หลังยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกาก็สถาปนาตนเองเป็นผู้นำโลกเสรีนิยมยุคใหม่ กลุ่มทุนเหนือรัฐได้กำกับให้รัฐบาลยกเลิกการใช้ทองคำค้ำประกันการพิมพ์ธนบัตร และเป็นชาติเดียวในโลกที่สามารถทำเช่นนั้นได้จนถึงวันนี้ เพราะการค้าขายในตลาดโลกขณะนั้นต่างอ้างอิงเงินตราสหรัฐ จนอเมริกาสามารถใช้เงินสกุลดอลลาร์ของตนเองเป็นมาตรฐานรองรับเทียบเท่าทองคำในเวลาต่อมา

เหมือนกับว่าที่ผ่านมานั้น ระบบการเงินของโลกจะมีเสถียรภาพหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับเงินสกุลดอลลาร์และเศรษฐกิจของอเมริกาด้วยเช่นกัน ภายหลังจากโลกของเราเคยใช้ระบบป้องกันเงินเฟ้อด้วยการใช้ทองคำที่มีจำกัดเป็นสินทรัพย์หนุนหลังเงินกระดาษ และอังกฤษเป็นประเทศแรกที่ใช้มาตรฐานดังกล่าวจนเป็นสกุลเงินตราที่ทรงมูลค่าที่สุดในยุคนั้น ก่อนสหรัฐอเมริกาจะขึ้นมาเป็นผู้นำโลกใหม่
อย่างไรก็ตาม กลุ่มนายทุนที่มีศักยภาพเหนือรัฐในสมัยแรกๆ คือนายธนาคารตระกูล Rothschild ซึ่งส่งลูกหลานไปตั้งธนาคารกลางทั่วยุโรป ว่ากันว่าปัจจุบันเครือข่ายของพวกเขาน่าจะมีสินทรัพย์มากกว่าทรัพย์สินครึ่งหนึ่งบนโลกใบนี้รวมกัน ภายหลังได้เข้าครอบครองระบบการเงินของอังกฤษ และแผ่ขยายสินทรัพย์มหาศาลไปยังดินแดนอเมริกา จนกลายเป็นเจ้าของตลาดการค้าทองคำลอนดอนตัวจริงที่มีอำนาจเหนือตลาด สามารถปรับราคาขึ้น-ลงเป็นรายวัน และเป็นเจ้าของอุตสาหกรรมการรถไฟในอเมริกาและยุโรป เหมืองแร่ทองคำและเพชร DeBeers, Rio tino ธนาคารขนาดใหญ่ เช่น Goldman Sachs, GE Capital และ Lehman Brother รวมถึงอุตสาหกรรมอาวุธ อุตสาหกรรมน้ำมัน อุตสาหกรรมยา อุตสาหกรรมสื่อสารมวลชน และอื่นๆ อีกมากมาย
จะว่าไปแล้ว พวกเขาเติบโตมาจากการยึดครองระบบการเงินของโลกจากเศรษฐกิจสงคราม โดยการตั้งธนาคารกลางและเป็นนายทุนการเงินให้ทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขาร่ำรวยขึ้นจากสงครามที่นำโดย นโปเลียน ของฝรั่งเศส และ ลอร์ดเวลลิงตัน ของอังกฤษ ในปี 1815 จากการที่พวกเขาปั่นราคาซื้อขายพันธบัตรของอังกฤษจนเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ และสามารถเข้ายึดครองธนาคารกลางในเวลาต่อมา จนสำนักสมคบคิดเชื่อกันว่า เครือข่ายของพวกเขากำกับเศรษฐกิจทุนนิยมโลกเกือบทั้งใบในเวลานี้
แต่อีกด้านหนึ่งเมื่อเศรษฐกิจโลกเติบโตขึ้น ท่ามกลางวิกฤติการเงินของสหรัฐอเมริกาที่ยากแก่การหลีกเลี่ยง จากการเปลี่ยนแปลงเสถียรภาพทางการเงินโดยการใช้อุปสงค์-อุปทานในการควบคุมการพิมพ์ธนบัตรโดยไร้หลักประกัน ทำให้ความคล่องตัวของตลาดสินเชื่อทั่วโลกและระบบธนาคารลดลง ทำให้เห็นความอ่อนแอในระบบการเงินทั่วโลกจากผลิตผลของสหรัฐ ทำให้ผู้นำเศรษฐกิจโลกที่กำลังเติบโตขึ้นใหม่ท่ามกลางทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมหาศาล จึงได้เข้าต่อรองอำนาจทางเศรษฐกิจโลกครั้งใหม่ในรอบร้อยปี ซึ่งนั่นคือการชิงความเป็นใหญ่ของรัฐมหาอำนาจ ที่อาจทำให้เกิดสงครามเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในไม่ช้านี้

