--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2553

มันช่างพอเหมาะพอเจาะกันดีเสียจริงๆ??

มันช่างพอเหมาะพอเจาะกันดีเสียจริงๆ??

เลือดรักชาติรักแผ่นดินของ วีระ สมความคิด และเครือข่ายประชาชนหัวใจรักชาติช่วงนี้ดูจะกระฉูดแรงเป็นพิเศษ

โดยเฉพาะกับประเด็นปราสาทเขาพระวิหารและพื้นที่ทับซ้อน

ดูช่างเป็นช่วงจังหวะเวลาที่พอเหมาะพอเจาะกับช่วงการจะเลือกตั้ง ส.ก.-ส.ข.กรุงเทพมหานครได้อย่างพอดิบพอดีเสียจริงๆ

หลายพรรคการเมืองต่างต้องการที่จะวางฐานเสียงในกรุงเทพฯเพื่อรองรับการเลือกตั้ง ส.ส.ที่จะมีขึ้นในอีกไม่นานนี้ผ่านการเลือกตั้งท้องถิ่นทั้ง ส.ก. และ ส.ข.

สามพรรคการเมืองหลักที่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ก.-ส.ข.ลงเกือบทุกเขตใน กทม.ก็พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย และพรรคการเมืองใหม่

และก็นับเป็นครั้งแรกที่พรรคการเมืองใหม่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ก.-ส.ข.ลงในนามพรรคเป็นครั้งแรก

ก็ขอให้การเคลื่อนไหวของ วีระ สมความคิด และพลพรรค...เป็นการเพื่อชาติ ไม่ใช่เพื่อเสียงก็แล้วกัน...สาธุ???
...........................................................................................................
ไม่น่าไปไหนรอด??

โหวตร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย ปี 2554 ที่หลายฝ่ายวิตกกังวลว่าอาจมีปัญหาในการลงมติจากพรรคภูมิใจไทย...เหตุเพราะรถเมล์เอ็น จี วี สี่พันคันของกระทรวงคมนาคม ที่มี โสภณ ซารัมย์ เป็นเจ้ากระทรวงถูก อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเบรกซะหัวทิ่มหัวตำไปไม่กี่วันก่อน

ทั้ง “ปู่จิ้น” ชวรัตน์ ชาญวีรกูล มท.1 หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และ โสภณ ซารัมย์ เจ้ากระทรวงหูกวางก็ออกมายืนยันมั่นเหมาะแล้วว่าไม่มีวันที่จะหักหลังพรรคประชาธิปัตย์อย่างเด็ดขาด

คงไม่ใช่เพราะไม่อยากถอยหลังเพราะกลัวเป็นหมา....หรือต้องการเดินหน้าเพื่อชาติ ตามสโลแกนของ บุญจง วงศ์ไตรรัตน์ มท. 2 เป็นหลักแน่

กูรูข้างสภาเขาว่า....ช่วงนี้ยังไม่บรรลุความมุ่งหมาย

ต่อให้เอาม้ามายุด เอาช้างมาฉุด....ภูมิใจไทยก็ไม่มีวันทิ้งประชาธิปัตย์ไปไหนได้

มิน่า...อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถึงได้กล้าหักด้ามพร้าด้วยเข่าเอาดื้อๆๆ???
........................................................................................................................................
เรื่องของชมรมคนอกหัก??

ตั้งใจจะขอเป็นรัฐมนตรีเป็นวาระสุดท้ายก่อนวางมือทางการเมือง

เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานยังไม่ครบวาระก็ถูกปรับขยับออกนอก ครม.เอาดื้อๆ

ข่าวว่าช่วงกำลังซดน้ำใบบัวบกแก้ช้ำในอยู่ยามนี้ มีมือดีดอดไปเกี้ยวจะให้ ไพฑูรย์ แก้วทอง เซย์กู๊ดบายประชาธิปัตย์ ไปรวมพลคนอกหักตั้งพรรคใหม่ที่มีฐานเสียงหลักอยู่ทางภาคเหนือตอนล่าง......

เท็จจริงอย่างไร...กระซิบถามมิสเตอร์เอกซ์ดูก็ได้

ข่าวว่าจะขอเป็นพรรคขนาดเล็ก...เพื่อให้เจ๊กลากไป ไทยลากมาจะได้สะดวก???
.......................................................................................................................................................
เรื่องนี้เขมรไม่เกี่ยว

ก็ต้องขอแสดงความเสียใจต่อการเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกที่อำเภอนาหมื่น จังหวัดน่านของ หนุ่มมหาสารคาม ดร.ศักดิ์ศิทธิ์ ตรีเดช ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

จากอาจารย์มหาวิทยาลัยมหิดล โยกมาเป็นรองปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ ก่อนขึ้นเป็นปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์แล้วโยกมาเป็นปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในที่สุด

ไปร่วมประชุมกรรมการมรดกโลกกับ สุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ประเทศบราซิลมาหลัดๆ จนทำให้กรรมการมรดกโลกเลื่อนการพิจารณาการบริหารจัดการพื้นที่เขาพระวิหารออกไปอีกหนึ่งปี

เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขมร และเขมรไม่เกี่ยวนะ

มันเกี่ยวกับอุบัติเหตุล้วนๆ อย่าพาโลเกไปกันใหญ่ล่ะ!!
...........................................................................................................................................................
ข้าราชการบำนาญเขาขอร้อง

เตรียมปรับเงินเดือนข้าราชการใหม่อีกรอบในเดือนเมษายนปีหน้า

มันก็สมควรอยู่หรอก...ก็เงินมันเฟ้อ แถมค่าครองชีพก็สูงขึ้น เงินเดือนหรือก็ไม่ได้ปรับมานานนม...นี่ถ้า “แม้วพลัดถิ่น” พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไม่ถูกรถถังไล่บี้จนต้องหนีไปอยู่ต่างแดน ป่านนี้เงินเดือนข้าราชการก็ปรับขึ้นไปหลายรอบแล้ว

ว่าแต่ว่า.....อย่าลืมหันมามองที่ข้าราชการบำนาญด้วยก็แล้วกัน

อุตส่าห์ตรากตรำทำงานเพื่อชาติหนีพ่อค้ามาให้พระยาเลี้ยงกว่าจะพ้นพงหนามจนได้รับบำนาญก็ใช่สุขสบายกับเงินเดือนของราชการมากมายเท่าไรนัก

ปรับเงินเดือนให้ข้าราชการแล้ว ขุนคลังใหญ่ กรณ์ จาติกวณิช อย่าลืมปรับบำนาญให้คนแก่บ้างก็แล้วกัน

ปรับเงินเดือนให้ข้าราชการขึ้นห้าเปอร์เซ็นต์ ปรับบำนาญขึ้นห้าเปอร์เซ็นต์มันก็น่าจะแฟร์ดีเหมือนกันนะ

ประชานิยมก็ทำสุดลิ่มทิ่มตำมาหมดแล้ว...จะทำกับข้าราชแก่ๆตาดำๆ อีกบ้างก็ไม่เห็นจะเสียหายที่ตรงไหน??
.............................................................................................
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยใต้ฟ้า
ที่มา.บางกอกทูเดย์

ชัยชนะที่พ่ายแพ้

โดย หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน

ช่วง 2 วันที่ผ่านมา นายอดัม คาเฮน นักสร้างกระบวนการแก้ปัญหาความขัดแย้งระดับโลกด้วยสันติวิธี ได้เป็นวิทยากรรับเชิญที่สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร และสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ในเวทีเสวนาหัวข้อ “เราจะส่งมอบประเทศไทยแบบไหนให้ลูกหลาน” โดยได้ถอดบทเรียนความขัดแย้งระดับโลกและเสนอยุทธศาสตร์ “ห้องปฏิบัติการเพื่อการเปลี่ยนแปลง” เพื่อแก้ปัญหาให้กับสังคมไทย แม้นายคาเฮนจะออกตัวว่าไม่รู้ลึกซึ้งในสถานการณ์ความขัดแย้งของไทย แต่จากประสบการณ์ 20 ปีที่เกิดขึ้นในประเทศต่างๆ สุดท้ายก็ต้องกลับมาสู่การเจรจา หรือ “การสานเสวนา” เพื่อถอดชนวนการแตกหัก โดยทุกฝ่ายต้องพูดด้วยความเข้าใจและฟังด้วยความลึกซึ้งด้วย “อำนาจและความรัก”

ไม่ใช่ใช้อำนาจหรือการปราบปราม แต่ต้องใช้ความรักและวิธีการที่สร้างสรรค์ เพื่อให้เกิดความสมานฉันท์และสร้างพลังให้คนไทยทุกคนมีส่วนร่วมตัดสินใจอย่างเป็นเอกภาพ อย่างปัญหาในแอฟริกาใต้ที่พูดกันเล่นๆว่ามี 2 ทางเลือกคือ 1.เชิงปฏิบัติ คือให้ทุกคนคุกเข่าอ้อนวอนให้เทวทูตมาช่วยแก้ปัญหา และ 2.เชิงปาฏิหาริย์ คือต้องหาทางเดินไปร่วมกัน ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคือการทำงานเชิงปาฏิหาริย์ ที่อาจมีถึง 100 วิธี ซึ่งต้องทำคู่ขนานกันไป ไม่ใช่พึ่งทางใดทางหนึ่ง เหมือนการมองช้างตัวเดียวกัน ถ้าร่วมกันมองทุกด้านก็จะเห็นช้างทั้งตัว

ส่วนความขัดแย้งในไทยที่มีความซับซ้อนในหลายๆด้าน นายคาเฮนยืนยันว่า การแก้ปัญหาต้องทำให้ทุกกลุ่มทุกสีมีส่วนร่วมจากความรักและอำนาจ เพราะเป็นความขัดแย้งท่ามกลางความโกรธ แบ่งข้าง และแย่งอำนาจกันอย่างชัดเจน จนไม่สามารถแก้ปัญหาได้

แม้มุมมองและประสบการณ์ของนายคาเฮนจะไม่มีสูตรสำเร็จ แต่นายคาเฮนยืนยันว่า แม้ปัญหาจะมีสลับซับซ้อนหรือลึกซึ้งอย่างไร ในที่สุดก็ต้องกลับมาที่การสานเสวนา ซึ่งถือเป็นจุดประสานระหว่างความรักและพลังที่จะขับเคลื่อนอย่างเป็นระบบจากทุกฝ่าย แม้แต่ละฝ่ายจะมีผลประโยชน์ส่วนตัวหรือพวกพ้องก็ตาม

ที่สำคัญการแก้ปัญหาต้องใช้เวลา เพราะไม่มีสิ่งวิเศษใดที่จะพัฒนาอะไรได้ในทันที กระบวนการต้องเกิดจากคนไทยด้วยกันเอง อาจใช้เวลาหลายเดือนหรือเป็นปี เพราะอนาคตประเทศไทยต้องสร้างด้วยคนไทย ไม่ใช่ฝรั่งคนสองคนหรือคณะกรรมการไม่กี่คณะ ขณะที่รัฐบาลเองก็ยังใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินกวาดล้างประชาชนและนักการเมืองที่มีความเห็นแตกต่าง เหมือนคนบ้าอำนาจ แทนที่จะรู้สึกผิดชอบชั่วดีกับการทำร้ายและเข่นฆ่าประชาชน

ดังนั้น ความสงบสันติยากจะเกิดขึ้นในประเทศไทย ตราบใดที่ผู้มีอำนาจยังเต็มไปด้วยอคติและความอำมหิต แม้จะปราบปรามประชาชนได้ แต่ก็เป็นชัยชนะที่จะพ่ายแพ้ตัวเองในที่สุด เพราะการใช้อำนาจและความรุนแรงไม่มีวันจะทำให้เกิดความปรองดองและความรักจากประชาชนได้

**********************************************************************

พระวิหาร-ชายแดน-ปืนและบังเกอร์ สงคราม-ชีวิตจริงจากปากคนศรีสะเกษ

ประชาชาติธุรกิจ

บทสัมภาษณ์

ทุกหย่อมหญ้ามีการหารือ-ถกถาม กระแส "เขาพระวิหาร"

ทุกฝ่าย ทุกขบวน ได้เสนอทางออก ทางแยก ระหว่างไทย-กัมพูชา

ทั้งคนที่กรุงเทพฯ-ทั้งคนในฝรั่งเศส ถึงกรรมการมรดกโลก ต่างชี้ทางออก

ทุกฝ่ายมีเอกสาร หลักฐาน ประวัติศาสตร์ ประกอบการพิจารณา

ฟังจากปากคนในพื้นที่ริมขอบปราสาทพระวิหาร ย่านชายแดน จ.ศรีสะเกษ ในฐานะ ส.ส. เพื่อไทยและกรรมาธิการต่างประเทศ "ธเนศ เครือรัตน์" เสนอทางออก

- กรณีปราสาทพระวิหารคนในพื้นที่มีกระแสชาตินิยมหรือไม่

คนศรีสะเกษก็รักแผ่นดินกันทุกคน แต่เรื่องปราสาทพระวิหารมีการตัดสินมาตั้ง 40 กว่าปีมาแล้ว ศาลก็ตัดสินไปแล้ว ในเมื่อศาลตัดสินไปแล้ว ก็ผ่านมาแล้ว แต่ทำยังไงจะให้เราใช้ประโยชน์ร่วมกัน ทำยังไงจะมีการค้าชายแดนเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์จังหวัด

- ความทรงจำในท้องถิ่นมีความขัดแย้ง อยากเอาคืนปราสาทหรือไม่

ไม่มีความคิดอย่างนั้น เพราะเมื่อก่อนประชาชนที่จะไปเที่ยวปราสาทเขาพระวิหารก็มาขึ้นที่ฝั่งไทย แล้วมีการเก็บเงิน ค่าผ่านทางขึ้นไป โดยในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณก็มีการเก็บค่าผ่านทางขึ้นไปแล้วเอาเงินมาแบ่งกับฝ่ายกัมพูชา

ผมคิดว่าคนศรีสะเกษต้องการเห็นภาพแบบนั้นมากกว่าการถือปืนเอาบังเกอร์มาตั้ง ผมบอกตรง ๆ ประชาชนบริเวณชายแดนไม่ว่าไทยหรือกัมพูชาเขาก็ไปมาหาสู่เป็นพี่น้องกัน มีญาติอยู่ฝ่ายกัมพูชา เราไม่มีความรู้สึกว่าเป็นศัตรูกัน

สิ่งที่อยากจะบอกไป ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวของกลุ่มไหน ก็ไม่อยากให้ไปเคลื่อนไหวบริเวณชายแดน เพราะอาจจะมีการปะทะตามมา นำมาสู่การเสียชีวิตอย่างมโหฬารของคนในพื้นที่

