่ กระตุ้นให้เกิดกระแสความรักชาติเป็นและได้เปลี่ยนชื่อเป็นประเทศไทย ซึ่งได้แสดงออกถึงว่าเป็นประเทศของชาวไทย ได้สร้างวัฒนธรรมไทยขึ้นมาตามรูปแบบตะวันตก นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ประเด็นอัตลักษณ์ได้กลายมาเป็นข้ออ้างในการก่อการความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการต่อต้านอำนาจจากส่วนกลางมาจนถึงปัจจุบัน

แต่ในกรณีของชาตินิยมกลับกลายเป็นเรื่องที่ลื่นไหลได้ตลอดเวลาตามการนิยามของผู้คนในช่วงเวลานั้น และได้กลายเป็นเครื่องมือในการสร้างทัศนคติที่เหยียดหยาม เช่น ในกรณีจาก การสร้างกระแสชาตินิยมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่เป็นปัญหาความขัดแย้งในเรื่องของปราสาทเขาพระวิหาร รวมถึงการระบุถึงกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ว่าเป็นคนขายชาติ เพราะมีพฤติกรรมที่ฝักใฝ่กับรัฐบาลกัมพูชา

จากสาเหตุที่ได้กล่าวไปแล้วทั้งหมด จึงเห็นได้ว่าชาตินิยมจึงสัมพันธ์กับกลุ่มความคิดของผู้คนจำนวนมากที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน แต่กลับไปกดทับผู้คนอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นคนส่วนน้อยทำให้ชาตินิยมได้กลายเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการกดขี่และการบังคับให้ผู้อื่นกระทำตามในสิ่งที่ตนต้องการให้เป็น รวมถึงการจัดสรรผลประโยชน์ให้กับคนในกลุ่มของตนเองเท่านั้น และชาตินิยมเป็นเครื่องมือในการอำนวยประโยชน์ในทางการเมืองการปกครองเป็นสำคัญ

ดังนั้นแม้ว่าอัตลักษณ์เป็นลักษณะที่ระบุถึงความเป็นคนๆ หนึ่งและนำไปสู่การระบุถึงความเป็นตัวตนว่าตัวเองเป็นใคร ก่อให้เกิดความภาคภูมิใจในความเป็นชาติตัวเอง แต่ในขณะเดียวกัน ลักษณะดังกล่าวได้สร้างความสูญเสีย เกิดความพยายามที่จะกลายกลืนอัตลักษณ์ของผู้อื่น เพื่อเชิดชูกลุ่มตัวเองให้เหนือกว่า

รากฐานของปัญหาความขัดแย้งและความรุนแรงในสังคมไทยและสังคมโลกทุกระดับ มีข้อพึงระวัง คือ หากมนุษย์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งให้ความสำคัญกับอัตลักษณ์ของตัวเอง ขาดการเคารพอัตลักษณ์ของผู้อื่น จนเกิดการสร้างกระแสความเป็นชาตินิยม เพื่อผลประโยชน์และอำนาจทางการเมืองของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจนเกินเลยและเกิดความเหลื่อมล้ำ มักจะนำสู่ความขัดแย้งและการใช้ความรุนแรงในการสร้างกระแสต่อต้านจนเกิดความสูญเสียถึงชีวิตในหลายกรณีดังที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ทางการเมืองของประเทศต่างๆในโลกตลอดมา

วันเสาร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2553

งาบงบน้ำท่วม ชิงนรกมาเกิด!



รัฐต้องกล้าฉีกหน้ากาก
เชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ต้องเชื่อ ว่ายังมีมนุษย์ประเภทที่ฉกฉวยโอกาสบนความเดือดร้อนของผู้อื่น อยู่ในบ้านนี้เมืองนี้

มนุษย์พันธุ์หน้าเนื้อใจเสือ???
มนุษย์พันธุ์ปากปราศรัย น้ำใจเชือดคอ???
ทั้งๆที่อุทกภัยน้ำท่วมใหญ่ในรอบนี้ ถือเป็นอีกครั้งของอุทกภัยครั้งใหญ่ในเมืองไทย เพราะมีพื้นที่จังหวัดที่ได้รับความเดือดร้อนมากกว่า 33 จัหวัด และมีประชาชนผู้ที่ได้รับผลกระทบมากกว่า 2.5 – 2.8 ล้านคนแล้ว

ที่สำคัญยอดผู้เสียชีวิตนั้นพุ่งขึ้นไปถึง 94 ราย เกือบจะแตะร้อยรายเข้าไปแล้ว!!!
โดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงสาธารณสุข ให้ข้อมูลว่า เฉพาะในวันที่ 28 ต.ค. มีผู้ป่วยมารับบริการ 49,195 ราย ยอดสะสมตั้งแต่วันที่ 20-28 ต.ค. รวม 9 วัน พบผู้เจ็บป่วย 229,398 ราย โรคที่พบมากอันดับ 1 คือ น้ำกัดเท้า 110,111 ราย ที่เหลือเป็นไข้หวัดปวดเมื่อยร่างกาย และพบผู้ที่มีอาการเครียดนอนไม่หลับ ใจสั่น วิตกกังวล ร้อยละ 12 หรือประมาณ 25,233 คน

สำหรับผู้เสียชีวิตตั้งแต่วันที่ 20-28 ต.ค. มีผู้เสียชีวิตรวม 94 ราย 20 จังหวัด มากที่สุดที่จังหวัดนครราชสีมา 18 ราย รองลงมาคือนครสวรรค์ 12 ราย ลพบุรี 11 ราย พระนครศรีอยุธยา 7 ราย บุรีรัมย์ 6 ราย ซึ่งในวันที่ 28 มีเสียชีวิตเพิ่ม 26 ราย คือที่นครราชสีมา 9 ราย นครสวรรค์ 1 ราย พระนครศรีอยุธยา 6 ราย นนทบุรี 2 ราย สุพรรณบุรี 4 ราย กำแพงเพชร 1 ราย และปทุมธานี 3 ราย ส่วนใหญ่จมน้ำเพราะลื่นพลัดตกน้ำ

เป็นความเดือดร้อนสาหัส แต่กลับมีกลิ่นตุๆยิ่งกว่ากลิ่นน้ำท่วมขัง เพราะเป็นกลิ่นของขบวนการเหลือบน้ำท่วม!!!

