--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

กกต.ชี้ยุบพรรขึ้นกับศาล ไม่เกี่ยวคดีทีพีไอ

กกต.ลั่นดีเอสไอไม่ฟ้องทีพีไอ โพลีน ไม่ส่งผลคดียุบพรรค ระบุยุบหรือไม่ เป็นเรื่องของศาล เตือนการเมืองอย่าชี้นำคดี

นางสดศรี สัตยธรรม กกต. ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวถึงกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ที่ว่าจ้างบริษัท แมชไซอะ บิซิเนสแอนครีเอชั่นจำกัด ทำสื่อโฆษณา ว่า เรื่องดังกล่าวนี้ไม่น่าจะมีผลต่อคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ เพราะถือว่าเป็นคนละส่วนกัน เนื่องจากกรณีดังกล่าวนี้เป็นเรื่องที่ดีเอสไอตรวจสอบแล้วเห็นว่าเกี่ยวข้องกับพ.ร.บ.พรรคการเมือง จึงส่งมาให้กกต.ตรวจสอบ เมื่อกกต.ตรวจสอบแล้วพบว่ามีการบริจาคเงิน 258 ล้านบาท ให้กับพรรคประชาธิปัตย์ แต่ไม่ได้มีการแจ้ง หรือรายงานเข้าให้กกต.ทราบตามที่กฎหมายระบุไว้ ซึ่งกรณีนี้ถือเป็นคนละส่วนกับที่ดีเอสไอ ตรวจสอบ ว่าน่าจะมีการไซฟอนเงินและเป็นการกระทำผิดตามพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นเรื่องของดีเอสไอ ที่ต้องไปดำเนินการ หากไม่ดำเนินไม่ดำเนินการก็เป็นเรื่องของดีเอสไอ

เมื่อถามว่า ทางดีเอสไออ้างงว่าหลักฐานที่มีอยู่เป็นเพียงการกล่าวอ้างของบุคคล จึงยังไม่สามารถนำไปฟ้องได้ นางสดศรี กล่าวว่า หลักฐานที่มีหรือไม่ขึ้นอยู่ที่ศาล ซึ่งเราจะไม่ก้าวล่วงขึ้นอยู่ที่ศาล กกต.ไม่ชี้นำ ส่วนดีเอสไอจะชี้นำศาลก็เป็นเรื่องของดีเอสไอ ซึ่งศาลจะพิจารณาตามที่หลักฐานที่อัยการสูงสุดที่ส่งไป โดยคดีนี้จะหลุดหรือไม่หลุดอยู่ที่ศาล

“ขณะนี้เรื่องดังกล่าวอยู่ที่ศาลแล้ว ควรที่จะยุติ เราไม่ควรที่จะนำมาพูดแล้ว ซึ่งศาลจะเป็นผู้พิจารณาเรื่องนี้เอง ส่วนจะแพ้หรือชนะกกต.คงไม่ไปชี้นำ ส่วนที่หลายคนมองว่ามีกระบวนการที่กดดันศาลนั้น เห็นว่า ตอนนี้มีการนำการเมืองมาเล่นกับคดี แต่ศาลก็ต้องพิจารณาไป ซึ่งการชี้นำ เห็นว่าเป็นการกระทำที่ไม่ชอบทั้งที่ต่างฝ่ายต่างมีข้อต่อสู้ที่จะนำเข้าสู่กระบวนการ โดยศาลจะเป็นผู้ชี้ทางเองว่าถูกหรือผิดอย่างไร การจะยุบหรือไม่ยุบไม่ต้องเดือดร้อน เป็นเรื่องอนาคตข้างหน้าและเป็นการทำตามหน้าที่หน้าที่ใครหน้าที่มัน ซึ่งเรื่องนี้กกต.ไม่ได้ทำเองเป็นเรื่องที่ดีเอสไอ ส่งมาให้กกต.ดำเนินการ ถ้าจะมองว่าใครเป็นคนต้นเรื่องก็น่าจะเป็นดีเอสไอ เพราะกกต.ทำเองไม่ได้หากไม่มีคนร้อง ” นางสดศรี กล่าวว่า

เมื่อถามว่ากรณีดังกล่าวกรณีนี้มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นความผิดแค่ตัวบุคคลไม่ถึงยุบพรรค และกรรมการบริหารพรรค นางสดศรี กล่าวว่า เงินบริจาคต้องสอบสวนก่อนว่าจะถึงตัวบุคคลหรือไม่ เรื่องนี้ศาลจะต้องฟังพยานหลักฐาน รวมถึงข้อต่อสู้ต่อไปว่ากรรมการบริหารของพรรคประชาธิปัตย์จะมีส่วนเกี่ยวข้อง และรู้เห็นหรือไม่ก็เป็นไปตามพยานหลักฐานที่ส่งไป

เมื่อถามย้ำถึงนักวิชาการออกมาระบุว่าพรรคประชาธิปัตย์น่าจะมีทางรอดการยุบพรรค เพราะพ.ร.บ.พรรคการเมืองขัดกับรัฐธรรมนูญนั้น นางสดศรี กล่าวว่า ก่อนที่จะออกมาเป็นพ.ร.บ.พรรคการเมือง พ.ศ.2550 เรื่องนี้ได้มีการดำเนินในชั้นของสภาและต้องส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาภายใน 30 วัน ก่อนประกาศในราชกิจจานุเบกษา และมีผลบังคับใช้ เพราะฉะนั้นเมื่อผ่านกระทบวนการนี้มาแล้วก็ไม่น่าจะขัดกฎหมาย เพราะศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้ว ดังนั้นจึงอยากให้นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กลับไปดูรัฐธรรมนูญมาตรา 141 ก่อนที่จะออกมาพูด

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

สิทธิมนุษยชนเหนือ ธนกิจการเมือง

“หน้ากระดานเรียงหนึ่ง กดปุ่ม อภิวัฒน์ประเทศ” วิพากษ์กระบวนการขับเคลื่อนประเทศ คู่ขนานมหากาพย์ปฏิรูปประเทศ แตกประเด็นให้เห็นเด่นชัดอย่างรอบด้าน ฉบับนี้ ปักหมุดตั้งเข็มทิศ สโคปไปที่วาระแห่งสิทธิมนุษยชน ผ่าน มุมมอง “น.พ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ” กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่ได้ให้ความเห็นไว้ได้อย่าง น่าสนใจยิ่ง

> แก่นของปัญหาสิทธิมนุษยชนในไทย

“เรื่องหลักๆ ในปัญหาเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชนในสังคมไทย 1.เป็นเรื่องของสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ส่วนที่ 2 เป็นเรื่องสิทธิชุมชน ประกอบด้วยสิทธิในการเข้า ถึงการบริหารจัดการและการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติ และอีกส่วนหนึ่งของ สิทธิชุมชน คือการที่ต้องยอมรับในวัฒนธรรม หรือวิถีชีวิต ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่สำคัญ ทำให้ เห็นว่า ระบอบประชาธิปไตยในบ้านเรา ยอมรับความหลากหลาย

“ส่วนที่ 3 คือ สิทธิเด็ก สตรี ผู้ด้อยโอกาส คนขอทาน หรือคนไร้บ้าน ซึ่งคนเหล่า นี้ด้อยโอกาสในทางสังคม ที่บางครั้งเรานึก ไม่ถึง นอกจากนี้ ยังมีการละเมิดสิทธิอื่นๆ เช่น สิทธิเรื่องสื่อ รวมไปถึงแรงงานข้ามชาติ เป็นต้น”

> แนวทางแก้ปัญหาในภาพกว้าง

“ต้องทำความเข้าใจว่า ระบบประชา ธิปไตยโดยประชาชน ต้องยึดหลักในการสิทธิมนุษย์ หมายถึงสิทธิเสรีภาพและเสมอภาค หลักที่เป็นประโยชน์ความถูกต้อง คือ ถ้านึกถึงสิทธิมนุษย์ ต้องนึกถึงประชาชนเป็นใหญ่ อย่างที่ท่านอาจารย์พุทธทาส พูดว่า ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง แต่ประ ชาธิปไตยเราเลือกการปกครองระบบรัฐสภา แต่ต้องยึดเอาประชาชนเป็นใหญ่ ไม่ใช่เห็นว่า การเมืองเป็นของนักการเมืองเพียงอย่างเดียว ซึ่งพอเราเจอปัญหาการเมืองของนักการเมือง ที่ล้มเหลว แล้วไม่สามารถใช้อำนาจที่ตัวเองมีอยู่ในทางสร้างประโยชน์ของประชาชนได้ ตรงนี้ คือสิ่งที่การเมือง 70 กว่าปีล้มเหลว”

> ที่ผ่านมามีการแก้ปัญหาแบบท็อปดาวน์ อิงกับอิทธิพลทางธุรกิจเป็นหลัก

“ระบบธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องของระบอบประชาธิปไตยในสังคมไทยการ เมืองการปกครอง ที่มันชัดคือในช่วงตั้งแต่ปี 44 เป็นต้นมา ทำให้เห็นระบบทุนที่เข้ามาครอบงำ ระบบการเมือง เพราะการเมืองเป็นเรื่องของ การจัดสรรแบ่งปันผลประโยชน์ ซึ่งผลประ โยชน์ตรงนั้น อย่างที่ผมเรียนต้องเป็นประ โยชน์ของภาคประชาชน แต่เนื่องจากระบบธุรกิจที่เข้ามา ทุนกับการเมืองหลอมรวมกัน ที่เราเรียกระบบธุรกิจการเมือง Money Politic นั่นหมายความว่านักการเมืองกับนักธุรกิจเป็นคนคนเดียวกัน ทำให้เกิดมีเครือข่าย ของการสร้างฐานอำนาจ ที่เชื่อมโยงระหว่าง ผลประโยชน์ของธุรกิจกับการเมือง ที่เราเรียก ผลประโยชน์ทับซ้อน ทำให้เกิดการใช้อำนาจ ที่ไม่ชอบ ไม่ว่าอำนาจการทุจริต คอร์รัปชั่น หรืออำนาจในการละเมิดอำนาจสิทธิมนุษยชน”

“ในสมัยผมที่เป็น ส.ว. การแทรกแซงของรัฐสภาทำให้เราเกิดสิ่งที่เรียกว่าเผด็จการรัฐสภา และเมื่อไปควบรวมการผูกขาดเรื่องผลประโยชน์ ทำให้เรียกว่าทุนนิยม ผูกขาด หมายความว่า คนที่มีอำนาจและมีเงินด้วย สร้างฐานอำนาจ และผลประโยชน์จากความ ร่ำรวย ด้านดีก็คือ ทำให้ประชาชนรู้สึกได้รับการดูแลเชิงนโยบายมากขึ้น แต่นโยบายก็แค่ ฉาบฉวย เป็นนโยบายการสร้างภาพตอนหาเสียงในเชิงคุณภาพจะยังไม่เกิดขึ้น”

> หลายคนมองว่าช่วงการเมืองผลัดใบ ก็ยังเป็นไปในมิติเดิมๆ

“นี่คือสิ่งที่สังคมไทย ต้องพยายามสรุปบทเรียน เพื่อให้สังคมไทยเข้ามามีส่วนต่อสู้ของระบบทุนและก็เป็นทุนข้ามชาติ และเป็นทุนของกระแสโลกาภิวัตน์ อย่างที่อาจารย์ ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ บอกว่าเป็นทุนสามานย์ ที่ไม่มีเรื่องของคุณธรรมและศีลธรรม ถึงแม้ในสังคมไทยจะยอมรับในการเรื่องของธุรกิจการค้าเสรี แต่เน้นต้องเป็นธรรม ฉะนั้น สังคมไทยจะต้องรับรู้ ต้องเตรียมตัวรู้ว่า สิ่งที่อยู่เบื้องหลังการต่อสู้แย่งชิงอำนาจก็คือกลุ่มระบบทุนข้ามชาติ ทั้งส่วนกลางถึงภูมิภาค นอกจากนี้ เราต้องตระหนักในเรื่องความไม่เป็นธรรมในทางการเมือง เมื่ออำนาจทาง การเมืองมาผูกขาดและระบบทุนและทางธุรกิจ ต้องแก้ไขในเชิงโครงสร้าง และแนวคิดก็เข้า ไปสู่การปฏิรูป และแนวคิดการปฏิรูปการ เมืองในปี 2540 อย่างเดียวคงไม่เพียงพอ ปี 40 ปฏิรูปแล้วทำให้เกิดตาลปัตรเกิดระบบ ผูกขาดและเผด็จการทางรัฐสภา ในขณะนี้เรา ต้องมาสนใจในเรื่องการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ครั้งที่ 2 เพื่อทำให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ที่สร้างความเป็นธรรมมากขึ้น นี้คือสิ่งที่สังคมไทยต้องตระหนัก และต้องเข้ามาต่อสู้รวมกัน”

> สิทธิการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนที่ถูกละเลยมานาน

“ภาคประชาชนหรือภาคสังคมได้ต่อสู้ในเรื่องการเมืองที่เป็นผลประโยชน์ของตัวเขาในเรื่องของสิทธิ และยกระดับขึ้นเป็นเชิง นโยบายโครงสร้างมาเกือบทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปฏิรูปที่ดิน ป่าชุมชน การประมงพื้นบ้าน ที่ขณะนี้เสนอเป็นร่าง พ.ร.บ.ประมงพื้นบ้าน เรื่องแรกที่อยู่ทางเหนือ ก็เสนอร่าง พ.ร.บ.แรก หรือแม้กระทั่งเรื่องของสวัสดิการ ชุมชน หรือแม้กระทั่งเรื่องของธนาคารที่ดิน หรือกองทุนที่จะมาพัฒนาในเรื่องปฏิรูปที่ดินต่างๆ เหล่านี้ หรือแม้กระทั่งเรื่องสื่อ เรื่ององค์กรอิสระ สิ่งเหล่านี้ ภาคประชาชนได้ผลักดันในเชิงนโยบายแล้วทั้งสิ้น เพียงแต่ว่า ภาคการเมือง หรือหน่วยงานภาครัฐจะรับลูกในเรื่องของการที่ทำให้เกิดแนวทางปฏิบัติ ที่ไปแก้ไขปัญหาของเขาได้จริงๆ”

“แต่สิ่งที่มีปัญหาอยู่ในขณะนี้ ก็คือการที่รัฐบาลใช้อำนาจที่ได้รับมอบจากประ ชาชนในการที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆ ในเชิงนโยบายโครงสร้าง ที่สอดคล้องในเรื่องของสิทธิ ในเชิงนโยบาย ได้จริงหรือ ขณะเดียวกัน จะป้องกันไม่ให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งมันกลายเป็นวัฒนธรรมของสังคมไทย ของนักการเมืองได้อย่างไร โครงการหรือแนวทาง ปฏิบัติในการปฏิรูปการเมือง เป็นแนวทางที่จะนำไปปฏิบัติอย่างแท้จริง และปลอดจาก การทุจริตคอร์รัปชั่น อย่างที่ในรัฐบาลชุดคุณอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ) เอง ก็มีโครงการที่มีชื่อดีๆ เยอะ เช่น ไทยเข้มแข็ง หรือเศรษฐกิจพอเพียง แต่เราพบว่าโครงการเหล่านั้นก็มีปัญหาเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่น นี่คือสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นภาระของรัฐบาล ให้การทำงานทุก ภาคส่วนของกลไกรัฐ ทำงานควบคู่กับคณะกรรมการปฏิรูป”

> ข้อเสนอแนะต่อภาคประชาชน

“สำหรับภาคประชาชน ผมมีความมั่นใจในการพัฒนาและการเติบโตของภาคประชาชน กับภาคประชาสังคมอย่างมาก แต่ปัญหาก็คือว่า เราจะทำให้ภาคประชาชน ที่ขณะนี้ต้องยอมรับว่า ยังมีความแตกต่าง แตกแยกในเชิงความคิดในทางประชาธิปไตย ได้หันมาเห็นตรงกันว่า การเมืองของภาคพลเมืองที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และผลักดันหรือกดดัน ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการปฏิรูป หรือว่า คณะกรรมสมัชชา และรัฐบาลที่เป็นผู้ใช้อำนาจรัฐ ได้ใช้อำนาจรัฐที่ตัวเองได้รับมอบหมายในการแก้ไขปัญหา ได้หรือเปล่า เพื่อทำให้การปฏิรูปนั้นเป็นจริง ที่สำคัญ ผมอยากให้เกิดการต่อสู้ของภาคประชาชน ที่สามารถอยู่บนลำแข้งของตัวเอง ไม่ควรไปฝากความหวังไว้กับบรรดานักการเมือง หรืออำนาจรัฐ และตรงนี้ผมคิดว่าใช้การเมือง ของภาคประชาชน การมีส่วนร่วมของประ ชาชน ในการที่จะมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และติดตามตรวจสอบ ผมว่าตรงนี้จะทำให้สังคมไทย มันมีความเข้มแข็งมากขึ้นอย่างแท้จริง แทนที่จะเป็นเครื่องมือของการต่อสู้แย่งชิงอำนาจ”

และนี่คือข้อเสนอในการปฏิรูปด้านสิทธิมนุษยชนที่ต้องอยู่เหนือธนกิจการเมือง ของ “น.พ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ” ที่รัฐบาล และทุกภาคส่วนต้องขบให้แตก

ที่มา.สยมธุรกิจ

นโยบายการเงิน และส่วนต่างของดอกเบี้ย

โดย...วีรพงษ์ รามางกูร

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ท่านว่าที่ผู้ว่าการได้ออกมาให้สัมภาษณ์ทันทีที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบกับชื่อผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ ทั้ง ๆ ที่ท่านยังดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทยและนายกสมาคมธนาคารไทยอยู่

ไม่แน่ใจว่าท่านพูดในฐานะใด ถ้าจะ โดยฐานะทางภาคเอกชนที่ท่านยังดำรงตำแหน่งอยู่ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะสื่อมวลชนถามท่านในฐานะผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยจะทำอะไรบ้าง ท่านก็เลย ตอบว่าคงจะต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปให้ถึง 2 เปอร์เซ็นต์ภายในสิ้นปีนี้

ส่วนนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนนั้นท่านจะดูแลให้อัตราแลกเปลี่ยนไม่สะท้อนเฉพาะปริมาณเงินตราต่างประเทศที่ไหลเข้าไหลออกเท่านั้น แต่จะดูแลอัตราแลกเปลี่ยนให้อยู่ในระดับที่ให้ประโยชน์สูงสุดกับเศรษฐกิจของประเทศ

ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้นั้น ท่านจะไม่กล้าพูดอะไรมาก

ทันทีที่ท่านนายกสมาคมธนาคารไทย พูดถึงดอกเบี้ยจะต้องขึ้นทีละขั้น ขั้นละ 0.25 เปอร์เซ็นต์ไปถึง 3 ขั้น ตลาด ตราสารหนี้ซึ่งมีทั้งที่เป็นพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้ของบริษัทเอกชนก็หวั่นไหวราคาตกลงทันที

บรรดาบริษัทต่าง ๆ ที่กำลังดำเนินการออกตลาดขายตราสารหนี้ต่าง ๆ อยู่ก็หยุดชะงักต้องทบทวนอัตราดอกเบี้ย ระยะยาวเงื่อนไขต่าง ๆ เสียใหม่ ทำให้ตลาดชะงักงัน

ดังนั้นการพูดจาของท่านนายกสมาคมธนาคารไทย และท่านผู้จัดการธนาคารกสิกรไทยซึ่งเป็นคนเดียวกันกับท่านว่าที่ ผู้ว่าการ ธปท. จึงมีความหมายและมีผล ต่อตลาดทุนเป็นอันมาก

ในกรณีของประเทศไทยนั้นเรามีคณะกรรมการนโยบายการเงิน ซึ่งประธานไม่ใช่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย แต่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิท่านอื่น ไม่เหมือนกับกรณีของประธานธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา ท่านเป็นประธานของ คณะกรรมการของธนาคารกลางซึ่งเป็นผู้กำหนดอัตราดอกเบี้ย

ดังนั้นหากคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย ลงมติไม่เห็นด้วยที่จะให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ย ความผันผวนในตลาดทุนอันได้แก่ตลาดตราสารหนี้และตลาดหุ้นก็จะเกิดขึ้นทันที เพราะคณะกรรมการนโยบายการเงินคงไม่ใช่ตรายางของผู้ว่าการ ธปท.