กลายเป็นว่าคนที่อื่นมาทำให้คนท้องถิ่นเดือดร้อน เวลามีการปะทะกันก็เป็นชาวบ้านที่เจ็บ ไม่ใช่การปะทะระหว่างคนเสื้อแดงกับเสื้อเหลือง และประชาชนแถวนั้นก็มีคนพิการเยอะอยู่แล้วเพราะเหยียบกับระเบิด ระหว่างทำไร่ทำนาก็เจอระเบิดบ้าง บางคนก็พิการกันอยู่ ไม่ต้องการสงครามอีก เกลียดสงครามไปเลย เขาก็เข็ดหลาบกับสงคราม

- ในฐานะเป็น ส.ส.ศรีสะเกษและเป็นกรรมาธิการการต่างประเทศได้เสนออะไรไปกรณีปราสาทพระวิหาร

ได้มีมติของคณะกรรมาธิการไปแล้วว่า จะให้ตั้งเป็นคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาศึกษาและแก้ปัญหากรณีปราสาทพระวิหารและกรณีพื้นที่ทับซ้อน หรืออาจจะตั้งกรรมการขึ้นมา โดยให้มีอายุยาวไปจนถึง ปีหน้า ไม่ว่าสภาจะหมดวาระลงเมื่อไหร่ เพราะว่าปีหน้าเป็นปีที่จะต้องมีรัฐบาลใหม่เข้ามารับช่วงต่อ ซึ่งอาจจะเป็นรัฐบาลไหน ก็ยังตอบไม่ได้

ถ้าเป็นกรรมการชุดที่ทางรัฐบาลหรือ นายกรัฐมนตรีตั้งขึ้นมาคิดว่าจะสูญเสียความเป็นกลาง จึงอยากได้คณะกรรมการที่เป็นกลางประกอบจากหลายส่วน เช่น ส.ส. ส.ว. กรรมการสิทธิมนุษยชน นักวิชาการ หรือผู้ที่อยู่ในคณะกรรมการเจบีซี หรือผู้เชี่ยวชาญกรมแผนที่ทหาร

คนศรีสะเกษอยากให้เปิดจะได้มีคน ต่างชาติมา หรือนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมปราสาทพระวิหาร

- ขณะที่ในกรุงเทพฯมีความคิดแบบชาตินิยมแต่ในพื้นที่ศรีสะเกษบรรยากาศเป็นอีกแบบ

ผมไม่อยากให้รัฐบาลมาโหนกระแสชาตินิยมตอนนี้ ผมเข้าใจว่าขณะนี้กำลังโหนกระแสชาตินิยมอยู่ คือผมอยากให้คิดถึงหลักของความเป็นจริงแล้วมาหา วิถีทางออกว่าจะทำอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดเหมือนที่เคยเป็นมา

คนในพื้นที่ไม่ใช่ว่าเขาไม่รักประเทศไทย แต่เขาเห็นว่าศาลได้ตัดสินไปแล้ว ทำอย่างไรที่จะมาใช้ประโยชน์ร่วมกัน แต่ในส่วนพื้นที่ทับซ้อน การปักหลักเขตแดนก็ต้องว่ากันไป เป็นเรื่องเทคนิค อันนี้เราไม่ยอมอยู่แล้ว แต่ผมคิดว่าทางที่ดีที่สุดตอนนี้คือต้องเจรจา แต่สำคัญว่าเขาจะยอมเจรจากับเราหรือเปล่า เราต้องคุยกัน แต่ถ้าเราใช้ลัทธิคลั่งชาติบอกว่า ถ้ารุกล้ำอธิปไตยแล้วจะใช้กำลังทหาร ผมคิดว่าวิธีการแบบนี้รังแต่จะเกิดสงคราม

- มิติความสัมพันธ์ทางการค้าชายแดน เป็นอย่างไรบ้าง

ในช่วงเหตุการณ์ปกติ ก็มีการค้า โดยเฉพาะที่ช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ เป็นจุดผ่านแดนถาวร มีการค้าบริเวณชายแดน ปีหนึ่งนับพันล้าน ก็เกรงว่าจะกระทบ และส่วนตัวได้ยินข่าวว่า จ.สระแก้ว เริ่มมีผลกระทบการค้าและความสัมพันธ์แล้ว

ในปี 2551-2552 เฉพาะช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ ช่องเดียวปีหนึ่งมีการค้าร่วมพันล้าน แตˆ็คงต้องลดลง เพราะการเข้าออกลำบากขึ้น เพราะอยู่ถัดไปจากปราสาทพระวิหารไป 1 อำเภอ - จากข้อขัดแย้งบริเวณปราสาทพระวิหารจุดเดียว

ตอนนี้กลายเป็นปัญหาระหว่างประเทศไปแล้ว ไม่ใช่จุดเล็ก ๆ จุดนั้นไปแล้ว ทางกัมพูชาเองก็สร้างกระแสชาตินิยมในส่วนกัมพูชาเอง ของเราก็มาโหนกระแสชาตินิยม ผมก็คิดว่าไม่ใช่ทางแก้ปัญหา และทางกัมพูชาก็เอาเจ้าหน้าที่ยูเนสโกเข้ามาดูใน พื้นที่หลายครั้งแล้ว ส่วนยูเอ็นก็เข้ามาแล้ว

- มีการสร้างถนนของทางกัมพูชาในบริเวณนั้น

ในเอ็มโอยูปี 2543 ข้อ 5 ห้ามเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศในบริเวณนั้น ผมเคยถามกระทรวงการต่างประเทศกรณีการสร้างถนนของฝ่ายกัมพูชา ได้รับคำตอบว่า กระทรวงการต่างประเทศจะประท้วงไปเรื่อย ๆ พอประท้วงกัมพูชาก็หยุดสร้าง แป๊บหนึ่ง แล้วเขาก็สร้างต่อ จนไป ๆ มา ๆ ถนนเสร็จไป 2 สาย ขึ้นมาถึงปราสาทพระวิหารได้

กระทรวงการต่างประเทศหรือฝ่ายความมั่นคงมีวิธีการอย่างอื่นไหม เพราะตอนนี้มีวัด มีถนน จะไปทำสงครามก็ลำบากแล้ว ทำสงครามได้ ถ้ารัฐบาลยอมรับความสูญเสียที่จะตามมา

- ทางออกที่เป็นไปได้ในสายตาคนพื้นที่คืออะไร

มีทางออกเดียวคือเจรจา สร้างความสัมพันธ์ที่ดี ส่งนักการทูต ส่งเอกอัครราชทูตเรากลับไปก่อน สร้างความสัมพันธ์ ให้เป็นระดับปกติก่อน แล้วอย่างอื่นค่อยว่าทีหลัง โดยส่วนตัวไม่คิดว่าการสร้างสงครามจะแก้ปัญหา

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

"อดัม คาเฮน" ถอดชนวนการแตกหัก ผนึก "อำนาจ -ความรัก" กฎสำคัญ 7 ประการ

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

วันจันทร์ ที่ผ่านมา ณ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรมีการจัดงานเสวนาในหัวข้อ "เราจะส่งมอบประเทศไทยแบบไหนให้ลูกหลาน"โดยสถาบันเศรษฐกิจพอเพียง มูลนิธิดอกไม้และนกกระดาษเพื่อสันติภาพสถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ (สรอ.) กระทรวงอุตสาหกรรมสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สถานีโทรทัศน์ทีวีไทยสมาคมวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร บริษัทไทยประกันชีวิต คณะบริหารธุรกิจมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมกว่า 200 คน

นายอดัม คาเฮน กล่าวว่า ตลอดการทำงาน 20 ปีเพื่อถอดบทเรียนความขัดแย้งจากสถานการณ์ต่างๆ นั้น ได้พยายามหาคำตอบง่ายๆจากคำถามหนึ่ง คือเราจะแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนและมีความขัดแย้งที่สุดด้วยวิธีที่สันติได้อย่างไรซึ่งจากประสบการณ์ที่ผ่านมามีการลองผิดถูกมาเป็นจำนวนมากและได้พบกระบวนการเรียนรู้ต่างๆ โดยสิ่งสำคัญที่ได้เรียนรู้คือการทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์แล้วคะเนสถานการณ์อนาคตต่อไปว่าหลังจากนี้อาจจะเกิดอะไรขึ้นได้อีกบ้างด้วยวิธีที่เรียกว่าห้องปฏิบัติการเพื่อการเปลี่ยนแปลง

"ผมได้เริ่มทำงานในบริษัทเชลล์ซึ่งเป็นบริษัทผลิตน้ำมันรายใหญ่โดยขณะที่ร่วมทำงานนั้นเกิดปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ซึ่งกระทบต่อตลาดน้ำมันโดยตรงทางบริษัทจึงกลับมาคิดว่าควรทำอะไรบางอย่างเพื่อตีความสถานการณ์และแก้ปัญหาอย่างสมเหตุสมผลทั้งนี้ท้ายที่สุดแล้วได้ค้นพบว่าเราต้องตอบคำถามที่เจาะจงในเรื่องราวต่างๆที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยมีเกณฑ์และความเกี่ยวโยงอย่างท้าทายและแจ่มชัด"

จากนั้นได้เข้ามาแก้ปัญหาในแอฟริกาใต้โดยประยุกต์จากแผนงานของเชลล์ ซึ่งสถานการณ์ในขณะนั้นมีความวุ่นวายเกิดการจราจล กระทั่งคนในแอฟริกาใต้ตระหนักและกังวลทั้งนี้การแก้ปัญหาในขณะนั้นมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาประกอบด้วยทุกภาคส่วนในสังคม อาทิ นักวิชาการ ภาคประชาชน ภาคธุรกิจนักการเมืองทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลซึ่งทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นผิวขาวหรือผิวดำก็มาร่วมกันแก้ปัญหาผ่านกระบวนการจำลองสถานการณ์ในอนาคต หรือที่เรียกว่า Scenarios

ขณะนั้นมีการตั้งคำถามกันว่าอะไรอาจจะเกิดขึ้นมาได้บ้างและจะจบประเด็นพิพาทตรงนี้ได้หรือไม่อย่างไร โดยในตอนนั้นมีการสรุปผลว่าหากเป็นรัฐบาลผิวขาวก็จะเป็นสถานการณ์นกกระจอกเทศคือรัฐบาบาลจะมุดหัวลงไปในทราย ไม่ยอมฟังอะไรแต่สุดท้ายแล้วก็จะต้องโงหัวขึ้นมาและพบกับปัญหาในที่สุด แต่หากเป็นรัฐบาลผิวดำ ก็จะกระทบต่อคนผิวขาวกระทบต่ออำนาจและเศรษฐกิจซึ่งหากพิจารณาโดยสภาพการณ์แล้วก็จะกลายเป็นเป็ดป่วย เป็ดที่ไม่พร้อมขาหักปีกหัก ซึ่งจะเหมือนอิคะเริส เทพปกรณัมของกรีกที่เอาปีกมาจากนกนางนวล แล้วติดปีกด้วยขี้ผึ้งเมื่อโดนแสงอาทิตย์ก็หลุดลงมา ไม่ประสบผลสำเร็จในที่สุด

"หากกระบวนการเปลี่ยนผ่านเร็วเกินไปก็จะไม่ได้ผลถามว่าถ้ามีรัฐบาลแล้วจะยั่งยืนหรือไม่เพราะตอนนี้รัฐบาลไม่สามารถจัดการสถานการณ์ได้และถ้าเอาเงินของคนรวยไปให้คนจน เอาเงินผิวขาวไปให้ผิวดำก็แก้ปัญหาไม่ยั่งยืนสุดท้ายทุกอย่างก็จะพังทะลายพินาศยับเยิน"

การแก้ปัญหาของเมลสันแมนดาร่ามีทั้งคนคาดการณ์ว่าสำเร็จและผิดพลาดแต่สุดท้ายแล้วจะเห็นว่าความสำเร็จที่เกิดขึ้น เริ่มมาจากการบินช้าๆอย่างมีกระบวนการ เป็นการบรรลุผลช้าๆ อย่างต่อเนื่องซึ่งแม้ว่าคณะทำงานต่างๆ จะมีความขัดแย้งไม่ลงรอยกันแต่ก็สามารถร่วมทำงานในเชิงสร้างสรรค์กันได้

"มีการพูดเล่นๆ ในตอนนั้นว่าแอฟริกามีทางเลือกสำหรับแก้ปัญหา 2 ทาง 1.เชิงปฏิบัติคือให้ทุกคนคุกเข่าอ้อนวอนให้เทวทูตมาช่วยแก้ปัญหา 2.เชิงปาฏิหาริย์คือต้องหาทางเดินไปร่วมกันซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคือการทำงานในเชิงปาฏิหาริย์"

หลักการแก้ปัญหานั้นเมื่อพูดถึงปัญหาที่ซับซ้อน จำเป็นต้องแก้ไขเชิงพลวัตคือแม้ว่าเหตุผลจะกระจัดกระจายแต่สุดท้ายก็ยังเชื่อมโยงกันอยู่ดังนั้นต้องค่อยๆ แก้ทีละอย่าง มองการแก้ปัญหาเป็นรายประเด็นแต่ใช้วิธีการแก้เป็นองค์รวมส่วนความซับซ้อนเชิงสังคมที่เกิดความแตกต่างระหว่างบุคคลและสถานการณ์ต้องเข้าใจว่าไม่สามารถใช้กำลังมาแก้ไขได้ต้องนำผู้ที่มีส่วนได้เสียเข้ามาด้วยการใช้กระบวนการการมีส่วนร่วม

สถานการณ์ที่ไม่ซับซ้อนมากสามารถใช้ประสบการณ์จากอดีตมาศึกษาได้แต่หากมีความซับซ้อนมาก จำเป็นต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆต้องสร้างกระบวนการเรียนรู้ใหม่ๆ ตลอดเวลารวมทั้งต้องร่วมมือกันอย่างเป็นระบบเพราะไม่มีใครสามารถแก้ไขปัญหาด้วยตัวคนเดียวได้

" ผมมีโอกาสได้เข้าไปร่วมแก้ปัญหาในประเทศกัวเตมาราซึ่งมีสถานการณ์ความขัดแย้ง สงครามกลางเมืองซึ่งหลังจากสถานการณ์สิ้นสุดลงหลายฝ่ายมีการพูดคุยกันว่าจะบูรณประเทศอย่างไรซึ่งขณะนั้นมีการดึงทุกภาคส่วน ทั้ง ฝ่ายนักการเมือง ประชาชน นักวิชาการทหาร เข้ามาร่วมห้องปฏิบัติการเชิงสังคมมีการแบ่งกลุ่มย่อยเพื่อดำเนินกิจกรมและแลกเปลี่ยนความรู้กัน"