แม้ว่าตอนนี้อาจจะยังจับไม่ได้คาหนังคาเขา แต่หากดูพฤติกรรมย้อนหลัง ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ได้มีการออกมาเปิดเผยถึงผลการตรวจสอบการติดตามงบประมาณและสุ่มตรวจ 280 โครงการทั่วประเทศในโครงการป้องกันบรรเทาอุทกภัย ปีงบประมาณ 2552
พบว่ากว่าร้อยละ 88 ที่พบความผิดปกติ หรือจัดซื้อจัดจ้างไม่เป็นไปตามระเบียบราชการ
ทำให้มีแนวโน้มว่าวิกฤตการณ์น้ำท่วมในปีนี้ ที่มีการเบปจ่ายงบประมาณในลักษณะเดียวกัน อาจเป็นโอกาสให้นักการเมืองและข้าราชการเข้ามาหาประโยชน์ได้อีก

เป็นเรื่องที่น่าคิดว่า ทำไม ป.ป.ท. ออกมาพูดในจังหวะนี้ ในจังหวะที่กำลังเกิดภาวะน้ำท่วมครั้งใหญ่พอดี หากไม่ใช่ต้องการออกมากระแอมกระไอให้รู้ว่า มีคนรู้ทันนะ อย่าฉวยโอกาสกอบโกยกันนักเลย
ซึ่งปรากฏว่า นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา ในฐานะรองประธาน กมธ.กิจการองค์กรตามรัฐธรรมนูญและติดตามการบริหารงบประมาณ วุฒิสภา ก็ได้มีการออกมาขานรับทาง ป.ป.ท. ว่าการตรวจสอบการใช้งบประมาณของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมาของปีนี้ แม้จะยังไม่พบว่ามีการทุจริตเกี่ยวกับการใช้งบประมาณช่วยเหลือประชาชน แต่เรื่องแบบนี้โดยส่วนตัวเชื่อว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ได้ตรวจสอบ ทั้งนี้ตน

ดังนั้นจึงขอเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญในประเด็นทุจริตน้ำท่วม และนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมายให้ได้

“การจัดซื้อจัดจ้างต่างๆจำเป็นต้องกระบวนการตรวจสอบสิ่งของ แม้จะเป็นการจัดซื้อด้วยวิธีพิเศษหรือโครงการมีความเร่งด่วนก็ตาม ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความโปร่งใสถูกต้อง ไม่เช่นนั้นการช่วยเหลือของรัฐบาลจะซ้ำรอยปลากระป๋องเน่าได้ และนักการเมืองอย่าหาผลประโยชน์บนความทุกข์ของประชาชน”นายไพบูลย์ กล่าว

ขณะที่ นายรักพงษ์ ณ อุบล ส.ว.หนองบัวลำภู ในฐานะเลขานุการคณะ กมธ. กล่าวว่า งบประมาณช่วยเหลือผู้ประสบภัยปัจจุบันพบว่าผู้ว่าราชการจังหวัดและสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย สามารถเบิกใช้งบประมาณได้ทันที ซึ่งการเบิกจ่ายเพื่อช่วยเหลือประชาชนนั้นมองว่ายากที่จะตรวจสอบได้ ดังนั้นเพื่อความโปร่งใสควรนำข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาเปิดเผยให้สาธารณชนรับรู้ ส่วนเรื่องทุจริตโครงการต่างๆของรัฐที่เกี่ยวกับภัยพิบัติ ขณะนี้ทาง กมธ.ยังไม่ได้รับเรื่องร้องเรียนเข้ามาให้ตรวจสอบ

ส่วน นายตุ่น จินตะเวช ส.ส.อุบลราชธานี พรรคชาติไทยพัฒนา ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) ติดตามงบประมาณการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า เรื่องดังกล่าวเกิดมาจากความไม่โปร่งใสของการใช้งบประมาณที่นำไปใช้จ่าย โดยรัฐบาลได้กำหนดงบประมาณให้ 2 หน่วยงานใช้งบประมาณ คือ ส่วนของผู้ว่าราชการจังหวัดที่สามารถใช้งบฉุกเฉินได้เลยไม่จำเป็นต้องขออนุญาตจากหน่วยงานต้นสังกัด

และส่วนของสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยมีการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด

นายอำพล วงศ์ศิริ รักษาการเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เปิดเผยว่า นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงยุติธรรม ได้มอบหมายให้สำนักงาน ป.ป.ท.ตั้งศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ พร้อมจัดชุดเฉพาะกิจเคลื่อนที่เร็ว 5 ชุด ตรวจสอบการใช้งบภัยพิบัติของทุกจังหวัดที่ประสพภาวะน้ำท่วมในขณะนี้ โดยเฉพาะในจังหวัดที่ใช้งบแก้ไขปัญหาดังกล่าวจำนวน 50-100 ล้านบาท ว่าได้ใช้จ่ายถูกต้องตามระเบียบหรือไม่

โดยในการทำงานของชุดเคลื่อนที่เร็วจะลงพื้นที่ตรวจสอบในทางลับทันทีหากได้รับการร้องเรียน
ที่สำคัญจะมีหนังสือไปถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ให้แจ้งรายละเอียดการใช้งบภัยพิบัติทำโครงการช่วยเหลือประชาชนที่จังหวัดได้รับปีละ 50 ล้านบาท ให้สำนักงาน ป.ป.ท.รับทราบ
และขอให้ทุกจังหวัดติดประกาศรายละเอียดการใช้งบภัยพิบัติไว้ที่ศาลากลางจังหวัด เพื่อให้ประชาชนหรือสื่อมวลชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการใช้งบประมาณ

รวมทั้งได้ให้เจ้าหน้าที่ ป.ป.ท.ทั้ง 4 ภาค เร่งประชาสัมพันธุ์ผ่านวิทยุแห่งประเทศไทย ให้ประชาชนแจ้งเบาะแสการใช้งบภัยพิบัติที่ผิดปรกติทั้งการก่อสร้างถนน สะพาน แหล่งน้ำ ฟื้นฟูพื้นที่การเกษตร หรือโครงการต่างๆ ในชุมชน ให้ ป.ป.ท.เข้าไปสอบสวนดำเนินคดีหากไม่โปร่งใส

นายอำพลระบุว่าป.ป.ท.จะเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าร่วมตรวจสอบในลักษณะคู่ขนานไปด้วย เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการใช้งบประมาณ เนื่องจากที่ผ่านมาเม็ดเงินงบประมาณถึงมือประชาชนไม่ถึงร้อยละ 10 โดยแนวทางการตรวจสอบจะใช้ฐานข้อมูลเดิม ซึ่ง ป.ป.ท.พบว่าบางจังหวัดมีการทุจริตงบประมาณเกินความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง

โดยในวันที่ 1 พ.ย. จะเรียกประชุมเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษเพื่อทำความเข้าใจกันก่อนลงพื้นที่ปฏิบัติการในพื้นที่จริงด้วย