การที่โครงสร้างของขบวนการการตัดสินใจเรื่องการกำหนดอัตราดอกเบี้ยของเรากับของสหรัฐอเมริกานั้นไม่เหมือนกัน การประกาศล่วงหน้าเป็นเวลานาน ๆ โดยยังไม่ได้สวมหมวกผู้ว่าการธนาคาร แห่งประเทศไทย อีกทั้งที่มีหนักกว่านั้นคือยังสวมหมวกผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์ และนายกสมาคมธนาคารไทยอยู่ จะเป็นการสมควรหรือไม่

กรรมการนโยบายการเงินโดยเฉพาะอย่างยิ่งประธานกรรมการคงลำบากใจ หากประกาศคงอัตราดอกเบี้ยไว้ ไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทั้งผู้ว่าการและว่าที่ผู้ว่าการก็คงจะเสียเกียรติภูมิ ราคาตราสารก็คงจะเปลี่ยนแปลงกลับมาที่เดิมอีก

ครั้นถ้าคณะกรรมการจะมีมติตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งเป็น อย่างน้อย ในทุก 6 สัปดาห์ที่มาการประชุม ก็เท่ากับทำตามความเห็นของทางธนาคารพาณิชย์และนายกสมาคมธนาคารไทย เกียรติภูมิของคณะกรรมการนโยบายการเงินก็คงจะถูกกระทบกระเทือน

ที่จะดูไม่สวยอย่างยิ่งคือ ถ้าเกิดธนาคารกสิกรไทยซื้อขายตราสารหนี้ในตลาด ในช่วงเวลาก่อนหน้าหรือหลังจากการให้ข่าว ก็อาจจะถูกครหาหรือสงสัยได้ ทั้ง ๆ ที่ไม่เป็นเรื่องจริง

เสียทั้งขึ้นทั้งล่อง ทางที่ถูกควรให้ผู้ว่าการคนปัจจุบันท่านว่าของท่านไปก่อนจนกว่าท่านจะปลดเกษียณไปน่าจะดีกว่า เพราะท่านพูดในฐานะผู้ว่าการ ธปท. มีหมวกเพียงใบเดียว หรือทางที่ถูกคือให้ท่านประธานคณะกรรมการนโยบายการเงิน เป็นคนพูดเมื่อท่านเห็นว่าควรจะพูด อย่างสหรัฐอเมริกาน่าจะถูกต้องกว่า เพราะท่านพูดแทนคณะกรรมการนโยบายการเงินได้ดีกว่าท่านผู้ว่าการ และน่าจะเหมาะสมกว่า

เข้าใจว่าทุกท่านที่ออกมาพูดด้วยความมั่นใจว่า ดอกเบี้ยนโยบายควรจะขึ้นจาก 1.25 ไปเป็น 2.00 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉลี่ยขั้นละ 0.25 เปอร์เซ็นต์ ก็เพราะอัตราเงินเฟ้อได้สูงขึ้นเกินประมาณ 3.5 เปอร์เซ็นต์ ดอกเบี้ยที่แท้จริงจึงติดลบ เช่นฝากเงินได้ดอกเบี้ย 2.5 เปอร์เซ็นต์ ผู้ฝากเงินจึงขาดทุน 2 ลบด้วย 3.5 เท่ากับ 1.5 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นการออมก็จะน้อยลง แต่การใช้จ่ายในการบริโภคก็จะมากขึ้น ตำราเศรษฐศาสตร์เขาว่าอย่างนั้น

แต่ความจริงในขณะนี้มันมิได้เป็นเช่นนั้น ขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดของเรายังเกินดุลอยู่ทุกเดือน ก็เท่ากับว่าการออมของเรายังสูงกว่าการลงทุนอยู่โดยตลอด อาจจะเป็นได้ทั้งสองทางคือการออมมากเกินไป หรือไม่ก็การลงทุนน้อยเกินไป มีเหตุผลทั้งที่ เป็นเหตุผลทางเศรษฐกิจหรือเหตุผลทางการเมือง หรือเหตุผลจากต่างประเทศก็ว่ากันไป

สภาพคล่องในตลาดการเงินจึงยังล้นตลาดอยู่ ภาคเอกชนจึงเตรียมการระดมทุนจากตลาดทุนเพื่อจะได้เงินทุนระยะยาวขึ้นแทนที่จะใช้เงินกู้จากธนาคารพาณิชย์ ธนาคารพาณิชย์ก็เสียลูกค้าชั้นดีที่จะมาขอกู้มากขึ้น ซึ่งต่างก็แข่งขันกันเสนอดอกเบี้ยต่ำกว่าดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำอยู่มาก

การขึ้นดอกเบี้ยในขณะนี้โดยดูแค่อัตราเงินเฟ้ออย่างเดียวก็จะยิ่งทำให้สภาพคล่องในตลาดสูงขึ้นไปอีก ในที่สุดนโยบายขึ้นดอกเบี้ยก็อาจจะไม่มีผล แต่ถ้ามีผล โอกาสการลงทุนภาคเอกชนจะฟื้นตัวก็ยากขึ้นไปอีก ท่านว่าที่ผู้ว่าการควรไปดูให้ดีให้รอบด้านก่อนแล้วค่อยพูดจะดีกว่าจะได้ไม่ผูกมัดตัวเอง และไม่น่าให้เกิดความชะงักงันในตลาดทุนโดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดตราสารหนี้ นโยบายดอกเบี้ยจะดูแต่อัตราเงินเฟ้ออย่างเดียวหรือให้น้ำหนักเกินไปก็คงไม่ถูก

สถานการณ์ที่ยุโรปก็ดี ที่อเมริกาก็ดี ขณะนี้ก็ค่อย ๆ ชัดเจนว่าเศรษฐกิจคงไม่ ฟื้นตัวอย่างถาวร โอกาสที่เศรษฐกิจการเงินของยุโรปรวมทั้งอังกฤษจะยังย่ำแย่ต่อไป และคงจะเป็นโรคติดต่อไปยังสหรัฐอเมริกาด้วย เพราะยังไม่เห็นเงื่อนไขที่จะทำให้เศรษฐกิจยุโรปและอเมริกาฟื้นตัวได้อย่างง่าย ๆ แม้ว่าจีนจะยอมขึ้นค่าเงินหยวน เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐก็ตาม

เมื่อถึงเดือนสิงหาคม กันยายน ตุลาคม แล้วทางคณะกรรมการการเงินเห็นว่าสถานการณ์ของโลก สถานการณ์ในประเทศยังไม่ดีพอที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จะทำอย่างไร

สำหรับนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนถึงแม้ว่าจะเห็นว่ายังไม่ควรพูดก่อน แต่นโยบายใหญ่ของเราก็คงไม่เปลี่ยน กล่าวคือ ใช้อัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวอย่างมีการจัดการ ส่วนจะจัดการอย่างไรไม่มีใครทราบ ตลาดก็ไม่ทราบ เดาเอาว่าจะค่อย ๆ ขึ้น ค่อย ๆ ลงโดยใช้ดุลพินิจของ ธปท. แต่ทราบว่าเท่าที่ผ่านมาค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินตราสกุลอื่น ๆ ในภูมิภาค โดยเฉพาะคู่ค้าที่สำคัญ เช่น จีน ญี่ปุ่น ฮ่องกงและอาเซียน โดยอ้างว่าอัตราแลกเปลี่ยนของเราเมื่อปรับด้วยอัตราเงินเฟ้อหรืออัตรา แลกเปลี่ยนที่แท้จริงแล้วไม่ได้แข็งกว่าประเทศ คู่ค้าในภูมิภาค การเปรียบเทียบคงไม่รวมจีนกับฮ่องกง ซึ่งเขาใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ แต่ประโยคที่ว่าจะดูแลให้ได้ประโยชน์สูงสุดกับประเทศก็คงหมายความว่าจะไม่ยอมให้ค่าเงินบาทแข็งเกินไป

แต่อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทกับเงินดอลลาร์ที่เป็นอัตราตลาดที่ไม่ได้ปรับด้วยอัตราเงินเฟ้อนั้น สำคัญต่อตลาดการส่งออกและนำเข้ามากกว่าอัตราแลกเปลี่ยนที่แท้จริง

ทั้งนโยบายดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเรื่องระยะสั้น แต่มีผลรุนแรง แก้ปัญหาได้ชะงัด แต่ผลข้างเคียงสูงไม่เหมือนนโยบายการคลังเป็นเรื่องระยะยาว ให้ผลช้า แต่มีผลข้างเคียงน้อยเมื่อทำผิดก็แก้ไขได้โดยไม่มีผลเสียหาย มากนัก มีเวลาพอให้แก้ไขได้

ส่วนเรื่องที่จะลดผลต่างระหว่างดอกเบี้ยเงินฝากกับดอกเบี้ยเงินกู้นั้น คงจะดูผิวเผินไม่ได้ เพราะโครงสร้างอัตราดอกเบี้ยนั้นยุ่งยากพอสมควร ดอกเบี้ยเงินกู้มีหลายอัตราและเปลี่ยนแปลงอ่อนไหวตามภาวะตลาดอยู่เสมอ รวมทั้งต้นทุนด้วย

ต้นทุนของสถาบันการเงินนั้นต่างรวมเอาต้นทุนมาตรการเพื่อความมั่นคงของสถาบันการเงินเข้าไปด้วย

ถ้าอยากจะลดผลต่างของดอกเบี้ยเงินกู้กับดอกเบี้ยเงินฝาก ก็ต้องเข้าไปสำรวจดูว่ามีมาตรการอะไร ที่ไม่ได้เป็นความจำเป็นหรือเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ ที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบที่อ่อนอาวุโสและประสบการณ์เสนอให้ใช้เพื่อความสะดวกของฝ่ายตรวจสอบ แต่เป็นต้นทุนของสถาบันการเงิน ผู้ที่รู้ดีในเรื่องนี้ไม่ใช่ฝ่ายตรวจสอบของธนาคารแห่งประเทศไทย แต่เป็นเจ้าหน้าที่ของสถาบันการเงิน แต่เจ้าหน้าที่สถาบันการเงินนั้นเกรงกลัวเจ้าหน้าที่ของ ธปท.มากจนไม่กล้าโต้เถียงแต่อย่างใดลองถามเขาดูก็ได้

ที่อยากเห็นก็คือขอให้มีวิญญาณของนักพัฒนาด้วย ไม่ใช่สวมวิญญาณเฉพาะการเป็นผู้กำกับและควบคุมแต่เพียง อย่างเดียว

อย่างไรก็ดีขอแสดงความยินดีกับว่าที่ผู้ว่าการและขอให้โชคดี

ทีมา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

เสวนาประกายไฟ-iLaw: ปรองดองไม่ได้ถ้ายังใช้ กม.กดขี่

งานเสวนา “กฎอัยการศึก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ร.บ.ความมั่นคง มีไว้เพื่อใคร” หนูหริ่งและนักศึกษาภาคใต้ สะท้อนประสบการณ์ตรงจากกฎหมายพิเศษด้านความมั่นคง ด้านนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนยืนยันต้องยกเลิกกฎหมายให้อำนาจพิเศษ

กลุ่มประกายไฟ และโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) ร่วมกันจัดงานเสวนาเรื่อง “กฎอัยการศึก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ร.บ.ความมั่นคง มีไว้เพื่อใคร” ณ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา วิทยากรได้แก่ ศราวุฒิ ประทุมราช นักวิชาการด้านกฎหมายและสิทธิมนุษยชน สมบัติ บุญงามอนงค์ นักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย ไลลา เจ๊ะซู เครือข่ายบัณฑิตอาสาพัฒนาสังคมสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ (InSouth)

ศราวุฒิ ประทุมราช กล่าวว่า กฎหมายหลักๆ ทั้งสามฉบับ ถ้าวัดระดับความรุนแรง รัฐบาลบอกว่า พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ อ่อนสุด แรงรองมาคือพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ถัดมาคือกฎอัยการศึก

แต่สถานการณ์ปัจจุบัน กฎหมายตัวที่ใช้มากที่สุด คือพ.ร.ก.ฉุกเฉิน และถือว่าเป็นยาแรง เขาเปรียบเทียบการใช้กฎหมายเหล่านี้ว่า เหมือนสมัยนักเรียนที่ครูมักพูดว่า ใครทำผิดให้บอกมาไม่งั้นจะลงโทษทั้งห้อง เหมือนกับการเมืองไทยที่เวลามีการชุมนุม แล้วมีคนพูดเรื่องความรุนแรงก็ไปหาว่าการชุมนุมทั้งหมดไม่ชอบด้วยกฎหมาย เวลาพบว่าพรรคการเมืองซื้อเสียง ผลคือประกาศยุบพรรค

ศราวุฒิกล่าวว่า กฎอัยการศึกเป็นกฎหมายที่ประกาศใช้ได้ตลอด โดยทหารภาคต่างๆ เป็นผู้ประกาศ เหตุผลของการประกาศมีเรื่องเดียว คือ มีข้าศึกรุกรานจากต่างประเทศ แต่ปรากฏว่า กฎอัยการศึกถูกเบี่ยงเบนเจตนาในการใช้มาใช้ควบคุมคนในประเทศ โดยรัฐมักอ้างว่า ในการแก้ไขปัญหาต่างๆ นั้น กฎหมายอื่นที่มีอยู่ใช้ได้ไม่ทันการ นอกจากนี้ยังพบว่าการใช้กฎอัยการศึกจะถูกใช้ทุกครั้งที่จะมีรัฐประหาร

กรณีชายแดน นอกจากมีการรุกรานจากต่างชาติแล้ว ยังมีปัญหายาเสพติด ดังนั้นฝ่ายทหารก็ดูเหมือนจะมีอำนาจป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญาด้วย ตรงนี้จึงเหมือนกับว่าทหารมีอำนาจเต็มที่เลยโดยไม่มีการกำกับดูแล เพราะตอนท้ายกฎหมายมีการนิรโทษกรรม ที่บอกว่าฟ้องร้องไม่ได้ ซึ่งเป็นสูตรสำเร็จของกฎหมายความมั่นคง

"ในภาวะปรกติ เราควรจะมีกฎหมายนี้อยู่หรือเปล่า กฎอัยการศึกให้อำนาจละเมิดสิทธิมนุษยชน ทหารจับได้เลยโดยไม่ต้องมีหมาย อำนาจอธิปไตยอยู่ในมือทหารฝ่ายเดียว"

สำหรับพ.ร.บ.ความมั่นคง ศราวุฒิเห็นว่าเป็นกฎหมายที่เขียนมาเพื่อกอ.รมน. ซึ่งเดิมเป็นองค์กรที่ไม่มีสถานะตามกฎหมาย ตั้งขึ้นในสมัยรัฐบาลถนอม เมื่อรัฐบาลเปลี่ยน ก็ใช้งบประมาณลำบาก จนมาในสมัยพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็เขียนกฎหมายฉบับนี้ขึ้นเพื่อให้อำนาจและให้งบประมาณ มีโครงสร้างคือ นายกรัฐมนตรีบวกกับกอ.รมน.

ศราวุฒิกล่าวต่อ เกี่ยวกับพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ว่า ต้องยกเลิกทั้งฉบับ ไม่ใช่แค่ยกเลิกประกาศ เช่นเดียวกับ พ.ร.บ.ความมั่นคง ที่เนื้อหาอาจจะดูอ่อนๆ กว่า คล้ายว่าสถานการณ์ที่ไม่ร้ายแรงถึงขั้นประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ก็ให้ประกาศพ.ร.บ.ความมั่นคง

"ในภาวะที่มีรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง เราไม่ควรมีกฎหมายเหล่านี้อยู่ เพียงแค่กฎหมายอาญาก็น่าจะเพียงพอ ขอให้ปฏิบัติตามนิติรัฐ ซึ่งหมายถึงปฏิบัติภายใต้กฎหมาย และถ้ากฎหมายนั้นไม่มีความเป็นธรรม แล้วรัฐบาลยังใช้กฎหมายนั้น ก็ถือว่ารัฐบาลไม่เป็นธรรม"

"ถ้าเราจะอยู่อย่างปรองดอง ท่านจะปรองดองกับใคร ในขณะที่กฎหมายเหล่านี้ยังมีอยู่ เพราะต้นตอของปัญหามาจากการไม่ยอมรับฟังความเห็นที่ต่าง ผมเชื่อว่าบ้านเมืองจะยุติความขัดแย้งลงได้ ถ้ายกเลิกกฎหมายเหล่านี้" ศราวุฒิกล่าว

สมบัติ บุญงามอนงค์ เล่าประสบการณ์ในฐานะที่เคยเผชิญหน้ากับกฎหมายสองฉบับ คือ กฎอัยการศึก และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ว่า ประสบการณ์ครั้งแรกคือ กฎอัยการศึก สมัยหลังรัฐประหารใหม่ๆ เขาและเพื่อนๆ แต่งชุดดำออกมายืนที่หน้าสยามเซ็นเตอร์ มีตำรวจทหารมาเต็มแต่ไม่มีการจับ แต่ขณะที่เขาอยู่ที่ตึกของมูลนิธิกระจกเงา ก็มีทหารใส่ชุดเต็มรูปแบบพร้อมปืนเอ็ม 16ไปหาที่ตึก นำรูปภาพของเขาไปถามยามของตึกว่า รู้จักผมไหม คือทหารไม่ได้ตั้งใจจะไปคุยกับนายสมบัติ แต่ตั้งใจข่มขู่ สิ่งเหล่านี้ทำให้เห็นว่ากฎอัยการศึกเป็นเครื่องมือในการคุกคามประชาชน

เหตุการณ์ครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 6 ก.ค. 50 เขาไปที่บขส.เชียงราย เวลานั้นรัฐบาลกำลังจะเริ่มกระบวนการประชามติรับหรือไม่รับรัฐธรรมนูญ ขณะที่สมบัติกำลังปราศรัยว่าไม่รับรัฐธรรมนูญ 2550 มีทหารเข้ามาแจ้งว่าขอใช้อำนาจกฎอัยการศึกมาควบคุมตัวไปที่ค่ายทหารบกเชียงรายอยู่ 24 ชม.