สิ่งจำเป็นในการแก้ปัญหาคือต้องหยั่งรู้ หรือรับรู้เชิงลึกซึ้งโดยเฉพาะกระบวนการฟังและการพูดทั้งนี้หากเปลี่ยนวิธีการฟังก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตและผลการทำงานได้ทั้งนี้การพูดอาจจะแบ่งออกเป็น 2 ระดับคือการพูดลักษณะดึงข้อมูลออกมาพูดซ้ำๆ ซึ่งก็จะไม่มีอะไรใหม่และการอภิปราย ที่พัฒนาขึ้นแต่ก็เป็นการพูดในสิ่งที่ตัวเองอยากพูดเท่านั้นและก็จะไม่ได้สร้างสรรค์สิ่งใหม่เช่นกัน

"สองวิธีนี้เป็นเพียงการผลิตซ้ำในสิ่งที่รู้อยู่แล้วและจะได้สัจพจน์เดิมๆ ดังนั้นต้องปรับขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งคือการสานเสวนาซึ่งไม่ใช่แค่บอกว่าตัวเองคิดอะไรอยู่แต่ต้องพยายามอธิบายให้คนฟังเข้าใจว่า ทำไมถึงคิดแบบนี้ความคิดเหล่านี้มาจากไหน ส่วนการฟังก็ต้องใส่ใจที่จะฟังในทุกรายละเอียดไม่ใช่ฟังเพื่อตัดสินว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยแต่ต้องพยายามสร้างความเข้าใจว่าทำไมถึงคิดแบบนั้น"

สิ่งสำคัญคือจำเป็นต้องสร้างผัสสะร่วมให้เกิดขึ้นเพราะเมื่อทุกฝ่ายเข้าใจร่วมกันก็จะรับรู้การเปลี่ยนแปลง เข้าใจโลกเป็นส่วนหนึ่งของโลกซึ่งทำให้เปิดจิตเปิดใจเปิดโอกาสในการทำงานร่วมกันได้

แม้การสานเสวนาจะมีการพัฒนาขึ้นแต่ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ทั้งหมดตัวอย่างเช่นในกัวเตมารายังมีเอ็นจีโอที่ประกาศว่าจะไม่เข้าร่วมสานเสวนาอีกแล้วเนื่องจากรัฐบาลพยายามกดดันให้ยุติการชุมนุมประท้วงนั่นเป็นเหตุให้จำเป็นต้องกลับมาคิดว่ายังมีอะไรผิดพลาดหรือนอกเหนือการสานเสวนาเพื่อยุติปัญหา

สิ่งที่พบคือปัจจัยมูลฐานสำหรับแก้ปัญหาต้องมี 2 ประการคือ 1.ด้านจิตใจหรือ Love ซึ่งเป็นสิ่งช่วยเชื่อมประสานรอยร้าวได้ดีที่สุด2.พลังขับเคลื่อน หรือ Powerที่เป็นพลังขับเคลื่อนสรรพชีวิตให้บรรลุผลสูงสุดได้โดยทั้งสองส่วนต้องผลึกเข้ากัน ขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไม่ได้

"ความสันติและการรับมือกับประเด็นความซับซ้อนในสังคมจะเกิดขึ้นได้จากการบวนการแก้ไขอย่างเป็นระบบ การมีส่วนร่วมจากทุกฝ่ายการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การสานเสวนา การสร้างผัสะร่วมและการผนึกความรักและอำนาจเข้าร่วมกัน"

สำหรับปัญหาความขัดแย้งในประเทศไทยนั้น ผมเพิ่งมาถึงประเทศไทยเพียงสี่วันและคิดว่าไม่ใช่เวลาเพียงพอจะเข้าใจสถานการณ์ในเมืองไทยอย่างชัดแจ้งคงไม่เหมาะที่จะวิเคราะห์หรือให้คำแนะนำทั้งหมดแต่จากประสบการณ์จากที่อื่นๆได้ตั้งข้อสังเกตและคาดว่าสถานการณ์ของประเทศไทยมีความซับซ้อนในหลายๆด้าน และเพิ่มพูนขึ้นมา จนถึงตอนนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเหลืองหรือแดงแต่เป็นเรื่องความหลากหลาย เราต้องเข้าใจเรื่องตัวปัญหาซึ่งความขัดแย้งระดับนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ผู้คุมกำลังผู้มีอำนาจหรือนักวิชาการมาแก้ปัญหาได้ง่ายๆแต่ต้องให้ทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมกันแก้ปัญหา

"วิธีแก้ไม่ใช่ใช้อำนาจหรือปราบปรามใครคนใดคนหนึ่งแต่ต้องพยายามสร้างสรรค์กระบวรการผ่านรัฐ โดยใช้ความรักแต่ความรักก็ไม่ใช่แค่ยื่นดอกกุหลาบ แต่ต้องมีความรักเชิงสมานฉันท์สร้างความเชื่อมโยง และบรรเทาประเด็นต่างๆ ได้ไม่น้อยนอกจากนี้ยังตองสร้างเอกภาพ ยอมรับการสูญเสียที่เกิดขึ้น"

อดัมสรุปผลการสัมมนาไว้ 7 ประการ ดังนี้

1.ทราบว่าพื้นฐานที่คิดว่าจะรู้สึกในช่วงการสนทนาเบื้องต้นคุณค่าหรือค่านิยมในการพิจารณาประเด็นต่างๆ เป็นเรื่องที่ดีทราบถึงจุดเชื่อมโยงต่างๆ ได้คุยกับคนที่ไม่เคยได้คุยเลยถือเป็นประสบการณ์ที่ดีมากในการสานเสวนาซึ่งถือเป็นจุดประสานระหว่างความรักและพลังการขับเคลื่อน

2.สิ่งต่างๆ ไม่มีสูตรสำเร็จในการแก้ปัญหาจึงจำเป็นต้องศึกษาให้ละเอียดว่าการแก้ปัญหาใดสำเร็จหรือล้มเหลวและต้องสร้างการมีส่วนร่วม

3.การขยับพัฒนาการจนถึงขั้นสานเสวนา เป็นสิ่งที่เรียบง่าย แต่ไม่ง่ายปริภูมิหรือทิศต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญในการแก้ปัญหาด้วยจะสร้างปริภูมิอย่างไร หรือสร้างสมรรถนะอย่างไร

4.ถ้ามีคนไม่อยากคุยจะทำอย่างไรจำเป็นต้องหาวิธีการกระตุ้นให้คนพูดคุยมากกันขึ้น อย่างประเทศโคลัมเบียซึ่งมีกองโจรผิดกฎหมายมาก แต่ต้องให้เขาได้รับรู้ จึงได้มีการถ่ายทอดสดและมีการเปิดสายให้พูดคุยมีกองโจรโทรศัพท์เข้ามาถามว่าต้องหยุดยิงปืนด้วยหรือไม่หากมีการร่วมสานเสวนา เราตอบไปว่า ไม่มีข้อตกลงเบื้องต้นใดๆเพียงแต่ต้องการเข้ามาพูดคุยกัน ไม่ต้องหยุดยิงก็ได้

5.การแก้ปัญหาความซับซ้อนอย่างเป็นระบบ หากบอกว่าสิ่งนี้ถูกนอกเหนือจากนี้ผิด นั้นเป็นประเด็นที่สำคัญ ต้องดึงและมองหลากหลายส่วนทั้งมุมรากหญ้าด้วย ต้องมองให้เห็นช้างทั้งตัวพร้อมๆ กันไม่ใช่มองส่วนใดส่วนหนึ่งเท่านั้น นอกจากนี้สื่อมวลชนยังช่วยผลักดันด้วย

6.ไม่เห็นด้วยเต็มที่กับประเด็นว่าต้องเสียสละผลประโยชน์ส่วนตัวเพราะประโยชน์ส่วนบุคคลไม่ใช่เรื่องที่ผิดแต่เราต้องทำงานด้วยอำนาจและความรักดังนั้นเอกภาพที่ไม่เคารพเรื่องผลประโยชน์ส่วนบุคคลก็ไม่สมบูรณ์นัก

7.ต้องใช้เวลา เพราะไม่มีสิ่งวิเศษใดที่จะพัฒนาได้ทันทีนั่นถือเป็นกระบวนการที่ใช้เวลาอย่างน้อยๆ หลายเดือนอนาคตของประเทศไทยไม่ได้สร้างด้วยฝรั่ง 2 คนแต่มาจากที่ทุกคนที่จะคงเห็นคำตอบจากตัวของท่านเอง

************************************************************************

พระเจ้าตากไม่ถูกประหาร

ข่าวสดรายวัน
เก็บเรื่องมาเล่า
ชนา ชลาศัย

พระราชพงศาวดารแทบทุกฉบับระบุตรงกันว่า วันเสาร์ แรม 9 ค่ำ เดือน 5 หรือวันที่ 6 เม.ย.2325 เป็นวันสวรรคตของพระเจ้าตากสินมหาราช

ยกเว้นจดหมายของบาทหลวงฝรั่งเศสบันทึกว่าเป็นวันที่ 7 เม.ย. และจดหมายเหตุโหรซึ่งยอมรับกันว่ามีความแม่นยำสูง กลับบันทึกว่าเป็นวันพุธ แรม 13 ค่ำ เดือน 5 หรือวันที่ 10 เม.ย.2325

นั้นเป็นตัวอย่างหนึ่งของความคลาดเคลื่อนในการบันทึกประวัติศาสตร์

แต่ก็คงจะสำคัญน้อยกว่าความคลุมเครือที่ว่าพระเจ้าตากสินไม่ได้ถูกประหารชีวิต ทว่าทรงหนีไปผนวชที่จ.นครศรีธรรมราช และสิ้นพระชนม์ที่นั่น

"ศิลปวัฒนธรรม" ฉบับเดือนส.ค.นำเรื่องพระเจ้าตากสินขึ้นปกอีกครั้ง เพื่อแกะรอยตำนานปริศนา "พระเจ้าตากฯ ไม่ถูกประหาร แต่หนีไปเมืองนครฯ" โดย ปรามินทร์ เครือทอง

ตำนานพระเจ้าตากสินไม่ถูกประหารร่ำลือมานานนมนับร้อยๆ ปี ในเชิงข่าวลือ เรื่องซุบซิบ เล่าต่อๆ กันมา กระทั่งแปรรูปตำนานเป็นนวนิยาย

ผู้เปิดประเด็นพระเจ้าตากไม่ได้ถูกประหาร (แต่มี "ตัวตายตัวแทน") เป็นคนแรก คือ พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ ในหนังสือรวมเรื่องสั้น "ใครฆ่าพระเจ้ากรุงธน" ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์เพลินจิตต์ เมื่อปี 2494 ซึ่งในปีเดียวกันนั้น ศ.ศิลป์ พีระศรี กำลังปั้นแบบจำลองอนุสาวรีย์พระเจ้าตากอยู่พอดี

ในประเด็นปริศนานี้ แม้หลวงวิจิตรวาทการจะนำเสนอในรูปแบบเรื่องแต่ง ในแนวสยองขวัญด้วยซ้ำ แต่ก็สร้างความฮือฮาในหมู่นักอ่านเป็นอย่างมาก และกลายเป็น "ความเชื่อ" อีกกระแสจนถึงปัจจุบัน

ยังมีหนังสืออีก 2 เล่มสำคัญที่ตอกย้ำตำนานพระเจ้าตากสินไม่ถูกประหารชีวิต ทั้งในเชิงนวนิยายและเรื่องเล่า

ติดตามอ่านได้ใน "ศิลปวัฒนธรรม" เล่มล่าสุด และเนื้อหาเข้มข้นอีกตอนในเล่มหน้า

***********************************************************************

จากโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัมถึงนายอภิสิทธิ์/รัฐบาลไทย

Robert Amsterdam

เมื่อวันที่ 17 และ 18 สิงหาคม สมาชิกในรัฐบาลไทยหลายคน รวมถึงนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรมว.ต่างประเทศได้ตอบจดหมายที่ผมได้ส่งไปในวันที่ 10 สิงหาคม โดยจดหมายฉบับนี้ผมได้ส่งไปในนามของเหยื่อซึ่งถูกสังหารจากการสลายการชุมนุมของรัฐบาลในเดือนเมษายนและพฤษภาคมที่ผ่านมา

ผมได้ส่งจดหมายฉบับนี้เพื่อทวงถามคำตอบจากคำถามหลายข้อในจดหมายที่เราได้ส่งไปเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน โดยเนื้อความในจดหมายฉบับก่อนมีรายละเอียดที่ย้ำเตือนถึงหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องจัดให้มีการสอบสวนเหตุการณ์การสังหารประชาชน อันเป็นพันธกรณีของรัฐบาลไทยภายใต้สนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยเรื่องสิทธิพลเรือนและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ขององค์สหประชาชาติที่ประเทศไทยได้ลงนามไว้ นอกจากนี้เรายังได้กล่าวถึงสิทธิของผู้ถูกกล่าวหาในการเข้าถึงและตรวจสอบหลักฐานทางคดีอย่างเป็นอิสระ

เนื่องจากมีสมาชิกของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หลายคนถูกจับกุมและกล่าวหาในข้อหาหาการร้าย ดังนั้นรัฐบาลไทยมีพันธกรณีภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศซึ่งบัญญัติว่าทนายและผู้ปรึกษาด้านกฎหมายของผู้ถูกกล่าวหามีสิทธิในการเข้าถึง“เอกสารรัฐบาลหรือกองทัพที่เกี่ยวข้องและครอบคลุมถึงยุทธศาสตร์ การสั่งการ คำสั่งโดยวาจาหรือที่เป็นลายลักษณ์อักษร ข่าวกรอง การละเอียดการสอบสวน หรือรายงานของผู้เชียวชาญที่เจ้าหน้ารัฐไทยใช้เตรียมการ แถลงการณ์ ในการสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง” นอกจากนี้เรายังได้ร้องขอเอกสารที่ระบุถึงสายบัญชาการในกองทัพซึ่งได้รับมอบหมายให้ทำการควบคุมและสลายการชุมนุมเหล่านี้ด้วย

ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา รัฐบาลจงใจเพิกเฉยที่จะตอบสนองข้อเรียกร้องดังกล่าว นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์กล่าวว่ายังไม่ได้อ่านจดหมายฉบับดังกล่าว แม้วเราได้ส่งสำเนาจดหมายฉบับดังกล่าวหลายสำเนาไปยังสำนักงานของนายกรัฐมนตรีแล้วก็ตาม แทนที่จะตอบสนองข้อเรียกร้องดังกล่าว นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์กลับสบประมาทเรื่องส่วนบุคคลและยกเหตุผลที่หลักลอยขึ้นมาอ้างเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบของรัฐบาลซึ่งมีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามสนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยเรื่องของสิทธิพลเรือนและสิทธิทางการเมือง ทั้งนายปณิธานและนายชวนนท์อ้างว่าสิทธิของผู้ชุมนุมเสื้อแดงไม่ได้ถูกละเมิดแต่อย่างใด แต่แทนที่จะกล่าวว่าจะปฏิบัติตามบทบัญญัติในสนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยเรื่องของสิทธิพลเรือนและสิทธิทางการเมือง กับยกเอาเรื่องสถานภาพทางกฎหมายของผมซึ่งเป็นชาวต่างชาติขึ้นมาอ้าง

