--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555

สงครามค้าปลีก !!?

โดย ธันวา เลาหศิริวงศ์
นายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า(ประเทศไทย)

  ข่าวบริษัทย่อยของปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ยื่นข้อเสนอร่วมลงทุนในบริษัทสยามโกลบอลเฮ้าส์ (GLOBAL) ในสัดส่วนร้อยละ 30.01 ถึง 34.4 จนถึงบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) เปิดร้านซีพีฟู๊ตมาร์เก็ต ซีพีเฟรซมาร์ทและโครงการตู้เย็นชุมชน และบริษัทเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) ซื้อกิจการร้านหนังสือเอเชียบุ๊คส์พร้อมข่าวความสนใจในกิจการค้าส่งสมัยใหม่แห่งเดียวของไทยนั้น ล้วนเป็นสิ่งยืนยันถึงกลยุทธ์ธุรกิจที่บริษัทผู้ผลิตสินค้าต้องการมีช่องทางจำหน่ายของตนสู่ผู้บริโภคโดยตรง

ทั้งนี้เนื่องจากกิจการค้าปลีกสมัยใหม่มีบทบาทและมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นในชีวิตประจำวันของทุกคน มาดูกันว่า อุตสาหกรรมค้าปลีกมีความเปลี่ยนแปลงจากอดีต ปัจจุบันและอนาคตอย่างไร

ค้าปลีกเกี่ยวกับบ้าน ก่อสร้าง ปรับปรุง ซ่อมแซม ผู้ประกอบการหลักได้แก่ ห้าง HomePro (HMRPO) ห้าง HomeWork ร้านไทวัสดุ ห้างโกลบอลเฮ้าส์ (GLOBAL) ร้านดูโฮม ห้างอุบลวัสดุ ร้านบุญถาวร ร้านไดนาสตี้เซรามิค (DCC) ปัจจุบันผู้ประกอบการแต่ละรายพยายามเร่งขยายสาขา ยึดพื้นที่เพิ่มมากขึ้น อาจพอสรุปได้ว่า ผู้ประกอบการยังเห็นโอกาสเติบโตทางธุรกิจอีกมาก

ค้าปลีกด้านแฟชั่น ได้แก่ ห้างเซ็นทรัล ห้างโรบินสัน (ROBINS) ห้างพารากอน ห้างเอ็มโพเรียม ห้างเดอะมอลล์ แม้มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แต่แนวโน้มการเติบโตและขยายสาขาไปยังต่างจัดหวัดมากขึ้น

ค้าปลีกร้านสะดวกอิ่ม สะดวกซื้อ ได้แก่ ร้าน 7-11 (CPALL) ,โลตัส เอกซ์เพรส , Family Mart, 108 Shop และมินิ บิ๊กซี ผู้ประกอบการแต่ละรายยังมีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องแทบทุกชุมชน ล้วนแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่ร้านสะดวกซื้อเข้ามาทดแทนร้านค้าปลีกดั้งเดิมมากขึ้นอย่างแท้จริง

ค้าปลีก – ส่ง สินค้าอุปโภค บริโภค ได้แก่ ห้างเทสโก้ โลตัส ห้างบิ๊กซี (BIGC) ห้างแมคโคร (MAKRO) ต่างแข่งขันกันอย่างเข้มข้นทั้งด้านราคา การขยายสาขาและพัฒนารูปแบบสาขา อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการทุกรายก็พร้อมแข่งขันและยังต้องการขยายสาขาให้มากที่สุด นอกจากนี้ยังมี ห้าง Foodland ห้างวิลล่า มาร์เกต ห้างแมกซ์แวลลู ห้างท๊อปมาร์เกตและท๊อปเดลี่ ที่เน้นของใช้จำเป็นและอาหารสด ซึ่งก็เร่งขยายสาขาเพิ่มขึ้นเช่นกัน

ค้าปลีกอาหารที่สำคัญได้แก่ ร้านสุกี้ MK ร้านอาหารญี่ปุ่น Fuji, Oishi, Ishitan ร้าน Hot Pot ร้าน BBQ Plaza ร้าน S&P หรือร้านอาหารในเครือของ CENTEL และ MINT รวมทั้งร้านค้าปลีกเฉพาะด้าน ได้แก่ ร้านหนังสือซีเอ็ด (SE-ED) ร้านหนังสือนายอินทร์ ร้านไอที ซีตี้ (IT) ร้านโทรศัพท์มือถือเจมาร์ท (JMART) ร้านเพชรยูบิลี่ (JUBILE) ร้านสุขภาพและความงาม Boots และร้าน Watson ต่างเร่งขยายสาขาของตนผ่านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของ บริษัทเซ็นทรัลพัฒนา (CPN) บริษัทสยามฟิเจอร์ (SF) บริษัทเอ็มบีเค (MBK) รวมถึงพื้นที่เช่าของห้างเทสโก้ ห้างบิ๊กซี ห้างโรบินสัน ห้างกลุ่มเดอะมอลล์ หรือศูนย์การค้าต่างๆ อีกด้วย

แนวโน้มการเติบโตและการขยายสาขาจำนวนมากเหล่านี้ ก่อให้เกิดคำถามว่า อนาคตค้าปลีกไทยของประเทศจะเป็นอย่างไร คำตอบก็คือ แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงใหญ่ (Mega Trend) นี้เกิดขึ้นทั่วโลก หากศึกษาจากประเทศที่พัฒนาแล้ว จะพบว่ากิจการค้าปลีกแบบดั้งเดิมลดน้อยอย่างมากและถูกแทนที่ด้วยร้านค้าปลีกสมัยใหม่

