--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2557

นอกตำราประวัติศาสตร์ ศ.ดร.ชาญวิทย์ ข้อเสนอแนะถึงนักปฏิรูป !!?

โดย. อรพรรณ จันทรวงศ์ไพศาล

หลังจากรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เรื่องการ "ปฏิรูป" ก็ถูกขับเคลื่อนทันที

ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นไม่กี่วันก่อน คือเรื่อง "ปฏิรูปการศึกษา" ตามแนวนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่จะยกเครื่องการศึกษาไทยทั้งระบบ

และหนึ่งในภาควิชาที่ต้องปรับโฉมการเรียนการสอนใหม่ คือ วิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เป็นผู้วางกรอบ มุ่งส่งเสริมเรื่องประวัติศาสตร์ของชาติไทย ความมีวินัย มีคุณธรรม ศีลธรรม

การปฏิรูปจะเพิ่มเนื้อหาที่จะใช้ในการเรียนการสอนตามจุดเน้นของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้แก่ การส่งเสริมความรักชาติ สถาบันพระมหากษัตริย์ เอกลักษณ์ของชาติ วัฒนธรรมไทย

ซึ่งการปรับเนื้อหาวิชาประวัติศาสตร์ได้นำหนังสือเรียนที่ใช้กันอยู่เดิมมาปรับปรุงและเพิ่มเติมในส่วนที่ขาด เช่น เรื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์ได้เพิ่มเติมเนื้อหาของพระมหากษัตริย์ไทยในอดีต เช่น เรื่องราวพระราชประวัติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระยาพิชัยดาบหัก ท้าวสุรนารี เป็นต้น

ที่มองว่า เดิมในวิชาประวัติศาสตร์ใช้เรียนกันอยู่ก็มีเนื้อหาเหล่านี้อยู่แล้ว แต่อาจจะมีแค่บางส่วนและเนื้อหาไม่ละเอียด จึงต้องปรับปรุงใหม่เพราะประวัติศาสตร์ไทยมีเรื่องราวให้เขียนมากกว่า 2 บรรทัด

เเม้เพิ่งจะเริ่มต้น เเต่การยกเครื่องครั้งนี้เป็นที่จับตามองอย่างมากโดยเฉพาะในแวดวงการศึกษา

หนึ่งในนั้นคือ ศ.ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักประวัติศาสตร์คนสำคัญของสยามประเทศ

เพราะปัญหาเรื่องการศึกษาของประเทศไทยสะสมมายาวนาน ยิ่งในส่วนของวิชาประวัติศาสตร์ก็เช่นกัน เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์บาดหมาง ประวัติศาสตร์บาดแผล ความขัดแย้งที่มีมาตั้งแต่อดีตที่สร้างผลกระบทบกับเพื่อนบ้านมาโดยตลอด และอนาคตอาจส่งผลต่อการรวมเป็นประชาคมอาเซียน

"ปฏิรูปการศึกษา" โดยเฉพาะเรื่องราวเกี่ยวกับการชำระประวัติศาสตร์ครั้งนี้ มาถูกทางหรือไม่ หรือควรเป็นแบบไหน?

"นักปฏิรูป" ทั้งหลายลองฟัง ศ.ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ

ลักษณะของวิชาประวัติศาสตร์ไทยเป็นอย่างไร?

ประวัติศาสตร์ไทยโดยรวมมีลักษณะเป็นพงศาวดาร เป็นตำนานเสียมาก ลักษณะที่เป็นประวัติศาสตร์มีค่อนข้างจะน้อย ทำให้กลายเป็นเรื่องที่ซ้ำซากน่าเบื่อ ถ้าเราพลิกดูตำราแบบเรียนประวัติศาสตร์ เราจะเห็นว่ามีความซ้ำซ้อนเยอะ เช่น เรื่องสุโขทัย อยุธยา รัตนโกสินทร์ มีการพูดซ้ำหลายหนอยู่ในตำราเรียนระดับมัธยม เป็นการสร้างความเบื่อหน่ายแต่แรก เมื่อมาถึงระดับมหาวิทยาลัยวิชาประวัติศาสตร์ไม่หนีไปจากเรื่องเดิมนัก เป็นความเบื่อหน่ายในแง่ที่ไม่เห็นประวัติศาสตร์สังคมโดยรวม เห็นแต่ระดับข้างบน ซึ่งเป็นเรื่องของมหาบุรุษ มหาสตรี

ผมคิดว่าตรงนี้ยิ่งทำให้วิชาประวัติศาสตร์เมืองไทยไม่น่าสนใจ เป็นวิชาที่คนเรียนไม่อยากเรียน คนสอนไม่อยากสอน อาจารย์หลายคนก็เฉไฉว่าสอนวิชาสังคมศึกษาไม่ได้สอนวิชาประวัติศาสตร์ ประโยชน์ของประวัติศาสตร์ คือเอาไว้อ้างว่าเราห่วงใยประเทศชาติ แต่ในความเป็นจริงเป็นวิชาที่ไม่มีใครอยากเรียน

ผมเรียนประวัติศาสตร์มา มีความรู้สึกว่าเป็นวิชาที่เพื่อนร่วมรุ่นที่จบมัธยมปลายด้วยกันมาดูถูกดูแคลนมากกว่าเรียนอะไรวะ (หัวเราะ) ซึ่งผมยังไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร

ความสำคัญของวิชานี้?

ประวัติศาสตร์ไทยที่เรารู้จักกันในปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างรัฐสมัยใหม่ เริ่มประมาณรัชกาลที่ 4-6 เป็นต้นมา ใช้เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในการรวมชาติ ในการรักษาอำนาจ ดังนั้น แม้ด้านหนึ่งประวัติศาสตร์จะเป็นเรื่องน่าเบื่อ แต่อีกด้านประวัติศาสตร์เป็นเครื่องมือการปกครองของรัฐบาล หรือกลุ่มคนที่มีอำนาจในการควบคุมรัฐบาล ที่ต้องการให้เขียนประวัติศาสตร์หรือรักษาประวัติศาสตร์ให้เป็นไปตามแนวทางที่เขาต้องการ ในขณะเดียวกัน สังคมก็มีคนใหม่ๆ ขึ้นมา เรียกร้องประวัติศาสตร์ในแบบที่พัฒนาก้าวหน้ากว่านั้น เป็นเรื่องของการต่อสู้แย่งชิงการตีความประวัติศาสตร์ 



มองการปฏิรูปตามแนวทางของนายกฯอย่างไร?

การที่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องการให้มีการชำระปฏิรูปประวัติศาสตร์ ทำให้ผมต้องไปค้นตำราประวัติศาสตร์ ซึ่งตำราระดับมัธยมมีความน่าสนใจมาก มีเรื่องราวประวัติศาสตร์พอสมควร และมีมากกว่า 2 บรรทัด ตำราระดับมัธยมปลายเป็นเรื่องของยุโรปอเมริกา รวมความแล้วผมไม่แน่ใจว่าปัญหาอยู่ที่ตำราเรียน หรืออยู่ที่คนสอนและคนเรียนกันเเน่

เพราะเวลาเราพูดถึงปัญหาเรื่องการศึกษา เราพูดถึงการปฏิรูปการศึกษา มักคิดถึงการแก้หลักสูตร เราไม่ได้พูดถึงการแก้ที่คนสอนหรือคนเรียน

ส่วนเรื่องการปฏิรูป ผมมองว่าเป็นคำของฝ่ายมีอำนาจ ถูกนำขึ้นมาใช้เป็นข้ออ้าง ล่าสุดคือการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง ถ้ามองเฉพาะหน้า เป็นข้ออ้างในการล้มการเลือกตั้ง ส่วนความพยายามที่จะปฏิรูปการศึกษา หรือปฏิรูปประวัติศาสตร์ เพราะเกิดปัญหาว่าการศึกษาของเราล้าหลัง ไม่ทันต่อสถานการณ์ และคับแคบ ตรงนี้เป็นเรื่องจริงที่ต้องทำ แต่ขึ้นอยู่กับว่าใครจะเป็นคนปฏิรูป ที่เราเห็นเป็นการปฏิรูปโดยตัวแทนของกลุ่มอำนาจเก่าเป็นส่วนใหญ่ เป็นตัวแทนของความคิดเก่า คนที่อายุมากแล้ว

ในแง่ของวิชาประวัติศาสตร์ ผมมองว่าเมื่อสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงจะปฏิรูปสยาม พระองค์พระชนมายุ 20 พรรษา เท่านั้น ซึ่งกว่าจะสำเร็จ ทรงเวลานานหลายสิบปี และกว่าจะปฏิรูปการปกครองระบบมณฑลเทศาภิบาล ระบบการจัดตั้งกระทรวง ทบวง กรม แบบที่เรารู้จักกันดีใช้เวลานานถึง 30 ปี และเป็นการปฏิรูปโดยกลุ่มคนที่มีพลัง มีอำนาจ และมีอายุไม่มาก ซึ่งขณะนั้นก็ยังคงยากเย็น

ผมเองมองไม่เห็นเรื่องการปฏิรูปในวันนี้ ไม่ค่อยเชื่อว่าคนที่ออกมาเรียกร้องเป็นตัวแทนของกลุ่มปฏิรูปจะสามารถปฏิรูปได้ แต่ละท่านอายุมากกันแล้ว ไม่เชื่อว่าจะสามารถทำได้สำเร็จ เป็นความพยามที่จะรักษาอำนาจเดิม ความคิดเดิมมากกว่า

ทิศทางการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ควรเป็นแบบไหน?

ผมว่าการเรียนการสอนประวัติศาสตร์จะต้องเปิดให้กว้าง ให้มีอิสรเสรีมากกว่านี้ คือต้องปลดปล่อยประวัติศาสตร์ออกจากพันธนาการของกลุ่มอำนาจ ไม่เช่นนั้นจะกลับไปสู่ปัญหาเดิม

การผลักดันประวัติศาสตร์ภาคประชาชนเป็นเรื่องค่อนข้างยาก เพราะในวิธีคิดของนักประวัติศาสตร์ทั่วไปยังยึดติดอยู่กับกรอบเดิมอยู่ ซึ่งเป็นกรอบที่มีลักษณะเป็นพงศาวดาร กรอบที่เน้นบทบาทของมหาบุรุษ มหาสตรี แต่ในระยะหลังๆ ผมคิดว่าเกิดปรากฏการณ์ที่สำคัญ คือมีนักประวัติศาสตร์รุ่นหลังที่ไม่เหมือนเดิมแล้ว ที่โดดเด่นมากๆ คือ ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ ซึ่งมีวิธีมองที่เห็นในภาคสังคมมากกว่า มีการวิเคราะห์วิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ มากขึ้น

รูปแบบการปฏิรูปที่ออกมา?

หลักสูตรใหม่ที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานออกมา เป็นการตอกย้ำความคิดเดิมของกลุ่มอำนาจเดิมอย่างชัดเจน ทำให้ประวัติศาสตร์ที่ถูกเบื่อหน่ายอยู่แล้วน่าเบื่อยิ่งขึ้น ผมคิดว่าคนเรียนคงไม่อยากเรียน คนสอนคงไม่อยากสอน เพราะไม่มีอะไรใหม่ เป็นการตอกย้ำรูปแบบเก่า เป็นเหล้าเก่าในขวดใหม่ อาจจะมีเนื้อหาเพิ่มแต่ไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นความคับแคบ มองไม่เห็นสังคมกว้าง มองไม่เห็นโลก ไม่เห็นประวัติศาสตร์ร่วมของภูมิภาคอาเซียน เน้นไปทางชาตินิยม ซึ่งเป็นปัญหาอย่างหนึ่ง

การรักชาติเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้ารักชาติมากจนเกินเลยจะทำให้เรื่องของภูมิภาคไร้ความหมาย

การศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์อาเซียนในปัจจบัน?

ปัจจุบัน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา กลายเป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจสูงสุดในแง่ของการผันตัวเป็นประชาคมอาเซียน ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็มีการพูดคุยเรื่องอาเซียน

จากการศึกษา ในยุคสงครามเย็น วิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา ก่อเกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา ว่าด้วยเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเครื่องมือหนึ่งของรัฐบาลอเมริกา ที่จะมาทำสงครามต่อต้านคอมมิวนิสต์ในสมัยนั้น พูดได้ว่าวิชาเหล่านี้เป็นกำเนิดที่มากับการเมือง ในช่วงที่ผมไปเรียนต่างประเทศ ได้ให้ความสนใจกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างมากโดยที่ไม่รู้ตัว เพราะเป็นช่วงของสงครามเย็น เป็นช่วงที่อเมริกามารบในอินโดจีน และเป็นช่วงที่อเมริกามามีฐานทัพในเมืองไทย ทำให้ผมสนใจเรื่องนี้

สิ่งหนึ่งที่เหมือนตีแสกหน้าเราคือ เพื่อนร่วมชั้นในอเมริกาพูดอย่างดูถูกดูแคลนเราว่า "ไม่รู้เหรอว่าสงครามในอินโดจีน ท่านอูถั่น เลขาธิการสหประชาชาติ บอกว่าเป็นสงครามที่ป่าเถื่อนที่สุด และประเทศไทยเป็นฐานทัพให้ไปถล่มเวียดนาม ลาว กัมพูชา" ตรงนี้ทำให้ผมฉุกใจคิดว่าเราไม่มีความรู้เกี่ยวกับบ้านเรา ไม่มีความรู้เกี่ยวกับเพื่อนบ้านเราเลย และสิ่งที่ผมไปพบแล้วทำให้ช็อกมากก็คือ อยุธยาไปตีนครวัดนครธม ทำให้ประเทศกัมพูชาเสียกรุงศรียโสธรปุระ อันนี้เป็นสิ่งที่ผมมึนงงมากว่าเป็นไปได้อย่างไร ในยุคที่ผมเรียนประวัติศาสตร์ไม่มีเรื่องนี้ ในปีที่แพ้คดีเขาพระวิหารผมยังออกไปเดินขบวนประท้วงเลย เราถูกสร้างให้เกลียดประเทศกัมพูชาอย่างรุนแรงมากในตอนนั้น

และผมจำได้ว่าในตอนที่ยังเป็นนักศึกษา เรามีความรับรู้ว่าขอมไม่ใช่เขมร ขอมสร้างนครวัดนครธมแล้วสูญหายไปเลย เหลือแต่เขมรที่ไม่ได้เรื่อง ซึ่งถ้าไปอ่านงานของ หลวงวิจิตรวาทการ จะเห็นเลยว่าเรื่องนี้เป็นทัศนคติว่าด้วยประวัติศาสตร์ที่เรารับรู้มา ถ้าจะชำระ จะปรับปรุง จะปฏิรูปเหมือนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บอก ถามว่าตรงนี้จะทำอย่างไร?

ความเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์ไทยกับอาเซียน?

เรื่องของประวัติศาสตร์ของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน ยังไม่เชื่อมโยงกันเท่าไหร่ เพราะต่างคนต่างเขียน ต่างคนต่างมองจากความเชื่อของตัวเอง ซึ่งส่วนใหญ่ ประวัติศาสตร์ของชาติไม่ว่าจะเป็นชาติไทย ชาติลาว ชาติกัมพูชา ฯลฯ ก็มองจากด้านของตัวเอง อย่างประเทศไทยมีเรื่องน่าตกใจคือ ไม่ใช่เราเสียกรุงศรีอยุธยาเพราะพม่าไปตี แต่เราได้กรุงศรียโสธรปุระจากกัมพูชา เราได้กรุงศรีสัตนาคนหุต ล้านช้าง ร่มขาวเวียงจันทน์ ในสมัยเจ้าอนุวงศ์ ซึ่งข้อมูลนี้เป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่อยู่ในประวัติศาสตร์ของสังคมไทย

ผมคิดว่าประวัติศาสตร์ต้องมองจากหลายด้าน ต้องข้ามพรมแดนของประเทศชาติให้ได้ ไม่อย่างนั้นจะไม่มีความเข้าใจกันได้ ตรงนี้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในทุกประเทศ มีความพยายามในระดับยูเนสโกที่จะระดมสมอง ด้วยการนำตัวแทนของประเทศต่างๆ มาประชุมปรึกษากันว่าจะเขียนประวัติศาสตร์ที่ไม่มองคับแคบเฉพาะจากสายตาของประเทศตัวเองได้อย่างไร ตรงนี้เป็นความพยายามที่เขากำลังทำกันอยู่ เป็นเรื่องไม่ง่ายเลย เพราะมักจะถูกบดบังโดยลัทธิชาตินิยม อาจจะพูดได้ว่าเป็นความล้าหลังความคลั่งชาติด้วยซ้ำไป

การเขียนประวัติศาสตร์ร่วม ในอนาคตต้องเป็นไปได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลาและอาจจะต้องเผชิญกับอุปสรรค หรืออาจจะเจอตอ อย่างกรณียุโรปที่ไปเจอกรณีของความคลั่งชาติมาก จนฆ่ากันตายเป็นจำนวนหลายล้านคนในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นี่เป็นบทเรียนที่ดีว่าเราจะต้องหันหน้าเข้าหากันเป็นประชาคมแบบยุโรป

ประวัติศาสตร์ไทยกับเพื่อนบ้านมีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร?

มีความคล้ายคลึงกันมาก แกนนำส่วนใหญ่อยู่ในลัทธิชาตินิยม ทำให้เกิดความพยายามสร้างศัตรู บัดนี้ การจะทำให้เป็นประวัติศาสตร์ที่เกิดความปรองดองเป็นไปได้ยากมาก จะต้องมีการพบปะแลกเปลี่ยนกัน พูดคุยกัน คนเราจะเป็นมิตรกันได้ ต้องมีการคบหาสมาคมกัน แต่ผมคิดว่าโอกาสเกิดมีมากขึ้น อย่างกรณีอาเซียน เดิมเป็นเหมือนสมาคมของข้าราชการ เป็นเรื่องระหว่างรัฐต่อรัฐ แต่ในตอนนี้ อย่างน้อยในระดับล่างลงมาเริ่มมีปฏิสัมพันธ์มากขึ้น โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ อายุยังน้อย อคติก็จะไม่มากในการคบหาสมาคม

ความตื่นตัวและความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปัจจุบัน?

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามีความตื่นตัวสูงมาก ผมคิดว่าการผลักดันจากระดับรัฐบาลได้ผลสำเร็จพอสมควร มีการพูดถึง มีการจัดกิจกรรม มีการทำหนังสือ การสัมมนาอภิปรายมากมาย ซึ่งเป็นนิมิตหมายอันดี นอกจากนี้ ยังมีเยาวชนจำนวนไม่น้อยที่ให้ความสนใจกับการเรียนภาษาที่ 3 นอกเหนือจากการเรียนภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นภาษาเพื่อนบ้าน ทั้งพม่า เวียดนาม

ในเรื่องความพร้อม วันนี้คนระดับกลางระดับล่างดูจะพร้อมมากกว่าระดับบนๆ เหมือนกับเรื่องประชาธิปไตย คนระดับกลางล่าง ลงไประดับรากหญ้าดูเหมือนจะเข้าใจประชาธิปไตยมากกว่าคนระดับบน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่พัฒนาในเรื่องความคิดความอ่าน เป็นคนระดับบน เป็นผู้ดี เป็นชาวกรุง มีการศึกษาสูง หรือไปโตที่ต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่เป็นประชาธิปไตย และมีอคติในการคบหาสมาคมกับเพื่อนบ้านสูงมาก นี่คือปัญหา

ประวัติศาสตร์บาดแผลมีผลต่อประชาคมอาเซียนหรือไม่?

มีอย่างมาก แต่ทำอย่างไรถึงจะแก้เรื่องนี้ได้ ปัญหานี้สำหรับประเทศไทยสั่งสมมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สมัยพงศาวดาร สมัยตำนาน และถูกตอกย้ำในสมัยของอำมาตยาธิปไตย สมัยหลวงวิจิตรวาทการ สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เรื่อยมารวมถึงละครอิงประวัติศาสตร์ทั้งหลาย เป็นเหมือนการตอกย้ำ ผมคิดว่าถ้าคนที่คุมกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวัฒนธรรม ไม่เคยอ่านผลงานของ ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ ผลงานของ สุจิตต์ วงษ์เทศ ก็จะจมปลักอยู่แบบนี้

ส่วนประเทศในอาเซียนทุกชาติ พบว่ามีการใช้ข้อมูลในแง่ของอคติทางประวัติศาสตร์หรือใช้ข้อมูลของประวัติศาสตร์บาดแผลมาปลุกระดม ซึ่งทุกประเทศเผชิญปัญหานี้ ประเทศไทยมีกับกัมพูชา พม่า และลาว ประเทศอินโดนีเซียกับมาเลเซีย หรือมาเลเซียกับสิงคโปร์ หากเราจะคบค้าเข้าสู่ประชาคมอาเซียน เรื่องของประวัติศาสตร์นอกจากจะชำแหละแล้วยังต้องชำระด้วย ถ้าเราอยากจะเป็นแบบอียู เราต้องไปดูว่าประเทศในยุโรปซึ่งมีการสู้รบกันมาหลายชั่วคน ทั้งสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 ปัจจุบันเขาเขียนประวัติศาสตร์กันอย่างไร อย่างกรณีของฝรั่งเศสกับเยอรมนี เคยแย่งแคว้นอาลซัสกัน ซึ่งคล้ายกับกรณีของประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา เขามีทางออกอย่างไร

สถานการณ์ทางการเมืองของไทยจะมีผลกับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนหรือไม่?

