ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
ปัญหาบาทแข็งในปี 2553 ครอบครองพื้นที่ข่าวได้อย่างยาวนาน ส่วนหนึ่งมาจากวาทกรรมอันเผ็ดร้อนของภาคเอกชนที่มีต่อการแก้ไขปัญหาเงินบาทแข็งค่าของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กางโพยแจกแจงกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบการแข็งค่าของเงินบาทต่อการส่งออก โดยสำรวจ 39 กลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นสมาชิก พบว่า กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากและรุนแรงที่สุดสัดส่วนถึง 35% ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม สิ่งทอ เซรามิก แปรรูปสินค้าเกษตรและสินค้าเกษตร และผู้ส่งออกข้าว
ส่วนที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก มีสัดส่วน 35% ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมโรงเลื่อยไม้และอบไม้ ชิ้นส่วนเครื่องปรับอากาศ อาหารสำเร็จรูป ผลิตและส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ ยา และไม้อัด ไม้ยางและวัสดุแผ่น
ส่งผลให้ผู้ประกอบการสินค้ากลุ่มดังกล่าว ซึ่งส่วนใหญ่ใช้วัตถุดิบในประเทศ ต้องชะลอการรับคำสั่งซื้อ หรือออร์เดอร์ล่วงหน้า เพราะไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า เงินบาทจากนี้ไปจะผันผวนแข็งค่ามากขึ้นไปเท่าใด อีกทั้งไม่สามารถปรับราคาสินค้าได้ เพราะหากตั้งราคาขายที่ 28 หรือ 29 บาทต่อดอลลาร์ ตามแนวโน้ม ค่าเงินบาท ลูกค้าไม่รับออร์เดอร์
ในแง่ผลกระทบต่อกำไร ข้อมูลของ ส.อ.ท.ชี้ว่า กำไรปกติของ ผู้ส่งออกเฉลี่ยที่ 5-10% อย่างไรก็ตาม นับจากต้นปี 2553 จนถึงต้นเดือนกันยายน บาทแข็งจาก 33.15 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งค่าเฉลี่ยในช่วงต้นปี ขึ้นมาที่ 30 บาทต่อดอลลาร์ หรือแข็งค่าขึ้นไปมากกว่า 8% นั่นหมายความว่า ผู้ส่งออกหลายรายเริ่มมีปัญหาขาดทุน
ขณะที่ฝ่ายวิจัยธุรกิจ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ออกบทวิเคราะห์ "บาทแข็งค่า : แต่ละอุตสาหกรรมมีแรงต้านทานแค่ไหน" ประเมินว่า หากเงินบาทแข็งค่าเร็ว และทะลุไปถึงระดับ 29 บาทต่อดอลลาร์ (จาก 30.67 บาทต่อดอลลาร์ ถึง 29.94 บาทต่อดอลลาร์) อุตสาหกรรมรายแรกที่จะได้รับผลกระทบ ได้แก่ แป้งแปรรูป ต่อจากนั้นจะเป็นข้าว ไก่แปรรูป ยางแปรรูป กุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง เสื้อผ้าสำเร็จรูป ถุงมือยาง รองเท้า และเฟอร์นิเจอร์ไม้
อัตราแลกเปลี่ยน บาท/ดอลลาร์ ล่าสุด (7 ต.ค. 2553) เงินบาทได้ปรับตัวแข็งค่าสุดในรอบ 13 ปีครั้งใหม่ ทะลุระดับ 29 บาท มาอยู่ที่ 29.85 บาทต่อดอลลาร์ ลองนึกดูว่า หากหลาย ๆ อย่างเป็นไปตามการคาดการณ์นี้ ย่อมจะมีอุตสาหกรรมหลายประเภท บาทเจ็บจากค่าเงินบาทแล้ว
ทุกข์ของผู้ส่งออก อาจเป็นแรงกดดันหนึ่งที่ทำให้หอการค้าไทย โดยเฉพาะ "ดุสิต นนทะนาคร" ประธานกรรมการ ออกหน้า วิพากษ์บทบาทของ ธปท.หลายครั้ง และครั้งที่ถือเป็นการวิพากษ์ที่รุนแรงที่สุด เกิดขึ้นในช่วงกลางเดือนกันยายน โดยนอกจากเขาจะเรียกร้องให้ ธปท. "แสดงความจริงใจในการแก้ปัญหาค่าเงินบาท เหมือนที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นดูแลเงินเยนที่แข็งค่าขึ้น เนื่องจากเงินบาทที่แข็งค่าขณะนี้ ไม่เป็นภาวะปกติ แต่เป็นเพราะการไหลเข้าของเงินทุนเก็งกำไรระยะสั้น..."
ยังตำหนิตรง ๆ ว่า "ถ้ามีหน้าที่ที่จะทำแล้ว ไม่ทำตามหน้าที่ เป็นผมก็ต้องพิจารณาตัวเอง อยากให้กล้าตัดสินใจมากกว่านี้ เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศ ต้องกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง ควรจะบริหารจัดการแบบผู้บริหาร ไม่ใช่แบบเสมียน เพราะถ้าบริหารจัดการแบบเสมียน ก็เหมือนปล่อยไปตามยถากรรม"
แต่ในความเป็นจริงแล้ว "แบงก์ชาติ บริหารจัดการแบบเสมียน ก็เหมือนปล่อยไปตามยถากรรม หรือไม่"
ย้อนไปในอดีต ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนมาหลายครั้ง หากตั้งต้นที่ปี 2521 ซึ่งเป็นจุดเริ่มของการนำระบบตะกร้าเงินมาใช้ค่าเงินบาทของไทยอ่อนค่าสุดที่ 21 บาทต่อดอลลาร์ ปี 2524 ธนาคารแห่งประเทศไทยลดค่าเงิน จาก 21 บาทต่อดอลลาร์ เป็น 23 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงนี้เอง ธปท.เริ่มนำสัญญา สวอป มาเป็นมาตรการประกันความเสี่ยงให้กับผู้กู้ต่างประเทศ และลดค่าเงินอีกครั้ง ในปี 2527 มาอยู่ที่ 27 บาทต่อดอลลาร์ ตามด้วยการเปิดเสรีการเงิน ซึ่งนำไปสู่การยกเลิกการควบคุมดอกเบี้ย และการไหลของทุนนอก
แต่เมื่อย่างเข้าสู่ปี 2539 เศรษฐกิจที่เคยขยายตัวสูง มีเงินทุนไหลเข้าจำนวนมาก พลิกผันเป็นการส่งออกชะลอลงอย่างฮวบฮาบ มีการเก็งกำไรค่าเงินบาท และเผชิญปัญหาฟองสบู่แตก (ในช่วงนั้น มีการเก็งกำไรอสังหาริมทรัพย์อย่างมโหฬาร) ที่สุด 2 กรกฎาคม 2540 ทางการตัดสินใจลอยตัวค่าเงินบาท ส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว ต่ำสุดที่ 56 บาทต่อดอลลาร์ เกิดวิกฤตตามมา และส่งผลกระทบลุกลามไปยังบางประเทศในเอเชีย ได้แก่ อินโดนีเซียและเกาหลีใต้
อีก 2 ปีต่อมา ค่าเงินจึงได้คืนกลับสู่เสถียรภาพ โดยอยู่ที่ 36-39 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งหลังวิกฤตคลายตัวลงแล้ว ธปท.ประกาศจุดยืนชัดว่า จะแทรกแซงค่าเงินเฉพาะเพื่อลดความผันผวนระยะสั้น ไม่ฝืนแนวโน้มตลาด
อย่างไรก็ตาม เงินบาทเผชิญปัญหาแข็งค่ามากอีกครั้ง ในช่วง ปี 2549 โดยแข็งค่าสุดที่ 33 บาทต่อดอลลาร์ หลังจากเคยอ่อนค่าไปที่ 43-44 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงปี 2544-2545 ส่งผลให้ ธปท.ตัดสินใช้มาตรการควบคุมการเข้าระยะสั้น โดยให้มีการกันสำรอง 30% ซึ่งมาตรการหลังสุด ทำให้ธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธปท.ในช่วงนั้น ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง
ก่อนเกษียณอำลาตำแหน่งใหญ่ในวังบางขุนพรหม ธาริษายืนยันผ่านสื่อเสมอมาว่า ยังไม่มีแนวคิดที่จะออกมาตรการควบคุมเงินทุน เหมือนในปี 2549 และแบงก์ชาติดูแลค่าเงินอย่างใกล้ชิดเสมอมา
อะไรคือ ดูแลค่าเงินอย่างใกล้ชิดของ ธปท.
ประชาชาติธุรกิจได้รวบรวมสถิติค่าเงินบาท ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ และตัวเลขสำคัญ ๆ ที่เกี่ยวข้อง มาพิจารณาพบว่า ในช่วง 5 ปีย้อนหลัง ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นมาตลอด ยกเว้นปีเดียวคือ 2551 ที่อ่อนค่าลง 3.33% โดยเงินบาทที่แข็งค่า ขึ้นต่อเนื่องโดยเฉพาะช่วงปีที่แล้วต่อเนื่องถึงปัจจุบันนี้สอดคล้องกับทิศทางเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเช่นเดียวกัน และยังสัมพันธ์กับยอดคงค้างพันธบัตร ธปท.ที่เพิ่มขึ้นเป็น จำนวนมาก
ขณะที่ทุนสำรองย้อนหลังไป 5 ปี มีจำนวนเพียง 5.21 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 2548 แต่ล่าสุด เงินสำรองระหว่างประเทศล่าสุด 24 ก.ย. 2553 อยู่ที่ 163.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนที่มีจำนวน 159.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และ ฐานะสุทธิซื้อขายเงินตราต่างประเทศ (ฐานะสิทธิ Forward) อยู่ที่ 11.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากสัปดาห์ก่อนที่มีจำนวน 12.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
จะเห็นว่า เพียง 5 ปี ตัวเลขทุนสำรองของ ธปท.พุ่งขึ้นกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับค่าเงินบาทที่ ณ สิ้น ปี 2548 อยู่ที่ 41.07 บาท/ดอลลาร์ แต่ล่าสุดเงินบาทเคลื่อนไหวเหนือระดับ 31 บาท/ดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้นถึง 10 บาท/ดอลลาร์
เมื่อเข้าไปดูในองค์ประกอบของทุนสำรองจะพบว่า การเพิ่มขึ้นของทุนสำรอง หลัก ๆ มาจากการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ต่างประเทศ ซึ่งมีที่มาทั้งจากเงินทุนไหลเข้า การเกินดุลบัญชีเดินสะพัด และการซื้อดอลลาร์ของ ธปท.เพื่อดูแลค่าเงินบาท โดยเฉพาะเหตุผลข้อหลังเริ่มมีมากขึ้น เนื่องจากหากไปดูการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดพบว่า ในปีนี้เริ่มเกินดุลลดลง โดยปี 2552 มีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดถึง 2.03 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่ครึ่งแรกของปี 2553 เกินดุลบัญชี เดินสะพัดเพียง 6.5 พันล้านดอลลาร์ และตัวเลขล่าสุดในเดือน มิ.ย. เกินดุลบัญชีเดินสะพัดเพียง 700 ล้านดอลลาร์ ส่วนเดือน ก.ค.ที่ผ่านมาเริ่มขาดดุลบัญชีเดินสะพัด 1.1 พันล้านดอลลาร์
จากข้อมูลดังกล่าว ตั้งข้อสังเกตได้ว่า ทุนสำรองที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในปีนี้ น่าจะมาจากการที่ ธปท.เข้าแทรกแซงเป็นหลัก ซึ่งบ่งชี้ได้จากยอดคงค้างพันธบัตร ธปท.ที่เพิ่มขึ้นสอดคล้องกัน กล่าวคือ เมื่อ ธปท.เข้าแทรกแซงค่าเงินบาทต้องนำเงินบาทไปซื้อดอลลาร์ เข้ามาเก็บ ทำให้สภาพคล่องเงินบาทเพิ่มขึ้น แต่เพื่อรักษาระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ที่ 1.75% ทำให้ ธปท.ต้องดูดซับสภาพคล่องเงินบาทส่วนเกินออกไป ทางหนึ่งคือการออกพันธบัตร ธปท. ทำให้ยอดคงค้างพันธบัตร ธปท.สูงขึ้นต่อเนื่อง
โดยข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี พบว่า พันธบัตร ธปท.มียอดคงค้างสูงขึ้นต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นปี 2548 มียอดคงค้างเพียง 6.01 แสนล้านบาท แต่ล่าสุด ณ ส.ค. 2553 พบว่ายอดคงค้างถึง 2.2 ล้านล้านบาท ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งที่ยอดคงค้างพันธบัตร ธปท.เพิ่มขึ้นเป็นผลจากการเข้าแทรกแซงดูแลค่าเงินบาท และนี่คือภาระต้นทุนของการเข้าไปดูแลเงินบาท เนื่องจากพันธบัตรที่ ธปท.ออกมาดูดซับสภาพคล่องจากการเข้าแทรกแซงค่าเงินบาทมีต้นทุนดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย
ดังนั้น หากคำนวณแบบคร่าว ๆ จากยอดคงค้างพันธบัตรที่มีอยู่ 2.2 ล้านล้านบาท ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.75% เพราะฉะนั้น ธปท.มีภาระดอกเบี้ยจ่ายโดยเฉลี่ยน่าจะตกอยู่ประมาณ 3.79 หมื่นล้านบาท
ตัวเลขเหล่านี้ บอกอะไร
ไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธปท. เคยอธิบายการทำงานของแบงก์ชาติไว้ก่อนหน้านี้ว่า ธปท. ไม่ได้ปล่อยให้ค่าเงินเคลื่อนไหวเสรี หากดูงบดุลของ ธปท.ปีที่แล้วจะเห็นว่าทุนสำรองเพิ่มขึ้นถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 7-8 แสนล้านบาท นั่นคือ วิธีที่เราพยายามช่วยเหลือให้ภาคธุรกิจปรับตัวได้
และในช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผู้ช่วยผู้ว่าการท่านนี้ได้สร้างความกระจ่างในบทบาทของ ธปท.อีกครั้ง ด้วยการเปรียบเปรยบทบาทแบงก์ชาติว่า เป็นเสมือนทัพหลังที่ต้องทำงานคู่ขนานไปกับ ทัพหน้าและทัพหลวง ซึ่งหมายถึงภาคธุรกิจเอกชนและรัฐบาล
"ทัพหลังนี่อย่าไปคิดเลยว่า ธปท.จะทำให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง เป็นประเทศมีรายได้สูง นโยบายการเงินมันน่าเบื่อจริง ๆ มีหน้าที่เพียงแค่สร้างสภาพแวดล้อมทางการเงินให้มั่นคง มีหน้าที่ดูแลเสถียรภาพ เพื่อให้ทัพหน้าเดินหน้าต่อไปได้ และเพื่อให้ทัพหน้าสามารถทำให้เศรษฐกิจเจริญเติบโตยั่งยืนและนำไปสู่การยกระดับมาตรฐานการครองชีพของประชาชนให้ยั่งยืนต่อเนื่อง"
วันพุธที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2553
วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2553
มือสมัครเล่น?
พสุธาสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วทุ่งบางบัวทอง พลันที่กัมปนาทแห่งเสียงระเบิดดังอื้ออึงออกมาจาก “สมานเมตตาแมนชั่น” สรุปความเสียหายโดยประมาณ ตาย 4 เจ็บเพียบ ตัวอาคารทรุด กำแพงผนังตึกกระจุยกระจาย ไร้ชิ้นดี รถราที่จอดอยู่ละแวกนั้น พังเสียหายแตกต่างกันไปตามระยะห่างจากจุดระเบิด
ฝ่ายพิสูจน์หลักฐาน สันนิษฐานตามเหตุการณ์เฉพาะหน้า ด้วยแรงระเบิดที่เกิดขึ้นน่าจะมีปริมาณทีเอ็นที ไม่ต่ำกว่า 50 กิโลกรัม เมื่อนำ มาบวกรวมกับสารประกอบระเบิดที่เก็บกวาดได้จากหลักฐานพยานแวดล้อม ณ จุดเกิด เหตุ มันไม่ต่างจากคลังแสงย่อยๆ ดีๆ นี่เอง
อนุมานต่อยอดล่วงหน้า หากมีการนำวัตถุระเบิดเหล่านี้ ออกไปใช้ก่อการ ค่าความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินคงยากที่จะประเมินได้ยิ่งสืบสาวราวเรื่องลงไป ให้ลึกจากพยานบุคคล หนึ่งบุรุษผู้เช่าห้อง 202 ซึ่งเป็นจุด เกิดเหตุ เผอิญเป็นคนเสื้อแดง ที่กำลังหลบหนีหมายจับจากเมืองเชียงใหม่เข้ามากบดานใน เมืองกรุง ส่วนอีก 1 บุรุษ และ 1 สุภาพสตรี รูปพรรณสัณฐาน และลักษณะการแต่งตัว ดูมีแนวโน้มเป็นไปได้สูงว่า จะเป็น ชาวมุสลิม ขยายภาพจากทะเบียน รถที่บ่งบอกถึงสัญชาตินราธิวาส
มันก็น่าเชื่อได้ว่า แต่ละจิ๊กซอว์ที่นำมาประกอบกัน ถือเป็นมิติอำมหิตหน้าใหม่ ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในห้วงที่ไซเรน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ยังหวีด ร้องทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล
หรือระเบิดเคโมและระเบิดซีโฟร์กำลังจะย้ายฐานจากจังหวัดชายแดนภาคใต้เข้า สู่กรุง???เหตุบึ้มรายวัน ที่ยิ่งดังอึกทึกครึกโครมถี่ขึ้น ล้วนไม่ต่าง จากภาพในกระจกเงา ที่สะท้อน ให้เห็นความไม่ปกติสุขด้าน สวัสดิภาพซึ่งมีความเหมือนกัน โดยบังเอิญของชีวิตคนกรุงเทพฯ และชาวบ้านในพื้นที่เรดโซนภาคใต้
กระนั้นก็ตาม คงจะไปตี ขลุมตีความล่วงหน้าไปไม่ได้ว่า ภาพการแบ่งแยกดินแดนในสุด เขตด้ามขวานทองจะลุกลามบานปลายเข้าสู่กรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมร ยิ่งหากมองตามหลักภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ ก็ ต้องยอมรับโดยดุษณีว่า สมมติฐาน ดังกล่าวนั้นผิดตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว
แต่หากมองในมุมกลับใน ด้านยุทธวิธี เชื่อมโยงกับแนว คิด “รัฐไทยใหม่” หรือแม้กระทั่ง “วิทยานิพนธ์ฉบับสี แดง” ที่กำลังตกเป็นข้อบริภาษ ร่อนตะแกรงผ่านยุทธศาสตร์รบแบบกองโจร ซุ่มซ่อนอย่างยาวนาน ในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ค่าสรรพสิทธิมันย่อม บ่งชี้ว่า ทั้ง 2 ตำรา ล้วนถอดบล็อกออกมาจากพิมพ์เขียวเดียวกัน อันมีสารตั้งต้นมาจาก “คัมภีร์จรยุทธ์” ฉบับ “พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย” หรือ พคท. ที่ครั้งหนึ่งเคยมีการใช้เคลื่อนไหวอย่างแพร่หลายผ่านขบวนการนักศึกษาที่ต่อต้านรัฐบาลเผด็จการในช่วงหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519
แม้วันนั้นและวันนี้ สมการในการเคลื่อนตามกลยุทธ์ดังกล่าว จะมีที่มาที่ไปและมีเงื่อนไข สุดท้ายแตกต่างกันไปตามสถานการณ์อำนาจและผลประโยชน์ ทับซ้อนการเมือง
กระนั้น ภาพระเบิดรายวันที่นับวันยิ่งจะทวีความรุนแรง มากขึ้น ซึ่งฝ่ายความมั่นคงยัง ไม่สามารถจับมือใครดมได้..ไม่ ว่าจะด้วยเหตุจงใจละเลยหรือจนด้วยเกล้าก็ตาม???
แต่ด้วยความถี่แห่งเสียง กัมปนาทที่ดังอื้ออึงหนาหูขึ้นทุกวัน ไม่ว่าผู้ก่อการเหล่านั้นจะเป็นตัวจริงหรือมือใหม่หัดป่วน แต่กระบวนการจัดวางที่เกิดขึ้น มันย่อมสะท้อนให้เห็นว่า มันล้วนผ่านการวางแผนมา อย่างเป็นระบบและไม่ใช่มือสมัครเล่นแน่นอนสุดท้าย ถึงแม้จะเป็นมือสมัครเล่นจริง ฝ่ายความมั่นคงก็ควรพึงสังวรณ์ไว้ว่า ขึ้นชื่อว่าเป็นระเบิด ต่อให้เป็น มือสมัครเล่น ท้ายที่สุดใครโดน เข้าไปก็ตายเหมือนกัน!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
ฝ่ายพิสูจน์หลักฐาน สันนิษฐานตามเหตุการณ์เฉพาะหน้า ด้วยแรงระเบิดที่เกิดขึ้นน่าจะมีปริมาณทีเอ็นที ไม่ต่ำกว่า 50 กิโลกรัม เมื่อนำ มาบวกรวมกับสารประกอบระเบิดที่เก็บกวาดได้จากหลักฐานพยานแวดล้อม ณ จุดเกิด เหตุ มันไม่ต่างจากคลังแสงย่อยๆ ดีๆ นี่เอง
อนุมานต่อยอดล่วงหน้า หากมีการนำวัตถุระเบิดเหล่านี้ ออกไปใช้ก่อการ ค่าความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินคงยากที่จะประเมินได้ยิ่งสืบสาวราวเรื่องลงไป ให้ลึกจากพยานบุคคล หนึ่งบุรุษผู้เช่าห้อง 202 ซึ่งเป็นจุด เกิดเหตุ เผอิญเป็นคนเสื้อแดง ที่กำลังหลบหนีหมายจับจากเมืองเชียงใหม่เข้ามากบดานใน เมืองกรุง ส่วนอีก 1 บุรุษ และ 1 สุภาพสตรี รูปพรรณสัณฐาน และลักษณะการแต่งตัว ดูมีแนวโน้มเป็นไปได้สูงว่า จะเป็น ชาวมุสลิม ขยายภาพจากทะเบียน รถที่บ่งบอกถึงสัญชาตินราธิวาส
มันก็น่าเชื่อได้ว่า แต่ละจิ๊กซอว์ที่นำมาประกอบกัน ถือเป็นมิติอำมหิตหน้าใหม่ ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในห้วงที่ไซเรน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ยังหวีด ร้องทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล
หรือระเบิดเคโมและระเบิดซีโฟร์กำลังจะย้ายฐานจากจังหวัดชายแดนภาคใต้เข้า สู่กรุง???เหตุบึ้มรายวัน ที่ยิ่งดังอึกทึกครึกโครมถี่ขึ้น ล้วนไม่ต่าง จากภาพในกระจกเงา ที่สะท้อน ให้เห็นความไม่ปกติสุขด้าน สวัสดิภาพซึ่งมีความเหมือนกัน โดยบังเอิญของชีวิตคนกรุงเทพฯ และชาวบ้านในพื้นที่เรดโซนภาคใต้
กระนั้นก็ตาม คงจะไปตี ขลุมตีความล่วงหน้าไปไม่ได้ว่า ภาพการแบ่งแยกดินแดนในสุด เขตด้ามขวานทองจะลุกลามบานปลายเข้าสู่กรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมร ยิ่งหากมองตามหลักภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ ก็ ต้องยอมรับโดยดุษณีว่า สมมติฐาน ดังกล่าวนั้นผิดตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว
แต่หากมองในมุมกลับใน ด้านยุทธวิธี เชื่อมโยงกับแนว คิด “รัฐไทยใหม่” หรือแม้กระทั่ง “วิทยานิพนธ์ฉบับสี แดง” ที่กำลังตกเป็นข้อบริภาษ ร่อนตะแกรงผ่านยุทธศาสตร์รบแบบกองโจร ซุ่มซ่อนอย่างยาวนาน ในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ค่าสรรพสิทธิมันย่อม บ่งชี้ว่า ทั้ง 2 ตำรา ล้วนถอดบล็อกออกมาจากพิมพ์เขียวเดียวกัน อันมีสารตั้งต้นมาจาก “คัมภีร์จรยุทธ์” ฉบับ “พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย” หรือ พคท. ที่ครั้งหนึ่งเคยมีการใช้เคลื่อนไหวอย่างแพร่หลายผ่านขบวนการนักศึกษาที่ต่อต้านรัฐบาลเผด็จการในช่วงหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519
แม้วันนั้นและวันนี้ สมการในการเคลื่อนตามกลยุทธ์ดังกล่าว จะมีที่มาที่ไปและมีเงื่อนไข สุดท้ายแตกต่างกันไปตามสถานการณ์อำนาจและผลประโยชน์ ทับซ้อนการเมือง
กระนั้น ภาพระเบิดรายวันที่นับวันยิ่งจะทวีความรุนแรง มากขึ้น ซึ่งฝ่ายความมั่นคงยัง ไม่สามารถจับมือใครดมได้..ไม่ ว่าจะด้วยเหตุจงใจละเลยหรือจนด้วยเกล้าก็ตาม???
แต่ด้วยความถี่แห่งเสียง กัมปนาทที่ดังอื้ออึงหนาหูขึ้นทุกวัน ไม่ว่าผู้ก่อการเหล่านั้นจะเป็นตัวจริงหรือมือใหม่หัดป่วน แต่กระบวนการจัดวางที่เกิดขึ้น มันย่อมสะท้อนให้เห็นว่า มันล้วนผ่านการวางแผนมา อย่างเป็นระบบและไม่ใช่มือสมัครเล่นแน่นอนสุดท้าย ถึงแม้จะเป็นมือสมัครเล่นจริง ฝ่ายความมั่นคงก็ควรพึงสังวรณ์ไว้ว่า ขึ้นชื่อว่าเป็นระเบิด ต่อให้เป็น มือสมัครเล่น ท้ายที่สุดใครโดน เข้าไปก็ตายเหมือนกัน!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
‘กรรม’ เป็นเครื่อง‘ชี้เจตนา’!!
กลุ่ม นายพลห้อย “เนวิน ชิดชอบ” ก็อดฟาเธอร์แห่งพรรคภูมิใจไทย พล่ามไป ก็ไร้คุณค่า
หาก “พรรคพลังสีน้ำเงิน” ไม่กระฉ่อน ด้วยเรื่อง ประมูลคอมฯ ฉาว ๓.๕ พันล้าน, ตั้งปลัดมหาดไทยโฉ่, สอบนายอำเภอมีกลิ่นฉุน, และประมูลสต๊อกข้าว และสต๊อกมันเส้นส่งกลิ่นฉุยแล้ว “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หรือจะเขี่ย จากรัฐบาล
งามลออกันถึงขนาดนี้... ยังชิ่งแคนนอน ไปโทษคนอื่น อีกหรือนั่น
การที่ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” จับ “ภูมิใจไทย” ใส่หม้อถ่วงน้ำ เพราะอยู่ด้วย มีแต่ “หมองราศี” ลงทุกวัน...อีกทั้งการส่งเสลี่ยงหาม นำ “กลุ่ม ๓ พี” ของ “พินิจ จารุสมบัติ-ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ-ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี” แห่งพรรคเพื่อแผ่นดิน ร่วมรัฐบาล เพราะเขาทำแต่สิ่งดีๆ
ที่ “ภูมิใจไทย” ต้องโดนโละทิ้ง....ก็เพราะในสิ่งที่เป็นเรื่องจริงเหล่านี้???
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เหมือนปะทะกับ ‘๒ แรงบวก’!!
“นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ก็ไสช้างไล่ ขี่ม้าตามกระจวก??
“พรรคภูมิใจไทย” ของ “เนวิน ห้อยบุรีรัมย์” ทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขันมาน้อย..จึงน่า เป็นรัฐบาลเท่านี้
ด้านฝ่าย นายใหญ่แดนไกล “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” นั้น..ก็กรวดน้ำคว่ำขัน ไม่เอากับคนๆ นี้
นัยว่า, สูตรลับผสม “รัฐบาลมาร์คใหม่” นั้น...ทาง “พรรคเพื่อไทย” ของ “ยงยุทธ วิชัยดิษฐ” ได้สัญญาณผ่านดาวเทียมจากแดนไกล ให้หนุนและโหวตเติมเต็มแก่การจัดตั้งรัฐบาล จำนวน ๕๐ เสียง..ด้วยความหวังดี โดยไม่ประสงค์ตำแหน่ง “รัฐมนตรีกระทรวงไหน” ทั้งนั้น!!
ส่วน “เนวิน ชิดชอบ”...ต้องกระหืดกระหอบ?...กลับไปรับจ๊อบ เป็นฝ่ายค้าน???
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
พี่คนนี้มีแต่ให้!!
ใจกว้างกว่าลำตะคอง สำหรับ “ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี” หลานย่าโม ผู้มากน้ำใจ??