สำหรับประเทศไทย แม้เริ่มมีพัฒนาการมากว่าสิบปีแล้ว แต่หากพิจารณาแผนการขยายสาขาของผู้ประกอบการแล้ว จะพบว่าประเทศไทยน่ายังอยู่ในวงจรการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรมค้าปลีกไปอีกอย่างน้อย 2-3 ปีก่อนอัตราการขยายสาขาจะเริ่มลดลง

คำถามต่อมาก็คือ แม้มีการแข่งขันอย่างรุนแรง แต่ราคาหุ้นค้าปลีกในไทยยังซื้อขายที่ระดับ P/E สูงมากเมื่อเทียบกับหุ้นค้าปลีกในต่างประเทศเช่น ห้างวอล์มาร์ท (WMT) คำตอบก็คือ ราคาหุ้นมักสะท้อนถึงโอกาสทางธุรกิจ และผลประกอบการในอนาคต อีกนัยหนึ่งก็คือ นักลงทุนส่วนใหญ่ยังมั่นใจถึงการเติบโตและผลประกอบการของหุ้นค้าปลีกไทยนั่นเอง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต้องคำนึงถึงส่วนต่างความปลอดภัย (Margin of Safety) ก่อนเข้าลงทุนด้วย

คำถามถัดมาก็คือ ใครจะเป็น “ผู้ชนะ” ในอุตสาหกรรมนี้ คำตอบก็คือ ผู้ประกอบการที่กล่าวมาข้างต้น ล้วนอยู่ในกลุ่มผู้ชนะและอยู่รอดจากการแข่งขันในอดีตถึงปัจจุบัน แต่สำหรับการเป็น “ผู้ชนะอย่างถาวร” อย่างยั่งยืนในอนาคตและมีผลประกอบการยอดเยี่ยมนั้น ต้องมีองค์ประกอบสำคัญ 3 อย่างได้แก่ หนึ่ง ทำเลที่ตั้งของกิจการ สอง ขนาด เพื่อประโยชน์จาก Economy of Scale และสาม การใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล (Efficiency & Effectiveness) สูงสุด นักลงทุนจึงต้องพิจารณาศักยภาพของผู้ประกอบการแต่ละรายด้วย

แม้สงครามค้าปลีกไทยยังระอุและแข่งขันรุนแรง แต่ราคาหุ้นค้าปลีกได้ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องตามผลประกอบการที่ดีในหลายปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 14 กันยายน 2555 พบว่า ราคาหุ้นหมวดพาณิชย์ยังปรับตัวสูงขึ้นถึง 45% เทียบกับการปรับตัวขึ้น 24% ของตลาดโดยรวมและเป็นรองเพียงหมวดไอซีทีที่ 49% ในฐานะ Value Investor พันธุ์แท้ ควรใช้เป็นกรณีศึกษาในการพิจารณาลงทุนในหุ้น “ผู้ชนะ” ที่อยู่ใน “Mega Trend” ณ ราคาที่มี “Margin of Safety” ถึงวันนั้น นักลงทุนที่ซื้อหุ้นดังกล่าวก็จะมีความสุขถ้วนหน้าเช่นกัน

ที่มา.ประชาชาติุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2555

อาเซียน..แตกคอต้องแก้ที่สปิริต !!?

หลายคนวิจารณ์ว่าการรวมกลุ่มเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี ยังต้องฝ่าฟันปัญหาอุปสรรคอีกมากมาย และอาจเปิดตัวไม่ทันตามกำหนดในปี 2558 เหตุเพราะแต่ละประเทศต่างตั้งท่าปกป้องผู้ประกอบการในประเทศ ด้วยการใช้เงื่อนไขพิเศษ ยกตัวอย่างการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (เออีเอ็ม) ล่าสุด ที่ประเทศกัมพูชา ก็ทำเอาเหล่ารัฐมนตรีปวดหัวไปตามๆ กัน

เนื่องจากต่างฝ่ายต่างอ้างเหตุผลที่จะไม่เปิดเสรีเต็มรูปแบบ อาทิ มาเลเซียเสนอให้นำเข้ารถยนต์เฉพาะรุ่นที่ไม่ได้ผลิตภายในประเทศ แถมยังต้องขออนุญาตพิจารณานำเข้าเป็นรายคัน นอกเหนือ จากนี้ต้องเสียภาษีตามปกติไทยเลยโต้กลับว่า ถ้าเช่นนั้นสินค้าเกษตรบางชนิดก็ต้องนำเข้าประเทศไทยได้เป็นบางช่วง เช่น การนำเข้าหอมหัวใหญ่ในช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงที่หอมไทยขาดตลาด ส่วนฟิลิปปินส์ก็ไม่น้อยหน้า ไม่ลดภาษีนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตามกำหนด อ้างโน่นอ้างนี่ตามสไตล์

ในขณะที่ สปป.ลาว ไม่ลดภาษี เพราะไม่พร้อม แต่ขอให้เพื่อนบ้านเปิดประตูให้สินค้าจาก สปป.ลาวเข้า ไปขายแบบไร้ภาษีทุกรายการ สิงคโปร์ยิ่งแล้วใหญ่ ไม่เห็นด้วยกับการตั้งกองทุนสนับสนุนธุรกิจขนาด กลางและขนาดย่อมหรือเอสเอ็มอี เพราะสิงคโปร์ไม่ค่อยมีธุรกิจเอสเอ็มอี

โอ้! พระเจ้า..ช่วยด้วย!

