--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2557

นักวิชาการพระปกเกล้าฯ ชงยุบศาล รธน.



 สถาบันพระปกเกล้าได้จัดงานสัมนาทางวิชาการในหัวข้อ “นำเสนอประเด็นการอภิปราย การปฏิรูปประเทศไทย : ดุลแห่งอำนาจ” ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเมืองการปกครองงแก่ประชาชนและภาคส่วนต่างๆ ทั้งเป็นการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน และเพื่อให้ได้ข้อเสนอเชิงนโยบายที่เป็นรูปธรรมสำหรับข้อมูลประกอบการพิจารณายกร่างรัฐธรรมนูญที่จะมีขึ้นในอนาคต โดยมีนายลิขิต ธีรเวคิน อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ นายอัษฎางค์ ปาณิกบุตร อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ ม.รามคำแหง นายกิตติศักดิ์ ปรกติ คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ และนายพิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นวิทยากรผู้บรรยาย

 นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า กล่าวเปิดงานว่า การสัมมนาทำนองนี้ควรหมดไปจากเมืองไทย เพราะได้มีการพูดลักษณะนี้มา 30 กว่าปีแล้ว รัฐธรรมนูญ 2540 ที่ต่างชาติบอกเป็นรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุด ในปลายศตวรรษที่ 20 แต่รัฐธรรมนูญนี้ก็มีอายุแค่ถึงวันที่ 19 กันยายน 2549 จนนำมาสู่การร่างใหม่กลายเป็นรัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งสุดท้ายก็ถูกยกเลิกไปอีก จนทำให้เรายังต้องมาพูดเรื่องปฏิรูปการเมือง แม้จะเหนื่อยแต่ก็ต้องพูดเพราะปัญหามีอยู่จริง ดุลแห่งอำนาจเป็นปัญหาใหญ่ในสังคมไทย จำเป็นที่ต้องมานั่งรื้อดูกันว่าดุลแห่งอำนาจที่แท้จริงคืออะไร เกิดมาจากการแบ่งอำนาจของข้าราชการทหารพลเรือน คนมั่งมีระดับบน พรรคการเมือง หรือคนชั้นกลางระดับล่าง หรือไม่ หรือมีมากกว่านั้น ที่ต้องมาหากันใหม่เพราะเห็นว่ามีผู้เสนอให้มีการปฏิรูปประเทศ ไม่ใช่แค่ปฏิรูปการเมือง วันนี้จึงต้องมีการเปิดรับฟังความเห็น และเสนอความรู้ในเรื่องดุลแห่งอำนาจเพื่ออภิปรายว่าข้อเสนอที่รวบรวมมาเป็นอย่างไร แต่ไม่ว่าจะเสนออะไรก็ตามให้นึกเสียก่อนว่าอะไร คือ ปัญหาที่แท้จริงและจะทำอย่างไร จึงจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ เพื่อหาทางออกจากความขัดแย้งและปฏิรูปการเมืองไทยที่เหมาะสมต่อไป

 จากนั้นนายลิขิต กล่าวว่า การที่เกิดความพยายามแบ่งแยกหรือถ่วงดุลอำนาจ ซึ่งในข้อเท็จจริงมันคือการแบ่งอำนาจการปกครอง บางทีทุกวันนี้ฝ่ายนิติบัญญัติทำหน้าที่เหมือนฝ่ายบริหารไปแล้ว พูดตรงๆ ว่ารัฐธรรมนูญ 2540 พยายามทำให้เกิดดุลยภาพที่ได้ก่อตั้งองค์กรอิสระต่างๆ เพื่อจัดแจงการถ่วงดุลอำนาจ แต่การถ่วงดุลนั้นขึ้นอยู่กับตัวแปรคือตัวผู้มีอำนาจ ตัวองค์กร และผู้ที่ตรวจสอบ การถ่วงดุลอำนาจถ้าแข็งระบบจะไม่เป็นระบบ ถ้าคุมจนกระดิกไม่ได้ก็จะแข็งหรือถ้าหลวมไปก็คุมไม่ได้ ดังนั้นการถ่วงดุลที่ดีต้องมีระบบที่มีเสรีภาพแต่ไม่ละเมิดเสรีภาพ ต้องไม่มีคำว่าเผด็จการเสียงข้างมากหรือเสียงข้างน้อย

 นายลิขิต กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องการปฏิรูปตนมีข้อเสนอ ได้แก่ จะทำอย่างไรก็แล้วแต่ ระบบการเมืองที่ตั้งขึ้นมาต้องคุยกันก่อนว่าจะเอาอย่างไร ต้องถามก่อนว่าจะเอาประชาธิปไตยหรือไม่และเอาแบบไหน ไม่ใช่อยู่ดีๆ มาร่างรัฐธรรมนูญ จากนั้นต้องสร้างระเบียบการเมืองให้อยู่ร่วมกันได้โดยสันติซึ่งประชาชนต้องมีความผาสุก ต้องมีคามหวัง สังคมต้องยุติธรรมและมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ถ้าการปฏิรูปไม่มีประเด็นนี้ก็จะกลายเป็นการปฏิวัติ มีการใช้ความรุนแรง โดยการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ต้องคำนึงถึงประเด็นนี้ อีกทั้งสังคมต้องมีความเป็นพลเมืองมีวินัยสิทธิและเสรีภาพ การปฏิรูปมีตัวแปร คือ การปฏิรูปที่คนโดยเฉพาะการปฏิรูปการศึกษา ต้องมีการศึกษาวัฒนธรรมทางการเมือง ไม่รู้ไม่ได้ ทุกคนต้องมีส่วนร่วมทางการเมืองและระบบการเมืองต้องตอบสนองทางการเมืองอย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งทุกครั้งที่มีการร่างรัฐธรรมนูญ ควรมีการทำประชามติทุกมาตรา

 ด้านนายณวัฒน์ ศรีปัดถา และ น.ส.ชมพูนุท ตั้งถาวร นักวิชาการสถาบันพระปกเกล้า ได้นำเสนอข้อมูลที่สถาบันพระปกเกล้ารวบรวมจากบทความวิชาการ เวทีเสวนา ตลอดจนสื่อต่างๆ แต่ไม่ใช่ข้อเสนอของสถาบันพระปกเกล้าเอง ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการจัดดุลอำนาจของสถาบันการเมืองที่เกี่ยวข้องกับระบบรัฐสภาไทย ประเด็นเรื่องงขอบเขตอำนาจ หน้าที่ขององค์กรนั้นๆ และได้นำข้อเสนอมาจัดกลุ่มและวิเคราะห์ผลดีผลเสียเพื่อนำไปสู่ข้อเสนอการปฏิรูป โดยมีใจความตอนหนึ่งว่า ดุลอำนาจระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารที่มีปัญหาคือรัฐธรรมนูญ 2550 ไม่ได้ห้าม ส.ส.เป็นรัฐมนตรี เท่ากับถ้าหาก ส.ส.ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีก็จะยังดำรงตำแหน่ง ส.ส.ได้ จึงมีข้อเสนอว่าเมื่อ ส.ส.ได้รับการแต่งเป็นรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่ง ส.ส. ซึ่งจะมีข้อดีในแง่ทำให้ไม่เกิดผลประโยชน์ขัดกันและสร้างความมีเสถียรภาพให้รัฐบาล แต่ข้อเสีย คือ อาจทำให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจต่อรองมาก เนื่องจากถ้านายกรัฐมนตรีปลดรัฐมนตรีออกแล้ว ก็จะหลุดจากตำแหน่ง ส.ส.ไป

 นักวิชาการสถาบันพระปกเกล้ากล่าวอีกว่า รัฐธรรมนูญยังกำหนดให้รัฐสภาเป็นผู้เลือกนายรัฐมนตรี โดยต้องเลือกจากผู้ที่เป็น ส.ส. ทำให้ฝ่ายบริหารคือนายกรัฐมนตรีและเสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภาเป็นพวกเดียวกัน ไมม่สามารถตรวจสอบและถ่วงดุลกันได้อย่างแท้จริงในทางปฏิบัติ โดยมีการเสนอว่าให้ลดทอนความสัมพันธ์ระหว่างนายกและรัฐสภาที่กำหนดให้นายกมาจากการเลือกตั้งโดยตรง ซึ่งข้อดีคือนายกและเสียงส่วนใหญ่ในสภาอาจไม่ใช่พวกเดียวกันและทำให้ได้ฝ่ายบริหารที่มาจากประชาชนอย่างแท้จริง ส่วนข้อเสียจะทำให้ระบบรัฐสภาซึ่งประมุขของรัฐกับประมุขของฝ่ายบริหารเป็นคนละคน การเลือกตั้งนายกฯ ที่เป็นประมุขฝ่ายบริหารโดยตรงอาจทำให้เกิดการนำฐานเสียงประชาชนไปตั้งคำถามกับความขอบธรรมประมุขของรัฐได้ อีกทั้งหากนายกมาจากการเลือกตั้งโดยตรงนั้น นายกฯ ย่อมอ้างได้ว่าตนเป็นตัวแทนประชาชนอย่างแท้จริง อาจทำให้รัฐสภาหมดความชอบธรรมที่จะตรวจสอบฝ่ายบริหารทันที

 ส่วนดุลอำนาจระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและตุลาการโดยจะเน้นไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ เพราะที่ผ่านมาศาลรัฐธรรมนูญมักถูกมองว่าใช้อำนาจกระทบฝ่ายบริหาร นักวิชาการสถาบันพระปกเกล้ากล่าวว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจหลัก คือ ควบคุมความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมาย ทั้งนี้การใช้อำนาจในการวินิจฉัยในหลายคดีของศาลรัฐธรรมนูญมักถูกมองว่าก้าวล่วงการใช้อำนาจในส่วนที่เป็นของรัฐสภา จึงมีข้อเสนอให้ยุบศาลรัฐธรรมนูญและกลับไปใช้รูปแบบคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ โดยมาจากสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และคณะรัฐมนตรี รวมทั้งตุลาการที่มาจากศาลปกครองและศาลฎีกา หรืออีกข้อเสนอหนึ่งคือต้องกำหนดกรอบให้ชัดเจนในรัฐธรรมนูญว่าเรื่องใดเป็นเรื่องความชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งให้องค์กรอย่างศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบได้ ส่วนเรื่องใดเป็นเรื่องการเมืองก็ให้องค์กรการเมืองเป็นผู้ตรวจสอบและถ่วงดุลกันเอง

ที่มา.ข่าวสด
------------------------------------

วันพุธที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ล้างบาง 104 โครงการ อนุรักษ์พลังงาน 6 พันล้าน !!?


คสช.ลากไส้ กองทุนอนุรักษ์พลังงาน พัวพันนักการเมืองชงเองกินเอง เผยปี 57 ตั้งลำ 104 โครงการ 6 พันล้าน กูรูแนะปลดแอก ออกคำสั่งปฏิวัติตั้งเป็นกองทุนอิสระเหมือนสหรัฐฯ ญี่ปุ่น เพื่อความโปร่งใส ชงเช็กบิลอีก “ซื้อเครื่องบิน-โซล่าร์เซลล์-สุวรรณภูมิ”

ได้นำเสนอข่าวความไม่โปร่งใสในการใช้จ่ายงบก้อนโตในกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สนใจเข้าไปตรวจสอบ โดยล่าสุดคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ หรือ คตร. ที่มีพล.ท.อนันตพร กาญจนรัตน์ ปลัดบัญชีทหารบก เป็นประธาน ได้ส่งคณะอนุกรรมการเข้าตรวจสอบโครงการดังกล่าว พร้อมกับอีก 7 โครงการที่ใช้งบประมาณเกิน 1,000 ล้านบาท คาดว่าจะตรวจสอบแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายนนี้

 แฉ อนุรักษ์พลังงาน เข้าเป้าแค่ 12%

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลการใช้เงินในกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานที่ไม่โปร่งใสยังหลั่งไหลออกมาต่อเนื่อง โดยศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.ปรีดา วิบูลย์สวัสดิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน เปิดเผย “สยามธุรกิจ” ว่า เนื่องจากการใช้จ่ายเงินในกองทุนดังกล่าวเป็นเงินนอกงบประมาณอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวง พลังงาน ทำให้มีช่องโหว่ในการนำเงินไปใช้อย่างไม่โปร่งใส ซึ่งเมื่อหลายปีก่อนตนเคยทำหน้าที่ในคณะอนุกรรมการประเมินผลการใช้จ่ายเงินในกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานพบว่า มีการดำเนินการนำไปใช้ตรงตามวัตถุประสงค์เพียง 12% เท่านั้น ที่เหลืออีก 88% รั่วไหลออกไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ โดยที่ผ่านมามีนักการเมืองทุกพรรค การเมืองเข้าไปเกี่ยวข้อง

“ที่เกี่ยวข้องกับเงินในกองทุนส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานมี 2 ชุด คือคณะกรรมการนโยบายและแผน มีรองนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีเป็นผู้กำกับดูแล และคณะอนุกรรมการประเมินผล ซึ่งคณะอนุกรรมการชุดนี้อยู่ภายใต้การกำกับของคณะกรรมการนโยบาย ทำให้การตรวจสอบความโปร่งใสเป็นไปอย่างยากลำบาก เมื่อมี คสช. เชื่อว่าจะมีการตรวจสอบให้โปร่งใส และควรมีคำสั่งตั้งกองทุนฯ ออกมาจากกระทรวงพลังงาน เพื่อความเป็นอิสระและโปร่งใสในการตรวจสอบ อย่างเช่นที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ และญี่ปุ่น”

104 โครงการ 6 พันล้านระทึก

ด้านแหล่งข่าวระดับสูงจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2557 กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ได้รับเม็ดเงินจำนวน 6,524 ล้านบาท โดยที่ประชุมคณะกรรมการฯ เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2556 ได้เห็นชอบเพื่อดำเนินโครงการด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน รวมทั้งสิ้น 104 โครงการ วงเงิน 6,524 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามแผนอนุรักษ์พลังงาน 20 ปี (พ.ศ.2554-2573)

สำหรับโครงการสำคัญในการดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงานปี 2557 ประกอบด้วย 1.โครงการอนุรักษ์พลังงานสำหรับการเปลี่ยนหลอดไฟฟ้าประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูง (หลอด LED) 2.โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของเครื่องทำน้ำเย็น (Chiller) ในภาคอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจ 3.โครงการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในอาคารภาครัฐ เน้นการส่งเสริมในสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา และกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศ 4. โครงการส่งเสริมมาตรการอนุรักษ์พลังงาน โดยเน้นการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) 5.โครงการส่งเสริมการใช้วัสดุอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงในภาคประชาชน เพื่อช่วยเหลือให้ประชาชนสามารถซื้ออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงในราคาถูก

ส่วนอีก 7 โครงการ ที่ คตร.กำลังตรวจสอบในลำดับแรก ได้แก่ 1.โครงการจัดหารถรุ่นใหม่ สำหรับบริการเชิงพาณิชย์ จำนวน 115 คัน ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) 2. โครงการจัดหารถจักร จำนวน 126 คัน ของ ร.ฟ.ท. 3.โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเฟส 2 ปี 2554-2560 ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. 4.โครงการจ้างให้บริการระบบตรวจสอบ และคัดกรองผู้โดยสารล่วงหน้า ของ ทอท. 5.โครงการสนับสนุนประชาชนในการเปลี่ยนผ่านไปสู่การรับชมโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอล(กสทช.) 6.โครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ของกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 7.โครงการสร้างโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่ 3 ของทีโอที

เครื่องบิน-โซล่าร์เซลล์จ่อเช็กบิล

นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศ ไทย) เสนอให้ คสช. เข้าไปตรวจสอบเพิ่มเติมอีก 3 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการจัดซื้อฝูงบินใหม่ของการบินไทย วงเงิน 2.4 แสนล้านบาท 2.โครงการผลิตไฟฟ้าแสงอาทิตย์ 800 ชุมชน 800 เมกะวัตต์ มูลค่า 4 หมื่นล้านบาท และการขยายสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2 ที่จะใช้งบประมาณปี 2558

โครงการเหล่านี้ใช้เงินงบประมาณเป็นจำนวนมาก และอาจทำให้เกิดการคอร์รัปชั่นเกิดขึ้นได้ จึงเสนอให้ คสช.เข้าไปตรวจสอบเพิ่มเติม เพราะการตรวจสอบโครงการจัดซื้อจัดจ้างขนาดใหญ่ ที่ คสช.กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ ถือเป็นประโยชน์ต่อประเทศที่จะทำให้ไม่มีการคอร์รัปชั่นเกิดขึ้น” นายประมนต์ กล่าว

 บิ๊กรัฐวิสาหกิจพลังงานทยอยไขก๊อก

ทางด้านความเคลื่อนไหวของหน่วยงานด้านพลังงานนั้น นางอัญชลี ชวนิชย์ นายกสมาคมนิคมอุตสาหกรรมไทยและพันธมิตร เปิดเผยว่า ตนเองได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งประธานคณะกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แล้ว เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ที่ผ่านมา เพื่อเปิดทางให้ คสช. ทำการปฏิรูปพลังงานทั้งระบบตามนโยบาย ซึ่งตนขอยืนยันว่า ไม่ได้ถูกกดดันแต่อย่างใด

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ประธานบอร์ดรัฐวิสาหกิจด้านพลังงานคือ นายปานปรีย์ พหิทธานุกร ประธานกรรมการ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ก็ได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่ง มีผล 16 มิถุนายน 2557 เช่นเดียวกับนายณอคุณ สิทธิพงศ์ อดีตปลัดกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ก็ได้ส่งหนังสือถึงตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แจ้งลาออกเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2557 เช่นกัน

ที่มา.สยามธุรกิจ
----------------------------------

วันอังคารที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ปลัด ก.เกษตรฯ ตั้งชุดเฉพาะกิจตรวจจับ ปุ๋ยปลอม -ไม่ได้มาตรฐาน !!?