ได้รับการร้องขอเป็นทอดๆ ..โดยเริ่มจาก “บุญจง วงศ์ไตรรัตน์” ผู้สมัคร ส.ส.นครราชสีมา ร้องกระจองอแง ให้ “เนวิน ชิดชอบ” พูดกับ “อดีตรัฐมนตรีไพโรจน์” ที
“เนวิน” ก็ขี่ม้าสามศอก มาเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจาก “หัวหน้ากลุ่มบ้านริมน้ำ” สุชาติ ตันเจริญ ถึง “ท่านไพโรจน์” อย่างด่วนจี๋
โดยที่ “ท่านสุชาติ” เอง.. เมื่อเข้าพบ กับ “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร” ครั้นต่อสายได้..ก็ให้ “ท่านทักษิณ” พูดกับ“อดีตรัฐมนตรีไพโรจน์” เพื่อกระเตงอุ้ม “บุญจง” เข้ามาเป็นผู้แทน..และพลันทันที “บุญจง” ได้ป็น “รมช. มหาดไทย” แล้ว..ก็สนองคุณ “ท่านไพโรจน์” เสียจั๋งหนับ!
ถ้าไม่มี “ท่านไพโรจน์”... “บุญจง” ก็คงจะอด?..หมดอนาคต ไปนานแล้วล่ะครับ???
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เป็น ‘ไก่รองบอน’ สำหรับ..‘บริษัทขายตรง ของคนไทย’
ถูกประดา ยักษ์ใหญ่บริษัทขายตรงต่างชาติ...ที่ใช้อำนาจเงิน และ “คนของรัฐ” รุมรังแกสร้างความเสียหาย??
ด้วยการงัดกฎหมายแชร์ลูกโซ่ ฉ้อโกงประชาชน ให้กู้ยืมเงินเกินอัตราดอกเบี้ย ขึ้นฟัน
บางหน่วยงานของรัฐฯ..ยังสร้างกระแสป่วน ปลุกเร้าให้ประชาชนคล้อยตาม ว่าถูก “บริษัทขายตรงคนไทย” หลอกลวง อีกด้วยขอรับท่าน
หากบริษัทขายตรงคนไทย เจอข้อหาเหล่านี้เข้าไป.. “นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” รู้บ้างไหม!... บริษัทก็พังพินาศ กลายเป็น “มหาโจร” ...เหมือนกับ ๔ บริษัทขายตรงที่ถูกจับ แต่ศาลไม่รับฟ้อง เนื่องจากเขาทำธุรกิจชัดเจน มีสมาชิกประทับใจ ใช้บริการ..แต่เมื่อโดนถูกจับ ก็กลายเป็นโจร ฉับพลันทันทีเลยหละ!!
อยากบอก “นายกฯ อภิสิทธิ์” คนเก่ง..ว่า เรื่องนี้ เป็นการเสิร์ฟเอง กินเอง?...ของบริษัทฝรั่งเส็งเคร็ง กับ เจ้าหน้าที่ของรัฐ ไงล่ะฮะ?
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
‘กม.ฉ้อโกงประชาชน’ เป็นแกะดำ!!
ปรากฏว่า, หน่วยงานของรัฐบางแห่ง เอาไปหาเงิน เข้าพกเข้าห่อ กันเป็นประจำ??
ยิ่งการตั้งข้อหา “แชร์ลูกโซ่” ให้กับ “บริษัทขายตรงดีๆ”.. มันเป็นความเสียหายอย่างใหญ่หลวง กับ “นักธุรกิจคนไทย” จนเขาพากันร้องจ๊าก..จ๊าก
ถึงเวลาแล้ว ที่ “ท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” รมว. ยุติธรรม และ “ท่านไตรรงค์ สุวรรณคีรี” รองนายกฯ ...ควรจะสังคายนากันเสียที เพื่อให้เกิด “การทุจริต” ได้ยากส์ส์
หาทางยับยั้ง ไม่ให้หน่วยงานของรัฐ ใช้กฎหมายฉ้อโกงประชาชนอย่างพร่ำเพรื่อ..เพราะนี่คือ ภัยร้ายที่ทำลายบริษัทคนไทย ไม่ให้ผุดไม่ให้เกิด!!
“บริษัทขายตรงคนไทย” โดนรังแก..เพราะเจ้าหน้าที่รัฐแท้ๆ ..ฉะนั้น, ช่วยแก้เรื่องนี้ให้ด้วยเถิด???
คอลัมน์. ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
____________________________________________________________
หาก “พรรคพลังสีน้ำเงิน” ไม่กระฉ่อน ด้วยเรื่อง ประมูลคอมฯ ฉาว ๓.๕ พันล้าน, ตั้งปลัดมหาดไทยโฉ่, สอบนายอำเภอมีกลิ่นฉุน, และประมูลสต๊อกข้าว และสต๊อกมันเส้นส่งกลิ่นฉุยแล้ว “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หรือจะเขี่ย จากรัฐบาล
งามลออกันถึงขนาดนี้... ยังชิ่งแคนนอน ไปโทษคนอื่น อีกหรือนั่น
การที่ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” จับ “ภูมิใจไทย” ใส่หม้อถ่วงน้ำ เพราะอยู่ด้วย มีแต่ “หมองราศี” ลงทุกวัน...อีกทั้งการส่งเสลี่ยงหาม นำ “กลุ่ม ๓ พี” ของ “พินิจ จารุสมบัติ-ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ-ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี” แห่งพรรคเพื่อแผ่นดิน ร่วมรัฐบาล เพราะเขาทำแต่สิ่งดีๆ
ที่ “ภูมิใจไทย” ต้องโดนโละทิ้ง....ก็เพราะในสิ่งที่เป็นเรื่องจริงเหล่านี้???
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เหมือนปะทะกับ ‘๒ แรงบวก’!!
“นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ก็ไสช้างไล่ ขี่ม้าตามกระจวก??
“พรรคภูมิใจไทย” ของ “เนวิน ห้อยบุรีรัมย์” ทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขันมาน้อย..จึงน่า เป็นรัฐบาลเท่านี้
ด้านฝ่าย นายใหญ่แดนไกล “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” นั้น..ก็กรวดน้ำคว่ำขัน ไม่เอากับคนๆ นี้
นัยว่า, สูตรลับผสม “รัฐบาลมาร์คใหม่” นั้น...ทาง “พรรคเพื่อไทย” ของ “ยงยุทธ วิชัยดิษฐ” ได้สัญญาณผ่านดาวเทียมจากแดนไกล ให้หนุนและโหวตเติมเต็มแก่การจัดตั้งรัฐบาล จำนวน ๕๐ เสียง..ด้วยความหวังดี โดยไม่ประสงค์ตำแหน่ง “รัฐมนตรีกระทรวงไหน” ทั้งนั้น!!
ส่วน “เนวิน ชิดชอบ”...ต้องกระหืดกระหอบ?...กลับไปรับจ๊อบ เป็นฝ่ายค้าน???
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
พี่คนนี้มีแต่ให้!!
ใจกว้างกว่าลำตะคอง สำหรับ “ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี” หลานย่าโม ผู้มากน้ำใจ??
ได้รับการร้องขอเป็นทอดๆ ..โดยเริ่มจาก “บุญจง วงศ์ไตรรัตน์” ผู้สมัคร ส.ส.นครราชสีมา ร้องกระจองอแง ให้ “เนวิน ชิดชอบ” พูดกับ “อดีตรัฐมนตรีไพโรจน์” ที
“เนวิน” ก็ขี่ม้าสามศอก มาเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจาก “หัวหน้ากลุ่มบ้านริมน้ำ” สุชาติ ตันเจริญ ถึง “ท่านไพโรจน์” อย่างด่วนจี๋
โดยที่ “ท่านสุชาติ” เอง.. เมื่อเข้าพบ กับ “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร” ครั้นต่อสายได้..ก็ให้ “ท่านทักษิณ” พูดกับ“อดีตรัฐมนตรีไพโรจน์” เพื่อกระเตงอุ้ม “บุญจง” เข้ามาเป็นผู้แทน..และพลันทันที “บุญจง” ได้ป็น “รมช. มหาดไทย” แล้ว..ก็สนองคุณ “ท่านไพโรจน์” เสียจั๋งหนับ!
ถ้าไม่มี “ท่านไพโรจน์”... “บุญจง” ก็คงจะอด?..หมดอนาคต ไปนานแล้วล่ะครับ???
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เป็น ‘ไก่รองบอน’ สำหรับ..‘บริษัทขายตรง ของคนไทย’
ถูกประดา ยักษ์ใหญ่บริษัทขายตรงต่างชาติ...ที่ใช้อำนาจเงิน และ “คนของรัฐ” รุมรังแกสร้างความเสียหาย??
ด้วยการงัดกฎหมายแชร์ลูกโซ่ ฉ้อโกงประชาชน ให้กู้ยืมเงินเกินอัตราดอกเบี้ย ขึ้นฟัน
บางหน่วยงานของรัฐฯ..ยังสร้างกระแสป่วน ปลุกเร้าให้ประชาชนคล้อยตาม ว่าถูก “บริษัทขายตรงคนไทย” หลอกลวง อีกด้วยขอรับท่าน
หากบริษัทขายตรงคนไทย เจอข้อหาเหล่านี้เข้าไป.. “นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” รู้บ้างไหม!... บริษัทก็พังพินาศ กลายเป็น “มหาโจร” ...เหมือนกับ ๔ บริษัทขายตรงที่ถูกจับ แต่ศาลไม่รับฟ้อง เนื่องจากเขาทำธุรกิจชัดเจน มีสมาชิกประทับใจ ใช้บริการ..แต่เมื่อโดนถูกจับ ก็กลายเป็นโจร ฉับพลันทันทีเลยหละ!!
อยากบอก “นายกฯ อภิสิทธิ์” คนเก่ง..ว่า เรื่องนี้ เป็นการเสิร์ฟเอง กินเอง?...ของบริษัทฝรั่งเส็งเคร็ง กับ เจ้าหน้าที่ของรัฐ ไงล่ะฮะ?
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
‘กม.ฉ้อโกงประชาชน’ เป็นแกะดำ!!
ปรากฏว่า, หน่วยงานของรัฐบางแห่ง เอาไปหาเงิน เข้าพกเข้าห่อ กันเป็นประจำ??
ยิ่งการตั้งข้อหา “แชร์ลูกโซ่” ให้กับ “บริษัทขายตรงดีๆ”.. มันเป็นความเสียหายอย่างใหญ่หลวง กับ “นักธุรกิจคนไทย” จนเขาพากันร้องจ๊าก..จ๊าก
ถึงเวลาแล้ว ที่ “ท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” รมว. ยุติธรรม และ “ท่านไตรรงค์ สุวรรณคีรี” รองนายกฯ ...ควรจะสังคายนากันเสียที เพื่อให้เกิด “การทุจริต” ได้ยากส์ส์
หาทางยับยั้ง ไม่ให้หน่วยงานของรัฐ ใช้กฎหมายฉ้อโกงประชาชนอย่างพร่ำเพรื่อ..เพราะนี่คือ ภัยร้ายที่ทำลายบริษัทคนไทย ไม่ให้ผุดไม่ให้เกิด!!
“บริษัทขายตรงคนไทย” โดนรังแก..เพราะเจ้าหน้าที่รัฐแท้ๆ ..ฉะนั้น, ช่วยแก้เรื่องนี้ให้ด้วยเถิด???
คอลัมน์. ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
____________________________________________________________
จากวิกฤตแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม สู่ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน อย่าแค่เงียบ...ล้มระบบอุปถัมภ์!!!
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ข่าวอื้อฉาว การทุจริตโรงเรียนนายอำเภอ ซึ่ง"บิ๊กข้าราชการ" รับใบสั่งจากผู้มีอำนาจการเมือง เป็นข่าวที่ตอกย้ำความเสื่อมในระบบราชการ ที่ตกต่ำถึงขีดสุด
ไม่นับการแต่งตั้งโยกย้ายที่ เด็กนักการเมือง ต่างได้ดีกันทั่วหน้า !!!
กล่าวกันว่า ปัญหาการแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม เป็นเหตุปัจจัยที่นำไปสู่การทุจริต คอร์รัปชั่น
ล่าสุด ศ.ดร. นันทวัฒน์ บรมานันท์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ บก.เว๊บไซต์ http://www.pub-law.net/ ได้เขียนบท
บรรณาธิการ เรื่อง "ทำไมประเทศไทยจึงมีปัญหาคอร์รัปชันมากนัก" เป็นคำถามที่น่าสนใจและยังมีข้อเสนอที่ท้าทาย เป็นอย่างยิ่ง
....เมื่อสองสามวันก่อน ได้เห็นภาพของเพื่อนกลุ่มหนึ่งในหน้าหนังสือพิมพ์ เมื่อได้อ่านคำบรรยายใต้ภาพจึงทราบว่า เพื่อนคนหนึ่งซึ่งเป็นนักธุรกิจและเป็นเศรษฐี เป็นเจ้าภาพเลี้ยงแสดงความยินดีกับเพื่อนตำรวจ เพื่อนทหาร และเพื่อนข้าราชการพลเรือน ที่ได้รับตำแหน่งสูงขึ้นจากการแต่งตั้งโยกย้ายที่ผ่านมา
ข่าวสังคมลักษณะนี้มีให้เห็นบ่อย ๆ ทุกครั้งที่มีการแต่งตั้งโยกย้าย ก็จะต้องมีข่าว “โฆษณา” ให้คนทั่วไปทราบถึง “ความใกล้ชิด” ของผู้จัดเลี้ยงและ “ความก้าวหน้า” ของผู้ได้รับเลี้ยง แต่ไม่เห็นมีใครพูดกันเลยว่า คนเหล่านั้น “ก้าวหน้า” ขึ้นมาถึงจุดนั้นได้อย่างไร
เป็นคนมีความรู้ความสามารถหรือไม่ โชคช่วยหรือไม่ หรือวิ่งเต้นจนได้ดิบได้ดี และยิ่งไปกว่านั้น เมื่อมีบางคนที่ขึ้นมาถึงระดับนั้นได้ด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง ก็หมายความว่าในขณะเดียวกันต้องมีคนอื่นที่ดีกว่า เก่งกว่า เหมาะสมกว่า แต่ถูก “ข้ามหัว” ไปด้วยความไม่ถูกต้องเช่นกัน
คนประเภทหลังนี้ไม่เห็นมีใครเลี้ยงปลอบใจให้ทั้ง ๆ ที่เป็นคนที่น่าจะได้รับเลี้ยงมากที่สุด และคนประเภทนี้ก็มีจำนวนมากเสียด้วย ยิ่งบางรายที่กระโดด “ข้ามหัว” คนอื่นด้วยพลังแรงสูง ก็หมายความว่า 1 ตำแหน่งของตนเองที่ได้ไปกระทบกับคนอีกเป็นร้อยเป็นพันก็มีคนที่ถูกข้ามหัวไปก็จะมีจำนวนมากอย่างไม่น่าเชื่อ
นี่คือสภาพของสังคมไทย สภาพของสังคมอุปถัมภ์ที่เรารับทราบกันอยู่ คนมีตำแหน่งและมีอำนาจเท่านั้นที่จะได้รับความสนใจ ได้รับการยอมรับและได้รับการยกย่องจากสังคมครับ !!!
ข่าวอื้อฉาวที่สุดก็คือ การแต่งตั้งโยกย้ายในมหาดไทย
ในช่วงเวลา 1-2 เดือนที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาของการโยกย้ายข้าราชการทุกประเภท ที่เป็นข่าวอื้อฉาวที่สุดก็คือ การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจและข้าราชการกระทรวงมหาดไทยที่มีทั้งข่าวออกมาในเชิงลบและมีการร้องเรียนโดยผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการแต่งตั้งโยกย้าย
ข่าวที่ออกมามีลักษณะคล้าย ๆ กันคือ ข้าราชการที่ได้รับการ “อุ้มชู” จากนักการเมืองก็จะ “ได้ดี” กันเป็นแถว แม้บางคนจะมีชนักติดหลังอยู่ก็ยังได้ดี บางคนถึงขนาดทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแย่ลงก็ยังได้ดี บางคนอาจทำให้พรรคการเมืองแตกได้ก็ยังได้ดี รวมความแล้วการ “ได้ดี” ของคน “บางคน” เป็นการ “ได้ดี” เฉพาะตัวเองและผู้แต่งตั้ง แต่อาจไม่เกิด “ผลดี” อะไรต่อประเทศชาติและสังคมเลยก็เป็นได้หากคนที่ได้ดีเหล่านั้นต้อง “ตอบสนอง” ผู้แต่งตั้งอันเนื่องมาจาก “บุญคุณ” ที่ทำให้ตนเองได้รับตำแหน่ง ทั้ง ๆ ที่ไม่ควร ก็เป็นไปได้
หากจะว่าไปแล้ว เรื่องประเภทดังกล่าวมีอยู่ทุกยุคทุกสมัย เป็นเรื่องที่พูดกันมานานแสนนาน การรัฐประหารหลาย ๆ ครั้งก็เกิดจากการแต่งตั้งโยกย้ายหรือที่เกิดจากการกลัวการแต่งตั้งโยกย้ายก็เคยมีมาแล้ว มีข้าราชการกลุ่มหนึ่งที่เป็นอย่างนี้ทุกยุคทุกสมัยซึ่งไม่ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนไป สภาพสังคมจะเปลี่ยนไป แต่ความสัมพันธ์ระหว่างนักการเมืองกับข้าราชการประจำก็ไม่เคยเปลี่ยนไป
ตราบใดก็ตามที่ระบบข้าราชการยังเป็นระบบ “ปิรามิด” และตราบใดก็ตามที่นักการเมืองยังเป็นผู้มีอำนาจในการแต่งตั้งโยกย้าย ความพยายามที่จะก้าวไปสู่ยอดปิรามิดด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ในสังคมไทยตลอดเวลาที่ผ่านมาและจะยังคงดำรงอยู่ต่อไปอย่างหลีกเลี่ยงมิได้
จบลงในสภาพเดียวกันคือ “เงียบ”
นอกเหนือจากข่าวของความไม่เป็นธรรมในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการที่กล่าวไปแล้ว ก็ยังมีข่าว “อดีตข้าราชการ” บางคนที่แม้จะเกษียณอายุราชการไปแล้วแต่ก็ยังให้ความ “สนใจ” ในปัญหาที่เกิดขึ้นจากการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการที่ไม่เป็นธรรม ออกมาให้สัมภาษณ์เชิงวิพากษ์วิจารณ์การแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม พร้อมกับชักชวนให้ข้าราชการและทุกภาคส่วนของสังคมร่วมกันต่อต้านการแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรมของนักการเมือง
ในอดีตที่ผ่านมา เคยมีปัญหาประเภทนี้เกิดขึ้นหลายครั้งและทุก ๆ ครั้งก็จบลงในสภาพเดียวกันคือ “เงียบ”
เพราะการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการเป็น “อำนาจบังคับบัญชา” ของผู้บังคับบัญชาระดับสูงสุดของหน่วยงาน แม้จะมีความพยายามในการวางเกณฑ์กันในบางกระทรวงโดยหวังที่จะเห็นการแต่งตั้งโยกย้ายที่เป็นธรรม แต่ความพยายามเหล่านั้นก็ไม่ประสบผลสำเร็จ
ไม่ต้องดูอื่นไกล ที่ผ่านมามีข่าวว่า กระทรวงหนึ่งต้องการได้ผู้ดำรงตำแหน่งสูงสุดด้วยวิธีการที่ดี โปร่งใส เป็นธรรม อุตส่าห์ตั้งคณะกรรมการสรรหาซึ่งประกอบด้วยผู้หลักผู้ใหญ่ของประเทศ เมื่อคณะกรรมการสรรหาได้คนที่ดีที่สุดมาแล้วก็เสนอให้ผู้มีอำนาจแต่งตั้งเพื่อพิจารณาแต่งตั้ง แต่ผู้มีอำนาจแต่งตั้งกลับแต่งตั้งอีกคนหนึ่งที่ไม่ได้รับการสรรหา แล้วอย่างนี้จะทำอย่างไรกันดีครับ ก็ต้องขอแสดงความ “สงสาร” และ“เห็นใจ” คณะกรรมการสรรหาที่อุตส่าห์ทำงานกันแทบตาย แต่ในที่สุด “นักการเมือง” ก็คือ “นักการเมือง” มองคนที่ตัวเองต้องการว่าเป็นคนที่ดีที่สุด !!!
นายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจอย่างแท้จริง
สภาพปัญหาการโยกย้ายข้าราชการในปัจจุบันคงไม่แตกต่างไปจากในอดีตที่ผ่านมานัก ในวันนี้ เรามีนายกรัฐมนตรีที่ไม่สามารถแก้ปัญหาสำคัญที่สุดของประเทศได้เพราะนายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจอย่างแท้จริง เนื่องจากต้องพึ่งพาเสียงจากพรรคการเมืองอื่นที่มาร่วมรัฐบาลและจากทหาร “ผู้พิทักษ์” แม้ว่าจะมีนักการเมืองหรือข้าราชการบางคน “พัวพัน” กับการทุจริตดังที่มีข่าวออกมาตลอดเวลา
แต่สิ่งที่เราได้รับทราบจากปากของนายกรัฐมนตรีก็คือ “เรื่องเหล่านี้ต้องมีคนรับผิดชอบ” แค่นั้นเองที่เราได้ยินจากปากของนายกรัฐมนตรีของเรา ไม่เคยมีการพบคนรับผิดชอบ ไม่มีการลงโทษ รวมทั้งไม่มีการปลดออกใด ๆ ทั้งนั้นตามมาครับ
“บ่อเกิด” ของการทุจริตคอร์รัปชันที่สำคัญที่สุด
ทำไมการแต่งตั้งโยกย้ายจึงมีความสำคัญกับนักการเมืองมากมายนัก คงเป็นเรื่องผลที่จะตามมามากกว่า ไม่ว่าจะเป็น “ฐานเสียง” ในอนาคต หรืออาจเป็น “กระเป๋าสตางค์” ก็ได้ ผมไม่ได้มองนักการเมืองในแง่ร้าย แต่จากประสบการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยที่ผ่านมา นักการเมืองพยายามที่จะ “วาง” คนของตนเองเอาไว้ในที่ ๆ ตนเอง “ได้ประโยชน์” ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ในรูปแบบใดก็ตาม การวางคนของตนเองในลักษณะดังกล่าวกลายเป็นวัฒนธรรมทางการเมืองที่นักการเมืองทุกคน “ต้องทำ” และก็ส่งผลทำให้ข้าราชการจำนวนหนึ่ง “เข้าหา” นักการเมืองโดยมุ่งหวังที่จะ “ถีบตัวเอง” ให้เข้าไปสู่จุดที่ตัวเองต้องการได้ง่าย ๆ โดยอาศัยมือของนักการเมือง สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นก็เป็นสิ่งที่ทุกคนทราบกันดีก็คือการตักตวงครับ !!!
ข้าราชการกับนักการเมืองสามารถ “ร่วมงาน” กันได้เป็นอย่างดี เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐมีจำนวนมากมายมหาศาล การจัดซื้อจัดจ้างเป็น “บ่อเกิด” ของการทุจริตคอร์รัปชันที่สำคัญที่สุดของประเทศไทย ในเมื่อการจัดซื้อจัดจ้างเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจของข้าราชการ นักการเมืองจึงต้องหาทาง “ดูแล” หรือ “เป็นเจ้าของ” ผู้มีอำนาจในการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อ “หาประโยชน์” ให้กับตนเอง
กระบวนการสำคัญจึงเริ่มจากการแต่งตั้งโยกย้ายที่จะต้องเอาคนของตัวเองเข้าไปสู่ตำแหน่งก่อน จากนั้นคนของตัวเองก็จะเข้าไปดำเนินการต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อตอบสนองความต้องการทั้งของตนเองและของ “เจ้านาย”
ทำไมประเทศไทยจึงมีปัญหาคอร์รัปชันมากนัก เป็นคำถามที่ต้องมีคำตอบและต้องมีการแก้ไข เป็นปัญหาสำคัญเป็นปัญหาเร่งด่วนของประเทศ แต่ก็อย่างที่ทราบ การทุจริตคอร์รัปชั่นเป็น “จุดจบ” ของเรื่อง ซึ่งการแก้ปัญหาตรงจุดจบก็สามารถทำได้ แต่ปัญหาก็ได้เกิดขึ้นไปแล้ว ที่ดีและถูกต้องควรแก้ตั้งแต่ “จุดเริ่มต้น” มากกว่า
จุดเริ่มต้นที่ว่านี้คือการเข้าสู่ตำแหน่งที่ไม่ถูกต้อง ดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น หากเรายังแก้ปัญหานี้ไม่ได้ การทุจริตคอร์รัปชันซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการตอบแทนการเข้าสู่ตำแหน่งก็จะยังคงมีอยู่ต่อไป
ข้อเสนอ 3 มาตรการแก้ปัญหา
ผมเข้าใจว่า มีความพยายามอย่างมากจากหลายภาคส่วนที่จะแก้ปัญหาการทุจริต คอร์รัปชัน แต่ยังไม่ตรงจุดเสียทีเดียวก็เลยยังแก้ไม่ได้ ผมจะขอลองเสนอเล่น ๆ ดูสัก 3 มาตรการด้วยกันโดยมุ่งหวังว่า หากมาตรการของผมน่าสนใจหรือพอมีทางเป็นไปได้ ก็ขอให้ผู้อ่านที่มีบุญญาบารมีช่วยกันผลักดันให้เป็นรูปธรรมต่อไปครับ
มาตรการแรกที่จะเข้าไปแก้ปัญหาคอร์รัปชันได้คือ การล้มระบบอุปถัมภ์ ทุกวันนี้หลาย ๆ คนก็ทราบกันดีว่า ก็เพราะระบบอุปถัมภ์นี่เองที่ทำลายประเทศไทย ระบบอุปถัมภ์ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีของสังคมไทยที่มีมานานถูกนำมา “บิดเบือน” ใช้จนกลายเป็น “สิ่งชั่วร้าย” ของสังคม
สิ่งหนึ่งที่ผมพบและเข้าใจว่าเป็นโรคระบาดในหมู่ข้าราชการและพ่อค้านักธุรกิจก็คือการเข้าอบรมหรือเรียนหลักสูตรพิเศษต่าง ๆ ที่หน่วยงานของรัฐจำนวนมากจัดขึ้น หลักสูตรสำหรับผู้บริหารเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญที่สร้างระบบอุปถัมภ์ขึ้นในสังคมไทยเรา เข้าหลักสูตรเดียวกันเป็นพวกเดียวกันต้องช่วยเหลือกันกลายเป็นสิ่งที่ผู้คนระดับหนึ่งในสังคมพยายามที่จะเข้าไปมีส่วนร่วม ภาครัฐภาคเอกชนเข้าไปอยู่ด้วยกันในช่วงเวลาหนึ่ง สร้างความคุ้นเคยกัน นำไปสู่ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นและเมื่อต้องการความช่วยเหลือ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูง่ายดายและเป็นไปได้อย่างดี ราบรื่น ระบบอุปถัมภ์ลักษณะนี้จึงเป็นสิ่งที่ต้อง “กำจัด” ออกไปจากสังคมไทยครับเพราะนอกจากผู้เข้าอบรมหรือผู้เข้าเรียนจะไม่ได้รับความรู้อะไรมากมายนักเพราะส่วนใหญ่จ้องจะเข้ามาหา “เพื่อน” ร่วมรุ่นแล้ว ยังเป็นการสูญเสียงบประมาณบางส่วนของประเทศชาติอีกด้วย
มาตรการต่อมาคือมาตรการทางกฎหมาย อย่างที่ผมได้กล่าวไปแล้วว่า การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐในแต่ละปีมีจำนวนมาก การจัดซื้อจัดจ้างเป็นช่องทางสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันตั้งแต่ระดับล่าง เงินจำนวนน้อย ๆ ไปจนถึงระดับสูง เงินจำนวนมหาศาล
ทุกวันนี้ การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐอยู่ภายใต้ “ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535” ระเบียบนี้เก่าและมีช่องโหว่มาก มีปัญหามาก การทุจริตคอร์รัปชันส่วนมากก็เป็นเพราะช่องโหว่ของระเบียบนี้
ผมแปลกใจมากที่ไม่ว่าจะมีการทุจริตคอร์รัปชันเกิดขึ้นมากมายเพียงใดก็ตาม แต่กลับไม่มีใครพูดถึง “เครื่องมือ” ที่เอื้อประโยชน์ต่อการทุจริตคอร์รัปชัน จริง ๆ แล้วกติกาของการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐควรเป็นกฎหมายระดับสูงและควรแก้ไขปรับปรุงได้ตลอดเวลาให้ทันกับวิธีการในการทุจริตคอร์รัปชันที่พัฒนาไปมากในแต่ละวัน ระเบียบที่ออกในปี พ.ศ. 2535 เกือบ 20 ปีมาแล้วคงไม่สามารถป้องกันการทุจริตคอร์รัปชันได้เต็มร้อยอย่างแน่นอนครับ
สมควรที่จะมีการสังคายนาระเบียบฉบับนี้เสียใหม่และทำเป็นกฎหมายระดับพระราชบัญญัติ วางกลไกในการจัดซื้อจัดจ้างเสียใหม่ให้เป็นระบบ มีบทกำหนดโทษที่รุนแรงอยู่ในกฎหมายและถ้าเป็นไปได้ หน่วยงานของรัฐทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นรัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หรือหน่วยงานของรัฐประเภทอื่น ๆ ก็ควรใช้เกณฑ์เดียวกัน หากเรามี “เครื่องมือ” ที่ดี การทุจริตคอร์รัปชันก็คงลดลงไปเองครับ
มาตรการสุดท้าย คือ การ “ต่อต้าน” การแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม มาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเปิดช่องเอาไว้แล้วให้ข้าราชการตั้งสหภาพได้ เรื่องนี้ผมเคยเขียนไว้แล้วครั้งหนึ่งในบทบรรณาธิการ ครั้งที่ 182 ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ข้าราชการจะต้องรวมตัวกันต่อสู้กับการแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม ต่อสู้กับนักการเมืองที่ใช้อำนาจโดยมิชอบ ต่อสู้กับข้าราชการที่ชอบวิ่งเต้น
หากเราได้ข้าราชการที่ดี เข้าสู่ตำแหน่งด้วยความสามารถของตัวเอง ความสัมพันธ์ระหว่างนักการเมืองกับข้าราชการประจำก็จะเป็นอีกแบบหนึ่งคือ เป็นแบบที่ไม่มีบุญคุณต่อกัน เมื่อไม่มีบุญคุณ การเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกันก็ลดลงไปเอง.