“มีนายทหารขู่ผมทุกรูปแบบ ตอนจับ มีทหารจากหน่วยข่าวกรองบอกว่า ผมจะถูกสอบในฐานะศัตรูของชาติ ไม่ว่าคุณไปทำความผิดอะไรมาตั้งแต่เกิดมา ผมจะรื้อให้หมด รวมถึงโคตรเหง้าของคุณด้วย”

“เขาสอบผม เขาบอกว่า คุณรู้ไหมว่าคุณละเมิดกฎอัยการศึก คุณรู้ไหมว่ากฎอัยการศึกมันโทษรุนแรงแค่ไหน ผมก็บอกว่าผมรู้ครับ กฎหมายนี้พัฒนามาตั้งแต่รัชกาลที่ ๕ และที่ผ่านมาเอาไว้ใช้เวลาที่มีปฏิวัติ” สมบัติเล่า

จนครั้งล่าสุด สมบัติถูกควบคุมตัวจากหมายจับที่ไปร่วมกิจกรรมที่ใต้ทางด่วนที่ลาดพร้าว 71 ในวันที่ 20 พ.ค. 53

“ผมได้ยินว่าตอนนั้นทุกด่านเขาเลิกหมดแล้ว แต่ยังมีคนเสื้อแดงอยู่แถวอิมพีเรียลลาดพร้าว ผมก็ไป ในวันที่ 20 มีคนอยู่ 20-30 คน เป็นพื้นที่สวนหย่อม มีม้านั่งหินอ่อน มีเสาตอม่อ และมีคนนั่งที่เก้าอี้ คนก็เอารูปถ่ายที่มาจากในเว็บ ปริ้นท์ออกมา มาดูมาคุยกัน เพื่อนเขาตาย แต่ทีวีไม่ให้ข่าวอะไร เขามากอดคอกันร้องไห้ มาปรับทุกข์กัน มาเล่าว่าเหตุการณ์มันเกิดอะไรขึ้น ตอนนั้นนั่งคุยกันอยู่ ยังคุยไม่จบ วงก็แตก ตำรวจแจ้งข้อกล่าวหาว่าผมเอายางรถยนต์มาเผา ตำรวจคนที่ทำสำนวน เขาก็อยู่ในเหตุการณ์ ผมก็ถามเขาว่า พี่ ผมพูดเหรอว่าให้คนเอายางรถยนต์มาเผา ตำรวจตอบกลับมาว่า พี่ ลูกผมยังเล็ก รัฐบาลเขาสั่งว่าให้เขียนข้อหานี้ มันตลกมาก วังทองหลางซึ่งเป็นพื้นที่ในเหตุการณ์ไม่ใช่คนกล่าวหาผม คนที่กล่าวหาผมมาจากพื้นที่อื่น ที่เดินไปบอกให้ตำรวจสน.วังทองหลางดำเนินคดีกับผม สุดท้ายคือมันมีใบสั่งมาให้ดำเนินคดีแบบนี้

นายสมบัติเล่าว่า ตลอดระยะเวลาที่ถูกควบคุมตัวสองสัปดาห์ จะมีทีมสอบสวนสองชุด ชุดหนึ่งเป็นชุดปกติที่สมบัติสามารถแจ้งสิทธิตัวเองได้ว่าจะขอไม่กล่าวอะไร ขอไปให้การในชั้นศาล และยังมีอีกทีมซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ศอฉ. ซึ่งมาทุกวัน ถามคำถามวกไปวนมา ลักษณะคำถาม มีบางส่วนที่ถามลึกไปถึงเรื่องสมัยเรียน ถามเบอร์โทรศัพท์บ้านคุณพ่อ

"มีคำถามหนึ่งคือ หลังจากที่ปล่อยแล้ว คุณจะไปทำกิจกรรมทางการเมืองต่อหรือไม่ ผมก็ตอบว่า แน่นอน" คือ มันมีทางสองทางเท่านั้น ระหว่าง ตอแหล กับตอบว่า โอยไม่หรอกครับ ผมกลัวแล้ว แบบนั้นผมก็พูดได้นะ แต่นั่นคือผมตอแหล คือยังไงผมก็ต้องทำกิจกรรมอีก มันเป็นพฤติกรรมของมนุษย์คนหนึ่งที่ยืนอยู่บนจุดยืนเรื่องสิทธิมนุษยชน เรามีความคิด เรามีจิตใจ เราเสียใจ เราแสดงออก ไม่รู้จะเรียกว่าท้าทายหรือไม่ แต่ผมจะทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ นั่นเป็นสิทธิพื้นฐานของมนุษย์คนหนึ่ง เช่น ใส่เสื้อสีแดง”

นายสมบัติกล่าวทิ้งท้ายว่า “ผมจะรณรงค์ใส่เสื้อสีแดงทุกวันอาทิตย์ ทำไปเรื่อยๆ ทำจนกว่าจะมีกฎหมาย การกระทำผิดอันเป็นเสื้อแดง”

ไลลา เจ๊ะซู จากสหพันธ์นิสิตนักศึกษาจากภาคใต้ กล่าวในฐานะคนที่มาจากพื้นที่รุ่นพี่ ที่มีการบังคับใช้กฎหมายพิเศษด้านความมั่นคงมาอย่างต่อเนื่อง ไลลาเห็นว่า กฎอัยการศึก มันก็เหมือนกฎของการรับน้อง กฎข้อแรกคือ ทหารทำอะไรก็ไม่ผิด กฎข้อที่สองคือให้ไปดูกฎข้อแรก

ไลลาเล่าถึงสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ นับแต่ปี 2547 โดยตั้งข้อสังเกตว่า ช่วงก่อนปี 2550 มีเหตุซ้อมทรมานเกิดขึ้นเยอะมาก ซึ่งเป็นเพราะประชาชนไม่รู้ถึงขอบเขตของกฎหมาย ไม่รู้ถึงสิทธิตามกฎหมาย

"คดีในสามจังหวัดภาคใต้ ส่วนใหญ่เป็นคดีความมั่นคง และส่วนใหญ่ถูกยกฟ้อง แต่ว่าก่อนที่จะมีการยกฟ้อง คนเหล่านั้นที่ถูกจับก็ถูกจองจำไม่ได้รับการประกันตัว" ไลลากล่าว

ตัวแทนจากสามจังหวัดภาคใต้เห็นว่า เราจำเป็นต้องมีการรวมตัวกัน จากเดิมที่เยาวชนไม่ได้รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน อาจไม่เคยรู้สึกร่วมกับน้ำตาของชาวบ้านที่มันไหลออกมา แม้เราอาจจะร้องไห้ด้วย แต่ไม่ได้รู้สึกร่วม ในเวลานี้เห็นได้ชัดว่า การรวมตัวกันเพื่อติดตามปัญหาและข้อมูลเป็นเรื่องจำเป็น มีตัวอย่างกรณีของจ่าเพียร ซึ่งมันไม่ถูกต้องที่เจ้าหน้าที่ต้องพบเหตุเช่นนี้ แต่ก็มีข้อสังเกตด้วยว่า ทุกครั้งที่เจ้าหน้าที่รัฐสูญเสีย เยาวชนในพื้นที่ก็ต้องตกเป็นเป้าหมายเช่นกัน

"นโยบายสวยหรู เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา มันไม่มีทางแก้ปัญหาได้ วิธีที่จะแก้ปัญหาได้คือต้องทำความเข้าใจก่อน" ไลลาปิดท้าย

มีการแสดงความคิดเห็นจากผู้เข้าร่วมในงาน นครินทร์ วิศิษฎ์สิน นักศึกษา แสดงความเห็นว่า กฎหมายด้านความมั่นคงทั้งสามฉบับอนุญาตให้รัฐบาลขณะนั้นใช้อำนาจใดๆ ได้นอกเหนือจากกฎหมายสามัญในภาวะปกติทั่วไป ซึ่งโดยมากรัฐบาลไม่ได้เป็นผู้ใช้อำนาจโดยตรง แต่รัฐบาลมอบอำนาจอันไร้ขีดจำกัดให้หน่วยงานปราบปราม โดยเฉพาะหน่วยทหาร

“กระบวนการปราบปรามอย่างหน่วยทหารเป็นหน่วยงานที่ตรวจสอบไม่ได้ ทำให้การใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินควบคู่กับกระบวนการทหาร มันเลยทำให้ปัญหามันหนักหน่วงยิ่งขึ้น”

เขากล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้เกืดจากตัวกฎหมายอย่างเดียว แต่กฎหมายฉบับอื่นๆ ที่กำหนดว่าเงื่อนไขใดให้ใช้กฎหมายพวกนี้ได้ มันก็มีความคลุมเครือในตัวของมันเอง โดยเฉพาะในหมวดก่อการร้าย ที่ทางสากลบอกว่าหมายถึงการกระทำที่ทำให้เกิดความหวาดกลัวที่จะส่งผลให้เกิดการล้มล้างระเบียบเดิม และก่อให้เกิดระเบียบใหม่บนพื้นฐานของการสยบยอมต่อความหวาดกลัว ขณะที่การตีความในเมืองไทยช่วงที่ผ่านมา มองว่าการก่อการร้ายคือเรื่องการรวมกลุ่ม ก่อความวุ่นวาย ใช้กำลังประทุษร้ายต่อรัฐหรือพลเมือง

นครินทร์เสนอว่า นอกเหนือจากการยกเลิกพ.ร.กฉุกเฉินฯ จำเป็นต้องมีการปฏิรูปตัวบทกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการนิยามการการะทำทางสังคม ให้ชัดเจนว่าอะไรคือการก่อการร้าย และอะไรที่ไม่ใช่การก่อการร้าย โดยไม่ให้เกิดผลเสียต่อหลักสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย เพราะหาก การนิยามเรื่องความมั่นคงเป็นเรื่องตีความได้อย่างคลุมเครือ กฎหมายเรื่องนี้ก็จะหยิบใช้อย่างเลือกปฏิบัติ แม้จะมีการยกเลิกกฎหมายด้านความมั่นคงทั้งสามฉบับก็อาจหนีไม่พ้น ให้มีเหตุเพื่อการผลิตกฎหมายด้านความมั่นคงขึ้นใหม่ใช้แทนได้

ในงานเสวนาครั้งนี้ โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน ได้นำแบบฟอร์ม ขก.1 เพื่อระดมรายชื่อให้ครบหมื่นชื่อ เพื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติยกเลิกกฎหมายด้านความมั่นคงที่ขัดต่อสิทธิและเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตย พ.ศ.... มาแจกในงานด้วย

ที่มา.ประชาไท

การทหารแก้ด้วยทหาร

น่าแปลกที่กรณีตรวจสอบการจัดซื้อเครื่องบิน “กริพเพน” ของ ส.ส.พรรคเพื่อไทย เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ ซึ่งเป็นช่วง 6 เดือนก่อนที่ “กริพเพน” จะเข้าประจำการในกองทัพอากาศ ตามภารกิจจัดหาเครื่องบินมาทดแทนเครื่องบินขับไล่ F-5 ที่มีสภาพเก่าและล้าสมัย

น่าแปลกที่การตรวจสอบครั้งนี้ เป็นฝ่ายพลเรือน ทั้ง ส.ส.พรรคเพื่อไทย และกรรมาธิการ(กมธ.) ครุภัณฑ์ ที่ดิน สิ่งก่อสร้าง ใน กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2554 เป็นผู้เรียก ผู้แทนจาก กองทัพอากาศเข้าชี้แจง

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เรื่องการตรวจสอบการจัดซื้อเหมือนหนังเก่านำมาฉายซ้ำใหม่ เพราะการตรวจสอบทุกครั้งไม่สามารถชี้ให้เห็นว่าการจัดซื้อ “กริพเพน” มีการทุจริตจริงหรือไม่

กรณี “กริพเพน” แตกต่างจากกรณีจัดซื้อรถหุ้มเกราะล้อยางของ กองทัพบก ที่ยังติดหล่มไม่สามารถเข้าประจำการตามภารกิจจัดหาได้

ทั้งนี้ กรณีจัดซื้อ “กริพเพน”ได้รับการเปิดเผยข้อมูลจากกองทัพอากาศมาโดยตลอด ตั้งแต่ปี 2550 หลังการลงนามจัดซื้อระหว่างไทยกับสวีเดน โดยกองทัพอากาศได้ชี้แจงเรื่องนี้ผ่านทั้งทางสื่อมวลชนไทยและต่างชาติ หรือแม้แต่การออกสมุดปกขาว เพื่อชี้แจงกับประชาชน

ทุกครั้งที่มีข้อสงสัยจัดซื้อ “กริพเพน” ทอ.ตอบข้อสงสัยได้หมด ครั้งนี้ก็เช่นกันที่ ทอ.ต้องนั่งโต๊ะให้ ส.ส.ซักถามถึงข้อสงสัย

“เรื่องนี้เคยชี้แจงมาตั้งแต่ปี 2550 ซึ่งกองทัพอากาศ ได้รับการอนุมัติจัดซื้อเครื่องบินกริพเพนประมาณเดือนตุลาคม 2550 ต่อมาเดือนพฤศจิกายน 2550 มีนิตยสารเสนอว่า ทอ.เสนอซื้อเครื่องบินกริพเพนราคาแพงกว่าปกติ ซึ่ง ทอ.ได้ให้สถานทูตสวีเดนทำหนังสือชี้แจงยืนยันราคากริพเพน มาให้เพื่อชี้แจงรายละเอียด” พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผบ.ทอ. กล่าว

เป็นเหมือนการบอกให้ผู้ที่ทำการตรวจสอบและสงสัยในความไม่โปร่งใสได้เข้าใจว่าโครงการนี้ไม่มีอะไรในกอไผ่อย่างที่ถูกต้องสงสัย

ขณะที่ในกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ทอ.เข้าชี้แจง กมธ.ครุภัณฑ์ฯ ซึ่งการชี้แจงครั้งนี้ ดูเหมือนจะถูกพลเรือนอย่าง ส.ส.ชำแหละงบจัดซื้อ จนบางครั้งถูกซักเข้ามากๆ ก็เล่นเอาทหารอากาศตอบคำถามไม่ได้

โดยเฉพาะการจัดซื้อ กริพเพน ในเฟส 2 อีก 6 เครื่อง ในปี 2554 ซึ่งผู้แทน ทอ.ระบุว่า การจัดซื้อครั้งหลังนี้ จะซื้อแบบรัฐต่อรัฐหรือจีทูจี (GtoG : government to government)โดยตรง ทำให้อนุ กมธ.ซีกพรรคเพื่อไทยซักว่า ที่อ้างว่าซื้อแบบรัฐต่อรัฐ มีรายละเอียดเป็นอย่างไร ต้องผ่านกระบวนการที่มีบริษัทนายหน้าคือบริษัท ซาบ อีกหรือไม่ ตัวแทนกองทัพอากาศไม่สามารถชี้แจงได้ชัดเจนทำให้อนุ กมธ.ซีกพรรคเพื่อไทยหลายคนไม่พอใจ ยืนกรานคัดค้านการจัดซื้อในล็อตหลังและเสนอให้ยกเลิกทั้งหมดเพราะไม่คุ้มค่า

อย่างไรก็ตาม อนุ กมธ.มีมติให้นายสมเกียรติ ศรลัมพ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อแผ่นดิน เป็นผู้ประสานงานกับกองทัพอากาศเพื่อจัดทำข้อมูลรายละเอียดนำเสนอเพื่อเปรียบเทียบต่ออนุ กมธ.อีกครั้งในวันที่ 19 กรกฎาคม

โดยกำหนดประเด็นการรวบรวมเพื่อนำเสนอ ได้แก่ 1.ประเทศไทยจำเป็นต้องซื้อเครื่องบินรบหรือไม่ ศักยภาพด้านการรบและการป้องกันประเทศในปัจจุบันของไทยเป็นอย่างไร มีความจำเป็น ต้องเสริมศักยภาพด้านการรบมากน้อยเพียงใด

2.หากจำเป็นต้องเสริมกำลังรบ จำเป็นต้องซื้อกริพเพนหรือไม่ ซื้อเพราะมีประสิทธิภาพที่เหมาะสมอย่างไร ให้กองทัพอากาศจัดทำรูปแบบพัฒนาการของเครื่องบินขับไล่ เพื่ออธิบายเปรียบเทียบพัฒนาการการรบทางอากาศ และขยายรายละเอียดประสิทธิภาพของกริพเพน ตามที่กองทัพอากาศอ้างว่าเป็นเครื่องบินขับไล่ทันสมัย กำลังพัฒนาให้เทียบชั้นเครื่องบินขับไล่แบบเอฟ-18 ของสหรัฐอเมริกา เนื่องจากทางกองทัพอากาศอ้างว่าไทยจะได้ประโยชน์มากกว่าเพราะสวีเดนเสนอถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยี การฝึกอบรมบุคลากรที่บริษัทแมคโดนัลด์ ดักกลาส แต่ผู้ผลิตเอฟ-18 ไม่มีให้ อย่างไรก็ตาม ในส่วนการฝึกอบรมบุคลากรนั้นตั้งงบประมาณเพื่อดำเนินการแล้ว 164 ล้านบาท

3.หากประเมินแล้วควรซื้อ จะซื้อในราคาเท่าไหร่จึงเหมาะสม หากเทียบกับที่สวีเดนเสนอขายให้แต่ละประเทศ ออปชั่นเสริมมีอะไรบ้าง ราคากลางในท้องตลาดจริงๆ ที่ไม่ใช่ราคาเสนอขายต่อประเทศต่างๆ อยู่ที่เท่าไหร่

งานนี้ต้องบอกว่า การทหารต้องแก้ด้วยการทหาร

ที่มา.บางกอกทูเดย์

วันเสาร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ลึกสู่หายนะ

เพราะประเทศไทยมัวแต่..แย่งอำนาจกันโดยไม่รู้ว่า..ฝ่ายไหนเป็นฝ่ายไหน..สิ่งที่มองเห็นอยู่ข้างหน้าจึงเป็นความมืดมิด

ไม่ใช่ไม่เห็นแสงสว่างที่ปากอุโมงค์..เพราะถึงอย่างไร เราก็ยังรู้ว่าที่เดินไปข้างหน้าในความมืดนั้น..ยังเป็นทางออก

แต่สำหรับประเทศไทยวันนี้..เรากำลังพากันและช่วย กันเดินเข้าไปสู่ด้านลึกของอุโมงค์..ทั้งๆ ที่รู้ว่าสุดปลายทางมันก็คือความหายนะวอดวาย..