ซึ่งหากจะว่ากันแบบล้วงลึกเข้า ไปในก้นบึ้งของหัวใจ สาเหตุที่หลายประเทศไม่ยอมอ่อนข้อในเรื่องเหล่านี้ เนื่องจากยังยึดติดใน ตัวกู..ของกู ทำให้นึกไปถึงการแข่งขันกีฬาฟุตบอล “ไทย-อินโดนีเซีย” ในยุคหนึ่ง ต่างคนต่างเล่นแบบไม่อยากชนะเพราะ ไม่ต้องการไปเจอกับเวียดนาม สุดท้าย อินโดนีเซียตัดสินใจยิงประตูตัวเองซะเลยหรือกีฬาซีเกมส์ คนเป็นเจ้าภาพหวังเพียงแค่ตำแหน่ง “เจ้าเหรียญทอง” ทำทุกอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมายแม้กระทั่งการยัดเงินกรรมการแสดงให้เห็นถึงความไร้ “สปิริต”

เมื่ออาเซียนยังยึดมั่นเพียงแค่ผล ประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้ง ก็อยากรวม ตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จะสมบูรณ์แบบ 100% อาจเป็นเพียงการรวมตัวกันแบบ หลวมๆ ไปเรื่อยๆ แม้ว่ากรอบ “เออีซีบลูปริ้นท์” หรือพิมพ์เขียวอาเซียนจะกำหนดแผนงานไว้อย่างชัดเจนว่าแต่ละประเทศต้องบูรณาการร่วมกันอย่างไรบ้าง เพื่อไปให้ถึงจุดหมายในปี 2558 แต่ก็ยังการันตีอะไรไม่ได้หากยังเต็มไปด้วยความเป็น “ตัวกู..ของกู” พระพุทธเจ้าตอบปัญหานี้ไว้ตั้งแต่ 2,500 ปีที่ผ่านมาว่า การแก้ปัญหาต้องแก้ที่ต้นเหตุ ทุกข์จะดับได้ ต้องดับที่ต้นเหตุแห่งทุกข์ ไม่ใช่ดับที่ตัวทุกข์การที่หลายประเทศตั้งป้อมป้องกันคู่แข่ง ตรากฎหมายเฉพาะกิจ หรือเงื่อนไขข้อกำหนดที่อยู่นอกเวทีการเจรจาขึ้นมา เพื่อไม่ให้สินค้าจาก เพื่อนบ้านไหลเข้า ไปการแก้ไขไม่ ใช่ เพียงแค่การเรียก ร้องให้ยกเลิกกฎหมายนั้นๆ

เนื่องจากการยกเลิกกฎหนึ่ง อาจมีกฎอีก ข้อหนึ่งผุดขึ้นแทนแต่ต้องแก้ที่ต้นตอคือ “สปิริต” ผู้นำอาเซียนต้องมีสปิริต ได้บ้าง เสียบ้าง คละเคล้ากันไป แต่ถ้าทุกประเทศมุ่งจะเอาอย่างเดียว คิดแต่ได้ฝ่ายเดียวเออีซี หลังจากปี 2558 ก็คงมีสภาพไม่ต่าง จากที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนั่นก็คือ การยัดสินบนเจ้าหน้าที่ ซิกแซ็กหลบเลี่ยงช่องโหว่ของกฎหมาย เข้าทาง “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก” หรือ “คนโง่เป็นเหยื่อของคนฉลาด” เป็นได้แค่นั้นจริงๆ!!!

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ก.ถ.ประกาศใช้ระบบซี-แท่งเงินเดือน ปี56 กำหนดบัญชีไม่อิงก.พ./ขึ้นย้อนหลัง ปี51

มหาดไทย - นางเลื่อมใส ใจแจ้ง กรรมการมาตรฐานการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น (ก.ถ.)กล่าวถึงความคืบหน้าในการแก้ไข ปัญหาเงินเดือนและค่าตอบแทนของข้าราชการส่วนท้องถิ่นหรือพนักงานท้องถิ่น และลูกจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกรณีบัญชีเงินเดือนเหลื่อมล้ำกับของข้าราชการพลเรือนว่า ปัจจุบันข้าราชการ ระดับ 1-6 ไม่ได้รับผลกระทบ เพราะเงินเดือนในปัจจุบันยังเท่ากับข้าราชการพลเรือนที่มีการเปลี่ยนไปเป็นระบบแท่งเงินเดือนอยู่ แต่ที่มีปัญหาคือระดับ 7-9 ที่เต็มเพดานเงินเดือนแล้ว แต่ก็ยังได้น้อยกว่าของข้าราชการพลเรือนเฉลี่ยอยู่ประมาณ 8%

นางเลื่อมใส กล่าวอีกว่า ดังนั้น มติของ ก.ถ.ที่มีการประชุมเมื่อวันที่ 27 ส.ค.55 จึงเห็นชอบให้มีการกำหนดบัญชีเงินเดือน ของท้องถิ่นขึ้นมาเป็นการเฉพาะ โดยไม่ต้องอิงของคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ซึ่งบัญชีเงินเดือนของ ก.ถ.ที่จะจัดทำขึ้นใหม่ ค่าตอบแทนของข้าราชการส่วน ท้องถิ่นจะได้ไม่น้อยไปกว่าของ ก.พ.