ไม่นับการแต่งตั้งโยกย้ายที่ เด็กนักการเมือง ต่างได้ดีกันทั่วหน้า !!!
กล่าวกันว่า ปัญหาการแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม เป็นเหตุปัจจัยที่นำไปสู่การทุจริต คอร์รัปชั่น
ล่าสุด ศ.ดร. นันทวัฒน์ บรมานันท์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ บก.เว๊บไซต์ http://www.pub-law.net/ ได้เขียนบท
บรรณาธิการ เรื่อง "ทำไมประเทศไทยจึงมีปัญหาคอร์รัปชันมากนัก" เป็นคำถามที่น่าสนใจและยังมีข้อเสนอที่ท้าทาย เป็นอย่างยิ่ง
....เมื่อสองสามวันก่อน ได้เห็นภาพของเพื่อนกลุ่มหนึ่งในหน้าหนังสือพิมพ์ เมื่อได้อ่านคำบรรยายใต้ภาพจึงทราบว่า เพื่อนคนหนึ่งซึ่งเป็นนักธุรกิจและเป็นเศรษฐี เป็นเจ้าภาพเลี้ยงแสดงความยินดีกับเพื่อนตำรวจ เพื่อนทหาร และเพื่อนข้าราชการพลเรือน ที่ได้รับตำแหน่งสูงขึ้นจากการแต่งตั้งโยกย้ายที่ผ่านมา
ข่าวสังคมลักษณะนี้มีให้เห็นบ่อย ๆ ทุกครั้งที่มีการแต่งตั้งโยกย้าย ก็จะต้องมีข่าว “โฆษณา” ให้คนทั่วไปทราบถึง “ความใกล้ชิด” ของผู้จัดเลี้ยงและ “ความก้าวหน้า” ของผู้ได้รับเลี้ยง แต่ไม่เห็นมีใครพูดกันเลยว่า คนเหล่านั้น “ก้าวหน้า” ขึ้นมาถึงจุดนั้นได้อย่างไร
เป็นคนมีความรู้ความสามารถหรือไม่ โชคช่วยหรือไม่ หรือวิ่งเต้นจนได้ดิบได้ดี และยิ่งไปกว่านั้น เมื่อมีบางคนที่ขึ้นมาถึงระดับนั้นได้ด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง ก็หมายความว่าในขณะเดียวกันต้องมีคนอื่นที่ดีกว่า เก่งกว่า เหมาะสมกว่า แต่ถูก “ข้ามหัว” ไปด้วยความไม่ถูกต้องเช่นกัน
คนประเภทหลังนี้ไม่เห็นมีใครเลี้ยงปลอบใจให้ทั้ง ๆ ที่เป็นคนที่น่าจะได้รับเลี้ยงมากที่สุด และคนประเภทนี้ก็มีจำนวนมากเสียด้วย ยิ่งบางรายที่กระโดด “ข้ามหัว” คนอื่นด้วยพลังแรงสูง ก็หมายความว่า 1 ตำแหน่งของตนเองที่ได้ไปกระทบกับคนอีกเป็นร้อยเป็นพันก็มีคนที่ถูกข้ามหัวไปก็จะมีจำนวนมากอย่างไม่น่าเชื่อ
นี่คือสภาพของสังคมไทย สภาพของสังคมอุปถัมภ์ที่เรารับทราบกันอยู่ คนมีตำแหน่งและมีอำนาจเท่านั้นที่จะได้รับความสนใจ ได้รับการยอมรับและได้รับการยกย่องจากสังคมครับ !!!
ข่าวอื้อฉาวที่สุดก็คือ การแต่งตั้งโยกย้ายในมหาดไทย
ในช่วงเวลา 1-2 เดือนที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาของการโยกย้ายข้าราชการทุกประเภท ที่เป็นข่าวอื้อฉาวที่สุดก็คือ การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจและข้าราชการกระทรวงมหาดไทยที่มีทั้งข่าวออกมาในเชิงลบและมีการร้องเรียนโดยผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการแต่งตั้งโยกย้าย
ข่าวที่ออกมามีลักษณะคล้าย ๆ กันคือ ข้าราชการที่ได้รับการ “อุ้มชู” จากนักการเมืองก็จะ “ได้ดี” กันเป็นแถว แม้บางคนจะมีชนักติดหลังอยู่ก็ยังได้ดี บางคนถึงขนาดทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแย่ลงก็ยังได้ดี บางคนอาจทำให้พรรคการเมืองแตกได้ก็ยังได้ดี รวมความแล้วการ “ได้ดี” ของคน “บางคน” เป็นการ “ได้ดี” เฉพาะตัวเองและผู้แต่งตั้ง แต่อาจไม่เกิด “ผลดี” อะไรต่อประเทศชาติและสังคมเลยก็เป็นได้หากคนที่ได้ดีเหล่านั้นต้อง “ตอบสนอง” ผู้แต่งตั้งอันเนื่องมาจาก “บุญคุณ” ที่ทำให้ตนเองได้รับตำแหน่ง ทั้ง ๆ ที่ไม่ควร ก็เป็นไปได้
หากจะว่าไปแล้ว เรื่องประเภทดังกล่าวมีอยู่ทุกยุคทุกสมัย เป็นเรื่องที่พูดกันมานานแสนนาน การรัฐประหารหลาย ๆ ครั้งก็เกิดจากการแต่งตั้งโยกย้ายหรือที่เกิดจากการกลัวการแต่งตั้งโยกย้ายก็เคยมีมาแล้ว มีข้าราชการกลุ่มหนึ่งที่เป็นอย่างนี้ทุกยุคทุกสมัยซึ่งไม่ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนไป สภาพสังคมจะเปลี่ยนไป แต่ความสัมพันธ์ระหว่างนักการเมืองกับข้าราชการประจำก็ไม่เคยเปลี่ยนไป
ตราบใดก็ตามที่ระบบข้าราชการยังเป็นระบบ “ปิรามิด” และตราบใดก็ตามที่นักการเมืองยังเป็นผู้มีอำนาจในการแต่งตั้งโยกย้าย ความพยายามที่จะก้าวไปสู่ยอดปิรามิดด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ในสังคมไทยตลอดเวลาที่ผ่านมาและจะยังคงดำรงอยู่ต่อไปอย่างหลีกเลี่ยงมิได้
จบลงในสภาพเดียวกันคือ “เงียบ”
นอกเหนือจากข่าวของความไม่เป็นธรรมในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการที่กล่าวไปแล้ว ก็ยังมีข่าว “อดีตข้าราชการ” บางคนที่แม้จะเกษียณอายุราชการไปแล้วแต่ก็ยังให้ความ “สนใจ” ในปัญหาที่เกิดขึ้นจากการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการที่ไม่เป็นธรรม ออกมาให้สัมภาษณ์เชิงวิพากษ์วิจารณ์การแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม พร้อมกับชักชวนให้ข้าราชการและทุกภาคส่วนของสังคมร่วมกันต่อต้านการแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรมของนักการเมือง
ในอดีตที่ผ่านมา เคยมีปัญหาประเภทนี้เกิดขึ้นหลายครั้งและทุก ๆ ครั้งก็จบลงในสภาพเดียวกันคือ “เงียบ”
เพราะการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการเป็น “อำนาจบังคับบัญชา” ของผู้บังคับบัญชาระดับสูงสุดของหน่วยงาน แม้จะมีความพยายามในการวางเกณฑ์กันในบางกระทรวงโดยหวังที่จะเห็นการแต่งตั้งโยกย้ายที่เป็นธรรม แต่ความพยายามเหล่านั้นก็ไม่ประสบผลสำเร็จ
ไม่ต้องดูอื่นไกล ที่ผ่านมามีข่าวว่า กระทรวงหนึ่งต้องการได้ผู้ดำรงตำแหน่งสูงสุดด้วยวิธีการที่ดี โปร่งใส เป็นธรรม อุตส่าห์ตั้งคณะกรรมการสรรหาซึ่งประกอบด้วยผู้หลักผู้ใหญ่ของประเทศ เมื่อคณะกรรมการสรรหาได้คนที่ดีที่สุดมาแล้วก็เสนอให้ผู้มีอำนาจแต่งตั้งเพื่อพิจารณาแต่งตั้ง แต่ผู้มีอำนาจแต่งตั้งกลับแต่งตั้งอีกคนหนึ่งที่ไม่ได้รับการสรรหา แล้วอย่างนี้จะทำอย่างไรกันดีครับ ก็ต้องขอแสดงความ “สงสาร” และ“เห็นใจ” คณะกรรมการสรรหาที่อุตส่าห์ทำงานกันแทบตาย แต่ในที่สุด “นักการเมือง” ก็คือ “นักการเมือง” มองคนที่ตัวเองต้องการว่าเป็นคนที่ดีที่สุด !!!
นายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจอย่างแท้จริง
สภาพปัญหาการโยกย้ายข้าราชการในปัจจุบันคงไม่แตกต่างไปจากในอดีตที่ผ่านมานัก ในวันนี้ เรามีนายกรัฐมนตรีที่ไม่สามารถแก้ปัญหาสำคัญที่สุดของประเทศได้เพราะนายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจอย่างแท้จริง เนื่องจากต้องพึ่งพาเสียงจากพรรคการเมืองอื่นที่มาร่วมรัฐบาลและจากทหาร “ผู้พิทักษ์” แม้ว่าจะมีนักการเมืองหรือข้าราชการบางคน “พัวพัน” กับการทุจริตดังที่มีข่าวออกมาตลอดเวลา
แต่สิ่งที่เราได้รับทราบจากปากของนายกรัฐมนตรีก็คือ “เรื่องเหล่านี้ต้องมีคนรับผิดชอบ” แค่นั้นเองที่เราได้ยินจากปากของนายกรัฐมนตรีของเรา ไม่เคยมีการพบคนรับผิดชอบ ไม่มีการลงโทษ รวมทั้งไม่มีการปลดออกใด ๆ ทั้งนั้นตามมาครับ
“บ่อเกิด” ของการทุจริตคอร์รัปชันที่สำคัญที่สุด
ทำไมการแต่งตั้งโยกย้ายจึงมีความสำคัญกับนักการเมืองมากมายนัก คงเป็นเรื่องผลที่จะตามมามากกว่า ไม่ว่าจะเป็น “ฐานเสียง” ในอนาคต หรืออาจเป็น “กระเป๋าสตางค์” ก็ได้ ผมไม่ได้มองนักการเมืองในแง่ร้าย แต่จากประสบการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยที่ผ่านมา นักการเมืองพยายามที่จะ “วาง” คนของตนเองเอาไว้ในที่ ๆ ตนเอง “ได้ประโยชน์” ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ในรูปแบบใดก็ตาม การวางคนของตนเองในลักษณะดังกล่าวกลายเป็นวัฒนธรรมทางการเมืองที่นักการเมืองทุกคน “ต้องทำ” และก็ส่งผลทำให้ข้าราชการจำนวนหนึ่ง “เข้าหา” นักการเมืองโดยมุ่งหวังที่จะ “ถีบตัวเอง” ให้เข้าไปสู่จุดที่ตัวเองต้องการได้ง่าย ๆ โดยอาศัยมือของนักการเมือง สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นก็เป็นสิ่งที่ทุกคนทราบกันดีก็คือการตักตวงครับ !!!
ข้าราชการกับนักการเมืองสามารถ “ร่วมงาน” กันได้เป็นอย่างดี เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐมีจำนวนมากมายมหาศาล การจัดซื้อจัดจ้างเป็น “บ่อเกิด” ของการทุจริตคอร์รัปชันที่สำคัญที่สุดของประเทศไทย ในเมื่อการจัดซื้อจัดจ้างเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจของข้าราชการ นักการเมืองจึงต้องหาทาง “ดูแล” หรือ “เป็นเจ้าของ” ผู้มีอำนาจในการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อ “หาประโยชน์” ให้กับตนเอง
กระบวนการสำคัญจึงเริ่มจากการแต่งตั้งโยกย้ายที่จะต้องเอาคนของตัวเองเข้าไปสู่ตำแหน่งก่อน จากนั้นคนของตัวเองก็จะเข้าไปดำเนินการต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อตอบสนองความต้องการทั้งของตนเองและของ “เจ้านาย”
ทำไมประเทศไทยจึงมีปัญหาคอร์รัปชันมากนัก เป็นคำถามที่ต้องมีคำตอบและต้องมีการแก้ไข เป็นปัญหาสำคัญเป็นปัญหาเร่งด่วนของประเทศ แต่ก็อย่างที่ทราบ การทุจริตคอร์รัปชั่นเป็น “จุดจบ” ของเรื่อง ซึ่งการแก้ปัญหาตรงจุดจบก็สามารถทำได้ แต่ปัญหาก็ได้เกิดขึ้นไปแล้ว ที่ดีและถูกต้องควรแก้ตั้งแต่ “จุดเริ่มต้น” มากกว่า
จุดเริ่มต้นที่ว่านี้คือการเข้าสู่ตำแหน่งที่ไม่ถูกต้อง ดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น หากเรายังแก้ปัญหานี้ไม่ได้ การทุจริตคอร์รัปชันซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการตอบแทนการเข้าสู่ตำแหน่งก็จะยังคงมีอยู่ต่อไป
ข้อเสนอ 3 มาตรการแก้ปัญหา
ผมเข้าใจว่า มีความพยายามอย่างมากจากหลายภาคส่วนที่จะแก้ปัญหาการทุจริต คอร์รัปชัน แต่ยังไม่ตรงจุดเสียทีเดียวก็เลยยังแก้ไม่ได้ ผมจะขอลองเสนอเล่น ๆ ดูสัก 3 มาตรการด้วยกันโดยมุ่งหวังว่า หากมาตรการของผมน่าสนใจหรือพอมีทางเป็นไปได้ ก็ขอให้ผู้อ่านที่มีบุญญาบารมีช่วยกันผลักดันให้เป็นรูปธรรมต่อไปครับ
มาตรการแรกที่จะเข้าไปแก้ปัญหาคอร์รัปชันได้คือ การล้มระบบอุปถัมภ์ ทุกวันนี้หลาย ๆ คนก็ทราบกันดีว่า ก็เพราะระบบอุปถัมภ์นี่เองที่ทำลายประเทศไทย ระบบอุปถัมภ์ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีของสังคมไทยที่มีมานานถูกนำมา “บิดเบือน” ใช้จนกลายเป็น “สิ่งชั่วร้าย” ของสังคม
สิ่งหนึ่งที่ผมพบและเข้าใจว่าเป็นโรคระบาดในหมู่ข้าราชการและพ่อค้านักธุรกิจก็คือการเข้าอบรมหรือเรียนหลักสูตรพิเศษต่าง ๆ ที่หน่วยงานของรัฐจำนวนมากจัดขึ้น หลักสูตรสำหรับผู้บริหารเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญที่สร้างระบบอุปถัมภ์ขึ้นในสังคมไทยเรา เข้าหลักสูตรเดียวกันเป็นพวกเดียวกันต้องช่วยเหลือกันกลายเป็นสิ่งที่ผู้คนระดับหนึ่งในสังคมพยายามที่จะเข้าไปมีส่วนร่วม ภาครัฐภาคเอกชนเข้าไปอยู่ด้วยกันในช่วงเวลาหนึ่ง สร้างความคุ้นเคยกัน นำไปสู่ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นและเมื่อต้องการความช่วยเหลือ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูง่ายดายและเป็นไปได้อย่างดี ราบรื่น ระบบอุปถัมภ์ลักษณะนี้จึงเป็นสิ่งที่ต้อง “กำจัด” ออกไปจากสังคมไทยครับเพราะนอกจากผู้เข้าอบรมหรือผู้เข้าเรียนจะไม่ได้รับความรู้อะไรมากมายนักเพราะส่วนใหญ่จ้องจะเข้ามาหา “เพื่อน” ร่วมรุ่นแล้ว ยังเป็นการสูญเสียงบประมาณบางส่วนของประเทศชาติอีกด้วย
มาตรการต่อมาคือมาตรการทางกฎหมาย อย่างที่ผมได้กล่าวไปแล้วว่า การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐในแต่ละปีมีจำนวนมาก การจัดซื้อจัดจ้างเป็นช่องทางสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันตั้งแต่ระดับล่าง เงินจำนวนน้อย ๆ ไปจนถึงระดับสูง เงินจำนวนมหาศาล
ทุกวันนี้ การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐอยู่ภายใต้ “ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535” ระเบียบนี้เก่าและมีช่องโหว่มาก มีปัญหามาก การทุจริตคอร์รัปชันส่วนมากก็เป็นเพราะช่องโหว่ของระเบียบนี้
ผมแปลกใจมากที่ไม่ว่าจะมีการทุจริตคอร์รัปชันเกิดขึ้นมากมายเพียงใดก็ตาม แต่กลับไม่มีใครพูดถึง “เครื่องมือ” ที่เอื้อประโยชน์ต่อการทุจริตคอร์รัปชัน จริง ๆ แล้วกติกาของการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐควรเป็นกฎหมายระดับสูงและควรแก้ไขปรับปรุงได้ตลอดเวลาให้ทันกับวิธีการในการทุจริตคอร์รัปชันที่พัฒนาไปมากในแต่ละวัน ระเบียบที่ออกในปี พ.ศ. 2535 เกือบ 20 ปีมาแล้วคงไม่สามารถป้องกันการทุจริตคอร์รัปชันได้เต็มร้อยอย่างแน่นอนครับ
สมควรที่จะมีการสังคายนาระเบียบฉบับนี้เสียใหม่และทำเป็นกฎหมายระดับพระราชบัญญัติ วางกลไกในการจัดซื้อจัดจ้างเสียใหม่ให้เป็นระบบ มีบทกำหนดโทษที่รุนแรงอยู่ในกฎหมายและถ้าเป็นไปได้ หน่วยงานของรัฐทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นรัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หรือหน่วยงานของรัฐประเภทอื่น ๆ ก็ควรใช้เกณฑ์เดียวกัน หากเรามี “เครื่องมือ” ที่ดี การทุจริตคอร์รัปชันก็คงลดลงไปเองครับ
มาตรการสุดท้าย คือ การ “ต่อต้าน” การแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม มาตรา 64 ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเปิดช่องเอาไว้แล้วให้ข้าราชการตั้งสหภาพได้ เรื่องนี้ผมเคยเขียนไว้แล้วครั้งหนึ่งในบทบรรณาธิการ ครั้งที่ 182 ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ข้าราชการจะต้องรวมตัวกันต่อสู้กับการแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม ต่อสู้กับนักการเมืองที่ใช้อำนาจโดยมิชอบ ต่อสู้กับข้าราชการที่ชอบวิ่งเต้น
หากเราได้ข้าราชการที่ดี เข้าสู่ตำแหน่งด้วยความสามารถของตัวเอง ความสัมพันธ์ระหว่างนักการเมืองกับข้าราชการประจำก็จะเป็นอีกแบบหนึ่งคือ เป็นแบบที่ไม่มีบุญคุณต่อกัน เมื่อไม่มีบุญคุณ การเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกันก็ลดลงไปเอง.
อำนาจเหนือตลาดและเหนือนโยบาย
มติชนออนไลน์
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
ในการสัมมนาทางวิชาการเมื่อเร็วๆ นี้ เสี่ยใหญ่ของบริษัทค้าขายทางเกษตรกรรมได้เสนอแนะว่า ประเทศไทยควรลดพื้นที่ปลูกข้าวลง จาก 67 ล้านไร่ (หรือ 64 ล้านไร่ในการคำนวณของบางสำนัก) ให้เหลือเพียง 42 ล้านไร่ แล้วหันไปปลูกยางพารา, อ้อย และมันสำปะหลังแทน เพราะพืชทั้งสามตัวนี้มีคู่แข่งในตลาดน้อย จึงเป็นที่ต้องการมากกว่า
ถ้าลดพื้นที่ปลูกข้าวลง ชาวนาก็จะขายข้าวได้ราคาดีขึ้น ซ้ำความเสี่ยงในการผลิตก็จะหมดไป เพราะพื้นที่ซึ่งเหลือสำหรับปลูกข้าวจะอยู่ในพื้นที่ซึ่งมีชลประทานทั้งสิ้น
ฟังดูดี และน่าทำ ประหนึ่งว่าปัญหาของเกษตรกรจะได้รับการแก้ไขให้หมดไปอย่างง่ายดาย แต่ขอให้พิจารณาข้อเสนอนี้อย่างละเอียดว่า ปัญหาของใครกันแน่ที่จะได้รับการแก้ไข
อันที่จริงข้อเสนอนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ทั้งนักวิชาการหรือแม้แต่นักการเมืองได้พูดเรื่องนี้มากว่า 50 ปีแล้ว (คือตั้งแต่สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ก่อนนโยบายพัฒนาของสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เสียอีก) เรียกว่าความพยายามจะสร้างความหลากหลาย (diversification) ด้านการผลิตทางเกษตรกรรมของไทย แทนที่จะผลิตข้าวเป็นหลัก ควรหันไปปลูกพืชอื่นๆ ซึ่งมีราคาดีในตลาด และว่าที่จริงการสร้างความหลากหลายด้านเกษตรกรรม ก็ขยายตัวอย่างกว้างขวางเพื่อตอบสนองการเกษตรเชิงพาณิชย์อย่างเข้มข้น ซึ่งนโยบายพัฒนาของสฤษดิ์นำมา เช่น ข้าวโพด มันสำปะหลัง เป็นต้น แต่ส่วนใหญ่ทำในพื้นที่ซึ่งเปิดใหม่ ไม่ใช่ในท้องนาเดิม
แล้วอะไรเกิดขึ้นแก่เกษตรกรที่หันไปปลูกพืชเศรษฐกิจเหล่านั้นก็ทราบกันดีอยู่แล้ว จะเดินหน้าต่อไปก็มีแต่ความล่มจมซ้ำแล้วซ้ำอีก ครั้นจะถอยหลังกลับก็ไม่มีที่ให้ถอย มีเกษตรกรเพียงน้อยราย เช่น ท่านผู้ใหญ่วิบูลย์ เข็มเฉลิมเท่านั้น ที่สามารถถอยกลับมาสู่การผลิตแบบพึ่งตนเองได้
โดยสรุปก็คือ การแก้ปัญหาของเกษตรกรไทยด้วยข้อเสนอแบบฉับเดียวเช่นนี้ ยิ่งก่อให้เกิดความทุกข์ยากแก่เกษตรกรมากขึ้นไปอีก เพราะไม่มองปัญหาของเกษตรกรอย่างครบวงจร
ในทุกวันนี้ มีเกษตรกรไทยราว 1.5 ล้านครัวเรือนที่ไม่มีที่ทำกินหรือมีไม่พอ ซ้ำยังมีที่ดินการเกษตรอีก 30 ล้านไร่เศษที่เป็น NPL และ NPA ในธนาคาร ฉะนั้น มาตรการของนักการเมืองที่เอาที่ป่ามาแจกเกษตรกรในรูปต่างๆ จึงไม่ได้แก้ปัญหานี้เลย การที่คนทำเกษตรแต่กลับเข้าไม่ถึงทรัพยากรที่ดิน อันเป็นทรัพยากรการผลิตพื้นฐานเช่นนี้ เป็นปัญหาใหญ่ซึ่งไม่อาจแก้ได้ด้วยการลดพื้นที่ปลูกข้าว แล้วหันไปปลูกพืชเศรษฐกิจอื่น
เกษตรกรส่วนใหญ่มีหนี้สิน เฉลี่ยประมาณ 1.7 แสนบาทต่อราย นับตั้งแต่ปี 2548 ที่รัฐบาลพยายามซื้อหนี้เกษตรกร จนถึงปัจจุบันได้ซื้อไปแล้ว 1.2 หมื่นราย จากผู้ลงทะเบียนทั้งหมด 6.3 ล้านราย เกษตรกรเข้าไม่ถึงแหล่งเงินกู้ก็เป็นปัญหาใหญ่อีกเช่นกัน แม้มี ธ.ก.ส.มาหลายทศวรรษแล้ว เกษตรกรที่ไร้หลักทรัพย์ก็ยังเข้าไม่ถึง ซ้ำร้ายเกษตรกรที่ได้รับเงินกู้จาก ธ.ก.ส. มักไม่ได้รับเป็นตัวเงิน แต่ต้องรับเป็นปุ๋ยหรือยาฆ่าแมลงแทน ใครกันเล่าได้ประโยชน์จากการเปิดช่องเล็กๆ นี้ให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินกู้
ในขณะเดียวกัน เกษตรกรไทยก็แทบจะไม่มีอำนาจต่อรองในตลาด เพราะไม่เท่าทันกับการทำธุรกิจแบบเอาเปรียบของบริษัทเกษตรยักษ์ใหญ่บ้าง เพราะไม่มีทุนพอจึงต้องถูกริบพืชผลไปทันทีที่เก็บเกี่ยวบ้าง ฯลฯ ฉะนั้นยิ่งทำเกษตรก็ยิ่งจนลง ในขณะที่เกษตรกรไทยมีหนี้สินล้นพ้นตัว บริษัทยักษ์ใหญ่ที่สุดทางด้านการเกษตร 3 บริษัทแรกได้กำไรประมาณ 1.5 แสนล้านบาทใน พ.ศ.2451
การผลักดันและบังคับโดยทางอ้อมให้การผลิตด้านการเกษตรของไทยกลายเป็นการผลิตเชิงพาณิชย์อย่างเข้มข้น ทำให้เกษตรกรต้องพึ่งทั้งปุ๋ย, ยาฆ่าแมลง และยาปราบวัชพืชอย่างหนัก จากบริษัทที่หากำไรด้านการเกษตร นอกจากทำลายระบบนิเวศของไร่นาอย่างร้ายกาจ จนกระทั่งการลงทุนมีแต่จะต้องเพิ่มขึ้นทุกปีแล้ว ผลสำรวจยังพบว่า 70% ของเกษตรกรไทยมีสารพิษตกค้างในเลือดถึงระดับอันตราย
สถานการณ์ของเกษตรกรไทยเป็นดังกล่าวนี้ จึงไม่มีลูกหลานเกษตรกรใดต้องการสืบทอดอาชีพของบรรพบุรุษอีก แม้ในทุกวันนี้ เกษตรกรส่วนใหญ่ก็มีชีวิตรอดมาได้เพราะเงินที่ลูกหลานซึ่งออกจากภาคเกษตรแล้ว ส่งมาช่วย
(สถิติทั้งหมดนี้ได้รับความเอื้อเฟื้อจาก ดร.เพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์)
เกษตรกรไทยตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ก็เพราะ (ถูกชักนำหรือถูกบังคับ) ให้เข้าสู่ตลาดโดยไม่พร้อม ตัวเองก็ไม่พร้อม รัฐก็ไม่ทำให้ตลาดหรือทุนและเงื่อนไขทางธุรกิจพร้อม ซ้ำยังสร้างเงื่อนไขทั้งทางการเมืองและกฎหมายที่ทำให้เกษตรกรต้องแพ้ในการแข่งขันเสมอ ทั้งนี้เพราะนับตั้งแต่เราเปิดประเทศด้วยสนธิสัญญาเบาว์ริงเป็นต้นมา นโยบายการเกษตรของรัฐบาลไทย คือนโยบายที่จะทำเงินจากการส่งออกพืชผล ไม่เคยมีนโยบายการเกษตรเพื่อเกษตรกรเลยจนถึงทุกวันนี้
ข้อเสนอของเสี่ยให้ใช้พื้นที่ปลูกพืชเศรษฐกิจเพื่อส่งออกเพิ่มขึ้น นอกจากไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใดแล้ว ยังเป็นนโยบายที่ไม่เคยช่วยให้เกษตรกรส่วนใหญ่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่ทำให้บริษัทที่ค้าขายด้านการเกษตร บริษัทส่งออกพืชผลการเกษตร และบริษัทแปรรูปพืชผลการเกษตร รุ่มรวยขึ้นอย่างสุดจะคณานับต่างหาก