ในขณะที่ฝ่ายถือครองอำนาจ..พยายามแสดงอาการลิงโลดและประชาสัมพันธ์ถึงความสำเร็จยิ่งใหญ่ในการบริหาร ประเทศ

แต่การไปไหนมาไหนของผู้ครอบครองอำนาจทั้งหลาย.. ก็คืออยู่ภายในของรถยนต์กันกระสุน..ใช้จ่ายกันวันละล้านๆ เพื่อรักษาความปลอดภัย

จ่ายกันไปแล้ว 5 พันล้านและยังจ่ายต่อไปทุกวัน..

ประเทศเพื่อนบ้านในแหลมอินโดจีน..บ้านเมืองของเขา เป็นปึกแผ่นแน่นหนากันมาแล้วกว่า 35 ปี..เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นรัฐมนตรีกัน นานเกือบ 30 ปี..เขาทั้งหลายกำลังก้าวหน้า เติบใหญ่..ในขณะที่ประเทศไทยของเรา..ยังจมปลักอยู่กับ การแย่งอำนาจของแต่ละฝักฝ่ายทางการเมือง

ยังไม่รู้แพ้รู้ชนะ..

ประเทศมีรัฐบาล..ที่เดินทางไปได้เพียงครึ่งเดียวของราชอาณาจักร..มีสงครามที่ไม่รู้จบในเขตจังหวัดภาคใต้..และ จะมีสงครามใหม่ๆ เกิดขึ้น..อีกไม่นานข้างหน้า..เพราะจน ป่านนี้รัฐบาลและกองทัพได้ให้การยืนยันตรงกันแล้วว่า..มี 19 จังหวัดที่ปฏิเสธอำนาจรัฐ..หรืออาจจะถึง 36 จังหวัด.. ก่อนที่จะมีฉากสังหารหฤโหดใจกลางเมืองหลวง

ประเทศมีรัฐบาลที่กลัวการเลือกตั้ง เพราะรู้ว่าประชาชน จำนวนที่มากกว่า จะพากันปฏิเสธอำนาจของพวกเขา

เราจะเป็นประชาธิปไตยกันได้อย่างไร..หากเราไม่ ยอมรับเสียงส่วนใหญ่..เราจะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร..ใน เมื่อไทยกับไทยกลายเป็นคนต่างเผ่าเราต่างพันธุ์..และ เห็นต่างกันในแทบจะทุกเรื่อง

เราจะคืนสู่ความสงบสุขกันได้อย่างไร..และแบบไหน..ถึงวันนี้ไม่มีใครตอบได้..โดยเฉพาะรัฐบาลและส่วน การนำของกองทัพ

ลึกเข้าไปในอุโมงค์แห่งหายนะ นั่นแหละวันนี้ของประเทศไทย

ที่มา.สยามธุรกิจ

ได้เวลา วางเข็มทิศประเทศ

หลังจากที่ต้องเข้าไปอยู่ในกลุ่มบ้านเลขที่ 111 เมื่อรัฐบาลทักษิณ ถูกรัฐประหาร และพรรคไทยรักไทยถูกยุบพรรค วันนี้บทบาทของดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในทางการเมืองแม้ว่าจะยังไม่หันหลังให้ แต่ดร.สมคิดบอกว่า หากจะกลับมาในวงการเมืองอีกแล้ว ไม่ทำให้ประเทศดีขึ้น สู้อยู่กับบ้านเลี้ยงลูกดีกว่า

อย่างไรก็ตาม ดร.สมคิดไม่ได้ปล่อย เวลาให้เปล่าประโยชน์ วันนี้ดร.สมคิดเข้าไปอยู่ในแวดวงการศึกษา โดยยังทำงานให้กับนิด้า รวมทั้งเข้าไปเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยกรุงเทพ รวมทั้งยังเดินสายไปให้ความรู้กับประชาชนอยู่เนืองๆ

ล่าสุด ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่า การกระทรวงการคลัง เดินทางไปปาฐกถา ในงาน CEO Talk with Dr.Somkid with the Launching of GLEM COOKING Appliances and RCD’GRAND panorama kitchen cabinetry เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา

ดร.สมคิดให้มุมมองเศรษฐกิจของประเทศไทยว่า ประเทศไทยในขณะนี้ ถือว่ายังแข็งแกร่งทั้งในภาพของสถาบันการเงิน และภาคเอกชน ซึ่งแตกต่างจากวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ที่หลายคนต้องกลายเป็นหนี้ NPL สถาบันการเงินล้ม คนตกงานสูง ซึ่งถือว่าเป็นความย่อยยับที่แท้จริง แต่วิกฤติเศรษฐกิจใน หรือแฮมเบอร์เกอร์ครั้งนี้เราตั้งรับได้ดี ภาคเอกชน มีความพร้อมขนาดเศรษฐกิจซบเซาทั่วโลกแต่เรายังไปได้ดี ที่เป็นเช่นนี้เพราะ พื้นฐานเศรษฐกิจของเราดี ประการต่อมาเศรษฐกิจในช่วงก่อนหน้านี้ตกลงมามาก อีกประการหนึ่งก็คือภาคการส่งออกในช่วงที่ผ่านมาถือว่าฟื้นตัวดี อย่างไรก็ตามในส่วนของการท่องเที่ยว และการลงทุนจากต่างประเทศยังคงต้องใช้เวลา

อย่างไรก็ดี เชื่อว่าเศรษฐกิจปีนี้เติบโต 5-6% ซึ่งเป็นผลมาจากบุญเก่าที่ได้ทำไว้ เพราะจีดีพีในปี 52 อยู่ในระดับต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับปีนี้ทำให้จีดีพีในครึ่งปีแรกเติบโตในระดับสูงและพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทยที่ดีอยู่แล้ว เนื่อง จากพื้นฐานของเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งในช่วงครึ่งปีแรกที่เติบโตได้ดีจากการส่งออกที่ขยายตัวสูง แม้ว่าภาพการท่องเที่ยว และการลงทุนจากต่างประเทศจะยังต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูความเชื่อมั่น แต่ระยะสั้น ถือว่าไม่น่าเป็นห่วง

ทั้งนี้ หากมองในระยะยาว ประเทศ ไทยควรระมัดระวังการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจ เนื่องจากช่วงครึ่งปีหลังถึงต้นปี 2554 เศรษฐกิจโลกจะปรับเข้าสู่ภาวะถดถอย ที่เกิดจากการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เกิดวิกฤติจำนวนมาก ดังนั้นไทยจะต้องไม่ประมาท รัฐบาลควรจะทำงานให้หนักขึ้น ปฏิรูปปรับเปลี่ยนประเทศอย่างจริงจังโดยเร่งสร้างความแข็งแกร่งภายในประเทศให้เกิดขึ้น และใช้เวลาในการทำงานที่เหลืออยู่อย่างเต็มที่ ไม่ควรหวังพึ่งการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากภาคเอกชนเพียงอย่างเดียว รัฐบาลควรสร้างเศรษฐกิจในประเทศให้เกิดความ สมดุลกับการส่งออกที่เติบโตสูง

“ไอเอ็มเอฟเริ่มออกมาเตือนปีหน้าต้องระวัง ทำให้ปีหน้าไทยต้องระวังด้วยเช่นกัน รัฐบาลต้องใช้ช่วงเวลานี้ทำงานให้เต็มที่ อย่าประมาท ที่สำคัญต้องสร้างความเข้มแข็งภายในประเทศให้แข็งแกร่ง”

ดร.สมคิด บอกด้วยว่า ไทยต้องติดตามสถานการณ์ต่างประเทศอย่างใกล้ชิด ซึ่งจากการติดตามบทความของ โกลด์แมน แซ็คส์ ที่ออกมาทำนายว่าในอีก 20-30 ปีข้างหน้าเศรษฐกิจ 50-60% จะถูกครอบคลุมโดยประเทศมหาอำนาจใหม่ ในกลุ่มที่เรียกว่า BRIC อาทิ บราซิล รัสเซีย จีนและอินเดีย รวมกับกลุ่มประเทศที่เรียกว่า N 11 (NEXT11) ซึ่งประกอบไปด้วยกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนา 11 ประเทศ อาทิ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม บังกลาเทศ ปากีสถาน อิหร่าน อียิปต์ เม็กซิโก และอีกหลายประเทศ แต่เป็นที่แปลกใจว่าในกลุ่มประเทศ N 11 กลับไม่มีชื่อประเทศไทยอยู่ในกลุ่มนี้

นอกจากนี้ เศรษฐกิจจะโตเร็วมาก เรียกว่าเป็นการระเบิดของกลุ่ม Middle Income Country อำนาจการซื้อจะย้าย Shift จากกลุ่มประเทศในยุโรป และสหรัฐอเมริกา ไปยังประเทศเหล่านี้

ดังนั้น ไทยจะต้องพัฒนาตัวเองและหาทางพัฒนาการส่งออกไปยังเหล่านี้ให้มากขึ้น พร้อมทั้งเร่งเจาะกลุ่มเป้าหมายให้เป็นไปตามความต้องการผู้บริโภค และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าส่งออก ภาคธุรกิจจะต้องรู้ค่าเงินที่ผันวผน และการค้าการลงทุนของโลก เพื่อให้ไทยเป็นประเทศที่น่าจับตามองอยู่

ส่วนเรื่องแผนปฏิรูปประเทศไทยนั้น ดร.สมคิดบอกว่า แผนปฏิรูปประเทศไทยที่รัฐบาลควรเริ่มทำขณะนี้คือ ประกาศทิศทางของประเทศไทยใน 3-5 ปีข้างหน้าจะเดินไปทางไหน จะมียุทธศาสตร์ของประเทศอย่างไร เพื่อให้ประชาชนและเอกชนสามารถวางแผนได้ถูกต้องและขับเคลื่อนประเทศไทยพร้อมกัน และไม่ควรวางนโยบายบริหารประเทศ โดยตั้งเป้าหมายเพียงว่า จะทำให้กลับมา บริหารประเทศได้ในสมัยหน้าเท่านั้น ไม่เช่นนั้นประเทศจะลำบาก

สำหรับปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นกับไทยในขณะนี้ คือประชาชนที่เกิดความอ่อนแอจากปัญหาของความยากจน จนเกิดปัญหาของประเทศไทยไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้

ทั้งนี้ แนวทางแก้ปัญหายากจน รัฐบาลควรกระจายรายได้ออกไปสู่ภูมิภาค และในแต่ละท้องถิ่นให้ทั่วถึง ซึ่งหากประชาชนเข้มแข็งมีอำนาจซื้อมากขึ้น ก็จะส่งผลดีให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ต่อเนื่อง พร้อมกับการเร่งเข้าไปแก้ปัญหาของประเทศให้ถูกจุดอย่างรวดเร็วและต้องทำเดี๋ยวนี้ โดยไม่ต้องรอเวลาและรอคณะกรรมการปฏิรูปชุดต่างๆ

เห็นได้จากปัญหาส่วนหนึ่งของประเทศมาจากระบบการศึกษา ความสามารถของประเทศไทยถดถอย ก็ควรเข้าไปแก้ทันที ให้ความรู้พร้อมกับมุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ และเพิ่มขีดความสามารถของประเทศมากที่สุด

นอกจากนี้ ไทยยังมีปัญหาด้านการบริหารจัดการ และไม่มีทิศทางชัดเจน ดังนั้น คนไทยมองข้ามวิกฤติทางการเมือง และรัฐบาลต้องเข้ามาดำเนินการปรับเปลี่ยนไทยสร้างความเชื่อมั่นด้วยตัวเอง โดยให้มองถึงประเทศ ไม่ใช่มองการเลือกตั้งในครั้งหน้าเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ การปฏิรูปประเทศไทยสิ่งแรกที่ควรแก้ไข คือ ปัญหาความยากจน โดยเน้นการกระจายไปสู่ภาคชนบทมากขึ้น รวมทั้งการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยเน้นการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ มากขึ้น

“ประเทศชาติจะเจริญถ้าประชาชน ในประเทศเข้มแข็ง เอกชนก็จะเข้มแข็งพร้อมกันไปด้วย และรัฐบาลควรใช้เวลาในขณะนี้ทำให้ดีที่สุดเข้าไปแก้ปัญหาอย่างทันทีและทำให้ดีที่สุด และไม่ควรแก้ประเทศเพื่อให้เลือกตั้งได้ในครั้งหน้า ไม่งั้นประเทศลำบาก ควรระบุอนาคต 3-5 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไรเพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับวันนี้แล้ว”

ก่อนปิดท้ายการ Talk ครั้งนี้ ดร.สมคิดยังให้ความเห็นถึงการดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ของดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ว่า ดร.ประสาร เหมาะสมเป็นผู้ว่าการ ธปท. เพราะเคยทำงานอยู่ที่ธปท.มาก่อน รวมทั้งยังเคยเป็นเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาด หลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และอยู่ในภาคเอกชน จึงสามารถมองได้หลายมุม เชื่อว่าดูแลธปท.ได้เป็นอย่างดีและซื่อสัตย์สุจริต

ทั้งนี้ การบริหารนโยบายการเงินของประเทศไม่ใช่มุ่งแต่เพียงการดูแลนโยบายอัตราดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องประสานให้สอดคล้องกับกระทรวงการคลัง เพื่อสร้างเสถียรภาพการเงินการคลัง เพราะธปท. ถือเป็นเครื่องมือหนึ่งในการบริหารนโยบายการเงินของประเทศ

“ไม่จำเป็นต้องแนะนำผู้ว่าการธปท. ทำอะไรเป็นพิเศษ เชื่อว่า นายประสาร รู้หน้าที่” ดร.สมคิด กล่าวสรุป

ที่มา.สยามธุรกิจ

‘เป็ด’ไม่ลุก!! ใครจะทำไม?

คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา

ลากยาวไปถึงสรรหา ส.ว.??
ถ้าทุกอย่างอยู่บนบรรทัดฐาน และเจตนารมณ์ตามกฎหมายแล้ว คำว่า 2 มาตรฐานก็คงไม่เกิด... รวมทั้งการตะแบง การเลี่ยงบาลี เพื่อให้เกิดการผูกขาดยึดครองอำนาจและผลประโยชน์ก็คงไม่เกิด

แต่เพราะมีกลุ่มคนบางคนที่พยายามเลาะตะเข็บกฎหมาย พยายามตีความกฎหมาย ตะแบงเข้าข้างตัวเอง เอาสีข้างเข้าถูบ้าง แก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ บ้าง เพราะที่จะให้ดำรงไว้ซึ่งอำนาจในมือ... บ้านเมืองก็เลยวุ่นอย่างที่เห็นๆ กันจนทุกวันนี้

ปรากฏการณ์ที่กระทบกับความเชื่อมั่นของสังคมในเรื่องกฎหมาย ที่เป็นประเด็นร้อนขึ้นมาในเวลานี้อีกเรื่องหนึ่ง ก็คือ การตีความการดำรงตำแหน่ง “ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน” ของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ว่า สามารถที่จะอยู่ในตำแหน่งต่อไปได้หรือไม่

หลังจากที่มีอายุครบ 65 ปีเต็ม ไปเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม ที่ผ่านมา

คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ คตง. (State Audit Commission - SAC) เป็นคณะกรรมการ ที่ก่อตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2542 มีหน้าที่กำกับดูแล สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน

โดยที่ต้องย้ำว่า คตง. ต้องเป็นองค์กรอิสระทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้งบประมาณของรัฐบาล

คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ก็จะประกอบไปด้วย ประธานกรรมการ 1 คน กรรมการอื่น 9 คน พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภา จากผู้มีความชำนาญและประสบการณ์ด้านการตรวจเงินแผ่นดิน การบัญชี การตรวจสอบภายใน การเงินการคลัง และด้านอื่น

ซึ่งการบังคับบัญชา จะดำเนินงานโดยการมีหน่วยธุรการของคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินที่เป็นอิสระ มีผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้บังคับบัญชาขึ้นตรงต่อประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน

โดยวาระการดำรงตำแหน่ง คราวละหกปีนับ และดำรงตำแหน่งได้วาระเดียว

นั่นคือ เนื้อหาของกฎหมายรัฐธรรมนูญ และเจตนารมณ์ของกฎหมาย ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินชุดล่าสุด ได้สิ้นสภาพลงเมื่อ วันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2549 ตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 12/2549 โดยให้ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ปฏิบัติหน้าที่แทน

พูดง่ายๆ ก็คือ การทำรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายนได้ทำให้ คตง. สิ้นสภาพลงไป และคุณหญิงจารุวรรณ ก็ได้พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินด้วยเช่นกัน

แต่เพราะ ผลจากการรัฐประหารอีกนั่นแหละ ที่ทำให้มีประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ฉบับที่ 29 ข้อ 2 และ 3 วรรคสอง กำหนดให้คุณหญิงจารุวรรณ ยังคงต้องปฏิบัติหน้าที่คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน และผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินไปพลางก่อน จนกว่าจะมีการสรรหาใหม่ตามรัฐธรรมนูญ

แต่เนื่องจากการเมือง เนื่องจาก คมช. รวมไปถึงเรื่องความขัดแย้งในประเทศ ทำให้คุณหญิงจารุวรรณ ลากยาวนั่งเป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน จากปี 2550 มาถึงปัจจุบัน 2 ปีกว่าเกือบจะ 3 ปีอยู่รอมร่อแล้ว ก็ไม่ได้มีการสรรหาใหม่แต่อย่างใด

ดังนั้น เมื่อคุณหญิงจารุวรรณ อายุครบ 65 ปี เมื่อวันที่ 5 กค. ที่ผ่านมา จึงมีคำถามดังขึ้นมาว่า จะต้องพ้นจากตำแหน่งโดยอัตโนมัติหรือไม่???

โดยการยกข้อกฎหมาย พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2540 มาตรา 34(2) ประกอบมาตรา 302(3) ของรัฐธรรมนูญ 2550 ขึ้นมาตั้งคำถามจนกระหึ่มไปทั้งสังคม

แม้แต่คุณหญิงจารุวรรณ เองก็ยังต้องทำหนังสือถึง นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา เพื่อแจ้งว่า วันที่ 5 กรกฎาคม จะพ้นจากตำแหน่ง เนื่องจากมีอายุครบ 65 ปี ตามที่กฎหมายกำหนด คงต้องดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด แม้จะทราบว่า มีปัญหาเรื่องข้อกฎหมายที่ไม่สามารถสรรหา คตง. และผู้ว่าการ สตง. คนใหม่ได้

แต่ที่น่าจับตามองก็คือ คณะกรรมการที่ปรึกษากฎหมายประธานวุฒิสภา ได้มีการเสนอความเห็นทางกฎหมาย อ้างว่า แม้คุณหญิงจารุวรรณ ได้พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน โดยผลของกฎหมายโดยสมบูรณ์แล้วตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2550 แต่ตามประกาศ คปค. ฉบับที่ 29 ข้อ 2 และ 3 วรรคสอง กำหนดให้ยังคงต้องปฏิบัติหน้าที่คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน และผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินไปพลางก่อน จนกว่าจะมีการสรรหาใหม่ตามรัฐธรรมนูญ

ดังนั้น จึงไม่ต้องนำประเด็นปัญหาการพ้นจากตำแหน่งเมื่ออายุครบ 65 ปีบริบูรณ์มาบังคับอีก...