“เบื้องต้นเราได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านในพื้นที่จังหวัดสระบุรี ว่า มีนายก อบต.บางแห่ง กักตุนของบริจาคไว้เฉพาะกลุ่มหัวคะแนนของตัวเองทำให้ชาวบานเดือดร้อน เตรียมจะส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป ส่วนความคืบหน้าการดำเนินคดีกับนายอำเภอที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้งบภัยพิบัติปี 52 ไม่ถูกต้องในหลายพื้นที่ ได้ทยอยส่งสำนวนให้ ป.ป.ช.ตั้งอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงตามกฎหมายแล้ว” รักษาการ ป.ป.ท. กล่าว

นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยการกำกับติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (คชอ.) กล่าวถึงการดูแลงบที่อาจจะรั่วไหลว่า ในแต่ละเงินงบประมาณที่จ่ายลงไปจะมีระบบไปกำกับดูแล เช่น เงินกองทุนบริจาคเราจะใช้เว็บไซต์ ทั้งไทยพลัส พีเอ็ม และสำนักนายกฯ แจ้งให้ทราบ ทั้งตัวเลขเงินเข้าออก

ส่วนตัวเลขที่เกี่ยวกับเงินงบประมาณด้านอื่น เช่น 5 พัน จะใช้หลักฐานสำเนาทะเบียนบ้าน ตรงนี้จะควบคุมได้ง่าย หากเป็นบ้านเช่าจะมีทะเบียนที่ชัดเจน

ส่วนงบที่อนุมัติให้ซื้อของไปนั้น รายละเอียดจะมีการอนุมัติไปสองส่วนที่สำคัญ คือ กรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) 70 ล้าน กับ 238 ล้านตอนหลัง และทุกรายการจะมีกรมบัญชีกลางและสำนักงบกำกับดูแล ขณะเดียวกันในที่ประชุม คชอ.จะมีภาคประชาสังคมที่มากำกับอยู่ด้วย

สำหรับงบกลางในการจัดซื้ออุปกรณ์จำเป็นให้ผู้ประสบอุทกภัย ในส่วนของเงินบริจาค 70 ล้านบาท ทางรัฐบาลได้ดำเนินการจัดเตรียมสุขาลอยน้ำ โดยปล่อยเป็นคาราวาน ส่วนงบประมาณอีก 238 ล้านบาท และเพิ่ม 106 ล้านบาท ให้ดำเนินการช่วยเหลือประชาชน ซึ่งสิ่งที่ประชาชนร้องขอมากที่สุดยังเป็นสุขา ก็พยายามจัดให้อย่างเพียงพอ

สำหรับงบประมาณที่รัฐบาลเตรียมเสนอเข้าที่ประชุม ครม.เพื่ออนุมัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่มีวงเงินประมาณ 3,000 ล้านบาท ขณะที่การตรวจสอบทุจริตงบภัยพิบัติของ ป.ป.ท.ก่อนหน้านี้มีสรุปผลสอบการใช้งบภัยพิบัติประจำปีงบประมาณ 2552 พบว่าในการสุ่มตรวจสอบโครงการทั้งสิ้น 373 โครงการ มีโครงการที่ส่อใช้งบทุจริตมากถึง 274 โครงการ คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 50 ล้านบาท โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือจากการสุ่มตรวจสอบ 163 โครงการใน 6 จังหวัด พบว่าทุจริตโครงการมีการใช้งบที่ผิดปกติ

ส่วนโรคระบาดหลังน้ำท่วมยังไม่มีการระบาดเกิดขึ้น
ขณะที่ความเคลื่อนไหวของพรรคฝ่ายค้าน นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวภายหลังการประชุม ส.ส.พรรค เรื่องปัญหาน้ำท่วมในจังหวัดนครราชสีมาและพื้นที่แถบภาคกลาง ว่า มติที่ประชุมได้มอบหมายให้ ส.ส.ในพื้นที่ ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลและตั้งคณะทำงาน ลงพื้นที่ตรวจสอบเรื่องนี้ และจะมีการประสานกับภาครัฐบางส่วนด้วย ขณะที่ประชาชนผู้เดือดร้อนจากเหตุน้ำท่วม สามารถร้องเรียนมายังพรรคทางโทรศัพท์หรือเว็บไซต์ของพรรคเพื่อไทยได้

โดยนายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย จะเป็นผู้ประสานกับทุกฝ่ายในเรื่องดังกล่าว ซึ่งกรรมการบริหารพรรค และ ส.ส. จะลงพื้นที่ตรวจสอบในส่วนของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พื้นที่ภาคกลาง จังหวัดสระบุรี และที่ได้รับผลกระทบน้ำท่วมอย่างกว้างขวางอย่างจังหวัดนครราชสีมา
น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม.ในฐานะผู้อำนวยการสำนักงานปราบโกง (สปก. 4-01) แถลงว่า พรรคได้มีการประชุมกรรมการบริหารพรรคและส.ส.ของพรรค โดยมีมติให้ส.ส.ของพรรคที่เป็นประธาน และรองประธานสภาฯทุกคณะ คณะติดตามและตรวจสอบรัฐบาล(คตร.) และสำนักงานปราบโกงเตรียมความพร้อมเพื่อดำเนินการบูรณาการข้อมูลเพื่อเตรียมเปิดโปงการทุจริตคอรัปชั่นอย่างเป็นระบบ เพื่อยุติการกู้มาโกง และการโกงชาติโกงแผ่นดิน โดยพรรคได้ย้ำมติให้เป็นนโยบายวาระเร่งด่วนที่สำคัญอย่างยิ่งของพรรค และได้รีบดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

โดยคาดว่าพรรคเพื่อไทยจะสามารถเปิดโปงการทุจริตคอรัปชั่น การประพฤติมิชอบ และการบริหารราชการแผ่นดินที่บกพร่องผิดพลาดได้ ประมาณกลางพฤศจิกายน

สำหรับรูปแบบการนำเสนอนั้นจะจัดเป็นนิทรรศการและเดินสายชี้แจงกับประชาชน รวมทั้งจะนำข้อมูลการทุจริตของรัฐบาลบันทึกเป็นซีดีและสมุดปกดำ เพื่อแจกจ่ายทั่วประเทศ ทั้งนี้ได้มอบหมายให้ฝ่ากฎหมายเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการเพื่อเอาผิดกับนักการเมืองที่เกี่ยวข้องในการทุจริตมาลงโทษตามอาญาแผ่นดินให้ได้

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ยืนยันเดินหน้าสางทุจริตทุกหน่วยงาน และยืนยันว่าไม่มีแนวคิดที่จะกู้เงินเพื่อช่วยเหลือฟื้นฟู