แนวรบด้านหนึ่ง พันธมิตรทางการเมืองอย่าง BRICS กลุ่มประเทศที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว อันประกอบด้วยบราซิล (Brazil) รัสเซีย (Russia) อินเดีย (India) จีน (China) และแอฟริกาใต้ (South Africa) ได้รวมตัวกันอย่างเข้มแข็ง เตรียมปฏิวัติเงินตราโลก เพื่อย้ายอำนาจฐานเศรษฐกิจโลกจากกลุ่มพัฒนาแล้วอย่าง G7 มาสู่กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา โดยให้ศูนย์กลางอำนาจทางเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตอยู่เปลี่ยนไปสู่อำนาจการเมืองทางภูมิภาคต่างๆ ของโลกบ้าง นอกจากพวกเขากำลังเปลี่ยนการซื้อขายระหว่างประเทศด้วยเงินอื่นที่ไม่ใช่สกุลดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเปลี่ยนทุนสำรองระหว่างประเทศเป็นค่าเงินอื่นแล้ว พวกเขายังกำลังวางแผนตั้งธนาคารกลางใหม่ของกลุ่มประเทศ BRICS โดยตรงอีกด้วย
ก่อนหน้านี้นั้น รัสเซียจับมือกับจีนประกาศท้าทายอำนาจทางเศรษฐกิจของสหรัฐเมริกา ด้วยการประกาศยกเลิกการใช้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐในการซื้อ-ขายพลังงานร่วมกัน และรัสเซียผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดของโลก ได้ประกาศยกเลิกการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐในทางบัญชีอย่างสิ้นเชิงในอุตสาหกรรมก๊าชและพลังงาน ท่ามกลางสงครามตัวแทนในดินแดนยูเครนซึ่งแบ่งเป็นสองขั้วข้าง และทำสงครามพื้นที่กันอยู่ในขณะนี้
กลุ่มประเทศ BRICS ได้ประกาศเรียกร้องให้ระเบียบโลกใหม่มีหลายขั้วอำนาจ ซึ่งแน่นอน ท้าทายมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างกลุ่มทุนเหนือรัฐที่พยายามกำกับสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และสหภาพยุโรปโดยตรง อาจจะคล้ายเรื่องความขัดแย้งกลุ่มทุนเก่าและกลุ่มทุนใหม่ในประเทศไทย แต่เรื่องนี้เป็นปัญหาทุนนิยมโลกาภิวัตน์ที่ต้องกระทบโดยรวมต่อประเทศไทยโดยตรงทุกกลุ่มอย่างแน่นอน
แนวรบอีกด้านหนึ่ง ในกลุ่มประเทศอาหรับซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมาของมหาอำนาจโลกตะวันตกมานาน ท่ามกลางสงครามความเชื่อทางศาสนาและการต่อต้านจักรวรรดินิยมทางเศรษฐกิจ ซึ่งล่าสุดในการประชุม กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันส่งออก หรือโอเปก (OPEC) อิหร่านได้เสนอให้ตั้งธนาคารโอเปก และขอให้เลิกซื้อขายน้ำมันในตลาดโลกด้วยเงินสกุลดอลลาร์ ซึ่งทั้งหมดนั้นคือการคุกคามต่อเศรษฐกิจสหรัฐโดยตรง