ถ้าแบบนี้พูดง่ายๆ ก็คือ คุณหญิงจารุวรรณ สามารถเป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินไปได้เรื่อยๆ จนกว่าจะเบื่อไปเอง หรือจนกว่าจะมีการสรรหาใหม่

สังคมเลยมีการโฟกัสไปที่คณะกรรมการที่ปรึกษากฎหมายประธานวุฒิสภาชุดนี้ ก็พบว่ามี นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา เป็นประธานฯ มีกรรมการประกอบด้วย นายคำนูณ สิทธิสมาน นายวรินทร์ เทียมจรัส นายสมัคร เชาวภานันท์ นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ส.ว.สรรหา นายสาย กังกเวคิน ส.ว.ระยอง

หมายความว่าส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในกลุ่ม 40 ส.ว. สายตรงม็อบพันธมิตรทั้งสิ้น

ที่สำคัญโดยเฉพาะตัวของนายไพบูลย์นั้น ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับการสรรหาเป็น ส.ว. โดยสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน เนื่องจากก่อนหน้านี้เคยเป็นที่ปรึกษากฎหมายของคุณหญิงจารุวรรณ มาก่อน

งานเข้าทันที ว่าความเห็นดังกล่าว จะถือว่าเป็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนได้หรือไม่???

เพราะหากมองข้ามช็อต จะพบว่า ในช่วงเดือนมีนาคม 2554 หรือต้นปีหน้า จะต้องมีการสรรหาวุฒิสภาชุดใหม่เกิดขึ้น ซึ่งปกติ 1 ใน 7 คณะกรรมการสรรหาวุฒิสภา จะต้องมีประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินโดยตำแหน่งด้วยคนหนึ่ง

ถ้าคุณหญิงจารุวรรณ ลากยาวเป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินแบบที่ 40 ส.ว.ตีความแล้ว นั่นจะเท่ากับว่า คุณหญิงจารุวรรณ จะเข้ามาเป็น 1 ใน 7 คณะกรรมการสรรหาวุฒิสภา ด้วยหรือไม่?

มองข้ามช็อตซ้ำ ให้ลึกลงไปอีกที บรรดา ส.ว. สรรหา ที่จะเข้ามารอบใหม่ ก็จะมีวาระการดำรงตำแหน่ง 6 ปี หรือเท่ากับยาวไปถึงปี 2560 โน่นเลยทีเดียว!!!

ประเด็นนี้จึงสุ่มเสี่ยงกับเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อนอย่างที่สังคมตั้งข้อสงสัยได้เหมือนกัน เพราะตราบใดที่ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.... ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ยังไม่คลอดออกมา ก็จะยังไม่มีการสรรหาผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินคนใหม่

และหากเป็นไปตามมุมมองของ 40 ส.ว. ก็เท่ากับคุณหญิงจารุวรรณสามารถเป็นไปได้เรื่อยๆ โดยไม่ต้องสนใจเกณฑ์เรื่องอายุครบ 65 ปี ในขณะที่หาก 40 ส.ว.ได้รับการสรรหากลับเข้ามาอีกวาระ ก็จะอยู่ยาว 6 ปี เป็นช่องโหว่ทางกฎหมายที่กำลังมีใคร หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งพยายามใช้ประโยชน์ตรงนี้อยู่หรือไม่... สังคมต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด

ที่สำคัญสังคมคงต้องกดดันให้ต้องมีการดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อที่จะแก้ปัญหาเรื่องข้อกฎหมายที่ไม่สามารถสรรหา คตง.และผู้ว่าการ สตง. คนใหม่ได้ ซึ่งเป็นผลมาจากการทำรัฐประหาร 19 กันยา และการประกาศคำสั่ง คปค. นั่นเอง

นี่คือผลงานที่ต้องถือว่าเป็นตราบาปที่สร้างปัญหาที่ชัดเจนของ ประกาศ คปค. ที่ทำให้เกิดการปิดล็อกการใช้กฎหมายปกติ

ซึ่งล่าสุด ประธานวุฒิสภา ได้มีการแจ้งไปยังคณะกรรมการสรรหาผู้ว่าการ สตง. แล้ว ซึ่งปรากฏว่าทางคณะกรรมการสรรหาที่มีนายสบโชค สุขารมณ์ ประธานศาลฎีกา เป็นประธาน ก็ได้มีการนัดประชุมเพื่อพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวในวันที่ 20 กรกฎาคมนี้ ที่อาคารรัฐสภา 2

อย่างไรก็ตาม คนๆ หนึ่งที่จะสามารถปลดล็อก และสร้างความสง่างามได้ ก็คือ คุณหญิงจารุวรรณเอง

นั่นคือแทนที่จะมาเรียกร้องให้ตีความ หรือวินิจฉัยคุณสมบัติ ว่าอายุครบ 65 ปีแล้วจะอยู่ต่อได้หรือไม่? แต่เปลี่ยนมาเป็นขอลาออกจากตำแหน่ง เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายปกติที่ว่า 65 ปี ต้องพ้นจากตำแหน่ง ... คุณหญิงจารุวรรณ ก็จะได้รับคำชมเชยจากสังคม

ส่วนงานของ สตง. ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะมีรองผู้ว่าการ ทำหน้าที่รักษาการในตำแหน่งได้อยู่แล้ว

แต่หากคุณหญิงจารุวรรณ ปล่อยให้ยืดเยื้อ ยื้อตำแหน่งไปเรื่อยๆ ก็ช่วยไม่ได้ หากสังคมจะมีการตั้งคำถามว่า ทำไมจึงไม่กล้าลุกจากเก้าอี้ นั่งทับอะไรอยู่หรือไม่?

หรืออาจจะมองไปถึงเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน อย่างที่คนจับตามองกันอยู่ก็ได้เช่นกัน...

น่าคิดมากๆ ใช่หรือไม่... คุณหญิงเป็ด!!!
ที่มา.บางกอกทูเดย์

คนไทยรึเปล่า?

“สมัยพฤษภา 2535 การเสียชีวิตมีการบันทึก การชันสูตรอยู่ในเกณฑ์ที่คิดว่าพอรับได้ มีบันทึกแพทย์ ทำให้เห็นแผลแต่ละแผล มีมุม มีลักษณะที่ถูกยิง ปืนที่ใช้ยิงเป็นลักษณะแบบไหน อย่างไร เป็นการจ่อยิง เป็นบาดแผลอย่างไร สมัยนั้น ศ.นพ.วิฑูรย์ อึ้งประพันธ์ ทำการวิเคราะห์เอกสารที่ชันสูตรศพ 39 ศพ จากทั้งหมด 44 ศพ แล้วมีบันทึกที่นำเอามาใช้ได้ ในขณะนั้นอาจารย์วิฑูรย์บอกว่ายังไม่สมบูรณ์ ควรปรับปรุง แต่เหตุการณ์นั้นผ่านมา 18 ปี สิ่งที่น่าตกใจในเชิงระบบการแพทย์เองก็ไม่มีบันทึกครบสมบูรณ์ อย่างน้อยถ้าเทียบกับปี 2535 ตอนนั้นยังมีมากกว่า”

ดร.กฤตยา อาชวนิจกุล นักวิชาการจากสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ข้องใจการชันสูตรพลิกศพ 90 ศพในเหตุการณ์เดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับผู้เสียชีวิต เพราะที่ผ่านมาแทบไม่ปรากฏเป็นข่าวใดๆเลย และตั้งคำถามถึงหน่วยแพทย์ที่เกี่ยวข้องทุกแห่ง 3 กรณีคือ 1.ศพส่งที่ไหนก็ชันสูตรที่นั่น ซึ่งการชันสูตรเป็นแบบไหนเขายังไม่เห็นเอกสาร เขาเพียงแต่เขียนว่าชันสูตร 2.ศพส่งไปที่ ไหนแล้วไปชันสูตรอีกที่หนึ่ง และ 3.ทำไมไม่มีข้อมูลชันสูตรศพทั้งหมด แต่มีเพียงประมาณ 1 ใน 3

2 ใน 3 ไม่มีการชันสูตร?

“ที่น่าสนใจคือ ศพที่ถูกยิงในเหตุการณ์และเสียชีวิตในวันที่ 10 เมษายน มีทั้งหมด 26 ศพ บอกว่ามีการชันสูตรศพ พอหลังจากนั้นคือหลังวันที่ 28 เมษายนมีการปะทะกันบนถนนวิภาวดีรังสิต แล้วมีทหารเสียชีวิตนายหนึ่ง ซึ่งบอกว่ายิงกันเองก็ไม่มีการชันสูตรศพ พอวันที่ 13 พฤษภาคม วันที่ เสธ.แดงถูกยิง จนมาถึงวันที่ 19 และ 20 พฤษภาคม มีผู้เสียชีวิตอีก เอา 26 ลบ 90 ทั้ง หมดนี้แค่ 1 ใน 3 เท่านั้นที่มีการชันสูตรศพ อันนี้เป็นคำถามของวิธีการว่าเกิดอะไรขึ้นถึงไม่มีการชันสูตรศพที่เหมาะที่ควร และสามารถจะใช้เป็นหลักฐานได้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมีความรุนแรงมากน้อยแค่ไหน”

ดร.กฤตยายังตั้งข้อสังเกตว่า ขณะนี้ศพถูกฌาปนกิจไปแล้วส่วนใหญ่ จึงมีข้อมูลน้อยมากหรือไม่มีเลย ซึ่งเป็นการเจตนา เป็นการจงใจหรือไม่ไม่ทราบ แต่ในฐานะทำงานด้านมนุษยชนมีความรู้สึกว่าภาครัฐ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ สถาบันการแพทย์ ไม่น่าจะปล่อยให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้ ซึ่งไม่รู้ว่าจะไปเรียกร้องความยุติธรรมจากใคร

90 ศพที่พูดไม่ได้?

ความเห็นของ ดร.กฤตยาไม่ได้แตกต่างจากคนเสื้อแดง นักวิชาการ และองค์กรภาคประชาชนต่างๆ หรือแม้แต่องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนและสื่อต่างประเทศ ที่เห็นว่ารัฐบาลไทยพยายามกลบเกลื่อนหรือเบี่ยงเบนความจริงในการใช้กำลังทหารปราบปราม คนเสื้อแดงจนมีผู้เสียชีวิตเกือบ 100 ศพ และบาดเจ็บเกือบ 2,000 ราย โดยใช้สารพัดนโยบายประชานิยมที่จะทำให้ประชาชนสนับสนุนรัฐบาล หรือประกาศแผนปรองดอง วาทกรรมสวยหรู และตั้งคณะกรรมการต่างๆขึ้นมาปฏิรูปประเทศไทย

แต่ 3 เดือนที่ผ่านมานับตั้งแต่เหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน หรือ 2 เดือนจากเหตุการณ์ 19 พฤษภาคม แทบไม่มีความจริงใดๆเกี่ยวกับเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” มาแถลง ให้ประชาชนรับทราบเลย ที่สำคัญรัฐบาลยังต่ออายุ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ปิดสื่อและเว็บไซต์ต่างๆเร่งไล่ล่าและกวาดล้างคนเสื้อแดงและฝ่ายตรงข้ามด้วยข้อหา “ผู้ก่อการร้าย” และ “ล้มสถาบัน” อย่างต่อเนื่อง

เสียงของญาติผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บมากมายจึงเงียบสนิทและไม่รู้จะทวงถามความยุติธรรมกับใคร แม้ล่าสุดจะมีการตั้งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน แต่นายคณิตแถลงชัดเจนว่าไม่ได้เน้นค้นหาความจริงว่าใครผิดหรือถูกในการสังหารคนเสื้อแดง แต่เน้นแสวงหาความจริงถึงต้นเหตุของความรุนแรงทางการเมือง เพื่อป้องกันความขัดแย้งและฟื้นฟูเยียวยาสังคมให้เกิดความปรองดองในระยะยาว

ยูเอ็นจี้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

แต่คนเสื้อแดงและประ-ชาชนที่รักความเป็นธรรมไม่ได้สิ้นหวังที่จะทวงคืนความยุติธรรมให้กับผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ โดยเฉพาะองค์กรระหว่างประเทศมีการเกาะติดและเคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลไทยมากกว่าคนไทยและองค์กรต่างๆของไทย

อย่างเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม นายอิเลน เพียร์สัน ผู้อำนวยการแผนกเอเชีย องค์การฮิวแมนไรท์วอทช์ ส่งจด หมายเปิดผนึกถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินทันที โดยระบุว่าเป็นกระบวนการบังคับใช้กฎหมายที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน และขัดหลักการประชาธิปไตย แม้จะมีการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินในบางพื้นที่ก็ตาม

โดยเฉพาะการคุมขังคนเสื้อแดงโดยไม่มีการตั้งข้อหาชัดเจน การไม่เปิดเผยข้อมูลของผู้ถูกจับกุม การใช้สถานที่คุมขังในที่ที่ไม่เหมาะสม และไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าผู้ถูกคุมขังถูกทารุณกรรมหรือไม่ ซึ่งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ก็ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลดังกล่าว แต่กลับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเพื่ออ้างความชอบธรรมและสร้างเกราะคุ้มครองให้รัฐบาลและ ศอฉ. หลุดพ้นจากข้อกล่าวหาฆ่าและทำร้ายประชาชน ทั้งยังปิดสื่อและเว็บไซต์จำนวนมาก ซึ่งเป็นการใช้อำนาจอย่างไม่จำกัดและขัดต่อหลักการด้านมนุษยชนตามสนธิสัญญานานาชาติว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights-ICCPR) ซึ่งไทยเป็นสมาชิก

เช่นเดียวกับเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม อินเตอร์เนชั่นแนลไครซิสกรุ๊ป (International Crisis Group-ICG) องค์กรพัฒนาเอกชนที่ศึกษาวิกฤตระดับนานาชาติเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาความขัดแย้งรุนแรง ได้เผยแพร่รายงานชื่อ “ประสานรอยแยกในประเทศไทย” เรียกร้องให้รัฐบาลไทยยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินทันที เพื่อสร้างบรรยากาศการปรองดองในชาติ ซึ่งต้องเริ่มต้นด้วยการให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว เพื่อให้ได้รัฐบาลใหม่ที่มีความชอบธรรมและเป็นที่ยอมรับของประชาชน

อนุญาตให้ฆ่า!

ขณะที่องค์กรสื่อไร้พรม แดนแถลงข่าวเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พร้อมรายงานที่ได้จากการสืบสวน สัมภาษณ์ และวิเคราะห์จากสื่อมวลชนต่างๆที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งไทยและต่างชาติชื่อ “อนุญาตให้ฆ่า” เรียกร้องรัฐบาลไทยและเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ (UN) ให้องค์กรต่างๆของสหประชาชาติเข้ามามีส่วนร่วมในการสอบสวนอย่างอิสระและโปร่งใสใน “อาชญากรรม” ที่เกิดขึ้นในไทยระหว่างเดือนเมษายน-พฤษภาคม ซึ่งมีผู้สื่อข่าวทั้งไทยและต่างชาติเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากแล้ว ยังกระทบต่อวิชาชีพสื่อมวลชนอย่างยิ่งอีกด้วย

แถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่า ในจำนวนผู้เสียชีวิต 90 ศพนั้น มีนักข่าวต่างประเทศ 2 ราย และผู้สื่อข่าวที่ได้รับบาดเจ็บถึง 10 ราย บางรายอาจต้องพิการไปตลอดชีวิต ขณะที่รัฐบาลไทยยังเซ็นเซอร์และปิดสื่อที่มีความเห็นตรงข้ามกับรัฐบาลอีกมากมายอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

แถลงการณ์ยังระบุว่า แม้รัฐบาลจะสามารถสลายการชุมนุมครั้งใหญ่กลางกรุงเทพฯได้ แต่เป็นชัยชนะที่เต็มไปด้วยความรุนแรงของทหาร ซึ่งมีพยานมากมายเห็นการยิงประชาชนที่ไร้อาวุธ ขณะที่รัฐบาลอาศัยการประกาศภาวะฉุกเฉินกวาดล้างคนเสื้อแดงและฝ่ายตรงข้าม โดยไม่คำนึงถึงกฎหมายระหว่างประเทศหรือกฎหมายของประเทศไทยที่ให้การคุ้มครองสิทธิพลเมืองไว้อย่างชัดเจน

ผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนจึงเรียกร้องให้มีการสอบสวนอย่างเป็นอิสระในอาชญากรรมที่เกิดขึ้น โดยขอความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญนานาชาติ เพราะไม่เช่นนั้นประเทศไทยจะสูญเสียความน่าเชื่อถือในเวทีนานาชาติ ซึ่งนายอภิสิทธิ์ต้องแสดงความจริงใจเพื่อนำไปสู่ความปรองดองของคนในชาติ รวมทั้งในฐานะที่ประเทศไทยได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนได้รับคำบอกเล่าจากนักข่าวยุโรปที่อยู่ในพื้นที่วันสุดท้ายของการชุมนุมว่าทหารใช้อาวุธสงครามกับประชาชน และไม่เคารพกติกาสากลในการสลายการชุมนุม แม้โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจะอ้างว่ากองทัพมีคำสั่งชัดเจนห้ามยิงประชาชน แต่สามารถใช้กระสุนจริงได้เพื่อป้องกันตัวเองจากกลุ่มผู้ก่อการร้าย เช่นเดียวกับการยืนยันว่ารัฐบาลให้เสรีภาพสื่อ แต่วันนี้ยังใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินปิดสื่อและเว็บไซต์ต่างๆอยู่