“และได้สั่งการให้ทุกกระทรวงไปพิจารณาปรับลดงบประมาณ เพื่อนำมาใช้ในการดำเนินการช่วยเหลือฟื้นฟูแล้ว เพื่อไม่ให้เป็นภาระกับงบกลางมากจนเกินไป ซึ่งเรื่องดังกล่าวจะนำเข้าสู่การพิจารณาในการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ในวันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายนนี้”

ปัญหาก็คือจริงๆแล้ว กรณีทุจริตน้ำท่วมครั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ ไม่ควรจะแค่ตั้งกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริง แต่ควรจะต้องทำความจริงให้ปรากฏ เมื่อปรากฏผลสอบออกมาอย่างไรได้ความอย่างไร ควรนำผลสอบสวนนั้นมาชี้แจงกับประชาชนได้รู้ และเพื่อเป็นการประจานให้รู้กันไปเลยว่าใครบ้างที่คิดร้ายซ้ำเติมผู้คนที่กำลังเดือดร้อนจากปัญหาน้ำท่วมได้ลงคอ

เพราะมีกระแสว่าการทุจริตครั้งนี้ เกี่ยวข้องกับเรื่องฐานเสียงของนักการเมือง เพื่อหวังผลต่อคะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้าด้วย

ถ้าหวังผลแพ้ชนะในการเลือกตั้ง จนทำได้แม้แต่การซ้ำเติมความทุกข์ของผู้อื่นเช่นนี้ ต้องประจานให้เข็ด
คนหน้าเนื้อใจเสือพวกนี้... ปล่อยไว้ไม่ได้!!!

ที่มา.บางกอกทูเดย์

วิถีคนกล้า?

หมิ่นเหม่เสียเหลือเกินกับขบวนการดึงสถาบันตุลาการเข้ามาคลุกฝุ่นบนถนนสายการเมือง...ทำเป็นเล่นไป!!! หากท่านผู้พิพากษา บางท่านกระทำตัวเลือกข้างจนตราชั่งเอียง.. ที่ว่า “ศาลสูง” นั้น.. วันหนึ่งย่อมกลายเป็น “ศาลเตี้ย” ไปโดยไม่รู้ตัว..

ประเทศใดหากไร้ซึ่งหลัก “นิติรัฐ..” และหลัก “นิติธรรม..” ก็ยากที่จะหาความสงบสุขร่มเย็นให้เกิด ขึ้นภายในบ้านเมือง.. อย่างคดีความทางการเมืองหลายกรณี..มีเสียงบริภาษอย่างกว้างขวาง ว่ามีจอม บงการล็อกพิกัดปักหมุดให้เดินไปตามทางที่วางไว้.. ใช่หรือไม่???

ถนนสายการเมืองไทยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475.. กว่า 78 ปี ที่มี ส.ส.ผู้ทรงเกียรติในสภาผลัดใบเข้ามากอบโกยผลประโยชน์แห่งเค้กก้อนโต เปลี่ยนหน้าแปรพักตร์มาแล้วไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่น

กระนั้นก็ตาม ไม่ว่าจะหัวหงอกหรือหัวดำ.. คงไม่ต้องอรรถาธิบายให้มากความ ก็พอจะทราบกันดีว่า หาทำยาได้น้อยเหลือซะเกิน!!! ครั้นในยามบ้านเมืองวิกฤติ ประเทศคับขัน นักคิด นักเขียน นักวิชาการหัวก้าวหน้า ขันอาสาเข้ามาช่วยผ่าตัดใหญ่ฝ่ายการเมือง.. ก็มักจะมีนักการเมือง “ศรีธนญชัย” บางกลุ่ม กระโดดมาร่วมวงโหนกระแส “ปาหี่ปฏิรูปการเมือง” ในทุกครั้งไป..

หากให้นักการเมืองมาแฝงตัวอยู่เบื้องหลังการ ปฏิรูปการเมือง.. บทสรุปร้อยทั้งร้อยคือทุกสิ่งทุกอย่าง จะยังคงเดิมและไม่มีการเปลี่ยนแปลง.. เพราะจะให้นักการเมืองมาปฏิรูปบ้านเมืองด้วยการเปลือยเปล่าตัวเองให้ชาวบ้านเห็นในสภาพที่ล่อนจ้อน..มันย่อมเป็น ไปไม่ได้!!!

ในโลกแห่งความเป็นจริง..มีที่ไหนที่ “ผู้มีอำนาจ”.. จะออกกฎระเบียบมาลดทอนอำนาจตัวเอง.. คงจะต้อง รอให้น้ำท่วมหลังเป็ดเสียก่อนกระมัง!!!จะว่าไปแล้ว ดัชนีความอยู่รอดปลอดภัยของประเทศไทยชั่วโมงนี้.. ถูกฝากความหวังไว้ที่ “สถาบันตุลาการ” เพียงหนึ่งเดียว.. เพราะฝ่ายการเมือง..มาแล้วก็ไป.. ส่วนข้าราชการประจำ โดยเฉพาะหน่วยงาน ต้นน้ำของกระบวนการยุติธรรม..ก็ล้วนทำงานถวายหัว สนองนักการเมืองแบบไม่ลืมหูลืมตา..

ที่สำคัญประเทศจะเดินหน้าไปได้อย่างมั่นคง.. ต้องมีการ “ปฏิรูปการเมือง” อย่างเป็นจริงเป็นจัง.. และผู้ที่จะเป็นตัวหลักในการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงประเทศก็คือ “สถาบันตุลาการ”..

เพียงแค่ท่านผู้พิพากษาทั้งหลายยึดมั่นในคำสัตย์ปฏิญาณที่ให้ไว้.. ผิดถูกว่ากันไปตามความเป็นจริง..ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง.. เป็นสถาบันที่มีมาตรฐานเดียว.. สถาบันอันเป็นทางออกประเทศแห่งนี้ ก็จะมีส่วนร่วมในการย่อยสลาย “ขยะสังคม” ฝ่ายการ เมืองลงไปได้อย่างมากมาย..

แต่หากตราชั่งอันศักดิ์สิทธิ์ มีธงอยู่ในใจล่วงหน้า.. หรือมีคำตอบคำพิพากษาไปวางไว้ที่ตราชั่งด้านใดด้าน หนึ่ง หรือแม้กระทั่งการเลือกที่จะหลับตาข้างเดียว เมินกระแสความไม่ชอบมาพากลในสถาบันอันเป็นเสาหลักแห่งกระบวนการยุติธรรม..