“นอกจากนี้ ยังรับหลักการว่า การขึ้นเงินเดือนดังกล่าวให้มีย้อนหลังไปถึงวันที่ 11 ธ.ค.51 อาจจะมีปัญหาเรื่องงบประมาณว่าจะนำเงินที่ไหนมาจ่ายให้ และจะกระทบกับสัดส่วนร้อยละ 40 ของงบประมาณประจำปีหรือไม่ และการจ่ายเงิน ย้อนหลังดังกล่าวจะมีวิธีการดำเนินการอย่างไร” นางเลื่อมใส กล่าว

ส่วนการประชุมอนุกรรมการด้านการพัฒนาการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น ที่มีตนเป็นประธานอยู่และได้ประชุมไปเมื่อวันที่ 12 ก.ย.55 ที่ผ่านมา ได้มีมติ เร่งรัดให้สถาบันที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพราชการ (สปร.) เดินสายทำประชาเสวนาเกี่ยวกับการจำแนกตำแหน่ง ของข้าราชการส่วนท้องถิ่นให้เสร็จภายในปีนี้ และคาดว่าจะประกาศใช้ระบบใหม่ ได้ในต้นปี 56 โดยมีแนวโน้มให้ใช้ผสมกันระหว่างระบบซี และระบบแท่งเงินเดือน

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ศูนย์กลางอำนาจแผ่ว..ภาวะสะท้อน ความล้มเหลว บทเรียนต้องจำของ รัฐประหาร 2549 !!?

นานถึง 6 ปีแล้ว พลังอำนาจทหาร ถูกสร้างแล้วจัดมารวมศูนย์ตามแรงกดดันจาก “คณะรัฐประหาร 19 กันยายน 2549” แต่บัดนี้ “ต้นทาง” สั่งการอำนาจอยู่ในอาการผุกร่อน แทบไร้แรงชี้นำครอบทับสังคมอย่างน่าเกรงขามดุจเดิม ได้อีกสายบังคับบัญชา ตามการสั่งการใน แนวดิ่งออกอาการมึนๆ ผะวักผะวนกับหลักยึดที่คอยหนุนหลังให้แสดงแสนยานุภาพอำนาจอันไร้ขอบเขตทหารบางกลุ่ม ทอดสายตามองข้าม รั้ว “เขตทหารห้ามเข้า” ส่ายสายตาหาหลักยึดทางอำนาจใหม่ เพื่อเกาะไว้พักพิง และทหารอีกส่วนหนึ่ง พยายามหาทางลงจากอำนาจ พร้อมๆ กับถนอมเก็บศักดิ์ศรีไว้เป็นสัญลักษณ์ “ขุมอำนาจแห่งอดีต” เพียงเพื่อได้ปลอบประโลมใจอยู่เงียบๆ อาการมึน เหงาทางอำนาจจากฝ่าย ทหารสะท้อนถึงทิศทางอนาคตสังคมที่มีความหมายอยู่ไม่น้อย รวมทั้งบ่งบอกถึงอาการทหารเด็กเดินเรียงแถวให้ปากคำในเหตุการณ์ปราบ ประชาชนที่ชุมนุมทางการเมืองเมื่อพฤษภา 2553 ย่อมสะท้อนเป็นเบื้องต้นว่า ทหารไม่ได้เป็นกลุ่มอำนาจที่อยู่เหนือกติกา ของสังคม ก็พอเชื่อได้อยู่

นั่นคือ อิทธิฤทธิ์ของความตาย 98 ศพ และพลังเจ็บแค้นของประชาชนอีกนับพันบีบกดดันให้ทหารต้องจัดแถวมาร่วม เป็นส่วนหนึ่งและอยู่ภายใต้กติกาของสังคม เดียวกันเมื่ออำนาจทหารที่เคยมี มาจากศูนย์กลางการรัฐประหารสร้างขึ้นและให้ไว้การรัฐประหารล่าสุดเมื่อ 19 กันยายน 2549 สะท้อนถึงความล้มเหลวทางอำนาจแล้ว ศูนย์กลางอำนาจใหม่ย่อมงอกเงยเข้ามาแทนที่เป็นศูนย์อำนาจจากประชาชนที่สะท้อนถึงความชอบธรรมในการใช้อำนาจ โดยผ่านกระบวนการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยที่ไม่มีสร้อยมาห้อยท้าย ดังนั้น อำนาจของพรรคการเมืองที่ยึดมั่นวิถีของประชาชนจึงมีความชอบธรรมในการแสดงพลังอำนาจ

ด้วยเหตุนี้ 6 ปีหลังจากการยึดอำนาจเมื่อ 19 กันยายน 2549 แม้เป็นเวลาที่สั้นในการปรับตัวของพลังทางทหาร ได้แทบไม่ได้เชื่อ แต่ปัจจัยทางศูนย์อำนาจ จริงเกิดแผ่วลงอย่างรวดเร็ว คือปัจจัยเร่ง ให้ทหารต้องปรับตัวอย่างไม่รีรอนี่เป็นด้านดีๆ ที่พยายามหาจนเจอจากการรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 คือทหารเริ่มปรับตัวอยู่ใต้กติกาของสังคม

> เหตุผล ข้ออ้างล้มเหลว

สิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นบนซากความล้มเหลว ของการรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 คือ สร้างให้ประชาชนแข็งแกร่ง และเติบโต ทางการเมืองอย่างมีวุฒิภาวะขึ้น พลังประชาชนที่แข็งแกร่งนี้ ได้กดทับให้พลังยึดอำนาจของทหารเกิดความลังเลที่จะผุดโผล่ขึ้นมาอย่างยากลำบากยิ่งขึ้น ประกอบกับหาเหตุผลมาเป็นข้ออ้าง แบบเฉยเมยได้ไม่ง่ายอีกตามเคยการยึดอำนาจเมื่อปี 2549 มีข้ออ้าง ว่า “ประเทศไม่สงบสุขเรียบร้อย” สังคมการเมืองเต็มไปด้วย “คนโกง” มาบริหารประเทศ เนื่องจากประชาชนหลงคล้อยตาม และสนับสนุนไปชั่วขณะ