ทวงถามความยุติธรรม

สำหรับการเคลื่อนไหวเพื่อทวงถามความยุติธรรมให้กับ 90 ศพที่เสียชีวิตนั้น เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา เครือข่ายนักกิจกรรมทางสังคมเพื่อประชาธิปไตย (คกป.) ได้รวมตัวกันประท้วงการประชุมคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ (คปร.) ที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน และคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปประเทศ (คสป.) ที่มี นพ.ประเวศ วะสี เป็นประธาน ที่บ้านพิษณุโลก โดยแต่งกายใช้สัญลักษณ์กาชาดและพระสงฆ์ พร้อมสวมหน้ากากอาบเลือด และนำแผ่นกระดาษพิมพ์รายชื่อผู้เสียชีวิตปูบนพื้นถนน เพื่อแสดงการคัดค้านที่มาของคณะกรรมการทั้ง 2 ชุดว่าไม่ถูกต้อง แต่ไม่ได้แสดงความสนใจแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม คกป. ได้แจกจ่ายเอกสารมาจากบทความ “ปฏิรูปไม่ได้ ปรองดองไม่ได้ ถ้าไม่รู้สึกเจ็บปวด” โดยตั้งคำถามถึงจุดยืนของ นพ.ประเวศ ในการเป็นประธาน คสป. ว่า

“ความคิดที่จะมุ่งปฏิรูปอนาคตโดยไม่สนใจไยดีต่ออดีต และอันที่จริงอดีตก็ไม่ใช่เรื่องของเฉพาะโจทก์และจำเลย แต่เป็นเรื่องของความผิดพลาดที่เกิดขึ้นของหลายฝ่าย ทั้งฝ่ายรัฐและผู้ชุมนุม แต่เป็นเรื่องของการสูญเสียที่ร้าวลึกของหลายฝ่าย เป็นเรื่องของบาดแผลในจิตใจมนุษย์ ที่คงใช้เวลาอีกนานกว่าจะเยียวยา ทั้งยังเป็นบาดแผลต่อจิตวิญญาณของชนชาติไทย แต่ทำไมประธานกรรมการท่านนี้จึงเริ่มจากการบอกให้มองข้ามอดีต”

นอกจากนี้นายวรรณเกียรติ ชูสุวรรณ หนึ่งใน คกป. ยังเรียกร้องให้รัฐบาลอภิสิทธิ์แสดงความรับผิดชอบต่อผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ และผู้สูญเสียจากการสลายการชุมนุมก่อน ไม่ใช่เร่งการปฏิรูปที่เป็นเพียงการซื้อเวลา และการเบี่ยงเบนความรับผิดชอบต่อผู้สูญเสียในเหตุการณ์เท่านั้น

มาร์ค V11 เหยื่ออำมหิต

ความปรองดองหรือแผนปฏิรูปของนายอภิสิทธิ์จึงไม่มีใครเชื่อว่าจะสำเร็จตราบใดที่ยังไม่มีคำตอบชัดเจนว่าใครฆ่าและทำร้ายประชาชน ไม่ใช่แค่การตั้งกลุ่มอรหันต์มาสร้างภาพและยื้อเวลาให้ตนอยู่ในอำนาจต่อไปให้นานที่สุด

ขณะที่อีกด้านหนึ่งใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไล่ล่าและกวาด ล้างฝ่ายตรงข้ามอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งขบวนการต่างๆกดดันและทำลายฝ่ายตรงข้าม อย่างกรณีนายวิทวัส ท้าวคำลือ หรือมาร์ค V11 ผู้เข้าแข่งขัน “ทรู อะคาเดมี แฟนเทเชีย ซีซั่น 7” (AF7) ที่โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ควิจารณ์และขับไล่นายอภิสิทธิ์ออกจากตำแหน่งกรณีสั่งสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคม จนเกิดกระแสต่อต้านจากกลุ่มที่สนับสนุนนายอภิสิทธิ์ โดยเฉพาะขบวนการล่าแม่มดออนไลน์ที่กดดันให้ปลดมาร์ค V11 ออกจากรายการ

ในที่สุดเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม มาร์ค V11 ประกาศขอถอนตัวจากการแข่งขัน แม้จะอ้างเหตุผลเพื่อให้ทุกฝ่ายหันมาสมานฉันท์ พร้อมทั้งปฏิเสธข่าวหมิ่นเบื้องสูงก็ตาม แต่คงยากจะให้ผู้ที่ให้กำลังใจมาร์ค V11 มาตลอดเชื่อว่าเป็นการตัดสินใจอย่างบริสุทธิ์ใจด้วยตัวเอง เพราะนายวทัญญู ท้าวคำลือ บิดาของมาร์ค V11 พูดชัดเจนว่าจะพาลูกชายเข้าพบนายอภิสิทธิ์เพื่อขอโทษ ซึ่งก่อนหน้านี้พ่อแม่ของมาร์ค V11 ไม่ยอมให้ขึ้นเวทีแสดงคอนเสิร์ตเมื่อวันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยอ้างเรื่องความปลอดภัย และต้องการให้เห็นความสมานฉันท์ โดยมาร์ค V11 เองก็ไม่รู้เรื่องมาก่อน

กรณีของมาร์ค V11 จึงถือเป็นตัวอย่างชัดเจนที่สะท้อนให้เห็นความแตกแยก ความอคติ และจิตใจที่ใฝ่ต่ำของสังคมไทยขณะนี้ เพราะแม้แต่ความเห็นของเยาวชนคนหนึ่งที่แสดงความคิดเห็นอย่างบริสุทธิ์ตามสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตยยังถูกต่อต้านอย่างรุนแรง แม้แต่นายอภิสิทธิ์ยังแสดงความกังขาและทวงถามถึงความรับผิดชอบ แทนที่จะแสดงความป็นผู้นำที่มีจิตใจเป็นประชาธิปไตย เป็นผู้นำที่มีความเอื้ออาทรและเมตตาธรรม จึงไม่แปลกที่วันนี้คนจำนวนมากจะไม่เชื่อความจริงใจของนายอภิสิทธิ์ และไม่เชื่อว่าจะสร้างความปรองดองหรือกลุ่มอรหันต์จะปฏิรูปประเทศได้สำเร็จ

โมฆบุรุษ-โมฆรัฐบาล

คำพูดที่ว่า “เมื่อไม่มีก้าวแรกก็ไม่มีก้าวที่สอง” จึงสอด คล้องกับวิกฤตประเทศไทยขณะนี้อย่างดี เพราะหลายฝ่ายไม่เชื่อและยังกังขาแผนการปรองดองของนายอภิสิทธิ์ หากยังไม่มีคำตอบและคืนความยุติธรรมกับการสังหารโหดประชาชนทั้ง 90 ศพ

แม้แต่นายนิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์และหนึ่งใน คปร. ของนายอานันท์ ยังให้ความเห็นต่อเหตุการณ์เดือนพฤษภาคมว่าเป็น “พฤษภามหาโฉด” ที่ขณะนี้ไม่มีใครไว้วางใจใครได้เลย ตราบใดที่ยังมีการใช้ความรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นคนเสื้อแดงหรือนายอภิสิทธิ์ “ผมคิดว่าคุณอภิสิทธิ์ไม่มีความชอบธรรมในการปรองดอง นอกจากการลาออก”

เช่นเดียวกับ ดร.กฤตยาที่เห็นว่า หลังเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน ถือว่านายอภิสิทธิ์เป็น “โมฆบุรุษ” เพราะวาทกรรม “ก่อการร้าย” ที่นำมาใช้กับคนเสื้อแดง หากเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ที่ใช้คำว่า “ผู้ก่อความไม่สงบ” นั้น เหมือนการสร้างความสกปรกให้สะอาด สร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาล แล้วสร้างความอัปลักษณ์ให้กับคนเสื้อแดง โดยรัฐบาลใช้อำนาจอำมหิตจัดการในสิ่งที่เห็นว่าสกปรก ทั้งนี้ แม้ประชาชนจะเกลียดรัฐบาล แต่รัฐบาลไม่มีสิทธิเกลียดประชาชน และไม่มีอำนาจสั่งฆ่าประชาชน

“นายอภิสิทธิ์เคยพูดกับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 ว่านายสมชายเป็นคนหรือไม่ แต่ดิฉันจะไม่ถามว่านายอภิสิทธิ์เป็นคนหรือไม่ เพราะรู้ว่าเป็นคนอยู่แล้ว นอกจากนี้ในสมัยนายบรรหาร ศิลปอาชา นายอภิสิทธิ์อภิปรายโจมตีนายบรรหารตอนหนึ่ง นายอภิสิทธิ์กล่าวหานายบรรหารว่าเป็นโมฆบุรุษ และในเหตุการณ์นี้มีการสั่งสลายการชุมนุมจนทำให้คนเสียชีวิตจำนวนมาก แต่นายอภิสิทธิ์ยังอยู่ในอำนาจ นายอภิสิทธิ์เป็นโมฆบุรุษ และรัฐบาลชุดนี้ก็เป็นโมฆรัฐบาล”

ดร.กฤตยายังย้ำถึงการชันสูตรศพที่ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่จะพิสูจน์สาเหตุการเสียชีวิตที่มีแต่ 1 ใน 3 เท่านั้น เห็นได้ชัดเจนจากกรณีของ “น้องเกด” น.ส.กมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาของร่วมด้วยช่วยกัน ที่ถูกยิงที่วัดปทุมวนาราม ซึ่ง พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ บอกว่ามีกระสุนค้างที่ตัว แต่ภายหลังฝ่ายที่เกี่ยวข้องกลับบอกว่าไม่มี ซึ่งสรุปได้ว่าการชันสูตรศพของรัฐบาลไม่มีความชัดเจน และสะท้อนให้เห็นว่าเป็นการอำพรางการฆาตกรรมอย่างอำมหิต

คนไทยรึเปล่า?

สังคมไทยวันนี้จึงไม่ใช่แค่ไม่มีคำตอบกับ 90 ศพ และอีกเกือบ 2,000 ชีวิตที่บาดเจ็บ พิการเท่านั้น แม้แต่จะเรียกร้องความยุติธรรมยังมืดมน เพราะอำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่ใหญ่คับบ้านคับเมือง ที่รัฐบาลอ้างเป็นการบังคับใช้นิติรัฐนั้นกลับนำมาใช้แบบเอาเป็นเอา ตายและบ้าเลือดกับคนเสื้อแดงและฝ่ายตรงข้าม ไม่คำนึงถึงความเท่าเทียม สิทธิขั้นพื้นฐานความเป็นพลเมืองและสิทธิความเป็นมนุษย์ มีการจับคนที่คิดเห็นตรงกันข้ามไปคุมขังโดยไม่ต้องแจ้งข้อหาใดๆก็ได้

ขณะเดียวกันรัฐบาลและ ศอฉ. ยังใช้สื่อและวาทกรรมต่างๆเพื่อสร้างความชอบธรรมในการใช้อำนาจ ทั้งปิดกั้น ควบคุมและแทรกแซงสื่ออย่างชัดเจน เพื่อไม่ให้ปรากฏภาพทหารที่ประทับเล็งปืน หรือการใช้กำลังของทหารที่เกินสมควรแก่เหตุ โดยใช้วาทกรรม “ขอคืนพื้นที่” และ “กระชับวงล้อม” ซึ่งเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพที่นายอภิสิทธิ์และ ศอฉ. ถือเป็นความชอบธรรม

เหมือนพฤติกรรมของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการ ศอฉ. ที่กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่ถามว่า มีคนเห็นว่าทหารยิงประชา- ชน ทาง ศอฉ. ตรวจสอบอย่าง ไร นายสุเทพกลับยกมือชี้ไปที่ผู้สื่อข่าว แล้วถามว่า “เป็นคนไทยรึเปล่า?”

ทั้งที่เป็นคำถามที่ผู้สื่อข่าวอยากทราบความคืบหน้าการเสียชีวิตของ 90 ศพ ซึ่งรัฐบาลและ ศอฉ. ต้องอดทนและทำความเข้าใจกับประชาชนให้มากที่สุด แต่นายสุเทพกลับแสดงบารมีซึ่งไม่ต่างอะไรกับการข่มขู่ เหมือนเตือนว่าอย่าถามและคิดเช่นนี้อีก ทั้งที่ 90 ศพก็เป็นคนไทยเช่นกัน และยังเป็นคนไทยที่ถูกฆ่าอย่างอำมหิตอีกด้วย

คนที่น่าสงสารและต้องถามตัวเองว่า “เป็นคนไทยรึเปล่า?” จึงน่าจะเป็นคนที่สั่งการ และคนที่ลงมือฆ่าและทำ ร้ายประชาชน!

เหมือนครั้ง 6 ตุลาคม 2519 ที่สังหารโหดนักศึกษากลางเมือง แต่คนฆ่ากลับกลายเป็นวีรบุรุษ เพราะคำว่า “ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป”

เช่นเดียวกับการฆ่าอย่างเลือดเย็นและอำมหิต 90 ศพที่ราชดำเนินถึงราชประสงค์ และ 6 ศพที่วัดปทุมวนาราม ที่ไม่ ใช่แค่ถามว่า “เป็นคนไทยรึเปล่า?” เท่านั้น

แต่ต้องถามว่า “เป็นคนรึเปล่า?” ด้วย!

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 5 ฉบับ 268 วันที่ วันที่ 17-23 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 หน้า 8 คอลัมน์

ภัควดี แปล 'ชีวิตภายใต้เงาอำมหิตของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ'

ภัควดี ไม่มีนามสกุล
แปลจาก David Streckfuss*

“Life Under Abhisit’s Thumb: The Thai government cracks down on dissent in the restive northeast,” The Wall Street Journal ; July 11, 2010.

สัญญาณที่จับต้องได้ส่วนใหญ่ของ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน อาจไม่มีเหลือให้เห็นมากนักในภาคอีสานของประเทศไทย รั้วลวดหนามที่ล้อมรอบศาลากลางจังหวัดถูกรื้อออกไปแล้ว ทหารจากกองทัพที่เข้ามาคุมเชิงตามหมู่บ้านต่าง ๆ หลังจากการสลายการประท้วงต่อต้านรัฐบาลในกรุงเทพฯ เมื่อเดือนพฤษภาคม ก็ถอนตัวออกไปหมดแล้วเช่นกัน สภาพการณ์ทั่วไปดูเหมือนกลับมาเป็นปรกติ

กระนั้นก็ตาม หลังจากทยอยกลับมาบ้านจากกรุงเทพฯ ผู้สนับสนุนแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือที่เรียกกันว่า “คนเสื้อแดง” ยังคงรู้สึกถูกคุกคาม ในบรรดาผู้คนจำนวน 417 คนที่ถูกจับตัวไว้ภายใต้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ด้วยข้อหาต่าง ๆ นับตั้งแต่การเข้าร่วมชุมนุมโดยผิดกฎหมาย มีอาวุธอยู่ในครอบครอง ไปจนถึงวางเพลิง มีถึง 134 คนที่มาจากภาคอีสาน หมายจับอีกกว่า 800 คนที่รัฐบาลออกคำสั่งหลังสลายการชุมนุม ผู้ต้องหาส่วนใหญ่ตามหมายจับนี้ก็เป็นคนในต่างจังหวัด ข่าวการสังหารผู้นำเสื้อแดงสองคน คนหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่งผลสะเทือนอย่างลึกซึ้งและทำให้เกิดข่าวลือต่าง ๆ นานาเกี่ยวกับผู้นำคนอื่น ๆ ที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย

เป็นเรื่องยากที่จะหาข้อมูลว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ด้วยความกลัวว่าจะถูกจับหรือประสบชะตากรรมเลวร้ายกว่านั้น ผู้นำจำนวนมากจึงหนีไปที่อื่น หลบไปกบดานหรือปิดปากเงียบ พวกเขาวิตกว่าตัวเองถูกจับตามองและถูกดักฟังโทรศัพท์ หลายคนไม่เต็มใจที่จะพบปะกับผู้สื่อข่าวหรือคณะทำงานด้านสิทธิมนุษยชน มีความรับรู้อย่างหนึ่งในหมู่คนเสื้อแดงว่า รัฐบาลสามารถทำได้ทุกอย่างตามอำเภอใจภายใต้พระราชกำหนดฉุกเฉิน ในส่วนรัฐบาลเองนั้น รัฐบาลก็ไม่เคยแสดงจุดยืนชัดเจนว่ามีแผนการจะจัดการกับคนเสื้อแดงอย่างไร หลังจากปล่อยผู้ต้องขังจำนวนหนึ่งออกมาเมื่อเดือนที่แล้ว นอกจากพูดว่า คนเสื้อแดงที่มีโทษสถานเบาอาจได้รับนิรโทษกรรม

ดูเหมือนรัฐบาลยังใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อรื้อทำลายความสามารถในการจัดตั้งของคนเสื้อแดงตามท้องถิ่นต่าง ๆ จากปากคำของแหล่งข่าวเสื้อแดงคนหนึ่งในภาคอีสานที่ขอร้องไม่ให้ระบุชื่อเพื่อเหตุผลด้านความปลอดภัย สถานีวิทยุชุมชนของคนเสื้อแดงเกือบทั้งหมดได้ส่งมอบเครื่องส่งสัญญาณวิทยุให้ทางราชการเมื่อเดือนที่ผ่านมา ตามคำบอกเล่าของแหล่งข่าวผู้นี้ สำนักผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่นได้อ้าง พ.ร.ก.ฉุกเฉินและภายใต้แรงกดดันของ ศอฉ. จากกรุงเทพฯ กำลังพิจารณาที่จะรื้อทิ้งเสาอากาศของสถานีวิทยุชุมชนของคนเสื้อแดงในขอนแก่น แต่เพราะคำยืนกรานของเจ้าของสถานีว่าจะฟ้องรัฐบาลหากทำเช่นนั้นจริง ๆ ทำให้เงื้อมมือของรัฐบาลชะงักไปก่อน อย่างน้อยก็ในตอนนี้

ในระยะสั้น ดูเหมือนการตัดสินใจของรัฐบาลไทยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วให้ขยาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไปอีกในหลายจังหวัดของภาคอีสาน จะเป็นเครื่องมือที่ใช้ได้ผล มีความเงียบงันอย่างเด่นชัดครอบคลุมไปทั่วทั้งดินแดนแถบนี้ แม้กระทั่งตามบ้านเรือนของผู้คนจำนวนมากก็เงียบกริบ เมื่อไม่มีวิทยุหรือโทรทัศน์เสื้อแดงเหลือให้รับฟังรับชม หลาย ๆ ครอบครัวก็เลือกไม่ฟังอะไรเลย พวกเขาบอกว่า ถ้าต้องดูข่าวที่รัฐคุมเข้มหรือแม้แต่อ่านหนังสือพิมพ์ก็พาลให้โมโหเปล่า ๆ

เมื่อรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะจัดโครงการเปิดรับสายโทรศัพท์จากประชาชน เพื่อรับฟังทัศนะเกี่ยวกับ “การปรองดองแห่งชาติ” คำแนะนำจากคนเสื้อแดงที่โกรธแค้นจำนวนมากที่โทรเข้าไป เช่น บอกให้นายกฯ ยุบสภาและสอบสวนรองนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในข้อหาการใช้กำลังปราบปรามเกินขอบเขต ฯลฯ แน่นอน รัฐบาลย่อมมองว่าคำพูดเหล่านี้เป็นคำแนะนำที่ไม่สร้างสรรค์ แต่อันที่จริง ก่อนที่รัฐบาลอภิสิทธิ์จะประกาศ “โรดแม็ป” แผนปรองดองเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม ฝ่ายเสื้อแดงบอกว่าพวกเขาเสนอโรดแม็ปอันหนึ่งมาตั้งนานแล้ว นั่นคือ ยุบสภา ยกเลิกการสั่งปิดสื่อของเสื้อแดงและยุติปัญหาสองมาตรฐานในระบบยุติธรรม เพราะเหตุนี้เอง คนเสื้อแดงจำนวนมากจึงไม่อยากเสียเวลาโทรศัพท์เข้าไปในรายการ “6 วัน 63 ล้านความคิด” พวกเขาเลือกความเงียบดีกว่า