ผมรู้สึกผิดหวังที่รัฐบาลไทยละเลยโอกาสในการเริ่มต้นที่จะแสดงความรับผิดชอบต่อเหยื่อจากการสลายการชุมนุม และยังถอยห่างจากแนวทางการปรองดองสมานฉันท์ด้วยการเลื่อนตำแหน่งให้กับนายทหารและตำรวจที่เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารประชาชน นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์และคณะได้ปฎิเสธอย่างชัดเจนว่าจะปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศที่ต้องเคารพในหน้าที่ที่จะต้องสอบสวนและดำเนินคดีกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของประชาชนกว่า 80 ราย

การกระทำของรัฐบาลแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการสร้างความสับสนยุ่งยากและความไม่เต็มใจที่จะแสดงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคดีอันสำคัญเร่งด่วนนี้ และความพยายามที่จะหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบเป็นให้หลายคนสรุปว่าพยานหลักฐานเหล่านั้นอาจจะส่งผลให้เกิดความยุ่งยากทางการเมืองอันกระทบต่อการรักษาไว้ซึ่งอำนาจส่วนตัวของเหล่าอำมาตย์

ประชาคมโลกจะไม่เพิกเฉย หากรัฐบาลไทยละเมิดพันธกรณีของตนเองภายใต้สนธิสัญญาระหว่างประเทศอย่างสนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยเรื่องของสิทธิพลเรือนและสิทธิทางการเมือง การที่รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศสนับสนุนการดำเนินคดีอาชญากรรมสงครามในพม่าเมื่อไม่นานมานี้ ย้ำให้เห็นถึงการกระทำที่เป็นภัยของเหล่าอำมาตย์ในประเทศไทย

นี่ไม่ใช่การอภิปรายว่ารัฐบาลไทยมีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติต่อพลเรือนของตนเองอย่างไร หน้าที่การสอบสวนและดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิดนั้นได้รับการเคารพมายาวนานภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ การไม่ดำเนินคดีแก่เหล่านายทหารและกลุ่มอำมาตย์ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความรุนแรงนี้แสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งกับภาพลักษณ์ที่ประเทศไทยพยายามจะรักษาเอาไว้

แผนการของรัฐบาลนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการปฎิเสธ หลีกเลียง และสร้างสถานการณ์ความตึงเครียดเพื่อเป็นข้ออ้างในการใช้อำนาจเผด็จการ ซึ่งทำให้หลายฝ่ายแสดงการคัดค้านและความกังวลในการกระทำของรัฐบาล รัฐบาลอ้างอย่างผิดๆว่าการเรียกร้องนี้เป็นการทำลายชื่อเสียงประเทศไทย ดังนั้นหากรัฐบาลอภิสิทธิ์ต้องการที่จะอ้างว่าตนเป็นตัวแทนของประชาชนไทย มีหนทางเดียวที่จะสามารถอ้างเช่นนั้นได้ คือ นายอภิสิทธิ์และคณะต้องชนะการเลือกตั้งที่อิสระและเป็นธรรม

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

โภคิน พลกุล เปิดใจครั้งแรก “ถ้าเราคิดเอาชนะคนอื่น ไม่มีวันได้ชัยชนะ และยิ่งแพ้ตัวเองไปทุกวัน"

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

หลังถูกเว้นวรรคทางการเมือง “ดร.โภคิน พลกุล” อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตประธานรัฐสภา และอดีตรองประธานศาลปกครองสูงสุด เลือกที่จะใช้ชีวิตเงียบๆ ที่บ้านกรุงเทพและบ้านพักที่แปดริ้ว

กล่าวกันว่า ถ้า ดอกเตอร์จากฝรั่งเศส ผู้นี้ไม่หลงกลิ่นการเมือง วันนี้ เขาอาจได้นั่งเป็น ประธานศาลปกครองสูงสุด ก็เป็นได้

ล่าสุด ดร.โภคิน ปรากฏตัวบนเวทีสาธารณะในรอบหลายปี เมื่อเดินทางมาร่วมฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ในวันที่ “อดัม คาเฮน” บรรยายเรื่อง การขับเคลื่อนการส่งมอบประเทศไทยให้ลูกหลาน ที่สมาคมนักข่าว ฯ

ดร.โภคิน เขาพูดเรื่อง ทิศทางอนาคตสังคมไทย รวมทั้งชีวิต ความคิด และตัวตน ท่ามกลางกาลเวลาที่เปลี่ยนแปลงไปของนักกฎหมายมหาชน

@ ฟังข้อเสนอของ อดัม ฮาเคน แล้วเห็นทางออกจากวิกฤตความขัดแย้งบ้างไหม

ผมได้ฟังและได้อ่านหนังสือของเขา ถ้าจะเปรียบเทียบกับพวกเราเอง เราก็คงจะมีทางออกจากวิกฤตในแบบของเรา รัฐบาลเองก็ตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆ ขึ้นมา ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยอาจจะมองว่าสิ่งเหล่านี้ ไม่น่าจะใช่ เขาก็เสนอของเขาอีกอย่าง แต่การที่เรามีคนนอก (อดัม ฮาเคน) อย่าไปมองว่าเขาเป็นฝรั่งหรือเป็นใครมาจากไหน เขาก็เป็นคนๆ หนึ่ง ซึ่งอาจจะไม่รู้ปัญหาเรามากนัก แต่เขาก็พยายามเขามารับรู้รับทราบปัญหา ด้วยการไปคุยกับคนมากมาย รวมทั้งนายกรัฐมนตรีด้วย เพื่อฟังว่าทุกคนมองปัญหาของตัวเองอย่างไร

เขาก็พยายามหาและสร้างโมเดลในการแก้ปัญหา สร้างกระบวนการขั้นตอนในการแก้ปัญหา ซึ่งผมคิดว่าเป็นสิ่งที่น่ารับฟัง และที่ผมประทับใจเขาในแง่ปรัชญาหรือมิติในการแก้ปัญหา ก็คือ 1. เราต้องใช้สันติวิธี ไม่ใช้กำลัง อันนี้ตรงกัน 2. การแก้ด้วยสันติวิธีต้องแก้ด้วยการพูดและการฟัง เราบอกว่าก็พูดก็ฟังกันอยู่ทุกวัน แต่มันไม่ใช่แบบนั้น คือ ไม่ใช่พูดในสิ่งที่เราอยากจะพูด แต่ต้องพยายามอธิบายให้ได้ว่า ที่เราคิดอย่างนี้มันมีเหตุมีผลเพราะอะไร อย่างไร มีคำอธิบายว่า ทำไมเราถึงพูดอย่างนี้

ส่วนการฟัง ส่วนใหญ่เราก็อยากจะฟังในสิ่งที่เราอยากฟัง อะไรฟังแล้วขัดใจก็ไม่อยากฟัง แต่ผมคิดว่า เราต้องฟังในสิ่งที่เราไม่อยากฟัง เพราะในปัญหาหนึ่ง คนที่สัมผัสปัญหาและมุมมองต่อปัญหานั้น มีหลากหลายมาก เขาอาจจะสะท้อนไม่ตรงกับสิ่งที่เราคิดเลย ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็จะปฏิเสธ บางคนมองว่าคนนี้ใช้ไม่ได้ บางคนมองว่า พวกคุณไม่มีความรู้หรือเปล่า พวกคุณชาวบ้านไปหรือเปล่า หรือชาวบ้านมองว่า พวกคุณเนี่ยอยู่ข้างบน เอะอะก็เอาอะไรก็มายัดเยียดให้ฉันตลอดเวลา คือคิดแทนกันหมด ทำไมไม่รับฟังเขาก่อน

ผมคิดว่า เป็นสิ่งไม่เสียหายสำหรับบ้านเราที่จะเรียนรู้ประสบการณ์จากเพื่อนบ้าน สิ่งไหนเห็นว่าดีเป็นประโยชน์ก็นำมาปรับใช้ แม้ขณะนี้จะมีกรรมการของรัฐบาลก็ดี หรือเป็นคณะอะไรจากไหนก็แล้วแต่ แต่วันนี้เมื่อปัญหาเป็นอย่างนี้ ยิ่งมีหลากหลายเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เกิดการพูดจามากขึ้น

คนเรา ถ้าพูดจากันมากขึ้น ความตึงเครียดที่จะมีต่อกันก็น้อยลง ยิ่งถ้าได้พูดจากับคู่กรณี ได้มาอยู่ในเวทีเดียวกัน หลายคนบอกว่า คู่ขัดแย้งบางคนเป็นเพื่อนกันมาทั้งนั้น แต่วันนี้กลับโกรธกันเอาเป็นเอาตาย ไม่เผาผีกัน

ผมคิดว่า ถ้ามาดูเหตุการณ์แตกแยกทั้งหมดที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง ผมยังนึกไม่ออกว่ามันเกิดจากอะไร ศาสนา เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ก็ไม่มี หรือการกดขี่ข่มเหงกันอย่างในอดีตจนจำฝังใจ อย่างปัญหาภาคใต้เคยมีปัญหานี้ คนที่นับถือศาสนาอิสลามเขารู้สึกว่ารัฐไทยรังแกเขามาตลอด ตรงนี้เราก็ต้องยอมรับว่ามันมีอย่างนั้นจริงๆ แต่ก็ต้องมาดูวิธีการแก้ปัญหาของเรา ทำให้เขารู้สึกว่า เขาก็คือเพื่อนร่วมแผ่นดินอย่างเรา อยู่ร่วมกันได้ ก็ต้องพยายามทำตรงนั้น แต่วันนี้ปัญหาของเราไม่มี แต่เรากลับสร้างให้หนักกว่าปัญหาเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา เข้าไปอีก ซึ่งจริงๆ ไม่น่าจะมีอะไรเลย

ฉะนั้น ตรงนี้ จะว่ายากก็ยาก เพราะเหมือนมันไม่มีปัญหา แล้วมันมาได้ยังไง จะว่าง่ายก็ง่าย ถ้าคลิ๊ก พูดจากัน ฟังซึ่งกันและกัน ผมเสนอว่า ความจริงเราก็เป็นคนพุทธ อยากให้ลดอัตตาลง คือ อย่าคิดว่าเราถูก แล้วคนอื่นผิดหมด เหมือนที่ อดัมพูดว่า ทุกคนมีส่วนถูกและผิดพอๆ กัน คือ เราเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาด้วยกัน แต่วันนี้บางคนอาจจะคิดว่า ฉันไม่ใช่ปัญหา เธอนั่นแหละปัญหา ส่วนอีกฝ่ายก็มองกลับกัน มันก็ไม่จบ

ทั้งหมดก็เพราะ พยายามจะป้องกันตัวเองมากกว่าจะเปิดเผยตัวเองออกไป ทำไมเราไม่เปิดเผยตัวเองออกไป แล้วดูคนอื่นเขาเปิดเผยตัวเองด้วย แล้วมาหาทางออกร่วมกัน ผมคิดว่าทั้งหมดไม่ใช่เรื่องกระบวนการวิธี แต่เป็นเรื่องของท่าที อันนี้สำคัญมาก ถึงมีกระบวนการที่เลอเลิศ แต่ถ้าท่าทีไม่เป็นมิตร ไม่มองอย่างอภัยและเมตตากัน อย่างอื่นทำยากหมด

@ มองปรากฎการณ์ 2 มาตรฐานในสังคมไทย อย่างไร

เมื่อก่อน เราพูดกันเรื่องความไม่เป็นธรรมในสังคม เช่น ความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ระหว่างคนรวยกับคนจน เป็นหลัก แต่วันนี้เราพูดกันถึงเรื่องความไม่เป็นธรรมในทางบรรทัดฐานทางกฎหมาย ซึ่งเราต้องถามตัวเองก่อนว่า มันเป็นอย่างนั้นมั๊ย มันใช่อย่างนั้นมั๊ย บางอัน ผมคิดว่าไม่ต้องไปหาคำตอบ มันใช่เลย ดังนั้น ถ้าเราแก้ปัญหาเรื่องความไม่เป็นธรรมทางกฎหมายไม่ได้ มันก็จะนำไปสู่การแตกร้าวของสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ

เพราะแต่ก่อน คนที่เขารู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมมักจะเป็นชนชั้นล่าง แต่วันนี้คนทุกระดับอาจจะโดนได้หมด เป็นเพราะว่า ความรู้สึกที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ซึ่งเราสร้างมันขึ้นมา ผมเชื่อว่า ถ้าเราเห็นภาพว่าจะทำอย่างไรให้เกิดความเป็นธรรมทางกฎหมาย มันอาจจะเป็น 100 % ไม่ได้

บางคนถามผมว่า แล้วความเป็นธรรมทางกฎหมายจะวัดจากอะไร ผมบอกว่า จริงๆ แล้วมันง่ายมาก ถ้อยคำก็มีในรัฐธรรมนูญ หรือ พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหลายครั้ง ก็คือ คนที่เกี่ยวพันกับกฎหมายโดยเฉพาะศาล ก็ดี หรือหน่วยงานสำคัญๆ ด้านกฎหมาย ต้องทำหน้าที่โดยปราศจากอคติ เราต้องถามตัวเอง ผมก็เคยเป็นผู้พิพากษามาก่อน

คือ ทุกคนมีอคติ โดยเราไม่รู้ตัว จะรัก ชอบ เกลียด หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่เมื่อเรามีเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ต้องตัดสินใจ ที่เราต้องเสนอทางออก ทำอย่างไรเราถึงจะละ สิ่งที่เป็นอคติออกไปให้มากที่สุด ถ้าตัวเราสามารถทำได้อย่างนั้น คนที่ได้รับผลจากคำสั่งหรือคำวินิจฉัยจากเรา เขาก็จะมีความรู้สึกว่า น่าจะแฟร์ ถามว่าทำไมแฟร์ ก็เพราะดูแล้วปราศจากอคติ ซึ่งผมว่าปัญหาใหญ่อยู่ตรงนี้

ฉะนั้น ถามว่าความยุติธรรม คืออะไร ก็คือ เอาอคติออกจากตัวเองให้มากที่สุด มันก็จะมีการมองปัญหาที่รอบด้าน เที่ยงธรรมที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ถ้าเราไปบอกว่า ความยุติธรรมคือทำตามกฎหมาย คือบางทีฟังแล้วงง ผมไม่ได้มีอำนาจไปตัดสินใครทั้งสิ้น แต่เวลาเราคิดอะไรกับใคร พอเราคิดว่า เช่น เห็นนาย ก. เป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง เราต้องมาถามตัวเองว่า ที่เราคิดว่าเขาเป็นอย่างนั้น เราเอาอคติอะไรใส่ไปหรือเปล่า หรือเราหมั่นไส้เขาหรือเปล่า ไม่ชอบเขาเรื่องนี้หรือเปล่า แล้วอย่าโกหกตัวเอง(นะ)