สถานการณ์ปัจจุบัน สวนทางกับการเปิดประเทศ ดูเหมือนเป็นการปิดมากกว่า รัฐบาลใหม่ก็ไม่รู้จะออกหัวหรือก้อย เป็นเรื่องน่าเป็นห่วง ถ้าดูลึกๆ จะเห็นว่าปัญหาเยอะมาก ปัญหาระยะเวลาที่สั้น ในหนึ่งปีต้องร่างรัฐธรรมนูญให้เสร็จ ต้องมีการเลือกตั้ง ทุกอย่างรัดตัวหมด ซึ่งจะมีปัญหามากทำให้ คสช.และรัฐบาล ไม่สามารถดำเนินการปกครองได้โดยง่าย โดยรวมแล้วน่าวิตก

ส่วนปัญหาการเมืองของเราต่อประเทศในอาเซียนอาจจะมีไม่มาก เพราะในอาเซียน ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยที่พอพูดได้แบบไม่ขายหน้าคือ อินโดนีเซีย ขณะประเทศส่วนใหญ่ในอาเซียนจะเป็นกลุ่มคณาธิปไตย

ดังนั้น ในอาเซียนด้วยกันไม่น่าจะมีปัญหาอะไรมาก ถ้าจะมีก็คงเป็นกับประเทศมหาอำนาจมากกว่า

ที่มา.มติชนออนไลน์
//////////////////////////////////////////////

อสังหาริมทรัพย์ วันนี้ !!?


มองปัญหาก็เห็นแต่ปัญหา มองโอกาสก็เห็นโอกาส มองพัฒนาการจากอดีตจนถึงปัจจุบันก็พอจะเห็นทิศทางอนาคตของธุรกิจนี้

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์บ้านจัดสรรนั้น หากจะนับเริ่มต้นอย่างเป็นทางการก็ต้องเริ่มในปี 2515 ปีที่ประกาศใช้กฎหมายควบคุมการจัดสรรที่ดิน (ปว.286) เป็นครั้งแรก ช่วงนี้เป็นระยะการพยายามบังคับใช้กฎหมายและการปรับตัวให้เข้ากับกฎหมายของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์

ปี 2525 เป็นยุคที่เริ่มนำการตลาดสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้กับธุรกิจบ้านจัดสรร เป็นการสร้างความแตกต่างระหว่างบ้านจัดสรรกับบ้านที่สร้างโดยผู้รับเหมาทั่วไป เริ่มสร้างบ้านจัดสรรที่เป็นบ้านหรูราคาแพงแสดงให้ตลาดยอมรับว่าบ้านจัดสรรไม่ใช่บ้านโหล

หลังปี 2530 เป็นต้นไป เป็นยุคบูมครั้งใหญ่ของอสังหาริมทรัพย์ทั้งประเทศ บริษัทอสังหาฯ เริ่มเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีการออกตั๋วเงินกู้กับสถาบันการเงินระหว่างประเทศ ธุรกิจอสังหาฯ เติบโตอย่างรวดเร็ว พร้อมกับการเก็งกำไรที่ดินจำนวนมาก การปล่อนสินเชื่อจำนวนมหาศาล

เหตุการณ์ "ฟองสบู่แตก" ก็ระเบิดขึ้นในกลางปี 2540 ธุรกิจอสังหาฯ พังราพณาสูร รายใหญ่ที่กู้เงินต่างประเทศมีหนี้สินทั่วนับหมื่นล้าน รายกลางรายเล็กล้มระเนระนาด ต้องไปเข้าคิวรอซื้อโครงการของตนเองคืนจากกองทุนฝรั่ง เหตุการณ์ครั้งนี้สร้างบทเรียนอย่างลึกซึ้งแก่อสังหาฯ ไทย กลายเป็นประเพณีความเชื่อในการระมัดระวังการกู้เงิน เน้นการเติบโตแบบมั่นคงและสมดุล

หลังปี 2550 เป็นต้นมา เริ่มเกิดการเติบโตของอสังหาฯ ภูมิภาคบริษัทอสังหาฯ กรุงเทพฯ เริ่มขยายโครงการไปต่างจังหวัดมากขึ้น พร้อมกันนั้นเกิดการบูมของตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ปริมณฑล แล้วขยายลามไปยังเมืองใหญ่ในภูมิภาคอย่างเต็มที่ในช่วงปี 2555-56 จนตลาดอิ่มตัวในหลายพื้นที่

อสังหาริมทรัพย์วันนี้เป็นธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ มีผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน

มีบริษัทอสังหาฯ ที่มียอดขายหมื่นล้านบาทต่อปีหลายบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ มีบริษัทอสังหาฯ ยอดขายพันล้านบาทในจังหวัดใหญ่ในภูมิภาค แชมป์เศรษฐีหุ้นมูลค่าสูงสุดในตลาดหลักทรัพย์ถูกครอบครองโดยนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มาตลอดในระยะ 10 กว่าปีหลัง

ความก้าวหน้าของอสังหาริมทรัพย์ไทย ด้านการเงิน นอกจากการเข้าไประดมทุนจากตลาดหลักทรัพย์แล้ว ยังมีการออกหุ้นกู้ออกตราสารต่างๆ การออกทุนพร็อพเพอร์ตี้ฟันด์ ระดมเงินทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ

การดีไซน์โครงการที่อยู่อาศัยแนวราบแนวสูง ในยุคแรกเริ่มมีการนำแบบจากต่างประเทศมาดัดแปลงใช้กันมากมาย แต่ปัจจุบันอสังหาฯ ไทยได้พัฒนางานออกแบบของตัวเองก้าวหน้าไปมาก บริษัทขนาดใหญ่หลายบริษัทมีทีมพัฒนาวิจัยศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคและออกแบบตอบสนองได้อย่างเฉพาะเจาะจงกลุ่มเป้าหมาย

การก่อสร้างได้ก้าวมาในระดับสร้างโรงงานหล่อชิ้นส่วนสำเร็จรูป การหล่อในไซต์งานเพื่อทดแทนแรงงานและเพื่อคุณภาพความรวดเร็วในการก่อสร้าง

ล่าสุด ผู้นำตลาดอสังหาฯ หลายรายได้หันมาให้ความสำคัญกับการให้บริการการบริหารชุมชน หลายรายทำสำเร็จไปแล้ว

40 กว่าปีมานี้ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยพัฒนาก้าวหน้าไปมากในทุกๆ ด้าน สร้างและพัฒนาองค์ความรู้ด้านต่างๆ ของตนเอง

หากเทียบกับประเทศในอาเซียนด้วยกัน พูดได้ไม่อายปากว่าเราอยู่อันดับต้น

เทียบในเอเชียก็ยังอยู่ในระดับแถวหน้า

ด้านอื่นๆ ของประเทศอาจล้าหลังบ้าง

แต่ด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เราเป็นหนึ่ง

ที่มา.มติชน
////////////////////////////////////////////////////////////////////


วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2557

วิเคราะห์การเมือง ยุค คสช.ครองอำนาจ !!?


สัมภาษณ์พิเศษ 

นิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้สัมภาษณ์และวิเคราะห์ความเคลื่อนไหวทางการเมือง ของกลุ่มขั้วการเมืองต่างๆ ที่เคยขัดแย้งกันมาก่อนรัฐประหาร ทั้ง กปปส. นปช. พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ รวมทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ภายหลังที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้าควบคุมอำนาจและบริหารราชการแผ่นดิน

@ถึงแม้ว่าขณะนี้ยังมีกลุ่มคนที่ออกมาต่อต้านรัฐประหาร แต่ท้ายที่สุดแล้วจะพ่ายแพ้ต่ออำนาจกระบอกปืนหรือไม่

คืออย่างนี้ โดยธรรมชาติอำนาจทุกชนิดมันมีข้อจำกัดในตัวมันเอง เช่น กระบอกปืน คุณไม่ได้ยิงใครได้สุ่มสี่สุ่มห้า แม้ว่าเขาอยากยิง ในเวลานี้แต่มันยิงไม่ได้ เช่น อย่าง น.ส.กริชสุดา คุณแสน ถ้าเขาไม่ออกมาโวยวายว่าหายไปไหน ป่านนี้คงหายไปจริงๆ แล้ว ในที่สุดก็ต้องปล่อยออกมาถูกไหม เพราะฉะนั้นอำนาจมันมีขอบเขตจำกัด เป็นต้นว่า การยอมรับจากนานาชาติทั่วโลก หรือมิฉะนั้น การคงรักษาไว้ซึ่งกฎอัยการศึก อาจจะทำให้สามารถใช้ปากกระบอกปืนบังคับให้คนอยู่นิ่งๆ ได้

แต่คำถามก็คือว่าแล้วคุณจะใช้กฎอัยการศึกไปชั่วกัลปาวสานได้ยังไง มันเป็นหนึ่งในสิ่งที่ต่างประเทศจ้องมองอยู่ว่าจะเลิกเมื่อไหร่ เพราะการใช้กฎอัยการศึกถูกคัดค้านจากนานาชาติทั้งหลายว่ามันไม่เป็นประชาธิปไตย

คุณจะมีกฎอัยการศึกไปเพื่ออะไร ในที่สุดก็ต้องเลิก และเลิกเมื่อไหร่จะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะไม่มีคนเต็มอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หรืออนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แม้ว่าจะเขียนรัฐธรรมนูญไว้ว่า คสช.สามารถออกมาตรการอะไรๆ ก็แล้วแต่ แต่การบังคับใช้กว่าจะใช้ก็มีคนออกมาเต็มถนนไปหมดแล้ว ถึงตอนนั้นคุณอยากจะใช้ปืนอีกหรือ การใช้ปืนออกมาบังคับ ขู่เข็ญ ไม่ได้แปลว่าจะชนะนะ

ถามว่าเมื่อปี 2553 การใช้ปืน ทำให้คุณสามารถรักษารัฐบาลอภิสิทธิ์ได้ตลอดไปหรือไม่ ซึ่งก็ไม่ได้ ตรงกันข้ามเสียด้วยซ้ำ เพราะคุณใช้ปืนครั้งนั้นทำให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ต้องตัดสินใจยุบสภา เป็นแต่เพียงขอระยะเวลาที่ตัวหวังว่าจะได้สร้างฐานคะแนนเสียงตัวเองให้ได้เท่านั้น

ทันทีที่ลั่นปืนข้อจำกัดมันจะยิ่งเพิ่มขึ้นทันที ไม่ใช่ยิ่งลดลงนะ แต่คนที่มีปืนอยู่ในมือรู้หรือไม่ คุณเอาปืนไปปล้นเขา ถ้าเขาให้ทรัพย์คุณดีๆ ก็ดีไป แต่ถ้าเขาไม่ให้แล้วคุณยิงเขาเลย เป็นคดีอาญาเรื่องฆ่าคนไปอีกคดีละ คดีปล้นนี่ก็ผิดอย่างหนึ่ง คุณยังยิงอีก ก็ทำผิดซ้ำสอง ผู้ร้ายทุกคนถ้าไม่จำเป็นมันไม่ใช้หรอกปืน เพราะว่าปืน ไม่ใช่อำนาจ ทุกอย่างในโลกนี้มันมีภาระที่คุณต้องรับผิดชอบกับมันทั้งนั้นแหละ

@คิดว่ากลุ่ม กปปส. พอใจกับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ และสามารถไปกันได้ดี คสช.หรือไม่

จนถึงนาทีนี้ ยังไม่เห็นว่ามันดีนัก เป็นต้นว่าหัวหน้าของ กปปส. ก็ต้องไปบวช อย่างนี้เป็นต้น เวลาคุณพูดถึง กปปส. ประหนึ่งว่า มันเป็นองค์กรที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับ คสช. ซึ่งผมไม่เชื่อ เหมือนกับเวลาที่พูดถึงเสื้อแดงว่า เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพรรคเพื่อไทยหรือนปช. ผมก็ไม่เชื่ออีก กปปส.ประกอบด้วยคนที่หลากหลายมาก ถามว่ากปปส.จะไปกับ คสช.ได้ไหม ตัวองค์กรที่มีเป็นแกนหลักที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. เป็นแกนนำอาจจะไปไม่ได้ แต่ใน กปปส.มันมีกลุ่มอื่นๆ ที่เข้าไปร่วมอีกเยอะแยะ ซึ่งกลุ่มเหล่านี้อาจจะไปได้

@วิเคราะห์ นปช.ที่ออกมาต่อต้านรัฐประหาร สุดท้ายจะพ่ายแพ้ราบคาบและสลายไปในที่สุดหรือไม่

เขาไม่ได้เลิกต่อสู้ คนเสื้อแดงก็เหมือนคนอื่นๆ ในประเทศไทยจำนวนไม่น้อย ที่ไม่ได้เป็นเสื้อแดง ที่บอกว่า ถ้าเมื่อไหร่มีการประท้วงต่อต้าน เขาก็พร้อมที่จะเข้าร่วมด้วย ไม่ว่าจะนำโดยแกนนำเดิมหรือไม่ก็ตามแต่ เขาไม่ได้สนใจเรื่อง นปช. คือถามว่า นปช.เวลานี้แกนนำ จะเสื่อมอิทธิพลลงไหม ผมว่าเสื่อม เพราะว่าเท่าที่ได้รู้จัก ได้พูดคุยกับเสื้อแดง หลายคนก็ผิดหวังมาก ซึ่งจริงๆ ก็เห็นใจพวกแกนนำอยู่เหมือนกัน คือว่า ผมก็เตือนเขาตั้งแต่ก่อนหน้ามีรัฐประหารหลายเดือนแล้วว่า เตือนโดยบทความนะ เพราะผมไม่ได้รู้จักกับเขาเป็นการส่วนตัว ว่าคุณใช้วิธีการดำเนินการทางการเมืองด้วยการชุมนุมใหญ่แบบนี้ไม่ได้ สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว คุณต้องกระจายการดำเนินการทางการเมืองไปสู่ระดับท้องถิ่นให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แต่แน่นอนมันก็อาจจะไม่มีเวลาพอจะทำ หรือทำแล้วแกนนำเองก็จะหมดอำนาจลงไป เพราะว่าอำนาจการนำมันจะกระจายไปสู่จุดเล็กๆ แต่ถ้าคุณไม่ทำแบบนั้นคุณไปไม่รอดหรอก

@วิเคราะห์พรรคเพื่อไทยนับจากนี้ไปจะเป็นอย่างไร

จะไปห่วงอะไรพรรคเพื่อไทย พรรคเพื่อไทย เป็นพรรคที่ตั้งขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ หรือแม้จะยุบไปเลยก็ยังได้ ตั้งพรรคใหม่แล้วก็หาชื่อใหม่ก็ได้ ไม่มีความหมายอะไรหรอก แต่ถามว่า จะมีพรรคการเมืองที่ต้องยึดแนวทางประชาธิปไตยเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของพรรค โดยไม่ได้ศรัทธาต่อระบอบประชาธิปไตยเลยนั้นมีหรือไม่ ตอบว่ามี จะชื่ออะไร ใครเป็นคนทำ ผมไม่ทราบ แต่ประเทศไทยมันสายไปแล้วที่จะมีแต่พรรคประชาธิปัตย์ ไม่มีหรอกมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

@วิเคราะห์การเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในยุค คสช.อย่างไร โดยเฉพาะการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย

น.ส.ยิ่งลักษณ์ผมไม่ทราบ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ พอจะทราบอยู่บ้าง เนื่องจากอยู่ในตำแหน่งมานานพอสมควร ได้ติดตามการบริหารของแกอยู่บ้าง ไม่เชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะมีความศรัทธาต่อระบอบประชาธิปไตยอยู่นั่นเอง แต่ว่านั่นไม่สำคัญ

อย่าว่าแต่ พ.ต.ท.ทักษิณเลย เชอร์ชิลศรัทธาต่อระบอบประชาธิปไตยหรือไม่ ผมยังไม่แน่ใจเลย คือประชาธิปไตย ไม่ได้ต้องการให้คนดีมาปกครอง แต่คุณต้องสร้างระบบให้เขาไม่สามารถที่จะเบี้ยวได้ คนชั่วก็ยังชั่วเหมือนเดิมก็ได้ แต่มันจะไม่มีโอกาสจะเบี้ยว

นี่ต่างหากที่เป็นเรื่องสำคัญ คิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะศรัทธาต่อระบอบประชาธิปไตยหรือไม่ ผมไม่สนใจ แต่ตราบเท่าที่เป็นนายกรัฐมนตรี หรือเป็นนักการเมือง ตัวระบบ เราจะต้องสร้างให้ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือนักการเมือง ข้าราชการ หรือใครก็แล้วแต่ที่จะขึ้นมามีอำนาจบริหารประเทศ จะไม่สามารถจะบิดเบี้ยวประชาธิปไตยให้เป็นเผด็จการได้

ที่มา.มติชน
////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2557

คลังรื้อใหญ่ ภาษีสรรพสามิต !!?