ปลัดเกษตรฯ ลั่นเอาจริงปราบปรามปุ๋ยและสารเคมีทางการเกษตรปลอม-ไม่ได้มาตรฐาน ตั้งชุดเฉพาะกิจตรวจจับสารเคมีทางการเกษตร ปุ๋ย วัตถุอันตราย และเมล็ดพันธุ์พืชในสถานที่ของผู้ผลิต ผู้จำหน่าย ผู้นำเข้า หรือผู้มีไว้ในครอบครอง ให้ถูกต้องตามกฎหมาย

 นายชวลิต   ชูขจร  ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรฯ ให้ความสำคัญเรื่องการควบคุม ตรวจสอบคุณภาพปุ๋ย และสารเคมีทางด้านการเกษตรที่ถือเป็นต้นทุนที่สำคัญของเกษตรกร จึงได้มีการแต่งตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบและป้องกันการจำหน่ายปัจจัยการผลิตทางการเกษตรที่ไม่เป็นไปตามคุณภาพมาตรฐาน โดยมีปลัดกระทรวงเกษตรฯ เป็นประธาน และมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นกรรมการ เช่น กรมวิชาการเกษตร กรมการข้าว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อให้มีการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยปุ๋ยและวัตถุอันตรายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ  รวมถึงกำหนดแนวทางการตรวจสอบและป้องกันการจำหน่ายปัจจัยการผลิตทางการเกษตรปลอมหรือไม่เป็นไปตามมาตรฐาน

โดยล่าสุดทางคณะกรรมการฯ ได้แต่งตั้ง คณะทำงานเฉพาะกิจตรวจสอบปัจจัยการผลิตทางการเกษตรที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน มีนายวิทยา  ฉายสุวรรณ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรฯ เป็นประธาน  และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ ซึ่งคณะทำงานชุดดังกล่าวจะเป็นหน่วยปฏิบัติการในการตรวจสอบสารเคมีทางการเกษตร ปุ๋ย วัตถุอันตราย และเมล็ดพันธุ์พืชในสถานที่ของผู้ผลิต ผู้จำหน่าย ผู้นำเข้า หรือผู้มีไว้ในครอบครอง ให้เป็นไปตามกฎหมาย  และมีอำนาจในการจัดชุดปฏิบัติการพิเศษ โดยสนธิกำลังจากกรมปศุสัตว์ สารวัตรกรมวิชาการเกษตร หรือเจ้าพนักงานตำรวจในพื้นที่ เพื่อปฏิบัติการตรวจสอบและดำเนินคดีกับผู้ทีกระทำความผิดกฎหมายเกี่ยวกับสารเคมีทางการเกษตร ปุ๋ย วัตถุอันตราย และเมล็ดพันธุ์พืช  เนื่องจากหลังจากที่เกษตรกรได้รับเงินจำนำข้าวเรียบร้อยแล้วและจะเริ่มฤดูกาลผลิตใหม่ จึงอาจจะเป็นโอกาสให้ผู้ผลิตปุ๋ยปลอมและสารเคมีการเกษตรใช้ช่วงเวลาดังกล่าวมาเอาเปรียบเกษตรกรได้ พร้อมทั้งได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับพื้นที่เร่งให้ความรู้ที่ถูกต้องในการใช้ปัจจัยการผลิตที่ถูกต้องตามกฏหมาย รวมถึงปริมาณที่ถูกต้องเหมาะสมตามหลักวิชาการด้วยเช่นกัน        

“จากการดำเนินงานปราบปรามผู้ฝ่าฝืนกฎหมายตาม พรบ. ปุ๋ย และ พรบ.วัตถุอันตราย กรมวิชาการเกษตร ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่า ปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากการขายตรงให้กับเกษตรกรในราคาถูก เป็นปุ๋ยปลอมไม่มีคุณภาพโดยผ่านผู้นำหมู่บ้าน และมีการเร่ขายตรงกับเกษตรกรในราคาถูก  จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่สารวัตรเกษตรร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค กรมสอบสวนคดีพิเศษ สืบหาข้อมูลการผลิตและจำหน่าย แล้วเข้าดำเนินการจับกุมผู้ผลิตและจำหน่ายที่ฝ่าฝืนกฎหมายซึ่งผลการดำเนินการในรอบปีที่ผ่านมาพบผู้กระทำผิดจำนวน 32 ราย ของกลาง 7,929 ตัน มูลค่า 196 ล้านบาท เป็นคดีปุ๋ยจำนวน 24 ราย น้ำหนัก 7,884 ตัน มูลค่า 157 ล้านบาท และจับกุมผู้ผลิตวัตถุอันตรายปลอม 8 ราย จำนวน 45 ตัน มูลค่า 39 ล้านบาท”  นายชวลิต กล่าว

  ด้านนายดำรง  จิรสุทัศน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องจากแหล่งจำหน่ายปุ๋ยและสารเคมีทางการเกษตรส่วนใหญ่กว่า 95 % ผ่านช่องทางสถาบันการเงินที่เกษตรกรกู้ยืมเงินเพื่อทำการเกษตร ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตร (ธ.ก.ส.) และสหกรณ์ต่างๆ  ดังนั้น มาตรการแรกที่กรมวิชาการเกษตรในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการตรวจสอบและป้องกันการจำหน่ายปัจจัยการผลิตทางการเกษตรที่ไม่เป็นไปตามคุณภาพมาตรฐาน และหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการกำกับ ตรวจสอบคุณภาพสารเคมีทางการเกษตร จะทำหนังสือประสานขอความร่วมมือไปยังสถาบันต่างๆ ในการพิจารณาคัดเลือกปัจจัยการผลิตที่ได้มาตรฐานและคุณภาพมาจำหน่ายให้แก่เกษตรกร รวมถึงพร้อมรับตัวอย่างปัจจัยการผลิตมาตรวจสอบคุณภาพก่อนที่จะนำไปจำหน่ายให้แก่เกษตรกรด้วย

ที่มา.นสพ.ฐานเศรษฐกิจ
///////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ธปท.มึนคนไทยขาดวินัยหนี้ท่วม ยอดขอคำปรึกษาปรับโครงสร้างหนี้สูง !!?

ธปท.หู ชา ประชาชนหนี้ล้นพ้นตัว ขอคำปรึกษา ศคง.ปัญหาสินเชื่อ ปรับโครงสร้างหนี้พุ่ง 3 เท่า จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เหตุเศรษฐกิจซบ คนไทยขาดวินัยการเงิน ตีคู่สถิติเรื่องร้องเรียนพฤติกรรมเจ้าหน้าที่แบงก์เพิ่มเท่าตัว

นาง ชนาธิป จริยาวิโรจน์ ผู้อำนวยการศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) หน่วยงานในสังกัดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า จากการจัดเก็บข้อมูลการให้ข้อมูล คำปรึกษา และรับเรื่องร้องเรียนในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา พบว่าเรื่องที่ประชาชนขอข้อมูลและคำปรึกษาส่วนใหญ่เป็นเรื่องการไถ่ถอน พันธบัตรตามที่ ธปท. ได้จัดส่งเอกสารคำขอรับคืนต้นเงินพันธบัตร ลำดับต่อมาคือเรื่องการปรับโครงสร้างหนี้ หลังจากมีภาระหนี้สินเพิ่มสูงขึ้น ทั้งจากหนี้บัตรเครดิต หนี้สินเชื่อส่วนบุคคล จากที่ขาดสภาพคล่อง มีรายได้ไม่เพียงพอ และเป็นประเด็นที่สอบถามขอคำปรึกษาในจำนวนมากทุกไตรมาส

"ปัญหา ปรับโครงสร้างหนี้มีทุกไตรมาส ในภาวะเศรษฐกิจชะลอ มีส่วนทำให้ความสามารถชำระหนี้ของประชาชนน้อยลง แต่อีกเหตุผลหนึ่งเกิดจากประชาชนใช้จ่ายเกินตัวและไม่มีวิธีรักษาสมดุล ระหว่างหนี้สินกับรายรับ ทำให้ยอดการรูดบัตรเครดิต กดบัตรเงินสดเพิ่มสูงขึ้น พอเต็มวงเงินก็ขาดสภาพคล่อง" นางชนาธิปกล่าว

อย่าง ไรก็ตาม จากสถิติปีนี้ยังพบด้วยว่า มีการขอคำปรึกษาเกี่ยวกับเครดิตบูโรเพิ่มขึ้น เนื่องจากประชาชนต้องการทำความเข้าใจและข้อมูล เพื่อแก้ไขหากติดแบล็กลิสต์ ส่วนแนวโน้มเรื่องร้องเรียนในไตรมาส 2 ก็ยังคาดว่าจะเป็นเรื่องการปรับโครงสร้างหนี้ จากปัญหาเรื่องไม่มีวินัยการเงิน

ทั้งนี้ จากรายงานของ ศคง.ที่เผยแพร่ล่าสุด พบว่าในไตรมาส 1/57 มีประชาชนขอข้อมูล คำปรึกษาและร้องเรียนผ่านช่องทางโทรศัพท์ เว็บไซต์ ฯลฯ รวม 15,490 ราย โดยในจำนวนนี้มี 12,848 เรื่องที่ได้รับการบันทึกข้อมูล แบ่งเป็น เรื่องขอข้อมูลขอคำปรึกษา 12,093 เรื่อง ร้องเรียน 691 เรื่อง แจ้งเบาะแสข้อมูลภัยการเงิน 39 เรื่อง และให้คำเสนอแนะ ธปท. 25 เรื่อง ในจำนวนเรื่องร้องเรียน 691 เรื่อง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องร้องเรียนบริการของสถาบันการเงิน พบว่า 444 เรื่อง อันดับ 1 คือ การร้องเรียนพฤติกรรมเจ้าหน้าที่สถาบันการเงินเพิ่มเป็น 150 เรื่อง จากช่วงเดียวกันปีก่อนมี 75 เรื่อง นอกนั้นเป็นการร้องเรียนการบันทึกข้อมูลเงินต้น ยอดหนี้ ค่าธรรมเนียม ดอกเบี้ยไม่ถูกต้อง ปัญหาจากเงินฝากและตั๋วเงิน การขายพ่วงผลิตภัณฑ์การเงิน (cross sell) การถูกหลอกลวงทางอีแบงกิ้ง เครดิตบูโรไม่แก้ไขข้อมูลทั้งที่ชำระหนี้เสร็จสิ้นแล้ว เป็นต้น

ขณะ ที่มีการขอความอนุเคราะห์สถาบันการเงินในเรื่องการปรับโครงสร้างหนี้มาเป็น อันดับ 1 จำนวน 180 เรื่อง จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีเพียง 61 เรื่อง นอกนั้นเป็นขอลดหรือยกเว้นดอกเบี้ยค่าธรรมเนียม

นอกจากนี้ยังพบ เรื่องร้องเรียนด้านสินเชื่อ โดยเฉพาะสินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อธุรกิจ ใน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ เงินต้นและยอดหนี้บัตรเครดิต บัตรกดเงินสดไม่ถูกต้อง ซึ่งสถาบันการเงินได้แก้ไขโดยปรับปรุงข้อมูลลูกค้า ออกหนังสือยืนยันชำระหนี้รวมทั้งแก้ไขข้อมูลเครดิตให้กับลูกค้า (ยกเว้นกรณีบัตรเครดิตที่ไม่มีการออกหนังสือยืนยัน) หรือเรื่องการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมที่ไม่เหมาะสม การคิดดอกเบี้ยไม่เป็นไปตามข้อตกลง ซึ่งบางกรณีเกิดจากลูกค้าไม่เข้าใจในข้อสัญญาและวิธีคิดดอกเบี้ย ขณะเดียวกันสถาบันการเงินได้ตอบชี้แจงหลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณดอกเบี้ยให้ ผู้ร้องเรียนแล้ว

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2557

พม่าปฏิรูป !!?

โดย. ณกฤช เศวตนันท์

ในอดีตที่ผ่านมาชาวโลกอาจมอง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ หรือ พม่า เป็นประเทศที่ด้อยพัฒนา ประชากรขาดการศึกษา และภาพรวมของประเทศยังขาดความเจริญในด้านต่าง ๆ

แต่ในปัจจุบันคงต้องเปลี่ยนความคิดใหม่เสียแล้ว เนื่องจากกำหนดการเข้าเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนของเหล่าสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศในปี พ.ศ. 2558 เป็นตัวกระตุ้นที่สำคัญให้พม่าในวันนี้พัฒนาอย่างต่อเนื่องและเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

ขณะนี้พม่ามีความตื่นตัวเรียนรู้ และพัฒนาด้านต่าง ๆ เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนหรือ AEC อย่างมาก เห็นได้จากการเป็นเจ้าภาพจัดงานขนาดใหญ่ ทั้งซีเกมส์ครั้งที่ 27 และล่าสุดกับการจัดประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 24 ซึ่งถือเป็นการแสดงออกถึงความพร้อมที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับประเทศที่ไม่มีประสบการณ์จัดงานขนาดใหญ่มาเป็นเวลานาน



รวมถึงความตื่นตัวของประชากรในประเทศซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลพม่าพยายามสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนพม่าในด้านต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง

โดยนายพิษณุ สุวรรณะชฎ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงย่างกุ้ง เปิดเผยว่า ขณะนี้ พม่ากำลังปฏิรูปประเทศ ในทุก ๆ ด้าน เพื่อให้ระบบการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และการศึกษาเข้าสู่มาตรฐานอาเซียน เพื่อเตรียมความพร้อมที่จะก้าวขึ้นสู่แถวหน้าของอาเซียน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปฏิรูปการศึกษา ที่ขยายการศึกษาภาคบังคับจาก 11 ปี เป็น 12 ปี และยกระดับการศึกษาวิชาชีพเข้าสู่มาตรฐานอาเซียน ปัจจุบันชาวเมียนมาร์สนใจศึกษาต่อต่างประเทศมากขึ้น รวมถึงศึกษาในสถาบันการศึกษานานาชาติ เพราะทำให้มีทางเลือกในการประกอบอาชีพมากขึ้น

แต่เดิมชาวเมียนมาร์นิยมมาศึกษาต่อที่ประเทศไทย แต่ภายหลังจากการเปิดประเทศแล้ว ชาวเมียนมาร์สนใจเข้าไปศึกษาในประเทศสิงคโปร์และมาเลเซียมากขึ้น

ดังนั้น หากประเทศไทยต้องการรักษาสถานภาพในการเป็นประเทศเป้าหมายด้านการศึกษาของพม่า อาจต้องปรับเปลี่ยนในหลายด้าน อาทิ การปรับหลักสูตรให้เป็นนานาชาติมากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันพบว่าชาวพม่าที่เคยอพยพไปอยู่นอกประเทศทยอยกลับประเทศ พร้อมกับวิทยากร วิสัยทัศน์ ประสบการณ์ ความสัมพันธ์และเงินทุน ที่นำกลับมาจากต่างประเทศเพื่อกลับไปพัฒนาประเทศของตน

สำหรับภาพรวมการค้าในพม่า พบว่าขณะนี้รัฐบาลพม่าได้ประกาศยกเลิกระเบียบที่ต้องขออนุญาตนำเข้าสินค้าแล้วรวม 166 กลุ่มสินค้า จำนวน 1,920 รายการ และได้มีการปรับลดอัตราภาษีศุลกากรตามกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียนแล้วในสัดส่วนร้อยละ 80 ของรายการสินค้าทั้งหมด ซึ่งในปี พ.ศ. 2558 จะปรับลดภาษีเพิ่มเป็นร้อยละ 93 ของรายการสินค้าทั้งหมด และยังได้อนุมัติโครงการลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างอาคาร ที่พักโรงแรม รีสอร์ตอีกจำนวนกว่า 900 โครงการ รวมถึงการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งและการสื่อสารที่กำหนดให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. 2558

ที่กล่าวมาข้างต้นนี้ จะมีผลทำให้ความต้องการบริโภคสินค้าและการนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยเพิ่มขึ้น ซึ่ง นายบูรณ์ อินธิรัตน์ อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายการพาณิชย์ สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ กรุงย่างกุ้ง แนะนำธุรกิจที่ผู้ประกอบการไทยควรเข้าไปลงทุนในพม่าในขณะนี้ ได้แก่ ธุรกิจออกแบบและก่อสร้าง ธุรกิจขอสัมปทานระบบสาธารณูปโภค ธุรกิจบ้านพัก คอนโดมิเนียม อพาร์ตเมนต์ อาคารพาณิชย์ รีสอร์ต ธุรกิจโรงแรม โรงพยาบาล สุขภาพและความงาม บันเทิงและสื่อโฆษณา เหมืองแร่ อัญมณี และการประมง

ธุรกิจข้างต้นล้วนแต่เป็นธุรกิจที่ผู้ประกอบการไทยสามารถเข้าไปลงทุนได้ หากมีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ ดังนั้น ในเวลานี้จึงน่าจะเป็นช่วงจังหวะที่ดีที่จะอาศัยช่วงที่พม่ากำลังเร่งพัฒนาประเทศให้มีความพร้อม ในการก้าวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในการเข้าไปลงทุนในพม่าในเวลานี้

ที่มา.ประชาขาติธุรกิจ
-----------------------------------------

วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2557

มาช่วยทหารทำให้ชาติสงบ !!?