ถ้าเราไม่โกหกตัวเอง เรายังคิดตรงนี้อีกนิดหนึ่ง ถ้าเราเอาตรงนี้ออก เราจะมองเขายังไง เปลี่ยนไปจากเดิมไหม ซึ่งที่สุดแล้ว อย่างที่ผมบอก คือ อยู่ที่ท่าที ที่เราจะมีต่อบุคคลอื่น ถ้าเราเอาอคติทั้งหลายออกจากตัวเราให้มากที่สุด ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะอะไร ถ้าทุกคนช่วยกันตรงนี้ หลักพุทธธรรมดาเลย(ครับ) ผมว่าน่าจะดีขึ้น

แต่วันนี้ เหมือนกับทุกคนเอาอคติเป็นมาตรฐาน เอาความชอบ ความกลัว ความเกลียด เป็นมาตรฐาน ไปตัดสินคนอื่น ตรงนี้มีสิ่งเหล่านี้อยู่ค่อนข้างมาก ถ้าเราละวาง ได้มากเท่าไหร่ เราก็จะเห็นว่ามันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้

@ จะแก้ปัญหาเรื่อง 2 มาตรฐานในสังคมไทยได้อย่างไร

ก็ตอบยาก(นะ) มันอยู่ที่วิธีมองปัญหาของเรา แต่ที่ผ่านมาเราก็มองว่าปัญหาประเทศไทย ต้องแก้ด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ ก็เห็นเขียนมากี่รอบแล้ว มันก็ไม่ได้แก้ปัญหา

ผมถึงย้ำว่า ปัญหาที่แท้จริงคือ ท่าทีของเรา แก้ที่ตัวเรา คิดซะว่าตัวเราเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา ทำอย่างไรที่จะเอาเราออกจากปัญหา อย่าไปเอาคนคนอื่นเขาออกก่อน เมื่อเราเอาตัวเองออกจากปัญหาก่อน คนอื่นเขาก็มองเรา และอาจจะเอาตัวเขาออกบ้าง

ถามว่า เราต้องสู้กับใคร ถ้าเราบอกว่าเราต้องสู้กับตัวเอง ในแง่ไหน ในแง่ความไม่ดีสารพัด บางคนติดบุหรี่ ติดเหล้า บางคนเต็มไปด้วยอคติ ความเกลียด ความแค้น ความรัก ความหลงทั้งหลายแหล่ ซึ่งเราต้องเอาตัวเองออกจากตรงนั้นให้มากที่สุด แต่ถ้าเราบอกว่า เราจะเป็นของเราอย่างนี้ ใครจะทำไม มันไม่จบ(ครับ)

เคยอ่านหนังสือของสุภาพสตรีท่านหนึ่ง เมื่อก่อนเธอบอกว่า ใช้ชีวิตปาร์ตี้สุดเหวี่ยงมาก แต่เมื่อถึงอายุหนึ่ง เขาก็บอกตัวเองว่ามันไม่ถูกแล้ว ต้องเลิกสูบบุหรี่ เลิกกินเหล้า ซึ่งที่สุด เขาทำได้ภายในวันเดียว เขาบอกว่าความเย้ายวนมันยังมีมาก แต่ความตั้งใจที่จะไม่ทำมันแรงกว่าสิ่งเย้ายวน ผมว่านี่เป็นคำตอบที่มันง่าย สามัญมาก แต่มันแฝงด้วยความลึกซึ้ง

สรุปก็คือ เอาชนะตัวเอง อย่าเอาชนะคนอื่น ถ้าเราคิดเอาชนะคนอื่น ไม่มีวันได้ชัยชนะ และยิ่งแพ้ตัวเองไปทุกวัน เราก็ยิ่งเป็นตัวปัญหาที่หนักขึ้นไปทุกวัน เดี๋ยวนี้ผมคิดอย่างนี้นะ และอยากให้ทุกคนช่วยกัน หรือแม้แต่คนอื่นเขาไม่คิดเหมือนเรา ด่าว่าเรา ก็พยายามหลีกเลี่ยง อย่าไปโกรธเขา พยายามหาคำตอบว่าทำไมเขายังคิดแบบนั้นอยู่

วันนี้สังคมไทยชอบบอกว่า ฉันดี เธอไม่ดี คนที่ถูกว่า ก็บอกว่า เธอนั่นแหละยิ่งกว่าฉัน สุดท้ายก็ไม่ได้แก้ปัญหา

@ ชีวิตช่วงเว้นวรรคการเมือง ดูเหมือน จะปลงกับชะตากรรมของตนเอง

จริงๆ ส่วนใหญ่ผมก็ตระเวนสอนหนังสือ เท่าที่จะสอนได้ (ครับ) บางทีก็เป็นประธานสอบวิทยานิพนธ์บ้าง เกี่ยวกับด้านกฎหมาย หรือไปบรรยายบ้าง แต่ไม่อยากรับบรรยายอะไรที่เป็นประจำ ที่สำคัญคือ ได้ทำหลายอย่างในชีวิตที่อยากทำแล้วไม่ได้ทำ เพราะที่ผ่านมางานรัฐมนตรี หรืองานอะไรต่างๆ มันแทบจะ 24 ชั่วโมง

แต่วันนี้ ผมได้ไปเที่ยวสวนสัตว์ ใช้เวลาว่างอ่านหนังสือ โดยเฉพาะหนังสือที่ทำยังไง เราจะช่วยกันปกป้องโลกจากอันตรายทั้งหลาย ได้หันมาสนใจสิ่งแวดล้อม หรือจะทำยังไงที่จะแก้ปัญหาเรื่องพลังงาน แล้วก็เลี้ยงสัตว์(ครับ) ผมได้เลี้ยงนก ได้เลี้ยงสุนัข เลี้ยงจิปาถะไปหมด พยายามศึกษาเขา ดูเขา

แต่ที่สนุกมากคือ พยายามอ่านหนังสือทุกประเภท แต่ที่ชอบมากที่สุด คือ หนังสือสารคดีเกี่ยวกับโลก ธรรมชาติ หรือมนุษยชาติให้อยู่กันอย่างสันติสุขได้อย่างไร เดี๋ยวนี้ไม่รู้สิ ชอบอะไรแบบนี้

แล้วผมก็ดูแลเรื่องสุขภาพ คือ ทำยังไงเมื่อเราอายุมากขึ้น 1. ก็ทานน้อยลง 2. เลือกทานที่เหมาะกับสุขภาพของเรา เช่น เลี่ยงอาหาร หวาน มัน เค็ม ถ้าอยากให้มีรสชาติหน่อย ขอทานเปรี้ยว ทานเผ็ด ดีกว่า

ผมเคยหนักถึง 81 กิโลกรัม วันนี้ลดลงเหลือ 70 กิโล ใช้เวลา 2-3 ปี คือ ผมก็ทานไปตามปกติ(นะ) แต่เนื้อเนี่ย นานๆ ครั้ง แต่ที่ทานมากที่สุก็คือ ผัก และ ผลไม้ เพราะร่างกายเราถูกออกแบบมาให้ทานของธรรมชาติ คือ สิ่งที่ผ่านการปรุงแต่งมาก ก็หลีกเลี่ยง

คือ คนเราจะติด ติดเหล้า ติดบุหรี่ ติดน้ำอัดลม ทำยังไงเราถึงจะไม่ติดในสิ่งที่เป็นพิษต่อร่างกาย แล้วติดสิ่งที่เป็นประโยชน์ เช่น ติดน้ำเปล่า ติดผัก ติดผลไม้ที่ไม่หลานจัดเกินไป หรือ ทานข้าวซ้อมมือให้มากกว่าข้าวขาว ซึ่งผลที่ออกมาทำให้สุขภาพผมแข็งแรงขึ้นมากเลย เชื่อมั๊ยครับ ผมไม่เป็นหวัดเลยแม้แต่วันเดียว เข้าปีนี้ปีที่ 3 แล้ว เพราะถ้าเราดูแลสุขภาพ และไม่เป็นภาระคนอื่น

@ มีหลายคนถามว่า อาจารย์จะกลับสู่ถนนการเมืองในนามพรรคเพื่อไทยหรือไม่

คงยังตอบไม่ได้(ครับ) แต่วันนี้ที่ตั้งใจไว้ก็คือ ผมอยากทำอะไรก็ได้ ที่ทำให้สังคมเกิดความเป็นธรรมอย่างที่ผมพูด เกิดเมตตาธรรมต่อกัน เกิดการพูดคุยกันอย่างเหมือนพี่เหมือนน้อง เถียงกันได้ วิพากษ์วิจารณ์กันได้ แต่จบ แล้วช่วยกันเดินหน้าต่อไป ส่วนผมอยู่ตรงไหนก็ได้ หรืออาจจะร่วมงานกับภาคประชาชนก็เป็นได้

คือ ผมฝันอยากเห็นสิ่งนี้ เพราะผมเชื่อว่า ถ้าเราสร้างพื้นฐานได้อย่างนี้ การเมืองที่เราด่าว่ากัน มันก็อาจจะดีขึ้น โดยการสร้างทัศนคติเอาความไม่ดีออกจากตัวเราให้ได้มากที่สุด ถ้าคิดกันได้อย่างนี้หมด ก็จะมองคนอื่นแบบเมตตา

ถามว่า คนนี้ทำไมค้ายาเสพติด เราก็ต้องทำความเข้าใจว่า มีบริบทอะไรที่ทำให้เขาเป็นอย่างนั้น แล้วเขาจะออกจากบริบทนี้อย่างไร มากกว่าจะไปนั่งประณาม นั่งด่าว่า หวังจะลงโทษเขาให้เต็มกำลัง แต่โอเคว่า กระบวนการทางกฎหมายที่จะต้องมีการจัดการ ก็ต้องมี ฉะนั้น ทำยังไงที่จะสร้างความเข้าใจว่าทำไม คนๆ หนึ่งเป็นอย่างนั้น ทำไมอีกคนไม่เป็น ทำไมอีกคนติดบุหรี่ แต่อีกคนไม่ติด หรือทำยังไงให้เขาไม่ติด นั่นคือการมีท่าที มีทัศนะที่ดีต่อกัน

อย่างสมัยผมเป็นรัฐมนตรี หลายคนบอกว่า ปัญหาภาคใต้ 3 เดือนจบ 6 เดือนจบ แต่ผมบอกว่า เจเนอเรชั่นเราไม่รู้จะจบหรือเปล่า ถามว่าเพราะอะไร เพราะความรู้สึกตัวตนเขาแปลกแยกกับเรา แปลกแยกเรื่องอะไรบ้าง เชื้อชาติ ศาสนา ภาษา ความรู้สึกที่ไม่มีความยุติธรรมให้เขา คือ ถ้าเราเอาใจเขามาใส่ใจเรา ปฏิบัติกับทุกคนเหมือนพี่เหมือนน้อง ถ้าอย่างนี้ก็ง่าย(ครับ)

@ ฟังดูราวกับว่าอาจารย์มีความสุขและเข้าใจชีวิตมากขึ้น

ถือว่า ได้ใช้ชีวิตอย่างที่อยากจะเป็น ได้อ่านหนังสือ ดูสารคดี สอนหนังสือเท่าที่สอนได้ มันมีเวลาดูและทบทวนตัวเองมากขึ้น แต่ก่อนชีวิตเหมือนหมุนไปตามกงจักร เป็นรัฐมนตรี มีนัดตั้งแต่เช้าจรดเย็น พอว่างก็มีคนมาแทรก จะไม่ทำก็ไม่ได้ จริงๆ ไม่ทำก็ได้นะ แต่เหมือนไม่กล้าทะลุออกไป

วันนี้ก็มานั่งทบทวน อย่างงานแต่งไม่ต้องไปทุกงานก็ได้ งานศพไม่ต้องไปทุกงานก็ได้ ถ้าไปหมดก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว วันนี้ก็มาเลือกว่า อันไหนเหมาะสมเราก็ไป ให้คนเข้าใจว่าเราอยากมีชีวิต มีวิถีตัวตัว ที่เราทบทวนตัวเองอย่างนี้ บางคนบอกว่าผมหายไปเลย ผมบอกว่าไม่ใช่หรอก ก็เหมือนเดิม ถึงมีตำแหน่งหรือไม่มีตำแหน่ง

ฉะนั้น ก็พยายามทำให้เขาเข้าใจว่า วันนี้เราอยากขออย่างนี้บ้าง หรือแต่ก่อนเวลาไปงาน มีจัดฉากเยอะ พอเราไม่มีตำแหน่ง พอไปเยอะ อ๋อ ... แต่ก่อนตรงนี้เขาจัดฉากให้เรา (หัวเราะ)

ผมคิดว่า เป็นสิ่งที่ดีที่ได้ทบทวนชีวิต อย่างน้อยก็ 2 มิติ คือ ไม่ใช่ดำอย่างเดียว แต่มีขาวด้วย หรือในที่ขาวก็มีดำ ถ้าเราเป็นอย่างนี้ได้ มันก็คือธรรมชาติ

**********************************************************************************

เกมสนองตัณหาการเมือง

สยามธุรกิจ
แปลกใจกันบ้างไหมเจ้าคะ ว่าวัฒนธรรมการประชุมสภาฯ บ้านเรานี่ดูจะแปลกอยู่นะเจ้าคะ ไม่ทราบว่าอย่างไร เวลาประชุมสภากัน ผู้เข้าร่วม ประชุมจะออกอาการสมองเสื่อม ไปจน ถึงออกอาการโรคจิตประสาทอย่าง “พารานอยด์ (paranoid)” หวาดระแวง ประเภทสงสัยเกินกว่าเหตุ เลยเถิดกลายเป็นความระแวงแบบฝังแน่น อย่างสุดลิ่มทิ่มประตู ไม่ว่าใครจะนำหลักฐานอะไรมาก็ไม่เชื่อ เชื่อตัวเองอย่าง เดียว ซึ่งอาจเป็นความผิดปกติหรือมีอาการ ทางจิต

บางพวกก็ประสาทเสื่อมจำไม่ได้ว่าจริงๆ แล้ววันนี้ที่เข้าประชุมมันประเด็นอะไรกันแน่ กลับไปขุดเอาเรื่องสมัยพระเจ้า สามหน่อขึ้นมาคุยเสียแบบนั้นเอง ไอ้เราประชาชนตาดำๆ นั่งดูโทรทัศน์อยู่ที่บ้านก็งงสิเจ้าคะ...