หากเราไม่ทำอะไรเลย และไม่จำเป็นต้องมีข้อเสนออะไรจากเสี่ยๆ การเกษตรเลย ในไม่ช้าเกษตรกรรมก็จะหลุดจากมือเกษตรกรรายย่อยไปโดยสิ้นเชิงอยู่แล้ว เวลานี้อายุเฉลี่ยของเกษตรกรไทยคือเกิน 50 ปี แถมอมโรคจากสารเคมีของเสี่ยอีกบานเบอะ ลูกหลานของเขาย่อมดิ้นสุดฤทธิ์ให้พ้นไปจากอาชีพเกษตรกรรม ในที่สุดผู้ที่จะเหลือรอดอยู่ในเกษตรกรรมได้ ก็คือบริษัทของเหล่าเสี่ยๆ และเกษตรกรรวยซึ่งมีอยู่น้อยราย (และไม่แน่ด้วยว่า เกษตรกรรวยจะเหลือรอดไปได้อีกนานเท่าไร หากต้องเผชิญการแข่งขันตรงๆ จากบริษัทยักษ์ใหญ่ ท่ามกลางเงื่อนไขทางเศรษฐกิจและการเมืองที่เอื้อต่อเสี่ยจนหมดประตูเช่นนี้)
ถึงตอนนั้นแล้ว เสี่ยจะทำอะไรกับการเกษตร เสี่ยย่อมไม่ลงทุนกับพืชที่มีการแข่งขันสูงเช่นข้าว แต่อาจลงทุนกับพืชที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า เช่น ยางพารา หรือพืชพลังงาน เช่น ปาล์มหรือมันสำปะหลัง จนกว่าราคาข้าวจะเริ่มเขยิบขึ้นมา ถึงตอนนั้นเสี่ยก็อาจไม่จำเป็นต้องเข้ามาเสี่ยงกับการผลิตข้าวโดยตรง หากผลิตโดยการทำเกษตรเชิงพันธสัญญา เพราะข้าวเป็นพืชที่ตอบสนองต่อการเพาะปลูกแบบประณีตได้สูง การลงทุนแบบไร่นาขนาดใหญ่กลับมีผลิตภาพน้อยกว่า นอกจากนี้การทำเกษตรเชิงพันธสัญญาให้กำไรแก่เสี่ยสูงมากด้วย
ถึงตอนนั้นแล้ว ชะตากรรมของคนประมาณ 12 ล้านคนในภาคเกษตรเวลานี้จะเป็นอย่างไร? ส่วนหนึ่งที่ยังคงตกค้างอยู่ในไร่นา คือลูกจ้างของบริษัทยักษ์ใหญ่ ไม่ใช่ลูกจ้างโดยตรงก็เป็นลูกจ้างโดยอ้อมผ่านพันธสัญญาที่ทำไว้กับบริษัท ส่วนที่เหลือซึ่งมีจำนวนมากกว่า ต้องหลั่งไหลเข้าเมือง ไปสู่อาชีพเก็บขยะ, และแรงงานไร้ฝีมือในภาคบริการ, การค้า, การขนส่งและอุตสาหกรรม
กดให้ราคาแรงงานต้องต่ำตลอดไป
ประเทศไทยจะมีความมั่นคงด้านอาหารสักเพียงใดในตอนนั้น ก็ยากที่จะคาดเดาได้ แม้ว่าเงินจากภาคเกษตรของไทยในจีดีพีอาจเพิ่มขึ้นเกิน 20% ก็ตาม
ยิ่งแทนที่จะคิดถึงความมั่นคงด้านอาหารของประเทศ แต่คิดถึงความมั่นคงด้านอาหารของครอบครัวไทย ก็ยิ่งน่าวิตก
อำนาจต่อรองของเกษตรกรไทยในตลาดนั้นอาจพูดได้ว่าเป็นศูนย์ แต่อำนาจต่อรองทางการเมืองของเกษตรกร (หมายถึงผู้ผลิต ไม่ใช่บริษัท) ก็ยังแทบเป็นศูนย์เหมือนกัน
เขาไม่มีพรรคการเมือง เพราะพรรคการเมืองไทยไม่เคยเป็นตัวแทนของคนกลุ่มใด นอกจากนักเลงท้องถิ่นและนายทุนที่จ่ายเงิน "ซื้อ" เป็นคราวๆ ไป เขาแทบจะไม่มีสื่อของตนเอง ที่พอมีอยู่บ้างก็ไม่ "ดัง" พอจะไปมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายสาธารณะได้ ภาคอุตสาหกรรมและการเงินไม่ได้เชื่อมโยงกับภาคเกษตรกรรม ฉะนั้น จึงไม่เป็นธุระที่จะต่อรองทางการเมืองเพื่อประโยชน์ของเกษตรกร
และอย่างที่ทราบกันอยู่แล้ว ด้วยอุปสรรคหลายประการ เกษตรกรรายย่อยของไทยไม่ได้รวมตัวกันเพื่อต่อรอง ไม่ว่าจะเป็นการต่อรองในตลาดหรือในทางการเมือง
ฉะนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับอำนาจต่อรองของเสี่ยบริษัทยักษ์ใหญ่ทางการเกษตรแล้ว จึงเทียบกันไม่ได้เลย หากใครสามารถเปิดบัญชีจ่ายเงินเดือนของบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งได้ จะตระหนก เพราะผู้ที่รับเงินเดือนจากบริษัทในฐานะที่ปรึกษาระดับต่างๆ นั้น มีตั้งแต่บุคคลในตำแหน่งสูงมากๆ ไปจนถึงนักการเมืองอีกจำนวนมาก ข้าราชการในกระทรวงเกษตรฯ, ทรัพยากร, คลัง, และพาณิชย์อีกจำนวนมาก รวมแม้แต่บุคคลในอาชีพสื่ออีกหลายฉบับ
ทั้งนี้ ยังไม่นับ "ลูกไร่" จำนวนอีกหลายหมื่นทั่วประเทศ
นโยบายการเกษตรของไทยซึ่งมุ่งมั่นแต่การส่งออก โดยไม่เหลียวแลเกษตรกรตลอดมา กำลังถูกบีบให้แคบลงเพื่อตอบสนองผลประโยชน์ทางธุรกิจของบริษัทยักษ์ใหญ่ทางการเกษตรมากขึ้นทุกที
***********************************************
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
ในการสัมมนาทางวิชาการเมื่อเร็วๆ นี้ เสี่ยใหญ่ของบริษัทค้าขายทางเกษตรกรรมได้เสนอแนะว่า ประเทศไทยควรลดพื้นที่ปลูกข้าวลง จาก 67 ล้านไร่ (หรือ 64 ล้านไร่ในการคำนวณของบางสำนัก) ให้เหลือเพียง 42 ล้านไร่ แล้วหันไปปลูกยางพารา, อ้อย และมันสำปะหลังแทน เพราะพืชทั้งสามตัวนี้มีคู่แข่งในตลาดน้อย จึงเป็นที่ต้องการมากกว่า
ถ้าลดพื้นที่ปลูกข้าวลง ชาวนาก็จะขายข้าวได้ราคาดีขึ้น ซ้ำความเสี่ยงในการผลิตก็จะหมดไป เพราะพื้นที่ซึ่งเหลือสำหรับปลูกข้าวจะอยู่ในพื้นที่ซึ่งมีชลประทานทั้งสิ้น
ฟังดูดี และน่าทำ ประหนึ่งว่าปัญหาของเกษตรกรจะได้รับการแก้ไขให้หมดไปอย่างง่ายดาย แต่ขอให้พิจารณาข้อเสนอนี้อย่างละเอียดว่า ปัญหาของใครกันแน่ที่จะได้รับการแก้ไข
อันที่จริงข้อเสนอนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ทั้งนักวิชาการหรือแม้แต่นักการเมืองได้พูดเรื่องนี้มากว่า 50 ปีแล้ว (คือตั้งแต่สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ก่อนนโยบายพัฒนาของสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เสียอีก) เรียกว่าความพยายามจะสร้างความหลากหลาย (diversification) ด้านการผลิตทางเกษตรกรรมของไทย แทนที่จะผลิตข้าวเป็นหลัก ควรหันไปปลูกพืชอื่นๆ ซึ่งมีราคาดีในตลาด และว่าที่จริงการสร้างความหลากหลายด้านเกษตรกรรม ก็ขยายตัวอย่างกว้างขวางเพื่อตอบสนองการเกษตรเชิงพาณิชย์อย่างเข้มข้น ซึ่งนโยบายพัฒนาของสฤษดิ์นำมา เช่น ข้าวโพด มันสำปะหลัง เป็นต้น แต่ส่วนใหญ่ทำในพื้นที่ซึ่งเปิดใหม่ ไม่ใช่ในท้องนาเดิม
แล้วอะไรเกิดขึ้นแก่เกษตรกรที่หันไปปลูกพืชเศรษฐกิจเหล่านั้นก็ทราบกันดีอยู่แล้ว จะเดินหน้าต่อไปก็มีแต่ความล่มจมซ้ำแล้วซ้ำอีก ครั้นจะถอยหลังกลับก็ไม่มีที่ให้ถอย มีเกษตรกรเพียงน้อยราย เช่น ท่านผู้ใหญ่วิบูลย์ เข็มเฉลิมเท่านั้น ที่สามารถถอยกลับมาสู่การผลิตแบบพึ่งตนเองได้
โดยสรุปก็คือ การแก้ปัญหาของเกษตรกรไทยด้วยข้อเสนอแบบฉับเดียวเช่นนี้ ยิ่งก่อให้เกิดความทุกข์ยากแก่เกษตรกรมากขึ้นไปอีก เพราะไม่มองปัญหาของเกษตรกรอย่างครบวงจร
ในทุกวันนี้ มีเกษตรกรไทยราว 1.5 ล้านครัวเรือนที่ไม่มีที่ทำกินหรือมีไม่พอ ซ้ำยังมีที่ดินการเกษตรอีก 30 ล้านไร่เศษที่เป็น NPL และ NPA ในธนาคาร ฉะนั้น มาตรการของนักการเมืองที่เอาที่ป่ามาแจกเกษตรกรในรูปต่างๆ จึงไม่ได้แก้ปัญหานี้เลย การที่คนทำเกษตรแต่กลับเข้าไม่ถึงทรัพยากรที่ดิน อันเป็นทรัพยากรการผลิตพื้นฐานเช่นนี้ เป็นปัญหาใหญ่ซึ่งไม่อาจแก้ได้ด้วยการลดพื้นที่ปลูกข้าว แล้วหันไปปลูกพืชเศรษฐกิจอื่น
เกษตรกรส่วนใหญ่มีหนี้สิน เฉลี่ยประมาณ 1.7 แสนบาทต่อราย นับตั้งแต่ปี 2548 ที่รัฐบาลพยายามซื้อหนี้เกษตรกร จนถึงปัจจุบันได้ซื้อไปแล้ว 1.2 หมื่นราย จากผู้ลงทะเบียนทั้งหมด 6.3 ล้านราย เกษตรกรเข้าไม่ถึงแหล่งเงินกู้ก็เป็นปัญหาใหญ่อีกเช่นกัน แม้มี ธ.ก.ส.มาหลายทศวรรษแล้ว เกษตรกรที่ไร้หลักทรัพย์ก็ยังเข้าไม่ถึง ซ้ำร้ายเกษตรกรที่ได้รับเงินกู้จาก ธ.ก.ส. มักไม่ได้รับเป็นตัวเงิน แต่ต้องรับเป็นปุ๋ยหรือยาฆ่าแมลงแทน ใครกันเล่าได้ประโยชน์จากการเปิดช่องเล็กๆ นี้ให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินกู้
ในขณะเดียวกัน เกษตรกรไทยก็แทบจะไม่มีอำนาจต่อรองในตลาด เพราะไม่เท่าทันกับการทำธุรกิจแบบเอาเปรียบของบริษัทเกษตรยักษ์ใหญ่บ้าง เพราะไม่มีทุนพอจึงต้องถูกริบพืชผลไปทันทีที่เก็บเกี่ยวบ้าง ฯลฯ ฉะนั้นยิ่งทำเกษตรก็ยิ่งจนลง ในขณะที่เกษตรกรไทยมีหนี้สินล้นพ้นตัว บริษัทยักษ์ใหญ่ที่สุดทางด้านการเกษตร 3 บริษัทแรกได้กำไรประมาณ 1.5 แสนล้านบาทใน พ.ศ.2451
การผลักดันและบังคับโดยทางอ้อมให้การผลิตด้านการเกษตรของไทยกลายเป็นการผลิตเชิงพาณิชย์อย่างเข้มข้น ทำให้เกษตรกรต้องพึ่งทั้งปุ๋ย, ยาฆ่าแมลง และยาปราบวัชพืชอย่างหนัก จากบริษัทที่หากำไรด้านการเกษตร นอกจากทำลายระบบนิเวศของไร่นาอย่างร้ายกาจ จนกระทั่งการลงทุนมีแต่จะต้องเพิ่มขึ้นทุกปีแล้ว ผลสำรวจยังพบว่า 70% ของเกษตรกรไทยมีสารพิษตกค้างในเลือดถึงระดับอันตราย
สถานการณ์ของเกษตรกรไทยเป็นดังกล่าวนี้ จึงไม่มีลูกหลานเกษตรกรใดต้องการสืบทอดอาชีพของบรรพบุรุษอีก แม้ในทุกวันนี้ เกษตรกรส่วนใหญ่ก็มีชีวิตรอดมาได้เพราะเงินที่ลูกหลานซึ่งออกจากภาคเกษตรแล้ว ส่งมาช่วย
(สถิติทั้งหมดนี้ได้รับความเอื้อเฟื้อจาก ดร.เพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์)
เกษตรกรไทยตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ก็เพราะ (ถูกชักนำหรือถูกบังคับ) ให้เข้าสู่ตลาดโดยไม่พร้อม ตัวเองก็ไม่พร้อม รัฐก็ไม่ทำให้ตลาดหรือทุนและเงื่อนไขทางธุรกิจพร้อม ซ้ำยังสร้างเงื่อนไขทั้งทางการเมืองและกฎหมายที่ทำให้เกษตรกรต้องแพ้ในการแข่งขันเสมอ ทั้งนี้เพราะนับตั้งแต่เราเปิดประเทศด้วยสนธิสัญญาเบาว์ริงเป็นต้นมา นโยบายการเกษตรของรัฐบาลไทย คือนโยบายที่จะทำเงินจากการส่งออกพืชผล ไม่เคยมีนโยบายการเกษตรเพื่อเกษตรกรเลยจนถึงทุกวันนี้
ข้อเสนอของเสี่ยให้ใช้พื้นที่ปลูกพืชเศรษฐกิจเพื่อส่งออกเพิ่มขึ้น นอกจากไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใดแล้ว ยังเป็นนโยบายที่ไม่เคยช่วยให้เกษตรกรส่วนใหญ่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่ทำให้บริษัทที่ค้าขายด้านการเกษตร บริษัทส่งออกพืชผลการเกษตร และบริษัทแปรรูปพืชผลการเกษตร รุ่มรวยขึ้นอย่างสุดจะคณานับต่างหาก
หากเราไม่ทำอะไรเลย และไม่จำเป็นต้องมีข้อเสนออะไรจากเสี่ยๆ การเกษตรเลย ในไม่ช้าเกษตรกรรมก็จะหลุดจากมือเกษตรกรรายย่อยไปโดยสิ้นเชิงอยู่แล้ว เวลานี้อายุเฉลี่ยของเกษตรกรไทยคือเกิน 50 ปี แถมอมโรคจากสารเคมีของเสี่ยอีกบานเบอะ ลูกหลานของเขาย่อมดิ้นสุดฤทธิ์ให้พ้นไปจากอาชีพเกษตรกรรม ในที่สุดผู้ที่จะเหลือรอดอยู่ในเกษตรกรรมได้ ก็คือบริษัทของเหล่าเสี่ยๆ และเกษตรกรรวยซึ่งมีอยู่น้อยราย (และไม่แน่ด้วยว่า เกษตรกรรวยจะเหลือรอดไปได้อีกนานเท่าไร หากต้องเผชิญการแข่งขันตรงๆ จากบริษัทยักษ์ใหญ่ ท่ามกลางเงื่อนไขทางเศรษฐกิจและการเมืองที่เอื้อต่อเสี่ยจนหมดประตูเช่นนี้)
ถึงตอนนั้นแล้ว เสี่ยจะทำอะไรกับการเกษตร เสี่ยย่อมไม่ลงทุนกับพืชที่มีการแข่งขันสูงเช่นข้าว แต่อาจลงทุนกับพืชที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า เช่น ยางพารา หรือพืชพลังงาน เช่น ปาล์มหรือมันสำปะหลัง จนกว่าราคาข้าวจะเริ่มเขยิบขึ้นมา ถึงตอนนั้นเสี่ยก็อาจไม่จำเป็นต้องเข้ามาเสี่ยงกับการผลิตข้าวโดยตรง หากผลิตโดยการทำเกษตรเชิงพันธสัญญา เพราะข้าวเป็นพืชที่ตอบสนองต่อการเพาะปลูกแบบประณีตได้สูง การลงทุนแบบไร่นาขนาดใหญ่กลับมีผลิตภาพน้อยกว่า นอกจากนี้การทำเกษตรเชิงพันธสัญญาให้กำไรแก่เสี่ยสูงมากด้วย
ถึงตอนนั้นแล้ว ชะตากรรมของคนประมาณ 12 ล้านคนในภาคเกษตรเวลานี้จะเป็นอย่างไร? ส่วนหนึ่งที่ยังคงตกค้างอยู่ในไร่นา คือลูกจ้างของบริษัทยักษ์ใหญ่ ไม่ใช่ลูกจ้างโดยตรงก็เป็นลูกจ้างโดยอ้อมผ่านพันธสัญญาที่ทำไว้กับบริษัท ส่วนที่เหลือซึ่งมีจำนวนมากกว่า ต้องหลั่งไหลเข้าเมือง ไปสู่อาชีพเก็บขยะ, และแรงงานไร้ฝีมือในภาคบริการ, การค้า, การขนส่งและอุตสาหกรรม
กดให้ราคาแรงงานต้องต่ำตลอดไป
ประเทศไทยจะมีความมั่นคงด้านอาหารสักเพียงใดในตอนนั้น ก็ยากที่จะคาดเดาได้ แม้ว่าเงินจากภาคเกษตรของไทยในจีดีพีอาจเพิ่มขึ้นเกิน 20% ก็ตาม
ยิ่งแทนที่จะคิดถึงความมั่นคงด้านอาหารของประเทศ แต่คิดถึงความมั่นคงด้านอาหารของครอบครัวไทย ก็ยิ่งน่าวิตก
อำนาจต่อรองของเกษตรกรไทยในตลาดนั้นอาจพูดได้ว่าเป็นศูนย์ แต่อำนาจต่อรองทางการเมืองของเกษตรกร (หมายถึงผู้ผลิต ไม่ใช่บริษัท) ก็ยังแทบเป็นศูนย์เหมือนกัน
เขาไม่มีพรรคการเมือง เพราะพรรคการเมืองไทยไม่เคยเป็นตัวแทนของคนกลุ่มใด นอกจากนักเลงท้องถิ่นและนายทุนที่จ่ายเงิน "ซื้อ" เป็นคราวๆ ไป เขาแทบจะไม่มีสื่อของตนเอง ที่พอมีอยู่บ้างก็ไม่ "ดัง" พอจะไปมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายสาธารณะได้ ภาคอุตสาหกรรมและการเงินไม่ได้เชื่อมโยงกับภาคเกษตรกรรม ฉะนั้น จึงไม่เป็นธุระที่จะต่อรองทางการเมืองเพื่อประโยชน์ของเกษตรกร
และอย่างที่ทราบกันอยู่แล้ว ด้วยอุปสรรคหลายประการ เกษตรกรรายย่อยของไทยไม่ได้รวมตัวกันเพื่อต่อรอง ไม่ว่าจะเป็นการต่อรองในตลาดหรือในทางการเมือง
ฉะนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับอำนาจต่อรองของเสี่ยบริษัทยักษ์ใหญ่ทางการเกษตรแล้ว จึงเทียบกันไม่ได้เลย หากใครสามารถเปิดบัญชีจ่ายเงินเดือนของบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งได้ จะตระหนก เพราะผู้ที่รับเงินเดือนจากบริษัทในฐานะที่ปรึกษาระดับต่างๆ นั้น มีตั้งแต่บุคคลในตำแหน่งสูงมากๆ ไปจนถึงนักการเมืองอีกจำนวนมาก ข้าราชการในกระทรวงเกษตรฯ, ทรัพยากร, คลัง, และพาณิชย์อีกจำนวนมาก รวมแม้แต่บุคคลในอาชีพสื่ออีกหลายฉบับ
ทั้งนี้ ยังไม่นับ "ลูกไร่" จำนวนอีกหลายหมื่นทั่วประเทศ
นโยบายการเกษตรของไทยซึ่งมุ่งมั่นแต่การส่งออก โดยไม่เหลียวแลเกษตรกรตลอดมา กำลังถูกบีบให้แคบลงเพื่อตอบสนองผลประโยชน์ทางธุรกิจของบริษัทยักษ์ใหญ่ทางการเกษตรมากขึ้นทุกที
***********************************************
สื่อ..ใต้บาทาเป็นภัยต่อความมั่นคง(ของรัฐบาล)
“ผู้ก่อเหตุระเบิดน่าจะไม่เกิน 4 กลุ่มคือ 1.ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล 2.ฝ่ายที่ได้ประโยชน์จาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และไม่อยากให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 3.กลุ่มการเมืองที่ไม่ต้องการให้มีการเลือกตั้ง โดยร่วมมือกับผู้มีอำนาจในบ้านเมือง เพื่อรักษาอำนาจของตัวเอง และ 4.กลุ่มที่ต้องการนำประเทศไปสู่การปฏิวัติรัฐประหาร โดยทำให้เห็นว่ารัฐบาลไม่มีน้ำยาสร้างความสงบให้บ้านเมือง ผู้ก่อเหตุระเบิดน่าจะไม่เกิน 4 กลุ่มนี้”
พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การทหาร สภาผู้แทนราษฎร ให้ความเห็นกรณีระเบิดอพาร์ตเมนต์ย่านบางบัวทอง จ.นนทบุรี ทั้งตั้งข้อสังเกตว่าที่ผ่านมามีเหตุระเบิดถึง 114 ครั้ง แต่แทบจับผู้ต้องสงสัยไม่ได้เลย สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวของรัฐบาลที่ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ แม้จะมี พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็อ่อนแอ แก้ไขปัญหาไม่ได้ ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศเสียหาย
กรณีอพาร์ตเมนต์ย่านบางบัวทองอาจเป็นเหตุผลที่ดีของการต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลอีก 3 เดือนจนถึงสิ้นปี และเชื่อว่าจะยังมีการต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปถึงตรุษจีนและสงกรานต์ หรือจนกระทั่งหมดอายุรัฐบาลอภิสิทธิ์
พ.ร.ก.ฉุกเฉินล้มเหลว
เหตุระเบิดกว่าร้อยครั้งจึงเป็นคำถามที่ค้างคาใจประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะช่วงที่จะมีการพิจารณาต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินมักเกิดเหตุระเบิด หรือพบระเบิดข่มขู่ตามสถานที่ต่างๆ หรือเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงจะออกมาให้ข่าวความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ไม่หวังดีต่างๆ อย่างกรณีการจับกุม 11 ชายฉกรรจ์ที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ระบุว่าเป็น “นักรบแดง” ที่ฝ่ายความมั่นคงสืบทราบมาว่ามีการฝึกอาวุธจากกัมพูชารวมทั้งสิ้น 30 คน และยังฝึกอาวุธบริเวณชายแดนด้านพม่าด้วย เพื่อเตรียมการก่อความไม่สงบและลอบสังหารระดับแกนนำรัฐบาลและฝ่ายการเมือง
ด้านนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ตั้งข้อสังเกตว่า จังหวัดที่มี พ.ร.ก.ฉุกเฉินยังเกิดระเบิดขึ้น แสดงว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่สามารถป้องปรามได้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินจะมีหรือไม่มี ผู้ก่อเหตุก็มีช่องทางทำให้เกิดความวุ่นวายอยู่ดี ฉะนั้นรัฐบาลต้องหามาตรการอื่นสกัด
“พ.ร.ก.ฉุกเฉินจะมีหรือไม่ไม่ใช่จุดใหญ่ จุดใหญ่คือการปรองดองโดยสุจริตใจ ทุกฝ่ายต้องเห็นแก่ประโยชน์ของประเทศชาติโดยสุจริตใจด้วย”
เช่นเดียวกับนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ไม่เชื่อว่าเหตุระเบิดจะเกี่ยวกับการสร้างสถานการณ์ และได้ตั้งคำถามกรณีหน่วยงานด้านความมั่นคงระบุว่าทราบมาก่อนว่ามีการซ่องสุมและเป็นแหล่งประกอบระเบิด แต่ไม่สามารถป้องกันเหตุได้นั้น เป็นการสะท้อนว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีสมรรถภาพในการทำงานและไม่สามารถป้องกันได้ จึงต้องปรับปรุงการทำงานตั้งแต่ผู้บังคับการลงไป รวมถึงเจ้าหน้าที่ในพื้นที่
ปล่อยข่าว-สร้างสถานการณ์?
อย่างไรก็ตาม หน่วยงานด้านความมั่นคง ไม่ว่าจะเป็นศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) หรือสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ประสานเสียงเรื่องการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบหรือผู้ก่อการร้ายที่ยังพุ่งเป้าไปที่คนเสื้อแดง ทั้งที่ไม่มีหลักฐานชัดเจน นอกจากอ้างข้อมูลด้านการข่าว อย่างกรณีระเบิดที่เกิดขึ้นในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลจนกลายเป็นเรื่องปรกติเหมือนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้ง ศอฉ. ดีเอสไอ และ สมช. ต่างแถลงเป็นเสียงเดียวกันว่าจะมีระเบิดป่วนเมืองต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่รัฐบาลอ้างความจำเป็นในการต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไปอีก 3 เดือน
ขณะเดียวกันมีข่าวการจับกุมกลุ่มชายฉกรรจ์และผู้ต้องสงสัยในรูปแบบต่างๆหลังจากวาทกรรม “ไอ้โม่งชุดดำ” ที่ก่อนหน้านี้ไม่สามารถจับกุมได้เลยแม้แต่คนเดียว ก็เกิดวาทกรรมใหม่เป็น “ไอ้โม่งชุดแดง” หรือ “นักรบแดง” ที่ระบุว่ามีการซ่องสุมและฝึกอาวุธตามชายแดนประเทศเพื่อนบ้านคือกัมพูชาและพม่า ซึ่งรัฐบาลกัมพูชาออกมาปฏิเสธทุกครั้งที่มีข่าวจากเจ้าหน้าที่ไทยว่าไม่เป็นความจริง หรือฉีกหน้าเจ้าหน้าที่ไทยว่าเป็นพวกหากินกับการสร้างข่าวเพื่อความดีความชอบ
อย่างกรณีจับ 11 ชายฉกรรจ์ที่รีสอร์ตภูฟ้า จังหวัดเชียงใหม่ พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอัมพันธ์กุล รักษาการผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 (รรท.ผบช.ภ. 5) ระบุว่า พบหลักฐานล้มสถาบันและเหตุระเบิดป่วนเมือง หลายจุด นอกจากนี้ยังได้กันเป็นพยานเชื่อมคดีก่อการร้ายอีกด้วย
แต่ พล.ต.ต.สมหมาย กองวิสัยสุข ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ กลับยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับการเมือง ไม่ใช่ “นักรบแดง” อย่าไปเชื่อ และไม่ได้จับกุมตัว เพราะยังไม่ได้กระทำความผิด เพียงแค่มีคนมาแจ้งว่าสงสัยเลยเข้าไปตรวจสอบ แค่เชิญมานั่งคุยเฉยๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องความมั่นคง ยังไม่รู้ว่าเป็นพวกไหน กำลังตรวจสอบว่าเป็นคนไทยหรือเปล่า
อุปโลกน์ “ไอ้โม่งชุดดำ”?