คลังรื้อใหญ่ภาษีสรรพสามิต เก็บจากราคาขายปลีก แทนหน้าโรงงาน ยุบรวมกม.7ฉบับ คาดเสนอสนช.เดือนหน้า

สรรพสามิตเตรียมแก้กฎหมายครั้งใหญ่ ยับรวม 7 ฉบับ เหลือ ฉบับเดียว หวังใช้เป็นมาตรฐาน เล็งใช้"ราคาขายปลีก"เป็นฐานคำนวณ จากเดิมจัดเก็บ "ราคาหน้าโรงงาน" ค่ายเบียร์สิงห์ค้าน ชี้ให้อำนาจ"ร้านสะดวกซื้อ-โมเดิร์นเทรด"เป็นผู้กำหนดภาษี ขณะค่ายไฮเนเก้น รอประกาศจริงก่อนประเมินผลกระทบ คาดเสนอสนช.ในเดือนก.ย.นี้

กรมสรรพสามิตเตรียมแก้กฎหมายครั้งใหญ่ โดยยุบรวมกฎหมาย 7 ฉบับเหลือฉบับเดียว ถือว่าเป็นการปรับปรุงกฎหมายที่ทำได้ยากในรัฐบาลปกติที่มาจากการเลือกตั้ง เนื่องจากเกี่ยวข้องกับหลายอุตสาหกรรม โดยการแก้กฎหมายในครั้งนี้จะทำให้การจัดเก็บเป็นมาตรฐานเดียวกันหมดในสินค้าทุกประเภท เหมือนประมวลรัษฎากรของกรมสรรพากร

การปรับภาษีดังกล่าว กรมสรรพสามิตมีการประชุมเพื่อรับฟังความเห็นจากภาคเอกชนมาแล้วหลายครั้ง โดยจะเร่งสรุปเพื่อเสนอรัฐบาลในเร็วนี้

นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า การแก้กฎหมายครั้งนี้จะรวมกฎหมายสรรพสามิตจำนวน 7 ฉบับ จะเหลือฉบับเดียว เรียกว่า ร่างประมวลกฎหมายภาษีสรรพสามิต โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะทำให้โครงสร้างการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในสินค้าต่างๆมีความเป็นธรรม โปร่งใส และ เป็นไปตามหลักมาตรฐานสากล

สำหรับกฎหมาย 7 ฉบับ ประกอบด้วย 1.พ.ร.บ.สุรา พ.ศ.2497 , 2. พ.ร.บ.ยาสูบ พ.ศ.2509 , 3.พ.ร.บ.ไพ่ 2486 ,4. พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต 2527 , 5.พ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 , 6.พ.ร.บ.จัดสรรเงินภาษีสรรพสามิต 2527 , 7.พ.ร.บ.จัดสรรเงินภาษีสุรา พ.ศ.2527

นายสมชาย กล่าวว่า สาระสำคัญของการแก้ไขกฎหมายดังกล่าว คือ จะได้มีการพิจารณาปรับเปลี่ยนฐานในการคำนวณภาษีสรรพสามิต กล่าวคือ ปัจจุบัน กรมฯได้ใช้ฐานในการคำนวณภาษีจากราคาหน้าโรงงานสำหรับทุกสินค้า ยกเว้น สินค้าสุราและเบียร์ ที่ปรับเปลี่ยนมาคำนวณจากราคาขายส่งช่วงสุดท้าย

"แต่กฎหมายใหม่จะทบทวนให้มีการคำนวณภาษีจาก ราคาขายปลีกแนะนำสำหรับทุกสินค้า"

นอกจากนี้ จะได้ปรับเปลี่ยนวิธีการคำนวณ จากเดิมใช้วิธีการคำนวณภาษีจากปริมาณ หรือ มูลค่า ของสินค้า ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าการจัดเก็บภาษีแบบใดจะสูงกว่ากัน โดยจะปรับเปลี่ยนเป็นนำทั้งปริมาณและมูลค่ามาคำนวณภาษี

ก่อนหน้านี้ กรมสรรพสามิตมอบหมายให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศึกษาเรื่องการปรับปรุงการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตทั้งระบบ และกรมสรรพสามิตได้นำผลการศึกษามาพิจารณา จากนั้นก็ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือ ซึ่งรวมถึงผู้ประกอบการจากทั้งสภาอุตสาหกรรมและสภาหอการค้า โดยได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาศึกษาและพิจารณาในเรื่องดังกล่าว

“หลังจากเราได้ผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มาแล้ว เราก็นำมาพิจารณา และ เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือ รวมถึง ผู้ประกอบการ คาดว่า จะสามารถสรุปได้เร็วๆนี้ และ จะจัดให้มีการแถลงให้ทราบเกี่ยวกับผลการพิจารณาปรับปรุงกฎหมายสรรพสามิตด้วย”นายสมชาย กล่าว

ยันไม่กระทบผู้บริโภค

นายสมชาย ยืนยันว่าการปรับแก้กฎหมายดังกล่าวจะไม่ให้มีผลกระทบต่อผู้บริโภค ซึ่งภายใต้ร่างประมวลกฎหมายสรรพสามิตฉบับใหม่นี้ จะกำหนดให้อำนาจกรมฯในการตรวจสอบราคาสินค้าของผู้ประกอบการในการแจ้งราคาขายปลีกแนะนำที่ตรงกับความเป็นจริง

รายงานข่าวจากกรมสรรพสามิตกล่าวว่า ที่ผ่านมา ผู้ประกอบการมักจะแจ้งราคาสินค้า ณ ราคาหน้าโรงงาน เพื่อใช้เป็นฐานในการคำนวณภาษีในอัตราต่ำ ขณะที่ ราคาขายที่แท้จริงอยู่ในระดับที่สูง จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่กรมฯต้องปรับปรุงฐานในการคำนวณภาษี

เบียร์สิงห์ค้านเกณฑ์คำนวณภาษีใหม่

ด้าน นายปิติ ภิรมย์ภักดี กรรมการบริหาร บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า หากกรมสรรพสามิต จะนำ "ราคาขายส่งช่วงสุดท้าย" และ "ราคาขายปลีก" มาเป็นเกณฑ์ในการคำนวณภาษีแทนการคำนวณจากราคา ณ โรงงานอุตสาหกรรม ร่วมกับคำนวณจากปริมาณแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ ในกรณีของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้น เห็นว่า จะเป็นการสร้างปัญหาใหม่ให้กับผู้ที่อยู่ในธุรกิจนี้ และยังขัดกับเจตนารมณ์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่ต้องการเข้ามาแก้ไขกฎระเบียบต่างๆ ให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม

"ยืนยันว่าเกณฑ์การคำนวณภาษีแอลกอฮอล์ที่เหมาะสมที่สุด คือการพิจารณาจากปริมาณแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่เกือบทั่วโลกใช้กัน"

ยันส่งผลกระทบผู้บริโภคแน่

นายปิติ กล่าวว่าการคำนวณภาษีจากราคาขายส่งช่วงสุดท้าย จะกระทบต่อกำลังซื้อผู้บริโภคเป็นห่วงโซ่ เพราะต้องยอมรับว่าราคาสินค้าที่จำหน่ายผ่านช่องทางร้านสะดวก หรือ ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (โมเดิร์นเทรด) จะมีราคาสูงกว่าร้านค้าทั่วไป (โชห่วย) เนื่องจากมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมแรกเข้า (เอ็นทรานซ์ ฟี) รวมไปกับการจัดโปรโมชั่นหมุนเวียนกับแบรนด์ต่างๆ ในแต่ละเดือน

การคำนวณภาษีจากเกณฑ์ดังกล่าวจะทำให้เกิดการลักลั่น กระทบต่อความสามารถในการแข่งขัน เพราะแต่ละแบรนด์มียอดขายสินค้าต่างกันตามความต้องการของผู้บริโภค สินค้าขายดีอาจถูกตั้งราคาขายสูงขึ้น เพื่อนำไปชดเชยกับสินค้าที่ขายไม่ดี แต่สิ่งที่น่ากังวลต่อมาคือเมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในปลายปี 2558 จะทำให้สินค้าจากต่างประเทศเข้ามาแข่งขันเพิ่มอีก

ค้านใช้ราคาร้านสะดวกซื้อ-โมเดิร์นเทรด

"มีการหารือว่าจะใช้ ราคาขายปลีก จะใช้เกณฑ์การตั้งราคาขายในร้านสะดวกซื้อ หรือร้านค้าปลีก มาเป็นบรรทัดฐานในการคำนวณภาษี หากเป็นเช่นนั้นความเป็นธรรมของผู้ประกอบการอยู่ตรงไหน เพราะหากห้างค้าปลีกจะเรียกเก็บค่าโปรโมชั่น ค่าวางสินค้า ค่าธรรมเนียมแรกเข้า ส่งผลให้ราคาจำหน่ายสินค้าปรับตัวสูงขึ้น กลายเป็นว่าโมเดริ์นเทรด และร้านสะดวกซื้อเป็นผู้กำหนดภาษี แทนที่จะคิดภาษีตามปริมาณแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ไม่ได้คิดจากราคา ที่สำคัญรัฐจะเก็บภาษีแพงก็ไม่ว่ากันแต่ขอให้มีมาตรฐานเดียวกันและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายเพื่อให้การแข่งขันอยู่ภายใต้มาตรฐานเดียวกัน"

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาการจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์คำนวณจาก 2 ฐาน คือคิดตามปริมาณแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ และราคา ณ โรงอุตสาหกรรมซึ่งไม่มีความเป็นสากล เพราะ 95% ของประเทศทั่วโลก จะคำนวณภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากปริมาณแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ดีกรีต่ำๆ

ไฮเนเก้นเชื่อเป็นธรรม-จัดเก็บภาษีง่ายขึ้น

ด้านนายปริญ มาลากุล ณ อยุธยา ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการองค์กรบริษัท ไทยเอเชีย แปซิฟิค บริวเวอรี่ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเบียร์ไฮเนเก้น กล่าวว่า ขณะนี้อาจมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับกฎหมายของกรมสรรพสามิต โดยที่ผ่านมามีกฎหมายหลายฉบับบังคับใช้ในการคำนวณภาษีสินค้าแต่ละประเภท ก่อให้เกิดปัญหาในการบังคับใช้ รัฐจึงต้องการยกเลิกกฎหมายฉบับเดิม และร่างประมวลกฎหมายสรรพสามิตฉบับใหม่ขึ้นมาบังคับใช้กับการจัดเก็บภาษีสินค้าทุกประเภท

ทั้งนี้ ร่างกฎหมายดังกล่าวพยายามสร้างความโปร่งใส เป็นธรรม และง่ายต่อการจัดเก็บภาษีมากขึ้น กรมสรรพสามิตจึงประสานกับภาคเอกชน ภาคธุรกิจอย่างสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ร่วมกันร่างกฎหมายฉบับนี้เพื่อเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)ให้ตราเป็นกฎหมายบังคับใช้ต่อไป

ชี้ต้องรอดูประกาศจัดเก็บใช้จริง

นายปริญ กล่าวว่าการระบุว่ากฎหมายดังกล่าวจะมีการคำนวณภาษีสินค้าโดยพิจารณาจากราคาขายปลีก ณ ร้านสะดวกซื้อแบรนด์หนึ่งนั้น เป็นเพียงการยกตัวอย่างเท่านั้น เพราะที่ผ่านมาไม่สามารถอ้างอิงราคาขายจากแหล่งใดได้ เนื่องจากมีอุปสรรคหลายด้าน อย่างไรก็ตาม กฎหมายดังกล่าวเป็นเพียงร่างที่ยังไม่มีความชัดเจนว่ารัฐจะเลือกวิธีคำนวณภาษีแบบใด ในฐานะผู้ประกอบการจึงไม่ต้องการตีตนไปก่อนไข้

"ก็ต้องรอดูว่าอัตราภาษีที่เก็บจะเป็นยังไง ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับกฎหมายลูกด้วยว่าจะเก็บในอัตราเท่าไร ส่วนการนำราคาขายในร้านสะดวกซื้อมาเป็นเกณฑ์และมีการพูดถึงตอนนี้ เป็นแค่ตุ๊กตา หรือตัวอย่างที่ยกมาเท่านั้น ประกอบกับที่ผ่านมาการคำนวณภาษีไม่รู้จะอ้างอิงราคาจากที่ไหน ก็เลยคิดว่าอ้างจากราคาขายปลีกแล้วกัน และที่เสนออยู่ก็เป็นเพียงร่างเท่านั้น ยังไม่แล้วเสร็จ แต่คาดว่ากฎหมายฉบับดังกล่าวจะเสนอต่อสนช.ภายในเดือนกันยายนนี้"

สหพัฒน์ระบุกระทบยอดขายช่วงสั้น

ด้านนายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ กล่าวว่า การที่กรมสรรพสามิตจะพิจารณาปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตทั้งระบบ ระยะแรกอาจทำให้สินค้าแต่ละรายการยอดขายลดลง

"การพิจารณาปรับโครงสร้างภาษีทุกครั้ง จะส่งผลกระทบต่อการบริโภค และยอดขายสินค้าให้ลดลงเล็กน้อยเป็นเวลาหนึ่ง แต่ที่สุดแล้วก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นปกติ เป็นเรื่องธรรมชาติ เมื่อการบริโภคและยอดขายตกลง ก็ต้องมีการปรับขึ้น"

ที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้แต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาร่างประมวลกฎหมายภาษีสรรพสามิตขึ้นเมื่อวันที่ 1 ก.ค.2557 ประกอบด้วย ผู้บริหารกรมสรรพสามิต ผู้แทนสอท. ผู้แทนสภาหอการค้าฯ และมีการประชุมครั้งที่ 1/2557 เมื่อวันที่ 2 ก.ค. โดยรายละเอียดในการประชุมมีการพิจารณาการคำนวณภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากราคาขายส่งช่วงสุดท้ายและราคาขายปลีก

ทั้งนี้ การใช้ราคาขายปลีกเป็นฐานในการคำนวณภาษี สามารถตรวจสอบได้ 3 วิธี ได้แก่ พิจารณาจากราคาขายปลีกของห้างโมเดิร์นเทรด 2.พิจารณาจากราคาที่มีจำนวนของการขายมากที่สุด และ 3.พิจารณาจากผลต่างของกำไรกับต้นทุนราคาสินค้า

เอกชนส่งเรื่องเสนอ"ประจิน"

รายงานข่าวระบุว่า ผู้ประกอบการบางส่วนมองว่าไม่ควรนำราคาขายส่งช่วงสุดท้ายมาเป็นฐานในการคำนวณภาษีได้ เนื่องจากมีปัญหาเรื่องของการควบคุมราคา ส่วนการกำหนดราคาขายปลีกนั้นก็ควรพิจารณาถึงความเป็นธรรมและความชัดเจนด้วย

แหล่งข่าวจากวงการเครื่องดื่ม กล่าวว่า ผู้ประกอบการได้หารือและให้ข้อมูลเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แก่พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ให้รับทราบถึงปัญหาและความไม่โปร่งใสในการจัดเก็บภาษีในอดีต เพื่อหาแนวทางแก้ไขให้ถูกต้องต่อไป

อย่างไรก็ตาม เมื่อปลายปี 2556 กรมสรรพสามิตปรับโครงสร้างอัตราภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใหม่ คิดตามมูลค่า และตามปริมาณแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ ส่งผลให้สุราขาว สุรากลั่น เบียร์ ไวน์ สุรานำเข้า ปรับราคาขึ้นถ้วนหน้า

ที่มา.กรุงเพพธุรกิจ
//////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2557

สิ่งที่ต้องปฏิรูปเร่งด่วนใน สนช. !!?

ผู้เขียน: เรืองยศ จันทรคีรี

หากจะว่าโดยเนื้อหาแล้ว สนช. หรือสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เคยถูกมองว่าแท้จริงแล้วคงเป็นส่วนหนึ่งของ คสช. นั่นเอง! มุมมองเช่นนี้ส่วนใหญ่จะเป็นมุมมองจากกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร หรือนักวิชาการประชาธิปไตยทั่วไป ซึ่งจะว่าไปแล้วการเฝ้ามองเช่นนี้มีเหตุมีผลของมันอยู่เหมือนกัน ดังเราจะเห็นได้ว่าในช่วงที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลนั้น ได้มีกระแสเสียงโจมตีเกี่ยวกับระบบรัฐสภาของไทย เป็นทั้งข้อหาและวาทกรรมว่า “สภาทาส” จนกลายเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เห็นว่าประเทศไทยนั้นมีเผด็จการระบบรัฐสภา

ฉะนั้นเมื่อพิจารณาจากเหตุผลเรื่องสภาทาส สำหรับกลุ่มฝ่ายที่เห็นดีด้วยกับวาทกรรมนี้ เมื่อมีโอกาสที่จะเข้าสู่วงจรอำนาจ และเป็นวงจรอำนาจที่ต้องเกี่ยวข้องกับระบบรัฐสภา ย่อมจำเป็นมากที่จะต้องกวาดล้างไม่ให้มีระบบสภาทาส ดุจเดียวกับการกวาดล้างระบอบทักษิณให้หมดไปจากประเทศไทย

เรื่องทั้งเรื่องนั้นถ้าจะพูดแบบภาษาไทยเก่าๆก็ต้องว่า “เมื่อเราว่าเขาก็ขอให้อิเหนาอย่าเป็นเอง” หากเป็นเพียงว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเองก็ไม่ต่างจากการกลืนน้ำลายลงคอ หรืออาจจะเลวร้ายกว่านั้นคือ เป็นการขากเสลดและไม่ถ่มออกมา แต่กลืนลงไปในกระเพาะอาหารตนเอง ลองพิจารณาแล้วกันว่าจะเป็นเรื่องเลวร้ายแค่ไหน อาจทำให้สังคมเกิดตั้งคำถามขึ้นมาได้ว่า แล้วระบอบที่เข้ามาแทนระบอบทักษิณจะดีกว่าระบอบทักษิณตรงไหนกัน?

ผมได้อ่านรายงานฉบับหนึ่งเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศไทย ซึ่งมีอยู่บทหนึ่งที่เขียนโดย น.ส.นิรัญ ดอนสุวรรณ นับว่าเป็นมุมมองที่น่าสนใจมาก เป็นมุมมองจากข้อสังเกตที่เกี่ยวเนื่องมาจากการทำบทบาทของ สนช. ที่ น.ส.นิรัญยกตัวอย่างออกมาให้เห็นชัดๆจาก 2 กรณี

เรื่องแรกนั้นคือ การยกมือผ่านการพิจารณางบประมาณแผ่นดินด้วยเสียง 183 ต่อ 0 และข้อที่ 2 ซึ่งผ่านไปหมาดๆคือ การยกมือให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของประเทศไทย โดยมติของ สนช. ที่ออกมามีเสียงสนับสนุนถึง 194 เสียง และมีบางเสียงงดออกเสียง

ในสภาวะที่เป็นอยู่จริง น.ส.นิรัญบอกว่าเป็นเรื่องที่พอเข้าใจกันได้สำหรับการที่เราต้องพยายามมีรัฐบาลซึ่งมีอำนาจเต็ม และเป็นการสิ้นสุดของอำนาจรัฐประหาร! แต่จากความจริงที่เราพยายามเข้าใจนี้ก็มีอีกคำถามตามมาว่า แม้กระทั่งหน้าที่ของ สนช. ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยสำทับว่าขอให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลัง ให้มีการตรวจสอบอย่างเต็มที่ แต่อาจจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม พอจะมองอีกได้ว่า สนช. นั้นมีพิมพ์เขียวที่ต้องยกมือของตัวเองหรือไม่? หรือพูดอีกทีนึงว่าสภาบล็อกโหวตหรือไม่? และมีแนวโน้มที่พอจะเข้าใจได้ว่าจะเป็นไปได้อย่างนั้น นี่จึงเป็นจุดอ่อนประการสำคัญที่จะต้องแก้ไข แก้ไขด้วยเหตุผลที่ว่าอย่าให้ประชาชนไทยไปคิดและเข้าใจเอาเองว่า สนช. นั้นแท้จริงแล้วมีสภาวธรรมไม่ต่างจากวาทกรรมเรื่องสภาทาสที่เคยถูกใช้โจมตีในการบริหารงานของรัฐบาลเท่าที่ผ่านมา

เรื่องนี้อาจจะยังไม่สายเกินไป หรือจะบอกว่าบางครั้งอาจต้องทำผิดบ้างเพื่อผลประโยชน์ที่ใหญ่กว่าของประเทศไทย ตั้งแต่ผลประโยชน์เรื่องผ่านงบประมาณปี 2558 และมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องมีนายกรัฐมนตรีเพื่อบริหารราชการแผ่นดินของประเทศ แต่เมื่อผ่านเงื่อนไขและขั้นตอนเหล่านี้ไปแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงจากความเข้าใจผิดที่คนจะเห็นว่าตัวเองเป็นสภาทาสแล้วตีความ ก็เป็นสภาที่ไม่แตกต่างไปจากรัฐสภาในช่วงรัฐบาลที่ผ่านมา

 ดังนั้น น.ส.นิรัญ ดอนสุวรรณ จึงสรุปว่า สนช. จำเป็นจะต้องตั้งต้นตัวเองและปฏิรูปบทบาทเสียใหม่ นั่นคือบทบาทของการเสนอกฎหมายและการตรวจสอบรัฐบาล คงมีความจำเป็นจะต้องว่ากันอย่างตรงไปตรงมาและมีเหตุมีผลกันมากขึ้น อย่างน้อยก็เป็นการพยายามทำให้ประชาชนไทยมองเห็นว่าบทบาทของ สนช. ในฐานะรัฐสภาดีกว่ารัฐสภาในสมัยรัฐบาลที่ผ่านมา ซึ่งถูกโจมตีว่าเป็นสภาทาส

หากไม่แก้ไขจุดอ่อนตรงนี้แล้วคนอาจจะเหมาเข่งเอาได้ว่าแท้จริงแล้วรัฐสภาของไทยมีทาส 2 ลักษณะคือ เป็นสภาทาสแบบเก่า และสภาทาสแบบใหม่ ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ประเทศไทยจะต้องปฏิรูปบทบาทตนเองให้ได้ ทำงานอย่างเต็มที่และให้มีความโปร่งใส อย่าให้คนเห็นว่า สนช. ไม่แตกต่างไปจากสภาทาสในระบอบทักษิณแต่อย่างใด?

เพราะถ้าเป็นไปเช่นนั้นแล้วจะมีเสียงถามตอบกลับมาว่า ระหว่างนายทาสเก่ากับนายทาสใหม่จะแตกต่างกันที่ตรงไหน

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
///////////////////////////////////////////////

ใจคนไวยิ่งกว่าแสง !!?