งงตั้งแต่ว่าเรานั่งบ้านั่งดูอะไรอยู่กัน แน่ ไปจนถึงเราเลือกคนบ้าเขาไปเป็นตัวแทน หรือเปล่าเนี่ย???..สารพันปัญหาจะงง.... ประชาชนตาดำๆ ดูแล้วก็พูดได้คำเดียวว่า ปวดกะโหลก!!!

**************************************************************************

ดร.นันทวัฒน์ วิพากษ์“2 มาตรฐาน” นี่คือเครื่องมือทำลายล้างทางการเมือง แต่ผมมีวิธีแก้ปัญหา!!!

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ศ. ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์ เมธีวิจัยอาวุโส สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เขียนบทบรรณาธิการ เรื่อง "สองมาตรฐาน" มีประเด็นน่าสนใจ ดังนี้

หากจะว่ากันไปแล้ว คำว่า “สองมาตรฐาน” ไม่ใช่คำที่เกิดขึ้นใหม่แต่เป็นคำที่ถูกหยิบยกเอามาใช้กันมากในช่วงเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากคำดังกล่าวเป็นคำที่ต้องการ “ข้อพิสูจน์” ที่เป็นรูปธรรม ผมจึงไม่ได้ให้ความสนใจมากเท่าไรนัก เพราะการพิสูจน์เรื่องแต่ละเรื่องที่มีการอ้างว่า “สองมาตรฐาน” ก็จะมีการอ้างข้อมูลที่แตกต่างกันไปและไม่สามารถกำหนดได้ว่าอะไรคือ “มาตรฐาน” ที่ว่านี้ ผมก็เลยไม่ได้นำเรื่อง “สองมาตรฐาน” มาพูดหรือมาเขียน

แต่อย่างไรก็ดี เมื่อวันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสได้อ่านการ์ตูนของนักเขียนการ์ตูนชื่อดังคนหนึ่งในหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ฉบับหนึ่งที่ออกมาเล่นเรื่อง “สองมาตรฐาน” ที่ดูๆ แล้วขนาดการ์ตูนก็ยัง “สองมาตรฐาน” ผมจึงคิดว่าคงต้องเขียนเรื่องนี้บ้างเพื่อไม่ให้ตกขบวนครับ

ที่มาของคำว่า “สองมาตรฐาน”

คำว่า “สองมาตรฐาน” หรือ “double standard” เป็นคำที่ถูกนำมาใช้เรียกบรรดาการกระทำ การดำเนินการหรือการบริหารจัดการในเรื่องเดียวกัน แต่ต่างกลุ่มเป้าหมายกันและผลที่เกิดขึ้นตามมาก็แตกต่างกัน โดยผู้กระทำ ผู้ดำเนินการ หรือผู้บริหารจัดการเรื่องดังกล่าวอาจมีเจตนาหรือไม่ก็ได้ อาจทำโดยไม่รู้ก็ได้ อาจทำโดยหย่อนความสามารถก็ได้ หรืออาจทำโดยตั้งใจก็ได้ครับ

คำดังกล่าวเป็นคำยอดนิยมในปัจจุบันและถูกนำมาใช้ในเรื่อง “การเมือง” กันมาก โดยนำมาใช้ในลักษณะที่เป็นคุณเป็นโทษกับคน โดยปกติทั่วไปแล้ว ผู้ได้รับประโยชน์จากการกระทำ “สองมาตรฐาน” ก็มักจะไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องดังกล่าวเพราะคิดว่านี่คือ “สิทธิพิเศษ” ที่เกิดขึ้นกับตน ทำให้ตนได้รับการปฏิบัติด้วยมาตรฐานที่ดีกว่า จึงไม่เรียกร้องอะไรเพราะตนเป็นผู้ได้รับประโยชน์

แต่ในทางกลับกัน ฝ่ายที่ได้รับการปฏิบัติที่ด้อยกว่าอีกฝ่ายหนึ่งก็มักจะเรียกร้องหา “มาตรฐาน” เพราะสิ่งที่ตนได้รับนั้นก่อให้เกิดผลกระทบต่อตนเองมากกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง เพราะฉะนั้น หากเมื่อใดก็ตามที่เกิดอาการหรือเกิดการกล่าวอ้างว่า “สองมาตรฐาน” ก็หมายความว่า จะมีผู้หนึ่งหรือฝ่ายหนึ่ง “ได้ประโยชน์” ส่วนอีกผู้หนึ่งหรืออีกฝ่ายหนึ่งก็จะเป็นผู้ “เสียประโยชน์”

“สองมาตรฐาน” ไม่ได้เป็นศัพท์ด้านนิติศาสตร์ แต่ถ้าหากจะหาศัพท์ด้านนิติศาสตร์มาใช้ก็คงหนีไม่พ้นคำว่า “เลือกปฏิบัติ” ส่วนถ้าจะใช้ศัพท์ชาวบ้านทั่วๆ ไปก็คงเรียกการกระทำสองมาตรฐานว่าเป็นการ “ลำเอียง” ก็ได้นะครับ

“สองมาตรฐาน” ไม่ได้เป็นประเด็นด้านนิติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจากข้อบกพร่องหรือข้อผิดพลาดของตัวบทกฎหมาย แต่เกิดจากการที่ “ผู้มีอำนาจ” ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเลือกที่จะใช้อำนาจหรือดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดกับบุคคลหนึ่งบุคคลใดหรือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดที่แตกต่างกันภายใต้กฎหมายหรือกฎเกณฑ์เดียวกัน

ในชีวิตประจำวัน เรื่อง “สองมาตรฐาน” ไม่ใช่เป็นเรื่องแปลกเพราะโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่มีการรวมกลุ่ม มีความเชื่อ มีสังคม มี “รุ่น” ต่างๆ ร่วมกัน ก็ย่อมมีความผูกพันเป็นธรรมดา และเมื่อเราอยากให้คนที่เราผูกพันได้รับความสะดวกสบาย หรือได้รับสิ่งที่ “ดีๆ” อาการสองมาตรฐานก็จะเกิดขึ้นตามมาครับ

จากวัฒนธรรมสู่ความชาชิน

นอกจากนี้แล้ว สภาพสังคมและวัฒนธรรมก็ยังเป็นส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิด “สองมาตรฐาน” ไม่ต้องดูอื่นไกลนะครับ เด็กกับผู้ใหญ่ทำสิ่งเดียวกัน คนรวยกับคนจนทำสิ่งเดียวกัน เจ้านายกับลูกน้องทำสิ่งเดียวกัน ผลที่เกิดขึ้นไม่เหมือนกันอย่างแน่นอนครับ โดยเฉพาะเด็กกับผู้ใหญ่นี่เป็น “วัฒนธรรม” ที่ทำให้เกิด “สองมาตรฐาน” จนกลายเป็น “ความชาชิน” ของสังคมในปัจจุบัน

ลองนึกตัวอย่างดูเอาเองก็ได้ครับเพราะผมเชื่อว่า แต่ละคนก็เคยประสบกับ “สองมาตรฐาน” มาแล้วทั้งนั้น ไม่ว่าจะประสบในครั้งที่ยังเป็น “เด็ก” ผู้ถูกกระทำหรือเมื่อเป็นผู้กระทำที่เป็น “ผู้ใหญ่” แล้วครับ เด็กทำอะไรก็ผิดไปหมดในขณะที่ผู้ใหญ่ทำอย่างเดียวกันแต่กลับไม่ผิด !!

ความเคยชินเหล่านี้ในบางครั้งผู้ถูกกระทำก็ต้องยอมรับเพราะวัฒนธรรมและสภาพสังคมต่างก็มีส่วนทำให้ผู้ถูกกระทำ “ต้องยอมรับ” และ “ไม่มีปากไม่มีเสียง” ครับ แต่ในใจของทุกคน ผู้ถูกกระทำทุกคนรู้สึกถึงความไม่เท่าเทียมกัน รู้สึกถึงการได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกันครับ !!!

ในทางกฎหมาย ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่า แม้จะไม่มีคำว่า “สองมาตรฐาน” แต่เราก็สามารถนำคำว่า “เลือกปฏิบัติ” มาใช้แทนได้ การเลือกปฏิบัตินี้ก็เป็นสิ่งที่ทั้งรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 และฉบับปี พ.ศ. 2550 ได้กล่าวเอาไว้ โดยในมาตรา 30 วรรคสาม แห่งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้กล่าวไว้ว่า

"การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางด้านเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ จะกระทำมิได้"

และนอกจากนี้แล้ว ในมาตรา 9 (1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ก็ยังกำหนดให้การเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่กระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ คำสั่ง หรือการกระทำอื่นใดเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง

คดีบรรทัดฐาน ทนายพิการสอบอัยการ

ที่ผ่านมา ในช่วงเวลาของการบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 มีกรณีของการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมที่น่าสนใจหลายเรื่องด้วยกัน แต่ที่น่าสนใจที่สุดก็คือกรณีของนาย ศิริมิตร บุญมูล ทนายความพิการด้วยโรคโปลิโอที่ไปสมัครสอบเป็นข้าราชการอัยการในตำแหน่งอัยการผู้ช่วยแต่ทางหน่วยงานไม่รับสมัคร

เนื่องจากเห็นว่ามีร่างกายพิการ ต่อมา นายศิริมิตร บุญมูล ก็ได้นำเรื่องดังกล่าวไปฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครองกลาง และศาลปกครองสูงสุด ซึ่งศาลปกครองสูงสุดก็ได้พิพากษาเพิกถอนมติของคณะกรรมการอัยการที่มีมติไม่รับสมัคร นายศิริมิตร บุญมูล ในการสอบคัดเลือกเพื่อบรรจุเป็นข้าราชการอัยการในตำแหน่งอัยการผู้ช่วย โดยเรื่องดังกล่าว รองศาสตราจารย์ ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ ได้เขียนบทความลงใน www.pub-law.net ไปแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 ก็ต้องลองไปอ่านดูนะครับ

ในทางการเมือง ปัญหาใหญ่ของประเทศไทยในวันนี้คือ การแตกแยกในทางความคิดอันนำไปสู่ความขัดแย้งระดับชาติ มีการแบ่งขั้ว แบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันในทุกที่ ทุกกลุ่ม อย่างชัดเจน มีการแบ่งเป็นพวกใครพวกมันในทุกระดับชั้นของสังคม ฝ่ายหนึ่งไปอีกฝ่ายหนึ่งมา คำว่า “สองมาตรฐาน” จึงถูกนำมาใช้สำหรับการดำเนินการที่ไม่เท่าเทียมกันที่ “อีกฝ่ายหนึ่ง” เป็นผู้ทำครับ

ผมคงไม่ต้องยกตัวอย่างอะไรมากมายนักเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้คนพยายามออกมาบอกว่า “สองมาตรฐาน” ถ้าเรามองอย่างใจเป็นธรรม เราก็คงรู้เอง เพราะอย่างที่ผมกล่าวไปแล้วข้างต้นว่า สองมาตรฐานไม่สามารถวัดได้ด้วยกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ใดๆ ทั้งนั้น เพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการมากกว่าเกิดขึ้นจากข้อบกพร่องหรือข้อผิดพลาดของตัวบทกฎหมาย สังคมเราในวันนี้เกิดการบังคับใช้กฎหมายและการใช้อำนาจทางการเมืองแบบที่แตกต่างกัน ไม่ต้องดูอื่นไกลนะครับ

สองมาตรฐาน ...ภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

ล่าสุดที่เกิดขึ้น ภายใต้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 เด็กนักเรียนเขียนป้ายที่มีข้อความกระทบกับการเมืองก็ถูกจับเข้าสถานพินิจเด็กและเยาวชน ประชาชนผูกผ้าแดงที่ป้ายสี่แยกก็ถือว่าทำผิดกฎหมาย ในขณะที่คนเป็นร้อยชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาล ต่อมาย้ายไปชุมนุมบริเวณถนนราชดำเนินนอก มีการตั้งเวทีปราศรัย ซึ่งเป็นการชุมนุมที่ผิดพระราชกำหนดดังกล่าวอย่างชัดแจ้ง กลับไม่มีการดำเนินการทางกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น

นี่เป็นตัวอย่าง “เล็กๆ” ที่เกิดขึ้นล่าสุดเมื่อไม่กี่วันนี้เองครับ ส่วนตัวอย่าง “ใหญ่ๆ” อีกเรื่องหนึ่งที่ยังคงเป็นคำถามที่รอคำตอบอยู่ก็คือ ผู้ชุมนุมยึดสนามบิน ยึดทำเนียบ ปิดล้อมรัฐสภา ตำรวจใช้กำลังสลาย ถูกสอบสวนโดนไล่ออก ส่วนกรณีผู้ชุมนุมยึดสี่แยกราชประสงค์ ทหารใช้กำลังเข้าสลาย คนตายร่วมร้อย บาดเจ็บหลายพันกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยครับ

ยังมีตัวอย่างอีกมากมายที่ผมคงไม่ต้องหยิบยกมาพูดให้สะเทือนความรู้สึก และสร้างความ “น้อยใจ” ให้กับผู้ได้รับผลกระทบจาก “สองมาตรฐาน” เพราะจริงๆ แล้ว คนไทยทุกคนในฐานะผู้เสียภาษี ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม ต่างก็มีสิทธิที่จะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันจากหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐ

เพราะเงินภาษีเหล่านี้ก็คือ “ค่าจ้าง” ที่ประชาชน “จ้าง” พวกคุณมาบริหารประเทศ มาเป็นตำรวจ มาเป็นทหาร เพื่อดูแลทุกข์สุขให้กับประชาชนทุกคนอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน ไม่ใช่เพื่อ “ดูแล” หรือ “รับใช้” คนหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดเป็นการเฉพาะนะครับ !!!