แต่ความเงียบและสภาพที่ดูผิวเผินเหมือนปรกติในภาคอีสานเป็นแค่ภาพลวงตา มันคือหน้าฉากที่อำพรางความรู้สึกหวาดกลัว คับข้อง รังเกียจและเคียดแค้น

ถ้ามองในเชิงประวัติศาสตร์แล้ว อารมณ์ความรู้สึกแบบนี้ไม่เหมือนสภาพหลังการรัฐประหาร 2549 หรือแม้กระทั่งสภาพหลังการปราบปรามประชาชนของกองทัพเมื่อ พ.ศ. 2535 ทั้ง ๆ ที่ครั้งนั้นก็มีผู้ประท้วงถูกสังหารจำนวนมาก สภาพในตอนนี้มีบรรยากาศคล้ายประเทศไทยสมัยหลังการกวาดล้างนองเลือดนักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2519 มากกว่า เช่นเดียวกับผู้นำเสื้อแดงในตอนนี้ ผู้นำนักศึกษาในตอนนั้นก็ถูกกล่าวหาว่าก่อการร้าย ล้มเจ้าและปลุกปั่นก่อความไม่สงบเช่นกัน เหตุการณ์ตุลาคม 2519 เป็นจุดเริ่มต้นที่สังคมไทยเสื่อมถอยไปสู่ระบอบเผด็จการทหาร ความแตกแยกอย่างลึกซึ้งและการกดขี่ปราบปรามประชาชนเป็นระยะเวลายาวนาน

คนไทยจำนวนมาก และไม่ใช่เฉพาะคนเสื้อแดงเท่านั้น เริ่มตั้งข้อสงสัยว่า วิธีการของรัฐบาลอภิสิทธิ์กำลังนำพาประเทศไทยถอยหลังกลับไปสู่ระบอบเผด็จการด้วยการขยายภาวะฉุกเฉินไปอย่างไม่มีกำหนดหรือไม่ ตัวอย่างก่อนหน้านี้ก็มีให้เห็นใน พ.ศ. 2501 มีการประกาศงดใช้ระบบกฎหมายตามปรกติ และสั่งให้ยึดถือเอาประกาศของคณะปฏิวัติมีความสำคัญเหนือกว่ากฎหมายอาญาและกฎหมายรัฐธรรมนูญ มองจากในแง่ของกฎหมายแล้ว ประเทศไทยอยู่ภายใต้สภาวะนี้ต่อมาอีกถึง 4 ทศวรรษ มีแต่รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2540 เท่านั้นที่มีความก้าวหน้าในแง่ของการรื้อทิ้งเศษซากตกค้างของระบอบเผด็จการ แต่การรัฐประหารของกองทัพเมื่อ พ.ศ. 2549 เพื่อขับไล่นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ที่ได้รับการเลือกตั้งมาตามระบอบประชาธิปไตย ได้ผลักไสประเทศไทยจมลงสู่ความไร้เสถียรภาพอีกครั้ง

รัฐบาลอภิสิทธิ์บอกว่า การปราบปรามคนเสื้อแดงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรักษาหลักนิติรัฐ แต่การใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินกลับเป็นสิ่งที่สวนทางตรงกันข้าม มันจะกัดเซาะความเข้มแข็งและความมั่นคงระยะยาวของระบอบนิติรัฐ ถึงแม้มีการยกเลิก พ.ร.ก. ฉุกเฉินในห้าจังหวัด แต่การขยาย พ.ร.ก. ฉุกเฉินไปอีก 3 เดือนใน 18 จังหวัดและในกรุงเทพฯ เป็นแค่สัญญาณบ่งบอกครั้งล่าสุดถึงภาวะความไม่มั่นคงทางกฎหมายที่จะเพิ่มขึ้นในระยะยาว

เป็นเรื่องยากที่จะคิดว่า รัฐบาลที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำจะสามารถทลายกำแพงความเงียบหรือบรรเทาความโกรธแค้นของคนจำนวนมากในภาคอีสาน แน่นอน การยกเลิก พ.ร.ก. ฉุกเฉินหรือการอนุญาตให้วิทยุโทรทัศน์เสื้อแดงกลับมาออกอากาศ อาจไม่ทำให้รัฐบาลชนะใจคนในภาคอีสานได้ง่าย ๆ ตราบใดที่รัฐบาลยังไม่สามารถ “คืน” สิทธิที่ประชาชนรู้สึกว่าเป็นของเขาในระบอบประชาธิปไตย รวมทั้งผู้วางนโยบายในกรุงเทพฯ ก็ไม่ควรประหลาดใจด้วย หากการคืนสิทธินี้จะทำลายความเงียบในภาคอีสานและเปิดช่องให้การส่งเสียงที่โกรธแค้นยิ่งกว่าเดิม

*David Streckfuss เป็นนักเขียนที่อาศัยอยู่ใน จ.ขอนแก่น
ที่มา.ประชาไท

"ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ"ขายไอเดียปฎิรูปประเทศไทย

ดร. ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ เป็นนักเศรษฐศาสตร์การเมือง ขนานแท้และดั้งเดิม เพราะเล่นมาแล้วทุกบทบาท ไม่ว่าจะเป็นผู้นำสหภาพ หรือ นักเคลื่อนไหวทางสังคม ล่าสุด ชื่อ ของเขาอยู่ใน "คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป " และ"คณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทย" บทบาทการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ครั้งนี้ ถูกจับตามองว่า ข้อเสนอ ของคณะกรรมการ 2 ชุด จะจบแค่กระดาษกองโต หรือ จะฝ่าวงล้อมจากวิกฤตสังคมไทย ได้จริง ๆ

" ทีมข่าว " สนทนากับ "ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ" ในทุกประเด็นที่คนไทยอยากรู้ !!!

ที่มาที่ไป ทำไมอาจารย์ มีชื่ออยู่ใน คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป และกรรมการปฏิรูปประเทศไทย ทั้งสองคณะเลย

(คิด...)เรื่องทั้งหมดคงจะเป็นการส่งเสริมสนับสนุนของหมอประเวศ ผมทำงานกับหมอประเวศมาเกือบ 2 ปีแล้ว เรามีเวทีคณะกรรมการปฎิรูปประเทศไทย ซึ่งจะประชุมที่สถาบันจุฬาภรณ์เดือนละสองครั้ง โดยร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสิรมสุขภาพ(สสส.) ซึ่งมีเรื่องทั้งหมด 10 เรื่องที่เราทำมาโดยตลอด หนึ่งในนั้นคือเรื่องสร้างระบบสวัสดิการ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมทำมาตั้งแต่ประมาณปี 2542-2543 โดยมีงานวิจัย 3-4 ชิ้น และได้เสนอไปตอนที่ผมยังเป็นประธานคณะกรรมการจัดรายได้จนกระทั่งรัฐบาลรับเป็นวาระแห่งชาติ ในเรื่องการผลักดันสังคมสวัสดิการ

เวลาที่พูดถึงเรื่องสวัสดิการ เราไม่ค่อยมีใครทำงานด้านแรงงาน เรามักจะพูดเรื่องสวัสดิการชุมชน สวัสดิการคนชนบท คนแก่ สารพัด และมักให้ความสำคัญกับคนยากคนจนในเรื่องแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ ปัญหาสวัสดิการต่างๆ แต่ผมพูดเสมอว่าเราต้องอยู่กับความเป็นจริง อยู่กับพลวัตของสังคม ปัจจุบันถ้าเราพิจารณาแล้วคนส่วนใหญ่ของสังคมไม่ใช่เกษตรกร ผมพูดมาประมาณตั้งแต่ปี 2543-2544 จนกระทั่งหมอประเวศท่านเข้าใจ ท่านเห็นด้วยจนสนับสนุนให้ผมทำงานพวกนี้ที่ต้องให้ความสำคัญกับแรงงานมากขึ้น

ยกตัวอย่าง ปัจจุบันกำลังแรงงานซึ่งหมายถึงคนอายุ 15-60 ที่ทำงานได้ ไม่รวมพระภิกษุ สามเณร ตาเถร เณร ชี เราจะมีคนที่ทำงานได้อยู่ 38 ล้านคน จากจำนวนประชากรทั้งหมด 67 ล้าน ใน 38 ล้านคนเป็นลูกจ้าง 17 ล้าน และ14 ล้านคนเป็นลูกจ้างเอกชน อีก 3 ล้านเป็นลูกจ้างรัฐ ตัวเกษตรกรจริงๆแล้วมีจริงแค่ 12 ล้านคน เราเรียกได้ว่ากลุ่มลูกจ้างเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่สุดในสังคม

เวลาเราพูดเรื่องคนยากคนจน เรามองไม่เห็นลูกจ้างเลย แต่ที่พูดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าทิ้งเกษตรกรนะ แต่เราต้องเข้าใจว่าเรากำลังพัฒนาตัวเองเข้าสู่สังคมทุนนิยม นำโดยการค้าและอุตสาหกรรม เราดู GDP แล้วภาคเกษตรเหลือ 10 % ภาคอุตสาหกรรมปาเข้าไป 90 % แต่เรากลับไม่ได้คิดของพวกนี้ เพราะสินค้าเกษตรมันหมายถึง Primary Product หรือ สินค้าพื้นฐานที่ไม่แปรรูป อย่างข้าวนี่ถ้าเป็นข้าวสาวเป็นสินค้าเกษตรนะ แต่ถ้าเป็นแป้งเมื่อไหร่เป็นอุตสาหกรรมแล้วนะ เพราะมันต้องผ่านโรงงานมาแปรรูป

เมื่อเราเข้าใจโครงสร้างหรือเข้าใจว่าฐานสังคมส่วนใหญ่เป็นแรงงานแล้ว มันจะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนนโยบายอะไรบ้าง

เวลาเราบอกว่าจะปฎิรูป เราจะตั้งคำถามว่าปฎิรูปอะไร จากนั้นก็อาจโยงไปถึงเรื่อง "ความขัดแย้ง" เพราะสังคมมันขัดแย้งเหลือเกินตามภาคการเมืองและสังคมแบบนี้เนี่ย คราวนี้ก็ไล่ไปว่าความขัดแย้งหลักมันมาจากไหน ถ้าคุณบอกว่า เอ้า มันมาจากการแย่งชิงอำนาจของผู้นำ แต่การแย่งชิงอำนาจของผู้นำเนี่ย เขาใช้อะไรเป็นปุ๋ยหละ ถ้าถามลึกๆแล้วก็คือ ในสังคมไทยอะไรเป็นปุ๋ยของความขัดแย้ง

ความเหลื่อมล้ำ ?

อืม แปลว่าต้องมีคนสูง คนต่ำ มีคนรวย คนจน แล้วใครเป็นคนยากคนจนหละ ยอมรับไหมหละว่าคนยากคนจนเป็นเกษตรกรและคนใช้แรงงาน ก็ไล่ไปสิแบบที่พูดไปข้างต้น พอถึงจุดนี้นะไอคนที่จะยกประเด็นเรื่องแรงงานขึ้นมาพูดเนี่ยไม่มี นักเศรษฐศาสตร์ก็พยายามพูดว่าคนจนคือคนที่รายได้ต่ำกว่าวันละ 1 ดอลลาร์ โทษทีนั่นมันใช้มาตรฐานของแอฟริกา ถามว่าคนไทยมีรายได้วันละ 33 บาท หรือ 1ดอลลาร์เนี่ย คนขี้หมาที่ไหนจะอยู่ได้ ผมบอกว่ามันน่าจะเปลี่ยนได้แล้วเราเป็นประเทศอุตสาหกรรมพอเราเป็นประเทศอุตสาหกรรม ทุกอย่างเป็นสินค้าหมดแล้ว พอทุกอย่างเป็นสินค้าหมดเราก็ต้องใช้เงินมากกว่าแอฟริกา อันนี้เป็นความผิดมหันต์เลยที่เทียบแบบนี้ พอเราเทียบแบบนี้แล้วเราก็บอกว่าแรงงานไม่ใช่คนจนแล้ว มันจะจนได้ยังไงได้เงินเดือนละ 4 พันบาท ถ้าจนก็ต้องได้เงินเดือนละแค่พันบาท

พอมองว่าไม่ใช่คนจนก็จะไม่ช่วยเลย มุ่งไปที่ภาคเกษตรอย่างเดียว

ถูกต้อง รัฐบาลเลยชอบคำอธิบายแบบนี้ เพราะฉะนั้นตัวเลขมันเป็นเรื่องทางการเมือง

รัฐบาลต้องการให้เห็นว่าคนจนน้อย จะได้เป็นความสำเร็จของรัฐบาล

ใช่ ดังนั้น คำว่าคนงาน คนจน จะไม่อยู่ในสายตาเลยเพราะมองว่าพวกคุณไม่ใช่คนจน แม้แต่ตัวผมเองไปคุยกับทั้งสองคณะนะ แทบจะไม่มีใครพูดเรื่องนี้เลย มีแต่หมอประเวศที่พูดเรื่องแรงงานขึ้นมาว่าเรามีประเด็นเรื่องแรงงาน เรื่องคนด้อยโอกาส และนั่นคือสาเหตุที่หมอประเวศดึงผมเข้าไปเพราะผมมองเห็นตรงนี้ และก็หมอประเวศบอกไปช่วยคุณอนันต์ด้วยเพราะจะได้เชื่อมกันเข้ามา

ทีนี้ในงานวิจัยของผมบอกว่า ร้อยละ 60 ของคนงานมีเงินเดือนไม่ถึง 6 พัน แต่มาตรฐานกลับบอกว่าราชการต้องมีเงินเดือนไม่ต่ำกว่า 7 พัน ผมขอถามหน่อยว่าแล้วคนงานอยู่ได้หรือ แล้วสวัสดิการาชการก็เบิกได้ คนงานเบิกได้บ้างหรือเปล่า ก็ต้องพึ่งประกันสังคม แล้วคำว่าประกันสังคมก็ต้องออกทุกเดือนนะไม่ใช่ได้ฟรีๆ คนงานร่วมรับผิดชอบไม่ใช่แลกแจกแถมเหมือนที่ทำกันอยู่นะ

ถ้าเรามองโครงสร้างได้แบบนี้แล้ว เราจะใส่นโยบายอะไรให้มันแก้ปัญหาแรงงานได้

เราก็กลับมาสู่ความเหลื่อมล้ำ ถามว่าคนที่อยู่ต่ำกว่าเป็นใครบ้าง เป็นเกษตรกร เป็นแรงงาน คนที่อยู่ข้างบนจะแก้ยังไง อย่าให้คนที่อยู่ข้างบนมีมากเกินไป ให้เขาเฉลี่ยกลับมาบ้าง โดยทั่วไปการทำให้คนข้างบนเฉลี่ยกลับลงมาได้มี 2 อย่าง หนึ่งคือภาษี สองคือระบบควบคุมเช่นการควบคุมระบบการผูกขาด แต่เราควบคุมได้หรือ เห็นกันอยู่ปัญหาไข่ ปัญหาเหล้า ทุนบางอย่างก็ผูกขาด

ส่วนภาษีเนี่ยมันก็เอื้อให้คนรวย ลองดูสิเราไปกินอาหารเนี่ย แว็ตมันยังคิดจากเราเลย เขียนแว็ตเท่านี้ ค่าอาหารเท่านี้ มันผลักมาให้เรา เป็นการบอกอะไรครับว่า เอาจริงๆแล้วคนรวยเสียภาษีเยอะก็จริง แต่สิ่งที่คนไม่คิดคือคนรวยที่ทำธุรกิจ ผลักภาระได้ เขาบวกเป็นต้นทุนได้ แต่คนที่จ่ายภาษีเต็มที่ไม่รู้จะผลักไปหาใครคือ มนุษย์เงินเดือน จะผลักไปหาใครได้ มันเก็บ ณ ที่จ่ายเลย แต่มนุษย์เงินเดือนที่โดนคือพวกที่มีรายได้เกินหมื่นห้า พวกคนยากคนจน เกษตรกรไม่เกินก็ไม่ต้องจ่าย ก็โดนแว็ตอย่างเดียว คนชั้นกลางรับไปโดนสองเด้ง คนรวยก็สองเด้งแต่ผลักได้ ถ้าคิดแบบนี้เรารู้เลยตกลงภาษีเมืองไทยใครแบ่งรับ คือมนุษย์ค่าจ้างเลย เห็นชัดเจน

ถามว่าภาษีที่เราจะดึงคนรวยว่าอย่ารวยเกินไป เราทำได้มากน้อยแค่ไหน ลองดูนะถ้าขึ้นภาษี เขาบอก เห้ย มันทำลายการลงทุน พวกนั้นก็บอกจะทำรัฐสวัสดิการ รัฐสวัสดิการคือสวัสดิการจัดโดยรัฐทุกอย่าง พอจ่ายทุกอย่างก็ต้องใช้เงินเยอะ แล้วเอาเงินจากไหน คุณไม่กล้าเก็บภาษีคนรวย คนจนไม่มีเงินจ่าย พวกคนชั้นกลางก็ต้องโดน มันแฟร์หรือ

ก็เลยเป็นที่มาของการเสนอภาษีที่ดิน โรงเรือน ?

อืม ผมเสนอตั้งแต่อยู่สภาที่ปรึกษาแล้ว ภาษีทรัพย์สิน โรงเรือน สารพัดแต่ไม่ผ่านหรอกครับ ภาคธุรกิจเขาไม่ให้ผ่าน

แล้วภาษีกำไรหุ้น เอาด้วยไหม ?