ศูนย์กลางอำนาจหลังรัฐประหาร เร่ง “ประโคม-โหมคุณธรรม” ให้ประชาชน เลือก “คนดี” เข้ามาทำงาน การประชาสัมพันธ์แบบโฆษณาชวนเชื่อนานเป็นปี สุดท้ายต้องแพ้กับ “ความจริง” ที่ผุดขึ้นตามประจานในภายหลังคนดีที่ยัดแน่นในคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ถูกกระชากหน้ากาก ประจานอย่างหนักว่า เป็นคนดีแบบสีเทา เลือกข้างมีฝ่ายเพื่อใช้กระบวนการยุติธรรม บำบัดความชิงชังส่วนตัว

คนดีจาก “องค์มนตรี” ชื่อ “พล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์” ถูกโยกมาเป็น “นายกรัฐมนตรี” ชั่วคราว กลับมัวหมองทางอำนาจ บุกรุกที่ดินป่าสงวนมาสร้างบ้านพักผ่อน ซ้ำร้ายยังร่วมประชุมวางแผนกับ นักโฆษณาชวนเชื่อย่านสุขุมวิทเพื่อกำจัด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้ออกจากระบบการเมืองของไทยอย่างไม่อินังขังขอบกับเสียงประชาชนนับสิบล้านที่หย่อนบัตรเลือกตั้ง

คนดีในคราบนักการเมือง ผู้ยึดมั่นประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาอย่าง “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูกอุ้มให้เป็นนายกรัฐมนตรีในค่ายทหาร แต่กลับไม่ประสีประสากับการทำงาน กลายเป็น “คนดีแต่พูด” ซ้ำร้ายยังเพิกเฉยกับการปราบประชาชนจนล้มตายมากถึง 98 ศพ บาดเจ็บนับพันคน ครอบครัวขาดหลักพึ่งพิงยามยาก ช่างเป็นคนดีที่เหี้ยม ได้นั่งเก้าอี้นายก รัฐมนตรีอันอำมหิต

ความล้มเหลวบนชุดความคิด “คนดี” จึงเป็นบทเรียนทางอำนาจให้ พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะรัฐประหาร ต้องออกปาก “ยอมรับผิด” และเกิดแนว คิดใหม่หันหน้าหาทางสร้างความปรองดอง บนความแตกแยกของสังคม พล.อ.สนธิ กลายเป็นนักการเมือง เป็นหัวหน้าพรรคมาตุภูมิ ลงเลือกตั้งตามวิถีประชาธิปไตย ตำแหน่ง ส.ส.สมัยแรกของเขาถูกตั้งให้เป็นประธานอนุกรรมการ สร้างความปรองดอง เมื่อเสนอกฎหมายเข้าสภา แต่ถูกต่อต้าน

กฎหมายปรองดองค้างเติ่งในวาระการประชุมสภา กลายเป็นกฎหมายที่ถูกฝ่ายต่อต้านและพรรคประชาธิปัตย์นำไปขยายผลว่า เป็นกฎหมายฟอกความผิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ

พล.อ.สนธิ เมื่อ 6 ปีที่แล้ว เขายึดอำนาจ ไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกนอกประเทศ แต่วันนี้เกมการเมืองที่เล่นเพื่อชนะอย่างเดียว ได้ลากให้เขาเป็น “คนของทักษิณ” หรือเป็นนายหน้าหาทางนำทักษิณกลับบ้าน

เวลาเพียง 6 ปี ในทางประวัติศาสตร์สังคม ช่างสั้นๆ เป็นเพียงเศษเสี้ยว ซึ่งไม่ อาจปรับอุดมการณ์ของสังคมให้เติบโตได้เป็นปึกแผ่น แต่หากมีเกมการเมืองมาปะปน กับอำนาจ ย่อมยัดเยียดชุดอุดมการณ์บุคคลให้พลิกหน้ามือเป็นหลังมือได้ และพล.อ.สนธิ ซึมซับกับบทเรียนทางอำนาจที่ล้มเหลวเช่นนี้ได้ลึกยิ่ง

> อำนาจทหารซึม ปชต.เบ่งบาน

พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต มียศเป็น “นายทหารอากาศ” เมื่อมีตำแหน่งทางการเมืองเป็น “รมว.กระทรวงกลาโหม” การโยกย้ายจัดแถวทหารประจำปี 2556 ช่างราบรื่น ผู้บัญชาทุกเหล่าทัพยิ้มหน้าบาน มีความสุขถ้วนหน้าแม้มีอาการสะดุดทางอำนาจอยู่บ้าง ในกรณีโยกย้ายปลัดและรองปลัดกลาโหม แต่เป็นเพียงการกระตุกเล็กๆ ไม่ได้ทำให้งานจัดกำลังคนของเหล่าทัพต่างๆ เสียรูปความต้องการไปตามปกติ เมื่อยามศูนย์กลางอำนาจ เบ่งบานบารมีเหนือฟ้าดิน และทะเล อำนาจทางการเมืองไม่กล้าวอแวกับทหาร การเมืองเป็นเพียงตราประทับผ่านไปตาม ความต้องการของกองทัพ