เราจะแก้ปัญหา “สองมาตรฐาน” ได้ไหม ? เป็นคำถามที่หลายๆ คนอยากรู้กันมาก

นี่คือวิธีการแก้ปัญหาสองมาตรฐาน

ผมเคยเสนอผ่าน “ผู้มีอำนาจ” ไปแล้วหลายครั้งว่า อะไรที่ใครบอกว่าสองมาตรฐานก็ต้องให้ผู้ที่รับผิดชอบออกมาชี้แจงว่าทำไมถึงเข้าใจกันไปว่าสองมาตรฐาน ลองยกตัวอย่างดูก็ได้ว่า หากมีฝ่ายหนึ่งบอกว่า เรื่องของอีกฝ่ายหนึ่งค้างอยู่ที่ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลยุติธรรม ป.ป.ช. กกต. ฯลฯ มาเป็นเวลานานแล้ว ส่วนเรื่องของฝ่ายตนเองบรรดาองค์กรเหล่านั้นก็รีบดำเนินการ ไม่ยากหรอกครับ ทำแบบ ศอฉ. แถลงข่าวก็ได้ เอาผู้ที่เกี่ยวข้องและสามารถให้ข้อมูลได้ออกมานั่งกันให้เต็มจอทีวี อธิบายว่าเรื่องดังกล่าวอยู่ในขั้นตอนใด ช้าเพราะเหตุใด และคาดว่าจะเสร็จเมื่อไร ชี้แจงให้เป็นระบบและชัดเจน

ผมว่าคนคงหายสงสัยไปได้มากนะครับ นี่คือวิธีการแก้ปัญหาของสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วด้วยการให้ข้อมูลที่ชัดเจน ถูกต้องแก่ประชาชน และให้ประชาชนรับทราบด้วยว่า “น่าจะ” ใช้เวลาในการดำเนินการอีกนานเท่าไรสำหรับแต่ละเรื่อง ส่วนในวันข้างหน้า เพื่อไม่ให้เกิดการดำเนินการที่มีลักษณะสองมาตรฐานอีก หน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐควรจะต้องพยายามมีความเป็นกลางทางการเมืองให้มากขึ้น หยุดที่จะฟังและทำตามนักการเมืองโดยละเลยกับหลักนิติรัฐ

ใช้มาตรา 157 เป็นเครื่องมือแก้ปัญหา

หลักของความเป็นข้าราชการที่ดี คงต้อง “สำนึก” ให้มากขึ้นว่า มีงานทำและมีเงินใช้ได้ทุกวันนี้ก็เพราะภาษีจากประชาชนทั้งประเทศ ในการทำงานควรทำด้วยความโปร่งใส รวดเร็ว ชัดเจน มีคำตอบ เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้เสนอข้อเท็จจริง ข้อเสนอ “เชยๆ” ที่กล่าวไปแล้วนี้ไม่ล้าสมัยหรอกครับ เพราะยังเป็นสิ่งที่เราไม่ให้ความสนใจที่จะทำอย่างเสมอต้นเสมอปลายต่อเนื่องกันมาเป็นเวลานานจนทำให้ความแตกแยกในสังคมขยายออกไปกว้างมากขึ้นทุกวัน

ฝ่ายประชาชน ผู้ที่มั่นใจว่าตนเองได้รับการปฏิบัติที่มีลักษณะ “สองมาตรฐาน” ก็น่าจะลองใช้สิทธิทางศาลยุติธรรมด้วยการฟ้องร้องเจ้าหน้าที่ผู้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ต่อไป หรือไม่ก็ใช้สิทธิฟ้องศาลปกครองเพื่อขอให้ศาลสั่งให้หัวหน้าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมาตรา 72 (3) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 คือปฏิบัติตามหน้าที่ภายในเวลาที่ศาลปกครองกำหนดในกรณีที่มีการฟ้องว่าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเว้นต่อหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร

หลายๆ คนอาจ “ส่ายหน้า” ว่าการใช้สิทธิทางศาลกว่าจะรู้ผลก็ต้องใช้เวลานาน แต่ผมก็ยังเห็นว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดและถูกต้องที่สุดเพราะเป็นการ “ต่อสู้” ตามกฎหมายครับ ฟ้องกันมากๆ ให้มีข่าวออกมามากๆ ผู้มีอำนาจที่จะใช้วิธี “สองมาตรฐาน” ก็จะต้องระวังตัวมากขึ้นที่จะใช้อำนาจในลักษณะดังกล่าว ไม่ช้าไม่นานสถานการณ์ก็คงจะดีขึ้นไปเองครับ เพียงแต่ต้องอาศัย “ความกล้า” และ “เวลา” เท่านั้นเองครับ !!

เครื่องมือในการทำลายล้างทางการเมือง

สำหรับฝ่ายการเมือง ผมว่าหยุดได้แล้วที่จะใช้ “สองมาตรฐาน” เป็นเครื่องมือในการทำลายล้างทางการเมือง แค่นี้ก็ไม่รู้แล้วว่าจะหาทางออกให้กับประเทศได้อย่างไรครับ ควรหยุดแทรกแซงและสั่งการฝ่ายข้าราชการประจำและในขณะเดียวกันก็ควรหาทางให้มีการใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดเพื่อก่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และต้องพยายามหาทางทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลับมาสู่มาตรฐานเดียวให้ได้ รัฐบาลสองมาตรฐานคงไม่สามารถนำความสงบสุขและความปรองดองกลับมาสู่ประเทศได้อย่างแน่นอนครับ !!!

ขนาดการ์ตูนก็ยังสองมาตรฐาน ?

ข้อเขียนนี้คงไม่สมบูรณ์ หากจะไม่กล่าวถึง “สื่อ” ที่ในวันนี้ก็สองมาตรฐานกันเสียเหลือเกิน ขนาดการ์ตูนก็ยังสองมาตรฐานเลยครับ !!! คงจะต้องหันกลับมาปฏิบัติตามสิ่งที่ได้ร่ำเรียนกันมาใหม่นะครับ พยายามทำตัวให้เป็นกลาง อย่าเลือกข้าง นำเสนอสิ่งที่ถูกต้องและเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนให้มากที่สุดและดีที่สุด ต้องไม่ลืมว่าสื่ออยู่เหนือการเมืองนะครับ ไม่ใช่อยู่กับการเมือง อยู่ในการเมืองหรืออยู่ใต้การเมืองครับ

หากยังปล่อยให้บ้านเมืองของเราอยู่ในสภาวะ “สองมาตรฐาน” ต่อไป ความแตกแยกก็ต้องมีมากขึ้น จนในที่สุดระบบต่างๆ ที่เป็นตัวขับเคลื่อนสังคมและประเทศก็จะต้อง “ล่มสลาย” เมื่อถึงวันนั้น ผู้คนจะไม่มีความเชื่อถือในรัฐบาล ไม่มีความเชื่อถือในเจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานของรัฐ ไม่มีความเชื่อถือในทหาร ไม่มีความเชื่อถือในตำรวจ และไม่มีความเชื่อถือในฝ่ายตุลาการ แล้วประเทศเราจะอยู่ต่อไปได้อย่างไรครับ บ้านเมืองที่ไร้กฎเกณฑ์ ไร้กติกาคงไม่ใช่สิ่งที่พวกเราอยากเห็นหรืออยากให้เกิดขึ้นครับ !!!

***********************************************************************************

"ธาริต"สั่งไม่ฟ้องคดีซุกหุ้นภาคสอง "พ.ต.ท.ทักษิณ-คุณหญิงพจมาน" หลุดบ่วง

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ดีเอสไอสั่งไม่ฟ้องคดีซุกหุ้นภาคสอง "พ.ต.ท.ทักษิณ-คุณหญิงพจมาน" หลุดบ่วงกฎหมายหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กรณีจำหน่ายและโอนหุ้นชินคอร์ปให้บริษัทแอมเพิลริชฯ "ธาริต" ระบุคดีมีพยานหลักฐานไม่พอฟ้อง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ร้องทุกข์ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2553 ให้ดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร์ ในความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 246 และมาตรา 247 กรณีจำหน่ายและโอนหุ้นชินคอร์ปให้กับบริษัท แอมเพิล ริช อินเวสเมนต์ จำกัด ว่าเป็นการรายงานเท็จ หรือรายงานไม่ถูกต้องต่อ ก.ล.ต.

ต่อมาเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2553 ที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงเป็นประธาน มีมติรับคดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ อย่างไรก็ตามล่าสุดนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้สั่งไม่ฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน

นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เมื่อวันที่ 16 สิงหาคมที่ผ่านมาตนได้สั่งไม่ฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร์ ในคดีการได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ของบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นการกระทำการหรือละเว้นการกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติว่าด้วยการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการตามมาตรา 246 และ 247 แห่ง พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 หรือคดีซุกหุ้นภาค 2

เนื่องจากผู้ต้องหาที่ 1 (พ.ต.ท.ทักษิณ) และผู้ต้องหาที่ 2 (คุณหญิงพจมาน) ได้จำหน่ายและโอนหุ้นชินฯทั้งหมดให้กับบุคคลในครอบครัวดังกล่าวนั้นเป็นการถือครองหุ้นแทนผู้ต้องหาที่ 1 และที่ 2 รวมทั้งหุ้นเพิ่มทุนของหุ้นชินฯของนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ที่มีการชำระค่าหุ้นโดยผู้ต้องหาที่ 2 และหุ้นชินฯที่ผู้ต้องหาที่ 1 โอนให้กับบริษัทแอมเพิลริชก็เป็นจำนวนหุ้นที่ถือครองแทนผู้ต้องหาที่ 1 และที่ 2 ด้วย

สำหรับการรายงานตามแบบ 246-2 ของผู้ต้องหาที่ 1 และที่ 2 ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ว่ามีหุ้นชินฯเหลือศูนย์หุ้นนั้น เป็นความเท็จหรือไม่ ซึ่งข้อเท็จจริงไม่มีการจำหน่ายหุ้นชินฯให้บุคคลในครอบครัวหรือนิติบุคคลแต่อย่างใด จึงถือว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลง จำนวนทุกร้อยละ 5 ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของกิจการนั้น

ผู้ต้องหาที่ 1 และที่ 2 จึงไม่มีหน้าที่ต้องรายงานตามแบบ 246-2 ต่อสำนักงาน ก.ล.ต.ตามมาตรา 246 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และตามตัวบทกฎหมายดังกล่าวไม่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการรายงานเท็จหรือรายงานไม่ถูกต้องต่อสำนักงาน ก.ล.ต.เป็นความผิด

ดังนั้นการกระทำของผู้ต้องหาที่ 1 และ 2 ยังรับฟังไม่ได้ว่ากระทำความผิดตามข้อกล่าวหา ถึงแม้จะรับฟังว่าการกระทำของผู้ต้องหาที่ 1 และ 2 เป็นการรายงานตามแบบ 246-2 ที่เป็นเท็จต่อสำนักงาน ก.ล.ต. แต่ก็สามารถแก้ไขเพิ่มเติมให้ถูกต้องได้ กล่าวคือผู้ต้องหาที่ 1 และที่ 2 ได้มีการแก้ไขรายงานแบบที่มีการรายงานเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2543 ถึง 3 ครั้งด้วยกัน

นายธาริตกล่าวว่า การกระทำของผู้ต้องหาที่ 1 และ 2 จึงไม่เป็นความผิดฐานไม่รายงานการได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ของกิจการใดในลักษณะที่ทำให้ตนหรือบุคคลอื่นเป็นผู้ถือหลักทรัพย์ในกิจการนั้นเพิ่มขึ้นหรือลดลง เมื่อรวมกันแล้วมีจำนวนทุกร้อยละ 5 ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของกิจการนั้น ไม่ว่าจะมีการลงทะเบียน การโอนหลักทรัพย์นั้นหรือไม่ และไม่ว่าการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของหลักทรัพย์นั้นจะมีจำนวนเท่าใดในแต่ละครั้งต่อสำนักงาน ก.ล.ต.ทุกครั้งที่ได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ภายในวันทำการถัดจากวันที่ได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ของกิจการนั้น อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 246 ทางคดีมีพยานหลักฐานไม่พอฟ้อง จึงเห็นควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 และที่ 2 ตามข้อกล่าวหา และตัวบทกฎหมายดังกล่าว

"คดีนี้มีพนักงานสอบสวน 10 คน โดยมี พ.ต.อ.ณรัตน์ เศวตนันทน์ รองอธิบดีดีเอสไอเป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน โดยเห็นชอบตามพนักงานสอบสวนทั้ง 10 คน อย่างเป็นเอกฉันท์ และอัยการที่ปรึกษามีความเห็นพ้องด้วย ผมก็เห็นควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 และ 2 แต่หลังจากนี้ต้องส่งให้อัยการต่อไปว่าจะเห็นด้วยหรือไม่" อธิบดีดีเอสไอกล่าว

สำหรับคดีซุกหุ้นภาค 2 เกิดขึ้นในช่วงปี 2542-2543 โดยนอมินีที่ถูกเชิดเปลี่ยนจากคนรับใช้มาเป็นทายาทและเครือญาติ กับบริษัทที่ตั้งขึ้นในชื่อบริษัท แอมเพิลริช อินเวสเมนต์ จำกัด โดยพฤติกรรมการซุกหุ้นภาค 2 พ.ต.ท.ทักษิณถูกกล่าวหาว่า ซุกหุ้นเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายอย่างน้อย 2 ฉบับ คือมาตรา 4 ของ พ.ร.บ.การจัดการหุ้นส่วนและหุ้นรัฐมนตรี พ.ศ. 2543 ห้ามรัฐมนตรีเป็นหุ้นส่วนหรือถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 5 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด และมาตรา 100 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542

คดีซุกหุ้นภาค 2 เคยถูกกลุ่มวุฒิสมาชิกยื่นฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ช่วงต้นปี 2549 แต่ศาลไม่รับฟ้อง เพราะเห็นว่าฟ้องครอบคลุม กระทั่งกลายเป็นข่าวใหญ่และกลายเป็นจุดจบทางการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ หลังการขายหุ้นชินคอร์ปฯให้แก่กลุ่มเทมาเส็ก สิงคโปร์ มูลค่า 73,000 ล้านบาท เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549

*************************************************************************************

ปลดล็อกกรุงเทพฯ ฝันไปหรือเปล่า?

ที่มา.บางกอกทูเดย์

พล.อ.อนุพงษ์-อภิสิทธิ์
พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ยกเลิกต่างจังหวัดพอไหว
เพราะการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เป็นเสมือนสัญญลักษณ์ที่สะท้อนถึงความไม่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง แต่เป็นอำนาจเผด็จการทางทหาร

ยิ่งลากยาวนานไปเท่าไร ก็ยิ่งทำให้ประเทศไทยถูกต่างประเทศมองในแง่ลบมากขึ้นเรื่อยๆ

ในเมื่อวันนี้อยากจะสร้างความสมานฉันท์ปรองดอง แล้วจะมามัวพึ่งพิงอำนาจเหนือกฎหมายปกติต่อไปอีกทำไม...