โดย : พระพยอม กัลยาโณ

เห็นคนที่ถูกทหารเรียกมารายงานตัวเพื่อปรับความเข้าใจให้ตรงกันในการที่จะทำให้บ้านเมืองสงบและเดินหน้าต่อไป ออกมาบอกว่ายินดีให้ความร่วมมือกับทหาร แล้วจะไปทำความเข้าใจกับคนที่สนับสนุนกลุ่มของตนให้เข้าใจถึงการเข้ามายึดอำนาจของทหาร รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี ซึ่งถ้าร่วมมือกันอย่างนี้แล้วบ้านเมืองเราจะสงบสุขเป็นอย่างยิ่ง

++++++++++++++++++++++++++

ขออนุโมทนาด้วยกับการที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ประสบความสำเร็จด้วยวิธีการ “หนามยอกเอาหนามบ่ง” คือดึงคนที่เป็นแกนนำม็อบระดับฮาร์ดคอร์ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม กปปส. หรือ นปช. ที่ดึงเขามาแล้วก็ใช้ความสามารถของเขา เช่น คุณอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง แกนนำ นปช. บอกว่า จะขออาสาใช้ความเป็นศิลปินช่วยงานทหารเพื่อสร้างความปรองดอง อาตมาคิดว่าจะเสียงบประมาณมากสักเท่าไรก็ยังดีกว่าเราอยู่กันแบบแตกแยก ขัดแย้งกันตลอด ซึ่งจะไม่เกิดคุณเลยนอกจากเกิดโทษ

อาตมาได้ฟังลุงยิ้ม ตาสว่าง นี่จะตาสว่างแท้เลยถ้าช่วยให้บ้านเมืองสงบได้ ที่ผ่านมาอาจสว่างแบบเข้าใจผิด สว่างแบบ “มิจฉาทิฐิ” ก็เป็นได้ คิดว่าถ้าทำกันอย่างนั้นแล้วจะตาสว่าง อาตมาขอบอกว่ารับไม่ได้ ถ้าตาสว่างแบบนั้นจะเป็นการทำลายชาติบ้านเมืองของเราอย่างย่อยยับที่สุด ถ้าเรายังคิดว่าสู้กันต่อไป จัดม็อบกันต่อไป ทิ้งลูกทิ้งเต้า ทิ้งที่ทำมาหากิน มาจัดกันแต่เรื่องม็อบซึ่งเป็นไปไม่ได้ ประเทศชาติจะเดินไม่ได้

ครั้งนี้ถ้าได้เขามาแล้วนำไปช่วยปรับเปลี่ยนทัศนคติของฝ่ายเดียวกันที่เคยเข้าม็อบ เปลี่ยนมาช่วยไม่ให้เกิดม็อบ ไม่ให้เกิดความวุ่นวาย แต่เกิดอีกม็อบหนึ่งคือ ม็อบที่ทำให้บ้านเมืองสงบ ทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายมาป้อนข้าว กินข้าววงเดียวกัน ร้องเพลงกันอย่างครื้นเครง สนุกสนาน นี่แค่ทำช่วงนิดเดียวประชาชนส่วนใหญ่บอกว่ามีความสุขจริงๆ ซึ่งนึกไม่ถึงว่ามีการรัฐประหารแล้วจะทำแบบนี้ได้

อาตมาไม่ได้พูดเชียร์หรือเอาใจเพื่อประโยชน์อะไร แต่เห็นว่ารัฐประหารครั้งนี้ฉลาด ทำแบบชนิดที่ “บัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น” ที่ได้ผลมากก็คือ ทำให้ทุกฝ่ายกลับมาปรองดอง ยินดี รักใคร่สามัคคี ตรงนี้จะกลายเป็นเรื่องที่สุดยอดจริงๆ ตาสว่างครั้งที่แล้วมันสว่างอย่างที่อยากจะเรียกว่าไฟฉายแวบๆ เดี๋ยวถ่านก็หมด เดี๋ยวก็มีเรื่องขึ้นมาอีก ถ้าบอกว่าเราตาสว่าง รู้ว่าสถาบันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วช่วยอะไรกันได้ก็ดี เพราะสถาบันเคยอยู่เป็นที่พึ่ง เป็นจุดศูนย์รวมใจ พอเราไม่ถูกใจเรื่องอะไรขึ้นมาก็ไปลงที่สถาบันหมด แต่ถ้าเราดูในอดีตจะเห็นว่าสถาบันก่อคุณ ก่อประโยชน์ต่อบ้านเมืองอย่างไร เรามาร่วมมือกันดีกว่า ที่แล้วก็แล้วกันไป มาเดินหน้าใหม่กัน

เอาความเป็นธรรมกลับมา กฎหมายก็ใช้ให้เป็นกฎหมาย ใครควบคุม ใช้กฎหมายก็ขออย่าสองมาตรฐาน เดี๋ยวก็ดีหมด แล้วทหารก็กลายเป็นผู้ได้นาทีทองอย่างสบายๆ การรัฐประหารที่แล้วๆมาเหตุการณ์ไม่ทันจะสุกงอม พอไปทำคนก็ลุกฮือขึ้นมา ขอย้ำอีกครั้งว่าตอนนี้เป็นนาทีทองจริงๆ เป็นความสุกงอม ความเบื่อม็อบ เบื่อกระบวนการสารพัดที่ลุกขึ้นมาคัดค้านต่อต้านรัฐบาล ขับไล่กันไม่หยุด ต่อไปนี้ลองมาขับไล่ความเข้าใจผิด ความวุ่นวายออก ขับไล่รัฐบาลมันไม่จบ ถ้าเราไม่รวมใจกันก็ไม่มีวันจบ มีแต่วันเจ๊งกับเจ๊า

ถ้าเราสามัคคีกันได้ มาช่วยทหารทำให้บ้านเมืองสงบ แล้วทหารก็อย่าหลงใหลในอำนาจ พอบ้านเมืองสงบก็คืนเข้าสู่การเลือกตั้งให้เป็นประชาธิปไตย เท่านี้ทุกอย่างจะลงเอยด้วยดี แล้วก็จะมีความโดดเด่นในโลก ทำให้ประเทศอื่นๆที่เข้าใจ คสช. ผิดรู้ว่าเราแก้ไขปัญหาบ้านเมืองของเราภายใน ซึ่งเขาไม่รู้ว่าปัญหาประเทศเราเป็นอย่างไร โดยเฉพาะปัญหานักการเมือง เขาก็ต้องต่อต้าน ทำให้เขาได้มารู้ มาดูมาเห็น แล้วเราก็ทำจริงๆ

ส่วนทหารก็อย่าปล่อยให้ความงี่เง่าเข้าครอบงำ คืออยากได้อำนาจ ไม่ยอมปล่อยอำนาจ ถ้าทหารยอมปล่อยอำนาจ ล้านเปอร์เซ็นต์ผู้คนจะชื่นชมยกย่องว่าทหารทำเพื่อบ้านเมืองจริงๆ ไม่ได้ทำเพื่ออำนาจวาสนา เป็นเรื่องที่บ้านเมืองต้องการจริงๆ ความสงบแบบนี้ดีจริงๆ ถูกต้องชัดเจนจริงๆ และเขาก็จะอภิรมย์ชมชื่นอย่างชนิดหาไม่ได้อีกแล้ว อาตมาหวังว่าเราควรทำเรื่องทำที่จะเกิดคุณ เกิดประโยชน์ต่อบ้านเมือง แล้วบ้านเมืองก็จะเดินหน้าต่อไป

ตรงนี้จะทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศแรกของโลก เพราะประเทศที่ทำแบบนี้บาดเจ็บล้มตายกันเยอะ แต่เราไม่เป็นอย่างนั้น เราดีที่สุด เป็นต้นแบบของการรัฐประหารที่ทำให้บ้านเมืองสงบไว แล้วดึงใจฝ่ายตรงข้ามที่เคยเกลียดชัง ต่อต้าน มาร่วมแรงร่วมใจกัน สวรรค์ของเมืองไทยจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

เจริญพร

ที่มา.สำนักข่าวพระพยอม
_______________________________

เงินกำลังจะหมุนไป... หนี้ใหม่ กำลังจะหมุนมา... !!?

โดย. รัตนา จีนกลาง

หลังจากอมทุกข์มานานเกือบค่อนปี ชาวนาไทยก็ได้แฮปปี้ซะที หลังจากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) รุกรบเร็ว ประเดิมผลงานชิ้นโบแดงโปรเจ็กต์แรกด้วยการคืนความสุขให้ชาวนา ได้รับเงินจำนำข้าวในเวลาอันรวดเร็ว

โดยอนุมัติให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นแม่งานดำเนินการจ่ายเงินที่ค้างอยู่ให้ชาวนาประมาณ 8 แสนราย วงเงินรวมทั้งสิ้น 92,000 ล้านบาท ซึ่งจะต้องเร่งจ่ายเงินได้ครบจำนวนทั้งหมดไม่เกินสิ้นเดือนมิถุนายนนี้

ปฏิบัติการ "ปลดทุกข์ชาวนา" แบบว่องไว เฉียบขาดของ คสช. ทำให้ความทุกข์ระทมแปรมาเป็นรอยยิ้ม มีความหวัง โลกสดใสกลับคืนมาเพียงชั่วข้ามคืน หลังจากที่ต้องหลังขดหลังแข็ง ลงทุนลงแรงปลูกข้าวมาแรมปี

แต่หากพิจารณาดูในสภาพความเป็นจริงในวิถีชีวิตของชาวนาไทย เงินก้อนนี้จะอยู่ในมือชาวนาเพียงชั่วระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น ส่วนใหญ่เงินก็กำลัง "จะหมุนไป" เพียงชั่วข้ามคืนเช่นกัน

เพราะส่วนใหญ่จำเป็นต้องนำเงินไปชำระสารพัดหนี้ ทั้งหนี้ในระบบ-หนี้นอกระบบ และสำรองไว้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของครอบครัว สภาพที่เป็นอยู่ของชาวนาแต่ละครอบครัวต้องแบกรับภาระหนี้ครัวเรือนล้นพ้นตัว

เอาเข้าจริงก็แทบจะไม่เหลือเงินให้ออม ไม่เหลือกิน-เหลือเก็บสักเท่าไหร่ เพราะ "รายจ่าย" มักจะมากกว่า "รายรับ" แถมยังไม่มีรายได้เสริมอื่น ๆ เข้ามา มีรายได้เพียงปีละครั้งเท่านั้น

ฉะนั้น เงินที่จะสำรองไว้ใช้สำหรับการลงทุนปลูกข้าวในรอบต่อไป หรือนำไปลงทุนค้าขายอื่น ๆ ก็ยังต้องกลับไปกู้หนี้ยืมสินมาใช้เหมือนเดิม ไม่สามารถหนีออกจากวงจรของการเป็นหนี้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มชาวนาที่ไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง ต้องเช่าที่ดินคนอื่น

ในมุมบวก ไม่เฉพาะชาวนาเท่านั้นที่ยิ้มออกเพราะอำนาจซื้อกลับคืนมา แต่ยังมีผู้ที่ได้รับอานิสงส์กับเงินก้อนโตนี้อีกหลายอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้า แม่ค้า ห้างค้าปลีก โมเดิร์นเทรด โชห่วย บริษัทผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค เครื่องใช้ไฟฟ้า มือถือ ร้านทอง โชว์รูมรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ร้านวัสดุก่อสร้าง ฯลฯ ก็พากันหายใจคล่องขึ้น จากกำลังซื้อของชาวนาที่สะพัดออกมากระตุ้นยอดขายให้กระเตื้องขึ้น

ในช่วงเดือนมิถุนายนนี้เป็นต้นไป บรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยในต่างจังหวัดเริ่มคึกคักขึ้นมาอีกนิดแล้วหลังจากที่ซบเซาเงียบเหงามานาน ชาวนามีการนำเงินออกมาใช้จ่าย จุดแรกที่ชาวนาไม่กล้าเบี้ยวก็คือ การจ่ายหนี้ ธ.ก.ส. จ่ายค่าบัตรเครดิตเกษตรกร ที่นำไปรูดปรื๊ด ๆ เพื่อซื้อปัจจัยการผลิต

จากนั้นก็เป็นคิวไปจ่ายหนี้นอกระบบ จ่ายค่าปุ๋ยเคมี ค่าเกี่ยวข้าว ค่าน้ำมัน ค่ายาฆ่าแมลง หรือค่าเช่านาที่ค้างมาตั้งแต่ฤดูกาลปลูกข้าว

ถัดมาก็จะเป็นกลุ่มของรายจ่ายประจำ อาทิ ค่าผ่อนงวดรถยนต์-มอเตอร์ไซค์-รถไถนา-รถเกี่ยวข้าว ค่าประกันภัย ค่าซื้อชุดนักเรียน/อุปกรณ์การเรียนลูกหลาน เรียกว่ามีสารพัดหนี้ที่ต้องจ่ายพัวพันรัดตัวแทบทุกครัวเรือน

ดังนั้นการเลือกที่จะปลดล็อกโครงการรับจำนำข้าว จึงนับได้ว่าเกิดประโยชน์ถ้วนหน้าหลายเด้ง ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว เพราะการจับจ่ายใช้สอยเงินจำนำข้าวทำให้เม็ดเงินหมุนเวียนเปลี่ยนมือไปสู่ระบบเศรษฐกิจได้หลายรอบ ช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจได้หลายเซ็กเตอร์ไปพร้อม ๆ กัน

วันนี้เงินกำลังค่อย ๆ หมุนไป...แต่หนี้ก้อนใหม่ก็กำลังคืบคลานมา นี่คือสภาพของเหรียญสองด้านที่เกิดขึ้น ซึ่งชาวนายากที่จะสลัดออกไปได้

ในท้ายที่สุดแล้ว ชาวนาส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงทางผ่านของเงินก้อนนี้

วันนี้จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ชาวนาจะต้องวางแผนชีวิตตนเองใหม่ เพราะจากนี้ไป คสช.ประกาศชัดเจนว่าจะไม่มีโครงการรับจำนำหรือประกันราคาข้าวอีกแล้ว ขณะที่ราคาผลผลิตยังคงผันผวนอยู่เหมือนเดิม ส่วนวิธีการทำนาแบบพึ่งพาปุ๋ยและสารเคมีแบบเดิม ๆ ยิ่งทำให้ต้นทุนการผลิตพุ่งสูงขึ้นทุกวัน ทำนาแล้วไม่คุ้มทุน ฉะนั้นต้องรู้จักวิธีการลดต้นทุน

ตอนนี้ชาวนาหลายพื้นที่มีการปรับเปลี่ยนวิธีการปลูกข้าว มีการนำนวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้ มีการหันมาปลูก "ข้าวเป็นยา" เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะข้าวสายพันธุ์สีดำ ข้าวหอมนิล ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวสังข์หยด ซึ่งเป็นพันธุ์ข้าวที่มีคุณสมบัติช่วยป้องกันโรคมะเร็ง โรคเบาหวาน ซึ่งเป็นโรคยอดฮิตของคนไทยในยุคนี้ หากส่งเสริมให้มีการปลูกและบริโภคกันอย่างจริงจัง ก็จะช่วยทำให้สุขภาพคนไทยดีขึ้นทั้งประเทศ

นอกจากนั้นก็ต้องช่วยกันขยายตลาดข้าวอินทรีย์ หรือข้าวออร์แกนิกส์ให้มากขึ้น เพราะเทรนด์ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความใส่ใจกับสุขภาพและการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าข้าวไทยได้หลายเท่าตัวในตลาดโลกอีกด้วย

ดังนั้นหากจะแก้ปัญหาหรือพัฒนาให้ชาวนาหรือเกษตรกรทั้งประเทศลืมตาอ้าปากได้ และมีความสุขตลอดไป คสช. สถาบันการศึกษา และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องให้การส่งเสริมสิ่งเหล่านี้อย่างเป็นระบบจริงจัง โดยเฉพาะการควบคุมการใช้สารเคมีซึ่งเป็นตัวการทำลายสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

ที่สำคัญคือต้องทำควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบชลประทาน เพราะภาคเกษตรกรรมของไทยแขวนไว้กับธรรมชาติ หากปีใดน้ำท่าบริบูรณ์ดี ผลผลิตก็จะดีตามไปด้วย แต่ถ้าปีใดฝนแล้ง หรือเจอน้ำท่วม หนี้สินก็จะพอกพูน

นี่คือการบ้านข้อใหญ่ของ คสช.