แต่ครั้งนี้ การกำลังโยกย้ายทหารลงตัวเป็นระเบียบ ทุกส่วนอำนาจยิ้มเบิกบาน ราวกับกองทัพปรับตัวเข้ากับศูนย์กลาง อำนาจใหม่ได้ด้วยดีแน่นอน คงไม่ใช่ศูนย์กลางอำนาจของรหัส “เจ๊ ด.” และไม่ใช่รังของตระกูลชินวัตร แต่เป็นศูนย์กลางที่ถูกจัดระเบียบ ตามโครงสร้างการบริหารที่ขึ้นตรงกับประชาชนเป็นเป้าหมายหลัก

เมื่อเป้าหมายอยู่ที่ประชาชน อาการ ฮึกเหิมแบบคนห่ามๆ ทางอำนาจจึงไม่จำเป็นต้องแสดงออกมาแข่งบารมี อวดศักดิ์ศรีอีก เมื่ออำนาจอยู่ที่ประชาชน องค์กรที่ รับงบประมาณภาษีประชาชนจึงควรสงบ เสงี่ยม ด้วยเหตุนี้อาการทางอำนาจของกลุ่มทหารจึงเต็มไปด้วยอาการ “ซึม” แบบคนเพิ่งซึมซับบทเรียนความล้มเหลวจากการรัฐประหารมาหยกๆ เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว ประชาธิปไตยจะได้เบ่งบานเพื่อเป็นอำนาจต่อรองการพัฒนา ประเทศกับอารยะสังคมโลกในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา อาการประชาธิปไตยเริ่มเบ่งบานบนฐานประชาชนเติบโต ในวุฒิการเมืองและห่วงแหนสิทธิความเท่าเทียมทางการเมืองได้บ่งบอกใน หลายด้าน

ด้านหนึ่ง เกิดภาคประชาชนที่มี เป้าหมายทางการเมืองเฉพาะ รวมทั้งมีลักษณะการต่อสู้เพื่อปกป้องอำนาจความเท่าเทียมทางการเมืองไว้อย่างแข็งแกร่งอีกด้านหนึ่ง ประชาชนเรียนรู้ทาง การเมือง ด้วยการทำแนวร่วมเพื่อสนับสนุน พรรคการเมือง โดยมีเป้าหมายสะท้อนสัญลักษณ์กติกาประชาธิปไตยในสังคมเอาไว้

การเริ่มต้นเติบโตอย่างมีคุณภาพเช่นนี้ จึงกลายเป็นฐานการเมืองของพรรค เพื่อไทย ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เลือกเดินสู่อำนาจด้วยวิถีประชาธิปไตย แน่ละ แนวทางเช่นนี้ จะดีหรือไม่ จะถูกหรือผิดก็ตาม แต่เป้าหมายประชาชน อยู่ที่การเลือกตั้ง ใช้ความเหตุทางการเมือง มาเป็นข้อยุติบนความแตกต่างทางความคิดที่หลากหลายนั่นจึงไม่แปลกเลยที่พรรคในขอบ ข่ายอำนาจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ว่าพรรค พลังประชาชน หรือพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งเหนือพรรคประชาธิปัตย์มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งๆ ที่พรรคประชาธิปัตย์มีกองทัพ ส่งเสริม มีศูนย์อำนาจรัฐประหารให้การสนับสนุน คอยปกป้อง แต่กลับแพ้พรรคเพื่อไทยหลุดลุ่ย คำตอบคือ อยู่ที่เสียงประชาชนและ การเบ่งบานของประชาธิปไตยนั่นเอง

เมื่อประชาชนเลือกระบบเศรษฐกิจ ประชานิยม มาแก้ปัญหาปากท้อง มองเห็น การพัฒนาท้องถิ่น ได้รับโอกาสเข้าถึงแหล่งทุนในการสร้างอาชีพ การสาธารณสุข การศึกษา และอีกร้อยแปดพันประการ แต่ ทุกสิ่งที่ต้องการนั้น กลับสร้างขึ้นได้ด้วยพลังทางการเมือง ที่ “เข้าใจมวลชน” ดังนั้น พรรคการเมืองที่มีจุดยืนแบบ มวลชนจึงได้เปรียบ และได้โอกาสบริหารประเทศตามมติของประชาชน ไม่ใช่ความ ต้องการของศูนย์กลางอำนาจที่เริ่มแผ่วลง แผ่วลงสิ่งสำคัญต้องจดจำไว้ เมื่อประชาชน สร้างอำนาจตามระบบเลือกตั้ง สนับสนุน พรรคการเมืองตามวิถีประชาธิปไตยแล้ว อำนาจเช่นนี้ย่อมไม่กลับมาสั่งฆ่าประชาชน ให้ล้มตายกลางถนน 98 ศพ เพื่อสังเวย “ผังล้มเจ้า” ที่เสกปั้นขึ้นมาแอบอ้างแน่พรรคการเมืองที่ถูกอุ้มชูด้วยอำนาจ พิเศษเท่านั้นจึงหาญกล้ากระทำโดยไม่ยินดี ยินร้ายกับประชาชนได้ลงคอ แล้วยัดเยียด ความเหี้ยมโหดให้ “ชายชุดดำ” ได้หน้าตาเฉยข้อแตกต่างทางอำนาจอยู่ตรงนี้และบทเรียนความล้มเหลวแบบสุดๆ เหนือคำบรรยายด้วยภาษามนุษย์อยู่ตรงแหล่งที่มาที่เรียกว่า “รัฐประหาร 19 กันยายน 2549” นั่นเองไม่มีอะไรเลวร้ายไม่กว่าการทำรัฐประหารอีกแล้ว จำไว้เป็นบทเรียน!!!