การเปลี่ยนสกุลเงินถือครองในเงินสำรองระหว่างประเทศนั้น อาจเป็นจุดเริ่มต้นความล่มสลายของระบบเศรษฐกิจสหรัฐในอนาคตเพราะเมื่อแต่ละประเทศเลิกใช้เงินดอลลาร์เป็นสกุลอ้างอิง ระบบเงินดอลลาร์ก็อาจจะพังทลายลงได้ โดยเงินสกุลใหม่ไม่ว่าจะเป็นรูเบิล, หยวน หรือยูโร ก็อาจจะถูกอ้างอิงแทนทองคำในเวลาต่อมา แน่นอนก่อนหน้านั้นคงมีการต่อสู้ทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ การโจมตีค่าเงินอาจจะเกิดขึ้นไปทั่วโลก ท้ายที่สุด เมื่อไม่มีใครยอมใคร และมหาอำนาจใหญ่ไม่มีวันยอมแพ้ เศรษฐกิจสงครามก็อาจถูกสร้างขึ้นใหม่บนซากปรักหักพัง
วันก่อนนั้นผู้นำรัสเซียออกมาให้สัมภาษณ์อย่างเจ็บแปลบแสบคันว่า เวลานี้สถานะและความน่าเชื่อถือของสหรัฐอเมริกาในเวทีโลกกำลังเสื่อมถอยลงอย่างมาก และเป็นสัญญาณเตือนว่าทั่วโลกกำลังหันหลังให้อเมริกา เป็นที่น่าสังเกตว่าแนวรบอีกด้านหนึ่งกำลังปะทุขึ้นอย่างช้าๆ เป็นจังหวะพอดีกับโน้ตดนตรีทางเศรษฐกิจครั้งใหม่ เมื่อสงครามระหว่างอิสราเอลและฮามาสในแผ่นดินปาเลสไตน์ ได้ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่าพันคนแล้วในสัปดาห์ที่ผ่านมา และอาจมีการขยายวงลุกลามตามมาเมื่อรัฐบาลอเมริกาประกาศขายอาวุธให้อิสราเอลเพิ่มเติมเมื่อสองวันก่อน
อย่าลืมว่าเศรษฐกิจสงครามเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่จะช่วยสร้างความมั่งคั่งให้นายทุนเหนือรัฐผู้กำกับตลาดโลก ซึ่งไม่เว้นแม้แต่ในตลาดสงคราม พวกเขาช่วงชิงชัยชนะต่อความมั่งคั่งและเงินตราด้วยความสูญเสียของผู้คนมาโดยตลอด นับตั้งแต่สงครามแย่งชิงดินแดนอาณานิคมในอดีต ยกตัวอย่างเรื่องสงครามอิรัก ที่รัฐบาลสหรัฐเข้าโจมตีภายหลังที่อิรักประกาศขายน้ำมันของตนด้วยเงินยูโรแทนดอลลาร์ ในปี 2000 และเปลี่ยนเงินสำรองประเทศของตนเป็นยูโรด้วย ทำให้หลายประเทศที่ซื้อน้ำมันจากอิรักต้องเปลี่ยนตามไปด้วย จนสหรัฐสามารถเข้าไปควบคุมการผลิตและส่งออกน้ำมันปริมาณมหาศาลในอิรักได้ และควบคุมกลไกการกำหนดราคาน้ำมันของโลกได้มากขึ้น เพื่อลดบทบาทของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) ลงนอกจากนี้ สงครามยังได้สร้างมูลค่าของเศรษฐกิจสงครามในอุตสาหกรรมอาวุธและยุทโธปกรณ์หลายแสนล้านดอลลาร์อีกด้วยเช่นกัน
มีความเป็นไปได้สูงว่า นายทุนเหนือรัฐบาลสหรัฐอาจพยายามสร้างเงื่อนไขความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ เพื่อขยายวงไปสู่โลกอาหรับ โดยเฉพาะซีเรียและอิหร่าน กลายเป็นสงครามระหว่างพวกเขากับอิหร่านโดยตรง ที่เป็นเป้าหมายในเศรษฐกิจสงครามในอนาคต เพื่อสถาปนาอำนาจนำของโลกอย่างแท้จริง
ดูเหมือนว่า สถานการณ์โลกตอนนี้อาจจะเผชิญวิกฤติครั้งใหม่ไม่เร็วก็ช้า เมื่อสหรัฐอเมริกาหวังสถาปนาอำนาจนำของโลกอีกครั้งหลังจากบาดเจ็บจากพิษเศรษฐกิจ และอาจกลายเป็นมหาสงคราม 3 ฝ่าย นั่นคือสงครามระหว่าง อาหรับ &อิหร่าน VS สหรัฐอเมริกา &อังกฤษ VS รัสเซีย &จีน.