เช่นเดียวกับกรณีก่อนหน้านี้ที่มีการจับกุมนายสุรชัย หรือหรั่ง เทวรัตน์ คนสนิท พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ตามหมายจับคดีก่อการร้าย หลังเดินทางกลับ จากกัมพูชา ซึ่งดีเอสไออ้างว่านายสุรชัยรับสารภาพว่าเป็นหนึ่งในทีมร่วมยิงเอ็ม 79 ใส่แฟลตตำรวจที่ลุมพินี และยิงอาวุธปืนเอ็ม 16 ใส่ด่านตรวจบริเวณแยกศาลาแดงตามคำสั่งของ เสธ.แดง ทั้งยังเป็นคนนำตนไปฝึกการใช้อาวุธที่ไต้หวัน ต่อมาไม่เพียงนายสุรชัยจะปฏิเสธว่าไม่เคยสารภาพใดๆแล้ว ทางไต้หวันยังฉีกหน้ากลับมาอีกว่าไม่เคยออกวีซ่าให้แก่นายสุรชัยเลย แต่กว่า 2 เดือนแล้วคดีของนายสุรชัยยังไม่มีอะไรคืบหน้า
ส่วนการจับกุมนายจักรชลัช หรือพล คงสุวรรณ อดีตนาวิกโยธิน หนึ่งในลูกน้องของ เสธ.แดง ที่ดีเอสไอระบุว่าให้การเป็นประโยชน์อย่างมาก โดยซัดทอดถึงตัวการสำคัญที่ร่วมวางแผนก่อการร้าย นอกจากนี้ยังอ้างว่าผู้ต้องหารู้เรื่องเงินที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ส่งให้กับ เสธ.แดงเพื่อนำไปใช้ในด้านต่างๆอีก และให้การว่า เสธ.แดงรับเงินจากใคร รวมทั้งการระบุจุดนัดพบ ซึ่งถูกกำหนดให้ใช้เป็นสถานที่ส่งต่อเงินเพื่อสนับสนุนการก่อความไม่สงบ โดยนายจักรชลัชสมัครใจขอรับการคุ้มครองจึงนำตัวไปไว้ที่ค่ายทหารแห่งหนึ่ง เพราะไม่มั่นใจในความปลอดภัย กลัวถูกฝ่ายตรงข้ามฆ่าปิดปาก
แต่ทั้ง 2 คดีที่ ศอฉ. และดีเอสไอมั่นใจว่าเป็นหลักฐานสำคัญที่จะนำไปถึง “ไอ้โม่งชุดดำ” หรือ “ผู้ก่อการร้าย” นั้นยังเป็นการใช้อำนาจจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่ใช่ผ่านกระบวนการยุติธรรมตามปรกติที่เปิดเผยให้ประชาชนรับรู้และหายข้องใจว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยความยุติธรรมและโปร่งใส ไม่ใช่การอุปโลกน์ให้เป็น “ไอ้โม่งชุดดำ” เพื่อผลทางการเมือง อย่างกรณีแกนนำคนเสื้อแดงที่เหมือน “ถูกขังฟรี” อยู่ในเรือนจำขณะนี้
ส่วนการชันสูตรศพผู้เสียชีวิต 91 ศพที่จะทำให้รู้ชัดเจนว่าเสียชีวิตอย่างไร จากกระสุนชนิดใด จากปืนประเภทไหน ใครยิง ใครเป็นฆาตกร ยังมืดมน ขณะที่ ศอฉ. และผู้นำกองทัพกลับออกมาระบุว่าไม่เคยมีคำสั่งให้ทหารยิงประชาชนและไม่มีสไนเปอร์ ทั้งที่มีพยานหลักฐานมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพยานบุคคล ภาพถ่าย และคลิปวิดีโอว่าทหารยิงปืนใส่ประชาชนและมีสไนเปอร์ชัดเจน
ต่อต้าน-ขับไล่ทั่วโลก
โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ในฐานะผู้ออกคำสั่งสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บมากที่สุดในประวัติศาสตร์ นายอภิสิทธิ์จะอ้างว่าตัวเองบริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างไรก็ต้องแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง ไม่ใช่ลอยหน้าลอยตาใช้วาทกรรมสร้างความชอบธรรม หรือสร้างความปรองดองกำมะลอที่ถูกประณามเป็น “การปรองดองแบบขี้ขลาด” เพื่อให้ตัวเองและพวกอยู่รอด ซึ่งไม่เกิดประโยชน์ใดๆต่อประเทศชาติและประชาชนเลย
นายอภิสิทธิ์จึงยังหนีไม่พ้นตราบาปและถูกกล่าวหาว่าเป็น “ฆาตกร 100 ศพ” ตราบใดที่ยังไม่มีผลการสอบสวนที่ประชาชนและประชาคมโลกยอมรับกรณี 91 ศพ และยังใช้อำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แม้มีวาทกรรมสวยหรูเพียงใดก็ตามจะมีแต่การต่อต้านและขับไล่ อย่างการเดินทางไปประชุมเอเปกที่สหรัฐ หรือประชุมอาเซมที่เบลเยียม จะเห็นคนไทยและคนต่างชาติมาชุมนุมประท้วงขับไล่และต่อต้านนายอภิสิทธิ์
91 ศพที่ไม่มีคำตอบ
แม้แต่นายโฮเซ มานูเอล บาร์โรโซ ประธานคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป (อียู) ยังกล่าวกับนายอภิสิทธิ์ ที่เดินทางไปร่วมประชุมอาเซมที่บรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม และแถลงกับสื่อมวลชนว่าสหภาพยุโรปมีความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ขัดแย้งในไทย และปรารถนาจะเห็นการปรองดองในชาติ รวมทั้งการมีระบอบประชาธิปไตยที่เคารพสิทธิมนุษยชน
เพราะ 1 ใน 91 ศพที่เสียชีวิตนั้นเป็นช่างภาพอิสระชาวอิตาลี นายฟาบิโอ โปเลงกี ถูกยิงที่ช่องท้องจนเสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ขณะทำข่าวการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง แม้อลิซาเบธ โปเลงกี พี่สาวนายฟาบิโอ จะพยายามประสานงานกับสถานทูตอิตาลีในประเทศเพื่อกดดันให้รัฐบาลไทยเปิดเผยข้อมูลและการสอบสวน แต่กลับไม่ได้รับความคืบหน้าใดๆ
ขณะที่นายเดวิด ลิปแมน เอกอัครราชทูตอิตาลีประจำประเทศไทย กล่าวกับสื่อไทยว่า สหภาพยุโรปต้อง การเห็นคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงชุดนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน รวมถึงคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปประเทศที่ นพ.ประเวศ วะสี เป็นประธาน ปฏิบัติหน้าที่อย่างอิสระและจริงจัง
นอกจากนี้คนเสื้อแดงในสหรัฐยังจัดทำโปสเตอร์ One World One Poster-RED USA เป็นภาษาอังกฤษ เพื่อเผยแพร่และประจานต่อชาวโลกในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” โดยให้เครือข่ายแดงทั่วโลก (RED AROUND THE WORLD) นำไปแปะตามเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อเป็น One World One Poster ประจานความโหดเหี้ยมและป่าเถื่อนของรัฐบาลที่ไล่ล่าเข่นฆ่าประชาชน
มาตรฐานพิเศษ
ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นการปรองดองแบบ “แม้ว” หรือ ปรองดองแบบ “มาร์ค” ต้องยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชนและความเป็นมนุษย์ของรัฐบาลอภิสิทธิ์ด้วยการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินทันที และต้องปล่อยแกนนำคนเสื้อแดงและคนเสื้อแดงหลายร้อยคนที่ถูกคุมขังมานานกว่า 6 เดือน และมีแนวโน้มจะถูกขังฟรีต่อไปอีกนานทั้งที่ไม่มีความผิดจากการกล่าวหาของ ศอฉ. และ ดีเอสไอโดยไม่มีหลักฐานหรือข้อเท็จจริงมายืนยันความ ผิดตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งประชาคมโลกประณามว่ารัฐบาลไทยมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง
การปรองดองจึงเป็นไปไม่ได้ตราบใดที่ยังไม่มีความยุติธรรม หรือยังใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่กลายเป็น “มาตรฐานพิเศษ” ยิ่งกว่า “2 มาตรฐาน” เพราะ พ.ร.ก.ฉุกเฉินกลายเป็นเครื่องมือสร้างพยานและปั้นหลักฐานเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองที่แม้แต่ฝ่ายตุลาการยังไม่กล้าตรวจสอบ ทั้งที่เป็นการใช้อำนาจที่ขัดกับรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจนก็ตาม
รองเท้าแตะเป็นภัยต่อความมั่นคง?
นิติรัฐและความยุติธรรมของรัฐบาลอภิสิทธิ์จึงเป็นมาตรฐานของผู้มีอำนาจที่หากใครย้ายมาอยู่ข้างตนเองก็จะสามารถเสกให้ “ทำอะไรก็ไม่ผิด” เหมือนกรณีดารานักแสดงชายที่ถูกจับข้อหาก่อการร้าย แต่วันนี้กลับเดินปร๋อในฐานะพยานของดีเอสไอแล้วไล่ด่าและประจานผู้หญิงที่เคยมีความสัมพันธ์กันในอดีตมานานกว่า 10 ปีแล้วอย่างหน้าด้านไม่ละอาย “กินในที่ลับ ไขในที่แจ้ง” เพื่อสร้างกระแสให้แก่ตัวเองจนถูกฝ่ายหญิงและสังคมด่าว่า “เลว”
ขณะที่แม่ค้าขายรองเท้าแตะพิมพ์รูปหน้าคล้ายนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ซึ่งแม้อาจถูกมองว่าไม่เหมาะสม ยังถูกจับข้อหาร่วมกันจำหน่ายหรือทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือพิมพ์ หรือสิ่งพิมพ์ หรือสิ่งอื่นใดที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินและกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชนในทั่วราชอาณาจักรตามมาตรา 9 (3) แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 และมาตรา 9 (3) ข้อ 2
ความหมายเชิงสัญลักษณ์ผ่าน “รองเท้าแตะ” สามารถเป็นสื่อโฆษณาที่เป็นภัยร้ายแรงต่อความมั่นคงของชาติเลยทีเดียว??
ขณะที่ก่อนหน้านี้กลุ่มพันธมิตรฯก็เคยทำแบบเดียวกันแต่ต่างนายกฯ กลับถูกมองว่าเป็นเพียงสีสันการแสดงออกในการต่อสู้เท่านั้น
เช่นเดียวกับคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ขณะนี้ถูกนำมาเปรียบเทียบกับคดียุบพรรคการเมืองก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย ฯลฯ ที่ถูกตัดสินรวดเร็วอย่างกับจรวด หรือกรณีการดำเนินคดีผู้ก่อการร้ายยึดสนามบินของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่คลานเป็นเต่าเดินถอยหลัง เทียบไม่ได้กับกรณีแกนนำคนเสื้อแดงที่ “ให้ติดคุกไว้ก่อน...พ่อสอนไว้” ส่วนความจริงจะเป็นอย่างไรไม่ต้องรีบร้อน เหมือนจะรอให้จบวาระเป็นรัฐบาลเสียก่อนหรืออย่างไร?
การดำเนินคดีกับคนเสื้อแดงภายใต้อำนาจ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน โดยรัฐบาลตะแบงว่าเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมแล้วนั้น กลับไม่ได้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมปรกติ มีเพียงเจตนาเพื่อคุมขัง “นักโทษการเมือง” ฝ่ายตรงข้ามให้นานที่สุด
ตรงกับภาษาที่ว่า “Justice delayed is justice denied” หมายถึง “ความยุติธรรมที่มาล่าช้า” ก็คือ “ความอยุติธรรม”
รัฐบาลต้องเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินทันที! ต้องปล่อยนักโทษการเมืองให้เป็นอิสระ! เพื่อสู่กระบวนการยุติธรรมมาตรฐานเดียวกัน
ความปรองดอง ที่แท้จริง...ถึงจะมีโอกาสเริ่มต้น!
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การทหาร สภาผู้แทนราษฎร ให้ความเห็นกรณีระเบิดอพาร์ตเมนต์ย่านบางบัวทอง จ.นนทบุรี ทั้งตั้งข้อสังเกตว่าที่ผ่านมามีเหตุระเบิดถึง 114 ครั้ง แต่แทบจับผู้ต้องสงสัยไม่ได้เลย สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวของรัฐบาลที่ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ แม้จะมี พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็อ่อนแอ แก้ไขปัญหาไม่ได้ ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศเสียหาย
กรณีอพาร์ตเมนต์ย่านบางบัวทองอาจเป็นเหตุผลที่ดีของการต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลอีก 3 เดือนจนถึงสิ้นปี และเชื่อว่าจะยังมีการต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปถึงตรุษจีนและสงกรานต์ หรือจนกระทั่งหมดอายุรัฐบาลอภิสิทธิ์
พ.ร.ก.ฉุกเฉินล้มเหลว
เหตุระเบิดกว่าร้อยครั้งจึงเป็นคำถามที่ค้างคาใจประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะช่วงที่จะมีการพิจารณาต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินมักเกิดเหตุระเบิด หรือพบระเบิดข่มขู่ตามสถานที่ต่างๆ หรือเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงจะออกมาให้ข่าวความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ไม่หวังดีต่างๆ อย่างกรณีการจับกุม 11 ชายฉกรรจ์ที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ระบุว่าเป็น “นักรบแดง” ที่ฝ่ายความมั่นคงสืบทราบมาว่ามีการฝึกอาวุธจากกัมพูชารวมทั้งสิ้น 30 คน และยังฝึกอาวุธบริเวณชายแดนด้านพม่าด้วย เพื่อเตรียมการก่อความไม่สงบและลอบสังหารระดับแกนนำรัฐบาลและฝ่ายการเมือง
ด้านนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ตั้งข้อสังเกตว่า จังหวัดที่มี พ.ร.ก.ฉุกเฉินยังเกิดระเบิดขึ้น แสดงว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่สามารถป้องปรามได้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินจะมีหรือไม่มี ผู้ก่อเหตุก็มีช่องทางทำให้เกิดความวุ่นวายอยู่ดี ฉะนั้นรัฐบาลต้องหามาตรการอื่นสกัด
“พ.ร.ก.ฉุกเฉินจะมีหรือไม่ไม่ใช่จุดใหญ่ จุดใหญ่คือการปรองดองโดยสุจริตใจ ทุกฝ่ายต้องเห็นแก่ประโยชน์ของประเทศชาติโดยสุจริตใจด้วย”
เช่นเดียวกับนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ไม่เชื่อว่าเหตุระเบิดจะเกี่ยวกับการสร้างสถานการณ์ และได้ตั้งคำถามกรณีหน่วยงานด้านความมั่นคงระบุว่าทราบมาก่อนว่ามีการซ่องสุมและเป็นแหล่งประกอบระเบิด แต่ไม่สามารถป้องกันเหตุได้นั้น เป็นการสะท้อนว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีสมรรถภาพในการทำงานและไม่สามารถป้องกันได้ จึงต้องปรับปรุงการทำงานตั้งแต่ผู้บังคับการลงไป รวมถึงเจ้าหน้าที่ในพื้นที่
ปล่อยข่าว-สร้างสถานการณ์?
อย่างไรก็ตาม หน่วยงานด้านความมั่นคง ไม่ว่าจะเป็นศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) หรือสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ประสานเสียงเรื่องการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบหรือผู้ก่อการร้ายที่ยังพุ่งเป้าไปที่คนเสื้อแดง ทั้งที่ไม่มีหลักฐานชัดเจน นอกจากอ้างข้อมูลด้านการข่าว อย่างกรณีระเบิดที่เกิดขึ้นในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลจนกลายเป็นเรื่องปรกติเหมือนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้ง ศอฉ. ดีเอสไอ และ สมช. ต่างแถลงเป็นเสียงเดียวกันว่าจะมีระเบิดป่วนเมืองต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่รัฐบาลอ้างความจำเป็นในการต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไปอีก 3 เดือน
ขณะเดียวกันมีข่าวการจับกุมกลุ่มชายฉกรรจ์และผู้ต้องสงสัยในรูปแบบต่างๆหลังจากวาทกรรม “ไอ้โม่งชุดดำ” ที่ก่อนหน้านี้ไม่สามารถจับกุมได้เลยแม้แต่คนเดียว ก็เกิดวาทกรรมใหม่เป็น “ไอ้โม่งชุดแดง” หรือ “นักรบแดง” ที่ระบุว่ามีการซ่องสุมและฝึกอาวุธตามชายแดนประเทศเพื่อนบ้านคือกัมพูชาและพม่า ซึ่งรัฐบาลกัมพูชาออกมาปฏิเสธทุกครั้งที่มีข่าวจากเจ้าหน้าที่ไทยว่าไม่เป็นความจริง หรือฉีกหน้าเจ้าหน้าที่ไทยว่าเป็นพวกหากินกับการสร้างข่าวเพื่อความดีความชอบ
อย่างกรณีจับ 11 ชายฉกรรจ์ที่รีสอร์ตภูฟ้า จังหวัดเชียงใหม่ พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอัมพันธ์กุล รักษาการผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 (รรท.ผบช.ภ. 5) ระบุว่า พบหลักฐานล้มสถาบันและเหตุระเบิดป่วนเมือง หลายจุด นอกจากนี้ยังได้กันเป็นพยานเชื่อมคดีก่อการร้ายอีกด้วย
แต่ พล.ต.ต.สมหมาย กองวิสัยสุข ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ กลับยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับการเมือง ไม่ใช่ “นักรบแดง” อย่าไปเชื่อ และไม่ได้จับกุมตัว เพราะยังไม่ได้กระทำความผิด เพียงแค่มีคนมาแจ้งว่าสงสัยเลยเข้าไปตรวจสอบ แค่เชิญมานั่งคุยเฉยๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องความมั่นคง ยังไม่รู้ว่าเป็นพวกไหน กำลังตรวจสอบว่าเป็นคนไทยหรือเปล่า
อุปโลกน์ “ไอ้โม่งชุดดำ”?
เช่นเดียวกับกรณีก่อนหน้านี้ที่มีการจับกุมนายสุรชัย หรือหรั่ง เทวรัตน์ คนสนิท พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ตามหมายจับคดีก่อการร้าย หลังเดินทางกลับ จากกัมพูชา ซึ่งดีเอสไออ้างว่านายสุรชัยรับสารภาพว่าเป็นหนึ่งในทีมร่วมยิงเอ็ม 79 ใส่แฟลตตำรวจที่ลุมพินี และยิงอาวุธปืนเอ็ม 16 ใส่ด่านตรวจบริเวณแยกศาลาแดงตามคำสั่งของ เสธ.แดง ทั้งยังเป็นคนนำตนไปฝึกการใช้อาวุธที่ไต้หวัน ต่อมาไม่เพียงนายสุรชัยจะปฏิเสธว่าไม่เคยสารภาพใดๆแล้ว ทางไต้หวันยังฉีกหน้ากลับมาอีกว่าไม่เคยออกวีซ่าให้แก่นายสุรชัยเลย แต่กว่า 2 เดือนแล้วคดีของนายสุรชัยยังไม่มีอะไรคืบหน้า
ส่วนการจับกุมนายจักรชลัช หรือพล คงสุวรรณ อดีตนาวิกโยธิน หนึ่งในลูกน้องของ เสธ.แดง ที่ดีเอสไอระบุว่าให้การเป็นประโยชน์อย่างมาก โดยซัดทอดถึงตัวการสำคัญที่ร่วมวางแผนก่อการร้าย นอกจากนี้ยังอ้างว่าผู้ต้องหารู้เรื่องเงินที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ส่งให้กับ เสธ.แดงเพื่อนำไปใช้ในด้านต่างๆอีก และให้การว่า เสธ.แดงรับเงินจากใคร รวมทั้งการระบุจุดนัดพบ ซึ่งถูกกำหนดให้ใช้เป็นสถานที่ส่งต่อเงินเพื่อสนับสนุนการก่อความไม่สงบ โดยนายจักรชลัชสมัครใจขอรับการคุ้มครองจึงนำตัวไปไว้ที่ค่ายทหารแห่งหนึ่ง เพราะไม่มั่นใจในความปลอดภัย กลัวถูกฝ่ายตรงข้ามฆ่าปิดปาก
แต่ทั้ง 2 คดีที่ ศอฉ. และดีเอสไอมั่นใจว่าเป็นหลักฐานสำคัญที่จะนำไปถึง “ไอ้โม่งชุดดำ” หรือ “ผู้ก่อการร้าย” นั้นยังเป็นการใช้อำนาจจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่ใช่ผ่านกระบวนการยุติธรรมตามปรกติที่เปิดเผยให้ประชาชนรับรู้และหายข้องใจว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยความยุติธรรมและโปร่งใส ไม่ใช่การอุปโลกน์ให้เป็น “ไอ้โม่งชุดดำ” เพื่อผลทางการเมือง อย่างกรณีแกนนำคนเสื้อแดงที่เหมือน “ถูกขังฟรี” อยู่ในเรือนจำขณะนี้
ส่วนการชันสูตรศพผู้เสียชีวิต 91 ศพที่จะทำให้รู้ชัดเจนว่าเสียชีวิตอย่างไร จากกระสุนชนิดใด จากปืนประเภทไหน ใครยิง ใครเป็นฆาตกร ยังมืดมน ขณะที่ ศอฉ. และผู้นำกองทัพกลับออกมาระบุว่าไม่เคยมีคำสั่งให้ทหารยิงประชาชนและไม่มีสไนเปอร์ ทั้งที่มีพยานหลักฐานมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพยานบุคคล ภาพถ่าย และคลิปวิดีโอว่าทหารยิงปืนใส่ประชาชนและมีสไนเปอร์ชัดเจน
ต่อต้าน-ขับไล่ทั่วโลก
โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ในฐานะผู้ออกคำสั่งสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บมากที่สุดในประวัติศาสตร์ นายอภิสิทธิ์จะอ้างว่าตัวเองบริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างไรก็ต้องแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง ไม่ใช่ลอยหน้าลอยตาใช้วาทกรรมสร้างความชอบธรรม หรือสร้างความปรองดองกำมะลอที่ถูกประณามเป็น “การปรองดองแบบขี้ขลาด” เพื่อให้ตัวเองและพวกอยู่รอด ซึ่งไม่เกิดประโยชน์ใดๆต่อประเทศชาติและประชาชนเลย
นายอภิสิทธิ์จึงยังหนีไม่พ้นตราบาปและถูกกล่าวหาว่าเป็น “ฆาตกร 100 ศพ” ตราบใดที่ยังไม่มีผลการสอบสวนที่ประชาชนและประชาคมโลกยอมรับกรณี 91 ศพ และยังใช้อำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แม้มีวาทกรรมสวยหรูเพียงใดก็ตามจะมีแต่การต่อต้านและขับไล่ อย่างการเดินทางไปประชุมเอเปกที่สหรัฐ หรือประชุมอาเซมที่เบลเยียม จะเห็นคนไทยและคนต่างชาติมาชุมนุมประท้วงขับไล่และต่อต้านนายอภิสิทธิ์
91 ศพที่ไม่มีคำตอบ
แม้แต่นายโฮเซ มานูเอล บาร์โรโซ ประธานคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป (อียู) ยังกล่าวกับนายอภิสิทธิ์ ที่เดินทางไปร่วมประชุมอาเซมที่บรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม และแถลงกับสื่อมวลชนว่าสหภาพยุโรปมีความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ขัดแย้งในไทย และปรารถนาจะเห็นการปรองดองในชาติ รวมทั้งการมีระบอบประชาธิปไตยที่เคารพสิทธิมนุษยชน
เพราะ 1 ใน 91 ศพที่เสียชีวิตนั้นเป็นช่างภาพอิสระชาวอิตาลี นายฟาบิโอ โปเลงกี ถูกยิงที่ช่องท้องจนเสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ขณะทำข่าวการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง แม้อลิซาเบธ โปเลงกี พี่สาวนายฟาบิโอ จะพยายามประสานงานกับสถานทูตอิตาลีในประเทศเพื่อกดดันให้รัฐบาลไทยเปิดเผยข้อมูลและการสอบสวน แต่กลับไม่ได้รับความคืบหน้าใดๆ
ขณะที่นายเดวิด ลิปแมน เอกอัครราชทูตอิตาลีประจำประเทศไทย กล่าวกับสื่อไทยว่า สหภาพยุโรปต้อง การเห็นคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงชุดนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน รวมถึงคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปประเทศที่ นพ.ประเวศ วะสี เป็นประธาน ปฏิบัติหน้าที่อย่างอิสระและจริงจัง
นอกจากนี้คนเสื้อแดงในสหรัฐยังจัดทำโปสเตอร์ One World One Poster-RED USA เป็นภาษาอังกฤษ เพื่อเผยแพร่และประจานต่อชาวโลกในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” โดยให้เครือข่ายแดงทั่วโลก (RED AROUND THE WORLD) นำไปแปะตามเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อเป็น One World One Poster ประจานความโหดเหี้ยมและป่าเถื่อนของรัฐบาลที่ไล่ล่าเข่นฆ่าประชาชน
มาตรฐานพิเศษ
ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นการปรองดองแบบ “แม้ว” หรือ ปรองดองแบบ “มาร์ค” ต้องยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชนและความเป็นมนุษย์ของรัฐบาลอภิสิทธิ์ด้วยการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินทันที และต้องปล่อยแกนนำคนเสื้อแดงและคนเสื้อแดงหลายร้อยคนที่ถูกคุมขังมานานกว่า 6 เดือน และมีแนวโน้มจะถูกขังฟรีต่อไปอีกนานทั้งที่ไม่มีความผิดจากการกล่าวหาของ ศอฉ. และ ดีเอสไอโดยไม่มีหลักฐานหรือข้อเท็จจริงมายืนยันความ ผิดตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งประชาคมโลกประณามว่ารัฐบาลไทยมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง
การปรองดองจึงเป็นไปไม่ได้ตราบใดที่ยังไม่มีความยุติธรรม หรือยังใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่กลายเป็น “มาตรฐานพิเศษ” ยิ่งกว่า “2 มาตรฐาน” เพราะ พ.ร.ก.ฉุกเฉินกลายเป็นเครื่องมือสร้างพยานและปั้นหลักฐานเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองที่แม้แต่ฝ่ายตุลาการยังไม่กล้าตรวจสอบ ทั้งที่เป็นการใช้อำนาจที่ขัดกับรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจนก็ตาม
รองเท้าแตะเป็นภัยต่อความมั่นคง?
นิติรัฐและความยุติธรรมของรัฐบาลอภิสิทธิ์จึงเป็นมาตรฐานของผู้มีอำนาจที่หากใครย้ายมาอยู่ข้างตนเองก็จะสามารถเสกให้ “ทำอะไรก็ไม่ผิด” เหมือนกรณีดารานักแสดงชายที่ถูกจับข้อหาก่อการร้าย แต่วันนี้กลับเดินปร๋อในฐานะพยานของดีเอสไอแล้วไล่ด่าและประจานผู้หญิงที่เคยมีความสัมพันธ์กันในอดีตมานานกว่า 10 ปีแล้วอย่างหน้าด้านไม่ละอาย “กินในที่ลับ ไขในที่แจ้ง” เพื่อสร้างกระแสให้แก่ตัวเองจนถูกฝ่ายหญิงและสังคมด่าว่า “เลว”
ขณะที่แม่ค้าขายรองเท้าแตะพิมพ์รูปหน้าคล้ายนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ซึ่งแม้อาจถูกมองว่าไม่เหมาะสม ยังถูกจับข้อหาร่วมกันจำหน่ายหรือทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือพิมพ์ หรือสิ่งพิมพ์ หรือสิ่งอื่นใดที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินและกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชนในทั่วราชอาณาจักรตามมาตรา 9 (3) แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 และมาตรา 9 (3) ข้อ 2
ความหมายเชิงสัญลักษณ์ผ่าน “รองเท้าแตะ” สามารถเป็นสื่อโฆษณาที่เป็นภัยร้ายแรงต่อความมั่นคงของชาติเลยทีเดียว??
ขณะที่ก่อนหน้านี้กลุ่มพันธมิตรฯก็เคยทำแบบเดียวกันแต่ต่างนายกฯ กลับถูกมองว่าเป็นเพียงสีสันการแสดงออกในการต่อสู้เท่านั้น
เช่นเดียวกับคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ขณะนี้ถูกนำมาเปรียบเทียบกับคดียุบพรรคการเมืองก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย ฯลฯ ที่ถูกตัดสินรวดเร็วอย่างกับจรวด หรือกรณีการดำเนินคดีผู้ก่อการร้ายยึดสนามบินของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่คลานเป็นเต่าเดินถอยหลัง เทียบไม่ได้กับกรณีแกนนำคนเสื้อแดงที่ “ให้ติดคุกไว้ก่อน...พ่อสอนไว้” ส่วนความจริงจะเป็นอย่างไรไม่ต้องรีบร้อน เหมือนจะรอให้จบวาระเป็นรัฐบาลเสียก่อนหรืออย่างไร?
การดำเนินคดีกับคนเสื้อแดงภายใต้อำนาจ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน โดยรัฐบาลตะแบงว่าเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมแล้วนั้น กลับไม่ได้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมปรกติ มีเพียงเจตนาเพื่อคุมขัง “นักโทษการเมือง” ฝ่ายตรงข้ามให้นานที่สุด
ตรงกับภาษาที่ว่า “Justice delayed is justice denied” หมายถึง “ความยุติธรรมที่มาล่าช้า” ก็คือ “ความอยุติธรรม”
รัฐบาลต้องเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินทันที! ต้องปล่อยนักโทษการเมืองให้เป็นอิสระ! เพื่อสู่กระบวนการยุติธรรมมาตรฐานเดียวกัน
ความปรองดอง ที่แท้จริง...ถึงจะมีโอกาสเริ่มต้น!
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
ซุกข้อเท็จจริง
ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ เหล็กใน
แม้จะเหมือนช้าแต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไร เมื่อมีการตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างกรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ดีเอสไอ กรมราชทัณฑ์ ตำรวจ และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ เพื่อเข้าไปตรวจสอบในเรือนจำรวม 17 แห่งทั่วประเทศ
เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงผู้ชุมนุมเสื้อแดง หรือแม้กระทั่งคนไม่เกี่ยวข้องรวม 175 ราย ที่ถูกคุมขังหลังถูกจับในช่วงการชุมนุมของเสื้อแดง ว่าถูกต้องและชอบธรรมเพียงใด!??
เนื่องจากที่ผ่านมามีเสียงร้องเรียนของญาติและผู้เกี่ยว ข้องจำนวนมากว่า 'ทหาร'ที่ในช่วงชุมนุมมีอำนาจล้นฟ้าจากพ.ร.ก.ฉุกเฉิน กวาดต้อนคนจำนวนมากยัดห้องขังโดยไม่สอบข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน!??
ไม่กี่วันก่อน ได้เสนอเรื่องราวของเหยื่อหลายรายที่ถูกขังคุกโดยยังมีข้อสงสัย ไม่ว่าจะเป็น 'ส.ต.รชต วงศ์ยอด' หนึ่งในผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย ที่ดีเอสไอควบคุม และฝากขังไว้เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 23 ก.ค. ที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน
นายกฤษณะ ธัญชยพงศ์ และนายสุระชัย พริ้งพงศ์ ที่เข้าร่วมการชุมนุม แล้วถูกจับกุมศาลตัดสินจำคุกคนละ 1 ปี ตอนนี้อยู่ที่เรือนจำกลางคลองเปรม
ส.ต.รชต ถูกระบุว่าเป็นมือขวาของ'เสธ.แดง' โดย ดีเอสไอ อ้างว่ามีบทบาทอย่างมากระหว่างการชุมนุม!??