โดย. วิไล อักขระสมชีพ

ปีนี้เดือนสิงหาคมจัดเป็นเดือนที่มีความคึกคักสุด ๆในรอบปีทีเดียว หลังผ่านเมฆหมอก "การเมืองกีฬาสี" มาได้ ก็เพิ่งจะเห็นเดือนนี้ที่จุดพลุ "ความสุขคนไทย" ติดขึ้นมาได้

เพราะเป็นเดือนแห่งเทศกาลวันแม่ ถือเป็นเดือนแห่งการทำยอดขายกันทีเดียว หวังชดเชยยอดขายช่วงครึ่งปีแรกที่หงอยเหงา โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้คาดการณ์ถึงผู้คนจะพาแม่และครอบครัวไปทานอาหารนอกบ้านกัน ทำให้เม็ดเงินจะสะพัดสู่ธุรกิจร้านอาหารถึงราว 1,120 ล้านบาท ในช่วงวันหยุดยาว 4 วัน ตั้งแต่วันที่ 9-12 สิงหาคม 2557

ขณะที่ด้านโซเซียลมีเดียก็ถูกใช้เป็นเวทีแสดงความรู้สึกระหว่างครอบครัวกันอย่างท่วมท้น โดยเฉพาะ "แม่-ลูก" ซึ่งแต่ละคู่ก็จะมีเรื่องราวสายใยผูกพันว่ากันไปมากมาย ยิ่งเวที "เฟซบุ๊ก" แม้เป็นพื้นที่สาธารณะแต่ก็ถูกใช้เป็นสื่อกลางถ่ายทอดผ่านตัวอักษรและภาพต่าง ๆ ที่มามอบให้กัน แม้จะมีบางเสียงที่บอกทำทุกวันอยู่แล้ว แต่พอถึง "วันแม่" วันที่ 12 ส.ค. ก็ไม่วายที่จะต้องทำไหลตามกระแสนี้ไปเช่นกัน

นี่คือกระแสด้านบวกที่เกิดขึ้นของสังคมครอบครัวไทย

มองสวนกลับไปที่มุมมืดของสังคมไทย กระแสข่าวฉาว "อุ้มบุญ" ก็ถูกตีแผ่กันหลายสัปดาห์ ช่างคนละอารมณ์กันทีเดียว แถมกลายเป็นปัญหาที่บานปลายไปสู่ประเด็นการค้ามนุษย์ หลังจากที่เดือนก่อนหน้านี้ประเทศไทยเพิ่งถูกสหรัฐอเมริกาปรับลดอันดับการค้ามนุษย์ตกมาอยู่อันดับ 3 ซึ่งเกิดจากปมร้อนเรื่องแรงงานต่างด้าว มารอบนี้ก็มีการตีประเด็นโยงกระแส "อุ้มบุญ" เป็นการ "ขายชีวิตของเด็กทารก" เพื่อเชิงพาณิชย์หรือทำธุรกิจกันมากเกินไป เพราะอยากได้เงินคราวละเป็นหลักแสน ๆ บาททีเดียว

ขณะที่ล่าสุดทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะให้ความเห็นชอบร่างกฎหมาย 15 ฉบับ เพื่อเสนอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งหนึ่งในร่างกฎหมายทั้งหมดนั้นจะมีร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิด โดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. ...เป็นกฎหมายเร่งด่วน ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เสนอ

แต่อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์นี้ยิ่งสะท้อนถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำคนไทย ภายใต้สังคมที่ถูก "ทุนสามานย์" ครอบงำจนกัดกร่อนคุณภาพชีวิตคนไทยหายไปตามสังคมที่บริโภคความศิวิไลซ์ ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่มุมหนึ่งของสังคมไทยจะเห็นกลุ่ม "ผู้หญิง" วัยทำงานยอมหันมารับจ้างอุ้มท้อง เพียงเพราะต้องการ "หาเงิน" โดยยอมแลกกับความรู้สึกผูกพันที่ตั้งครรภ์มายาวนาน 9 เดือน บางคนยอมรับจ้างอุ้มท้องหลายคน เพื่อเห็นว่าเป็นช่องทางหาเงินได้ง่ายและได้ก้อนโตด้วย

ขณะที่เมื่อช่วงวันหยุดที่ผ่านมา ผู้เขียนได้มีโอกาสดูหนังเรื่อง "ฝากไว้ในกายเธอ" ของค่ายดัง GTH แม้จะมีกระแสเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ ถึงความไม่สมจริงหรือไม่คุ้มค่าตั๋วหนัง อะไรก็ตามแต่ของมุมมองแต่ละคน

ทว่าสำหรับดิฉันได้มีโอกาสเดินเข้าไปดูหนังเรื่องนี้เพราะต้องการรู้และเห็นด้วยตัวเอง และได้ข้อคิดระหว่างดูถึงการใช้ชีวิตเด็กนักเรียนไทยยุคโซเชียล เน็ตเวิร์ก ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ หากใจมีความต้องการ "ครอบครอง" เกิดขึ้น ขณะดูไปจู่ ๆ ก็นึกถึงคำสอนทางธรรมะ "ใจคน" ไวยิ่งกว่าแสง

เพราะพล็อตของเรื่องนี้คือ เด็กหนุ่มนักเรียนชายคนหนึ่งแย่งแฟนสาวจากเพื่อนสนิทมาครอบครอง ขณะที่ฝ่ายผู้หญิงที่เป็นแฟนสาวดูเหมือนจะมีจิตสำนึกว่ามีแฟนอยู่แล้ว แต่พอจี้ถูกจุดว่า "มีใจให้ตรงกัน" ก็ถึงกับทำให้ตัดสินใจเลือกเพื่อหันมาคบกันและเลยเถิดถึงขั้น "ท้อง" เมื่อทั้งคู่ก็ไม่สามารถรับผิดชอบ "เด็ก" ที่เกิดขึ้นได้ ก็นำมาสู่การทำแท้งเด็ก หลังทำแท้งเสร็จ แฟนสาวก็ตัดสินใจบอกเลิกเพื่อจะกลับไปหาคนเดิม อุ๊ตะ !! เปลี่ยนใจไวยังกะปรอททีเดียว แต่สุดท้ายแฟนสาวก็ต้องตายในมือตัวเอง แม้ตอนจบเด็กนักเรียนที่ทำผิดจะลอยนวล แต่ก็อยู่กับตราบาปที่หลอนตลอดชีวิต

คนพล็อตเรื่องนี้กำลังสะท้อน "จุดบอด" ของคุณภาพเด็กไทยที่กำลังจะเติบโตเป็นอนาคตของชาติ

ที่น่าห่วงอย่างยิ่ง คนที่เข้าไปดูเป็นเด็กวัยรุ่นกันจำนวนมาก ขณะที่หนังกำลังตั้งเป้าหมาย "เชิงธุรกิจ" ที่อยากจะโกย "เงินร้อยล้าน" เพราะผู้กำกับคาดหวังว่าจะบอกกันปากต่อปากเข้าไปชมหนังเรื่องนี้ ซึ่งยิ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เด็กเหล่านี้อินหรือซึมซาบไปกับเรื่องราวพฤติกรรมต่าง ๆ ที่เห็นในหนังเรื่องนี้อีกทางหนึ่ง

ขณะที่เป็นที่รู้กันว่า ระบบการศึกษาของไทยอยู่ในอันดับรั้งท้ายของโลก และวิธีการเรียนการสอนก็ยังไม่ได้พัฒนาให้เด็กรู้จักการคิด-วิเคราะห์เท่าที่ควร ซึ่งผู้เขียนเข้าใจได้ว่า ผู้กำกับหนัง GTH ต้องการยกระดับการสร้าง "หนัง" ของวงการภาพยนตร์ไทย

แต่อีกด้าน ค่าย GTH ก็ไม่ควรละทิ้งการสร้างสรรค์สังคมไทยที่ดีให้เด็กรุ่นใหม่ด้วย ไม่ใช่พล็อตเรื่องแรง ๆ แล้วปล่อยปมปริศนาไว้ให้ "คนดู" คิดไปหลาย ๆ ทาง เพียงเพราะค่าย GTH จะเลียนแบบหนังฝรั่งหรือไร อย่าลืมว่า "หนัง" ก็หล่อหลอมความคิดคนได้ระดับหนึ่ง และจะนำมาสู่ผลลัพธ์ "ด้านลบ" อีกมากมายอย่างไรในสังคมไทยที่คุณเองก็ยังต้องใช้ชีวิตอยู่เหมือนกัน

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
/////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ฟื้นฟูการบินไทย ต้องเกาให้ถูกที่คัน !!?

เหลือบเห็นข่าวผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) กุมขมับกับรายงานเบิกจ่ายงบลงทุนของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจต่างๆ ในรอบ 9 เดือน (ตุลา 56- มิ.ย.57) ที่ยัง “อืดเป็นเรือเกลือ” เพราะมียอดเบิกจ่ายไปได้เพียง 70,000 ล้านบาทจากเป้าหมาย 3.46 แสนล้าน หรือเท่ากับ 20% ของเป้าหมายเท่านั้น

เรียกได้ว่าห่างจากเป้าหมายที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ตั้งไว้เยอะ ที่ตีฆ้องร้องป่าวจะ“ล้างท่อ”งบลงทุนและเร่งรัดการเบิกจ่ายให้ได้ถึง 90-95% แต่ทำได้จริงแค่กระผีก แบบนี้ต่อให้ไขลานเร่งรัดเบิกจ่ายช่วงขวบเดือนที่เหลือจากนี้ ก็ไม่น่าจะไปถึง 50-60% ได้ ซึ่งแม้จะเฉไฉว่า เหตุที่เบิกจ่ายงบอืดเป็นเรือเกลือนั้น น่าจะเป็นเพราะวิกฤติการเมืองที่ทำให้การเบิกจ่ายงบล่าช้า แต่หลังจากคสช.เข้ามาวางกรอบลงทุน จัดซื้อจัดจ้าง จัดตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านต่าง ๆ แล้วก็น่าจะไหลรื่น...

จนถึงวินาทีนี้ผู้อำนวยการสคร. ยังไม่รู้อีกหรือว่าเหตุใดนโยบาย “ล้างท่อ”งบลงทุนที่ประธาน “ซูเปอร์บอร์ดรสก.” สั่งให้ผู้บริหารหน่วยงานรัฐและรัฐวิสาหกิจต้องเร่งรัดการเบิกจ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจถึง “ยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก” ไม่ขยับไปไหน? ยังคิดว่าเป็นผลพวงมาจากวิกฤติทางการเมืองอยู่อีกหรือ?
เหตุใดไม่ย้อนกลับไปดูว่าสาเหตุที่แท้จริงล้วนเป็นเพราะผลพวงมาจากประกาศต่างๆที่สร้างความสับสนให้แก่ผู้ปฏิบัติงานเอง เพราะขาหนึ่งสั่งให้เร่งรัดการเบิกจ่าย แต่อีกขาก็กลับให้ทุกหน่วยงานชะลอการจัดซื้อจัดจ้าง และต้องส่งโครงการที่มีมูลค่าเกิน 100 ล้าน 1,000 ล้านมาให้คณะกรรมการตรวจสอบการใช้งบประมาณรัฐ(คตร.)พิจารณากลั่นกรองก่อน มิหนำซ้ำยังออกประกาศสำทับว่าจะลงโทษส่วนราชการและผู้บริหารหน่วยงานรัฐขั้นเด็ดขาดหากพบว่ามีการตุกติกทุจริต จัดซื้อจัดจ้างเกิดขึ้นในโครงการใด ๆ

เจอเข้าไปหลายขนานขนาดนี้ การเบิกจ่ายงบประมาณการลงทุนของรัฐและรัฐวิสาหกิจถึงได้อยู่ในสภาพ “ควงสว่าน” อยู่กับที่หรือตกอยู่ในสภาพที่เรียกว่า Drifting Policy กันยังไง เพราะผู้บริหารรัฐวิสาหกิจเลือกยึดแนวคิดปลอดภัยไว้ก่อน ไม่ทำอะไรดีกว่า ซึ่งหากซูเปอร์บอร์ดยังแก้ไขปัญหาแบบ “ตาบอดคลำช้าง”อยู่อีก ก็เห็นทีว่า อนาคตเศรษฐกิจไทยปีนี้และปีหน้าเสี่ยงสูงแน่ๆ

เหมือนวิกฤติ “การบินไทย” เวลานี้ ที่กำลังระส่ำจากผลประกอบการที่ติดลบติดต่อกันมาหลายปี จากที่เคยได้ชื่อว่าเป็นรัฐวิสาหกิจชั้นแนวหน้า วันนี้ทำท่าจะปาดหน้าสาหัสยิ่งกว่ากิจการรถไฟไทยแล้ว โดยในปี 56 ขาดทุนกว่า 1.2 หมื่นล้าน และปี 57 นี้หากไม่เร่งฟื้นฟู ก็คาดว่าจะขาดทุนไม่น้อยกว่า 20,000 ล้าน

ล่าสุดบอร์ดการบินไทยที่มี พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผบ.ทอ.และรองหัวหน้าคสช.เป็นประธานได้อนุมัติแผนยกเครื่องการบินไทย ไล่ดะไปตั้งแต่ปลดรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่(ดีดี)ยกแผง เร่งจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการปรับเปลี่ยนเส้นทางบินใหม่ โดยย้ายสายการบินไทยสมายกลับไปให้บริการที่สนามบินดอนเมือง ปรับภาพลักษณ์ของการบินไทยให้เป็นสายการบินระดับซุปเปอร์พรีเมี่ยม และจ่อจะโละนางฟ้า พนักงานการบินไทยตามมาอีกกว่า 900 คน

และเพื่อจะให้การกอบกู้การบินไทยไปถึงเป้าหมาย นัยว่าประธานบอร์ดการบินไทยได้แบไต๋ออกมาแล้วจะให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) ร่วมเสียสละจัดทำแผนฟื้นฟูและช่วยเหลือบินไทย โดยเฉพาะการปรับลดค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่ทอท.คิดกับการบินไทยว่า มีส่วนไหนจะปรับลดราคาลงได้อีก รวมทั้งมีช่องทางไหนจะเอื้อให้บินไทยพลิกฟื้นขึ้นมามีกำไรได้

เล่นเอาคนใน ทอท. “อึ้งกิมกี่” จะฟื้นฟูกิจการบินไทย ไฉนมาลงเอาที่การขอให้เพื่อนบ้านต้องไปเอื้ออาทรให้ซะงั้น ทั้งที่จะว่าไป ที่ผ่านมาทอท. ก็ประเคนให้บินไทยชนิดที่ทำเอาสายการบินอื่น ๆ ค้อนขวับๆอยู่แล้ว ไหนจะประเคนสัมปทานยกขนกระเป๋าสัมภาระ Ground Handling สัมปทานบริหารพื้นที่ฟรีโซน การได้สิทธิใช้ Contact Gate และหลุมจอด เช่าพื้นที่ตั้งสำนักงาน เคาท์เตอร์และเลาจ์เซอร์วิสในราคาพิเศษ จ่ายค่าเช่าให้ทอท.เต็มเม็ดเต็มหน่วยหรือไม่คนในทอท.ก็ยังกังขากันอยู่เลย นี่ยังจะให้ปรับลดค่าธรรมเนียมอะไรต่อมิอะไรให้อีกหรือ

เกิดทอท.เอื้ออาทรให้ไปจนเข้าเนื้อ ทำเอารายได้ประกอบการและกำรี้กำไร ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย จะงานเข้าผู้บริหารทอท.หรือไม่? เพราะนัยว่าปี 2556 ทอท. ทำ Profile กำไรไว้ซะสูงลิ่ว 16,000 ล้านบาท แจกโบนัสสูงถึง 11 เดือน ทำเอาบรรดา รสก.อื่นๆ พากันอิจฉา“งานเข้า” ถ้วนหน้า เพราะถูกค่อนแคะว่าไร้ประสิทธิภาพเป็นรายวันอยู่แล้ว

ที่สำคัญหากการฟื้นฟูวิกฤตการบินไทยต้องมาลงเอยด้วยการให้ ทอท.ต้องเข้าไปอุ้มชูกันมากซะขนาดนี้ แม้จะฟื้นฟูกิจการได้ แต่มันจะมีประโยชน์อะไรหากการบินไทยยังคงทำตัวเป็น “เด็กไม่รู้จักโต” การบินไทยจะออกไปแข่งขันกับสายการบินอื่น ๆ ได้อย่างไร หาก ยังต้องแบมือขอให้แต่คนอื่นเข้ามาช่วยเหลือ จนไม่สามารถยืนอยู่บนขาตัวเองได้แบบนี้
จริงไม่จริงท่านประธานบอร์ดการบินไทยที่เคารพ!

ที่มา.บางกอกทูเดย์
//////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2557

รื้อถอนมายาคติอาเซียน : หลังปี 2558 AEC เปลี่ยนแปลงจริงหรือ !!?


ในปี 2558 หลังจากรวมเป็นประชาคมอาเซียนแล้ว คนไทยหลายคนคิดว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงทั้งด้านสินค้า การบริการ การลงทุน การเคลื่อนย้ายแรงงาน และการเคลื่อนย้ายทุน ซึ่งข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรนั้น ปริวรรต กนิษฐะเสน จะพาไปหาคำตอบ โดยนำเสนอเปรียบเทียบระหว่างสิ่งที่มายาคติ สิ่งที่ชาติอาเซียนทำข้อตกลง และข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น

เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2557 ศูนย์อาเซียนศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้จัดงานเสวนาวิชาการ “รื้อถอนมายาคติ AEC” ณ ห้อง 01-003 อาคารปฏิบัติการ ชั้น 1 คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยมี ปริวรรต กนิษฐะเสน ธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นวิทยากรรับเชิญ

“คนไทยมักจะคิดไปเองว่าหลังจากรวมเป็นประชาคมอาเซียนแล้วจะเกิดความเปลี่ยนแปลงต่างๆมากมาย ซึ่งหลายอย่างเป็นเหมือนการเอาแพะมาชนแกะ ซึ่งอันที่จริงแล้วมันมีความแตกต่างระหว่างมายาคติอันนี้กับเป้าหมายที่สิบประเทศได้ตกลงกัน ทั้งในด้านการค้า บริการและการลงทุน และที่สำคัญเป้าหมายกับความเป็นจริงก็อาจจะไม่ตรงกันด้วย” ปริวรรต กล่าว

อันที่จริงการรวมเป็นประชาคมอาเซียนเริ่มต้นมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว เพียงแต่การเริ่มในปี 2558 มันเป็นเพียงแค่จุดๆหนึ่งเท่านั้นเอง ในที่นี้ตนจะกล่าวถึงมิติทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว

อาเซียนเริ่มก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2510 ในช่วงนั้นอยู่ในช่วงสงครามเย็น บางประเทศเป็นคอมมิวนิสต์ และยังมีการสู้รบอยู่ จึงก่อให้เกิดการรวมตัวกันของ 5 ประเทศโดยมีอเมริกาเป็นแกนกลาง เพื่อผนึกกำลังทางการเมืองระหว่างประเทศสู้คอมมิวนิสต์ที่เรามักถูกสอนให้เกลียด

จนกระทั่งปี 2524 เมื่อสงครามเวียดนามสิ้นสุดลง อาเซียนเริ่มคิดว่าจะขยายแนวความร่วมมือไปเรื่องอื่น โดยเริ่มจากทำ “ข้อตกลงทางด้านการค้า” ช่วงแรกที่ทำก็ไม่ค่อยได้ผลสักสักเท่าไหร่ เพราะแต่ละประเทศยังคงปกป้องสินค้าด้านการส่งออกของตน จะเปิดให้เฉพาะสินค้าที่ไม่ได้รับความสนใจเท่าไหร่ เช่น อุปกรณ์สกี เป็นต้น ซึ่งสิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการทำงานของอาเซียนว่าไม่ค่อยจริงจังกัน

ปี 2535 เริ่มจริงจังมากขึ้น โดยเริ่มเซ็นสัญญา Asian free trade area (AFTA) ซึ่งกำหนดกฎเกณฑ์ว่าจะลดภาษี ศุลกากรเท่าไหร่ ในสินค้าอะไรบ้าง ที่นำเข้าส่งออกกันจริงๆ ไม่ใช่สินค้าแบบในปี 2524

สินค้าเป็นสิ่งที่ชัดเจนแต่เรื่องการบริการ เป็นสิ่งที่ไม่เห็นไม่ชัดและเกี่ยวข้องกับหลายเรื่องไม่ใช่เฉพาะเรื่องภาษีเพียงอย่างเดียว โดยเรื่องการบริการเราเริ่มเซ็นเมื่อปี 2538

หลังจากเรื่องบริการก็เป็นการลงทุน เช่น การสร้างโรงงาน การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เป็นต้น โดยลงนามข้อตกลงในปี 2542

ในปี 2550 เริ่มมีการพูดคุยถึงการเป็น AEC ที่ชัดเจนและมีเป้าหมายมากขึ้นจึงเกิดพิมพ์เขียวขึ้นมา โดยจากเดิมกำหนดไว้ปี 2563 แต่ร่นมาเป็นปี 2558

หลังจากนั้น ก็ได้ทำข้อตกลงเรื่องวิชาชีพ ซึ่งตอนนี้เพิ่มจากเจ็ดเป็นแปดแล้ว และทำข้อตกลงทางการค้า FTA ด้านการค้า การลงทุน และการบริการ ในนามอาเซียนกับประเทศต่างๆที่อยู่รอบอาเซียน เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย ด้วย