เหมือนกับว่าที่ผ่านมานั้น ระบบการเงินของโลกจะมีเสถียรภาพหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับเงินสกุลดอลลาร์และเศรษฐกิจของอเมริกาด้วยเช่นกัน ภายหลังจากโลกของเราเคยใช้ระบบป้องกันเงินเฟ้อด้วยการใช้ทองคำที่มีจำกัดเป็นสินทรัพย์หนุนหลังเงินกระดาษ และอังกฤษเป็นประเทศแรกที่ใช้มาตรฐานดังกล่าวจนเป็นสกุลเงินตราที่ทรงมูลค่าที่สุดในยุคนั้น ก่อนสหรัฐอเมริกาจะขึ้นมาเป็นผู้นำโลกใหม่
อย่างไรก็ตาม กลุ่มนายทุนที่มีศักยภาพเหนือรัฐในสมัยแรกๆ คือนายธนาคารตระกูล Rothschild ซึ่งส่งลูกหลานไปตั้งธนาคารกลางทั่วยุโรป ว่ากันว่าปัจจุบันเครือข่ายของพวกเขาน่าจะมีสินทรัพย์มากกว่าทรัพย์สินครึ่งหนึ่งบนโลกใบนี้รวมกัน ภายหลังได้เข้าครอบครองระบบการเงินของอังกฤษ และแผ่ขยายสินทรัพย์มหาศาลไปยังดินแดนอเมริกา จนกลายเป็นเจ้าของตลาดการค้าทองคำลอนดอนตัวจริงที่มีอำนาจเหนือตลาด สามารถปรับราคาขึ้น-ลงเป็นรายวัน และเป็นเจ้าของอุตสาหกรรมการรถไฟในอเมริกาและยุโรป เหมืองแร่ทองคำและเพชร DeBeers, Rio tino ธนาคารขนาดใหญ่ เช่น Goldman Sachs, GE Capital และ Lehman Brother รวมถึงอุตสาหกรรมอาวุธ อุตสาหกรรมน้ำมัน อุตสาหกรรมยา อุตสาหกรรมสื่อสารมวลชน และอื่นๆ อีกมากมาย
จะว่าไปแล้ว พวกเขาเติบโตมาจากการยึดครองระบบการเงินของโลกจากเศรษฐกิจสงคราม โดยการตั้งธนาคารกลางและเป็นนายทุนการเงินให้ทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขาร่ำรวยขึ้นจากสงครามที่นำโดย นโปเลียน ของฝรั่งเศส และ ลอร์ดเวลลิงตัน ของอังกฤษ ในปี 1815 จากการที่พวกเขาปั่นราคาซื้อขายพันธบัตรของอังกฤษจนเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ และสามารถเข้ายึดครองธนาคารกลางในเวลาต่อมา จนสำนักสมคบคิดเชื่อกันว่า เครือข่ายของพวกเขากำกับเศรษฐกิจทุนนิยมโลกเกือบทั้งใบในเวลานี้
แต่อีกด้านหนึ่งเมื่อเศรษฐกิจโลกเติบโตขึ้น ท่ามกลางวิกฤติการเงินของสหรัฐอเมริกาที่ยากแก่การหลีกเลี่ยง จากการเปลี่ยนแปลงเสถียรภาพทางการเงินโดยการใช้อุปสงค์-อุปทานในการควบคุมการพิมพ์ธนบัตรโดยไร้หลักประกัน ทำให้ความคล่องตัวของตลาดสินเชื่อทั่วโลกและระบบธนาคารลดลง ทำให้เห็นความอ่อนแอในระบบการเงินทั่วโลกจากผลิตผลของสหรัฐ ทำให้ผู้นำเศรษฐกิจโลกที่กำลังเติบโตขึ้นใหม่ท่ามกลางทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมหาศาล จึงได้เข้าต่อรองอำนาจทางเศรษฐกิจโลกครั้งใหม่ในรอบร้อยปี ซึ่งนั่นคือการชิงความเป็นใหญ่ของรัฐมหาอำนาจ ที่อาจทำให้เกิดสงครามเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในไม่ช้านี้