อย่างภาพเบลอเจือพิษการเมืองวาง ยาในวิกฤติศรัทธา “ศาลรัฐธรรมนูญ”.. ระวังเถิด!!! ปรากฏการณ์ครั้งนี้มันจะกลาย เป็นสะเก็ดไฟไหม้ลามทุ่ง ที่จะมิใช่ทำให้เสาหลักแห่งตุลาการเสื่อมทรุดลงแต่เพียงสถาบันเดียว.. เพราะนั่นมันจะนำ พาทุกองคาพยพในสังคม ต้องย่อยยับ ลงไปตามทิฐิความอยากอยู่อย่างอยากของตัวท่านด้วย

นักการเมืองเกาหลีผู้ต่อสู้กับ การทุจริตคอร์รัปชั่นมาตลอดชีวิต แสดงความรับผิดชอบด้วยการกระโดดหน้าผาตายเพื่อรักษาเกียรติ หลังภรรยาตกหลุมพราง ฝ่ายตรงข้ามในการเข้าไปมีส่วน กับการทุจริตคอร์รัปชั่น แต่สำหรับบ้านเมืองนี้คงไม่ถึงขั้นนั้น ซึ่งนั่นก็คงไม่ต้องบอกเช่นกันว่า การยุติปัญหาเพื่อนำพากงล้อยุติธรรมถอยห่างจากหลุมพรางการเมืองควรจะดำเนินไปด้วยวิธีการใด

ด้วยจุดเปลี่ยน จุดหักเหเพียงแค่เท่านี้ มันล้วนมีอานิสงส์ในการนำพา กระบวนการตุลาการภิวัตน์ สลัดหลุดจาก “แผนชั่ว” ของคนบางพวก..นักการเมืองกลุ่ม ที่ต้องการช่วงชิงความได้เปรียบ หรือแม้กระทั่งคิดการใหญ่..“เด็ดดอกไม้ เพื่อให้สะเทือนถึงดวงดาว” ?!?!บนเส้นทางแห่งวิถีคนกล้า.. “ท่านเปาบุ้นจิ้น” ไม่เคยเผาศาลขอรับ!!!

ที่มา:สยามธุรกิจ

***************************************************

ศอฉ. ศาลอาญาโลก และความรับผิด



ในช่วงระยะเวลาอันสั้น คณะกรรมการโอเวลเลี่ยน (กลุ่มเผด็จการอำนาจนิยม) ของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้ชี้แจงการกระทำของตนเองด้วยเหตุผลที่แปลกประหลาด นอกจากจะคุมขังนักกิจกรรม นักข่าว และนักวิชาการแล้ว ศอฉ. ยังประกาศว่าแม่ค้าขายรองเท้าแตะที่มีลายพิมพ์หน้าคล้ายนายกรัฐมนตรีเป็นภัยต่อความมั่นคงภายในประเทศ

ดังนั้น จึงไม่มีมีใครคาดหวังว่าจะได้ยินอธิบายอย่างมีความรับผิดชอบและน่าเชื่อถือจากศอฉ. ในกรณีของการยื่นรายงานเบื้องต้นเพื่อแจ้งต่ออัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ถึงเหตุการณ์การสลายการชุมนุมและการปฏิบัติต่อผู้ชุมนุม ซึ่งอาจเป็นการกระทำที่เข้าข่ายอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ อย่างไรก็ตาม คำอธิบายของศอฉ.อาจจะทำให้กลุ่มคนที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์รู้สึกประหลาดใจมากขึ้น

ในวันที่ 27 ตุลาคม พันเอกสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศอฉ. ได้แถลงต่อสื่อมวลชนว่า  “ที่ประชุมยังไม่มีการรายงานเรื่องนี้เข้ามา ขณะเดียวกันผมก็ไม่ชัดเจนในข้อกฎหมายว่าทำได้หรือไม่ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเป็นที่รับรู้กันว่าอะไรเกิดขึ้น ไม่ใช่ทหารเราไปไล่ฆ่าประชาชน แต่เกิดจากการชุมนุมที่เกินขอบเขตกฎหมาย

นอกจากนี้พันเอกสรรเสริญยังกล่าวว่า “ศาลในประเทศไทยก็วินิจฉัยรัฐบาลเป็นผู้ดูแลความมั่นคงมีอำนาจระงับยับยั้งเหตุการณ์ เพราะได้มีความพยายามต่อรองและได้ดำเนินการอย่างถึงที่สุดด้วยความรอบคอบ (สำหรับการดำเนินการสลายการชุมนุม) การดำเนินการของเจ้าหน้าที่จึงต้องทำด้วยหลักสากล มีการชี้แจงผ่านวิทยุ โทรทัศน์ และผ่านสื่อ รวมทั้งไม่ปิดกั้นเสรีภาพของสื่อมวลชน”

ตามมาด้วยคำชี้แจงของสมาชิกรัฐบาลอย่างนายเทพไท เสนพงศ์ “เหตุการณ์ดังกล่าวต่างจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของกัมพูชา ซึ่งอยู่ในการตัดสินของศาลโลก แต่เหตุการณ์ความวุ่นวายในประเทศไทย เป็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในประเทศ และรัฐบาลไม่ได้มีเจตนาไปเข่นฆ่าประชาชน เป็นเพียงการบังคับใช้กฎหมายที่มีบทบัญญัติกฎหมายรับรอง จึงคิดว่าไม่สามารถนำไปฟ้องดำเนินคดีต่อศาลโลกได้”
หากพิจารณาคำอธิบายของศอฉ.และชี้แจงเหล่านี้ จะพบว่ามีความโดดเด่นอย่างมาก เพราะแนวความคิดของศอฉ. (ซึ่งเราสามารถตีความได้โดยทั่วไปว่าเป็นความคิดของกลุ่มอำมาตย์) แสดงให้เห็นว่ายังคงมี

ความพยายามที่จะปฏิเสธว่าทหารและตำรวจไม่ได้สังหารผู้ชุมนุม จุดยืนของศอฉ. แสดงให้เห็นถึงพยายามชี้นำสังคมในทางที่ผิดเท่าที่จะสามารถจินตนาการได้ ซึ่งขัดต่อหลักฐานที่ถูกเผยแพร่อย่างแพร่หลายในที่สาธารณะ และความพยายามนี้ช่วยอธิบายว่าเหตุใด รัฐบาลจึงปฏิเสธโอกาสในการเข้าถึงหลักฐานทางนิติเวชและพยายามที่จะปกปิดข้อเท็จจริงและข้อมูลอื่นที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว และนี่คือตัวอย่างหนึ่งของการกระทำของรัฐบาลทีเราเลือกออกมาจากยุทธศาสตร์สร้างความยุ่งยากในการตรวจสอบเหตุการณ์ของรัฐบาลไทย ซึ่งแสดงในเห็นถึงความพยายามปฏิเสธการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม นั้นคือการที่ศาลปฏิเสธคำร้องผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 19 คน ในวันที่ 27 สิงหาคม โดยเป็นคำร้องที่ขอดำเนินการชันสูตรศพทั้ง 9ศพที่ถูกสังหารหมู่ ด้วยผู้เชี่ยวชาญของผู้ถูกกล่าวหา