นี่คือแรงกดดันสำคัญที่สุดที่ทำให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่สามารถที่จะแก้ต่างอะไรได้เต็มปากเต็มคำ ตราบเท่าที่ยังมีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯไปเรื่อยๆเช่นนี้

นั่นคือสาเหตุที่ทำให้การประชุมคณะรัฐมนตรี จำเป็นต้องมีการผ่อนลมออกจากลูกโป่ง ก่อนที่ลูกโป่งจะระเบิด ด้วยการทยอยยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไปทีละ 2-3 จังหวัด โดยยังคงเหลือพื้นที่ซึ่งเป้นไข่แดงเอาไว้ อย่างเช่น พื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล

แม้จะรู้ทั้งรู้ว่า จะกลายเป้นจุดอ่อนในแง่ภาพลักษณ์ของรัฐบาล ของนายอภิสิทธิ์ และของกองทัพ ก็ตาม

ดังนั้นท่าที ของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ที่พูดถึงการทยอยยกเลิกประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินว่าเป็นการพิจารณามาจากหลายหน่วยงานที่เสนอให้กับสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ประเมินผล คิดว่าจะมีการเสนอเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งฝ่ายที่รวบรวมประเมินผลเป็นหน้าที่ สมช. ซึ่งเห็นว่าจะมียกเลิกเพิ่มเติมอีก 2-3 จังหวัด

ที่น่าสนใจก็คือ ประเด็นที่ว่าการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จะสามารถสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดมากขึ้นหรือไม่นั้น แม้แต่ พล.อ.อนุพงษ์ ยังเห็นด้วยว่าต้องมีส่วนไม่มากก็น้อย

“เพราะหลายคนเห็นว่ากฎหมายนี้ไปลิดรอนสิทธิเสรีภาพ เมื่อมีคนคิดเช่นนั้นแล้วเรายกเลิกก็ต้องเป็นคุณ แต่การจะเอาคำตอบจากตนคนเดียวว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยคงไม่ใช่ เพราะมีฝ่ายปกครอง ฝ่ายตำรวจ ฝ่ายเจ้าหน้าที่หลายส่วน ต้องฟังความเห็นร่วมกัน ซึ่งการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะทำให้คนที่อยากให้ยกเลิกสบายใจขึ้น”

อย่างไรก็ตามท่าทีของ พล.อ.อนุพงษ์ ยังคงกังวลลึกๆกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยอ้างว่าการเคลื่อนไหวทางการเมือง ทำได้ภายใต้กรอบกฎหมาย ซึ่งการกระทำภายใต้กฎหมายยอมรับ และความคิดของทุกคนชาติยอมรับในความเคลื่อนไหวที่บริสุทธิ์ใจและเป็นไปตามกฎหมาย และไม่สร้างความเดือดร้อนให้ตนอื่นไม่เป็นไร ถือเป็นประชาธิปไตยทางตรง

ส่วนที่ว่าเห็นควรจะพิจารณายุบ ศอฉ.เมื่อใดนั้น พล.อ.อนุพงษ์ ออกตัวว่า เข้าใจว่าถ้ายกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯหมด ศอฉ.ก็คงจบ หรือหากศอฉ.ทำงานคั่งค้างให้หมดแล้วคงจบ

“แต่ยังไม่มีการคุยกัน และ ยังไม่มีใครตั้งประเด็นนี้ขึ้นมา”

สะท้อนชัดว่า จนถึงวันนี้ไม่ใช่เพียงแค่รัฐบาลเท่านั้น ที่ลึกๆแล้วยังไม่อยากสูญเสียกลไกหรือเครื่องไม้เครื่องมือในการกุมอำนาจเอาไว้ก่อน จนกว่าจะมีความมั่นใจว่าสามารถสยบความเคลื่อนไหวต่างๆได้หมดแล้วจริงๆ จึงค่อยมาว่ากันอีกที

เพราะจนถึงวินาทีนี้ กอ.รมน.ยังคงถูกส่งออกไปปฏิบัติการจิตวิทยามวลชนกับประชาชนในพื้นที่อยู่ตลอด ซึ่ง พล.อ.อนุพงษ์ เผยว่า เท่าที่ประเมินจากการรายงานที่ส่งมาพบว่า ประชาชนมีความเข้าใจมากขึ้น

“เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องเอาข้อเท็จจริงลงไป ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่รัฐไม่ว่าฝ่ายใดไม่มีโอกาสทำอย่างอื่น นอกจากเสนอความจริงให้คนในชาติรับรู้ว่าเป็นอย่างไร ไม่มีโอกาสพูดสิ่งที่ไม่เป็นเรื่องจริง เพราะมีผลโดยตรงในความรับผิดชอบโดยตรงต่อตำแหน่งหน้าที่ ดังนั้นมีโอกาสอย่างเดียวในการเสนอความเป็นจริงชี้แจงว่าอะไรเป็นอะไร ประชาชนมีสิทธิ์รู้ความเป็นจริงซึ่งได้ผล”

แบบนี้ก็แปลว่า กำลังทหารยังคงพยายามกระชับพื้นที่ในหลากหลายรูปแบบอย่างต่อเนื่องนั่นเอง

เท่ากับว่า ตามใดที่ยังไม่มีความมั่นใจ เชื่อขนมกินได้เลยว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ คงจะใช้เป็นยันตร์ป้องกันตัวไปอีกระยะยาวแน่ๆ

เพราะยิ่งหากดูท่าทีของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและ ผอ.ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ที่ระบุว่าหลังจากยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในพื้นที่ จ.เชียงราย เชียงใหม่ และอุบลราชธานี ไปแล้ว ในส่วนอีก 7 จังหวัดที่เหลือนั้นอยู่ระหว่างการพิจารณา

โดย ศอฉ.พยายามประเมินสถานการณ์ตามสภาพที่เป็นจริง

แต่จะสนองตอบต่อนโยบายของนายกรัฐมนตรีได้รวดเร็วแค่ไหนก็จะทำตามนั้น

“อย่างไรก็ตามก็ต้องระมัดระวังเรื่องผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองด้วย”นายสุเทพระบุ

ส่วนที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ออกมาระบุว่านอกเหนือจาก 3 จังหวัดที่เพิ่งยกเลิกไปแล้วยังมีแนวโน้มว่ายังมีอีก 3 จังหวัด ที่จะสามารถประกาศยกเลิกได้อีก นายสุเทพ อ้างว่า ก็คิดอยู่ตลอดเวลา

สำหรับปัญหาของกรุงเทพฯ ที่ถือเป็นศูนย์กลาง แต่ทำไมไม่พิจารณาให้ชัดว่าจะยกเลิกพ.ร.ก.หรือไม่อย่างไร เพราะต่างชาติเองก็ยังมองด้วยความเป็นห่วง ว่าทำไมจึงใช้กฎหมายปกติดูแลไม่ได้ ซึ่งนายสุเทพ ออกตัวว่า เมื่อต่างชาติมองก็ต้องเอามาคิด

“แต่ถ้าเรามองกันเองก็ยิ่งต้องให้ละเอียดลึกซึ้งไปอีก ต้องดูว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของการก่อความไม่สงบ ทำให้เกิดปัญหาในกรุงเทพฯ กระทบต่อบ้านเมืองโดยส่วนรวมมาก การที่จะเลิกหรือไม่เลิก พ.ร.ก.ต้องคิดให้รอบคอบเป็นพิเศษ”

สำหรับกระแสที่ว่าจะคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในกรุงเทพฯ ไว้จนถึงสิ้นปีโน่นเลย นายสุเทพบอกเพียงว่า ไม่ได้คิดว่าจะต้องเป็นเมื่อนั้นเมื่อนี้ แต่เมื่อไหร่ที่มั่นใจว่าสามารถดูแลบ้านเมืองให้สงบเรียบร้อยได้ ก็จะตัดสินใจ

สอดคล้องกันเป็นอย่างดีกับท่าทีของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่พูดชัดเจนว่า ในส่วนของกรุงเทพฯ คงมีความเป็นไปได้ยากที่จะยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เนื่องจากเป็นศูนย์กลางของหลายๆอย่าง

แม้จะยอมรับว่าการที่จะบอกให้ทุกพื้นที่หมดความเคลื่อนไหวเลย แล้วค่อยยกเลิก พ.ร.ก. คงเป็นไปได้ยาก เพราะอย่างไรก็ตามบ้านเมืองต้องกลับเข้าสู่ภาวะที่สามารถใช้กลไกและกฎหมายปกติได้ หากตรงไหนเจ้าหน้าที่มีความพร้อม สถานการณ์มีความสงบมากขึ้น แม้จะมีความเคลื่อนไหวทางการเมืองบ้าง แต่ไม่ใช่การใช้ความรุนแรงก็จะยกเลิก

อย่างในจ.เชียงใหม่ และจ.เชียงราย ก็มีการร้องเรียนว่าได้รับผลกระทบทางลบต่อเรื่องการท่องเที่ยวด้วย จึงต้องพิจารณายกเลิก

“พื้นที่ที่ยังยากที่สุดคือกรุงเทพฯ ปริมณฑล และเมืองใหญ่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งจะทยอยยกเลิกต่อไป” นายอภิสิทธิ์กล่าว

ส่วนที่มีมีการตั้งข้อสังเกตุว่า สาเหตุที่รัฐบาลทยอยยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินในจังหวัดต่างๆ ก็เพียงเพื่อให้เกิดความชอบธรรมในการใช้เป็นข้ออ้างในการคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินในกทม. และปริมณฑลไว้ข้ามปี... ใช่หรือไม่???

เล่นเอานายอภิสิทธิ์ถึงกับหลุดประโยคที่ว่า

“ทำไมล่ะครับ ผมยังไม่เข้าใจตรรกะ เราดูตามความเป็นจริง”

พร้อมกับปฏิเสธถึงกรณีของ กทม. ที่ถูกมองว่ามีโอกาสจะต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ ว่าจนถึงขณะนี้เพิ่งต่อไปครั้งเดียว และหลายจังหวัดก็ได้ทยอยยกเลิกก่อนครบกำหนด รัฐบาลไม่ได้ตั้งเป้าว่าต้องต่ออายุกี่รอบ

“เราต้องการกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ตรงไหนมีความพร้อมก็ยกเลิก ตรงไหนยังมีปัญหา และเจ้าหน้าที่ต้องการเครื่องมือ ก็ต้องคง พ.ร.ก. เอาไว้เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ทั้งนี้ยอมรับว่าในส่วนของกรุงเทพฯ มีความเป็นไปได้ยากที่จะยกเลิก”นายอภิสิทธิ์ กล่าว

ฉะนั้นจากท่าทีทั้งหมด ประมวลออกมาได้อย่างชัดเจนว่า ในส่วนของพื้นที่ต่างจังหวัด ทางรัฐบาลก็คงจะผ่อนปรน ลดแรงกดดันไปเรื่อยๆ ทยอยปลดล็อกให้

แต่สำหรับกรุงเทพฯนั้น คงต้องรอกันอีกนาน เพราะทั้ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ ศอฉ. เป็นสิ่งที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ จะขาดไปไม่ได้เลย

ตราบเท่าที่ผลโพลลับๆยังคงยืนยันตรงกันว่า เลือกตั้งเมื่อไหร่ พรรคเพื่อไทยจะได้เสียง ส.ส.เป็นอันดับ 1

งานนี้เมื่อยังไม่อยากให้ความพ่ายแพ้ปรากฏ ก็ต้องยื้อลากยาว พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯไปเรื่อยๆก่อนนั่นแหละ

เพราะนี่คือเกมการเมืองแบบไทยๆ สไตล์ประชาธิปัตย์ นั่นเอง!!!

***************************************************************************************

สงคราม (2)

โดย.พญาไม้ทูเดย์พญาไม้
ว่ากันต่อ..เรื่องสงคราม..หรือการใช้กิจการทหารแก้ปัญหา เขาพระวิหาร ระหว่าง ไทยกับกัมพูชา..อนุสนธิจากการที่ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้หลุดปากออกไป..และดูเหมือนว่า..สมเด็จฯ ฮุนเซน..แห่ง กัมพูชา..ได้ขานรับออกมาแล้ว

ว่า...นองเลือด
ทันทีที่กระสุนนัดแรกระเบิดขึ้น เปิดฉากสงคราม ไทย กัมพูชา ยุคใหม่..ความแตกแยกในประเทศไทยในปัจจุบันจะส่งผลทันทีต่อความมั่นคงของแผ่นดิน..ประเทศกัมพูชาในสภาพที่ไร้ไมตรีต่อกันและเป็นคู่สงคราม..จะเป็นแผ่นดินทองของคนไทยจำนวนหนึ่งซึ่งปฏิเสธการปกครองของรัฐบาลไทยในปัจจุบัน..

สงครามจะไม่เล่นกันอยู่บนแผ่นดินกัมพูชา แต่จะเข้ามาเล่นกันอยู่ในราชอาณาจักรไทย..และเล่นกันตลอดตั้งแต่เหนือจรดใต้..ในทุกๆ ชายแดนที่ขึงพรืดติดกัน..

กองทัพไทยจะต้องระดมกำลังพลนับล้าน..เพื่อสงครามนี้..แต่อาวุธที่มีอยู่ในคลังพระแสงเวลานี้..เรามีเพียงพออยู่หรือ..แต่เรื่องเหล่านี้ ไม่ใช่ปัญหาของประเทศในกลุ่มอินโดจีน..ที่มีประเทศจีนและรัสเซียหนุนหลัง..

อเมริกาซึ่งกระสันอยากจะเข้ามาขุดเจาะน้ำมันในประเทศกัมพูชา อยากจะสร้างโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ในเวียดนาม..ญี่ปุ่นที่กำลังบุกเบิกการลงทุนในเวียดนาม เกาหลีที่ตามหลังญี่ปุ่นเข้ามา สิงคโปร์กับมาเลเซีย ที่กำลังจะวางรถไฟเชื่อมตัดข้ามอ่าวไทย..เข้าสู่กัมพูชา..

ไทยในฐานะเป็นผู้กล่าวถึง การแก้ปัญหาโดยทางทหาร..คือผู้เสียหาย คือผู้เล่นเกมสงคราม คือชาติใหญ่ที่ใช้กำลังเข้ารังแกชาติเล็ก..จะเอาอะไรไปชี้แจงกับชาวโลก..

ไทยที่ปฏิเสธคำพิพากษาของศาลโลก ไทยที่จะลาออกจากยูเนสโก้ ไทยที่ล้มเลิก เอ็ม โอ ยู..ที่เคยให้ไว้..ใครกันแน่ที่จะเป็นผู้เสียหาย..

น้ำลายหยดเดียวของ นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย..จะทำให้ไทยกลายเป็น “ชาติโดดเดี่ยว” ในสังคมโลก..

แน่นอนว่าในฐานะประชาชนคนไทย..เราจะไม่ยอมให้ใครประเทศไหนไม่ว่าเก่งแค่ไหนใหญ่คับฟ้า..มาใช้เรือปืนปิดอ่าวแล้วเข้ามาปล้นแผ่นดิน และประชาชนติดแผ่นดินออกไป..คนไทยเจ็บปวดมามากแล้วในประวัติศาสตร์..ของการศิโรราบโดยไม่ต่อสู้..

แต่..ผู้นำในการต่อสู้..ต้องเป็น “นักรบ” ไม่ใช่ “ตัวตลก” ที่บัญชาการไม่ได้ แม้กระทั่งน้ำลายในปากของตัวเอง


************************************************************************************