จากที่กล่าวมาจะเห็นว่า AEC เป็นเพียงก้าวหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าหลังวันที่ 31 ธันวาคม 2558 จะเกิดเปลี่ยนแปลงแบบทันทีทันใด เกิดการเคลื่อนย้ายคน มีสินค้าและบริการต่างๆเกิดขึ้นจำนวนมาก เพราะวิวัฒนาการต่างๆมันเกิดขึ้นมากกว่า 20 ปีแล้ว

“กลุ่มทางเศรษฐกิจของอาเซียน เป็นกลุ่มที่สมาชิกมีความแตกต่างมากที่สุดในโลก ไม่ได้แตกต่างด้านวัฒนธรรม ศาสนา ประวัติศาสตร์อย่างเดียว แต่ด้านเศรษฐกิจก็แตกต่าง ด้านประชากร บรูไนมีไม่ถึง 1 ล้านคน ในขณะที่อินโดนีเซียมี 200 กว่าล้านคน รายได้ของประเทศที่จนที่สุดกับรวยที่สุดมีความแตกต่างกัน 60 เท่า ส่วนระดับการพัฒนา ตามเกณฑ์ของธนาคารโลก ในอาเซียนมีประเทศที่พัฒนาแล้ว 1 ประเทศ คือ สิงคโปร์ ประเทศตลาดเกิดใหม่ 6 ประเทศ ที่เหลือเป็นประเทศพัฒนาน้อย จะเห็นว่าค่อนข้างมีความแตกต่างกันมาก และการตกลงกันจะใช้ระบบ “ฉันทามติ” แทนการลงคะแนนเสียง”

ดังนั้น การรวมตัวกันของอาเซียนทำแบบค่อยเป็นค่อยไป “baby steps” ยืดหยุ่น และเปิดโอกาสให้แต่ละประเทศตัดสินใจว่าจะร่วมหรือไม่ร่วมเรื่องอะไร จะพร้อมเข้าร่วมเมื่อไหร่ หรือจะร่วมในเรื่องอะไรบ้าง แตกต่างจากกการรวมตัวกันของภูมิภาคอื่นๆ

มายาคติ เป้าหมาย กับข้อเท็จจริงเรื่องสินค้า

เราจะเห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์ว่ามีกลุ่มธุรกิจจี้รัฐบาลให้ออกมาตรการปกป้องสินค้าต่างชาติที่จะทะลักเข้าไทยหลังเปิดเออีซีปี 2558 ประเด็นนี้เป็นการจับแพะชนแกะ คือ เอาการเปิดเออีซีในปี 2558 กับการเปิดสินค้าเสรีมาชนกัน และคิดไปเองว่า หลังจากปี 58 สินค้าจะทะลักเข้ามา ณ ปีนั้น

เมื่อเราพิจารณาถึงเป้าหมายในการค้าสินค้าในอาเซียน จะเห็นว่า การค้าสินค้าไม่ใช่เพียงเรื่องการลดภาษีเพียงอย่างเดียว อย่างเช่น เราส่งขายปากกาไปประเทศเพื่อนบ้าน มีต้นทุนค่าขนส่งและภาษีด่านศุลกากร ถ้าราคา 10 บาท ลาวเก็บภาษีร้อยละ 10 เราต้องขายปากกาแท่งละ 11 บาท แต่อุปสรรคไม่ได้มีแค่นั้น เช่น หากลาวมีนโยบายให้นำเข้าเฉพาะปากกาสีแดงเท่านั้น หรือปากกาต้องมีมาตรฐานทางเทคนิคพิเศษ หรือนำเข้าปากกาเพียง 1 ล้านด้ามต่อปี อันนี้ก็จะกลายเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่ง อีกอันหนึ่งในการขนสินค้าข้ามศุลกากรก็อาจจะต้องกรอกแบบฟอร์ม เจอศุลกากรที่มีความเข้มงวดต่างกัน เป็นต้น

ฉะนั้นข้อตกลงทางการค้าของอาเซียน คือพยายามจะลดอุปสรรคปัญหาเหล่านั้น สิ่งแรกที่ทำ คือ ลดภาษีศุลกากรตั้งแต่เซ็นสัญญา จนเหลือ ร้อยละ 0 ในปี 2553 คือ ตอนนี้ไทยลดภาษีให้สินค้าจากประเทศอื่นแล้ว มีเพียงบางรายการเท่านั้นที่ไทยยังคงไว้ซึ่งสินค้าพิเศษของไทย ส่วนอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษีก็พยายามทำข้อตกลงกันและเริ่มไปแล้ว

อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงก็จะพบตรงกับเป้าหมาย แค่ 2 ใน 3 ด้านภาษีศุลกากรก็พบว่าลดจนเกือบร้อยละ 0 แล้ว แต่ปัญหาก็คือว่า คนที่เป็นผู้ประกอบและนำเข้าไม่ค่อยใช้ประโยชน์จากตรงนี้เท่าไหร่ ตามงานวิจัยของทีดีอาร์ไอพบว่าใช้ประโยชน์จากตรงนี้เพียงครึ่งเดียว เพราะเห็นว่าขั้นตอนในการขอรับสิทธิค่อนข้างยุ่งยาก

“ส่วนเรื่องที่เป็นปัญหาจริงๆคือ อุปสรรคการค้าที่ไม่ใช่ภาษี เพราะประเทศต่างๆไม่ได้ถูกบังคับให้ลดจริงๆ ตอนแรกเพียงแต่ให้แต่ละประเทศเขียนว่ามีอุปสรรคอะไรบ้าง พอเขียนไปแล้วประเทศต่างๆก็ไม่ได้ทำตาม เพราะมันยาก การลดภาษีนั้นทำได้ง่ายเนื่องจากอยู่ที่กระทรวงการคลัง แต่ด้านอุปสรรคทางการค้า บางอย่างก็เกี่ยวพันกับกระทรวงเกษตร หรือกระทรวงอุตสาหกรรม หรือกระทรวงพาณิชย์ ฯลฯ นอกจากนี้ในบางประเทศพอรู้ว่าต้องลดภาษีก็ใช้มาตรการด้านนี้ในการกีดกันสินค้าด้วย และอย่างที่กล่าวมา การรวมเป็นอาเซียนให้ความยืดหยุ่นมาก ใครอยากทำอะไรก็ทำได้ไม่มีศาลมาลงโทษถ้าไม่ทำตามสิ่งที่เขียนไว้ในพิมพ์เขียว”

การเปิดเสรีด้านการบริการ

ในระดับการค้าโลก เราแบ่งการบริการข้ามชาติเป็นสี่รูปแบบ อันแรกการให้บริการข้ามพรหมแดน เช่น ธุรกิจ call center คนอเมริกาอยู่นอกประเทศจะโทรศัพท์ไปอเมริกา แต่โทรผ่านบริษัทอินเดีย ผลประโยชน์ก็ตกอยู่กับบริษัทอินเดีย โดยผู้ใช้บริการอยู่นอกประเทศ

สอง การบริโภคในต่างประเทศ เช่น การไปเที่ยวใช้จ่ายในต่างประเทศ

สาม การจัดตั้งบริการในต่างประเทศ เช่น คนจีนมาตั้งโรงพยาบาลในเมืองไทย

สี่ การประกอบอาชีพในต่างประเทศ เช่นหมอจีนมาทำงานในเมืองไทย หรือ สถาปนิกไทยไปทำงานที่ลาว

ในพิมพ์เขียวของอาเซียนระบุว่า ข้อหนึ่งกับข้อสองไม่มีมาตรการกีดกัน ส่วนแบบที่สาม กำหนดไว้ว่า ในปี 2010 คนอาเซียนสามารถเป็นหุ้นส่วนในประเทศอาเซียนด้วยกันในด้าน IT สุขภาพ ท่องเที่ยว การบิน โลจิสติกโดยถือหุ้นได้ไม่เกินร้อย 70

แต่ในความเป็นจริง ถ้าย้อนไปดูกรอบข้อตกลงในปี 2010 จะพบว่า ไทยให้ด้านต่างๆ เพียง 49 49 49 และเรายังเป็นประเทศที่คุ้มครองภายในอยู่ และไม่ใช่เราเพียงประเทศเดียว ประเทศอื่นอย่างอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ก็เช่นกัน แต่ประเทศอื่นอย่างกัมพูชาก็เปิดเต็มที่เลย (ดูในตาราง) และถึงแม้ว่าจะเปิดแล้วก็มีผู้ประกอบการในอาเซียนมาลงทุนน้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นฝรั่งกับญี่ปุ่น



ลงทุนในอาเซียนอย่างเสรีจริงหรือ?

การลงทุนก็คือ การมาตั้งในสิ่งที่ไม่ใช่การบริการ เช่น ตั้งกิจการ บริษัท โรงงานอุตสาหกรรม ผลิตของ ซื้อที่ดิน ซื้อหุ้นในกิจการต่างๆที่ไม่ใช่การบริการ

“หลายคนเกิดคำถามว่า AEC ที่เกิดขึ้นจะทำให้เกิดเสรีทางการลงทุนจริงหรือไม่ เมื่อเราดูจากข้อตกลงระบุว่า นักลงทุนชาวอาเซียนสามารถไปลงทุนในประเทศต่างๆได้ แต่จริงๆแล้วประเทศต่างๆไม่ยอมที่จะให้มีเสรีด้านการลงทุน โดยมักจะใช้วิธีระบุแนบท้ายสัญญาว่าสิ่งใดทำได้สิ่งใดทำไม่ได้ อย่างประเทศไทยก็ระบุไว้เป็นจำนวนมาก และค่อนข้างกว้างมาก เช่น ห้ามถือครองที่ดิน ทำนา เลี้ยงสัตว์ ป่าไม้ ประมง ผลิตของที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม(บาตรพระ) เป็นต้น”

ด้านการคุ้มครองการลงทุน ข้อตกลงอาเซียน ค่อนข้างจะระบุชัดถึงการให้ความคุ้มครองนักลงทุน เช่น จะไม่ไปยึดทรัพย์ หรือเมื่อยึดต้องจ่ายค่าชดเชย เป็นต้น ซึ่งหากเกิดข้อพิพาทนักลงทุนสามารถฟ้องศาลได้

แต่ในความเป็นจริงโดยสรุป หนึ่งเราไม่ได้เปิดมากและเปิดจริง สอง พอเปิดแล้วก็ไม่ค่อยมีนักลงทุนจากอาเซียนมาลงทุนสักเท่าไหร่ เพราะคนที่มาลงทุนในบ้านเราส่วนใหญ่เป็นญี่ปุ่น อเมริกา ยุโรป มากกว่าอาเซียน

แรงงานเคลื่อนไหวอย่างเสรี ?

เรามักจะมีคำพูดติดหูว่าหลังจากรวมเป็นประชาอาคมปี 2558 อาชีพ 8 อาชีพจะเคลื่อนย้ายได้อย่างเสรี เมื่อดูจากไทยพีบีเอส เขาก็บอกว่า หมอไทยจะค่อยๆจากไปหลังจากปี 2558 และคนที่จะมารักษาคนไทยคือหมอพม่า ด้านบางกอกโพสต์ก็นำเสนอว่า จะมีการเคลื่อนย้ายแรงงานอย่างเสรีมากขึ้น”

“หากเราดูเป้าหมายจะพบว่าไม่ใช่ว่าแรงงานจะเคลื่อนย้ายอย่างเสรี แต่เป็นการเคลื่อนย้ายของ Skill labor ซึ่งทำผ่านสัญญา AFAS หมวดสี่ เรื่องแรงงาน ซึ่งเปิดเพียงแค่สองกรณีเท่านั้น คือ หนึ่งสามารถโอนย้ายภายในบริษัทข้ามชาติเครือเดียวกัน เช่นพนักงานบริษัท ปิโตรนาสในไทยสามารถย้ายไปทำงานบริษัทปิโตนาสสิงคโปร์ได้ภายใน 90 วัน สอง ผู้มาติดต่อทางธุรกิจภายในหนึ่งปี สามารถต่ออายุได้”

และในความเป็นจริงประเทศไทย ทำข้อตกลงยอมรับคุณสมบัติทางวิชาชีพใน 8 สาขาวิชาชีพ หากพิจารณาตรงนี้จะพบว่ามันไม่ใช่การปิดเสรีเลย อย่างเช่น เรื่องการแพทย์ ในสัญญาระบุว่า ต้องได้รับใบอนุญาตหรือผ่านมาตรฐานจากประเทศต้นทาง และถ้าจะย้ายมาประเทศปลายทางก็ต้องผ่านหลักเกณฑ์บางอย่างของประเทศนั้นก่อน เช่น หมอสิงคโปร์จะมาไทย ไทยยอมรับในมาตรฐานของหมอจากสิงคโปร์ แต่ถ้ามาไทยก็ต้องผ่านหลักเกณฑ์ของไทยบางอย่าง อาทิ พูดไทยได้ เป็นต้น หรืออาชีพสถาปนิกก็จะมีบอร์ดมาพิจารณาว่าเป็นสถาปนิกจริงหรือเปล่า ซึ่งจะเห็นว่ามีอะไรกีดกันอีกมาก ไม่ใช่ว่าจะเปิดเสรีเลย

สิ่งที่พิมพ์เขียวของเซียนไม่พูดถึง คือแรงงานไร้ฝีมือ หรือแรงงานกึ่งไร้ฝีมือ ซึ่งแรงงานนี้หากเปิดเสรี คิดว่าจะเกิดการเคลื่อนย้ายมากที่สุด จากสถิติมีแรงงาน อาเซียน 1.43 ล้านคนที่ทำงานอยู่ในประเทศไทย คือร้อยละ 93 ของแรงงานต่างชาติที่ทำงานอยู่ในประเทศไทย เท่ากับร้อยละ 3.6 ของแรงงานในไทย แต่แรงงานใน 7 วิชาชีพที่อนุญาตให้เคลื่อนย้ายได้ในไทยมีอยู่ 390 คนซึ่งถือว่าน้อยมาก ฉะนั้นสัยญาที่แต่ละประเทศเซ็นไปก็ไม่ค่อยมีความหมายเท่าไหร่ในทางความเป็นจริง



เงินทุนเคลื่อนย้ายอย่างเสรี?

อาจารย์คนหนึ่งจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง กล่าวว่า การรวมเป็น AEC จะอำนวยความสะดวกจะทำให้เงินไหลเข้าออกได้อย่างสะดวกเสรี

สิ่งที่ถูกคือ มีการเปิดให้เงินทุนเคลื่อนย้ายเข้าหรือออกเพื่ออำนวยความสะดวก แต่ที่ผิดคือ มันไม่ใช่เสรี และไม่ได้เกิดขึ้นในปี 2558

ถ้าเราดูพิมพ์เขียวของอาเซียนจะพบว่ามีเป้าหมายอยู่สองเรื่อง คือ การพัฒนาและการรวมตัวของตลาดทุน ตอนนี้เรามีตลาดหลักทรัพย์แปดแห่งในอาเซียน (มีที่เวียดนามสองแห่ง ฮานอย กับโฮจิมิน) และนักลงทุนไทยสามารถไปซื้อหุ้นสิงคโปร์หรือที่อื่นๆได้ ซึ่งตอนนี้ก็ทำได้แล้ว

แต่สิ่งที่สำคัญ คือเรื่องเงินทุนเคลื่อนย้าย ซึ่งเราแบ่งเงินทุนเคลื่อนย้ายเป็น 5 ลำดับ อันแรก การค้าสินค้าและบริการ เช่น การซื้อของจากต่างประเทศโดยที่เราต้องโอนเงินเข้าไป สอง การลงทุนโดยตรง เช่น นำเงินไปซื้อหรือลงทุนโรงงานในกัมพูชา สาม ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เช่น การเป็นหุ้นในบริษัทต่าง ซึ่งในแต่ละประเทศก็จะมีข้อยกเว้นต่างกันไปดังที่ได้กล่าวมา สี่ การออกไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ห้า การเคลื่อนย้ายอื่นๆ อาทิ คนไทยกู้เงินต่างชาติมาลงทุนเองได้

ฉะนั้น ความหมายในการเปิดเสรีของเงินทุนคือเปิดหมดทั้ง 5 ระดับ แต่ตอนนี้มีแค่สิงคโปร์เท่านั้นที่ทำ โดยมีข้อยกเว้นเพียงเล็กน้อยบางประการ ไทย มาเลเชีย ฟิลิปปินส์ ถึงระดับสี่เพราะจำกัดการออกไปลงทุนต่างประเทศ เนื่องจากกลัวเงินไหลออก

วิธีเปิดเสรีเงินทุนของไทย คือ วิธีแรก หากจะลงทุนต่างประเทศสามารถลงทุนได้ผ่านกองทุนต่างๆ โดยกำหนดเพดานไว้ว่าไม่เกินเท่าไหร่ ถ้าพยายามเปิดมากขึ้น ก็ขยับเพดานขึ้นไปเรื่อยๆ วิธีที่สองเพิ่มรูปแบบกองทุนรวม เช่น กองทุนรวมธนาคาร LTF กบข ฯลฯ พวกนี้จะสามารถไปลงทุนต่างประเทศได้ แต่ตัวเราเองไม่สามารถไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศได้ต้องผ่านกองทุนเท่านั้น

ส่วนข้อเท็จจริงด้านเงินทุนที่เกิดขึ้นนักลงทุนในไทยก็ยังไม่ค่อยกล้าออกไปลงทุนในอาเซียนเท่าไหร่ เราไปลงทุนประเทศอื่นมากกว่าในอาเซียน อาจจะด้วยกังวลถึงปัจจัยที่ไม่แน่นอน

จะได้ใช้เงินสกุลอาเซียน ?

หลายคนเกิดคำถามว่าอาเซียนจะมีการใช้เงินสกุลเดียวกันหรือไม่ ถ้าเทียบกับสหภาพยุโรปนั้นจะเห็นได้ชัดเลยว่า อาเซียนเดินคนละเส้นทาง

ยุโรปไม่ได้เริ่มจากเอฟทีเอ แต่เขาไปไกลกว่านั้น คือ รวมกันเป็น “สหภาพศุลกากร” ที่ไม่ได้ลดแค่ภาษีระหว่างประเทศภายในสหภาพยุโรปเอง แต่สินค้าที่ส่งไปยังประเทศในยุโรปนั้นจะต้องจ่ายภาษีเท่ากันหมด แต่อาเซียนทำแบบนั้นไม่ได้เพราะสิงคโปร์เป็นศูนย์กลางทางการค้า และเก็บภาษีร้อยละศูนย์อยู่แล้ว ซึ่งถ้าจะทำเป็นสหภาพศุลกากร เราต้องเก็บภาษีสินค้านอกอาเซียนร้อยละ 0 เท่าสิงคโปร์ หรือสิงคโปร์ต้องขึ้นภาษีเท่ากับประเทศอื่นๆในอาเซียน ซึ่งไม่มีใครยอมทำตามนี้”

หลังจากเป็นสหภาพศุลกากรแล้ว ในช่วงก่อนปี 1992 จึงเริ่มคิดทำ “ตลาดร่วม” คือดูปัจจัยการผลิต ได้แก่ทุน แรงงาน ให้มีการเคลื่อนย้ายอย่างเสรีจริงๆ

พอมีตลาดร่วมแล้วเขาก็เริ่มทำนโยบายต่างๆให้สอดคล้องกันจนเกิดเป็นสหภาพทางเศรษฐกิจขึ้น เช่น กำหนดนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน จัดตั้งสถาบันต่างๆเช่น สภา ศาล ที่ดูแลกลไกการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ ถ้าประเทศใดทำผิด ก็มีมาตรการลงโทษ ซึ่งอาเซียนไม่มีเลย

“จนในปี 1999 ก็เกิด สหภาพทางการเงิน (Monetary Union) จึงมีสกุลเงินยูโรขึ้นมา มีธนาคารกลาง ฯลฯ ซึ่งในช่วงแรกประมาณปีค.ศ. 2000 กว่า ดำเนินไปได้ด้วยดี แต่ก็เกิดปัญหาบางประการ เพราะบางประเทศก็ขยัน แต่บางประเทศใช้จ่ายแบบสุรุ่ยสุร่าย เช่น กรีซใช้เงินจัดโอลิมปิก ส่วนหนึ่งที่เป็นปัญหาเพราะมีแต่การรวมกันด้านการเงิน แต่ไม่มีด้านการคลัง จึงมีแนวคิดที่จัดการด้านการคลังขึ้น เช่น จำกัดเพดานการก่อหนี้ที่ชัดเจน ประเทศที่ร่ำรวยสามารถโอนเงินให้ประเทศที่ยากจนได้ เป็นต้น”

หากย้อนกลับมาดูอาเซียนจะพบว่า การรวมเป็น AEC นั้น ยังไม่กลายเป็นตลาดร่วมเหมือนที่ EU เป็น และยังอยู่ไกลกับเป้าหมายที่จะก้าวไปถึงสหภาพการเงิน ซึ่งถึงแม้ว่าเราสามารถก้าวกระโดดไปได้ แต่สุดท้ายแล้วมันก็จะพังเพราะอาเซียนมีความแตกต่างกันมาก วงจรทางเศรษฐกิจไม่สอดคล้องกัน

สรุป

กล่าวโดยสรุป หนึ่ง AEC เป็นเพียงเป้าหมายหนึ่งของกระบวนการรวมกลุ่มอาเซียน ที่ได้เริ่มมากว่า 20 ปีแล้ว โดยจะไม่เกิด big bang ในปี 2558

สอง การเปิดเสรีการค้าสินค้าคืบหน้าไปมากแล้วในด้านการลดภาษีศุลกากร แต่ยังมีมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีที่ยังเป็นอุปสรรคทางการค้าอยู่

สาม ด้านการค้าภาคบริการและการลงทุนส่วนใหญ่ยังไม่คืบหน้าเท่าที่ควร เนื่องจากประเทศสมาชิกยังยึดกฎหมายภายในประเทศ

สี่ ด้านแรงงานไม่ได้เปิดเสรีอย่างจริงจัง โดยทำเพียงข้อตกลงยอมรับคุณสมบัติวิชาชีพ ซึ่งเกือบจะไม่มีผลกระทบเลยกับการเคลื่อนย้ายแรงงานภายในประเทศ และไม่เกี่ยวข้องกับแรงงานไร้ทักษะ หรือกึ่งทักษะ ที่เป็นแรงงานส่วนใหญ่ที่เคลื่อนย้ายในอาเซียน ซึ่งตรงนี้ต้องคุยกันอีกมากกว่าจะทำให้แรงงานเคลื่อนย้ายอย่างเสรี

ห้า ด้านเงินทุนเคลื่อนย้ายเปิดเสรีตามความพร้อมของแต่ละประเทศ และให้เปิดมากขึ้นมากว่าปัจจุบัน

และสุดท้าย อาเซียนและยุโรปเดินคนละทางในการรวมกลุ่ม ปัจจุบันอาเซียนไม่มีเป้าหมาย และไม่พร้อมที่จะมีเงินสกุลเดียวกัน.