แม้รัฐบาลจะทำการชันสูตรศพดังกล่าว แต่จนถึงปัจจุบันรัฐบาลไม่เคยเปิดเผยผลการชันสูตรแก่ผู้ถูกกล่าวหา นอกจากนี้ ครอบครัวของผู้เสียชีวิตไม่ได้ดำเนินพิธีการเผาศพ เพื่อต้องการเก็บรักษาหลักฐาน ด้วยความหวังที่ว่า ความยุติธรรมจะเกิดขึ้นในที่สุด การปฏิเสธคำร้องดังกล่าวของศาลละเมิดต่อสนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเรือนและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ซึ่งประเทศไทยได้ลงนามไว้ ICCPR บัญญัติว่า ผู้ถูกกล่าวหาทางอาญามีสิทธิเข้าถึงหลักฐานเช่นเดียวกับกับรัฐบาล เหตุผลเดียวที่ศาลใช้ปฏิเสธคือ อัยการเป็นผู้เดียวที่มีอำนาจในการร้องขอชันสูตร

เหตุใดจึงพยายามปกปิดผลการชันสูตร? วัตถุประสงค์หนึ่งในการชันสูตรคือ การตรวจสอบทิศทางกระสุน ชนิดกระสุน และระยะทาง เพื่อพิสูจน์ว่าผู้เสียชีวิตเหล่านี้ถูกมือปืนซุ่มยิงทหาร หรือถูกยิงจากระดับพื้นดินโดยบุคคลอื่นตามที่รัฐบาลอ้าง และนี่คือประเด็นที่เจ้าหน้ารัฐล้มเหลวในการชันสูตรพลิกศพ การที่รัฐบาลปฏิเสธคำร้องของผู้ถูกกล่าวหา แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลพยายามทำลายหลักฐานสำคัญที่จะระบุว่ามือปืนซุ่มยิงทหารได้สังหารประชาชน เพราะเมื่อการชันสูตรเสร็จสิ้นลง ศพเหล่านั้นจะถูกนำไปประกอบพิธีวางเพลิงศพ

และยังเป็นที่น่าสังเกตว่า รัฐบาลได้จับกุมแกนนำเสื้อแดงในข้อหาก่อการร้าย ก่อนที่จะมีการสอบสวนข้อเท็จจริง หากมีข้อเท็จจริงที่จะพิสูจน์ข้อกล่าวหาของรัฐบาลที่ว่า มีกลุ่มหัวรุนแรงในการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง รัฐบาลควรจะสอบสวนและระบุตัวบุคคลดังกล่าวให้แน่ชัด ก่อนที่จะจับกุมแกนนำเสื้อแดงในข้อหาก่อการร้าย เพราะบุคคลเหล่านั้นเพียงแค่ใช้สิทธิตามกฎหมาย และยังเป็นสิทธิที่รับรองใน ICCPR ในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองเท่านั้น

ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งคือ แกนนำเสื้อแดงถูกปฏิเสธสิทธิในการเข้ารับฟังการพิจารณาคดีของตนเอง ในวันที่ 27 สิงหาคม แกนนำเสื้อแดงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ารับฟังการแจ้งข้อหาอย่างเป็นทางการ พร้อมทั้งชี้แจ้งและแก้ต่างข้อหาเหล่านั้น นอกจากนี้ ศาลยังได้กล่าวว่า ผู้ถูกกล่าวหาเหล่านี้จะไม่ได้รับอนุญาตในเข้าฟังการพิจารณาคดีครั้งต่อไป ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดบทบัญญัติใน ICCPR ที่ประกันความยุติธรรมในการพิจารณาคดี เพราะการกีดกันไม่ให้ผู้ถูกกล่าวหามีโอกาสที่จะสื่อสารกับทนายของคนเองในประเด็นที่เกี่ยวกับ ข้อหา/ข้อเท็จจริง/ข้อกล่าวหา และยังส่งผลต่อความสามารถในการตระเตรียมข้อแก้ต่างให้กับตนเองอีกด้วย เหตุผลที่พวกเขาถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าฟังการพิจารณาคดีคือ ห้องพิจารณามีขนาดคับแคบเกินไป อันแสดงให้เห็นถึงความไร้สาระของรัฐบาลนี้ในการจัดการกับคดีดังกล่าว (มีที่นั่ง 3 ที่นั่ง สำหรับทนายทั้ง 19 คน ในการพิจารณาคดีวันที่ 27 สิงหาคม) ครอบครัวของผู้ถูกกล่าวหายังถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าร่วมรับฟังการพิจารณาคดีเช่นกัน ในขณะที่คำร้องขอให้พิจารณาคดีในห้องพิจารณาคดีที่มีขนาดใหญ่ขึ้นถูกปฏิเสธ

หากยังมีคำถามอยู่อีกว่า เหตุใดรัฐบาลจึงต้องลงทุนและพยายามอย่างมากที่จะกีดกันไม่ให้การดำเนินคดีที่แท้จริงเกิดขึ้น อันเป็นการทำลายกระบวนการปรองดองสมานฉันท์ ทั้งนี้เพราะรัฐบาลกลัวคำตอบจากผลการการชันสูตรศพของเหยื่อหลายรายจากผู้เชี่ยวชาญอิสระ ดูเหมือนว่ากลุ่มอำมาตย์ทหารที่ควบคุมประเทศอยู่ในเวลานี้จะฝากความหวังไว้กับการพยายามปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่าว่าการสังหารเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้น

เมื่อพิจารณาจุดยืนของรัฐบาลอภิสิทธิ์ในคดีนี้จะพบว่า แทนที่จะแสดงข้อมูลที่สนับสนุนข้อกล่าวอ้างของตน รัฐบาลกลับพยายามอย่างมากที่จะปัดความรับผิดชอบต่อประชาคมโลก ข้อเท็จจริงคือ มีฝ่ายหนึ่งที่สนใจให้มีการนำเสนอข้อมูล หลักฐาน การสอบสวนและดำเนินคดีอย่างเปิดเผย และอีกฝ่ายที่กล่าวตนเองเท่านั้นที่มีสิทธิขาดในการพิจารณาตรวจสอบคดี โดยสรุป เรายินดีที่จะพิสูจน์หลักฐานที่ระบุว่ารัฐบาลกระทำความผิดจริงอย่างเปิดเผยในศาลยุติธรรม

จนถึงทุกวันนี้ พันเอกสรรเสริญ นายเทพไท และนายอภิสิทธิ์ รวมถึงบุคคลอื่นๆ ไม่ได้แสดงความมั่นใจต่อจุดยืนของตนเอง แต่กลับพยายามแสดงพฤติกรรมหลีกเลี่ยงความผิดของตนเอง