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ตลกร้าย 6 ปี 19 กันยาฯ The Lost War รูดม่านการเมืองไทย !!?

โดยการทำรัฐประหาร “ล้มล้างรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” ภายใต้การนำของ “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น แม้ในช่วงออกตัว “คณะปฏิวัติ” จะได้รับเสียงเชียร์อย่างล้นหลาม ทั้งจากกลุ่มชนชั้นกลาง ขั้วนักวิชาการ และกลุ่มที่ฝักใฝ่ “อำนาจนิยม” แต่กระนั้นพอ 6 ขวบปืล่วงผ่านไป ก็ปรากฏว่า สิ่งเหล่านี้เป็น “ตลกร้าย” ที่คนไทยขำกันไม่ออก เพราะได้ก่อกำเนิด “ความขัดแย้งรุนแรง” นำมาซึ่งการเผชิญหน้าทางการเมืองอย่างไร้ซึ่งทางออก ที่สุดย่อมนำไปสู่การต่อสู้ขั้นแตกหักอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นับจากการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองหลังปี 2549 สังคมไทยได้ถูกเปลี่ยนโฉมหน้าอีกครั้ง โดยการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองโดยอำนาจทหาร และปิดฉาก “รัฐธรรมนูญปี 2540” ที่เรียกได้ว่า เป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนที่ดีที่สุด ก่อนจะทำคลอดรัฐธรรมนูญปี 2550 ฉบับ “ธงเขียวขี้ม้า” ที่ตลอดมาได้ถูกต่อต้านอย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะกับกลุ่มมวลชนที่เคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อต่อต้าน “อำนาจเผด็จการ” และการรัฐประหาร เพราะถือได้ว่าเป็น “มรดกบาป” ของฝ่ายที่โค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

ว่ากันว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองดังกล่าว “คณะผู้ก่อการ” ได้พยายามทำให้สังคมไทยเชื่อว่า จะเป็นการได้มาซึ่งกระบวนการ “ประชาธิปไตยใหม่” ที่หลุดพ้นจากพฤติกรรมอันเลวร้ายทางการเมือง!!!

และนั่นคือความเป็นไปหลังเหตุการณ์ 19 กันยาฯ 2549 จากนั้นประเทศไทยก็ได้ตัว “บิ๊กแอ้ด” พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เข้ามาทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี ที่มิได้มาจากการเลือกตั้ง ก่อนที่กระบวนการประชาธิปไตยแบบครึ่งเสี้ยว จะตามมาหลอกหลอนคนไทยอีกครั้ง เพราะเป็นกระบวนการที่ยึดโยง “กลไกประชาธิปไตย” แบบครึ่งๆ กลางๆ ดำเนินไปโดย “รูปแบบ” ของการ “ต่อรองอำนาจทางการเมือง”

เช่นที่ว่านี้ แม้การโค่นล้มอำนาจรัฐเมื่อปี 2549 จะกระทำได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ทว่าหลังจากนั้นการเมืองไทยก็ประสบปัญหายุ่งยากนานัปการ ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ประการหนึ่งที่ว่า “การยึดอำนาจรัฐไม่ใช่เรื่องยาก การรักษาอำนาจรัฐไว้ยากยิ่งกว่า”

ยิ่งไปกว่านั้น ผลพวงจากการรัฐประหาร ไม่เพียงแต่สะท้อนให้เห็นว่า “การยึดอำนาจ” มิใช่ทางออกในการแก้ปัญหาการเมืองไทยเท่านั้น หากแต่ยังทำให้สถานการณ์ดูจะซับซ้อนมากยิ่งขึ้น และกลายเป็นภาพสะท้อนที่ว่า “รัฐประหาร” มิใช่คำตอบ แต่เป็นเพียงสัญลักษณ์ของความ “ล้าหลังทางการเมือง” ของประเทศไทย รวมถึงปรากฎการณ์ “คอร์รัปชั่นสะท้านบ้าน...สะท้านเมือง” หลังมีการแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมืองของเหล่าผู้นำทหาร ด้วยการเข้าไปยึดกุมบอร์ดรัฐวิสาหกิจ และขุมข่ายอำนาจรัฐต่างๆ

บทเรียนจากการรัฐประหาร 19 กันยาฯ จึงกลายเป็น “ความล้มละลายทางการเมือง” และส่งผลให้ขั้วอำนาจการเมือง และกลุ่มที่ให้การสนับสนุนรัฐประหารในช่วงแรก ต้องหันกลับมายอมรับ และให้การเมืองในระบบเลือกตั้งเป็นเครื่องมือตัดสินการเป็นผู้บริหารประเทศ แม้ระบบการเลือกตั้งจะมีปัญหาและข้อบกพร่องอยู่มาก แต่อย่างน้อยก็เป็นระบบที่สามารถตรวจสอบได้

ความแตกต่างประการสำคัญของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งหลังวันที่ 23 ธันวาคม 2550 กับรัฐบาลเลือกตั้งหลังจากการรัฐประหารครั้งก่อนๆ ก็คือ กลุ่มสนับสนุนรัฐประหารไม่ได้ประสบชัยชนะในการเลือกตั้ง ผลการเลือกตั้งครั้งนี้กลับผิดคาด แต่ก็ไม่ใช่ปัจจัยที่จะยุติปัญหาความขัดแย้งที่เกิดก่อนและหลังรัฐประหารได้ หากแต่ปัญหานี้ยังสืบทอดต่อเนื่องมาถึงการเมืองหลังเลือกตั้ง จนทำให้เห็นแนวโน้มที่ชัดเจนว่า การต่อสู้ในครั้งนี้มีลักษณะของความเป็น “สงครามการเมือง” ที่ต่างฝ่ายมุ่งเอาชนะคะคานกัน และมีลักษณะของการไม่ประนีประนอม โดยมีการแบ่งฝ่ายอย่างชัดเจน