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
------------------------------------------------

วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ประกาศ คสช.ที่ดีที่สุด !!?

โดย.วงค์ ตาวัน

ประกาศคสช.ฉบับที่ 63/2557 เรื่องนโยบายเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมของรัฐ ว่ากันว่าเป็นประกาศฉบับที่ดีที่สุด น่าสนใจที่สุด และน่าติดตามผลที่จะติดตามมาอย่างใจจดจ่อ

เนื้อหาสาระสำคัญก็คือ

"การดำเนินการเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมต่างๆ ของรัฐต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติแห่งกฎหมาย

แต่การดำเนินคดีต่างๆ ที่ผ่านมาและการทำหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรม อาจก่อให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่ามีการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม

ทำให้ปัญหาความขัดแย้งและแตกแยกในสังคมเกิดขึ้น และอาจมีเพิ่มมากขึ้นในอนาคต"

ฟังเช่นนี้แล้ว นับว่าตรงใจกับคนไทยแทบทั้งประเทศ

เพราะนี่แหละคือ ปัญหาใจกลางสำคัญประการหนึ่ง อันนำมาซึ่งความขัดแย้งแตกแยกอย่างรุนแรงตลอด 9 ปี 10 ปีที่ผ่านมา!

การที่คสช. หยิบมาออกประกาศ กำหนดเป็นนโยบายที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่ง จึงน่าจะเป็นความหวังให้กับ สังคมไทยได้

ที่เฝ้ามองกันว่า คสช.เข้ามาแก้ปัญหา คงไม่ได้มาแสวงหาอำนาจเสียเองนั้น

เมื่อกล้าหยิบเรื่องนี้มากล่าวถึง เพื่อวางนโยบายแก้ปัญหา

ก็ต้องนับว่า ส่อแสดงให้เห็นความตั้งใจจะแก้ปัญหาอย่างถูกจุดโดยแท้จริง

เนื้อหาประการต่อมาในประกาศดังกล่าวระบุว่า

"คสช.ขอประกาศว่า

คสช.มีนโยบาย เกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมของรัฐว่า ประชาชนต้องได้รับความเป็นธรรมภายใต้บทบัญญัติแห่งกฎหมายอย่างทั่วถึง เสมอภาค และเท่าเทียมกันในกระบวนการยุติธรรม

องค์กรหรือหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าศาล ป.ป.ช. องค์กรอิสระอื่น

อัยการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ รวมทั้งหน่วยงานอื่นของรัฐ

ขอให้ยึดมั่นปฏิบัติงานด้วยความเที่ยงธรรมและมีบรรทัดฐานที่ชัดเจนในการดำเนินคดี ตามประเภทคดีที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ ซึ่งสาธารณชนตรวจสอบได้

หลีกเลี่ยงการดำเนินการใดๆ ที่อาจมีผลให้เกิดความเข้าใจผิดในการบังคับใช้กฎหมาย นำไปสู่ความขัดแย้งและแตกแยกในสังคม

ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรมและไม่เลือกปฏิบัติ ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป"

ในฐานะประชาชนคนทั่วไป นอกจากจะเห็นด้วยทั้งหมดแล้ว

ยังอยากจะเน้นย้ำให้มีผลต่อการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงจริงๆ

อย่างเช่น ป.ป.ช. หรือตุลาการในองค์กรอิสระ

ที่มา.ข่าวสด
_________________________________

วันเสาร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2557

หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์ หน.คสช. !!?

หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามากุมอำนาจการบริหารประเทศของ คสช.

เป็นเวลากว่า 3 สัปดาห์ของการเข้ามากุมอำนาจการบริหารประเทศของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต้องยอมรับว่าสภาวะบ้านเมืองของประเทศไทยในยามนี้ หลายคนจะดีใจ และมีความสุขใจที่เหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองจบลงเสียได้สักที หลังจากทุกอย่างเหมือนอยู่ในสภาวะถูกแช่แข็ง

หากเราไม่ปฎิเสธความจริงที่เกิดขึ้น ต้องยอมรับว่าสถานการณ์บ้านเมืองของเราในเวลานี้ได้เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นในหลายเรื่อง ในหลายด้าน

ด้านหนึ่งที่เห็นชัดเจนๆ ในตอนนี้ คือ ความอึดอัดในความเป็นอยู่ เพราะตลอดระยะเวลากว่า 6 เดือนที่ผ่านมา ชีวิตคนไทยอย่างเราๆท่านๆ เราต้องอยู่กับความอึดอัดไปเสียทุกด้าน ไปเสียทุกเรื่อง ทุกอย่างอยู่ในภาวะอึมครึม

แต่หลังจากวันที่ 22 พฤษาคม ที่ผ่านมา ความอึดอัดความอึมต่างๆ ได้หายวับไปในทันที หลายเรื่องหลายราวที่เราต่างมีความอึดอัด หลายเรื่องที่มีความอึมครึมเริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น

ล่าสุดพล.อ.ประยุทธ์ จันโอชา หัวหน้าคสช. ได้ออกมาแถลงและชี้แจงในเรื่องต่างๆ ถึงการทำงานของคสช.ผ่านหน้าจอทีวีอย่างเป็นทางการ และได้ย้ำถึงจุดยืนถึงแนวทาง และกรอบระยะเวลาในการดำเนินการแก้ไขปัญหาต่างๆ ของคสช. ทยอยออกมาสู่สาธาณะอย่างต่อเนื่อง โดยกำหนดเป็นโรดแมป 3 ระยะ ที่ประกอบด้วย"สร้างความปรอง ปฎิรูประเทศ และจัดการเลือกตั้ง"

ส่วนระยะเวลาในการดำเนินการตามแผนโรดแมปที่ได้วางไว้ไม่ได้มีการกำหนดเงื่อนเวลาที่แน่นอน หรือขีดเส้นตายล็อคเอาไว้ให้ตายตัว บอกเพียงว่าการจะนำไปสู่ระยะที่ 3 ที่กำหนดให้มีการเลือกตั้งครั้งใหม่ได้นั้น แผนในระยะที่ 1 และระยะ 2 จะต้องดำเนินการให้เสร็จเรียบร้อย และบ้านเมืองมีความสงบและมีความสนามฉันท์ให้ได้เสียก่อน ซึ่งประเด็นเรื่องนี้คสช.ให้ความสำคัญอย่างมาก

เนื่องจากคสช.คิดว่าหากปล่อยให้เดินสู่การเลือกตั้ง โดยบ้านเมืองยังไม่มีความสงบ สุดท้ายก็จะเดินเข้าสู่วังวนเดิมเหมือนที่ผ่านมาอีก

นี่แค่ระยะเวลาได้เดินผ่านมาเพียง 20 กว่าวันยังไม่ถึง 1 เดือนดี กระแสการต่อต้านและไม่ยอมรับอำนาจการรัฐประหารก็ได้เริ่มก่อตัวขึ้นมาแล้ว ถึงแม้จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่างที่ชัดเจน สาเหตุหนึ่งคสช.ออกมาสกัดตัวแกนนำการเคลื่อนไหว ด้วยการเรียกเข้าไปรายงานตัวเพื่อทำความเข้าใน หากใครฝ่าฝืนก็ใช้มาตรการเด็ดขาดด้วยจับกุมดำเนินคดี

อย่างไรก็ตามก็ยังกลุ่มผู้ต่อต้านบางส่วนก็ยังไม่ลดละเลิก หยุดการเคลื่อนไหว แถมยังมีการนัดแนะออกมาท้าทายอย่างต่อเนื่องในช่วงวันหยุด ด้วยการใช้วิธีเล่นสงครามประสาท ท้าทายอำนาจคสช.อย่างต่ออเนื่อง

ใช้สื่อในโลกออนไลน์ในการนัดแนะ และปล่อยข่าวสร้างความสับสนให้กับฝ่ายเจ้าหน้าที่ที่ควบคุมดูแล จนทำให้หัวหน้าคสช.ถึงกับอดรนทนไม่ไหว ถึงกลับเรื่องดังกล่าวแถลงผ่านหน้าจอ ถึงการออกมาเคลื่อนไหวของกลุ่มคนต่อต้านที่แสดงสัญลักษณ์ “ชูสามนิ้ว” ขึ้นฟ้า

"ขอให้ทุกคนช่วยกันปฏิรูปประเทศขึ้นใหม่ จากการที่ประเทศไทยใกล้จะพังทลายลงทุกระบบ ขอให้ร่วมมือกับ คสช. วันนี้ต้องไม่มีพวก ไม่มีฝ่าย ส่วนการชูสามนิ้วถือว่าเป็นหลักการของต่างประเทศ ผมไม่อยากขัดแย้ง แต่ถ้าต้องการจะชูสามนิ้ว ขอให้ชูในบ้าน หากชูนอกบ้านก็ถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดต่อประกาศของคสช."

แรงกระเพื้อมของกระแสการต่อต้านคสช.ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ดูเหมือนยังไม่มีน่าเป็นห่วง เพราะกระแสการตอบรับคสช.ที่เข้ามายังมีจำนวนมาก

ดังนั้นในช่วงเวลาหลังจากนี้ไปคสช.จำเป็นที่จะต้องเร่งมือใส่เกียร์เดินอย่างเต็มที่ ตามที่ได้ประกาศเอาไว้ให้เห็นผลโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

หากปล่อยให้เงื่อนเวลาเดินทอดออกไปนานนานเท่าไร กระแสการตอบรับคสช.อาจจะตีกลับกลายเป็นการต่อต้านได้ สาเหตุหนึ่งมาจากความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจคสช.

เรื่องดังกล่าวนี้เชื่อได้ว่าตัวหัวหน้าคณะคสช.เองก็รู้ดี เพราะได้เคยแถลงออกสาธาณะ และยืนยันอย่างหนักแน่นว่าเรื่องการหาผลประโยชน์ในคสช.จะต้องไม่เกิดขึ้น เพราะการเข้ามาครั้งนี้เพื่อต้องการเข้ามาแก้ไขปัญหา ไม่ใช่เข้ามาสร้างปัญหาเสียเอง

อย่าลืมว่าการเข้ามาของคสช.ในครั้งนี้ มีทุนที่ติดลบอยู่จำนวนหนึ่ง คือ ความไม่ยอมรับ และความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ สิ่งที่จะแก้โจทย์เหล่านี้ได้ คือ "การทำงาน" และ "ผลงาน" ตามที่ได้มีการประกาศเอาไว้

เรื่องดังกล่าวนี้ตัวพล.อ.ประยุทธ์ และคณะคสช.เองก็รู้ และเข้าใจเป็นอย่างดี ซึ่งเราจะสังเกตเห็นได้ว่าในช่วงหลังๆมานี้มาตรการ และผลงานต่างๆของคสช.ได้ทยอยประกาศออกมาอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญยังซื้อใจกองหนุนได้อีกเพียบ

โดยประเด็นการตัดสินใจให้ประกาศยกเลิกการนั่งเครื่องบินฟรีของบอร์ดการบินไทยทุกคน เพราะเห็นว่าค่าใช้จ่ายดังกล่าวทำให้การบินไทยต้องแบกรับภาระเกินความจำเป็น ดังนั้นเชื่อเถอะว่าหลังจากนี้คสช.คงจะมีหมัดเด็ดออกมาเรียกเสียงเชียร์จากกองหนุนได้อีกโขแน่

การก้าวย่างหลังจากนี้ของคสช. และพล.อ.ประยุทธ์ คงจะถูกจับจ้องดูการเคลื่อนไหวอย่างไม่กระพริบตาจากบรรดากองเชียร์กองแช่ หากก้าวพลาดเจอถล่มซ้ำแน่ แต่ทำดีรับรองว่าจะได้รับเชียร์คงจะตามมาอีกตรึมเช่นกัน

ดังนั้นคำสำนวนที่พูดกันไว้ว่า "หนทางพิสูจน์ม้า การเวลาพิสูจน์คน" คงจะสามารถนำมาใช้กับท่านหัวหน้าคสช.ในช่วงเวลาตอนนี้ได้อย่างไม่เคอะเขิน..

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////

ทำให้ได้อย่างที่พูด !!?

โดย. ซิคเว่ เบรคเก้

การกระทำเสียงดังกว่าคำพูด มีคำกล่าวที่ว่าผู้นำต้อง "ทำให้ได้อย่างที่พูด" "ลงมือทำ ไม่ใช่ดีแต่พูด" และ "รู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับแบรนด์" คำกล่าวเหล่านี้มีการพูดซ้ำ ๆ จนฟังแล้วน่าขบขัน

อย่างไรก็ตาม กฎเหล่านี้ยังคงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้นำต้องทำสิ่งที่เขาพูดว่าจะทำ

คนเราต่างหวังพึ่งผู้นำสำหรับคำแนะนำและการยอมรับ คนเรามักเคารพผู้นำที่ปฏิบัติในสิ่งเดียวกันกับที่เขาพร่ำบอกเรา และคนเราจะตั้งข้อสงสัยต่อความซื่อตรงของผู้นำที่ไม่จริงใจต่ออุดมการณ์ของบริษัท สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ในแง่ของธุรกิจ และมันคือเหตุผลที่ผมเชิญชวนทุกคนให้ "ทำให้ได้อย่างที่พูด"

ผู้อ่านบางท่านอาจทราบแล้วว่า ในช่วงปี 2543 ผมอยู่ในตำแหน่ง "ซีอีโอ" ร่วมของ "ดีแทค"

ดีแทคเคยเป็นบริษัทไทยที่ประสบความสำเร็จในการสร้างและดำเนินงานด้านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ แต่หลังจากนั้นก็ประสบกับความยากลำบากในตลาด ในขณะที่เริ่มดำเนินการปรับปรุงบริษัทครั้งยิ่งใหญ่ เปลี่ยนแปลงทุกอย่างตั้งแต่สินค้าและบริการไปจนกระทั่งวัฒนธรรมขององค์กร เรามุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำชั้นแนวหน้า ดังนั้น เราจึงเริ่มสร้างวัฒนธรรมรุ่นใหม่ในบริษัทที่เป็นกันเองและเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น

ไม่กี่ปีต่อมา ผมกลายเป็นซีอีโอของดีแทค และผมยังคงสร้างวัฒนธรรมแห่งความตรงไปตรงมา ความโปร่งใส และความเต็มใจที่จะเสี่ยงในเรื่องที่ไตร่ตรองมาแล้ว

เราต้องการสร้างสถานที่ทำงานที่ "ไม่มีการกล่าวโทษ" กัน เพื่อให้พนักงานรู้สึกมั่นใจกับการตัดสินใจของเขา แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้นด้วย ปรากฏว่าผมเองก็มีสิ่งที่ต้องเรียนรู้เช่นเดียวกัน

ก่อนสงกรานต์ซึ่งเป็นเทศกาลวันหยุดที่ยิ่งใหญ่เทศกาลหนึ่งของไทย เราคุยกันถึงความคิดที่จะเสนอโปรโมชั่นพิเศษหนึ่งวันสำหรับลูกค้าเติมเงินของดีแทคเพื่อกระตุ้นยอดการเติมเงิน ผมคิดว่า "ผมชอบความคิดนี้ มันสอดคล้องกับแผนการตลาดของเรา และเป็นวิธีที่ดีที่สามารถสร้างแบรนด์และให้ความสำคัญกับลูกค้า"

แต่พวกเราไม่มีเวลาที่จะทำการวิเคราะห์อย่างละเอียด และทีมงานต่างเห็นพ้องกันว่า มันเป็นโปรโมชั่นที่ดีสำหรับเทศกาลวันหยุด และดูเหมือนมันจะมีจุดอ่อนเพียงเล็กน้อย