แนวรบด้านหนึ่ง พันธมิตรทางการเมืองอย่าง BRICS กลุ่มประเทศที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว อันประกอบด้วยบราซิล (Brazil) รัสเซีย (Russia) อินเดีย (India) จีน (China) และแอฟริกาใต้ (South Africa) ได้รวมตัวกันอย่างเข้มแข็ง เตรียมปฏิวัติเงินตราโลก เพื่อย้ายอำนาจฐานเศรษฐกิจโลกจากกลุ่มพัฒนาแล้วอย่าง G7 มาสู่กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา โดยให้ศูนย์กลางอำนาจทางเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตอยู่เปลี่ยนไปสู่อำนาจการเมืองทางภูมิภาคต่างๆ ของโลกบ้าง นอกจากพวกเขากำลังเปลี่ยนการซื้อขายระหว่างประเทศด้วยเงินอื่นที่ไม่ใช่สกุลดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเปลี่ยนทุนสำรองระหว่างประเทศเป็นค่าเงินอื่นแล้ว พวกเขายังกำลังวางแผนตั้งธนาคารกลางใหม่ของกลุ่มประเทศ BRICS โดยตรงอีกด้วย
ก่อนหน้านี้นั้น รัสเซียจับมือกับจีนประกาศท้าทายอำนาจทางเศรษฐกิจของสหรัฐเมริกา ด้วยการประกาศยกเลิกการใช้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐในการซื้อ-ขายพลังงานร่วมกัน และรัสเซียผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดของโลก ได้ประกาศยกเลิกการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐในทางบัญชีอย่างสิ้นเชิงในอุตสาหกรรมก๊าชและพลังงาน ท่ามกลางสงครามตัวแทนในดินแดนยูเครนซึ่งแบ่งเป็นสองขั้วข้าง และทำสงครามพื้นที่กันอยู่ในขณะนี้
กลุ่มประเทศ BRICS ได้ประกาศเรียกร้องให้ระเบียบโลกใหม่มีหลายขั้วอำนาจ ซึ่งแน่นอน ท้าทายมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างกลุ่มทุนเหนือรัฐที่พยายามกำกับสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และสหภาพยุโรปโดยตรง อาจจะคล้ายเรื่องความขัดแย้งกลุ่มทุนเก่าและกลุ่มทุนใหม่ในประเทศไทย แต่เรื่องนี้เป็นปัญหาทุนนิยมโลกาภิวัตน์ที่ต้องกระทบโดยรวมต่อประเทศไทยโดยตรงทุกกลุ่มอย่างแน่นอน
แนวรบอีกด้านหนึ่ง ในกลุ่มประเทศอาหรับซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมาของมหาอำนาจโลกตะวันตกมานาน ท่ามกลางสงครามความเชื่อทางศาสนาและการต่อต้านจักรวรรดินิยมทางเศรษฐกิจ ซึ่งล่าสุดในการประชุม กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันส่งออก หรือโอเปก (OPEC) อิหร่านได้เสนอให้ตั้งธนาคารโอเปก และขอให้เลิกซื้อขายน้ำมันในตลาดโลกด้วยเงินสกุลดอลลาร์ ซึ่งทั้งหมดนั้นคือการคุกคามต่อเศรษฐกิจสหรัฐโดยตรง
การเปลี่ยนสกุลเงินถือครองในเงินสำรองระหว่างประเทศนั้น อาจเป็นจุดเริ่มต้นความล่มสลายของระบบเศรษฐกิจสหรัฐในอนาคตเพราะเมื่อแต่ละประเทศเลิกใช้เงินดอลลาร์เป็นสกุลอ้างอิง ระบบเงินดอลลาร์ก็อาจจะพังทลายลงได้ โดยเงินสกุลใหม่ไม่ว่าจะเป็นรูเบิล, หยวน หรือยูโร ก็อาจจะถูกอ้างอิงแทนทองคำในเวลาต่อมา แน่นอนก่อนหน้านั้นคงมีการต่อสู้ทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ การโจมตีค่าเงินอาจจะเกิดขึ้นไปทั่วโลก ท้ายที่สุด เมื่อไม่มีใครยอมใคร และมหาอำนาจใหญ่ไม่มีวันยอมแพ้ เศรษฐกิจสงครามก็อาจถูกสร้างขึ้นใหม่บนซากปรักหักพัง