ก็เหมือนกัน ผมถึงบอกมันเป็นการเอาใจคนรวย คนแก่คนเฒ่ามีเงินเก็บประจำกินดอก ดอกจ่ายภาษี แต่พวกเล่นหุ้นรวยจากหุ้น กำไรจากหุ้นไม่จ่ายภาษี บ้าหรือเปล่า เงินกองทุนต่างๆ เงินลงทุนทั้งหลายก็ไม่จ่ายภาษี ถามว่าคนมีเงินเก็บแสนสองแสน เอาเงินไปลงทุนไหม คนทำงานมีเงินเก็บ 40 ปี ไม่รู้จักหรอกครับลงทุน ฝากธนาคารทั้งนั้นหละครับ เก็บดอกเบี้ย มันแฟร์หรือเปล่า

พอเราดูคนรวยตรงนี้มันทำลำบาก แต่ก็ต้องทำ ลองมองอีกด้านสิ่งที่เราต้องทำคู่กันคือถ้าเราอยากเพิ่มรายได้เกษตรกร สิ่งแรกจ้องถามว่าจะทำยังไงจะลดต้นทุนได้ ราคาไม่เพิ่มแต่ต้นทุนลดก็กำไรได้ คำถามที่ว่าลดต้นทุนยังไงไม่ค่อยมีคนถาม มันถามแค่ว่าจะทำยังไงรายได้จึงจะเพิ่ม ถามมากพ่อค้าเสียประโยชน์ นักการเมืองไม่ได้ประโยชน์

คราวนี้จะลดต้นทุนยังไง

อ่าว ถ้าเราถามใจตัวเอง คุณเลิกใช้เครื่องจักรได้มั้ย การที่ราคาข้าวมันผันผวน เราควบคุมตัวเองจะง่ายกว่าไหม มันดีกว่าไหม เลี้ยงควาย ใช้ปุ๋ย เราเคยทำแบบนี้มาก่อน ทำไมถึงเลิกหละ ไปถามชาวบ้านเขาบอกว่า มันไม่ทันสมัย เพราะอะไรหละ เพราะกระแสสื่อมันโหมไปทุกวัน ไม่มีโฆษณาช่องไหนบอกลดใช้ปุ๋ยเถอะ ลดใช้เครื่องจักรเถอะ พ่อค้าโฆษณาหมด เมื่อคุมต้นทุนไม่ได้ คุมตลาดไม่ได้ ราคามันก็เพิ่ม พอปีนี้บอกประกันราคากันเสร็จ ปุ๋ยก็ขึ้น ยาก็ขึ้น โลกมันเปลี่ยนหมดแล้ว

แต่ตรรกะโลกยุคใหม่ต้องใช้เครื่องจักร มันมีวาทกรรมว่าพอใช้แล้วประสิทธิภาพการผลิตสูง

เอาอย่างนี้จะเอาประสิทธิภาพการผลิตหรือจะเอาขาดทุนไม่ขาดทุนหละ คุณบอกว่าจะทำไปทำไม บอกไร่นึงได้ 100 ถังจากเดิมแค่ 50 ถัง ผลผลิตเพิ่มแต่ต้นทุนเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ กับคุณได้ 50 ถังเท่าเดิมแต่ลดต้นทุนอันไหนคุ้มกว่า

ตอนนี้มีปรากฎการณ์ว่าโรงงานเปิดรับสมัครคนงานเข้าสู่ภาคผลิต แต่ไม่มีคนเข้าไปสมัครเลย มันเกิดอะไรขึ้น

ก็คนมันยังกดค่าจ้างอยู่ไง เพราะแรงงานต้องการคนมีฝีมือ หรือไม่ก็งานมันให้เงินต่ำไป เลยไม่ทำแล้ว

กำลังแรงงานคนหนุ่มสาวไปไหนหมดครับ ทำไมไม่เข้าสู่ระบบแรงงาน

มันเวียนต่อกันหมด คนจบม.5ต่อปริญญาตรี โท เอก ติดข้างฝากันหมดแล้ว มันไปให้ค่าของงานอยูที่ปริญญากันหมดไม่ใช่ทักษะ

แล้วคราวนี้ก็มีอีกปรากฎการณ์หนึ่งอย่างการขึ้นเงินเดือน ของก็ขึ้นไปหมดเลย

ผมถามเลยขึ้นเงินเดือนแล้วต้นทุนขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ ธุรกิจบางอย่างมันใช้ต้นทุนแรงงานไม่ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ไอที่ถึงนี่เป็นพวกธุรกิจแบบใช้แรงงานเข้มข้นอย่างพวกโรงแรม ธรุกิจ อุตสาหกรรมทุกวันนี้ใช้ทุนและเครื่องจักรมากกว่าแรงงาน ถ้าต้นทุนแรงงานโดยเฉลี่ย 20 เปอร์เซ็นต์คุณเพิ่มเข้าไปไม่กี่บาท มันจะกระทบถึง 3 เปอร์เซ็นต์ไหม แล้วก็ไปขึ้นราคากันกว่า 10-20 เปอร์เซ็นต์ ปัญหาคือระบบตลาดบ้านเรามันแย่ไง คุณพูดถึงแข่งขันเสรี ภาพมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นไง แต่พยายามสร้างให้มันเป็น ซึ่งโครงสร้างเราไม่ได้เป็น

ยกตัวอย่าง ร้านปูนซีเมนต์เต็มไปหมด ผู้ผลิตไม่กี่ราย ร้านไข่เต็มไปหมด ผู้ผลิตมีกี่ราย ทำไมไม่ไปแก้ แบบนี้ไม่ใช่ธรรมชาติของแข่งขันเสรี พอคุณเห็นทำไมผูกขาด มันมีอำนาจการเมือง มันมีอำนาจธุรกิจประดังขึ้นมา ผลสุดท้ายความสัมพันธ์เชิงอำนาจทำให้ทุกอย่างเป็นปัญหาไปหมด อำนาจทางเศรษฐกิจ อำนาจทางการเมือง

ถ้าร่างบรรทัดสุดท้ายของการปฎิรูปเสร็จแล้ว จะได้อะไร ถ้าโครงสร้างยังเป็นอำนาจที่เกาะกุมกัน

ความเห็นของผมวิเคราะห์ว่า สิ่งแรกที่ต้องทำคือปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์เชิงอำนาจ หนึ่งคือต้องทำให้ประชาชนเข้มแข็งขึ้นมา ต้องเปิดโอกาส ยกตัวอย่าง ภาคคนงานจะมีสหภาพ ก็ต้องส่งเสริมให้มี เพราะการรวมกลุ่มของคนยากคนจนมันจะเป็นพลังต่อต้าน

ผมคิดว่า มีแต่การสร้างพลังต่อรองของภาคประชาชนจะแก้ปัญหาผูกขาดและความเหลื่อมล้ำได้ นโยบายต้องเปิดใจให้ประชาชนผู้ด้อยโอกาสสร้างพลังตัวเองอย่างเสรีโดยไม่ผิดกฎหมาย แต่ผมถามว่ามันมีบ้างไหม ยกตัวอย่าง นายจ้างจะตั้งสมาคมเมื่อไหร่ก็ได้ ส่งเสริมกันด้วย แต่ลูกจ้างตั้งสหภาพ กลับตั้งไม่ได้ สื่อพูดถึงสิทธิ เสรีภาพ ประชาธิปไตย ถามว่ามีกี่ฉบับที่มีสหภาพแรงงาน ตั้งขึ้นมานายทุนก็ปลด

ผมร่วมมือกับกลุ่มประชาชน ยกตัวอย่างผมสร้างเครือข่ายขึ้นมาบัตรของเรา 105 บาท แต่พวกอื่นเขากินกันเป็นทอดๆขาย 110 เราสู้เขาได้ เมื่อโมเดลเริ่มเป็นจริงก็เริ่มขยาย

ผมบอกคณะคุณอนันต์ แล้วและคุณเสกสรรค์ก็เห็นด้วยว่าจุดศูนย์กลางของการแก้ปัญหาของความเหลื่อมล้ำคือ การปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์เชิงอำนาจ พอพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์เชิงอำนาจมันหมายถึงอำนาจทางการเมือง อำนาจเศรษฐกิจ อำนาจแทบทุกอย่างเลย ทำให้คนต่อรองเรื่องสิทธิ ศักดิ์ศรีตัวเองได้ ซึ่งทุกอย่างจะถูกปรับหมดถ้าตรงนี้เปลี่ยน

ฟังดูแล้วมันเป็นนามธรรมหรือเปล่า จะทำอย่างไรให้มันนำไปปฎิบัติได้จริง

ก็คุณเริ่มจริงก็ทำได้ การปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างทำได้ไหม อย่างคุณเป็นนักข่าวสงครามลงไปทำข่าว มีความเสี่ยง จะขอค่าความเสี่ยงจากบริษัทได้ไหม คุณพูดได้ไหม ทำไม่ไม่พูด คุณมีสิทธิจะพูดก็เห็นกันอยู่ว่าตายกัน เราเรียกร้องมานานแล้วว่าต้องกล้าพูด

ในยุโรปต้องพึ่งพรรคแรงงานอาศัยฐานเสียงจากสหภาพแรงงานทั้งสิ้น อาศัยการแลกเปลี่ยนนโยบายกัน บ้านเรามันกลัวนายทุน เพราะรัฐมนตรีกินเงินนายทุนทั้งนั้น ไม่ให้เงินลงทุนก็ไปเลือกตั้งไม่ได้ ของเรามันจึงเป็นรัฐทุนนิยม เหมือนพวกเสื้อแดงบอกเป็นอำมาตย์แต่เป็นทุนนิยมทั้งนั้นนะ อำมาตย์ตอนนี้อยู่ใต้นายทุนหมดแล้ว ราชการก็อยู่ใต้นายทุน

เวลาทำงานของ 2 ชุดนี้ก็คงประมาณ 2 ปี จบลงด้วยการทำข้อเสนอให้รัฐบาล

คือก็ทำข้อเสนอทุก 6 เดือน หลังจากนั้นก็คงถี่ขึ้นเรื่อยๆ ของทีมหมอประเวศเป็นทีมขับเคลื่อนถ้าเสนอแล้วรัฐบาลไม่ทำก็จะมีแรงกดดันจากสังคม การทำงานของเราโดยเฉพาะผมเองผมเชื่อในพลังทางสังคมมากกว่าพลังจากการบังคับทางกฎหมาย คนหนีกฎหมายอยู่เรื่อย กฎหมายมันสร้างเอาไว้ให้เลี่ยง ถ้าอำนาจรัฐไม่ถือเอากฎหมายเป็นตัวตั้ง ก็มีไว้ให้เลี่ยง เพราะฉะนั้นก็ต้องมีพลังทางสังคมควบคู่ไปด้วย

ดังนั้น พลังทางสังคมจะบีบรัดให้รัฐบาลออกกฎหมายภาษีที่ดิน มรดก และตลาดหุ้น ?

ถ้าสังคมต้องการ สังคมก็ต้องลุกขึ้นมาบังคับให้มันเป็น

มีคนวิจารณ์ว่าอาจารย์รับเงินถึง 2 เด้งจากการทำงานนี้ ความจริงแล้วเป็นยังไงครับ

ผมบอกได้เลยว่าผมรับแค่เบี้ยประชุมครั้งละ 2500 บาท คนก็ว่ากันไปเรื่อย ผมก็ทำของผมไป ณรงค์ถอยรถป้ายแดงบ้าง ก็ว่ากันไป แต่ขอโทษผมบรรยายธุรกิจชั่วโมงละหมื่น

อาจารย์คิดว่าที่สุดแล้วการทำงานของอาจารย์เรื่องปฎิรูปประเทศไทยจะเปลี่ยนแปลงประเทศได้มากน้อยอย่างไร หรือว่าเสร็จแล้วก็จะต้องเก็บเข้าลิ้นชักไป

พูดง่ายๆว่าผมไม่เคยหวัง อะไรมากกับประเทศไทย คุณก็เห็นอยู่ว่ามันซับซ้อนแค่ไหน แต่หลักคิดของผมก็คือว่า ถ้าคุณไม่ได้นับหนึ่ง คุณก็ไม่มีโอกาสนับสอง ถ้าความสำเร็จอยู่ที่การนับสิบ สิ่งแรกที่ต้องทำคือนับหนึ่ง

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เหมือน ‘ควายถูกเชือด’ ดิ้นพลั่กๆ!!

ปัญหาบ้านเมือง กองพะเนินเทินทึก ใหญ่เป็นภูเขาเลากา...ทว่า “มาร์ค” นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ วิ่งขาขวิดพัลวัล ยุ่งแต่กรณี “ประชาธิปัตย์ถูกยุบพรรค”??

ปัญหา “เขาพระวิหาร” ที่ประชาธิปัตย์สะแหลน ทำตัวเป็นพระเอก เพื่อไม่ให้ “สมเด็จฯ ฮุน เซ็น” เอาไปขึ้นเป็นมรดกโลกนั้น...บัดนี้เสร็จโก๋ชาวขแมร์ พี่น้องชาวเขมร ไปแล้วเสร็จสรรพ

เอา “เขาพระวิหาร” มาชูโรง...โก่งคอ แบบแหกเนตรแหกตา เท่านั้นแหละครับ
การเสีย “เขาพระวิหาร” นั้น..สำเร็จครบถ้วนบริบูรณ์ปาล์ม เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๔๔๗ ที่ “ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช” อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นทนายว่าความ แพ้ศาลโลก จนเราเสียสมบัติ อันล้ำค่า!!!

เขาพระวิหารเสียไปแล้วแน่ๆ ...แต่ที่งงแท้?...รัฐบาลไม่น่าแห่ เอาเรื่องนี้ มาแหกตา??

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

มัวอยู่กับเรื่องพรรค แบบ ‘เห็นแก่ตัว’!!
แน่เสียยิ่งกว่าแช่แป้ง “พนมพระวิหาร” ที่ชาวกัมพูชา เรียกขานกัน..ส่วนคนไทยนั้นเรียกว่า “ปราสาทเขาพระวิหาร” ตกเป็นมรดกโลกโดยชาติเขมรแล้วล่ะทูนหัว???

อันตัว “ปราสาทเขาพระวิหาร” นั้น...เราไม่มีสิทธิ์คัดค้าน ดึงดันกลับมาเป็นของไทย...เมื่อ “สมเด็จฯ ฮุน เซ็น” ยึดคำสั่งศาลโลก ที่ตัดสินไว้เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๗ ที่ให้เขมรถือกรรมสิทธิ์

“รัฐบาลอภิสิทธิ์ชน” ที่ทำตัวขี้อ้อน....ใยไม่สน“ที่ดินทับซ้อน” ล้อมเขาพระวิหารสักนิด
สมัยยุครัฐบาลของ “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร”...เห็น “อดีตหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านดักดาน “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และพรรคประชาธิปัตย์..บางคนขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ทวงคืนเขาพระวิหาร และกล่าวลั่นไม่ให้เสียพื้นที่แม้แต่ตารางนิ้วเดียว?...แต่กับวันนี้ “พื้นที่ทับซ้อน” จะตกเป็นของกัมพูชาทั้งหมด ไม่ใช่เรื่องลือ!!!

ห่วงแต่กรณีพรรคถูกยุบ..ปชป. วิ่งหูชันหูตูบ?..แต่เขมรไล่ทุบชิงแผ่นดิน เห็นนั่งงอมือ??

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

วัย ‘๙๓ ฤดูฝน’ แต่สังขารแข็งปั๋ง!!
หล่อ ..หล้อ...หล่อ ..ล่ำปึ๊ก ไม่ผิดกับ “มนุษย์เหล็ก” สำหรับ “บิ๊กป๋า” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และ อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้โด่งด่ง??

ด้วยวัยปูนนี้ ที่ใช้สังขารมาอย่างโชกโชน “ซูเปอร์ป๋า” ต้องเสื่อมเป็นตามวัฏจักร..
เช้าวันจันทร์ที่ ๑๒ กรกฏาฯ ที่ผ่านมา.... “ป๋า” จึงเข้าโรงหมอ โรงซ่อมสุขภาพ กันจ๊ะที่รัก
โดย “ป๋าเปรม” ไปตรวจและรักษาสุขภาพ ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า..อันเนื่องมาจากเป็น “ไข้หวัด” ส่งผลทางตรงและทางอ้อม ทำให้เกิดอาการ “หูดับ”!!!

นอกจาก “หูดับ”แล้ว..สุขภาพอื่น “ป๋า” ยังคับแก้ว?.. “๙๓ ปี ยังแจ๋ว” เหมือนเดิมครับ?

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

‘ข้าวหม้อเดียวกัน’ ทำท่าไม่มียาง!!
เตรียมทหารรุ่น ๑๐...รุ่นบิ๊กเนม ของ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. แตกแยกกันเสียจัง??

เท่าที่ฟัง สดับรับทราบกันว่า “ตท.รุ่น๑๐” ไม่ได้ร่วมสังสรรค์เฮฮาปาร์ตี้กันมาพักใหญ่แล้ว?....เลื่อนการเลี้ยงรุ่นมา ๓ ครั้ง ๔ ครั้ง ที่จะไม่ยอม พบหน้ากัน

“ตท.รุ่น ๑๐” เป็นพี่เบิ้มของกองทัพ....แต่แตกกันยับ อย่างแหลกราญ
หัวต่อหัว ต่างเดินทางกันคนละทิศ “บูรพาพยัคฆ์” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ก็ตั้งก๊วนอยู่อีกกลุ่ม.. “ทหารวงศ์เทวัญ” พล.อ.พฤณฑ์ สุวรรณทัต” ก็จับอีกขั้ว แท็กทีมอีกกลุ่มอย่างมั่นคง!!!

“ตท.” รุ่นอื่นเค้ารักกัน...อยู่อย่างสมัครสมาน!...มี “ตท.รุ่น ๑๐”เท่านั้น ที่รักกันไม่ลง???

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

ทำตัวเว่อร์ ได้ทุก ‘เวอร์ชั่น’!!
หุ้นส่วนผู้ถือด้าม การคุมอำนาจประเทศไทย..ทั้ง “อภสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี และ “นายใหญ่เนวิน ชิดชอบ” แห่งพรรคภูมิไทยใจ นั่นปะไร ล่ะท่านผู้อ่าน??

รวยอำนาจ บารมีผงาด ไปทุกพื้นที่ใครก็เกรงขาม

ใหญ่แสนใหญ่ คับประเทศ....แต่ยังเป็นเหตุ กลัวโดนส่องคว่ำ
“นายกฯ อภิสิทธิ์” ว่ากันว่า เดี๋ยวนี้ ต้องใส่ “เสื้อเกราะ” ตลอดเวลา เพื่อป้องกันความปลอดภัย ๑๐๐%.....เช่นเดียวกัน “เนวิน ชิดชอบ” ผู้พิศมัยบอลเข้ากระแสเลือด ในฐานะเจ้าของทีมบอล “ปราสาทสายฟ้า บุรีรัมย์” ไม่พลาดสักนัด สักเที่ยวที่จะไปดู...แต่ทุกครั้ง “เนวิน” จะสวมเสื้อทับกันหลายชั้น จนดูตัวโปร่ง เหมือนข้างในเป็น “เสื้อเกราะกันกระสุน”...และทุกครั้งจะไม่ไปเชียร์กลางสนาม หรืออยู่ในที่โล่ง..ไม่ให้เป็นเป้าหมาย สายตาของใครทั้งนั้น!!

ป้องกันเอาไว้ก่อนหละดีแท้.....เพราะอะไรก็ไม่แน่?...เกิดขึ้นแล้วมันจะแย่ แก้ไม่ทัน???
***********************คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร*****************
ที่มา.บางกอกทูเดย์