ในวันที่เราเปิดตัวโปรโมชั่น เราหวังว่าจะมีลูกค้าเพิ่มขึ้นในร้านค้าเพื่อเติมเงินด้วยโปรโมชั่นพิเศษนี้ ผมจำได้ติดตาว่า มีคนต่อแถวนอกศูนย์บริการดีแทคหลาย ๆ แห่งทั่วประเทศ คนมากมายเหล่านี้เข้าคิวเพื่อรับโปรโมชั่นฟรี ซึ่งแม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ก็ได้รับการตอบรับที่ดีอย่างที่ไม่มีใครคิดมาก่อน และกลายเป็นโปรโมชั่นยอดนิยมขึ้นมาทันที

แต่หากมองอีกด้าน เราสูญเสียรายได้ที่ควรจะได้รับไป อย่างไรก็ตาม ผมได้ตัดสินใจไปแล้ว และผมไม่สามารถกล่าวโทษใครได้นอกจากตัวผมเองและการตัดสินใจของผม

ดังนั้น เมื่อผมกลับเข้าออฟฟิศหลังจากช่วงวันหยุด ผมส่งอีเมล์ถึงทุกคนในบริษัทเพื่อบอกว่า ผมคาดการณ์ความนิยมของโปรโมชั่นนี้ต่ำไป ผมผิดไปแล้ว ผมจบอีเมล์ของผมด้วยการบอกทุกคนว่า ผมอยากให้ดีแทคเป็นที่ทำงานที่คุณสามารถทำผิดพลาดได้ ตราบใดที่คุณเรียนรู้จากความผิดพลาดนั้น

ถ้าผมต้องการสร้างวัฒนธรรมที่ไม่มีการกล่าวโทษกัน ผมต้องตรงไปตรงมากับความผิดพลาดของผม และกล่าวขอโทษ

นี่เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของกฎนี้ : ทำในสิ่งที่คุณพูดว่าคุณจะทำ

อีกคุณลักษณะสำคัญของวัฒนธรรมดีแทคและเทเลนอร์คือ การให้ความสำคัญกับลูกค้า การเป็นผู้นำในตลาดเทเลคอมในเอเชียที่มีการแข่งขันสูง คุณต้องนำเสนอบางอย่างที่พิเศษยิ่งกว่าให้กับลูกค้า

นั่นคือ ความสะดวกสบาย ราคาที่สามารถจ่ายได้ บริการ ความคุ้มค่า หรือทั้งหมดนี้รวมกัน

รากฐานสำคัญของธุรกิจทุกประเภทคือความสัมพันธ์ เราต้องปฏิบัติกับพาร์ตเนอร์และลูกค้าของเราด้วยความเคารพ เราต้องให้ความสนใจพวกเขา เราต้องใส่ใจทั้งความคับข้องใจและความต้องการของพวกเขา เราไม่สามารถเอาตัวเราออกห่างจากลูกค้าได้ เราต้องสร้างการมีส่วนร่วม รับฟัง และลงมือปฏิบัติ

ซีอีโอและผู้บริหารระดับอาวุโสควรหาโอกาสไปเยี่ยมเยียนตลาดของพวกเขาบ้าง ควรใช้เวลาพูดคุยกับผู้ดูแลร้าน ผู้กระจายสินค้า พาร์ตเนอร์ และลูกค้า แต่คำพูดที่ผมบอกว่าพวกเขาควรทำอะไรบ้างนั้นแทบจะไม่มีค่าอะไรเลย หากผมไม่ลงมือทำเช่นนั้นด้วย

ขณะนี้ผมบริหารการดำเนินงานของเทเลนอร์ทั้งหมดในเอเชีย ผมยังคงออกเยี่ยมเยียนตลาดของผมเกือบทุกสัปดาห์ และบ่อยครั้งผมจะไปกับซีอีโอและเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ การได้พบปะผู้คนที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นในสิ่งที่พวกเขาทำเป็นแรงปลุกใจให้เราเสมอ และปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นจะสอนพวกเราบางอย่างเกี่ยวกับสิ่งที่ลูกค้าต้องการ สิ่งที่คู่แข่งทำ และความคิดอ่านของผู้บริโภคที่มีต่อบริษัทและคนของเรา

หลักการพื้นฐานที่ "เทเลนอร์และดีแทค" คือคนของเราทั้งหมดต้องรับรู้เกี่ยวกับผลการดำเนินธุรกิจของเรา ไม่ว่าเขาอยู่ในตำแหน่งหรือทำหน้าที่อะไรก็ตาม

คุณจะเห็นว่า วิศวกรและนักการตลาดของพวกเราหารือกันเพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ คุณจะเห็นผู้นำหลาย ๆ คนในทุกระดับขององค์กรใช้เวลากับพนักงานเพื่อประเมินผลการทำงานของพวกเขา ผู้นำในตลาดเอเชียทั้งหมดของเรา ทั้งในมาเลเซีย พม่า ปากีสถาน หรือบังกลาเทศ ต่างมีทัศนคติร่วมกันคือทุกคนคือคนสำคัญ ทุกคนมีบทบาทในความสำเร็จของเรา และเพื่อให้ทุกคนเชื่อเช่นนั้น ผู้นำต้องแสดงให้เห็นก่อนว่ามันคือเรื่องจริง

คนทำงานที่บริษัทจะปฏิบัติตามคุณค่าและวัฒนธรรมองค์กร ในฐานะผู้นำคุณกำลังทำให้คุณค่าและวัฒนธรรมนั้นเป็นรูปเป็นร่าง หากคุณมั่นใจในกลยุทธ์และเป้าหมายที่คุณตั้งไว้ และเชื่อมั่นในบุคลากรและทรัพยากรที่คุณมีพร้อมในทิศทางที่คุณกำลังเดินไป

สิ่งที่ควรจะทำต่อจากนี้คือ ลงมือปฏิบัติเพื่อทำมันให้เป็นจริง

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
-----------------------------------------------------------

วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2557

อยากเป็นคนที่ถูกลืมบนอินเตอร์เน็ต !!?

ปกติ แล้วเวลาต้องการจะพูดถึงคนที่มีความทรงจำยอดเยี่ยมและมักจะไม่ลืมอะไรง่ายๆ สำนวนสุภาษิตภาษาอังกฤษจะนำไปเปรียบกับช้างซึ่งเป็นสัตว์ที่อาศัยการจดจำได้ แม่นยำในการเอาตัวรอด จนกลายเป็นคำกล่าวว่า Elephants never forget หรือช้างไม่เคยลืม

แต่มาในยุคดิจิตอลแบบทุกวันนี้ มีอะไรอย่างหนึ่งที่จดจำได้เหนือชั้นยิ่งกว่าช้างเสียอีก จำไว้ขึ้นใจ และจารึกเอาไว้เป็นหลักฐานอีกเนิ่นนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้

สิ่งนั้นก็คืออินเตอร์เน็ตค่ะ

กิจกรรม ที่เราทุกคนน่าจะทำและควรทำกันบ่อยๆ ในที่ลับตาคนไม่มีพยานรู้เห็น (เพราะอาจจะถูกครหาว่าเช็กเรตติ้ง) ก็คือการป้อนชื่อตัวเองเข้าไปในเสิร์ชเอ็นจิ้นแล้วดูว่าจะได้ผลลัพธ์อะไร กลับออกมาบ้าง เพื่อที่จะให้รู้ว่าถ้าหากมีใครสักคนเสิร์ชชื่อเรา เขาคนนั้นจะได้เห็นอะไร

เพราะอย่าลืมนะคะว่าทุกวันนี้คนเรารู้จักกันใหม่ๆ สิ่งแรกที่ต้องตรวจสอบก่อนก็คือดูว่ามีใครพูดถึงคนคนนั้นว่าอย่างไรบ้างบน โลกอินเตอร์เน็ต

เป็นวิธีชั้นเยี่ยมที่แผนกทรัพยากรบุคคลของบริษัทจะใช้ในการค้นคว้าหาข้อมูล เบื้องต้นว่าผู้สมัครแต่ละคนเหมาะจะรับเข้ามาทำงานหรือเปล่า

ถ้าหากผลลัพธ์ที่ได้จากการเสิร์ชชื่อเราออกมาสวยงาม ดูดีมีชาติตระกูล เคยได้รับรางวัลยกย่องเกียรติคุณมามากมาย มีแต่คนพูดถึงด้วยความรักใคร่ อันนั้นก็โชคดีไป ถือว่ามีตัวตนบนอินเตอร์เน็ตที่สะอาดสะอ้านน่าคบหา ยังความประทับใจแรกเริ่มให้แก่ผู้เสิร์ชเห็น

แต่ถ้าหากกลับกัน สิ่งที่พบกลายเป็นภาพน่าขายหน้าตอนเมาหัวราน้ำในงานปาร์ตี้กับเพื่อนมหาวิทยาลัยหลังสอบเสร็จ

มีชื่อเข้าไปพัวพันอยู่ในกระทู้ฉาวบนเว็บบอร์ดชื่อดังของประเทศไทย เคยมีคนเขียนพาดพิงถึงให้เสียๆ หายๆ หรือถูกดำเนินคดีเมื่อครั้งหนึ่งนานมาแล้ว อันนี้ก็จะกลายเป็นตราบาปที่ประทับหน้าผากเอาไว้ไม่รู้เลือน จะลบก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะมันเป็นข้อมูลที่อยู่บนเว็บไซต์ของคนอื่นซึ่ง กระจัดกระจายไปทั่ว

เหมือนกรณีที่เกิดขึ้นกับชายคนหนึ่งซึ่งนำมาสู่ประเด็นที่เราโปรยกันเอาไว้ตั้งแต่ต้นว่าอินเตอร์เน็ตไม่เคยลืม

เมื่อ 16 ปีที่แล้วชายชาวสเปนคนหนึ่งเคยประสบกับปัญหาด้านการเงินอย่างหนักหน่วงจนถูก นำทรัพย์สินส่วนตัวไปออกขายทอดตลาด และในตอนนั้นก็กลายเป็นข่าวอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์ต่างๆ ข่าวเหล่านั้นท้ายที่สุดก็มาลงเอยอยู่บนสื่อออนไลน์ด้วย

เวลาผ่านไปสถานะทางการเงินของเขาดีขึ้น เขาก็อยากจะโยนประสบการณ์ร้ายๆ ทิ้งไปแล้วเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

ปัญหาก็คือ ทุกครั้งที่มีการเสิร์ชหาชื่อของเขา ผลลัพธ์ที่ได้จะออกมาเป็นข่าวเกี่ยวกับการขายทอดตลาดทรัพย์สินในครั้งนั้น เป็นปีศาจที่วนเวียนหลอกหลอนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันและทำให้เขาเสื่อมเสียชื่อ เสียงไม่รู้จบ จนเขาต้องร้องขอให้มีการลบชื่อของเขาออกจากผลลัพธ์ที่ได้จากการเสิร์ชผ่าน เว็บไซต์ Google

เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจไปทั่วโลก หลังจากที่ศาลยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรปที่ตั้งอยู่ในลักเซมเบิร์กได้ตัดสิน เข้าข้างเขา โดยเห็นควรให้เขาได้รับสิทธิซึ่งขนานนามกันว่า right to be forgotten หรือสิทธิที่จะถูกลืมนั่นเอง

ผลจากการตัดสินในครั้งนี้ทำให้ Google ต้องลบชื่อของเขาที่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ขายทอดตลาดทรัพย์สินออกจาก ผลลัพธ์การค้นหาทั้งหมด แม้เนื้อหาข่าวที่เกี่ยวข้องกับตัวเขาจะยังอยู่ตามเว็บไซต์ต่างๆ เหมือนเดิม แต่ลิงก์ไปยังเนื้อหาเหล่านั้นจะไม่ปรากฏขึ้นมาบนหน้าผลลัพธ์การค้นหาของ Google ให้คลิกเข้าไปถึงได้ง่ายๆ อีกต่อไป

และทำให้เรื่องน่าอับอายของเขาจะถูกลืมไปได้ในที่สุด หรืออย่างน้อยก็ไม่โผล่ขึ้นมาประจานโจ่งแจ้งเหมือนเก่า

แม้จะเป็นข่าวดีสำหรับชายสเปนคนนั้นและคนอื่นๆ อีกจำนวนมากที่อยากเดินตามรอยเขาด้วยการขอให้มีการนำข้อมูลน่าอายของตัว เองออกจากผลลัพธ์การค้นหาบน Google เหมือนกัน

แต่เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ไม่ใช่ว่าใครขอก็จะทำให้ได้ เนื่องจากมันมีความเกี่ยวข้องกันอย่างแยกไม่ออก ระหว่างสิทธิที่จะถูกลืม กับ สิทธิที่จะได้รู้

เพราะการให้สิทธิกับกลุ่มแรก ก็จะหมายถึงลดทอนสิทธิของกลุ่มหลัง ซึ่งนำไปสู่การเซ็นเซอร์ข้อมูลออนไลน์ในที่สุด

จะทำอย่างไรให้ทุกคนได้รับสิทธิที่จะถูกลืมโดยที่ไม่เป็นการลบประวัติศาสตร์ ไปพร้อมๆ กันด้วย เพราะจริงอยู่ว่าถึงแม้สื่อต่างๆ จะตีพิมพ์ข่าวออนไลน์ได้เหมือนเดิม แต่หากเสิร์ชเอ็นจิ้นยักษ์ใหญ่อย่าง Google ไม่แสดงผลให้เห็นแล้ว การเข้าถึงก็คงจะยากขึ้นกว่าเดิมมาก จนกลายเป็นการปิดกั้นข้อมูลข่าวสารไปได้ เรื่องนี้ไม่ง่ายเลยจริงๆ

หลังจากการตัดสินครั้งนั้น Google ก็เปิดให้มีการกรอกแบบฟอร์มออนไลน์เพื่อขอให้บริษัทพิจารณาลบผลลัพธ์การค้น หาบางอย่างออกจากการค้นหาชื่อของตัวเองได้ ภายในวันแรกที่เปิดให้กรอกแบบฟอร์มได้ก็มีคนส่งเข้ามามากกว่า 12,000 คน หรือประมาณ 20 คำขอต่อนาที

ซึ่งทาง Google ก็จะต้องพิจารณาเป็นรายๆ ไปว่าคำขอของแต่ละคนตรงกับมาตรฐานข้อกำหนดของบริษัทแค่ไหน ในตอนนี้เปิดให้กรอกแบบฟอร์มได้เฉพาะคนในยุโรปก่อนเท่านั้น

จะว่าไปแล้วนี่ก็เหมือนเป็นฝันร้ายของ Google เลยนะคะ เพราะลองนึกดูว่าจะต้องมีการตั้งหน่วยงานขึ้นมาใหม่เพื่อพิจารณาเรื่องนี้ โดยเฉพาะ แถมถ้าจำเป็นจะต้องให้บริการพิจารณาแต่ละเคสของผู้ใช้งานทั่วโลก ก็หมายถึงเม็ดเงินมหาศาลที่จะต้องลงทุนไปกับปฏิบัติการที่ไม่ได้ทำกันง่ายๆ

แต่เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ปัญหาของสหภาพยุโรป ซึ่งผลักดัน "สิทธิที่จะถูกลืม" มาตั้งแต่ต้นปี 2012 แล้ว และถ้าหากร่างกฎหมายผ่านโดยสมบูรณ์เมื่อไหร่ ไม่ใช่แค่เสิร์ชเอ็นจิ้น แม้กระทั่งบริษัทที่ให้บริการโซเชียลมีเดียก็จะต้องให้ความร่วมมือด้วยการลบ ข้อมูลต่างๆ ที่มีคนร้องขอทิ้งไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นภาพน่าอายที่เพื่อนเราแชร์ไว้ หรือโพสต์อะไรที่กล่าวอ้างให้เราเสื่อมเสียชื่อเสียง หากบริษัทไหนไม่ยอมทำตามก็จะต้องถูกปรับเป็นจำนวนเงิน 1% ของรายได้ทั้งหมดที่บริษัททำได้ทั่วโลก

ส่วนจะวัดกันยังไงว่าข้อมูลของใครสมควรได้รับการลบออกหรือไม่ลบออกจาก ผลลัพธ์การค้นหานั้นจะดูกันเป็นอย่างๆ ไป อันดับแรกคือดูว่าข้อมูลที่ร้องเรียนมานั้นเก่าล้าสมัยไปแล้วหรือเปล่า

อย่างที่สองคือการพิจารณาว่าข้อมูลนั้นส่งผลกระทบต่อชีวิตส่วนตัวของคนที่ ถูกพาดพิงถึงแค่ไหน และเรื่องนั้นๆ เป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจจากสาธารณชนหรือเปล่า

พูดง่ายๆ ก็คือ Google จะยอมลบลิงก์ไปยังข้อมูลต่างๆ เหล่านั้นถ้าหากเป็นข้อมูลที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของใครคนใดคนหนึ่งมากกว่าผล กระทบที่มีต่อการที่สาธารณชนในการได้รับรู้ข้อมูลนั้นๆ อย่างเช่น ประวัติเสื่อมเสียของนักการเมืองมีแนวโน้มจะลบได้ยากกว่าคนปกติทั่วไป เนื่องจากอยู่ในความสนใจและเป็นประโยชน์ของสาธารณชนที่จะได้รับรู้ประวัติ ของนักการเมืองคนนั้นๆ นั่นเอง

ความน่ากังวลอีกเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามก็คือทุกวันนี้ Google ก็ถูกครหาหนาหูอยู่แล้วว่าจ้องจะรวบข้อมูลทั้งหมดไว้ในกำมือของตัวเองจนกลาย เป็นองค์กรมหาอำนาจทางข้อมูลที่ชี้ชะตาของโลกได้

การเปิดโอกาสให้ Google มีสิทธิเลือกได้ว่าจะอนุญาตให้ลบหรือคงข้อมูลไหนเอาไว้นั้น ก็จะเป็นการเปิดประตูไปสู่รูปแบบการเซ็นเซอร์ข้อมูลออนไลน์แบบใหม่และอำนาจ เหนือผู้ใช้ในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน

แต่ตอนนี้ยังไม่มีทางเลือกอื่น ถ้าอยากได้รับสิทธิที่จะถูกลืมก็คงต้องใช้โมเดลนี้กันไป


ที่มา มติชน
/////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เทียบประชานิยม สีเขียว 2501 กับ2557 !!


จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์,พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา,ประชานิยม,คสช.,รัฐประหาร

ประชานิยม2ยุค จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เปรียบเทียบ2501กับ2557

ดูเหมือนหลังการยึดอำนาจรัฐบาลรักษาการของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร การทำงานของ คสช. (คณะรักษาความสงบแห่งชาติ) ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. มีความมุ่งมั่นอย่างสูงที่จะเดินหน้าแก้ปัญหาให้กับประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อนในทันที จนถูกมองว่า คสช. กำลังทำนโยบาย "ประชานิยม" กับคนไทยอยู่หรือไม่

อย่างแรกที่ คสช.ลงมืออย่างเร่งด่วนคือ การเร่งรัดการจ่ายเงินค่าจำนำข้าวที่ติดค้างชาวนาอยู่จำนวนมาก

ที่น่าสนใจต่อมา คือ เรื่องพลังงาน ที่ดูเหมือนเป็นอีกอย่างที่ถูกจับตามอง ซึ่งหัวหน้า คสช.เตรียมเสนอแผนการปรับโครงสร้างพลังงานต่อ คสช. และเรื่องพลังงานทดแทน พร้อมทั้งการตรึงราคาก๊าซฯ น้ำมัน และไฟฟ้า

นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังเน้นนโยบายคืนความสุขให้กับคนในชาติ ด้วยการดำเนินปราบปรามอบายมุข ยาเสพติด และการพนันต่างๆ รวมทั้งเรียก "ผู้มีอิทธิพล" เข้ามารายงานตัวต่อ คสช.

พร้อมกับขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการ ทั้งนี้หนี้สินต่างๆ ทาง คสช.จะช่วยดูเรื่องความเป็นธรรม ชอบธรรม การประนีประนอม หรือการชะลอหนี้ ทั้งหนี้ในและนอกระบบ

การที่คณะ คสช.ดูแลความเดือดร้อนประชาชนอย่างลงลึกถึงครัวเรือน ทำให้มีการเปรียบเทียบกับการรัฐประหาร 20 ตุลาคม 2501 โดย จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ พร้อมทั้งประกาศอมตวาจาว่า "ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแต่ผู้เดียว"

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ได้ประกาศคำมั่นสัญญาต่อประชาชนว่า จะต้องทำให้ได้คือ

"การคืนความสุขให้กับทุกคนในชาติ"

ย้อนกลับไป เมื่อหลังการรัฐประหาร 2501 จอมพลสฤษดิ์ ได้ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

1.มีคำสั่งให้ลดอัตราค่ากระแสไฟฟ้าในย่านกรุงเทพฯ-ธนบุรี

2.ออกพระราชกฤษฎีกาให้แต่ละครอบครัวได้รับน้ำฟรีเดือนละ 30 ปี๊บ

3.ออกพระราชกฤษฎีกาให้ลดราคากาแฟขายปลีกจากราคา 70 สตางค์ เหลือ 50 สตางค์ต่อแก้ว ซึ่งในขณะนั้นกาแฟดำเย็นเป็นเครื่องดื่มที่นิยมกันมากในประเทศไทย

4.ลดอัตราค่าโทรศัพท์ ค่ารถไฟ และค่าเล่าเรียน

5.สั่งให้เทศบาลยกเลิกภาษีบางประเภท ค่าธรรมเนียมทะเบียน และค่าธรรมเนียมการบริการของราชการ

6.ให้ครอบครัวที่ยากจนก็ได้รับบริการฟรีในเรื่องยาและการรักษาสุขภาพต่างๆ ที่โรงพยาบาล

7.ให้เทศบาลแจกจ่ายตำราเรียนฟรีให้แก่เด็กนักเรียนที่ยากจนตามโรงเรียนต่าง ๆ ภายในเขตเทศบาล 30 แห่ง

8.ช่วยเหลือแก่ข้าราชการ ได้เสนอให้จำกัด วันทำงานของข้าราชการพลเรือนให้เหลือเพียง 5 วัน ให้จ่ายเงินพิเศษแก่ผู้ที่มีบุตรมาก

9.ตั้งกองทุนสงเคราะห์สำหรับข้าราชการพลเรือนระดับล่างได้กู้ยืม

10.ให้เปิดตลาดแห่งใหม่ๆ อนุญาตให้บรรดาพ่อค้าสามารถนำเอาสินค้าของตนมาขายให้แก่ประชาชนโดยตรงซึ่งไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง

11.ให้เปิดตลาดกลางแจ้งที่ขายทั้งอาหารและเครื่องนุ่งห่มนั้นจัดตั้งขึ้นในเขตที่ดินของรัฐบาล พ่อค้าที่นำสินค้าเข้ามาขายเพียงแต่จ่ายค่าธรรมเนียมเล็กน้อย

นโยบายดังกล่าวข้างต้น อย่างเช่นการลดราคากาแฟขายปลีก ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความเอาใจใส่ของจอมพลสฤษดิ์ ต่อความต้องการเล็กๆ น้อยๆ ของประชาชนภายในประเทศ

เปรียบได้กับประกาศ คสช.ฉบับที่ 46/2557 ที่ระบุว่าบุคคลติดตามทวงหนี้ชาวนา ผู้ใดข่มขืนใจชาวนา เพื่อให้ได้ทรัพย์สินมาเป็นประโยชน์ส่วนตัว ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

แสดงให้เห็นว่า คสช.เป็นห่วงชาวนาที่ได้รับค่าจำนำข้าวไปแล้ว จะถูกเจ้าหนี้ตามทวงหนี้แบบทบต้นทบดอก จนไม่มีเงินเหลือไว้สำหรับเป็นทุนทำนาในฤดูกาลต่อไป

อีกเรื่องหนึ่งที่มีคนพูดถึงผลงานของจอมพลสฤษดิ์อยู่บ่อยๆ เกี่ยวกับการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ โดยเฉพาะด้านการป้องกันอัคคีภัย และการสั่งประหารชีวิตคนวางเพลิง

จอมพลสฤษดิ์ จึงได้รับการสนับสนุนจากประชาชน เพราะความเอาใจใส่ของจอมพลสฤษดิ์ใน การแก้ปัญหาโดยตรงและตรงกับความต้องการของประชาชนซึ่งแม้ว่าจะเป็นส่วนน้อย แต่ก็เป็นความจำเป็นในชีวิตประจำวันของประชาชนอย่างแท้จริง

ในส่วนภูมิภาค จอมพลสฤษดิ์ให้ความสนใจต่อปัญหาของประชาชนตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ เพราะในบริเวณภาคต่างๆ ที่อยู่นอกเขตเมืองหลวงได้รับความสนใจน้อยมากจากรัฐบาล โดยเฉพาะในพื้นภาคอีสาน

เมื่อมีโอกาสจอมพลสฤษดิ์จะเดินทางโดยรถยนต์ และชอบที่จะเดินทางไปตามถนนหนทางที่มีสภาพย่ำแย่และไปในถิ่นทุรกันดาร เพื่อที่จะแสดงให้เห็นถึง ความอดทนต่อความยากลำบากและการใช้ชีวิตที่ไม่มีพิธีรีตรอง

บางเวลาจอมพลคนดัง จะเลือกที่จะกางเต็นท์นอน ซึ่งไม่ว่าจะเดินทางไปยังสถานที่ใด จอมพลสฤษดิ์ก็จะพยายามพูดคุยกับประชาชนและรับฟังความต้องการของประชาชนโดยตรง

ข้อมูลข้างต้น เป็นส่วนหนึ่งในผลงานการศึกษาของ ทักษ์ เฉลิมเตียรณ เรื่อง "การเมืองระบบพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จการ" ซึ่งได้ฉายภาพจอมพลสฤษดิ์ และการวิเคราะห์สถานการณ์การเมือง อันเนื่องมาจากการควบคุมอำนาจของคณะทหารใน พ.ศ.โน้น

หนังสือเล่มนี้ ได้มีการสังเคราะห์และการสร้างปรัชญาทางการเมืองของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในหลายแง่มุม

แม้เวลาจะผ่านมากว่า 56 ปี แต่ผู้คนในยุคนั้น ก็ยังพูดถึงจอมพลสฤษดิ์ อย่างเช่นเรื่องการดูแลทุกข์สุขของประชาชน หรือคำขวัญ "น้ำไหล ไฟสว่าง ทางสะดวก" ก็ยังเป็นที่จดจำ

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
///////////////////////////////////////


วันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เปิดใจ ผู้ว่าฯเชียงใหม่ ดันสนามบิน 2 ค้าชายแดนเชื่อมจีน-พม่า !!?



สุริยะ ประสาทบัณฑิตย์ ก้าวขึ้นมารับตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และเริ่มทำงานเป็นวันแรก โดยก่อนหน้านี้เป็นนักปกครองในสายสิงห์ดำ ที่โลดแล่นอยู่ในหลายจังหวัด ทั้งในฐานะรองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ปทุมธานี และรั้งตำแหน่งผู้ว่าฯ ตาก เมืองชายแดนเชื่อมกับประเทศพม่า วันนี้ขยับขึ้นนั่งเก้าอี้พ่อเมืองเชียงใหม่ มุมมองนโยบายด้านเศรษฐกิจของผู้ว่าฯ ใหม่หมาดๆ ต่อการพัฒนาเมืองเชียงใหม่ น่าสนใจหลายแง่มุม

"สุริยะ ประสาทบัณฑิตย์" ผู้ว่าฯเชียงใหม่ เปิดใจกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาด้านเศรษฐกิจมาเป็นอันดับต้นๆ เนื่องจากจังหวัดเชียงใหม่เป็นเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจที่สำคัญของภาคเหนือ ซึ่งคงต้องนำศักยภาพที่มีอยู่มากมายของจังหวัดเชียงใหม่ โดยเฉพาะการมีตำแหน่งที่ตั้งเชิงกายภาพที่สามารถเชื่อมกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งประเทศจีนและอาเซียนมาวางแผนเชิงรุกและสานต่อนโยบายความร่วมมือที่มีอยู่เดิมให้เป็นรูปธรรมต่อไป

เชียงใหม่เป็นจังหวัดใหญ่และเป็นพื้นที่กว้าง ศักยภาพของจังหวัดเชียงใหม่ในด้านต่างๆ ในความเป็นศูนย์กลางของภาคเหนือมีศักยภาพทั้งทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรการท่องเที่ยวอยู่อันดับต้นๆ ของประเทศ เป็นปัจจัยบวกที่จะทำให้เกิดแรงผลักดันและขับเคลื่อนในตัวเองไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ได้

แผนงานเร่งด่วนคือเตรียมระดมความคิดเห็นและความร่วมมือจากทุกภาคส่วนของจังหวัดเชียงใหม่โดยเฉพาะภาคเอกชนคือหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ สภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ ฯลฯ

ในการรับฟังแนวคิด แผนงานโครงการต่างๆ เพื่อร่วมพัฒนาจังหวัดเชียงใหม่ไปด้วยกัน และนำศักยภาพของจังหวัดเชียงใหม่ที่มีอยู่มาพัฒนาต่อยอด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสานต่อนโยบายของผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ท่านเดิม ทั้งโครงการก่อสร้างสนามบินเชียงใหม่แห่งที่ 2 ซึ่งในเรื่องนี้เป็นโครงการพัฒนาเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงใหม่ที่สำคัญอีกโครงการหนึ่งที่ตนต้องขอเวลาศึกษารายละเอียดและพร้อมที่จะผลักดันหากเป็นโครงการที่เป็นประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจต่อจังหวัดในภาพรวม

"การมารับตำแหน่งผู้ว่าฯ เชียงใหม่ครั้งนี้มาแบบกระชั้น ก็คงต้องขอเวลาศึกษาข้อมูลหลายๆ โครงการก่อน ต้องดูว่าผู้ว่าฯท่านเดิมเตรียมทำอะไรไว้บ้าง แน่นอนว่าต้องสานต่อโครงการเดิมที่มีอยู่ เช่น โครงการสนามบินแห่งที่ 2 และแผนงานของจังหวัดมีอะไรบ้าง ส่วนโครงการใหม่ๆ ที่จะขับเคลื่อนก็ต้องขอระดมความเห็นจากทุกภาคส่วน"

"ผมชอบการทำงานเป็นทีม การจะขับเคลื่อนให้เชียงใหม่เป็นไปในทิศทางใดนั้นต้องอาศัยการทำงานเป็นทีม"

ผู้ว่าฯ เชียงใหม่บอกว่า เชียงใหม่มีศักยภาพที่สำคัญอีกด้านหนึ่งคือ การมีเขตแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน คือประเทศพม่า ระยะทางเพียง 200 กว่ากิโลเมตรเท่านั้น ซึ่งจะต้องศึกษาข้อมูลเชิงกายภาพว่า ทำเลที่ตั้งจุดใดที่จะสามารถยกระดับให้เป็นด่านการค้าชายแดนสำคัญเชื่อมการค้ากับประเทศพม่าได้ เพราะเป็นช่องทางทางการค้าที่ดีมากในอนาคต เพราะปัจจุบันประเทศพม่าได้ปรับเปลี่ยนนโยบายใหม่ หันมาส่งเสริมการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเต็มที่

ทั้งนี้ จากประสบการณ์ที่ตนได้บริหารและพัฒนาเมืองชายแดนจังหวัดตาก ที่อำเภอแม่สอด ก็พบว่าโอกาสทางการค้ากับพม่านั้นมีอยู่สูง เพียงแต่ต้องให้ความสำคัญและเข้าใจในกฎระเบียบของประเทศพม่า รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นให้แน่นแฟ้น ซึ่งจังหวัดเชียงใหม่มีโอกาสที่จะพัฒนาการค้าชายแดนสูงมากเช่นกัน และเป็นนโยบายที่ตนพร้อมจะผลักดัน

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่กล่าวว่าการทำงานจะสานต่องานที่ได้ดำเนินการไว้โดยเฉพาะนโยบายด้านต่างๆพร้อมประสานงานความร่วมมือทุกภาคส่วนในการสร้างความสามัคคีของบ้านเมือง เพื่อการพัฒนาจังหวัดให้มีความมั่นคง ความสงบ ยั่งยืนยิ่งขึ้นไป

"ขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนต้องช่วยกันรักษา เสริมสร้างสมรรถภาพให้เป็นที่ประจักษ์ ให้ผู้คนอยากมาท่องเที่ยวมาลงทุน มาอยู่อาศัยในเชียงใหม่ เพราะเชียงใหม่เป็นเมืองที่มีประเพณีวัฒนธรรมที่สวยงาม อากาศดี ภูมิทัศน์งดงาม ต้องพัฒนาสิ่งเหล่านี้ให้คงคุณค่าของความเป็นศูนย์กลางของล้านนา ความสวยงามทางวัฒนธรรม" พ่อเมืองเชียงใหม่กล่าวย้ำถึงภารกิจที่จะขับเคลื่อนหลังจากนี้ไป

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
----------------------------------

วันพฤหัสบดีที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2557

กลไกตลาด !!?