ที่มา.สำนักข่าวประชาธรรม
///////////////////////////////////////////////////////

ประกาศก.สาธารณสุข 4 ฉบับรวด คุมไวรัสอีโบลาในไทย !!?


prttytytytyyty
ก.สาธารณสุขออกประกาศ 4 ฉบับรวด คุมเชื้อ“อีโบลา” ระบุ 4 ปท.-เมืองเป็นเขตติดโรค ผู้ป่วยมีลักษณะอาการไข้ อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ ศรีษะ ท้องเสีย กำหนดเป็นโรคต้องแจ้งความ

นายแพทย์ ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ปฏิบัติราชการแทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณ ได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข ให้ประเทศหรือเมือง เป็นเขตติดโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา (Ebola virus disease - EVD) ได้แก่

(๑) สาธารณรัฐกินีบิสเซา (Republic of Guinea - Bissau)
(๒) สาธารณรัฐเซียร์ราลีโอน (Republic of Sierra Leone)
(๓) สาธารณรัฐไลบีเรีย (Republic of Liberia)
(๔) เมืองลากอส (Lagos) สหพันธ์สาธารณรัฐไนจีเรีย

ระบุว่า

ด้วยปรากฏว่ามีโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา (Ebola virus disease - EVD) ซึ่งเป็นโรคติดต่ออันตราย เกิดระบาดขึ้นในประเทศแถบแอฟริกา ซึ่งโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา (Ebola virus disease - EVD) ถือเป็นโรคติดต่อที่มีความรุนแรงสูง ยังไม่มียารักษาจําเพาะ อีกทั้ง ในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคดังกล่าว ดังนั้น เพื่อให้การป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา (Ebola virus disease - EVD) ในประเทศไทย เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงเห็นสมควรกําหนดให้ประเทศหรือเมืองที่โรคนี้เกิดการระบาดเป็นเขตติดโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา (Ebola virus disease - EVD)

อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๑๔ และมาตรา ๒๒ แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. ๒๕๒๓

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขจึงออกประกาศไว้ ดังนี้

ข้อ ๑ ให้ประเทศหรือเมืองดังต่อไปนี้ เป็นเขตติดโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา (Ebola virus
disease - EVD)

(๑) สาธารณรัฐกินีบิสเซา (Republic of Guinea - Bissau)
(๒) สาธารณรัฐเซียร์ราลีโอน (Republic of Sierra Leone)
(๓) สาธารณรัฐไลบีเรีย (Republic of Liberia)
(๔) เมืองลากอส (Lagos) สหพันธ์สาธารณรัฐไนจีเรีย (Federal Republic of Nigeria)

ข้อ ๒ ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

ประกาศ ณ วันที่ ๑๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ปฏิบัติราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณ

ทั้งนี้มีการเผยแพร่ในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 15 ส.ค.57

นอกจากนี้กระทรวงสาธารณสุขยังออกประกาศเพิ่มเติมอีก 3 ฉบับ โดยเรียกโรคติดต่ออันตราย นี้ว่า โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา (Ebola virus disease - EVD) เป็นโรคติดต่อที่ต้องแจ้งความเพิ่มเติม 20 โรค และผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้มีลักษณะอาการไข้ อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อปวดศรีษะ และเจ็บคอ ตามด้วยอาการอาเจียน ท้องเสีย และมีผื่นขึ้น ในรายที่มีอาการรุนแรงจะพบว่ามีตับวายหรือไตวาย ในบางรายจะมีเลือดออกทั้งในอวัยวะภายในและภายนอก จนกระทั่งเสียชีวิตในที่สุด ส่วนใหญ่มักมีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยหรือสัตว์ป่วยหรือตายด้วยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา (Ebola virus disease - EVD)

 ที่มา.สำนักข่าวอิศรา
/////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2557

พระอาทิตย์สองดวง !!?

โดย. วีรพงษ์ รามางกูร

เมื่อสัปดาห์ต้นเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นเดือนที่ผู้ยิ่งใหญ่ทางการเมืองการทหารเกิดมากที่สุด ดังนั้น การจัดงานวันเกิดของผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเราจึงกระจุกตัวอยู่ในเดือนสิงหาคมเป็นส่วนใหญ่

ในเวลาเดียวกันก็มีการนำเอาคำพูดของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นักปราชญ์คนสำคัญคนหนึ่งของประเทศไทยผู้ล่วงลับไปแล้วได้เขียนลงหนังสือพิมพ์สยามรัฐเมื่อปี 2494 ซึ่งเป็นสมัยที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี หลังจากการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 เมื่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งไม่ให้หนังสือพิมพ์ลงข่าวการเมืองและมีการตรวจข่าวก่อนจึงจะสามารถตีพิมพ์ได้



ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กล่าวไว้ว่า บัดนี้ ประเทศไทยมีพระอาทิตย์ 2 ดวง ดวงหนึ่งขึ้นจากทะเล และก็ตกที่ภูเขา อีกดวงหนึ่งขึ้นจากภูเขาแล้วตกในทะเล สุดแท้แต่ว่าเรายืนดูพระอาทิตย์ที่หัวหินหรือที่ศรีราชา

แม้ว่าจะเป็นข้อเขียนที่เขียนประชดประชัน จอมพล ป.พิบูลสงคราม แล้วก็เขียนมานานแล้ว ข้อความดังกล่าวก็ยังเป็นที่กล่าวขวัญถึง แม้ว่าผู้อ่านหลายคนรวมทั้งตัวเราเองด้วยไม่แน่ใจว่าท่านหมายถึงอะไร

ตามธรรมดาของปัญหาสังคม ปัญหาทางการเมือง รวมทั้งตัวผู้นำเองย่อมมี 2 ด้านเสมอ เหมือนกับพระอาทิตย์ก็ยังมีผู้คนถกเถียงกันว่าขึ้นจากทะเลตกลงที่ภูเขา หรือขึ้นจากภูเขาแล้วตกลงในทะเล ไม่มีใครตอบได้ สุดแท้แต่ว่าผู้ตอบยืนอยู่ที่ไหน อยู่ที่หัวหิน หรืออยู่ที่ศรีราชา ป่วยการที่จะหาคำตอบ

คำตอบของปัญหาเดียวกันเรื่องเดียวกันก็จะเปลี่ยนไป อาจจะแบบตรงกันข้ามก็ได้ แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนไป เช่น เมื่อ 3 เดือนก่อนหรือ 6 เดือนก่อน ผู้ที่อยู่ชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกต่างก็เห็นว่าพระอาทิตย์ควรจะขึ้นจากภูเขา และตกลงในทะเล

หรือระบอบการปกครองระบอบประชาธิปไตยโดยรัฐบาลมาจากการเลือกตั้งดีกว่ารัฐบาลที่มาจากการแต่งตั้ง และก็ชนะไป เพราะผู้คนทางฝั่งศรีราชาหรือฝั่งชายทะเลด้านตะวันออกมีมากกว่าฝั่งตะวันตก แต่บัดนี้ ความเห็นกลับเป็นตรงกันข้าม เห็นว่าพระอาทิตย์ควรจะขึ้นจากทะเลและตกทางด้านภูเขา ไม่มีอะไรคงที่แน่นอน สุดแท้แต่ผู้ที่ให้ความเห็นยืนอยู่ที่ไหน ที่ศรีราชาหรือที่หัวหิน หรือสุดแท้แต่ลมจะพัดขึ้นบก หรือพัดลงทะเล

ในสังคมที่ยังเป็นสังคมที่การพัฒนาทางการเมืองยังก้าวไม่ทันการพัฒนาการทางเศรษฐกิจ ในระบบเศรษฐกิจเปิดที่ถูกลากจูงให้เติบโตขึ้นตามการพัฒนาของโลก แต่สำหรับระบบการเมืองและสังคมนั้นยังไม่แน่ว่าเป็นระบบที่เปิดหรือปิด แต่น่าจะอนุมานได้ว่าจะต้องเป็นระบบที่เปิดมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะอิทธิพลของการสื่อสาร รวมทั้งเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ

ในสังคมที่ผู้คนยังไม่เข้าใจ ยังมีคนจำนวนมากคิดว่าพระอาทิตย์ขึ้นจากภูเขาแล้วตกลงในทะเล และก็ยิ่งมีผู้คนอีกจำนวนมากเข้าใจว่าพระอาทิตย์ขึ้นจากทะเล แล้วก็ตกลงที่ภูเขา แล้วก็ถกเถียงไม่ยอมลดราวาศอก จนกระทั่งฝ่ายที่มีอาวุธชักอาวุธขึ้นมา การโต้เถียงจึงยุติลง

ธรรมชาติของขุนเขาที่ทอดเป็นทิวย่อมจะดูสูงใหญ่ หนักแน่นมั่นคง มีต้นไม้ขึ้นปกคลุมเขียวขจี เจ้าสัวหรือจ่อซัว ผู้มีฐานะมั่นคงมั่งคั่ง จึงเปรียบเสมือนผู้นั่งพิงขุนเขา เป็นที่เคารพเกรงขาม เพราะเหตุภูเขาย่อมมั่นคงตั้งอยู่กับที่ ไม่โอนเอียงเมื่อมีพายุลมฝน มองไปที่ภูเขาไม่ว่าจะไปยืนอยู่ด้านไหน ก็ยังเห็นภูเขาเป็นภูเขาตั้งตระหง่านอยู่อย่างนั้น

ส่วนทะเลนั้นตรงกันข้าม บางเวลาสงบนิ่งจะมีคลื่นและกระแสน้ำไหลไปมา แล้วแต่กระแสของลม เอาแน่ไม่ได้ เวลาทะเลต้องลม พายุ มรสุมทะเลที่เคยสงบเงียบก็จะกลายเป็นทะเลที่มีคลื่นสูงใหญ่น่ากลัว สามารถกลืนกินเรือเล็กเรือน้อยไปในกระแสคลื่นได้อย่างง่ายดาย เมื่อพายุจะมาก็มักจะพาเอาเมฆฝนทั้งหนักและเบาจนเกิดภาวะน้ำท่วมบนบกได้

ขุนเขาและทะเลจึงมีลักษณะที่ตรงกันข้ามอยู่โดยธรรมชาติด้วยเหตุนี้ หากมองเห็นพระอาทิตย์ขึ้นจากทางขุนเขา ความรู้สึกนึกคิดของผู้คนก็เป็นอย่างหนึ่ง หากมองเห็นพระอาทิตย์ขึ้นจากทะเล ความรู้สึกนึกคิดของผู้คนก็จะเป็นอีกอย่างหนึ่ง พระอาทิตย์ค่อยๆ โผล่จากเหลี่ยมเขาจะเห็นเป็นลูกเล็ก แสงจ้าขึ้นอย่างรวดเร็ว พระอาทิตย์ที่ค่อยๆ โผล่ขึ้นจากทะเล จะเห็นเป็นลูกกลมโต สีแดงสด ไม่ร้อนจ้า ไม่เหมือนกับกรณีโผล่ขึ้นจากขุนเขา

ความที่ระดับความรู้หรือระดับความคิดยังไม่พัฒนาถึงระดับหนึ่ง หรือยังไม่ซาบซึ้งกับทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ ผู้คนก็อาจจะคิดว่าเรามีพระอาทิตย์ 2 ดวง

การปกครองยุคใหม่ของเราตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 การเมืองการปกครองก็พัฒนาตัวเองจนกลายเป็นประเพณี ว่าเป็นการปกครองโดยกองทัพ มีนายกรัฐมนตรีเป็นทหารเสียเป็นส่วนใหญ่ กองทัพกลายเป็นสถาบันที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในระบอบการปกครองของไทย รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง สภาผู้แทนราษฎร เป็นแต่เพียงการสลับฉากชั่วคราว รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวหลายครั้งมีอายุยืนยาวกว่ารัฐธรรมนูญฉบับถาวร

อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป ความคิดคนก็เปลี่ยนไป แม้ว่าความรู้สึกนึกคิดของคนในเมืองของคนชั้นสูงและคนชั้นกลางจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก เพราะระบบการปกครองไม่มีผลกระทบกับตัวเขามากนักหรือไม่กระทบเลย ความรู้สึกนึกคิดยังไม่พัฒนาไปถึงระดับนามธรรม ยังติดอยู่แค่ในระดับรูปธรรมเท่านั้น ในขณะที่พื้นที่ต่างจังหวัดซึ่งบัดนี้ได้รับการพัฒนาในด้านวัตถุ เช่น ระบบคมนาคมขนส่ง ระบบสารสนเทศ ระบบอินเตอร์เน็ต คอมพิวเตอร์ ระบบโทรทัศน์ วิทยุ การเคลื่อนย้ายไปมาจากพื้นที่นอกเขตเทศบาลกับพื้นที่ในเขตเทศบาลสะดวกสบายและมีราคาถูก ยิ่งต่อไปจะมีระบบรางคู่และรางมาตรฐาน ค่าใช้จ่ายในการเดินทางก็ยิ่งจะถูกลง ความแตกต่างของผู้คนในภูมิภาคก็มีน้อยลง

การศึกษาก็เป็นปัจจัยอีกอันหนึ่งที่ทำให้ผู้คนมีความรู้สึกนึกคิด การใช้ตรรกะ ทำความกระตือรือร้น ความต้องการเสพข่าว ความต้องการแสวงหาความจริง รวมทั้งความต้องการรู้ต้องการฟังความเห็นต่างกันต่างมุมจะมีมากขึ้น การไหลไปตามกระแสของการปลุกกระแสด้วยการสร้างอารมณ์ด้วยข้อมูลที่ไม่จริง ไม่น่าจะดำรงอยู่ได้นาน

อย่างไรก็ตาม เดือนสิงหาคมเป็นเดือนที่มีภาพข่าวการอวยพรวันเกิดของผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่มาจากกองทัพ ก็จะเป็นเครื่องชี้ได้อยู่เสมอว่าขณะนี้พระอาทิตย์อยู่ที่ไหน มีอยู่ดวงเดียว หรือบัดนี้มีอยู่ 2 ดวง หรือมีอยู่หลายดวง เท่าที่เห็นบัดนี้เริ่มมี 2 ดวงเสียแล้ว แม้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ก็น่าติดตามว่าจะไปอย่างไรต่อไป

เขียนให้สับสนสักวัน

ที่มา.มติชน
///////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2557

การลงทุนภาครัฐ ฯ


โดย.วีรพงษ์ รามางกูร

การลงทุนโดยภาครัฐบาลเป็นตัวแปรที่สำคัญในการรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจทั้งระยะสั้นและระยะปานกลางความต่อเนื่องจากทั้งสองระยะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ระบบเศรษฐกิจระยะยาวก้าวไปข้างหน้าต่อไปขณะเดียวกันก็เป็นการเปลี่ยนเงินออมของประชาชนให้เป็นทุนของสังคม เป็นฟันเฟืองที่สำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี ไม่เพียงแต่ในระบบการคมนาคมและการขนส่ง แต่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสาขาเศรษฐกิจอื่น ๆ เช่น การโทรคมนาคม การสื่อสาร การผลิต รวมทั้งสาขาบริการด้านอื่น

ในทุกขั้นตอนของการพัฒนา ในระยะเริ่มต้น ขณะที่การสะสมทุนของภาคเอกชนกำลังก่อตัวขึ้น ความแน่ใจหรือความมั่นใจของผู้ร่วมทุนต่างชาติ รวมทั้งความมั่นใจของตลาดทุนยังไม่แน่นอนครบถ้วน การเริ่มด้วยการลงทุนโดยภาครัฐบาลจึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญ เมื่อรัฐบาลเป็นผู้เริ่มลงทุนแล้ว ภาคเอกชนก็จะเป็นผู้ลงทุนตามมา จนทำให้ระบบเศรษฐกิจเจริญขึ้นสู่ระดับพัฒนาขั้นต่อไป

ในขณะที่ประเทศที่ระบบการเมืองยังไม่พัฒนาอย่างประเทศไทยความหวาดระแวงของคนเมืองหลวงต่อพรรคการเมืองที่ตนไม่ได้เลือกการสร้างกระแสต่อต้านการลงทุนของภาครัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนในโครงการใหญ่จะสามารถทำได้อย่างไร แม้ว่าข้อมูลที่ถูกปล่อยให้กับสาธารณชนเป็นข้อมูลที่ไม่จริง เป็นข้อมูลที่ไม่ได้วิเคราะห์ แม้ว่าพรรคการเมืองฝ่ายค้านมีหน้าที่ตรวจสอบวิพากษ์วิจารณ์ ฝ่ายรัฐบาลมีหน้าที่อธิบาย มีหน้าที่ชี้แจง ฝ่ายองค์กรอิสระมีหน้าที่ตรวจสอบว่ามีการกระทำผิดการกระทำมิชอบหรือไม่ เมื่อรัฐบาลได้ทำก็ดูเหมือนทุกฝ่ายจะเชื่อว่า ถ้ามีการลงทุนลงไป ก็จะมีการทุจริตปฏิบัติไม่ชอบเกิดขึ้นแน่

การตราพระราชกำหนดก็ดี การตราพระราชบัญญัติให้อำนาจกู้ยืมเงินจากประชาชนคนไทยเพื่อนำมาลงทุน ก็ถูกโจมตีว่าสร้างหนี้ให้กับลูกหลาน ทั้ง ๆ ที่เป็นการกู้เงินบาท กู้จากประชาชนภายในประเทศ ไม่ใช่การกู้จากต่างประเทศ รัฐบาลเป็นผู้ออกพันธบัตรเป็นลูกหนี้ ประชาชนคนไทยเป็นเจ้าหนี้ แต่ไม่มีใครนำมาพูดกัน ทุนสำรองก็มั่นคง เมื่อกู้เงินบาทมาแล้ว หากจะต้องชำระเงินเพื่อการนำเข้าเครื่องจักร อุปกรณ์ต่าง ๆ ก็เอาเงินบาทซื้อเงินตราต่างประเทศจากตลาดภายในประเทศ ตลาดและธนาคารกลางก็จะปรับไปตามระบบเอง ไม่มีอันตรายอะไร แต่ในระบอบการปกครองในรูปแบบที่ผ่านมา รวมทั้งโครงสร้างของผู้ออกเสียงเป็นอย่างที่เป็น กล่าวคือคนกรุงเทพฯ ยังมีเสียงดัง มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นกระบอกเสียง โครงการพัฒนาขนาดใหญ่คงจะไม่เกิด ที่จะเกิดได้ก็มีโครงการรถไฟฟ้าหรือรถใต้ดินในกรุงเทพฯและชานเมืองเท่านั้น เพราะคนกรุงเทพฯได้ประโยชน์