ที่มา:ประเทศไทย Robert Amsterdam

******************************************************************

วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553

"ไชยยันต์ ไชยพร"เฮ! ศาลพระโขนงตัดสินยกฟ้องคดีฉีกบัตรเลือกตั้ง 2 เมษายน

ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549    ณ  หน่วยเลือกตั้ง 62 เขตเลือกตั้งที่ 21 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ แขวง-เขตสวนหลวง กทม. เมื่อเวลา 09.30 น. นายไชยยันต์ ไชยพร อายุ 47 ปี หัวหน้าภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บัญชีหมายเลข 96 ได้เดินเข้าคูหาลงคะแนน และกาช่องไม่เลือกใคร ก่อนเดินถือบัตรลงคะแนนออกมาให้สื่อมวลชนดู
    
"ผมขอทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง" จากนั้นจึงฉีกบัตรเลือกตั้ง และยอมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำหน่วยเลือกตั้ง สน.ประเวศ 2 นาย เดินมาควบคุมตัวแต่โดยดี ทั้งสองฝ่ายต่างยิ้มให้กันอย่างเป็นกันเอง ในขณะที่ประชาชนจำนวนมากที่มาใช้สิทธิปรบมือโห่ร้องให้กำลังใจ รวมถึงนายยืนยง โอภากุล หัวหน้าวงคาราบาว ซึ่งมาร่วมสังเกตการณ์ด้วย

จากนั้น นายไชยยันต์ขออ่านแถลงการณ์ที่เตรียมมาจำนวน 4 แผ่น ให้ผู้สื่อข่าวฟัง โดยตำรวจทั้งสองคนก็ยินยอมแต่โดยดี มีใจความโดยสรุปว่า "ระบอบทักษิณ" ได้ยักยอก และยึดครองประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิงแล้ว การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการลงมติรับรองผู้นำเผด็จการเท่านั้น การยุบสภาที่เกิดขึ้นทำไปเพื่อประโยชน์ของคนคนเดียวที่ไม่ยอมรับการตรวจสอบปัญหาคอร์รัปชั่นและผลประโยชน์ที่ทับซ้อนที่ได้กระทำไป ในสถานการณ์เผด็จการจำแลงเช่นนี้ รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้เล็งเห็น และให้สิทธิพื้นฐานแก่ชนชาวไทยไว้แล้ว ในมาตรา 65 จึงขอปฏิเสธหน้าที่พลเมืองที่กำหนดไว้ในกฎหมายเลือกตั้ง เพื่อรักษาสิทธิเสรีภาพโดยฉีกบัตรเลือกตั้ง


"คดีนี้ผมจะเรียนต่อเจ้าพนักงานว่า ผมขอสู้คดีในชั้นศาล โดยจะไม่ยอมรับการเปรียบเทียบปรับใดๆ โดยจะขอต่อสู้คดีนำสืบให้ศาลเห็นถึงการใช้อำนาจยุบสภาโดยบิดเบือนจากวิถีทางในรัฐธรรมนูญเป็นลำดับไป และขอยืนยันว่า ผมไม่ได้ป่วยทางจิต" นายไชยยันต์ระบุ


ผ่านมา 4 ปี  คดีนายไชยยันต์ ไชยพรฉีกบัตรเลือกตั้ง ศาลจังหวัดพระโขนง ได้นัดฟังคำพิพากษา  ในวันที่29 ตุลาคม เวลาบ่าย   โดยก่อนหน้านี้ นายไชยยันต์ ได้ร้องขอความเป็นธรรม ต่ออัยการสูงสุด  แต่ที่สุด อัยการ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดพระโขนง เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2553  

ล่าสุด ศาลจังหวัดพระโขนง ได้ตัดสินยกฟ้องนายไชยยันต์ ไชยพร ในคดีฉีกบัตรเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 ซึ่งสร้างความยินดีให้แก่นายไชยยันต์

ก่อนหน้านี้  นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตสมาชิกวุฒิสภาและอดีตอาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า ผมไม่ได้เป็นพยานในคดีดังกล่าว แต่ได้ให้คำปรึกษานายไชยยันต์ ในการสู้คดี สำหรับแนวทางการต่อสู้คดีมี 2 ประเด็น ประกอบด้วย 1) สู้ตามกฎหมายเลือกตั้งว่าไม่มีความผิด เพราะมีแนวฎีกาว่า บัตรเลือกตั้งที่ห้ามทำให้เสียหาย หมายถึงบัตรที่กาลงคะแนนและอยู่ในหีบบัตรเลือกตั้งแล้ว แต่หากยังไม่ลงคะแนน ก็เป็นบัตรของเรา ซึ่งในประเด็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีแนวฎีกาเคยมีคำวินิจฉัยเอาไว้ 2) สู้ว่าเป็นสิทธิที่ทำได้ ตามรัฐธรรมนูญ เพราะการยุบสภาไม่ถูกต้อง การเลือกตั้งครั้งนั้นไม่ถูกต้อง จึงอยู่ในการต่อสู้แบบอารยขัดขืน ไม่ได้ทำให้ใครเสียหาย "

 แหล่งข่าวในวงการนักกฎหมายมหาชน เปิดเผยว่า  คดีนี้ถูกจับตามองเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในประเด็นกระบวนการยุติธรรมจะเป็น 2 มาตรฐานหรือไม่  เพราะคดีฉีกบัตรเลือกตั้งมีแนวคำพิพากษาที่แตกต่างกันมาก


*******************************************************************************
ที่มา: มติชนออนไลน์

กฎหมายโอเวอร์โหลด

อย่างที่ทราบกันไปแล้วในฉบับก่อนๆ ว่ากฎหมายไทย แม้จะมีหลาย มาตรา แต่บางเรื่องไม่สามารถนำมาใช้ จริง ในขณะเดียวกัน บางเรื่องนำมาใช้ได้จริงเป็นอย่างดี แต่กลับไม่มีการบังคับใช้อย่างจริงจัง ซึ่งเป็นจุดด้อยที่สุดของบ้านเรา

เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะบ้านเราให้ สิทธิ์ผู้ที่ปฏิวัติรัฐประหารสำเร็จมีอำนาจ ฉีกรัฐธรรมนูญเป็นว่าเล่น นอกจากนั้น ต้องยอมรับด้วยว่า คนมีอำนาจในบ้าน เมืองเรายังดัดจริต ไม่ยอมรับว่าในขณะนั้นๆ เรามีปัญหาอะไร ไม่ยอมรับความ จริง ทั้งที่บางครั้งรู้แก่ใจ และไม่มองว่าอะไรได้เกิดขึ้นกับคนในชาติแล้ว... ถ้าจะบอกจุดบอดให้หมดคงสาธยายไม่พอในคอลัมน์นี้

ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ “เรื่องของการพนัน” ที่รู้ทั้งรู้ว่าคนบ้านเรา เล่นหวยกันเต็มบ้านเต็มเมือง แต่เมื่อ มีหวยบนดิน เอาเงินนอกระบบมาเข้า รัฐ กลับถูกยกเลิกเมื่อมีการปฏิวัติ รวมถึงหวยออนไลน์ที่จะออกมาก็ไม่ผ่าน ในขณะที่ “สนามม้า” “สนามมวย” ก็ยังมีการเล่นกันให้เกลื่อน และเป็นที่รับรู้ของสังคมไทย

นี่ยังไม่รวม “โต๊ะบอล” “ตู้ม้า” ที่มีให้เห็นกันทั่วไปตามสถานบันเทิงเกือบทั่วประเทศ ขณะที่คนบางกลุ่มหรือบางหน่วยงานก็ออกมาร้องแรกแหกกระเฌอว่า “การพนันผิดศีล ไม่เหมาะกับสังคมพุทธอย่างประเทศไทย” แต่ถามหน่อยว่า “เคยมีใครคิดบ้างไหมว่าการพนันไม่มีระบุอยู่ในศีลห้า” ในขณะที่สิ่งที่ผิดศีลสำหรับชาวพุทธจริง คือศีลข้อ 5 “สุรา” แต่รัฐกลับเปิดขายเสียเอง

แต่ก็พอเข้าใจว่า บ้านเราเป็นเมือง ท่องเที่ยว หากเรามีกฎหมายห้ามในเรื่องนี้ออกมา ต่างชาติคงไม่มาท่องเที่ยว บ้านเรา ต่อให้มีแหล่งท่องเที่ยวสวยปานสวรรค์วิมานปานใด ก็ออกจะเป็น การบังคับกันเกินไป เพราะฉะนั้น สิ่งหนึ่ง ที่ผู้หลักผู้ใหญ่หรือคนมีอำนาจบ้านเรา ต้องพึงสำเหนียกก็คือ “การออกกฎหมายหรือข้อบังคับใดๆ ต้องไม่ตึงหรือ หย่อนเกินไป”

การที่จะออกกฎหมายใดต้องคำนึงถึงความเป็นจริง และการนำมาใช้ได้จริง โดยที่ไม่ส่งผลกระทบต่อคน ส่วนใหญ่ ในขณะเดียวกัน ต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วม และต้องไม่กระเทือนต่อรายได้หลักของประเทศ ซึ่งต้องพึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยว เป็นหลัก

อย่างกฎหมายเกี่ยวกับ “บุหรี่” ที่ยกเลิกโซนสูบบุหรี่ในสวนจตุจักร รวมถึงการไม่พบเห็นห้องสูบบุหรี่ในสนามบินเมืองไทย ทั้งที่ทั่วโลกเขายัง มีอยู่ เรื่องนี้จะทำให้นักท่องเที่ยวลดลงไปหรือเปล่า คงต้องรออีกระยะหนึ่ง

ล่าสุดทราบว่า “ร่างกฎหมาย ควบคุมแอลกอฮอล์” กำลังเข้าสู่ ครม. หลังผ่านความเห็นชอบจากกระทรวง สาธารณสุข ซึ่งถ้าผ่านความเห็นชอบ จากสภา บ้านเราจะปลอดการจำหน่าย สุราในรัศมี 500 เมตรรอบสถานศึกษา บ้านเราจะไม่มีเหล้าปั่นขาย แถมเรายังจะได้เห็นรูปภาพและข้อความเตือน บนขวดหรือภาชนะเหมือนกับบุหรี่

แต่ถามว่า คนต้นคิดออกกฎหมาย ซึ่งเป็นท่านผู้ดีทั้งหลายที่ถือศีล ครบ 5 ข้อ เคยมองภาพความเป็นจริง บ้างหรือไม่ เคยมองถึงผลกระทบที่จะ เป็นคลื่นใต้น้ำ อันจะกระทบต่อเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และอื่นๆ หรือไม่

ยกตัวอย่าง “กรณีปลอดเหล้า 500 เมตร รอบสถานศึกษา จะเป็น ไปได้หรือไม่” เพราะสถานศึกษาบ้าน เรามีกระจายทั่วทุกพื้นที่ อย่างในพื้นที่ เศรษฐกิจทำเลทองของนักท่องเที่ยว อาทิ ถนนข้าวสาร พัทยา เชียงใหม่ เป็นต้น

และที่สำคัญที่สุดคือ ผลกระทบ ต่อการท่องเที่ยว ที่ผมว่าเกิดขึ้นแน่ๆ หากมีการติดภาพและคำเตือนเหมือน กับบุหรี่ ซึ่งเท่าที่ทราบต้องกินพื้นที่ไม่ น้อยกว่า 30% ของขวดหรือภาชนะ ลองนึกภาพการต้อนรับทูตต่างชาติที่ต้องรินแชมเปญที่มีรูปอุบัติเหตุเมาแล้วขับพร้อมด้วยคำเตือนตัวโตๆ งานเลี้ยงวันเกิดแล้วเจอรูปคนตายจากการ ทะเลาะวิวาท นักท่องเที่ยวจะสั่งเบียร์ เหล้า แล้วต้องมาเจอกับภาพต่างๆ ที่มีขนาดใหญ่กว่าฉลากบอกยี่ห้อ

ผมไม่รู้ว่าประเทศไหนทำแบบนี้ แล้วบ้าง แต่บอกตามตรง นักท่องเที่ยว เขาจะหนีไปเที่ยวประเทศที่ไม่มีกฎหยุมหยิม ดื่มแล้วสบายใจ สบายอารมณ์ มีที่สูบบุหรี่เป็นสัดส่วนในสถานที่ต่างๆ และที่สำคัญผลที่ตามมา คือ การลักลอบนำเข้าเหล้าจากต่างประเทศ และเหล้าปลอมก็จะตามมา

สรุปคือ “ผมว่าน่าจะมีการบังคับ ใช้กฎหมายที่มีอยู่ให้จริงจังมากกว่าจะ ออกกฎหมายใหม่ให้พร่ำเพรื่อ โดยเฉพาะกรณีเมาแล้วขับ ต้องบังคับใช้ ให้จริงจังเหมือนต่างประเทศ ขอถาม คำสุดท้าย บ้านเราถ้า ส.ส.เมาแล้วขับ ตำรวจที่ไหนจะกล้าจับ?”

ที่มา.สยามธุรกิจ
********************************************