โดย. วีรพงษ์ รามางกูร

สิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นโดยตั้งใจหรือโดยธรรมชาติก็คือ "ตลาด" อันเป็นที่ผู้ต้องการซื้อกับผู้ต้องการขายสินค้าและบริการมาพบกัน ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยน ทำให้เกิดราคาที่ซื้อขายกันได้ ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้มนุษย์ไม่จำเป็นต้องผลิตของทุกอย่างที่ตนต้องการใช้อุปโภคบริโภคได้ แต่สามารถผลิตได้ แล้วนำไปซื้อขายแลกเปลี่ยนกับบุคคลอื่นที่มีความสามารถในการผลิตของอย่างอื่นได้

เมื่อความต้องการซื้อสามารถมาพบกับการต้องการขายได้ทำให้เกิดราคาสินค้าและบริการต่าง ๆ มากมาย ไม่ใช่แต่เฉพาะชนิดของสินค้า แต่ลึกลงไปถึงคุณภาพสินค้าสีสันรูปแบบต่าง ๆ มากมาย

ตลาดไม่จำเป็นต้องมีสถานที่ใดที่หนึ่งที่เป็นพื้นที่ที่เป็นรูปธรรม อาจจะไม่มีสถานที่ใดเลยก็ได้ เพียงแต่ผู้ซื้อและผู้ขายสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ ไม่ว่าจะเป็นทางจดหมาย ทางโทรเลข ทางโทรศัพท์ ทางอินเทอร์เน็ต หรืออื่น ๆ ก็สามารถเป็นตลาดซื้อขายได้

การค้นพบการใช้เงินโลหะแล้วพัฒนามาเป็นเงินกระดาษ ตลอดจนระบบธนาคารและระบบการชำระเงินผ่านทางสถาบันการเงิน ก็ทำให้ตลาดสามารถพัฒนาก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น

การปล่อยให้กลไกตลาดทำงานอย่างเสรี ทำให้ตลาดสินค้าและบริการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว

ในระบบเศรษฐกิจก็เหมือนกัน ในระบบตลาดเสรี กลไกตลาดก็จะเป็นตัวกำหนด หรือมี "มือที่มองไม่เห็น" เข้ามาจัดการว่าสังคมนั้น ระบบเศรษฐกิจนั้น หรือประเทศนั้น ควรจะผลิตอะไร สิ่งไหน ที่ตนได้เปรียบ เช่น ประเทศที่มีแรงงานมากเมื่อเทียบกับทุน ก็ควรจะผลิตสินค้าที่ใช้แรงงานมากเมื่อเทียบกับทุน ประเทศที่มีทุนมากเมื่อเทียบกับแรงงาน ก็ควรจะผลิตสินค้าที่ใช้ทุนมากเมื่อเทียบกับแรงงาน แล้วก็นำมาซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน ทำให้เกิดการค้าระหว่างประเทศ และถ้าปล่อยให้ประเทศต่าง ๆ มีการซื้อขายกันอย่างเสรีภายในภูมิภาคเดียวกัน

โดยการขจัดอุปสรรคกีดขวางการค้าซึ่งกันและกัน อันได้แก่ ภาษีขาเข้า ภาษีขาออก ข้อจำกัด กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ตลาดก็จะขยายใหญ่ขึ้น สามารถรองรับการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพได้ เหตุผลดังกล่าวจึงก่อให้เกิดการรวมตัวของประเทศต่าง ๆ เข้าเป็นประชาคมเศรษฐกิจ เริ่มจากประชาคมเศรษฐกิจยุโรป ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และประชาคมเศรษฐกิจในภูมิภาคต่าง ๆ

การรวมตัวกันของประเทศต่าง ๆ ภายในภูมิภาคเพื่อลดภาษีขาเข้าขาออกและข้อจำกัดกีดขวางการค้าต่าง ๆ ระหว่างกันเท่านั้นยังไม่พอ ยังมีกระแสความกดดันให้เกิดระบบการค้าเสรีทั่วโลก โดยมี "องค์การค้าโลก" เป็นแกนกลางที่จะกดดันประเทศต่าง ๆ ที่เป็นสมาชิกให้เปิดตลาดการค้าสินค้าและบริการ รวมทั้งเปิดตลาดการลงทุนได้อย่างเสรี นอกจากนั้น การเปิดตลาดการเงินเพื่อให้เงินทุนไหลเข้าออกอย่างเสรี ก็เป็นกระแสกดดันที่สำคัญในเวทีการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศเพื่อให้กลไกตลาดสามารถทำงานได้ทุกระดับตลาดทุกชนิดสินค้าและบริการ ทั้งในระดับประเทศ ในระดับภูมิภาค เรื่อยไปถึงในระดับโลก ซึ่งเป็นแนวโน้มที่กดดันประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกอยู่ในขณะนี้

ความจริงแล้วระบบตลาดเสรี หรือการให้กลไกตลาดทำงานอย่างเสรี ก็มีจุดอ่อนและปัญหามากมาย จุดอ่อนที่สำคัญก็คือตลาดที่เสรีอย่างเต็มที่จะก่อให้เกิด "วัฏจักร" ซึ่งเริ่มตั้งแต่วัฏจักรของสินค้าแต่ละชนิด เช่น วัฏจักรหมู ก็เกิดขึ้นเพราะเมื่อราคาหมูแพงขึ้น คนเลี้ยงหมูก็จะเพิ่มการผลิตหมูเพราะราคาดี เมื่อทุกคนเพิ่มการผลิต ปริมาณหมูมากขึ้นราคาก็ตก พอราคาตกทุกคนก็ขาดทุนก็ลดการผลิต เมื่อปริมาณหมูเข้าสู่ตลาดน้อยราคาก็ถีบตัวสูงขึ้น วนเวียนอยู่อย่างนประมาณ 3-4 ปีมีครั้งหนึ่ง แล้วแต่วงจรการผลิต สินค้าเกษตรอย่างอื่นก็ประสบปัญหาเช่นว่านี้ แม้แต่สินค้าอุตสาหกรรมก็มีวัฏจักร

"วัฏจักร" เช่นว่ามิได้เกิดขึ้นเฉพาะสินค้าและบริการชนิดใดชนิดหนึ่งเท่านั้น แต่อาจจะเกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจทั้งระบบ ซึ่งเรามักจะได้ยินอยู่เสมอว่า ขณะนี้เป็นช่วงเศรษฐกิจขาขึ้น หรือเศรษฐกิจขาลง

เนื่องจากโลกในปัจจุบันเปิดกว้างถึงกันมากขึ้นเป็นลำดับ ตลาดสินค้าและบริการ ตลาดการเงินก็เชื่อมโยงถึงกันมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงของราคาค่าเงินก็ดี อัตราดอกเบี้ยก็ดี สินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมัน แร่ธาตุที่เป็นวัตถุดิบก็ดี

โดยกลไกตลาดก็จะมีผลเชื่อมโยงไปถึงกันทั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะตลาดสินค้าบริการ ตลาดการเงินเท่านั้นที่มีการเชื่อมโย′ถึงกัน แม้แต่ตลาดแรงงานซึ่งปกติก็จะมีข้อจำกัดทั้งในตัวแรงงานเอง ที่ปกติถ้าไม่มีมูลเหตุจูงใจมากจริง ๆ หรือมีมูลเหตุผลักดันมากจริง ก็ไม่น่าจะมีใครอยากเคลื่อนย้ายตนเองไปทำงานในถิ่นที่อยู่ที่ตนไม่คุ้นเคย หรือโยกย้ายไปสู่ที่อื่นที่ตนไม่อาจจะมีสิทธิเสรีภาพ หรือฐานะทางสังคมที่ต่ำต้อยกว่าคนอื่น นอกเสียจากมีเหตุจูงใจ เช่น ค่าจ้างแรงงานที่สูงกว่ามาก ฐานะความเป็นอยู่ รวมทั้งสุขภาพชีวิตที่ดีกว่า และมั่นคงกว่า รวมทั้งอนาคตของบุตรหลานของตน ทั้งในด้านการศึกษา สาธารณสุข และสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ด้วย

พลังของกลไกตลาดมีอยู่สูงมาก แม้ว่าจะมีข้อเสียที่ทำให้เกิดวัฏจักรระบบเศรษฐกิจไม่มีเสถียรภาพ แต่ก็ไม่มีใคร หรือประเทศใดฝ่าฝืนต่อต้านพลังของ "กลไกตลาด" ได้

ครั้งหนึ่ง หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ความคิดทางสังคมนิยมแพร่หลายมากขึ้น เพื่อที่จะแก้ไขภาระขึ้นลงทางเศรษฐกิจ เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจมีเสถียรภาพ มีความมั่นคง ไม่ขึ้นลงตามภาวะเศรษฐกิจ ประเทศหลายประเทศกลายเป็นประเทศที่จัดระบบเศรษฐกิจในรูปแบบ "คอมมิวนิสต์" หรือไม่ก็เป็นแบบสังคมนิยมโดย "รัฐ" เข้ามาแทรกแซงระบบตลาดและระบบเศรษฐกิจตั้งแต่แบบอ่อนเรื่อยไปจนถึงแบบที่เข้มข้น แต่ไม่ถึงกับเป็นระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ เช่น ประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย อังกฤษ และประเทศอื่นในยุโรปตะวันตก แต่ในที่สุดก็ไปไม่รอด เมื่อนายกรัฐมนตรีมาร์กาเรต แธตเชอร์แห่งอังกฤษ ประกาศต่อสู้กับสหภาพแรงงานเหมืองถ่านหิน ประกาศขายกิจการรัฐวิสาหกิจที่ดำเนินการโดยรัฐบาล จนกลายเป็นรูปแบบสำคัญ กลายเป็นกระแสการแปรรูปรัฐวิสาหกิจกระจายไปทั่วโลกมาจนทุกวันนี้

การปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในทศวรรษ1980 ที่กระจายไปทั่วโลกและเป็นสาเหตุหนึ่งในหลาย ๆ สาเหตุที่ทำให้เกิดการล่มสลายของค่ายระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์และค่ายสังคมนิยม อันเป็นเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจทางการเมืองของโลก

สำหรับจีนและอินเดีย แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองดูจะไม่ค่อยรุนแรงเหมือนกับค่ายของสหภาพโซเวียตและยุโรปตะวันออก แต่การเปลี่ยนแปลงความคิดทางเศรษฐกิจก็รุนแรงไม่แพ้กัน เพราะระบบคอมมิวนิสต์ในจีนและระบบสังคมนิยมของพรรคคองเกรสของอินเดียก็ล่มสลายทั้ง 2 ประเทศ และหันกลับมาใช้ระบบตลาดหรือ "กลไกตลาด" ในการจัดการระบบการผลิตและระบบการจัดสรรทรัพยากรของประเทศมากขึ้น เพราะครั้งหนึ่งถ้าใครพูดถึง "กลไกตลาด" ในสหภาพโซเวียตหรือในจีน อาจจะถูกกล่าวหาว่าเป็น "คนบ้า" ต้องเอาไปล้างความคิดให้หมด

สำหรับจีนนั้นประสบความสำเร็จในด้านการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ สามารถผลิตอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย รวมทั้งบริการทางด้านการศึกษา การสาธารณสุข และอื่น ๆ ซึ่งเคยเป็นสิ่งที่ขาดแคลนอย่างยิ่ง สมัยที่ยังไม่ได้ใช้ระบบตลาดหรือกลไกตลาดเป็นเครื่องมือในการตัดสินใจผลิตอะไร ผลิตอย่างไร และผลิตเพื่อใคร เป็นสมัยที่สังคมไม่อาจจะให้คำตอบได้เพราะ "รัฐ" เข้ามาแทรกแซงจัดการเสียเอง

ตัวอย่าง "กลไกตลาด" ที่เห็นได้ชัด คือระบบบริการทางการแพทย์ของเราที่เป็นระบบผสม มีระบบที่จัดบริการโดยรัฐโดยแท้ ให้บริการโดยใช้สถานที่เครื่องไม้เครื่องมือโดยรัฐ บุคลากรของรัฐ คิดราคาค่าบริการได้ แต่ก็ไม่สูงเท่ากับราคาตลาด ซึ่งเป็นระบบบริการทางการแพทย์ที่จัดโดยเอกชน โรงพยาบาล หรือสถานพยาบาลของเอกชน

ผู้ใช้บริการสามารถเลือกได้ตามแต่ฐานะทางเศรษฐกิจของตน ผู้ที่รายได้ไม่มากก็อาจจะใช้บริการของรัฐในเวลากลางวัน  แต่ถ้าไม่ต้องการรอเข้าแถวที่ยาว หรือไม่ต้องการเสียเวลารอที่นาน เพราะเวลาของตนมีค่ามากกว่าจะต้องมาต่อแถวรอ อาจจะมาใช้บริการทางการแพทย์ในโรงพยาบาลของรัฐนอกเวลาราชการ โดยมีค่าบริการที่สูงขึ้น หรืออาจจะเลือกใช้สถานบริการของเอกชนที่มีบริการครบถ้วนมากกว่า สะดวกสบายมากกว่า แต่ก็ต้องจ่ายในราคาตลาด เป็นต้น

บทบาทของกลไกตลาดยังมีอีกมาก

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เปิดพิมพ์เขียว : คณะรักษาความสงบแห่งชาติ !!?

เล็งตั้งสนช.200คน-สภาปฏิรูปจากองค์กรวิชาชีพ140คน มอบ"วิษณุ"นำทีมยกร่างรธน.ชั่วคราว จ่อคืนชีพพรรคการเมือง

คสช.ตั้ง"วิษณุ เครืองาม"เป็นหัวหน้าทีมยกร่างรัฐธรรมนูญชั่วคราว แย้มพิมพ์เขียว ตั้งสนช. 200 คน มาจากการแต่งตั้งทั้งหมด ส่วนสภาปฏิรูป 150 คน คัดจากองค์กรวิชาชีพ-การศึกษา 140 คน และผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย 10 คน เผยเตรียมสั่งคืนชีพ "พรรคการเมือง" หลังสิ้นสภาพไปตามรธน. ด้านตำรวจออกหมายจับ 7 มือบึ้มเวทีกปปส.ตราดแล้ว

ในขณะที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กำลังเร่งขับเคลื่อนงานในกลุ่มงานการบริหารราชการแผ่นดิน และกลุ่มงานรักษาความสงบเรียบร้อยนั้น อีกด้านหนึ่งก็มีความคืบหน้าการเตรียมการยกร่างธรรมนูญการปกครอง หรือรัฐธรรมนูญชั่วคราว และการกำหนดพิมพ์เขียวสภานิติบัญญัติแห่งชาติ รวมทั้งสภาปฏิรูปด้วย

แหล่งข่าวจาก คสช.เปิดเผยว่า ในการแถลงต่อประชาชนของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะหัวหน้าคสช.เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ พูดค่อนข้างชัดเจนว่า หลังจากดูแลความสงบเรียบร้อยและทำให้สังคมไทยยุติความขัดแย้งและการใช้ความรุนแรงได้ระดับหนึ่งแล้ว จะเร่งดำเนินการเรื่องยกร่างรัฐธรรมนูญชั่วคราว จัดตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาปฏิรูป พร้อมทั้งมีรัฐบาลชุดใหม่ก่อนเริ่มปีงบประมาณ 2558 (ก่อน 1 ต.ค.2557)

แหล่งข่าวกล่าวว่า ขณะนี้ได้มีการมอบหมายให้ นายวิษณุ เครืองาม นักกฎหมายชื่อดัง ซึ่งปรากฏชื่อเป็นหนึ่งในทีมที่ปรึกษา คสช. เป็นหัวหน้าคณะยกร่างรัฐธรรมนูญชั่วคราว

ส่วนสภานิติบัญญัติแห่งชาตินั้น ได้วางพิมพ์เขียวคร่าวๆ แล้วว่า จะมีสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. จำนวน 200 คน มาจากการแต่งตั้งทั้งหมด

ขณะที่สภาปฏิรูป ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ให้นโยบายว่าจะต้องทำงานเชื่อมโยงกับศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป หรือ ศปป.ซึ่งได้ตั้งศูนย์ฯย่อยๆ ขึ้นทั่วประเทศนั้น สภาปฏิรูปจะมีสมาชิก 150 คน ที่มาแยกเป็น 2 ส่วน คือ คัดเลือกจากองค์กรวิชาชีพและองค์กรการศึกษา จำนวน 140 คน ส่วนอีก 10 เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย แต่งตั้งโดย คสช. ทั้งหมดนี้คาดว่าจะเรียบร้อยลงตัวตามกรอบเวลาที่หัวหน้า คสช.กำหนดไว้

คสช.จ่อออกก.ม.คืนชีพพรรคการเมือง

อีกด้านหนึ่งผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ทำหนังสือสอบถามมาที่ คสช. ถึงสถานะพรรคการเมือง หลัง คสช.มีประกาศฉบับที่ 11 ยกเลิกรัฐธรรมนูญปี 2550 ส่งผลให้ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองสิ้นสภาพการบังคับใช้ไปด้วย เช่นเดียวกับ พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ และพ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ไม่ได้มีประกาศรับรองการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว

แหล่งข่าวจากทีมกฎหมาย คสช.เปิดเผยว่า เมื่อมีการยกเลิกรัฐธรรมนูญปี 2550 ไปแล้ว ส่งผลให้ พ.ร.บ.พรรคการเมืองสิ้นสภาพการบังคับใช้ไปด้วย ดังนั้นพรรคการเมืองที่มีอยู่ก็ต้องสิ้นสภาพไปตามรัฐธรรมนูญ แต่ขณะนี้หัวหน้าคสช.ได้สั่งการให้ทีมที่ปรึกษากฎหมายไปศึกษาข้อดีข้อเสียของกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ 4 ฉบับที่สิ้นสภาพไปแล้วว่าควรจะมีการประกาศใช้ต่อไปหรือไม่ หากเห็นว่ากฎหมายฉบับดังกล่าวส่งผลดีก็อาจจะออกเป็นประกาศหรือบรรจุลงในธรรมนูญปกครองชั่วคราว

“ในกรณีที่เห็นว่าพ.ร.บ.พรรคการเมืองควรมีผลบังคับใช้ เพราะเห็นว่ามีประโยชน์มากกว่าผลเสีย และคิดว่าควรจะออกเป็นประกาศ เราก็จะให้มีผลย้อนหลังให้กฎหมายคงสภาพไปเหมือนก่อนประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550”

ตั้ง"วิษณุ"นำทีมยกร่างรธน.ชั่วคราว

แหล่งข่าวกล่าวด้วยว่า ในขณะนี้นายวิษณุ เป็นหัวหน้าคณะดำเนินการ ซึ่งทีมกฎหมายอยู่ระหว่างการร่างธรรมนูญการปกครองชั่วคราวอยู่ เป็นไปตามที่หัวหน้า คสช.เคยบอกว่ากรอบในการร่างเป็นไปตามประเพณี ซึ่งการประกาศใช้เป็นไปตามห้วงระยะเวลาที่ต้องให้สิ้นสุดสถานการณ์ในระยะที่ 1 ในการดูแลสถานการณ์ให้สงบก่อน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามประกาศคสช.ฉบับที่ 11 ในการยกเลิกรัฐธรรมนูญปี 2550 ทำให้กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญทั้ง 9 ฉบับสิ้นสภาพไปด้วย ได้แก่ 1. พ.ร.บ.ว่าการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 2.พ.ร.บ.ว่าด้วยกรรมการการเลือกตั้ง 3. พ.ร.บ.ผู้ตรวจการแผ่นดิน 4. พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาความคดีอาญา 5.พ.ร.บ.ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 6.พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการเลือกตั้ง สว. 7. พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง 8.พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ 9.พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ แต่มีประกาศ คสช.ให้คงบังคับใช้กฎหมาย 5 ฉบับแรก ส่งผลให้กฎหมาย 4 ฉบับหลังสิ้นสภาพการบังคับใช้ลง

คสช.ตั้งคณะทำงานลุยปฏิรูป

ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ คณะทำงานโฆษกคสช. กล่าวถึงเรื่องการสร้างความปรองดองว่า มีการประชุมโดยมี พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร เลขาธิการคสช.เป็นประธาน ได้ตั้งโครงสร้างปรองดองสมานฉันท์สองขา ขาแรกคือการตั้งศูนย์ปรองดอง ซึ่งเป็นงานสร้างบรรยากาศความเป็นมิตร โดยจะมีการประสานหน่วยงานต่าง ๆ มาทำงานร่วมกัน และอีกขามีการตั้งคณะเตรียมการทำงานปฏิรูป เพื่อให้ได้ข้อยุติเรื่องการปฏิรูปในอนาคตต่อไป

มอบกรมประชาฯทำสปอตสร้างความเข้าใจ

ขณะที่น.ส.ปัฐมาภรณ์ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต คณะทำงานทีมโฆษกคสช. กล่าวว่า ขณะนี้หลายหน่วยงานกำลังดำเนินงานเรื่องความปรองดอง โดยในส่วนของกรมประชาสัมพันธ์จะจัดตั้งศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป ที่ใช้งบประมาณปกติของกรมประชาสัมพันธ์ในการสื่อสารทำความเข้าใจระหว่างคสช.กับประชาชน โดยจะผลิตและเผยแพร่สปอตโฆษณาต่าง ๆ ผ่านสื่อวิทยุกระจายเสียง ทีวี ทีวีดาวเทียม สื่อออนไลน์ทุกช่องทางของกรมประชาสัมพันธ์

นอกจากนี้ทุกเย็นวันพฤหัสบดีที่สวนหย่อมภายในกรมประชาสัมพันธ์ จะมีการแสดงดนตรีในสวนโดยวงดนตรีของกรมฯ เพื่อสร้างความปรองดอง โดยเริ่มเย็นวันพฤหัสบดีนี้เป็นต้นไป

มท.เปิดแผน4เดือนลุยงาน4ด้าน

ที่กระทรวงมหาดไทย นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวภายหลังประชุมหารือข้อราชการร่วมกับผู้บริหารระดับสูงในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ถึงความคืบหน้าการสนับสนุนแนวนโยบายของ คสช.ว่า ได้รวบรวมความคิดจากรองปลัดกระทรวงมหาดไทย อธิบดี ผู้ว่าฯ และรัฐวิสาหกิจ 5 แห่ง โดยทุกคนทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงโรดแมพของกระทรวงมหาดไทย มีทั้งหมด 4 เรื่องคือ การสร้างความปรองดองสมานฉันท์, การรักษาความสงบเรียบร้อยความมั่นคง, การกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก และการแก้ไขปัญหาความเดือนร้อนของประชาชน

"เราจะแยกออกเป็นระยะๆ จากนี้ไปจนถึงสิ้นปีงบประมาณ ตั้งแต่เดือนมิ.ย.-ก.ย.แค่ 4 เดือน ทุกเรื่องที่เป็นภารกิจตามปกติ ไม่ว่าเรื่องที่มีการใช้งบประมาณ และที่ไม่ใช้งบประมาณ เหล่านี้จะทำในทุกกรม ทุกรัฐวิสาหกิจ แล้วจึงจะลงไปยังพื้นที่ในระดับ จังหวัด อำเภอ และตำบล หมู่บ้าน โดย 4 เรื่องนี้กระทรวงมหาดไทยเราจะได้นำเสนอต่อ คสช."

ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในการดำเนินการต่างๆ ทางกระทรวงมหาดไทย จะไม่ใช้งบประมาณ จะใช้วิถีชีวิตแบบที่เคยปฏิบัติมา เพราะมีหลายเรื่องที่สามารถร่วมมือกันทำสิ่งที่เป็นสาธารณประโยชน์ได้ โดยเป็นกิจกรรมที่เสริมสร้างความรัก ความเข้าใจกันทางด้านสังคม วัฒนธรรม

ซึ่งการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ในส่วนอื่นๆ ที่ได้สั่งไปก็คือ ขอให้จังหวัดตั้งศูนย์ที่อำเภอ ทางกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งหมด ได้ตั้งศูนย์รองรับในส่วนนี้ ส่วนการปฏิบัติจะได้รับนโยบายอีกทางหนึ่งจาก กอ.รมน. แล้วผู้ว่าฯ กับกระทรวงมหาดไทย กับองคาพยพต่างๆ จะได้ทำงานร่วมกันไป

"ผมได้คุยกับผู้ว่าราชการจังหวัดไปหลายส่วนแล้ว ในขณะนี้ขอให้วิเคราะห์สภาพภายในพื้นที่ว่า มีการขัดแย้งกันเรื่องอะไร หนักหนาขนาดไหน แล้วใครที่จะเป็นคนที่มาร่วมในการที่จะพูดคุย หรือพูดให้เป็นหนึ่งเดียวกัน เลิกสลายสีเสื้อไม่ให้มี เพื่อให้สังคมสงบสุข และเป็นหลัก เป็นรากฐานในการพัฒนาต่อไป

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ประชานิยมพลังงาน สูญรายได้ไม่แพ้ จำนำข้าว !!?

ประชานิยมพลังงาน สูญรายได้ไม่แพ้จำนำข้าว ยันไทยไม่ใช่ซาอุฯตะวันออก จี้รัฐงดแทรกแซง รสก.พลังงาน

การปฏิรูปพลังงาน ถูกกล่าวถึงว่าเป็นหนึ่งในแนวทางที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะเข้าไปดูแลให้เกิดความโปร่งใส โดยเฉพาะการปรับกรรมการ (บอร์ด) "รัฐวิสาหกิจพลังงาน" ซึ่งเป็นเป้าหมายในอันดับต้นๆ จากผลประโยชน์มหาศาลในธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ กับข้อกังขาการ "ล้วงลูก" ของฝ่ายการเมืองผ่านการส่งคนของตัวเองเข้าไปนั่งเป็นบอร์ด

ด้าน "นโยบายพลังงาน" ยังเป็นอีกประเด็นที่มีข้อขัดแย้ง โดยเฉพาะการกำหนด "ราคาพลังงาน" จาก "ชุดข้อมูล" ที่ต่างกันของบุคคลหลายฝ่าย สังคมจึงจำเป็นต้องแสวงหาข้อเท็จจริง กลายเป็นที่มาของ "กลุ่มปฏิรูปพลังงานเพื่อความยั่งยืน" ที่เกิดจากการรวมตัวของเหล่า "กูรูพลังงาน" และผู้ที่เกี่ยวข้องกว่า 32 ชีวิต เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงเหล่านี้สู่สาธารณะ เป็นการปฏิรูปในสิ่งที่เข้าใจผิดๆ ให้ถูกต้อง

กลุ่มปฏิรูปพลังงานเพื่อความยั่งยืน นำทีมโดยปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน อดีตกรรมการผู้อำนวยการใหญ่การบินไทย (ดีดีการบินไทย) เขาบอกว่า ที่ผ่านมามีความ "ไม่ถูกต้อง" ในการให้ข้อมูลด้านพลังงาน ทำให้ประชาชนส่วนหนึ่งเข้าใจสถานการณ์พลังงานไทยบิดเบือน คลาดเคลื่อน

เช่น ไทยเป็นผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ของโลก เหตุใดจึงยังคง "ขายน้ำมันแพง" ข้อเท็จจริงคือปัจจุบันไทยยังต้องนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศมากถึง 50% เมื่อเทียบกับปริมาณความต้องการใช้ในประเทศ 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ต้องนำเข้าน้ำมัน 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน คิดเป็นเงินนำเข้าพลังงานปีละกว่า 1 ล้านล้านบาท

ไทยจึงไม่ได้เป็น "ซาอุดิอารเบียตะวันออก" อย่างที่หลายฝ่ายกล่าวอ้าง

ปิยสวัสดิ์ อธิบายว่า สิ่งที่กลุ่มปฏิรูปพลังงานเพื่อความยั่งยืนต้องการนำเสนอ คือ การปฏิรูปพลังงานใน 6 หัวข้อ ประกอบด้วย

1.การปรับโครงสร้างราคาพลังงาน ให้นำไปสู่การใช้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความเป็นธรรมต่อผู้ใช้น้ำมันประเภทอื่น โดยเฉพาะผู้ใช้น้ำมันเบนซิน จะต้อง "ลดการอุดหนุน" ราคาพลังงาน เพราะถือเป็นการบิดเบือนโครงสร้างราคาพลังงาน

ช่วงที่ผ่านมา ไทยอุดหนุนราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ผ่านกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซล กำหนดไว้ว่าราคาหน้าสถานีบริการน้ำมันต้องจำหน่าย "ไม่เกินลิตรละ 30 บาท" ผ่านการลดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลจนแทบจะไม่มีการจัดเก็บ เมื่อเทียบกับการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซินที่จัดเก็บในอัตราสูงกว่าลิตรละ 5 บาท

การดำเนินการดังกล่าวทำให้ประเทศสูญรายได้จากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต "ปีละไม่ต่ำกว่าแสนล้าน" ขณะที่การอุดหนุนราคาก๊าซหุงต้ม 4 ปีที่ผ่านมาคิดเป็นเงินกว่า "1.7 แสนล้านบาท"

ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาไทยจึง "สูญเสีย" รายได้จากการอุดหนุนราคาพลังงาน "ไม่น้อยกว่า" ความสูญเสียจากการขาดทุนโครงการรับจำนำข้าว

ปิยสวัสดิ์ ยังเสนอว่า หากรัฐต้องการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย สามารถดำเนินการได้ผ่านการ "ตั้งงบประมาณ" ให้ชัดเจน ถือเป็นการช่วยเหลือ "เฉพาะกลุ่ม" ไม่ควรนำเงินจากผู้ใช้น้ำมันเบนซินไปอุดหนุนผู้ใช้น้ำมันดีเซลทั้งประเทศเช่นนี้

2.เสนอให้เพิ่มการแข่งขันในธุรกิจพลังงาน ทำให้ตลาดน้ำมันมีการแข่งขันมากขึ้น โดยเสนอให้ พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2542 (หมวดการมีอำนาจเหนือตลาด) บังคับใช้ครอบคลุม "รัฐวิสาหกิจ" อย่าง บมจ.ปตท.เพื่อสร้างการแข่งขันให้เท่าเทียมกันระหว่างบริษัทน้ำมันเอกชน กับ ปตท.

เขายังเสนอด้วยว่า กระทรวงการคลังควรลดการถือหุ้นใน ปตท.ให้พ้นสภาพความเป็นรัฐวิสาหกิจอย่างแท้จริง และลดการถือหุ้นบริษัทพลังงานอื่นๆ เช่น ใน บมจ.บางจากปิโตรเลียม ในโรงกลั่นสตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง (เอสพีอาร์ซี) เพื่อแยกผู้กำหนดนโยบายออกจากการดำเนินธุรกิจ ทำให้การแข่งขันเป็นธรรมมากขึ้น

ในส่วนของธุรกิจท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ผูกขาดโดยธรรมชาติ ควรแยกธุรกิจนี้ออกจาก ปตท.ออกไปตั้งบริษัทใหม่ เพื่อให้สะดวกในการกำกับดูแล โดยเฉพาะการให้ "บุคคลที่สาม" (Third Party Access) เข้ามาใช้บริการส่งก๊าซฯผ่านท่อฯ

3.รัฐควรลดการแทรกแซงการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจพลังงาน รวมถึงรัฐวิสาหกิจอื่นๆ เช่น การขออนุมัติการลงทุนจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือส่งคนมาเป็นบอร์ด มีการแต่งตั้งโยกย้าย และกำหนดผลตอบแทนให้เหมาะสม

"รัฐวิสาหกิจบางแห่งรัฐไม่จำเป็นต้องถือหุ้น ถ้ารัฐเข้าไปก้าวก่ายกิจการอาจเจ๊ง ปตท.ตอนนี้ผลดำเนินงานยังไม่มีปัญหา แต่ถ้าปล่อยให้การเมืองเข้าไปแทรกแซงมากๆ อนาคตก็อาจจะเป็นเหมือนการบินไทยที่ขาดทุนติดต่อกัน 4 ไตรมาส และจะเป็น 6 ไตรมาสในอนาคต โดยไตรมาสแรกปีนี้ขาดทุนครั้งแรกในรอบ 54 ปี เทียบกับที่ผ่านมาไตรมาสแรกจะเป็นไตรมาสที่กำไรดีที่สุด"

4.ปรับปรุงการกำหนดนโยบายและการขออนุญาตให้โปร่งใส โดยเฉพาะใบอนุญาตตั้งโรงไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ซึ่งต้องขอทั้งใบอนุญาต รง.4 จากกรมโรงงานอุตสาหกรรม และใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้า จากกระทรวงพลังงาน ตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ.2550 ซึ่งถือเป็นการขอใบอนุญาตที่ซ้ำซ้อน

5.เร่งหาข้อสรุปพื้นที่ทับซ้อนด้านพลังงานระหว่างไทยกับเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-กัมพูชา เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศอย่างเร่งด่วน เนื่องจากสัมปทานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเดิมกำลังจะหมดอายุลง ขณะที่ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมาไม่สามารถออกสัมปทานใหม่ได้ สวนทางกับปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง

หากระยะเวลา 10 ปีจากนี้ ไทยยังไม่มีการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมเพิ่มเติม จะเกิดผลกระทบต่อ "ค่าไฟ" อย่างรุนแรงและต่อเนื่อง จากการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) จำนวนมหาศาล หากนำเข้าไม่ได้ก็ต้องใช้น้ำมันเตามาปั่นไฟแทน ทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นมาก

6.ส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนให้เป็นทางเลือกในการผลิตและการใช้ไฟฟ้า เช่น การใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ และการใช้เชื้อเพลิงประเภทอื่นในยานพาหนะ หรือแม้แต่รถยนต์ขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้า (ไฮบริด) คาดว่าจะมีใช้แพร่หลายในระยะ 10-20 ปีนับจากนี้

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
//////////////////////////////////////