คุณูปการที่คณะรัฐประหารจะทำได้และน่าทำ ก็คือผลักดันโครงการพัฒนาประเทศขนาดใหญ่ เช่น โครงการบริหารจัดการน้ำ โครงการรางรถไฟความกว้างมาตรฐาน 1.435 เมตร เชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น จีน อินเดีย เวียดนาม และมาเลเซีย ส่วนระบบราง 1 เมตร น่าจะเลิก รื้อทิ้งไปเสียดีกว่า เพราะเป็นระบบเก่า ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาซ่อมแซม ก็น่าจะไม่ต่างกันมาก ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะเก็บรักษาเอาไว้ทำไมกัน เคยไปเห็นระบบขนคนโดยระบบรางของอังกฤษ ของยุโรป รวมทั้งของญี่ปุ่น ที่เขาทำเป็นเครือข่ายเชื่อมโยงกันหมด แล้วเขาก็เลิกใช้หัวรถจักรดีเซลที่ใช้น้ำมัน เปลี่ยนไปใช้ระบบไฟฟ้าทั้งหมด เป็นการประหยัดพลังงานไปในตัวด้วย

ถ้าสามารถผลักดันโครงการต่าง ๆ ที่เป็นโครงการจัดการบริหารน้ำและโครงการพัฒนาในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานในการคมนาคมขนส่ง ทั้งท่าเรือน้ำลึก สนามบิน ระบบโทรคมนาคม 3 จี 4 จี ระบบขนส่งทางราง รวมทั้งรถไฟความเร็วสูง เพราะถ้าพ้นจากนี้ไป เมื่อมีรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง ก็คงไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้อีก เพราะการคัดค้านของฝ่ายค้านที่ค้านทุกเรื่องไป แต่คงไม่กล้าค้านการปกครองระบบทหาร หรือ "Military Junta" ดูแล้วเหมือน ๆ จะชอบเสียด้วย เพราะถ้าสามารถผลักดันโครงการคมนาคมขนส่งสมัยใหม่ให้เกิดขึ้นได้ ก็จะเปลี่ยนโฉมการพัฒนาของประเทศไทยไปอีกแบบหนึ่งเลย

เท่าที่ได้ยินมา ที่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่ ๆ ก็คือการปฏิรูประบบภาษีอากรที่ไม่ใช่ภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่จะเป็นภาษีอากรอย่างอื่น เช่น ภาษีเงินได้นิติบุคคลและบุคคลธรรมดา ภาษีทรัพย์สิน เช่น ภาษีอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งภาษีมรดก เรื่องภาษีเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและสลับซับซ้อน และมีวิวัฒนาการมาเรื่อย ๆ ตามกลไกของโลก สำหรับหลักการความคิดในเรื่องภาษีอากร รวมทั้งหน้าที่ของภาษีอากรแต่ละอัน

การคิดเอาอย่างง่าย ๆ ตามกระแสการเมือง ที่มิได้มาจากรากฐานตามหลักการ การจะตั้งเป้าหมายทางเศรษฐกิจโดยจะใช้ภาษีอากรเป็นเครื่องมือ ดูเผิน ๆ ก็อาจจะดี ภาษีเป็นเครื่องมือที่เลวที่สุดที่จะใช้เพื่อเป้าหมายในการกระจายรายได้ ได้มีหลักฐานพิสูจน์กันแล้วว่า ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นภาษีที่มีลักษณะถดถอยที่สุด กล่าวคือ ส่วนใหญ่ของผู้ที่เสียภาษีเงินได้คือผู้ที่มีรายได้เป็นเงินเดือนและค่าจ้าง ซึ่งไม่ใช่คนที่รวยที่สุด ส่วนคนที่รวยที่สุดคือผู้ที่มีรายได้เป็นดอกเบี้ย เงินปันผล ค่าเช่า และ Capital Gains คือจากการที่ทรัพย์สินของเขามีมูลค่าสูงขึ้น ซึ่งรายได้ประเภทนี้ไม่ต้องเสียภาษี หรือไม่ก็เสียภาษีในอัตราต่ำ เพราะประเทศต่าง ๆ เขาไม่เก็บกัน ถ้าเราเก็บในอัตราสูงอยู่ประเทศเดียว เงินทุนก็ไหลออกไปนอกประเทศหมด ฉะนั้น เป้าหมายของภาษีเกือบทุกชนิดคือการสร้างความสามารถที่จะแข่งขันได้

ภาษีที่ไม่เกี่ยวกับการแข่งขันกับประเทศคู่ค้าและคู่แข่งคือภาษีมูลค่าเพิ่มแต่ก็เป็นภาษีที่ได้รับการต่อต้านจากนายทุนผู้ผลิตและผู้ขายส่งขายปลีกรวมทั้งสื่อมวลชนด้วย จึงเป็นภาษีที่แตะต้องไม่ได้

ถ้าฝ่ายทหารจะหันมาดูโครงสร้างภาษี ก็คงต้องตระหนักถึงเรื่องต่าง ๆ หลายเรื่อง ต้องพิจารณาให้รอบคอบ เพราะจะมีผลกระทบรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจ ความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ประสิทธิภาพของการบริหารการจัดเก็บภาษี ที่สำคัญก็คือความซื่อสัตย์สุจริตของพนักงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการจัดเก็บ ต้องพยายามให้มีการใช้ดุลพินิจของพนักงานจัดเก็บภาษีให้น้อยที่สุด เพราะถ้าให้เจ้าพนักงานใช้ดุลพินิจในการประเมินมูลค่าก็ดี ประเมินจำนวนเงินภาษีก็ดี ประเมินข้อยกเว้นลดหย่อนภาษีก็ดี ซึ่งล้วนเป็นช่องโหว่ของกฎหมายภาษีทั้งสิ้น และถ้ามีช่องโหว่ทางกฎหมายทำให้บางคนหนีภาษีได้ บางคนเลี่ยงภาษีได้ ก็จะเกิดความไม่เป็นธรรมในการเสียภาษี ความไม่เป็นธรรมในการเสียภาษี ก็ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขัน ผู้ที่เสียภาษีโดยสุจริตก็จะอยู่ไม่ได้ ในที่สุดก็จะถูกบังคับให้หนีหรือเลี่ยงภาษีเช่นเดียวกับคู่แข่งของตน อย่างที่เคยเป็นมาในกรณีภาษีการค้าในสมัยก่อน

ทางที่ดี เรื่องสำคัญทางเศรษฐกิจที่ต้องตราเป็นกฎหมาย ก็น่าจะรอให้มีสภานิติบัญญัติช่วยกลั่นกรองเสียอีกที แม้ว่าจะเสียเวลาไปบ้าง แต่ก็คิดว่าไม่น่าจะนานเกินรอ แต่ก็ไม่ควรจะนานเกินไปจนหมดอายุสภา

ถ้าทำได้อย่างนี้ ก็น่าจะเป็นคุณูปการพอแล้ว

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2557

อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา โพสต์ใช้มือถือขณะรถติดรอสัญญาณไฟไม่ผิดกฎหมาย !!?



นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก  Chuchart Srisaeng วันที่ 8 สิงหาคมว่า

....การที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีนโยบาย จับจริง จอมแชต คือการจับกุมผู้ขับขี่รถใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ เป็นเรื่องที่ดีเพราะเป็นการป้องกันอุบัติเหตุให้แก่ผู้ขับขี่รถและผู้ร่วมใช้รถใช้ถนนทุกคนรวมทั้งจะฝึกให้ผู้ขับขี่รถมีวินัยในการขับขี่รถและปฏิบัติตามกฎหมายจราจรซึ่งจะช่วยให้การจราจรลดการติดขัดลงได้มาก

.....ผู้ใช้รถใช้ถนนส่วนใหญ่คงเห็นด้วยอย่างไรก็ดี การปฏิบัติงานหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ต้องเป็นตามบทบัญญัติของกฎหมาย

.....พระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ.๒๕๒๒ บัญญัติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ คือ
.....มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้ ฯลฯ (๒๘) “ผู้ขับขี่” หมายความว่า ผู้ขับรถ
.....มาตรา ๔๓ ห้ามมิให้ผู้ขับขี่ขับรถ
.......ฯลฯ
.......(๙) ในขณะใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ เว้นแต่การใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่โดยใช้อุปกรณ์เสริมสำหรับการสนทนาโดยผู้ขับขี่ไม่ต้องถือหรือจับโทรศัพท์เคลื่อนที่นั้น
.....มาตรา๑๕๗ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๔๓ (๙) ฯลฯ ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ ๔๐๐ บาทถึง ๑,๐๐๐ บาท

.....เนื่องจาก พ.ร.บ.จราจรทางบก ไม่ได้ให้คำนิยาม คำว่า ขับ และ ขับขี่ ไว้ จึงต้องดูความหมายจากพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔
.....คำว่า ขับ หมายความว่า บังคับให้ไป, บังคับให้เคลื่อนไป เช่น ขับรถ ขับเรือ
.....คำว่า ขับขี่ หมายความว่า สามารถบังคับเครื่องยนต์ให้ยานพาหนะเคลื่อนที่ไปได้

.....เมื่อดูบทบัญญัติของกฎหมายและพจนานุกรมแล้วก็สรุปได้ดังนี้
.....ห้ามไม่ให้ผู้ที่กำลังขับขี่รถใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่เว้นแต่การใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่โดยใช้อุปกรณ์เสริมสำหรับการสนทนาโดยผู้ขับขี่ไม่ต้องถือหรือจับโทรศัพท์เคลื่อนที่นั้น
.....การขับขี่รถก็คือการบังคับเครื่องยนต์ให้ยานพาหนะคือรถเคลื่อนที่ไป
.....ถ้ารถไม่เคลื่อนที่คือจอดอยู่เฉยๆ ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดๆ เช่น รถเสีย จอดรอผู้ที่นัดกันไว้ จอดรอสัณญาณจราจร หรือการจราจรติดขัดจนต้องจอดอยู่กับที่ ย่อมไม่ใช่การขับขี่รถ

.....การใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ขณะจอดรถ จึงสามารถกระทำได้เพราะในขณะนั้นไม่ใช่การขับขี่รถ ย่อมไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ ครับ

ที่มา.มติชน
///////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2557

จับตาสงครามโลกครั้งใหม่ ในมหาสงคราม 3 ฝ่าย !!?

หลังยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกาก็สถาปนาตนเองเป็นผู้นำโลกเสรีนิยมยุคใหม่ กลุ่มทุนเหนือรัฐได้กำกับให้รัฐบาลยกเลิกการใช้ทองคำค้ำประกันการพิมพ์ธนบัตร และเป็นชาติเดียวในโลกที่สามารถทำเช่นนั้นได้จนถึงวันนี้ เพราะการค้าขายในตลาดโลกขณะนั้นต่างอ้างอิงเงินตราสหรัฐ จนอเมริกาสามารถใช้เงินสกุลดอลลาร์ของตนเองเป็นมาตรฐานรองรับเทียบเท่าทองคำในเวลาต่อมา



เหมือนกับว่าที่ผ่านมานั้น ระบบการเงินของโลกจะมีเสถียรภาพหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับเงินสกุลดอลลาร์และเศรษฐกิจของอเมริกาด้วยเช่นกัน ภายหลังจากโลกของเราเคยใช้ระบบป้องกันเงินเฟ้อด้วยการใช้ทองคำที่มีจำกัดเป็นสินทรัพย์หนุนหลังเงินกระดาษ และอังกฤษเป็นประเทศแรกที่ใช้มาตรฐานดังกล่าวจนเป็นสกุลเงินตราที่ทรงมูลค่าที่สุดในยุคนั้น ก่อนสหรัฐอเมริกาจะขึ้นมาเป็นผู้นำโลกใหม่

อย่างไรก็ตาม กลุ่มนายทุนที่มีศักยภาพเหนือรัฐในสมัยแรกๆ คือนายธนาคารตระกูล Rothschild ซึ่งส่งลูกหลานไปตั้งธนาคารกลางทั่วยุโรป ว่ากันว่าปัจจุบันเครือข่ายของพวกเขาน่าจะมีสินทรัพย์มากกว่าทรัพย์สินครึ่งหนึ่งบนโลกใบนี้รวมกัน ภายหลังได้เข้าครอบครองระบบการเงินของอังกฤษ และแผ่ขยายสินทรัพย์มหาศาลไปยังดินแดนอเมริกา จนกลายเป็นเจ้าของตลาดการค้าทองคำลอนดอนตัวจริงที่มีอำนาจเหนือตลาด สามารถปรับราคาขึ้น-ลงเป็นรายวัน และเป็นเจ้าของอุตสาหกรรมการรถไฟในอเมริกาและยุโรป เหมืองแร่ทองคำและเพชร DeBeers, Rio tino ธนาคารขนาดใหญ่ เช่น Goldman Sachs, GE Capital และ Lehman Brother รวมถึงอุตสาหกรรมอาวุธ อุตสาหกรรมน้ำมัน อุตสาหกรรมยา อุตสาหกรรมสื่อสารมวลชน และอื่นๆ อีกมากมาย

จะว่าไปแล้ว พวกเขาเติบโตมาจากการยึดครองระบบการเงินของโลกจากเศรษฐกิจสงคราม โดยการตั้งธนาคารกลางและเป็นนายทุนการเงินให้ทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขาร่ำรวยขึ้นจากสงครามที่นำโดย นโปเลียน ของฝรั่งเศส และ ลอร์ดเวลลิงตัน ของอังกฤษ ในปี 1815 จากการที่พวกเขาปั่นราคาซื้อขายพันธบัตรของอังกฤษจนเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ และสามารถเข้ายึดครองธนาคารกลางในเวลาต่อมา จนสำนักสมคบคิดเชื่อกันว่า เครือข่ายของพวกเขากำกับเศรษฐกิจทุนนิยมโลกเกือบทั้งใบในเวลานี้

แต่อีกด้านหนึ่งเมื่อเศรษฐกิจโลกเติบโตขึ้น ท่ามกลางวิกฤติการเงินของสหรัฐอเมริกาที่ยากแก่การหลีกเลี่ยง จากการเปลี่ยนแปลงเสถียรภาพทางการเงินโดยการใช้อุปสงค์-อุปทานในการควบคุมการพิมพ์ธนบัตรโดยไร้หลักประกัน ทำให้ความคล่องตัวของตลาดสินเชื่อทั่วโลกและระบบธนาคารลดลง ทำให้เห็นความอ่อนแอในระบบการเงินทั่วโลกจากผลิตผลของสหรัฐ ทำให้ผู้นำเศรษฐกิจโลกที่กำลังเติบโตขึ้นใหม่ท่ามกลางทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมหาศาล จึงได้เข้าต่อรองอำนาจทางเศรษฐกิจโลกครั้งใหม่ในรอบร้อยปี ซึ่งนั่นคือการชิงความเป็นใหญ่ของรัฐมหาอำนาจ ที่อาจทำให้เกิดสงครามเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในไม่ช้านี้



แนวรบด้านหนึ่ง พันธมิตรทางการเมืองอย่าง BRICS กลุ่มประเทศที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว อันประกอบด้วยบราซิล (Brazil) รัสเซีย (Russia) อินเดีย (India) จีน (China) และแอฟริกาใต้ (South Africa) ได้รวมตัวกันอย่างเข้มแข็ง เตรียมปฏิวัติเงินตราโลก เพื่อย้ายอำนาจฐานเศรษฐกิจโลกจากกลุ่มพัฒนาแล้วอย่าง G7 มาสู่กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา โดยให้ศูนย์กลางอำนาจทางเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตอยู่เปลี่ยนไปสู่อำนาจการเมืองทางภูมิภาคต่างๆ ของโลกบ้าง นอกจากพวกเขากำลังเปลี่ยนการซื้อขายระหว่างประเทศด้วยเงินอื่นที่ไม่ใช่สกุลดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเปลี่ยนทุนสำรองระหว่างประเทศเป็นค่าเงินอื่นแล้ว พวกเขายังกำลังวางแผนตั้งธนาคารกลางใหม่ของกลุ่มประเทศ BRICS โดยตรงอีกด้วย

ก่อนหน้านี้นั้น รัสเซียจับมือกับจีนประกาศท้าทายอำนาจทางเศรษฐกิจของสหรัฐเมริกา ด้วยการประกาศยกเลิกการใช้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐในการซื้อ-ขายพลังงานร่วมกัน และรัสเซียผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดของโลก ได้ประกาศยกเลิกการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐในทางบัญชีอย่างสิ้นเชิงในอุตสาหกรรมก๊าชและพลังงาน ท่ามกลางสงครามตัวแทนในดินแดนยูเครนซึ่งแบ่งเป็นสองขั้วข้าง และทำสงครามพื้นที่กันอยู่ในขณะนี้

กลุ่มประเทศ BRICS ได้ประกาศเรียกร้องให้ระเบียบโลกใหม่มีหลายขั้วอำนาจ ซึ่งแน่นอน ท้าทายมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างกลุ่มทุนเหนือรัฐที่พยายามกำกับสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และสหภาพยุโรปโดยตรง อาจจะคล้ายเรื่องความขัดแย้งกลุ่มทุนเก่าและกลุ่มทุนใหม่ในประเทศไทย แต่เรื่องนี้เป็นปัญหาทุนนิยมโลกาภิวัตน์ที่ต้องกระทบโดยรวมต่อประเทศไทยโดยตรงทุกกลุ่มอย่างแน่นอน

แนวรบอีกด้านหนึ่ง ในกลุ่มประเทศอาหรับซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมาของมหาอำนาจโลกตะวันตกมานาน ท่ามกลางสงครามความเชื่อทางศาสนาและการต่อต้านจักรวรรดินิยมทางเศรษฐกิจ ซึ่งล่าสุดในการประชุม กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันส่งออก หรือโอเปก (OPEC) อิหร่านได้เสนอให้ตั้งธนาคารโอเปก และขอให้เลิกซื้อขายน้ำมันในตลาดโลกด้วยเงินสกุลดอลลาร์ ซึ่งทั้งหมดนั้นคือการคุกคามต่อเศรษฐกิจสหรัฐโดยตรง



การเปลี่ยนสกุลเงินถือครองในเงินสำรองระหว่างประเทศนั้น อาจเป็นจุดเริ่มต้นความล่มสลายของระบบเศรษฐกิจสหรัฐในอนาคตเพราะเมื่อแต่ละประเทศเลิกใช้เงินดอลลาร์เป็นสกุลอ้างอิง ระบบเงินดอลลาร์ก็อาจจะพังทลายลงได้ โดยเงินสกุลใหม่ไม่ว่าจะเป็นรูเบิล, หยวน หรือยูโร ก็อาจจะถูกอ้างอิงแทนทองคำในเวลาต่อมา แน่นอนก่อนหน้านั้นคงมีการต่อสู้ทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ การโจมตีค่าเงินอาจจะเกิดขึ้นไปทั่วโลก ท้ายที่สุด เมื่อไม่มีใครยอมใคร และมหาอำนาจใหญ่ไม่มีวันยอมแพ้ เศรษฐกิจสงครามก็อาจถูกสร้างขึ้นใหม่บนซากปรักหักพัง

วันก่อนนั้นผู้นำรัสเซียออกมาให้สัมภาษณ์อย่างเจ็บแปลบแสบคันว่า เวลานี้สถานะและความน่าเชื่อถือของสหรัฐอเมริกาในเวทีโลกกำลังเสื่อมถอยลงอย่างมาก และเป็นสัญญาณเตือนว่าทั่วโลกกำลังหันหลังให้อเมริกา เป็นที่น่าสังเกตว่าแนวรบอีกด้านหนึ่งกำลังปะทุขึ้นอย่างช้าๆ เป็นจังหวะพอดีกับโน้ตดนตรีทางเศรษฐกิจครั้งใหม่ เมื่อสงครามระหว่างอิสราเอลและฮามาสในแผ่นดินปาเลสไตน์ ได้ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่าพันคนแล้วในสัปดาห์ที่ผ่านมา และอาจมีการขยายวงลุกลามตามมาเมื่อรัฐบาลอเมริกาประกาศขายอาวุธให้อิสราเอลเพิ่มเติมเมื่อสองวันก่อน

อย่าลืมว่าเศรษฐกิจสงครามเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่จะช่วยสร้างความมั่งคั่งให้นายทุนเหนือรัฐผู้กำกับตลาดโลก ซึ่งไม่เว้นแม้แต่ในตลาดสงคราม พวกเขาช่วงชิงชัยชนะต่อความมั่งคั่งและเงินตราด้วยความสูญเสียของผู้คนมาโดยตลอด นับตั้งแต่สงครามแย่งชิงดินแดนอาณานิคมในอดีต ยกตัวอย่างเรื่องสงครามอิรัก ที่รัฐบาลสหรัฐเข้าโจมตีภายหลังที่อิรักประกาศขายน้ำมันของตนด้วยเงินยูโรแทนดอลลาร์ ในปี 2000 และเปลี่ยนเงินสำรองประเทศของตนเป็นยูโรด้วย ทำให้หลายประเทศที่ซื้อน้ำมันจากอิรักต้องเปลี่ยนตามไปด้วย จนสหรัฐสามารถเข้าไปควบคุมการผลิตและส่งออกน้ำมันปริมาณมหาศาลในอิรักได้ และควบคุมกลไกการกำหนดราคาน้ำมันของโลกได้มากขึ้น เพื่อลดบทบาทของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) ลงนอกจากนี้ สงครามยังได้สร้างมูลค่าของเศรษฐกิจสงครามในอุตสาหกรรมอาวุธและยุทโธปกรณ์หลายแสนล้านดอลลาร์อีกด้วยเช่นกัน

มีความเป็นไปได้สูงว่า นายทุนเหนือรัฐบาลสหรัฐอาจพยายามสร้างเงื่อนไขความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ เพื่อขยายวงไปสู่โลกอาหรับ โดยเฉพาะซีเรียและอิหร่าน กลายเป็นสงครามระหว่างพวกเขากับอิหร่านโดยตรง ที่เป็นเป้าหมายในเศรษฐกิจสงครามในอนาคต เพื่อสถาปนาอำนาจนำของโลกอย่างแท้จริง

ดูเหมือนว่า สถานการณ์โลกตอนนี้อาจจะเผชิญวิกฤติครั้งใหม่ไม่เร็วก็ช้า เมื่อสหรัฐอเมริกาหวังสถาปนาอำนาจนำของโลกอีกครั้งหลังจากบาดเจ็บจากพิษเศรษฐกิจ และอาจกลายเป็นมหาสงคราม 3 ฝ่าย นั่นคือสงครามระหว่าง อาหรับ &อิหร่าน VS สหรัฐอเมริกา &อังกฤษ VS รัสเซีย &จีน.