แต่ฝ่ายส.ต.รชต ซึ่งเข้าพบตำรวจหลังถูกออกหมายจับยืนยันว่าช่วงชุมนุม เขาฝึกอยู่ในค่ายทหารที่ปราจีนบุรี สลับกับการลงพื้นที่ภาคใต้ โดยมีหลักฐานทั้งหนังสือรับรองจากต้นสังกัด หลักฐานบันทึกการเข้าเวร และอื่นๆ
น่าตกใจว่าจากวันที่ถูกควบคุมตัวจนถึงวันนี้เกือบ 3 เดือนแล้ว แต่ดีเอสไอที่เป็นเจ้าของคดี ยังไม่เคย ไปสอบปากคำพยานของฝ่ายส.ต.รชต แม้แต่ปากเดียว!??
พี่สาวของทหารนายนี้ต้องมาร้องเรียน เพราะน้องชายติดคุกฟรีมานานหลายเดือน
เช่นเดียวกับนายกฤษณะและนายสุระชัย ซึ่งเปิดใจถึงวันที่ถูกจับว่ามีทหารตั้งด่านเรียกตรวจ ก่อนควบคุมตัวพาไปสอบสวนอย่างดุดัน และบังคับให้รับสารภาพ
ทั้งคู่ระบุว่าต้องยอมทำทุกอย่างที่สั่งเพราะกลัวตาย
ผลที่ตามมาก็คือทุกวันนี้ทั้ง 2 คนถูกจองจำอยู่ ในคุก
เชื่อว่าในเรือนจำทั่วประเทศมีเหยื่อแบบนี้อีกจำนวนมาก จึงเป็นการดีที่คณะกรรมการร่วมฯ จะเข้าไปสอบข้อเท็จจริง
โดยเฉพาะกับเหยื่อที่ผู้มีอำนาจทั้งทหาร ดีเอสไอ หรือกระทั่งตำรวจ ไม่ได้สอบสวนอย่างรอบด้าน มองเพียงว่าพวกนี้คือกลุ่มเสื้อแดง
จึงจงใจละเลยข้อเท็จจริง หรือถึงขั้นซุกข้อเท็จจริงเอาไว้ ต้องรีบช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด
เพราะเท่ากับส่งผู้บริสุทธิ์เข้าคุก!!!
คอลัมน์ เหล็กใน
แม้จะเหมือนช้าแต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไร เมื่อมีการตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างกรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ดีเอสไอ กรมราชทัณฑ์ ตำรวจ และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ เพื่อเข้าไปตรวจสอบในเรือนจำรวม 17 แห่งทั่วประเทศ
เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงผู้ชุมนุมเสื้อแดง หรือแม้กระทั่งคนไม่เกี่ยวข้องรวม 175 ราย ที่ถูกคุมขังหลังถูกจับในช่วงการชุมนุมของเสื้อแดง ว่าถูกต้องและชอบธรรมเพียงใด!??
เนื่องจากที่ผ่านมามีเสียงร้องเรียนของญาติและผู้เกี่ยว ข้องจำนวนมากว่า 'ทหาร'ที่ในช่วงชุมนุมมีอำนาจล้นฟ้าจากพ.ร.ก.ฉุกเฉิน กวาดต้อนคนจำนวนมากยัดห้องขังโดยไม่สอบข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน!??
ไม่กี่วันก่อน ได้เสนอเรื่องราวของเหยื่อหลายรายที่ถูกขังคุกโดยยังมีข้อสงสัย ไม่ว่าจะเป็น 'ส.ต.รชต วงศ์ยอด' หนึ่งในผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย ที่ดีเอสไอควบคุม และฝากขังไว้เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 23 ก.ค. ที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน
นายกฤษณะ ธัญชยพงศ์ และนายสุระชัย พริ้งพงศ์ ที่เข้าร่วมการชุมนุม แล้วถูกจับกุมศาลตัดสินจำคุกคนละ 1 ปี ตอนนี้อยู่ที่เรือนจำกลางคลองเปรม
ส.ต.รชต ถูกระบุว่าเป็นมือขวาของ'เสธ.แดง' โดย ดีเอสไอ อ้างว่ามีบทบาทอย่างมากระหว่างการชุมนุม!??
แต่ฝ่ายส.ต.รชต ซึ่งเข้าพบตำรวจหลังถูกออกหมายจับยืนยันว่าช่วงชุมนุม เขาฝึกอยู่ในค่ายทหารที่ปราจีนบุรี สลับกับการลงพื้นที่ภาคใต้ โดยมีหลักฐานทั้งหนังสือรับรองจากต้นสังกัด หลักฐานบันทึกการเข้าเวร และอื่นๆ
น่าตกใจว่าจากวันที่ถูกควบคุมตัวจนถึงวันนี้เกือบ 3 เดือนแล้ว แต่ดีเอสไอที่เป็นเจ้าของคดี ยังไม่เคย ไปสอบปากคำพยานของฝ่ายส.ต.รชต แม้แต่ปากเดียว!??
พี่สาวของทหารนายนี้ต้องมาร้องเรียน เพราะน้องชายติดคุกฟรีมานานหลายเดือน
เช่นเดียวกับนายกฤษณะและนายสุระชัย ซึ่งเปิดใจถึงวันที่ถูกจับว่ามีทหารตั้งด่านเรียกตรวจ ก่อนควบคุมตัวพาไปสอบสวนอย่างดุดัน และบังคับให้รับสารภาพ
ทั้งคู่ระบุว่าต้องยอมทำทุกอย่างที่สั่งเพราะกลัวตาย
ผลที่ตามมาก็คือทุกวันนี้ทั้ง 2 คนถูกจองจำอยู่ ในคุก
เชื่อว่าในเรือนจำทั่วประเทศมีเหยื่อแบบนี้อีกจำนวนมาก จึงเป็นการดีที่คณะกรรมการร่วมฯ จะเข้าไปสอบข้อเท็จจริง
โดยเฉพาะกับเหยื่อที่ผู้มีอำนาจทั้งทหาร ดีเอสไอ หรือกระทั่งตำรวจ ไม่ได้สอบสวนอย่างรอบด้าน มองเพียงว่าพวกนี้คือกลุ่มเสื้อแดง
จึงจงใจละเลยข้อเท็จจริง หรือถึงขั้นซุกข้อเท็จจริงเอาไว้ ต้องรีบช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด
เพราะเท่ากับส่งผู้บริสุทธิ์เข้าคุก!!!
เปิดหลักฐานทักษิณ “ถูกห้ามเข้าไปอยู่ในเยอรมัน”
หลังการรัฐประหาร 49 เป็นต้นมา อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ได้กลายเป็นผู้ลี้ภัยคดีทางการเมือง ตลอด4 ปีต้องร่อนเร่พเนจรไปตามประเทศต่างๆตั้งแต่อังกฤษ ดูไบ ฮ่องกง กัมพูชา มอนเตเนโกร หรือแม้แต่ในแอฟริกาหลายประเทศ จนล่าสุดก็มีอีกประเทศหนึ่งที่ถูกเผยขึ้นมาโดยนิตยสาร Foreign Policy ซึ่งอยู่ในเครือวอชิงตันโพสต์ (Washington Post) ได้ออกบทความ ”อดีตผู้นำที่เลว” (Bad Exes) เขียนโดย Joshua E.Keating ได้ออกมาระบุว่าอดีตนายกทักษิณได้เข้าไปพำนักในเยอรมันนับปีโดยใช้ชื่ออื่น
จากการตรวจสอบของ SIU พบว่าการเข้าไปพำนักในประเทศเยอรมันของอดีตนายกทักษิณได้เข้าไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2008 ซึงเป็นช่วงต้นรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ที่เวลานั้นซึ่งยังไม่มีนโยบายการไล่ล่าอดีตนายก โดยการใช้ เชงเก้นวีซ่า (Schengen visa) ที่ออกจากประเทศฝรั่งเศส ซึ่งวีซ่าประเภทนี้สามารถเดินทางเข้าและออกประเทศในสหภาพยุโรปได้ 15 ประเทศในยุโรปที่เป็นสมาชิกสหภาพยุโรปได้แก่ประเทศ เยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน สวีเดน เนเธอร์แลนด์ กรีซ ลักเซมเบิร์ก ไอซ์แลนด์ เป็นต้น โดยพำนักได้ตั้งแต่ 90 วัน ถึง 6 เดือน2
ทั้งนี้ จากการให้สัมภาษณ์ของเอกอัครราชทูตเยอรมันประจำประเทศไทย ฯพณฯ ฮาน ชูมัคเกอร์ (Hanns Schumacher) เมื่อวันที่ 11 ตุลาคมแก่สำนักข่าวรอยเตอร์ว่า ได้สอบถามหน่วยงานรัฐบาลท้องถิ่นในกรุงบอนน์ (Bonn) ซึ่งเป็นผู้อนุมัติการให้พำนักในกรุงบอนน์ ประเทศเยอรมันแก่อดีตนายกทักษิณ และได้มีการตอบกลับมาพบว่าทางรัฐบาลท้องถิ่นในกรุงบอนน์ (Bonn) ได้อนุมัติการเข้ามาพำนักให้แก่พตท.ทักษิณจริงตั้งแต่ปลายปี 2008 แล้ว โดยใช้ที่อยู่ของทนายชาวเยอรมันที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ได้ถูกรัฐบาลกลางของเยอรมันได้กดดันอย่างหนักจนในที่สุด พตท. ทักษิณก็ได้ออกจากเยอรมันเมื่อ 28 พฤษภาคม ปี 2009
ทางเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในกรุงบอนน์ออกมากล่าวว่า ในช่วงเวลาดังกล่าว3 ชื่อของอดีตนายกทักษิณไม่ได้อยู่ในรายชื่อผู้ต้องห้ามในการเข้ามายังประเทศเยอรมันแต่อย่างใด คาดว่าทางอดีตนายกทักษิณได้ให้ทนายความชาวเยอรมันยื่นเอกสารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ที่พำนักในเยอรมัน จำนวนเงินที่จะนำเข้ามาใช้ในประเทศ ตลอดจนใบรับรองจากหน่วยงานด้านยุติธรรมในเยอรมันว่าไม่มีประวัติอาชญากรรม จนทำให้สามารถเข้าไปพำนักในประเทศเยอรมันได้ซึ่งไม่น่าเกิน 6 เดือนตามรูปแบบของเชงเก้นวีซ่า (Schengen visa)
โดยระบบของการห้ามเข้าประเทศของผู้มีรายชื่อต้องห้ามนั้น รายชื่อผู้ที่ถูกห้ามเข้าประเทศเยอรมันจะต้องอยู่ในระบบฐานข้อมูลคนเข้าเมืองของกระทรวงการต่างประเทศโดยเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศต้องเป็นผู้กรอกลงในฐานข้อมูล ซึ่งย่อมเป็นคนละส่วนกับผู้ที่อนุมัติให้เข้ามาพำนักซึ่งเป็นส่วนของรัฐบาลท้องถิ่น เนื่องจากว่าประเทศเยอรมันได้แบ่งการปกครองออกเป็นมณฑลมีรัฐบาลท้องถิ่นเป็นของตนเองซึ่งมีอำนาจอนุมัติในระดับหนึ่งโดยไม่ต้องผ่านรัฐบาลกลาง และยิ่งใช้เชงเก้นวีซ่า (Schengen visa) ที่ออกจากประเทศฝรั่งเศสด้วยแล้วประกอบกับหลักฐานที่มีความน่าเชื่อถือ ย่อมไม่ยากที่จะผ่านการอนุมัติให้เข้ามาพำนักในกรุงบอนน์ได้
แต่ล่าสุดจากการให้สัมภาษณ์ของ ฯพณฯ ฮาน ชูมัคเกอร์ (Hanns Schumacher) แก่สำนักข่าวรอยเตอร์ได้บอกว่า ทางการเยอรมันได้แจ้งแก่ทนายที่ได้ให้ที่พำนักแก่อดีตนายกทักษิณจะถูกถอดใบอนุญาตและอาจมีความผิดกฎหมายถ้ายังให้อดีตนายกฯ พำนักอยู่ต่อไปและอาจถึงขั้นติดคุกก็เป็นได้
Germany Revokes Residence Permit for Thaksinการเข้าไปพำนักในประเทศต่างๆ ของอดีตนายกทักษิณโดยเฉพาะประเทศตะวันตก ต้องเผชิญกับแรงกดดันจากรัฐบาลของประเทศต่างๆ ตั้งแต่ไปอยู่ในประเทศอังกฤษในช่วงแรกๆ ก็ถูกรัฐบาลอังกฤษกดดันและถอดวีซ่าในการเข้าอังกฤษออกไป หลังจากเคลื่อนไหวทางการเมืองในเวลานั้น หรือช่วงที่ไปอยู่ในดูไบและมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่รุนแรงมากๆ ก็ถูกรัฐบาลของดูไบสั่งห้ามเคลื่อนไหวทางการเมือง ในรูปการนี้การเดินทางไปประเทศตะวันตกที่เป็นประชาธิปไตยเข้มข้นของอดีตนายกทักษิณกลับเป็นไปด้วยความลำบากพอสมควร ต้องเดินทางไปยังประเทศเกิดใหม่หลายประเทศแทนซึ่งยังไม่มีความสัมพันธ์ในการส่งผู้ร้ายข้ามแดนมายังประเทศไทย หรือเข้าไปพำนักในประเทศที่มีความสัมพันธ์ในเจ้าหน้าที่หรือนักการเมืองระดับสูงในรัฐบาลนั้นๆ เช่น ในรัสเซีย มอนเตเนโกร หรือบรูไน เป็นต้น
Germany revokes residence permit for Thaksin
Thailand's former prime minister, Thaksin Shinawatra, is no longer welcome in Germany. A
bureaucratic blunder had allowed him to reside legally in Bonn for half a year, despite his name
being on a blacklist.
Former Thai Prime Minister Thaksin Shinawatra spent six months almost unnoticed in the former German
capital Bonn.
Though declared a persona non grata, Thaksin managed to enter Germany on December 29, 2008 using
a Schengen visa issued in France. It allows a person to travel through much of the European Union on a
single visa.
Bonn authorities then issued the residence permit for Thaksin, who used his German lawyer's address.
Federal officials only learned about it in April and ordered it revoked.
"We asked Bonn to revoke the permit and they responded immediately," Hanns Schumacher, Germany's
ambassador to Thailand, told Reuters on Wednesday.
Bonn authorities said Thaksin's name had not been on a list of people barred from Germany and he had
presented all the necessary documents. This included a certificate from a German federal justice agency
saying he had no criminal record. He had also proved he had adequate funds to live and a valid passport.
Officials said the absence of his name from the list of barred persons was the result of a data-entry
oversight by staff of the German foreign ministry.
"We informed the lawyer that the permit was revoked and should Thaksin still be in Germany, his stay
would be illegal and he would face detention," Schumacher said.
Options are waning
The former telecoms tycoon, who led Thailand for close to six years, was ousted from Thailand in a
military coup in 2006. He was convicted in absentia of corruption and has fled a two-year jail term at
home.
Germany is the latest country to shun the former leader, who continues to roam the globe with a variety
of passports and elude Thai authorities who say they are trying to extradite him. Britain revoked his visa
last year.
Bangkok has sought extradition agreements with the United Arab Emirates and Hong Kong, where
Thaksin has spent time since fleeing the country while on bail. His current whereabouts are unknown.
The German newspaper Sueddeutsche Zeitung said the former leader was now traveling on a
Nicaraguan diplomatic passport. A Thai foreign ministry official said Thaksin would be arrested if he
returned to Thailand. His Thai passport has been revoked.
sac/Reuters/AP/dpa
จากการที่บทความของนายโจชัว คีตติ้งได้เขียนถึงอดีตนายกทักษิณล่าสุด โดยเฉพาะเรื่องการเข้าไปพำนักในเยอรมันและถูกห้ามเข้าไปพำนักในเยอรมันนั้นต้องถือว่าเป็นเกมส์ที่เหนือเกินการคาดเดายิ่งนัก เพราะเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องตั้งแต่ปลายปี 2008 จนถึงช่วงกลางปี 2009 ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นข่าวที่เงียบมากในเวลานั้น เพราะทุกคนหันไปให้ความสนใจเรื่องเสื้อแดงในเวลานั้นเป็นหลัก แต่กลับถูกออกมาเปิดเผยอีกครั้งและท่าทีตอบกลับของทักษิณในครั้งนี้กลับนิ่มนวลเป็นอย่างมาก ไม่มีการฟ้องร้องผู้ใด เพียงแต่จะเขียนจดหมายชี้แจงไปยังสำนักพิมพ์และผู้ขียนบทความเท่านั้น ไม่มีการออกมาตอบผ่านทางทวิตเตอร์เหมือนอย่างครั้งก่อนๆแต่อย่างใด
และเมื่อดูการเคลื่อนไหวของทางอดีตนายกทักษิณในเวลานี้กลับเงียบเชียบเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีการออกมาปรากฎตัวแต่อย่างใดแม้แต่ใน twitter ก็ตามที ประกอบกับการที่ นาย นพดล ปัทมะ กล้าออกมายื่นข้อเสนอเงินถึง 1 ล้านบาท ถ้าใครหาหลักฐานมาได้ ยิ่งเป็นที่น่าสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าเกมส์ต่อรองในครั้งนี้ จะไปจบลงที่ตรงไหนกันแน่และใครจะได้เงิน 1 ล้านนี้ไป ผู้ที่อยากได้เงินล้าน อาจต้องหาหลักฐานมายืนยันให้ชัดแจ้ง เพื่อตอบปัญหาข้อสงสัยต่างๆที่ผุดขึ้นมาในเวลานี้
- เข้าไปดูบทความอื่นของ Joshua E. Keating ได้ใน http://blog.foreignpolicy.com/jkeating [↩]
- สามารถเข้าไปดูรายละเอียดการสมัครSchengen visaได้ใน http://www.schengenvisa.cc/ [↩]
- เมื่อปี 2008 ซึ่งเป็นช่วงยื่นเข้าไปพำนักในเยอรมัน เป็นช่วงเปลี่ยนรัฐบาลจากรัฐบาลนายสมชายมาเป็นรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในช่วงนั้นยังไม่มีการไล่ล่าอดีตนายกทักษิณ [↩]
ที่มา Siam Intelligence Unit
วันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2553
สงครามพรรค
เลือกตั้งซ่อมสุราษฎร์ธานี..ดูจะเป็นเลือกตั้งซ่อม ธรรมดา แต่กลับไม่ธรรมดาขึ้นมา เพราะเมื่อระดับ สุเทพ เทือกสุบรรณ ลงสนามเองแล้วก็เป็นเดิมพันใหญ่ขนาดที่ ชวน หลีกภัย และอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังเห็นพ้องต้องกันให้ผู้สมัครต้องลาออกจากตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรีแถมยังกันท่าหากจะกลับมาเป็นรองนายกฯ อีกที ก็ต้องว่ากันอีกที
แต่ที่สาหัสที่สุดก็กับวาจาของ ชวน หลีกภัย ที่ตอบ คำถามนักข่าวเรื่องตัวสำรองนายกรัฐมนตรีว่า หากว่า สุเทพ เทือกสุบรรณ จะได้รับเป็นตัวเลือก ก็ต้องเป็นไข้หวัดตายยกพรรคซะก่อน
ก็เลยไม่รู้ว่า เลือกตั้งซ่อมหนนี้ พรรคประชาธิปัตย์ จะยังสนับสนุน สุเทพ เทือกสุบรรณ อย่างเก่าหรือเปล่า.. สานุศิษย์ของ ชวน หลีกภัย ในสุราษฎร์ จะยังเป็นหัวคะแนนให้กับ สุเทพ หรือเปล่า
ลาออกจากความเป็นผู้แทนของสุเทพ เทือกสุบรรณ หนที่แล้ว..สุเทพ เทือกสุบรรณ บอกว่า..จะได้เลิกระแวง ผมซะที ประโยคนี้ สุเทพ พูดให้ใครฟัง ชวน หลีกภัย หรืออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
กลับเข้ามาสู้เส้นทางนายกรัฐมนตรีของ สุเทพ เทือกสุบรรณ หนนี้..ปรารถนาสิ่งใดผู้จัดการรัฐบาล ที่เปิด ทางเก้าอี้นายกรัฐมนตรีให้กับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะสามารถผันตนเองเข้ามาสู่เก้าอี้ตัวนี้ได้หรือไม่
ทักษิณ ชินวัตร จะให้เก้าอี้นายกรัฐมนตรีกับใครระหว่าง สุเทพ เทือกสุบรรณ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ สนั่น ขจรประศาสน์ หากว่า พรรคเพื่อไทยจะเป็นผู้ชี้ขาด
ดังนั้น เลือกตั้งซ่อมคราวนี้ จึงมีความสำคัญมากกว่า เลือกตั้งธรรมดา สำหรับทุกพรรคและสำคัญที่สุดสำหรับพรรคภูมิใจไทย แนวร่วมข้างกายของ สุเทพ เทือกสุบรรณ.. กับขบวนการจัดสรรอำนาจนอกรัฐสภาของประเทศไทย
ถ้า สุเทพ แพ้เลือกตั้ง ก็เพราะถูกหักหลัง จากพรรคประชาธิปัตย์ด้วยกัน พรรคประชาธิปัตย์แตก ก็เป็น เรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ สุเทพ เทือกสุบรรณ แพ้เลือกตั้ง ที่สุราษฎร์ธานี เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมาย ความว่ามันจะเกิดขึ้นมาไม่ได้
ในวันที่ประชาธิปัตย์ กำลังระอุด้วยไฟแห่งความแตกแยกแต่ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ..วันเวลาของ สุเทพ เทือกสุบรรณ กับพรรคประชาธิปัตย์ได้สิ้นสุดลงแล้วเป็นไปตามอาถรรพ์ของพรรคประชาธิปัตย์ที่ว่าเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ไม่เคยเป็นหัวหน้าและไม่ เคยจบสวย
ที่มา.สยามธุรกิจ
แต่ที่สาหัสที่สุดก็กับวาจาของ ชวน หลีกภัย ที่ตอบ คำถามนักข่าวเรื่องตัวสำรองนายกรัฐมนตรีว่า หากว่า สุเทพ เทือกสุบรรณ จะได้รับเป็นตัวเลือก ก็ต้องเป็นไข้หวัดตายยกพรรคซะก่อน
ก็เลยไม่รู้ว่า เลือกตั้งซ่อมหนนี้ พรรคประชาธิปัตย์ จะยังสนับสนุน สุเทพ เทือกสุบรรณ อย่างเก่าหรือเปล่า.. สานุศิษย์ของ ชวน หลีกภัย ในสุราษฎร์ จะยังเป็นหัวคะแนนให้กับ สุเทพ หรือเปล่า
ลาออกจากความเป็นผู้แทนของสุเทพ เทือกสุบรรณ หนที่แล้ว..สุเทพ เทือกสุบรรณ บอกว่า..จะได้เลิกระแวง ผมซะที ประโยคนี้ สุเทพ พูดให้ใครฟัง ชวน หลีกภัย หรืออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
กลับเข้ามาสู้เส้นทางนายกรัฐมนตรีของ สุเทพ เทือกสุบรรณ หนนี้..ปรารถนาสิ่งใดผู้จัดการรัฐบาล ที่เปิด ทางเก้าอี้นายกรัฐมนตรีให้กับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะสามารถผันตนเองเข้ามาสู่เก้าอี้ตัวนี้ได้หรือไม่
ทักษิณ ชินวัตร จะให้เก้าอี้นายกรัฐมนตรีกับใครระหว่าง สุเทพ เทือกสุบรรณ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ สนั่น ขจรประศาสน์ หากว่า พรรคเพื่อไทยจะเป็นผู้ชี้ขาด
ดังนั้น เลือกตั้งซ่อมคราวนี้ จึงมีความสำคัญมากกว่า เลือกตั้งธรรมดา สำหรับทุกพรรคและสำคัญที่สุดสำหรับพรรคภูมิใจไทย แนวร่วมข้างกายของ สุเทพ เทือกสุบรรณ.. กับขบวนการจัดสรรอำนาจนอกรัฐสภาของประเทศไทย
ถ้า สุเทพ แพ้เลือกตั้ง ก็เพราะถูกหักหลัง จากพรรคประชาธิปัตย์ด้วยกัน พรรคประชาธิปัตย์แตก ก็เป็น เรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ สุเทพ เทือกสุบรรณ แพ้เลือกตั้ง ที่สุราษฎร์ธานี เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมาย ความว่ามันจะเกิดขึ้นมาไม่ได้
ในวันที่ประชาธิปัตย์ กำลังระอุด้วยไฟแห่งความแตกแยกแต่ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ..วันเวลาของ สุเทพ เทือกสุบรรณ กับพรรคประชาธิปัตย์ได้สิ้นสุดลงแล้วเป็นไปตามอาถรรพ์ของพรรคประชาธิปัตย์ที่ว่าเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ไม่เคยเป็นหัวหน้าและไม่ เคยจบสวย
ที่มา.สยามธุรกิจ
ภท.ม้าตีนต้นถึงเวลา ‘3พี’ เอาคืน
การเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อแผ่นดิน ภายใต้การนำทัพของ “3P” ที่อักษร “พ” นำหน้าแกนนำ ประกอบไปด้วย พินิจ จารุสมบัติ, ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ และว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี ได้นำมาซึ่งความสั่นไหวทาง การเมืองที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะ กระแส “การจับขั้วรัฐบาลใหม่” ที่ถูกยึดโยงกับการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์
สอดรับกับอาการเคลื่อนไหวของมติพรรคประชาธิปัตย์ที่ส่ง “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อมส.ส.สุราษฎร์ธานี อย่างมีนัยสำคัญ บ้างวิเคราะห์ไปว่าเป็นการ “แต่งตัวนายกฯ สำรอง” ทางกลับกันก็คือการ “ฆ่าตัดตอน” สายสัมพันธ์ที่ดูจะสุก งอมจนออกนอกหน้าระหว่าง “สุเทพ” และ “เนวิน ชิดชอบ” แกนนำพรรคภูมิใจไทย
ชั่วโมงสุญญากาศระหว่างที่นายกฯ อภิสิทธิ์ปฏิบัติภารกิจอยู่ในต่างแดน ณ กรุงบรัสเซลส์ กระแสการจับขั้วรัฐบาล ใหม่ดูช่างคึกคักเป็นพิเศษ โดยแกนนำ พรรคเพื่อแผ่นดินต่างดาหน้าออกมาแสดงจุดยืนและท่าทีในการร่วมรัฐบาล ประชาธิปัตย์อย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา
ไล่เรียงจาก ธีระทัศน์ เตียวเจริญโสภา ส.ส.สุรินทร์ หัวหน้ากลุ่มสุรินทร์ พรรคเพื่อแผ่นดิน วิเคราะห์พร้อมตอกย้ำกรณีพรรคประชาธิปัตย์ไม่ถูกยุบ นายกรัฐมนตรีคงไม่เกรงใจพรรคภูมิใจไทย อีกต่อไปแล้ว และอาจ ดึงพรรคเพื่อแผ่นดิน เข้าร่วมรัฐบาลอีกครั้งว่า เรื่องนี้นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน เคยให้สัมภาษณ์ ชัดเจนแล้วว่าจะไม่พายเรือให้โจรนั่ง ดังนั้น ถ้ารัฐบาลปรับภูมิใจไทยออก ก็เป็นไปได้ว่าเพื่อแผ่นดินจะเข้าร่วมรัฐบาลอีกครั้ง