วันก่อนนั้นผู้นำรัสเซียออกมาให้สัมภาษณ์อย่างเจ็บแปลบแสบคันว่า เวลานี้สถานะและความน่าเชื่อถือของสหรัฐอเมริกาในเวทีโลกกำลังเสื่อมถอยลงอย่างมาก และเป็นสัญญาณเตือนว่าทั่วโลกกำลังหันหลังให้อเมริกา เป็นที่น่าสังเกตว่าแนวรบอีกด้านหนึ่งกำลังปะทุขึ้นอย่างช้าๆ เป็นจังหวะพอดีกับโน้ตดนตรีทางเศรษฐกิจครั้งใหม่ เมื่อสงครามระหว่างอิสราเอลและฮามาสในแผ่นดินปาเลสไตน์ ได้ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่าพันคนแล้วในสัปดาห์ที่ผ่านมา และอาจมีการขยายวงลุกลามตามมาเมื่อรัฐบาลอเมริกาประกาศขายอาวุธให้อิสราเอลเพิ่มเติมเมื่อสองวันก่อน
อย่าลืมว่าเศรษฐกิจสงครามเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่จะช่วยสร้างความมั่งคั่งให้นายทุนเหนือรัฐผู้กำกับตลาดโลก ซึ่งไม่เว้นแม้แต่ในตลาดสงคราม พวกเขาช่วงชิงชัยชนะต่อความมั่งคั่งและเงินตราด้วยความสูญเสียของผู้คนมาโดยตลอด นับตั้งแต่สงครามแย่งชิงดินแดนอาณานิคมในอดีต ยกตัวอย่างเรื่องสงครามอิรัก ที่รัฐบาลสหรัฐเข้าโจมตีภายหลังที่อิรักประกาศขายน้ำมันของตนด้วยเงินยูโรแทนดอลลาร์ ในปี 2000 และเปลี่ยนเงินสำรองประเทศของตนเป็นยูโรด้วย ทำให้หลายประเทศที่ซื้อน้ำมันจากอิรักต้องเปลี่ยนตามไปด้วย จนสหรัฐสามารถเข้าไปควบคุมการผลิตและส่งออกน้ำมันปริมาณมหาศาลในอิรักได้ และควบคุมกลไกการกำหนดราคาน้ำมันของโลกได้มากขึ้น เพื่อลดบทบาทของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) ลงนอกจากนี้ สงครามยังได้สร้างมูลค่าของเศรษฐกิจสงครามในอุตสาหกรรมอาวุธและยุทโธปกรณ์หลายแสนล้านดอลลาร์อีกด้วยเช่นกัน
มีความเป็นไปได้สูงว่า นายทุนเหนือรัฐบาลสหรัฐอาจพยายามสร้างเงื่อนไขความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ เพื่อขยายวงไปสู่โลกอาหรับ โดยเฉพาะซีเรียและอิหร่าน กลายเป็นสงครามระหว่างพวกเขากับอิหร่านโดยตรง ที่เป็นเป้าหมายในเศรษฐกิจสงครามในอนาคต เพื่อสถาปนาอำนาจนำของโลกอย่างแท้จริง
ดูเหมือนว่า สถานการณ์โลกตอนนี้อาจจะเผชิญวิกฤติครั้งใหม่ไม่เร็วก็ช้า เมื่อสหรัฐอเมริกาหวังสถาปนาอำนาจนำของโลกอีกครั้งหลังจากบาดเจ็บจากพิษเศรษฐกิจ และอาจกลายเป็นมหาสงคราม 3 ฝ่าย นั่นคือสงครามระหว่าง อาหรับ &อิหร่าน VS สหรัฐอเมริกา &อังกฤษ VS รัสเซีย &จีน.
ที่มา.Siam Intelligence Unit
//////////////////////////////////////////////////////////
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น