ที่มา.Siam Intelligence Unit
//////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2557

คุณค่าทางเศรษฐกิจ กับคุณค่าความเป็นมนุษย์ !!?



โดย. นิธิ เอียวศรีวงศ์

เช้าวันหนึ่ง ในรายการของ คุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา มีข่าวเล็กๆ ที่ได้จากคลิปวิดีโอที่ผู้ชมส่งให้ อุบัติเหตุทางรถยนต์เกิดขึ้นบนถนนแห่งหนึ่ง รถบัสชนท้ายมอเตอร์ไซค์รับจ้าง คนขี่ตกไปถูกล้อรถบัสทับตาย ส่วนผู้โดยสารเป็นผู้หญิง ตกจากรถขาซ้ายหักและคงจะสลบไป จึงนอนอยู่กลางสี่แยกแห่งหนึ่ง ส่วนรถบัสขับต่อไปโดยไม่หยุด

สี่แยกนั้นไม่ถึงกับรถติด แต่การจราจรขวักไขว่พอสมควร มีรถยนต์นั่งหลายชนิด, กระบะตู้, มอเตอร์ไซค์ส่วนบุคคล และอื่นๆ ขับผ่านตลอด ต่างหลบหลีกไม่ทับร่างของหญิงผู้นั้น แต่ไม่มีคันใดหยุดให้ความช่วยเหลือเลย ซึ่งคุณสรยุทธอุทานออกมาดังๆ ว่า อ้าว ทำไมไม่หยุด

แล้วก็มีมอเตอร์ไซค์รับจ้างคันหนึ่ง ขับฝ่าการจราจร (คงจากมุมใดมุมหนึ่งของสี่แยก) ออกมาจอดขวางร่างหญิงผู้นั้นไว้ แล้วลงจากรถเพื่อให้ความช่วยเหลือ ทันใดก็มีมอเตอร์ไซค์รับจ้างอีก 2 คันตามมาทำอย่างเดียวกัน คือเอารถของตนเองช่วยจอดล้อมวงร่างของผู้หญิง เพื่อเป็นสัญญาณให้รถคันอื่นระมัดระวัง ลงจากรถเพื่อให้ความช่วยเหลือร่วมกัน

พวกเขาจะช่วยอย่างไรไม่ทราบได้ เพราะคลิปหมดแค่นั้น คุณสรยุทธก็รู้ดีว่าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก เพราะภาพเล่าไว้โดยไม่ต้องใช้เสียงหมดแล้ว

เป็นปรากฏการณ์ที่ปกติธรรมดามากสำหรับคนที่อยู่เมืองไทยมากว่า70 ปีอย่างผม เราจะเห็นสำนึกคุณค่าความเป็นมนุษย์ของคนเล็กคนน้อยที่ถูกเรียกว่าควาย มากกว่าคนนั่งรถเก๋งเสมอ แม้กระนั้นคำถามเชิงอุทานของคุณสรยุทธก็ยังก้องอยู่ในใจ

ผมพยายามหาคำตอบที่ตัวเองพอใจอยู่นานและในที่สุดก็มาลงเอยที่มิติทางเศรษฐกิจ

คนขับกระบะตู้จอดให้ความช่วยเหลือไม่ได้เพราะบริษัทมีกำหนดส่งของไว้แน่นอนแล้ว หากลงมาให้ความช่วยเหลือก็ไม่สามารถทำตามกำหนดเวลาของบริษัทได้ บางบริษัทมีจีพีเอสติดบนรถส่งของด้วย ฉะนั้น ผู้จัดการฝ่ายโลจิสติกส์ของบริษัทย่อมรู้ว่าเขาหยุดรถเป็นเวลานานระหว่างทาง คำอธิบายของคนขับว่าเพื่อช่วยคนบาดเจ็บจะเป็นที่ยอมรับของผู้จัดการหรือไม่ก็ไม่แน่ จึงถือว่าเสี่ยงต่ออาชีพการงานของตน

คำอธิบายนี้คงใช้ได้หมดกับแท็กซี่และตุ๊กตุ๊กซึ่งมีผู้โดยสาร,จักรยานยนต์ของพ่อค้าแม่ขาย ฯลฯ แต่จะใช้อธิบายรถยนต์นั่งส่วนบุคคล โดยเฉพาะคันใหญ่ๆ ได้หรือไม่?

ผมคิดว่าไม่ได้โดยตรง แต่ก็ใกล้ๆ ล่ะครับ การหยุดให้ความช่วยเหลือต้องใช้เวลามากพอสมควร สมมุติว่าใช้รถยนต์หรือคนขับรถกันการจราจรเพื่อความปลอดภัยของผู้หญิงคนนั้น แล้วโทรศัพท์เรียกตำรวจหรือหน่วยงานสาธารณกุศล ก็ต้องรอจนกว่าเขาจะมา หากถึงกับเอาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลเอง ก็ยิ่งเสียเวลาหนักขึ้นไปอีก เพราะต้องแจ้งความด้วย ทั้งหมดนี้อาจหมดไปครึ่งวัน

ครึ่งวันหรือสี่ชั่วโมงสำหรับคนทำงานระดับนั้น หมายถึงขาดทั้งรายได้และ "โอกาส" ไปไม่รู้เท่าไร ("โอกาส" ในทางเศรษฐกิจแปลว่าความเป็นไปได้ที่จะทำรายได้เพิ่มขึ้นในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งเป็นการให้ความหมายที่แคบมาก เพราะ "โอกาส" ช่วยชีวิตคนอื่น ไม่นับรวมอยู่ใน "โอกาส" ทางเศรษฐกิจ) ดังนั้น การหยุดให้ความช่วยเหลือจึงมีต้นทุนที่สูงมาก (อย่างน้อยก็ในการประเมินของตนเอง) ต้องคิดไตร่ตรองและชั่งน้ำหนักให้ดี รถมันผ่านไปเร็วครับ คิดไม่ทัน แต่เมื่อผ่านไปแล้ว ก็ถือเป็นคำตอบไปในตัว

อันที่จริงมอเตอร์ไซค์รับจ้างก็เสีย "โอกาส" ทางเศรษฐกิจไปไม่น้อยเหมือนกัน โดยเฉพาะแทนที่จะคิดจากเม็ดเงินที่ต้องเสียไปในการหยุดให้ความช่วยเหลือ แต่คิดถึงสัดส่วนของรายได้ว่าเขาต้องสละไปกี่เปอร์เซ็นต์ ก็จะเห็นว่าเขาสูญเสียเพื่อให้ความช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์มากกว่าคนนั่งรถเก๋งหลายเท่า แต่มอเตอร์ไซค์รับจ้างคิดได้เร็ว เพราะเขาไม่ทันประเมิน "โอกาส" ทางเศรษฐกิจของเขาเอง มันมีปุ่มอัตโนมัติที่พ่อแม่และสังคมของพวกเขาสอนมาแต่อ้อนแต่ออกว่า คุณค่าความเป็นมนุษย์ย่อมสูงกว่าคุณค่าอื่นใดทั้งสิ้น

(น่าเสียดายที่พวกเขาคงไม่ถูกเชิญไปร่วมในการปฏิรูปการศึกษาซึ่งสนใจที่จะปลูกฝัง "ความเป็นไทย" มากกว่า "ความเป็นคน")

เมื่อคิดได้อย่างนี้ ผมจึงอดไม่ได้ที่จะนำประเด็นนี้ไปคุยกับเพื่อนที่เป็นนักธุรกิจ แต่อาจเป็นเพราะคำอธิบายจากมิติทางเศรษฐกิจของผมดูน่ารังเกียจชิงชังเกินไปหรืออย่างไรไม่ทราบ เขากลับพยายามยกปัจจัยที่ไม่ใช่เศรษฐกิจมาอธิบายแทน

เขาบอกว่าคนนั่งรถเก๋งคงยังจำได้กระมังว่า ดาราทีวีท่านหนึ่งที่หยุดรถไปช่วยผู้บาดเจ็บ กลับถูกรถอื่นชนจนพิการ จึงไม่อยากลงไปช่วยใคร ผมท้วงว่านั่นมันบนทางหลวง ไม่ใช่สี่แยกกลางกรุงอย่างนั้น และการที่ดาราท่านนั้นได้รับการยกย่องจากสังคมอย่างกว้างขวาง ก็แสดงอยู่แล้วไม่ใช่หรือว่า คนนั่งรถเก๋งไม่ค่อยหยุดรถไปช่วยใคร

เขาจึงยกอีกปัจจัยหนึ่งขึ้นมาว่า ด้วยเหตุใดก็ตาม คนมีฐานะและมีการศึกษามักไม่ค่อยมีทักษะชีวิตในเรื่องเหล่านี้ เช่นลงไปแล้วจะควรทำอย่างไรต่อไป เป็นต้น ฝากความหวังไว้กับรัฐว่าเดี๋ยวตำรวจและหน่วยสาธารณกุศลคงมาเอง เขาอาจยกโทรศัพท์ไปแจ้งหน่วยงานเหล่านั้นแล้วก็ได้ ผมยอมรับว่าผมไม่รู้ว่าเขาได้โทร.แจ้งหรือไม่ และยอมรับว่าหากขาดทักษะชีวิตในเรื่องเช่นนี้ เขาคงไม่รู้ว่า เมื่อเขาหยุดรถลงมาช่วย จะมีคนอีกมากมา "มุง" และให้คำแนะนำว่าควรทำอย่างไรต่อไป

แม้ว่าเพื่อนผมไม่สนใจปัจจัยที่เป็นมิติทางเศรษฐกิจ แต่เมื่อเราคุยถึงความยั่งยืนของอำนาจ คสช. เขากลับพูดว่า ปัจจัยเดียวที่จะตัดสินว่า คสช.จะดำรงอำนาจของตนสืบไปได้หรือไม่ คือปัจจัยทางเศรษฐกิจ หมายความว่าหากเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว คสช.ก็จะได้รับการยอมรับจากคนต่างๆ มากขึ้น จนกระทั่งอาจตั้งอยู่ต่อไปได้อีกนาน เหมือนสมัยสฤษดิ์

ผมไม่เห็นด้วยกับความเห็นนี้กว่าครึ่ง คือยอมรับเหมือนกันว่าปัจจัยทางเศรษฐกิจมีความสำคัญ และ คสช.เองก็รู้ว่าสำคัญ แต่อำนาจใดก็ตามที่จะดำรงอยู่ได้อย่างสืบเนื่องยาวนานนั้น ต้องอาศัยปัจจัยอื่นๆ อีกมากกว่าความจำเริญทางเศรษฐกิจ และปัจจัยอื่นๆ ที่ผมคิดถึงนั้น สรุปให้เหลือสั้นๆ ก็คือ ปัจจัยของความเป็นคน หรือคุณค่าความเป็นมนุษย์นั่นเอง เพราะเป็นปัจจัยของระบอบปกครองนานาชนิดที่เราพบตั้งแต่สมัยหินลงมา

ผมไม่ได้แจกแจงปัจจัยเหล่านั้นแก่เพื่อนนักธุรกิจ(เพราะคิดไม่ทัน) แต่ขอแจกแจงในที่นี้

ปัจจัยแรกที่จะทำให้อำนาจใดดำรงอยู่ได้ก็คือ การใช้อำนาจอันประณีต น่าประหลาดที่ว่าไม่ว่าจะมีอำนาจเด็ดขาดสักเพียงไร การใช้อำนาจกลับต้องทำโดยประณีตอย่างยิ่ง คนจำนวนมากมักเข้าใจว่า สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ปกครองด้วยความเด็ดขาด แต่ผมคิดว่าเราต้องแยกระหว่างบุคลิกภาพของสฤษดิ์ กับวิธีปกครองของสฤษดิ์ เขาใช้กลวิธีอันประณีตหลายอย่างมาก เพื่อให้คนยอมรับอำนาจของเขา เช่น หลังจากการปกครองแบบประชาธิปไตย (อย่างน้อยโดยรูปลักษณ์) ต่อเนื่องกันมา 25 ปี การเปลี่ยนไปสู่ระบอบเผด็จการเต็มรูปแบบไม่ใช่เรื่องง่าย เขาใช้คนมีฝีมือจำนวนไม่น้อย ในการทำลายความชอบธรรมของประชาธิปไตย จริงอยู่บริวารของเขามีโอกาสพูดฝ่ายเดียวก็จริง แต่การพูดฝ่ายเดียวนั้นยากนะครับ เพราะถึงคนอื่นไม่กล้าเถียงดังๆ เขาก็อาจเถียงในใจได้ บริวารของสฤษดิ์ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่เถียง และยอมรับ (มาจนบัดนี้) ว่า ประชาธิปไตยแบบตะวันตกไม่เหมาะกับสังคมไทย ต้องสร้างระบอบปกครองขึ้นมาใหม่และตั้งชื่อว่าประชาธิปไตยแบบไทย (ซึ่งไม่ได้เป็นประชาธิปไตยตรงไหนเลย)

นี่คือความประณีตของการใช้อำนาจอย่างหนึ่งครับ

จอมพลป.พิบูลสงคราม นั้น ถืออำนาจเด็ดขาดต่อเนื่องกันหลายปีเมื่อก่อนและระหว่างสงคราม แต่ใครที่ได้มีโอกาสพบท่านต่างเห็นตรงกันว่า ท่านเป็นคนอ่อนหวาน มีเสน่ห์ในการพูดโน้มน้าวใจคนมาก โดยไม่ต้องมีมาตรา 17 (ของสฤษดิ์) ศัตรูทางการเมืองของท่านถูกพิพากษาประหารชีวิต และเนรเทศไปอยู่ในดินแดนกักกัน โดยศาลยุติธรรมจำนวนมาก... จะสั่งเองหรือให้ศาลสั่ง ก็ได้ผลเท่ากัน แต่เป็นการใช้อำนาจอย่างประณีตกว่ากันมาก

"พิธีกรรม" เป็นอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญมากในการใช้อำนาจอย่างประณีต สฤษดิ์รื้อฟื้นพิธีกรรมเก่า เพื่อเสริมสร้างความชอบธรรมแห่งอำนาจที่ไม่ชอบธรรมของตนได้อย่างแนบเนียน จอมพล ป.สร้างสรรค์พิธีกรรมใหม่อีกหลายอย่าง เพื่อทำให้อำนาจของท่านเป็นอำนาจแห่งความเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็นอารยะ นั่นคือการให้เหตุผลแก่อำนาจที่อาจละเมิดรัฐธรรมนูญ แต่เพื่อเป้าประสงค์ที่เราทุกคนต้องการร่วมกัน เราอาจชอบหรือไม่ชอบ "พิธีกรรม" เหล่านั้น แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมีผลยั่งยืนไปยาวนานกว่าระบอบปกครองของคนทั้งสองด้วยซ้ำ อำนาจดิบถูกทำให้ประณีตจนใครๆ ก็ลืมไปว่านั่นคืออำนาจดิบ แต่จดจำและใช้พิธีกรรมที่อำนาจดิบสร้างขึ้นสืบมา

นอกจากการใช้อำนาจอย่างประณีตแล้ว ยังมีปัจจัยที่สำคัญอื่นๆ อันจะทำให้อำนาจปกครองใดๆ ยั่งยืนได้ ความคาดการณ์ได้ของกฎหมายและการดำเนินชีวิตเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ความกลัวของมนุษย์นั้นเกิดขึ้นจากการคาดไม่ได้ เช่นกลัวผีเพราะไม่แน่ใจว่ามันจะมาใบ้หวยหรือจะมาแลบลิ้นปลิ้นตาให้เราช็อกตาย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับระบอบปกครองเป็นเผด็จการหรือไม่นะครับ ถึงเป็นเผด็จการอย่างไรก็ตาม ประชาชนต้องคาดการณ์ได้ว่าทำอะไรแล้วผิด รวมทั้งผิดแล้วจะโดนอะไรบ้าง ทั้งนี้ยังไม่พูดถึงธุรกิจนะครับว่า อัตราการรีดไถต้องคาดการณ์ได้ ไม่อย่างนั้นทำธุรกิจไม่ได้ เพราะไม่รู้จะคำนวณการลงทุนและผลกำไรอย่างไร

ผมไม่ปฏิเสธนะครับว่า ระบอบเผด็จการที่รักษาความคาดการณ์ไม่ได้เพื่อทำให้อำนาจของตนเป็นที่หวาดกลัวของประชาชน แล้วยังรักษาอำนาจสืบมาได้นานๆ เช่น สตาลิน, ฮิตเลอร์ หรือเหมา เป็นต้น ก็มีอยู่ แต่จะทำอย่างนั้นได้ต้องมีอะไรแลกครับ และสิ่งที่จอมเผด็จการเหล่านี้เอามาแลกคือ "ความสำเร็จ" หนึ่ง กับอุดมการณ์อีกหนึ่ง ในท่ามกลางความล่มสลายของเศรษฐกิจสังคมรัสเซีย, เยอรมันหลังสงคราม และจีน เราปฏิเสธไม่ได้ว่าจอมเผด็จการทั้ง 3 สร้างความแข็งแกร่งอันใหม่ให้บนความหวาดกลัวของผู้คน

ทางด้านอุดมการณ์ก็ปฏิเสธไม่ได้อีกเหมือนกันว่าทั้ง 3 กรณีต่างอ้างอุดมการณ์ของความเปลี่ยนแปลงอย่างถึงรากถึงโคนทั้งสิ้น พูดอีกอย่างหนึ่งคือ ในนามของการ "ปฏิวัติ" ทุกคนต้องเสียสละที่ไม่สามารถคาดการณ์อะไรได้เลย ต้องยอมรับว่าชีวิตในสังคมปฏิวัติคือ ชีวิตที่ถูกปิดล้อมทุกด้าน เพื่อให้ลูกหลานได้พบสังคมใหม่ที่ดีกว่าเก่า ผมไม่คิดว่าอุดมการณ์ที่จะนำสังคมย้อนกลับไปหาอดีตมีพลังพอจะรักษาความคาดการณ์ไม่ได้ไว้เป็นเครื่องมือของอำนาจได้นานๆแน่

นอกจากเศรษฐกิจแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกหลายอย่างที่จะทำให้ระบอบอำนาจใดๆ สามารถดำรงอยู่ได้ ผมคิดว่าการวิเคราะห์การเมืองไทยในปัจจุบัน โดยดูจากความสำเร็จหรือความล้มเหลวด้านเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว ไม่เพียงพอที่จะทำให้เราเข้าใจหรือคาดการณ์อะไรได้

 ที่มา.มติชน
-------------------------------------