“พวกเรามีมติไม่ไว้วางใจ 2 รัฐมนตรีของภูมิใจไทย จนถูกปรับออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ดังนั้น ถ้ารัฐมนตรีของภูมิใจไทยยังอยู่ร่วมรัฐบาล แล้วเราจะไปร่วมรัฐบาล ได้อย่างไร ถ้ารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ปรับ ครม.เพื่อให้มีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น ก็คงจะอยู่ครบเทอมยาก โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแต่งตั้งปลัด การสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอหรือแม้ แต่เรื่องการเช่าซื้อคอมพ์ฉาว ชาวบ้าน ก็วิจารณ์กันมาก”
ในขณะที่ตำบลกระสุนตกอย่าง พรรคภูมิใจไทย “อนุทิน ชาญวีรกูล” แกนนำคนสำคัญ ชิงออกมาตัดกระแส ร้อนแรงในการจับขั้วรัฐบาลใหม่ทันควัน พร้อมถามหาสปิริตพรรคประชาธิปัตย์ หากปรับพรรคภูมิใจไทยออกจากพรรคร่วมรัฐบาล นัยว่าจะตอบคำถาม สังคมได้อย่างไร พร้อมยืนยันว่า ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ยังคงแน่นแฟ้น ไม่มีปัญหาอะไรบ่งชี้ว่าจะต้องปรับภูมิใจไทยออกจากรัฐบาล ขณะเดียว กัน ยังมั่นใจว่า “ปู่จิ้น” จะไม่ถูกเตะตัด ขาตกเก้าอี้ มท.1 ตามข้อเรียกร้องของ พรรคเพื่อแผ่นดิน
ดูเหมือนว่า ความอหังการของ ภูมิใจไทยที่ร้อนแรงจะลดอุณหภูมิอย่างฉับพลัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ สาทิตย์ วงศ์หนองเตย แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ออกมาสอดรับความเห็นจากพรรคเพื่อแผ่นดิน โดยยอมรับว่ารัฐบาลต้องการเสียงเพิ่ม
มวยชกกัน 12 ยก ยกต้นๆ 1-7 ดูเหมือนว่าพรรคภูมิใจไทยที่มีกุนซือ ใหญ่ชักใย อย่างเนวิน ชิดชอบ ที่แอบ แย่งซีนและฉลาดในการฉีกหน้าพรรค แกนนำรัฐบาล โดยมองข้ามหัวนายกฯ ทั้งเรื่องการแต่งตั้ง ผบ.ตร.ที่ผ่านมา และการเปิดศึกงัดข้อแสดงพลัง จน นายกฯ อภิสิทธิ์กลายเป็นเด็กในโอวาท ของเนวินไปเสียฉิบ
ทว่ายืนระยะแล้วยกปลาย เราอาจได้เห็นอาการแผ่วของพรรคภูมิใจไทยที่อาจตกที่นั่งลำบากเป็น “ศัตรูกับ ทุกพรรคการเมือง” ดังการวิเคราะห์ของ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ก็เป็นได้
สอดรับกับอาการเคลื่อนไหวของมติพรรคประชาธิปัตย์ที่ส่ง “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อมส.ส.สุราษฎร์ธานี อย่างมีนัยสำคัญ บ้างวิเคราะห์ไปว่าเป็นการ “แต่งตัวนายกฯ สำรอง” ทางกลับกันก็คือการ “ฆ่าตัดตอน” สายสัมพันธ์ที่ดูจะสุก งอมจนออกนอกหน้าระหว่าง “สุเทพ” และ “เนวิน ชิดชอบ” แกนนำพรรคภูมิใจไทย
ชั่วโมงสุญญากาศระหว่างที่นายกฯ อภิสิทธิ์ปฏิบัติภารกิจอยู่ในต่างแดน ณ กรุงบรัสเซลส์ กระแสการจับขั้วรัฐบาล ใหม่ดูช่างคึกคักเป็นพิเศษ โดยแกนนำ พรรคเพื่อแผ่นดินต่างดาหน้าออกมาแสดงจุดยืนและท่าทีในการร่วมรัฐบาล ประชาธิปัตย์อย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา
ไล่เรียงจาก ธีระทัศน์ เตียวเจริญโสภา ส.ส.สุรินทร์ หัวหน้ากลุ่มสุรินทร์ พรรคเพื่อแผ่นดิน วิเคราะห์พร้อมตอกย้ำกรณีพรรคประชาธิปัตย์ไม่ถูกยุบ นายกรัฐมนตรีคงไม่เกรงใจพรรคภูมิใจไทย อีกต่อไปแล้ว และอาจ ดึงพรรคเพื่อแผ่นดิน เข้าร่วมรัฐบาลอีกครั้งว่า เรื่องนี้นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน เคยให้สัมภาษณ์ ชัดเจนแล้วว่าจะไม่พายเรือให้โจรนั่ง ดังนั้น ถ้ารัฐบาลปรับภูมิใจไทยออก ก็เป็นไปได้ว่าเพื่อแผ่นดินจะเข้าร่วมรัฐบาลอีกครั้ง
“พวกเรามีมติไม่ไว้วางใจ 2 รัฐมนตรีของภูมิใจไทย จนถูกปรับออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ดังนั้น ถ้ารัฐมนตรีของภูมิใจไทยยังอยู่ร่วมรัฐบาล แล้วเราจะไปร่วมรัฐบาล ได้อย่างไร ถ้ารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ปรับ ครม.เพื่อให้มีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น ก็คงจะอยู่ครบเทอมยาก โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแต่งตั้งปลัด การสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอหรือแม้ แต่เรื่องการเช่าซื้อคอมพ์ฉาว ชาวบ้าน ก็วิจารณ์กันมาก”
ในขณะที่ตำบลกระสุนตกอย่าง พรรคภูมิใจไทย “อนุทิน ชาญวีรกูล” แกนนำคนสำคัญ ชิงออกมาตัดกระแส ร้อนแรงในการจับขั้วรัฐบาลใหม่ทันควัน พร้อมถามหาสปิริตพรรคประชาธิปัตย์ หากปรับพรรคภูมิใจไทยออกจากพรรคร่วมรัฐบาล นัยว่าจะตอบคำถาม สังคมได้อย่างไร พร้อมยืนยันว่า ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ยังคงแน่นแฟ้น ไม่มีปัญหาอะไรบ่งชี้ว่าจะต้องปรับภูมิใจไทยออกจากรัฐบาล ขณะเดียว กัน ยังมั่นใจว่า “ปู่จิ้น” จะไม่ถูกเตะตัด ขาตกเก้าอี้ มท.1 ตามข้อเรียกร้องของ พรรคเพื่อแผ่นดิน
ดูเหมือนว่า ความอหังการของ ภูมิใจไทยที่ร้อนแรงจะลดอุณหภูมิอย่างฉับพลัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ สาทิตย์ วงศ์หนองเตย แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ออกมาสอดรับความเห็นจากพรรคเพื่อแผ่นดิน โดยยอมรับว่ารัฐบาลต้องการเสียงเพิ่ม
มวยชกกัน 12 ยก ยกต้นๆ 1-7 ดูเหมือนว่าพรรคภูมิใจไทยที่มีกุนซือ ใหญ่ชักใย อย่างเนวิน ชิดชอบ ที่แอบ แย่งซีนและฉลาดในการฉีกหน้าพรรค แกนนำรัฐบาล โดยมองข้ามหัวนายกฯ ทั้งเรื่องการแต่งตั้ง ผบ.ตร.ที่ผ่านมา และการเปิดศึกงัดข้อแสดงพลัง จน นายกฯ อภิสิทธิ์กลายเป็นเด็กในโอวาท ของเนวินไปเสียฉิบ
ทว่ายืนระยะแล้วยกปลาย เราอาจได้เห็นอาการแผ่วของพรรคภูมิใจไทยที่อาจตกที่นั่งลำบากเป็น “ศัตรูกับ ทุกพรรคการเมือง” ดังการวิเคราะห์ของ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ก็เป็นได้
ปรับพฤติกรรมแหล่งข่าวทางการเมือง
กล่าวกันว่า สิ่งที่คุณมองเห็น สิ่งที่คุณได้ยิน อาจไม่ใช่ความจริงเหมือนกับที่เห็นและได้ยินเสมอไป มันอาจเป็นความจริงทั้งหมด หรือเป็นเพียงความจริงเพียงครึ่งเดียวก็ได้ หรือเป็นความจริงฉาบหน้าอยู่ แต่ข้างหลังอาจเป็นสิ่งโกหกหลอกลวง
ด้วยเหตุนี้ วงการข่าวกรองจึงให้ความสำคัญกับการประเมินค่าแหล่งข่าวบุคคลอย่างมาก โดยเฉพาะการประเมินความน่าเชื่อถือของแหล่งข่าว อาทิ แหล่งข่าวเข้าถึงข่าวโดยตรงหรือโดยอ้อม เขาได้พบเห็นมาด้วยตนเองหรือได้ฟังมากี่ต่อ รายงานที่ผ่านมาถูกต้องมากน้อยเพียงใด หรือนี่เป็นรายงานครั้งแรก เจ้าหน้าที่คุมข่ายจะบันทึกผลงานที่ผ่านมาทุกครั้งเพื่อประโยชน์ในการประเมินความน่าเชื่อถือของแหล่งข่าว
คนไทยผู้บริโภคข่าวทุกวันนี้อยู่ท่ามกลางข่าวปล่อย ข่าวลือ ข่าวลวง โดยเฉพาะจากนักการเมือง เพราะฉนั้น สิ่งที่นักการเมืองพูดอาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมดอย่างที่เราได้ยิน ข่าวนั้นอาจเป็นความจริงครึ่งหนึ่ง ความเท็จครึ่งหนึ่ง หรือเป็นข่าวลวง ข่าวปล่อยเพื่อให้เราหลงไปตามกระแสหรือเป้าหมายที่พวกเขาต้องการ ภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งสองสามปีที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ มีข่าวปล่อยมากมายจากนักการเมืองทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล กลุ่มขัดแย้งทางการเมืองนอกสภา ฯลฯ จนทำให้คนไทยสับสนไปหมดว่าข่าวไหนจริงข่าวไหนลวง ข่าวจริงกี่เปอร์เซ็นต์และข่าวลวงกี่เปอร์เซ็นต์
การประเมินความน่าเชื่อถือของแหล่งข่าวหรือผู้ให้ข่าวนั้น ไม่ใช่พูดวันนี้แล้วประเมินกันได้เลย แต่ต้องทำอย่างเป็นระบบ แหล่งข่าวบางคนพูดแล้วเชื่อถือได้ เพราะที่ผ่านมา คำพูดนั้นปรากฎว่าเป็นจริงทั้งหมดหรือเป็นส่วนใหญ่ หรือพิศูจน์ในภายหลังแล้วว่าเป็นความจริง แต่นักการเมืองอีกหลายคนเป็นแหล่งข่าวที่เชื่อถือไม่ได้ คำพูดที่ผ่านมามีทั้งโกหกหลอกลวงที่สังคมพิศูจน์ได้ ดังนั้น คำพูดของนักการเมืองประเภทนี้จึงไม่มีค่าแก่การรับฟังเลย เพราะเป็นคำพูดเท็จ หรือจริงครึ่งเท็จครึ่ง เป็นข่าวปล่อย ข่าวลวง เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตนและพวกเท่านั้น
แต่สื่อหลายสำนักก็ยังยินดีที่จะรายงานในสิ่งที่รู้ทั้งรู้ว่าเป็นข่าวเท็จ ข่าวปล่อย ข่าวลวง ไม่มีค่าแก่การรับฟัง โดยอ้างหลักการว่าต้องมีความเป็นกลาง ด้วยการรายงานทั้งสองด้านทั้งที่สื่อควรนำเสนอความจริงเท่านั้นไปยังผู้บริโภคข่าว สิ่งหนึ่งที่สื่อควรตระหนักก็คือ สื่อไม่ใช่เป็นตัวกลางในการแพร่กระจายข่าวเท็จ ข่าวปล่อย ข่าวลวง ไปยังประชาชนโดยอ้างว่าเพื่อให้ประชาชนใช้วิจารณญานในการตัดสินด้วยตนเองว่าควรจะเชื่อใคร เพราะไม่ใช่ทุกคนที่สามารถวิเคราะห์แยกแยะว่าอะไรถูกอะไรผิดได้ ดังนั้น ประชาชนส่วนหนึ่งจึงอาจตกเป็นเหยื่อของนักการเมืองไปด้วย
มองอีกด้านหนึ่ง ก็เหมือนกับเป็นการส่งเสริมให้นักการเมืองบางคนใช้ประโยชน์จากสื่อช่วยโฆษณาประชาสัมพันธ์ตัวเอง ดังจะเห็นว่า นักการเมืองบางคนออกข่าวรายวันเพื่อแย่งพื้นที่ข่าว บางคนมีข่าวได้ทุกวันโดยขอให้เป็นข่าวแค่ย่อหน้าเดียวก็ยังดี ทั้งที่พื้นที่ข่าวบนสื่อ ไม่ว่าจะเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อวิทยุ สื่อโทรทัศน์ก็ดีมีคุณค่าอย่างยิ่งที่ควรบรรจุข่าวที่มีเนื้อหาสาระเป็นประโยชน์กับผู้บริโภคข่าวมากกว่า
ผู้สื่อข่าวมีหน้าที่ต้องรายงานข่าวเข้าไปยังกองบรรณาธิการ ผู้สื่อข่าวบางรายได้รับคำสั่งว่าต้องรายงานข่าววันละกี่ชิ้น ซึ่งอาจเป็นกลยุทธหนึ่งของกองบรรณาธิการที่ต้องการกระตุ้นให้ผู้สื่อข่าวตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่ดูเหมือนว่านักข่าวจะกลัวมากที่สุดคือการตกข่าว เพราะอาจถูกตำหนิจากบรรณาธิการได้ แม้ตระหนักดีว่าข่าวนั้นอาจไม่มีคุณค่าทางการข่าวหรือมีประโยชน์ต่อประชาชนแต่อย่างใด อีกทั้งแหล่งข่าวก็เป็นคนที่เชื่อถือไม่ได้ แต่ถ้าตัวเองไม่ส่ง เพื่อนสำนักอื่นก็ส่ง ดีไม่ดีตนเองอาจถูกตำหนิว่าตกข่าวเสียอีก จึงผลักให้เป็นภาระของกองบรรณาธิการซึ่งทำหน้าที่คัดเลือกข่าวนำเสนอต่อประชาชนเอง
สื่อโทรทัศน์เสรีแห่งหนึ่งได้ปรับวิธีการนำเสนอข่าวนักการเมืองบางคนที่มีพฤติกรรมพูดจาเชื่อถือไม่ได้ พิธีกรจะสรุปคำพูดของคน ๆ นั้นแบบสั้น ๆ เช่นเดียวกับคู่กรณี และปล่อยให้มีภาพข่าวแหล่งข่าวอ้าปากพูดพะงาบ ๆ โดยไม่มีเสียง เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อของนักการเมืองบางคน ขณะเดียวกันก็ไม่ตกข่าวด้วย นี่เป็นวิธีการหนึ่งในการสั่งสอนหรือช่วยพัฒนานักการเมือง ถ้าใครพูดไม่ดีก็ไม่ต้องเสนอข่าว
ถ้าสื่อทั้งหลายร่วมมือร่วมใจกันในการช่วยพัฒนาแหล่งข่าวให้เป็นบุคคลที่มีคุณภาพขึ้น โดยเลือกที่จะสัมภาษณ์บุคคลที่คิดว่ามีคุณค่าเพียงพอ มีความน่าเชื่อถือได้ ข่าวที่ออกจากปากแหล่งข่าวมีประโยชน์ต่อสังคม โดยปฏิเสธที่จะตกเป็นเหยื่อของนักการเมืองบางประเภทที่มุ่งแต่จะเป็นข่าวทุกวันหรือมุ่งยึดพื้นที่ข่าวเพื่อหาเสียงหรือให้ประชาชนจำชื่อได้ แต่ข่าวที่ได้นั้นไม่มีคุณค่าเพียงพอต่อการรับฟังเลยแม้แต่น้อย เท่ากับเป็นการสั่งสอนให้แหล่งข่าวตระหนักรู้ว่าต้องพัฒนาตัวอย่างไรบ้างหากต้องกาเป็นข่าว
สื่อบางรายแย้งว่า หากไม่เสนอคำพูดของแหล่งข่าวแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าแหล่งข่าวโกหก ซึ่งเป็นความจริงส่วนหนึ่ง แต่ถ้า แหล่งข่าวคนนั้นสื่อนำเสนอหลายครั้งแล้วและพิศูจน์ได้ว่า เขาพูดเท็จบ้างจริงบ้างเป็นประจำ แล้วสื่อยังจะตกเป็นเครื่องมือให้นักการเมืองแสวงประโยชน์อีกหรือ
ประชาชนกลุ่มหนึ่งได้เริ่มปรับบทบาทของตนในการแซงชั่นแหล่งข่าวประเภทนี้ หลายคนใช้วิธีปิดโทรทัศน์พอเห็นหน้านักการเมืองคนนี้ทางโทรทัศน์ หรือเปลี่ยนไปดูช่องอื่นทันทีเพราะทนไม่ได้กับคำพูดยะโสโอหัง หรือทนเห็นหน้าตาอัปลักษณ์ของแหล่งข่าวไม่ได้ บางคนใช้วิธีปิดเสียงทันที เพราะรู้แล้วว่าแหล่งข่าวจะพูดอะไรบนพฤติกรรมที่ซ้ำซาก หรือรู้ว่าจะด่าอะไรกันระหว่างฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาล บางคนยอมรับว่าไม่ค่อยได้เดูการถ่ายทอดการประชุมสภาเพราะเห็นพฤติกรรมนักการเมืองบางคนแล้วทนไม่ไหว หรือถ้าดูก็ใช้วิธีลุกเข้าห้องน้ำหรือปิดเสียงชั่วคราวแทน เพื่อไม่ให้เสียสุขภาพจิตที่ต้องมาฟังหรือทนเห็นพฤติกรรมของนักการเมืองบางคน
เครือข่ายสังคมผ่านสื่ออีเล็คโทรนิกส์ได้เริ่มมีบทบาทในการแชงชั่นแหล่งข่าวการเมืองประเภทนี้มากขึ้น โดยมีการส่งข่าวถึงกันในเครือข่ายทั้งผ่านทางทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ค เอสเอ็มเอส. ดังนั้น สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อวิทยุและโทรทัศน์ ซึ่งเป็นสื่อพื้นฐานและเป็นสื่อตั้งต้นควรเริ่มคิดได้แล้ว
ภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งในปัจจุบัน ที่เป็นการต่อสู้อย่างแหลมคม ทั้งสองฝ่ายต่างงัดเอากลยุทธทุกรูปแบบมาทำ “สงครามข่าวสาร” ซึ่งกันและกันโดยมีสื่อและประชาชนเป็นเครื่องมือ ดังนั้น สื่อที่นำเสนอข่าวและประชาชนผู้บริโภคข่าวจึงต้องตั้งสติ ใช้ดุลยพินิจและวิจารณญานในการบริโภคข้อมูลข่าวสาร ประชาชนผู้บริโภคข่าวต้องไม่ตกเป็นเหยื่อและต้องรู้ทันเกมทางการเมืองของนักการเมือง
ที่มา.ไทยนิวส์
ด้วยเหตุนี้ วงการข่าวกรองจึงให้ความสำคัญกับการประเมินค่าแหล่งข่าวบุคคลอย่างมาก โดยเฉพาะการประเมินความน่าเชื่อถือของแหล่งข่าว อาทิ แหล่งข่าวเข้าถึงข่าวโดยตรงหรือโดยอ้อม เขาได้พบเห็นมาด้วยตนเองหรือได้ฟังมากี่ต่อ รายงานที่ผ่านมาถูกต้องมากน้อยเพียงใด หรือนี่เป็นรายงานครั้งแรก เจ้าหน้าที่คุมข่ายจะบันทึกผลงานที่ผ่านมาทุกครั้งเพื่อประโยชน์ในการประเมินความน่าเชื่อถือของแหล่งข่าว
คนไทยผู้บริโภคข่าวทุกวันนี้อยู่ท่ามกลางข่าวปล่อย ข่าวลือ ข่าวลวง โดยเฉพาะจากนักการเมือง เพราะฉนั้น สิ่งที่นักการเมืองพูดอาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมดอย่างที่เราได้ยิน ข่าวนั้นอาจเป็นความจริงครึ่งหนึ่ง ความเท็จครึ่งหนึ่ง หรือเป็นข่าวลวง ข่าวปล่อยเพื่อให้เราหลงไปตามกระแสหรือเป้าหมายที่พวกเขาต้องการ ภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งสองสามปีที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ มีข่าวปล่อยมากมายจากนักการเมืองทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล กลุ่มขัดแย้งทางการเมืองนอกสภา ฯลฯ จนทำให้คนไทยสับสนไปหมดว่าข่าวไหนจริงข่าวไหนลวง ข่าวจริงกี่เปอร์เซ็นต์และข่าวลวงกี่เปอร์เซ็นต์
การประเมินความน่าเชื่อถือของแหล่งข่าวหรือผู้ให้ข่าวนั้น ไม่ใช่พูดวันนี้แล้วประเมินกันได้เลย แต่ต้องทำอย่างเป็นระบบ แหล่งข่าวบางคนพูดแล้วเชื่อถือได้ เพราะที่ผ่านมา คำพูดนั้นปรากฎว่าเป็นจริงทั้งหมดหรือเป็นส่วนใหญ่ หรือพิศูจน์ในภายหลังแล้วว่าเป็นความจริง แต่นักการเมืองอีกหลายคนเป็นแหล่งข่าวที่เชื่อถือไม่ได้ คำพูดที่ผ่านมามีทั้งโกหกหลอกลวงที่สังคมพิศูจน์ได้ ดังนั้น คำพูดของนักการเมืองประเภทนี้จึงไม่มีค่าแก่การรับฟังเลย เพราะเป็นคำพูดเท็จ หรือจริงครึ่งเท็จครึ่ง เป็นข่าวปล่อย ข่าวลวง เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตนและพวกเท่านั้น
แต่สื่อหลายสำนักก็ยังยินดีที่จะรายงานในสิ่งที่รู้ทั้งรู้ว่าเป็นข่าวเท็จ ข่าวปล่อย ข่าวลวง ไม่มีค่าแก่การรับฟัง โดยอ้างหลักการว่าต้องมีความเป็นกลาง ด้วยการรายงานทั้งสองด้านทั้งที่สื่อควรนำเสนอความจริงเท่านั้นไปยังผู้บริโภคข่าว สิ่งหนึ่งที่สื่อควรตระหนักก็คือ สื่อไม่ใช่เป็นตัวกลางในการแพร่กระจายข่าวเท็จ ข่าวปล่อย ข่าวลวง ไปยังประชาชนโดยอ้างว่าเพื่อให้ประชาชนใช้วิจารณญานในการตัดสินด้วยตนเองว่าควรจะเชื่อใคร เพราะไม่ใช่ทุกคนที่สามารถวิเคราะห์แยกแยะว่าอะไรถูกอะไรผิดได้ ดังนั้น ประชาชนส่วนหนึ่งจึงอาจตกเป็นเหยื่อของนักการเมืองไปด้วย
มองอีกด้านหนึ่ง ก็เหมือนกับเป็นการส่งเสริมให้นักการเมืองบางคนใช้ประโยชน์จากสื่อช่วยโฆษณาประชาสัมพันธ์ตัวเอง ดังจะเห็นว่า นักการเมืองบางคนออกข่าวรายวันเพื่อแย่งพื้นที่ข่าว บางคนมีข่าวได้ทุกวันโดยขอให้เป็นข่าวแค่ย่อหน้าเดียวก็ยังดี ทั้งที่พื้นที่ข่าวบนสื่อ ไม่ว่าจะเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อวิทยุ สื่อโทรทัศน์ก็ดีมีคุณค่าอย่างยิ่งที่ควรบรรจุข่าวที่มีเนื้อหาสาระเป็นประโยชน์กับผู้บริโภคข่าวมากกว่า
ผู้สื่อข่าวมีหน้าที่ต้องรายงานข่าวเข้าไปยังกองบรรณาธิการ ผู้สื่อข่าวบางรายได้รับคำสั่งว่าต้องรายงานข่าววันละกี่ชิ้น ซึ่งอาจเป็นกลยุทธหนึ่งของกองบรรณาธิการที่ต้องการกระตุ้นให้ผู้สื่อข่าวตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่ดูเหมือนว่านักข่าวจะกลัวมากที่สุดคือการตกข่าว เพราะอาจถูกตำหนิจากบรรณาธิการได้ แม้ตระหนักดีว่าข่าวนั้นอาจไม่มีคุณค่าทางการข่าวหรือมีประโยชน์ต่อประชาชนแต่อย่างใด อีกทั้งแหล่งข่าวก็เป็นคนที่เชื่อถือไม่ได้ แต่ถ้าตัวเองไม่ส่ง เพื่อนสำนักอื่นก็ส่ง ดีไม่ดีตนเองอาจถูกตำหนิว่าตกข่าวเสียอีก จึงผลักให้เป็นภาระของกองบรรณาธิการซึ่งทำหน้าที่คัดเลือกข่าวนำเสนอต่อประชาชนเอง
สื่อโทรทัศน์เสรีแห่งหนึ่งได้ปรับวิธีการนำเสนอข่าวนักการเมืองบางคนที่มีพฤติกรรมพูดจาเชื่อถือไม่ได้ พิธีกรจะสรุปคำพูดของคน ๆ นั้นแบบสั้น ๆ เช่นเดียวกับคู่กรณี และปล่อยให้มีภาพข่าวแหล่งข่าวอ้าปากพูดพะงาบ ๆ โดยไม่มีเสียง เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อของนักการเมืองบางคน ขณะเดียวกันก็ไม่ตกข่าวด้วย นี่เป็นวิธีการหนึ่งในการสั่งสอนหรือช่วยพัฒนานักการเมือง ถ้าใครพูดไม่ดีก็ไม่ต้องเสนอข่าว
ถ้าสื่อทั้งหลายร่วมมือร่วมใจกันในการช่วยพัฒนาแหล่งข่าวให้เป็นบุคคลที่มีคุณภาพขึ้น โดยเลือกที่จะสัมภาษณ์บุคคลที่คิดว่ามีคุณค่าเพียงพอ มีความน่าเชื่อถือได้ ข่าวที่ออกจากปากแหล่งข่าวมีประโยชน์ต่อสังคม โดยปฏิเสธที่จะตกเป็นเหยื่อของนักการเมืองบางประเภทที่มุ่งแต่จะเป็นข่าวทุกวันหรือมุ่งยึดพื้นที่ข่าวเพื่อหาเสียงหรือให้ประชาชนจำชื่อได้ แต่ข่าวที่ได้นั้นไม่มีคุณค่าเพียงพอต่อการรับฟังเลยแม้แต่น้อย เท่ากับเป็นการสั่งสอนให้แหล่งข่าวตระหนักรู้ว่าต้องพัฒนาตัวอย่างไรบ้างหากต้องกาเป็นข่าว
สื่อบางรายแย้งว่า หากไม่เสนอคำพูดของแหล่งข่าวแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าแหล่งข่าวโกหก ซึ่งเป็นความจริงส่วนหนึ่ง แต่ถ้า แหล่งข่าวคนนั้นสื่อนำเสนอหลายครั้งแล้วและพิศูจน์ได้ว่า เขาพูดเท็จบ้างจริงบ้างเป็นประจำ แล้วสื่อยังจะตกเป็นเครื่องมือให้นักการเมืองแสวงประโยชน์อีกหรือ
ประชาชนกลุ่มหนึ่งได้เริ่มปรับบทบาทของตนในการแซงชั่นแหล่งข่าวประเภทนี้ หลายคนใช้วิธีปิดโทรทัศน์พอเห็นหน้านักการเมืองคนนี้ทางโทรทัศน์ หรือเปลี่ยนไปดูช่องอื่นทันทีเพราะทนไม่ได้กับคำพูดยะโสโอหัง หรือทนเห็นหน้าตาอัปลักษณ์ของแหล่งข่าวไม่ได้ บางคนใช้วิธีปิดเสียงทันที เพราะรู้แล้วว่าแหล่งข่าวจะพูดอะไรบนพฤติกรรมที่ซ้ำซาก หรือรู้ว่าจะด่าอะไรกันระหว่างฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาล บางคนยอมรับว่าไม่ค่อยได้เดูการถ่ายทอดการประชุมสภาเพราะเห็นพฤติกรรมนักการเมืองบางคนแล้วทนไม่ไหว หรือถ้าดูก็ใช้วิธีลุกเข้าห้องน้ำหรือปิดเสียงชั่วคราวแทน เพื่อไม่ให้เสียสุขภาพจิตที่ต้องมาฟังหรือทนเห็นพฤติกรรมของนักการเมืองบางคน
เครือข่ายสังคมผ่านสื่ออีเล็คโทรนิกส์ได้เริ่มมีบทบาทในการแชงชั่นแหล่งข่าวการเมืองประเภทนี้มากขึ้น โดยมีการส่งข่าวถึงกันในเครือข่ายทั้งผ่านทางทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ค เอสเอ็มเอส. ดังนั้น สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อวิทยุและโทรทัศน์ ซึ่งเป็นสื่อพื้นฐานและเป็นสื่อตั้งต้นควรเริ่มคิดได้แล้ว
ภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งในปัจจุบัน ที่เป็นการต่อสู้อย่างแหลมคม ทั้งสองฝ่ายต่างงัดเอากลยุทธทุกรูปแบบมาทำ “สงครามข่าวสาร” ซึ่งกันและกันโดยมีสื่อและประชาชนเป็นเครื่องมือ ดังนั้น สื่อที่นำเสนอข่าวและประชาชนผู้บริโภคข่าวจึงต้องตั้งสติ ใช้ดุลยพินิจและวิจารณญานในการบริโภคข้อมูลข่าวสาร ประชาชนผู้บริโภคข่าวต้องไม่ตกเป็นเหยื่อและต้องรู้ทันเกมทางการเมืองของนักการเมือง
ที่มา.ไทยนิวส์
อาคม เติมพิทยาไพสิฐ เสนาธิการฝ่ายเศรษฐกิจ คนที่ 14 รับมือค่าเงิน-โครงการร้อนและปรัชญาพอเพียง
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
สัมภาษณ์พิเศษ
เป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษ ที่ "ลูกหม้อ-คนใน" ได้ขึ้นเป็นหมายเลข 1 ที่สำนักเสนาธิการ ฝ่ายเศรษฐกิจของรัฐบาล
เมื่อชื่อ "อาคม เติมพิทยาไพสิฐ" ถูกโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็น "เลขาธิการ" สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์
ภาระ-พันธะ-แผนชาติ-การลงทุนของประเทศ ตกอยู่บนบ่า
เขาบอก "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า งานของสภาพัฒน์ อยู่นิ่งไม่ได้ ต้องคิดตลอด
ต้องคิด เมื่อเจอวิกฤต จะทำอย่างไร ?
เขาพบว่า หลายคำถาม มีคำตอบที่เป็น "ของดี"
"คือพระราชดำรัส เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เป็นการพัฒนาแบบ Back to the Basic"
เขาออกตัว-ถ่อมตนว่า "ผมเป็นคนไม่เก่ง ไม่มีสีสัน" เมื่อต้องเปรียบเทียบกับเลขาธิการคนเก่า
"แต่ละคนมีสไตล์การทำงานของตัวเอง ดร.อำพน กิตติอำพน อดีตเลขาธิการ อาจมีสไตล์ที่จับประเด็นเร็ว แต่สไตล์ผม ทำงานบนพื้นฐานที่ต้องมีความมั่นใจเรื่องข้อมูล เพราะผมเติบโตโดยตรงมาจากการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล สังเคราะห์ข้อมูล"
"เพราะฉะนั้น ผมจึงทำงานบนพื้นฐาน 3 ข้อ คือข้อมูลต้องถูกต้อง บนพื้นฐานสร้างความเชื่อมั่น และเป็นการนำเสนอ เชิงนโยบายและข้อวิเคราะห์"
"คนสภาพัฒน์ถูกอบรมสั่งสอนมาลักษณะอย่างนี้ คือต้องทำงานบนพื้นฐานหลักวิชาการ"
"สำหรับผม เคยทำงาน Support-สนับสนุนอดีตเลขาธิการทุกคน ตั้งแต่สมัยอาจารย์เสนาะ อูนากูล ต่อมาก็สมัย ดร.พิสิษฐ ภัคเกษม สมัยนั้นเรียกกันว่าเป็นกลุ่ม Young blood เขาก็ให้โอกาสทำงาน ได้แสดงฝืมือ โดยมีภารกิจสำคัญ คือวิเคราะห์เศรษฐกิจ ซึ่งเป็นงานพื้นฐานสำคัญของสภาพัฒน์ หลังจากนั้นก็ Support เลขาธิการทุกคน"
"สมัยที่ผ่านมา ยุค ดร.อำพน เมื่อท่านเข้ามาใหม่ ๆ ท่านก็เกร็ง ว่าเป็นคนจากกระทรวงมา ไม่ใช่ลูกหม้อ แต่ที่สภาพัฒน์ ใครมาเป็นเลขาธิการ ก็มีทีม Support ตลอดเวลา ไม่ใช่แค่แปดโมงเช้าถึงสี่โมงเย็น แต่ต้อง Support 24 ชั่วโมง"
เขาเคยทำงานร่วมกับเลขาธิการหลายคน คำถามจึงมีว่า จะนำจุดอ่อนจุดแข็งของอดีตเลขาธิการมาปรับปรุงกับการพัฒนา ในตำแหน่งตัวเองอย่างไร เขาตอบว่า "งานสำคัญของสภาพัฒน์ คือนโยบายและแผนพัฒนาประเทศ หัวใจของงาน คือทำอย่างไร ให้ประเทศก้าวย่างอย่างมั่นคง มีเสถียรภาพ มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมีคุณภาพ"
"จุดอ่อนในอดีต ถามว่า เห็นอะไรบ้าง ในแง่นโยบาย ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากมาย เพียงแต่นโยบายต้องมีการปรับปรุงให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ที่ชัดเจน ในสมัย ดร.อำพน คือเรื่องการปรับตัวเข้าสู่ยุคการเปลี่ยนแปลง 3 ด้าน คือเข้าสู่ยุคสังคม ผู้สูงอายุ การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี และการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน"
เขาเคยรับภาระกับวาทะของ "ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล" อดีตเลขาธิการมากบารมี ที่ว่า "เห็นชอบมอบรอง เห็นด้วยผู้ช่วยทำ คนรับกรรมเป็น ผอ." แต่เขาเห็นว่า นั่นเป็น "หลัก" ในการทำงานแบบ "มีส่วนร่วม"
"ยุค ดร.สุเมธ ท่านเห็นความสำคัญ ของการมีส่วนร่วม ในการจัดทำแผน 8 ที่ไม่ใช่ Top down แบบเดิม จุดนี้เป็นจุดแข็ง และพิสูจน์ว่า สมัยนี้ สังคมจะ ก้าวผ่านความขัดแย้งได้ ต้องใช้การมี ส่วนร่วมเท่านั้น และจะต้องมีการเดินไปด้วยกันระหว่าง National Agenda and National objective"
เลขาธิการ-ลูกหม้อบอกบทบาท สภาพัฒน์ "ยังให้ความสำคัญกับการประสานงาน และขับเคลื่อนนโยบายลงสู่การปฏิบัติ ซึ่งความยากของการทำงาน คือต้องประสานกับส่วนราชการรัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชนด้วย"
เมื่อกุมบังเหียนในตำแหน่งเลขาธิการหมายเลข 1 ของสภาพัฒน์ มีงานที่ตั้งใจทำให้เข้มแข็งเข้มข้นยิ่งขึ้น คือเรื่องขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
"เท่าที่ดูจาก Ranging-การจัดอันดับ เรามองในแง่ Trend-ทิศทาง ยังไม่ดีขึ้นมาก เพราะปัญหาพื้นฐานของสังคมไทยที่อ่อนด้อยทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และคุณภาพของคน"
"ที่จะให้ความสำคัญ คือระบบ Logistics ของประเทศ ต้องลงสู่การปฏิบัติ สร้างความมั่นใจให้เอกชน ว่านโยบายแผนพัฒนา ต้องมีความต่อเนื่อง-ชัดเจน เปลี่ยนแปลงน้อยที่สุด"
"การปรับแผน ต้องปรับเพื่อให้ดีขึ้น หรือปรับเพราะมีสถานการณ์ภายนอกมากระทบ การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน หากยังไม่มีความพร้อม เงินไม่มี ก็ต้อง ปรับ แต่เราไม่อยากมีการปรับแผนบ่อย ๆ และการปรับก็ควรมีเหตุผล ไม่ใช่ปรับกลางอากาศ"
"เราเข้าใจได้ว่า แต่ละรัฐบาลที่เข้ามา ย่อมอยากมีนโยบายของตัวเอง สภาพัฒน์ก็อยากให้มีความชัดเจน ให้มีการพัฒนาตามแผนแม่บท เพราะภาพรวมการพัฒนา ไม่ใช่แค่ประเทศเราประเทศเดียว แต่เราต้องพึ่งพาทุนจากภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักลงทุนจากต่างประเทศ เพราะฉะนั้น เอกชนก็ต้องได้รับความมั่นใจ ว่าแผนไม่เปลี่ยนแปลง"
"เมื่อรัฐบาลให้เอกชนลงทุน ก็ต้องไม่เปลี่ยน นี่คือประเด็นที่สภาพัฒน์เห็นว่าสำคัญ"
"ขอขยายความเรื่องขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศว่า หากเราต้องพัฒนาไปอีกระดับ ประเทศเราจะผลิตสินค้า บริการแบบเดิมไม่ได้ ต้องผลิต และสร้าง Brand ของตัวเอง"
"ในเรื่องการพัฒนาคุณภาพคน เป็นเรื่องสำคัญ หากเราพูดจากระบบการศึกษา ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้ความสำคัญ จึงมีแผนการปฏิรูปการศึกษารอบ 2 แต่หัวใจอยู่ที่การวางพื้นฐานให้เด็กรุ่นใหม่มีความสามารถ มีคุณภาพ มีการคิด วิเคราะห์เป็น"
ระบบการศึกษาแบบจ่ายครบ จบแน่ ไม่ตอบโจทย์การพัฒนาคนอีกต่อไป
"การพัฒนาระบบ Logistics ที่บุคลากรขาดแคลน แต่ในขณะนี้ หลักสูตรพาณิชย์มีเยอะมาก ซึ่งผลิตนักศึกษาได้เร็วมาก แต่ไม่สามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ ดังนั้น จะทำอย่างไรให้โรงเรียน มหาวิทยาลัยอยู่กับความจริง อยู่กับโรงงาน ภาคบริการ ภาคเกษตรของประเทศ"
"เมื่อเราพูดถึงการเรียนรู้ตลอดชีวิต ทั้งใน-นอกระบบ มหาวิทยาลัย จึงต้องสร้างพื้นฐาน สนับสนุนทางปัญญานอกระบบ เช่น ห้องสมุดนอกโรงเรียนการมีองค์กรแบบ TCDC"
ไม่ว่าโลกจะหมุนเร็ว-แรงปานใด แต่ภารกิจหลัก-หนักแน่นของ "สำนักคิด" หน่วยงาน "ที่ปรึกษา" ของรัฐบาล ยังยึด "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง"
"ในแผน 10 ได้มีการนำปรัชญาลงสู่การปฏิบัติ แต่วันนี้ เรามีคนเข้าใจปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มากพอแล้วหรือยัง ผมคิดว่ายังไม่พอ เพราะวันนี้ เรายังมีเรื่องค่าเงิน มีกฎ กติกา ที่ต้องนำมาเกี่ยวข้อง"
คำถามร้อน เรื่องสงครามค่าเงินบาทแข็ง และผลกระทบต่อเศรษฐกิจของชาติ ถูกเสนาธิการฝ่ายเศรษฐกิจอธิบายให้เห็นภาพ
"ปัญหาเรื่องค่าเงินบาทแข็ง คนเดือดร้อนมีก็จริง แต่คนไม่เดือดร้อนก็มี เพราะเขามีองค์ความรู้ มีความพอเพียง มีเหตุผล เตรียมความพร้อม เขาศึกษา แนวโน้ม เขาวางแผนเรื่อง Stock มีการวางแผนจังหวะเวลาในการซื้อเครื่องจักรใหม่ ที่สอดคล้องกับภาวะค่าเงิน ทำให้เขารอดพ้นจากวิกฤตค่าบาทแข็งได้"
เพราะฉะนั้น เรื่องค่าเงินบาทแข็ง ก็มีความเห็น ความคิดที่หลากหลาย แล้วแต่ว่าใครจะเสียงดัง"
"คำถาม ว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นตลอดไปหรือไม่ คำตอบ คือดูจากเศรษฐกิจปีนี้ตั้งแต่ต้นปี ค่าเงินบาทก็แข็งค่าขึ้นเรื่อย ๆ เพราะต่างประเทศเขาเห็นพื้นฐานเศรษฐกิจที่มีอัตราการขยายตัวในอัตราสูง มีการฟื้นตัวเร็ว เขาเชื่อมั่น แต่เขาจะเชื่อใจภาครัฐบาลหรือไม่ ก็อีกเรื่องหนึ่ง"
"ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐาะนะผู้กำกับดูแลห่าง ๆ ไม่ให้สะวิง และต้องมีเสถียรภาพระดับหนึ่ง นักลงทุน นักธุรกิจ ทุกคนเห็นข้อมูลเหมือนกัน Treading ในตลาด เขารู้ว่าเวลานี้เป็นอย่างไร เราให้ข้อมูล แนวโน้ม ผิด-ถูก อยู่ที่ว่า คนจะเชื่อ หรือไม่เชื่อ ถ้าไม่เชื่อ ก็ต้องทำประกันความเสี่ยงไว้"
ข้อวิเคราะห์เรื่องผลกระทบต่อเนื่อง และแนวทางตั้งรับด้วยปรัชญาเศรษฐกิจ "พอเพียง"
"การฟื้นตัวของเศรษฐกิจปีนี้ ถ้าถามเอกชน ผู้ส่งออก ก็ไม่มีปัญหา เขามี Order-คำสั่งซื้อเต็ม ภาคสิ่งทอ ผลิตไม่ทัน แม้ค่าเงินบาทจะแข็งค่า แต่ Order ก็ไม่เปลี่ยนแปลง ในครึ่งปีหลัง อัตราการขยายตัวของการส่งออก ก็คงไม่เท่ากับ ปีที่แล้ว เพราะฐานปีที่แล้ว อัตราเติบโตสูง ภาพรวมอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจก็ยังคงไว้ที่อัตราเดิม คือ 7-7.5%"
ภาพการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ ทุกโครงการของประเทศ ที่สภาพัฒน์ยังเป็นองค์กรชี้ขาด ในทัศนะของ "เลขาธิการคนใหม่" เขาบอกว่า โครงการหลายแสนล้าน "ได้เกิด" ในแง่ที่ ครม. มีการ "เห็นชอบ" แผนไว้แล้ว ทั้งโครงการรถไฟสายสีม่วง โครงการรถเมล์ 4,000 คัน การปรับปรุงรางรถไฟทั่วประเทศ โครงการรถไฟรางคู่ และโครงการรถไฟความเร็วสูง
"แต่โครงการจะเกิดขึ้นจริง ต้องประสานงานกับกระทรวงเจ้าของโครงการ ทุกอย่างต้องทำตามขั้นตอนอย่างถูกต้อง"
"หากเกิดการปรับเปลี่ยนโครงการ กลางอากาศ สภาพัฒน์ก็ต้องสร้างความเข้าใจ ชี้ให้เขาเห็นโอกาสการพัฒนา เราต้องยืนยัน และเชื่อว่ารัฐบาลจะเข้าใจ"
"เครดิตของสภาพัฒน์ คือหลักวิชาการ อธิบายให้รัฐบาลฟังได้ ว่าเราทำงานโดยระบบสำนักงาน ที่เป็นเลขานุการของบอร์ด สุดท้าย บอร์ดต้องให้ความเห็นต่อคณะรัฐมนตรี เลขาธิการสภาพัฒน์ไม่สามารถบอก 1 ให้เป็น 2 ได้ ต้องมีกรอบวิชาการ ทฤษฎี มี Scenario ในการวิเคราะห์ พร้อมบอกปัจจัยเสี่ยง"
บทบาทเสนาธิการฝ่ายเศรษฐกิจที่ต้องทำงานกับรัฐบาลทั้งองคาพยพ 7 พรรค 35 รัฐมนตรี มีคำถามสุดท้าย ของการสัมภาษณ์-สนทนาครั้งแรกกับผู้สื่อข่าวว่าหนักใจ ที่ต้องสู้กับฝ่ายการเมืองหรือไม่
คำตอบไม่เร้าใจ แต่ได้ "หลักการ- หลักคิด" คือ
"สภาพัฒน์ทำงานกับรัฐบาลมาตลอด เราเป็น Staff ที่ผ่านมาในช่วง ปี 2545-2546 มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหลายครั้ง แต่เราก็ทำงาน ให้ข้อมูลวิชาการเหมือนเดิม"
สัมภาษณ์พิเศษ
เป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษ ที่ "ลูกหม้อ-คนใน" ได้ขึ้นเป็นหมายเลข 1 ที่สำนักเสนาธิการ ฝ่ายเศรษฐกิจของรัฐบาล
เมื่อชื่อ "อาคม เติมพิทยาไพสิฐ" ถูกโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็น "เลขาธิการ" สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์
ภาระ-พันธะ-แผนชาติ-การลงทุนของประเทศ ตกอยู่บนบ่า
เขาบอก "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า งานของสภาพัฒน์ อยู่นิ่งไม่ได้ ต้องคิดตลอด
ต้องคิด เมื่อเจอวิกฤต จะทำอย่างไร ?
เขาพบว่า หลายคำถาม มีคำตอบที่เป็น "ของดี"
"คือพระราชดำรัส เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เป็นการพัฒนาแบบ Back to the Basic"
เขาออกตัว-ถ่อมตนว่า "ผมเป็นคนไม่เก่ง ไม่มีสีสัน" เมื่อต้องเปรียบเทียบกับเลขาธิการคนเก่า
"แต่ละคนมีสไตล์การทำงานของตัวเอง ดร.อำพน กิตติอำพน อดีตเลขาธิการ อาจมีสไตล์ที่จับประเด็นเร็ว แต่สไตล์ผม ทำงานบนพื้นฐานที่ต้องมีความมั่นใจเรื่องข้อมูล เพราะผมเติบโตโดยตรงมาจากการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล สังเคราะห์ข้อมูล"
"เพราะฉะนั้น ผมจึงทำงานบนพื้นฐาน 3 ข้อ คือข้อมูลต้องถูกต้อง บนพื้นฐานสร้างความเชื่อมั่น และเป็นการนำเสนอ เชิงนโยบายและข้อวิเคราะห์"
"คนสภาพัฒน์ถูกอบรมสั่งสอนมาลักษณะอย่างนี้ คือต้องทำงานบนพื้นฐานหลักวิชาการ"
"สำหรับผม เคยทำงาน Support-สนับสนุนอดีตเลขาธิการทุกคน ตั้งแต่สมัยอาจารย์เสนาะ อูนากูล ต่อมาก็สมัย ดร.พิสิษฐ ภัคเกษม สมัยนั้นเรียกกันว่าเป็นกลุ่ม Young blood เขาก็ให้โอกาสทำงาน ได้แสดงฝืมือ โดยมีภารกิจสำคัญ คือวิเคราะห์เศรษฐกิจ ซึ่งเป็นงานพื้นฐานสำคัญของสภาพัฒน์ หลังจากนั้นก็ Support เลขาธิการทุกคน"
"สมัยที่ผ่านมา ยุค ดร.อำพน เมื่อท่านเข้ามาใหม่ ๆ ท่านก็เกร็ง ว่าเป็นคนจากกระทรวงมา ไม่ใช่ลูกหม้อ แต่ที่สภาพัฒน์ ใครมาเป็นเลขาธิการ ก็มีทีม Support ตลอดเวลา ไม่ใช่แค่แปดโมงเช้าถึงสี่โมงเย็น แต่ต้อง Support 24 ชั่วโมง"
เขาเคยทำงานร่วมกับเลขาธิการหลายคน คำถามจึงมีว่า จะนำจุดอ่อนจุดแข็งของอดีตเลขาธิการมาปรับปรุงกับการพัฒนา ในตำแหน่งตัวเองอย่างไร เขาตอบว่า "งานสำคัญของสภาพัฒน์ คือนโยบายและแผนพัฒนาประเทศ หัวใจของงาน คือทำอย่างไร ให้ประเทศก้าวย่างอย่างมั่นคง มีเสถียรภาพ มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมีคุณภาพ"
"จุดอ่อนในอดีต ถามว่า เห็นอะไรบ้าง ในแง่นโยบาย ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากมาย เพียงแต่นโยบายต้องมีการปรับปรุงให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ที่ชัดเจน ในสมัย ดร.อำพน คือเรื่องการปรับตัวเข้าสู่ยุคการเปลี่ยนแปลง 3 ด้าน คือเข้าสู่ยุคสังคม ผู้สูงอายุ การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี และการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน"
เขาเคยรับภาระกับวาทะของ "ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล" อดีตเลขาธิการมากบารมี ที่ว่า "เห็นชอบมอบรอง เห็นด้วยผู้ช่วยทำ คนรับกรรมเป็น ผอ." แต่เขาเห็นว่า นั่นเป็น "หลัก" ในการทำงานแบบ "มีส่วนร่วม"
"ยุค ดร.สุเมธ ท่านเห็นความสำคัญ ของการมีส่วนร่วม ในการจัดทำแผน 8 ที่ไม่ใช่ Top down แบบเดิม จุดนี้เป็นจุดแข็ง และพิสูจน์ว่า สมัยนี้ สังคมจะ ก้าวผ่านความขัดแย้งได้ ต้องใช้การมี ส่วนร่วมเท่านั้น และจะต้องมีการเดินไปด้วยกันระหว่าง National Agenda and National objective"
เลขาธิการ-ลูกหม้อบอกบทบาท สภาพัฒน์ "ยังให้ความสำคัญกับการประสานงาน และขับเคลื่อนนโยบายลงสู่การปฏิบัติ ซึ่งความยากของการทำงาน คือต้องประสานกับส่วนราชการรัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชนด้วย"
เมื่อกุมบังเหียนในตำแหน่งเลขาธิการหมายเลข 1 ของสภาพัฒน์ มีงานที่ตั้งใจทำให้เข้มแข็งเข้มข้นยิ่งขึ้น คือเรื่องขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
"เท่าที่ดูจาก Ranging-การจัดอันดับ เรามองในแง่ Trend-ทิศทาง ยังไม่ดีขึ้นมาก เพราะปัญหาพื้นฐานของสังคมไทยที่อ่อนด้อยทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และคุณภาพของคน"
"ที่จะให้ความสำคัญ คือระบบ Logistics ของประเทศ ต้องลงสู่การปฏิบัติ สร้างความมั่นใจให้เอกชน ว่านโยบายแผนพัฒนา ต้องมีความต่อเนื่อง-ชัดเจน เปลี่ยนแปลงน้อยที่สุด"
"การปรับแผน ต้องปรับเพื่อให้ดีขึ้น หรือปรับเพราะมีสถานการณ์ภายนอกมากระทบ การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน หากยังไม่มีความพร้อม เงินไม่มี ก็ต้อง ปรับ แต่เราไม่อยากมีการปรับแผนบ่อย ๆ และการปรับก็ควรมีเหตุผล ไม่ใช่ปรับกลางอากาศ"
"เราเข้าใจได้ว่า แต่ละรัฐบาลที่เข้ามา ย่อมอยากมีนโยบายของตัวเอง สภาพัฒน์ก็อยากให้มีความชัดเจน ให้มีการพัฒนาตามแผนแม่บท เพราะภาพรวมการพัฒนา ไม่ใช่แค่ประเทศเราประเทศเดียว แต่เราต้องพึ่งพาทุนจากภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักลงทุนจากต่างประเทศ เพราะฉะนั้น เอกชนก็ต้องได้รับความมั่นใจ ว่าแผนไม่เปลี่ยนแปลง"
"เมื่อรัฐบาลให้เอกชนลงทุน ก็ต้องไม่เปลี่ยน นี่คือประเด็นที่สภาพัฒน์เห็นว่าสำคัญ"
"ขอขยายความเรื่องขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศว่า หากเราต้องพัฒนาไปอีกระดับ ประเทศเราจะผลิตสินค้า บริการแบบเดิมไม่ได้ ต้องผลิต และสร้าง Brand ของตัวเอง"
"ในเรื่องการพัฒนาคุณภาพคน เป็นเรื่องสำคัญ หากเราพูดจากระบบการศึกษา ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้ความสำคัญ จึงมีแผนการปฏิรูปการศึกษารอบ 2 แต่หัวใจอยู่ที่การวางพื้นฐานให้เด็กรุ่นใหม่มีความสามารถ มีคุณภาพ มีการคิด วิเคราะห์เป็น"
ระบบการศึกษาแบบจ่ายครบ จบแน่ ไม่ตอบโจทย์การพัฒนาคนอีกต่อไป
"การพัฒนาระบบ Logistics ที่บุคลากรขาดแคลน แต่ในขณะนี้ หลักสูตรพาณิชย์มีเยอะมาก ซึ่งผลิตนักศึกษาได้เร็วมาก แต่ไม่สามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ ดังนั้น จะทำอย่างไรให้โรงเรียน มหาวิทยาลัยอยู่กับความจริง อยู่กับโรงงาน ภาคบริการ ภาคเกษตรของประเทศ"
"เมื่อเราพูดถึงการเรียนรู้ตลอดชีวิต ทั้งใน-นอกระบบ มหาวิทยาลัย จึงต้องสร้างพื้นฐาน สนับสนุนทางปัญญานอกระบบ เช่น ห้องสมุดนอกโรงเรียนการมีองค์กรแบบ TCDC"
ไม่ว่าโลกจะหมุนเร็ว-แรงปานใด แต่ภารกิจหลัก-หนักแน่นของ "สำนักคิด" หน่วยงาน "ที่ปรึกษา" ของรัฐบาล ยังยึด "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง"
"ในแผน 10 ได้มีการนำปรัชญาลงสู่การปฏิบัติ แต่วันนี้ เรามีคนเข้าใจปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มากพอแล้วหรือยัง ผมคิดว่ายังไม่พอ เพราะวันนี้ เรายังมีเรื่องค่าเงิน มีกฎ กติกา ที่ต้องนำมาเกี่ยวข้อง"
คำถามร้อน เรื่องสงครามค่าเงินบาทแข็ง และผลกระทบต่อเศรษฐกิจของชาติ ถูกเสนาธิการฝ่ายเศรษฐกิจอธิบายให้เห็นภาพ
"ปัญหาเรื่องค่าเงินบาทแข็ง คนเดือดร้อนมีก็จริง แต่คนไม่เดือดร้อนก็มี เพราะเขามีองค์ความรู้ มีความพอเพียง มีเหตุผล เตรียมความพร้อม เขาศึกษา แนวโน้ม เขาวางแผนเรื่อง Stock มีการวางแผนจังหวะเวลาในการซื้อเครื่องจักรใหม่ ที่สอดคล้องกับภาวะค่าเงิน ทำให้เขารอดพ้นจากวิกฤตค่าบาทแข็งได้"
เพราะฉะนั้น เรื่องค่าเงินบาทแข็ง ก็มีความเห็น ความคิดที่หลากหลาย แล้วแต่ว่าใครจะเสียงดัง"
"คำถาม ว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นตลอดไปหรือไม่ คำตอบ คือดูจากเศรษฐกิจปีนี้ตั้งแต่ต้นปี ค่าเงินบาทก็แข็งค่าขึ้นเรื่อย ๆ เพราะต่างประเทศเขาเห็นพื้นฐานเศรษฐกิจที่มีอัตราการขยายตัวในอัตราสูง มีการฟื้นตัวเร็ว เขาเชื่อมั่น แต่เขาจะเชื่อใจภาครัฐบาลหรือไม่ ก็อีกเรื่องหนึ่ง"
"ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐาะนะผู้กำกับดูแลห่าง ๆ ไม่ให้สะวิง และต้องมีเสถียรภาพระดับหนึ่ง นักลงทุน นักธุรกิจ ทุกคนเห็นข้อมูลเหมือนกัน Treading ในตลาด เขารู้ว่าเวลานี้เป็นอย่างไร เราให้ข้อมูล แนวโน้ม ผิด-ถูก อยู่ที่ว่า คนจะเชื่อ หรือไม่เชื่อ ถ้าไม่เชื่อ ก็ต้องทำประกันความเสี่ยงไว้"
ข้อวิเคราะห์เรื่องผลกระทบต่อเนื่อง และแนวทางตั้งรับด้วยปรัชญาเศรษฐกิจ "พอเพียง"
"การฟื้นตัวของเศรษฐกิจปีนี้ ถ้าถามเอกชน ผู้ส่งออก ก็ไม่มีปัญหา เขามี Order-คำสั่งซื้อเต็ม ภาคสิ่งทอ ผลิตไม่ทัน แม้ค่าเงินบาทจะแข็งค่า แต่ Order ก็ไม่เปลี่ยนแปลง ในครึ่งปีหลัง อัตราการขยายตัวของการส่งออก ก็คงไม่เท่ากับ ปีที่แล้ว เพราะฐานปีที่แล้ว อัตราเติบโตสูง ภาพรวมอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจก็ยังคงไว้ที่อัตราเดิม คือ 7-7.5%"
ภาพการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ ทุกโครงการของประเทศ ที่สภาพัฒน์ยังเป็นองค์กรชี้ขาด ในทัศนะของ "เลขาธิการคนใหม่" เขาบอกว่า โครงการหลายแสนล้าน "ได้เกิด" ในแง่ที่ ครม. มีการ "เห็นชอบ" แผนไว้แล้ว ทั้งโครงการรถไฟสายสีม่วง โครงการรถเมล์ 4,000 คัน การปรับปรุงรางรถไฟทั่วประเทศ โครงการรถไฟรางคู่ และโครงการรถไฟความเร็วสูง
"แต่โครงการจะเกิดขึ้นจริง ต้องประสานงานกับกระทรวงเจ้าของโครงการ ทุกอย่างต้องทำตามขั้นตอนอย่างถูกต้อง"
"หากเกิดการปรับเปลี่ยนโครงการ กลางอากาศ สภาพัฒน์ก็ต้องสร้างความเข้าใจ ชี้ให้เขาเห็นโอกาสการพัฒนา เราต้องยืนยัน และเชื่อว่ารัฐบาลจะเข้าใจ"
"เครดิตของสภาพัฒน์ คือหลักวิชาการ อธิบายให้รัฐบาลฟังได้ ว่าเราทำงานโดยระบบสำนักงาน ที่เป็นเลขานุการของบอร์ด สุดท้าย บอร์ดต้องให้ความเห็นต่อคณะรัฐมนตรี เลขาธิการสภาพัฒน์ไม่สามารถบอก 1 ให้เป็น 2 ได้ ต้องมีกรอบวิชาการ ทฤษฎี มี Scenario ในการวิเคราะห์ พร้อมบอกปัจจัยเสี่ยง"
บทบาทเสนาธิการฝ่ายเศรษฐกิจที่ต้องทำงานกับรัฐบาลทั้งองคาพยพ 7 พรรค 35 รัฐมนตรี มีคำถามสุดท้าย ของการสัมภาษณ์-สนทนาครั้งแรกกับผู้สื่อข่าวว่าหนักใจ ที่ต้องสู้กับฝ่ายการเมืองหรือไม่
คำตอบไม่เร้าใจ แต่ได้ "หลักการ- หลักคิด" คือ
"สภาพัฒน์ทำงานกับรัฐบาลมาตลอด เราเป็น Staff ที่ผ่านมาในช่วง ปี 2545-2546 มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหลายครั้ง แต่เราก็ทำงาน ให้ข้อมูลวิชาการเหมือนเดิม"
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)