โดยระหว่างที่มี “รัฐทหาร” ปกครองประเทศอยู่นั้น ได้มีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของ “ภาคประชาชน” ที่เริ่มมีความตื่นตัวมากขึ้น จนที่สุดได้มีการรวมตัวกันเป็น “ขบวนการเสื้อแดง” ที่ต่างมองบริบทของสังคมไทยจาก “มุมมองแห่งชนชั้น” ที่แยกกันอย่างชัดเจนคือ “ไพร่” กับ “อำมาตย์”

เช่นว่านี้ ตลอดเส้นทางจากวัน “รัฐประหารปล้นประชาธิปไตย” สู่ห้วงที่ “พลังประชาธิปไตย” ถูกลิดรอน! ได้สะท้อนความเป็นไปหลายสิ่งหลายอย่าง โดยเฉพาะบริบทของภาคประชาชนที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับระบบ 2 มาตรฐาน และความไม่ชอบธรรมทั้งปวง ที่เป็นผลพวงจากการยึดอำนาจ 19 กันยาฯ

ยิ่งสภาพบ้านเมืองในตอนนั้น ยังสะท้อนถึงวิกฤติที่ฝังรากลึก โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่กลายเป็นประเด็นร้อนทางการเมืองตราบเท่าทุกวันนี้ แถมยังแตกแขนง “ปมขัดแย้ง” ออกไปอีกหลายสาขา

เพราะมีข้อกังขาที่ว่า การร่างรัฐธรรมนูญในครั้งนั้น “คณะรัฐประหาร” เอาใครก็ไม่รู้เข้ามาผลิตรัฐธรรมนูญ ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งนักกฎหมายใหญ่ รัฐบาล หรือแม้แต่กลุ่มคนที่เข้าไปร่างรัฐธรรมนูญ ยังออกมาแก้เกี้ยวก่อนที่จะมีการออกเสียงประชามติว่า “ให้รับไปก่อน แล้วค่อยไปแก้ทีหลัง”

กลายเป็นเป้าหมายที่สะท้อนถึงวลีอมตะการเมืองที่ว่า “ชนชั้นใดร่างกฎหมาย ย่อมร่างกฎหมายเพื่อชนชั้นนั้น”

รัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 จึงถูกกล่าวขานว่าเป็น “รัฐธรรมนูญอำมาตยาธิปไตย” ที่กำเนิดจาก “องคาพยพ” ภายใต้ท็อปบูต “รัฐทหาร” แม้แต่กรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย ยังระบุว่า การทำรัฐประหาร 19 กันยาฯ คือการสร้างความเข้มแข็งทางการเมืองให้กับกองทัพ ซึ่งตรงข้ามกับกระบวนการประชาธิปไตย

ประเมินผลการรัฐประหารเมื่อปี 49 คงจะสรุปได้ว่า...“ล้มเหลว” โดยสิ้นเชิง เพราะแก้ปัญหาสำคัญของประเทศไม่ได้เลย และในทางกลับกันได้สร้างปัญหาสำคัญขึ้นมาให้กับประเทศอีก นั่นก็คือความแตกแยกในสังคมอย่างรุนแรง ที่ดูๆ แล้วน่าจะยากที่จะเยียวยาได้ในระยะเวลาอันสั้น ส่วนการจัดการกับการทุจริตคอร์รัปชั่น เป็นการใช้อำนาจหน้าที่ก็เห็นได้ชัดว่า “ล้มเหลว” เพราะวันนี้ก็ยังมีอยู่และดูท่าทางจะ “แยบยล” กว่าเดิมอีกด้วย จึงอาจกล่าวได้ว่าการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยาฯ 2549 เป็นการกระทำที่ “สูญเปล่า” ทำให้ระบบเศรษฐกิจพังพินาศไปมาก สังคมมีความแตกแยกสูง การบังคับใช้กฎหมายเสื่อมถอยลง การเมืองอ่อนแอ คงไม่ต้องบอกว่า...ประเทศชาติได้รับความเสียหายจากการรัฐประหารไปมากน้อยเพียงใด

“รศ.ดร.ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์” อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ระบุถึงการปฏิวัติรัฐประหารที่ผ่านมา บทเรียนที่สังคมไทยได้รับ แม้รัฐประหารครั้งล่าสุด จะผ่านมาเพียงไม่กี่ปี แต่ความขัดแย้งในเชิงโครงสร้างที่ไปถึงรากเหง้าของสังคมไทยมันนานกว่านั้น อย่างน้อยๆ ก็ตั้งแต่ที่กลุ่มพันธมิตรฯ เริ่มก่อตัว หรือจะย้อนไปอีกก็คือช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณคืนอำนาจ จะว่าไปแล้วบ้านเรามีการทำรัฐประหารเยอะ เฉลี่ยสี่ปีกว่าก็รัฐประหารครั้งหนึ่ง จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็แล้วแต่

“เพราะฉะนั้นเราถึงล้มลุกคลุกคลานมาโดยตลอด จึงคิดว่าสังคมไทยผู้มีอำนาจทั้งหลายเขาคิดประชาธิปไตยควรเป็นอีกแบบหนึ่ง ต้องมีความซื่อสัตย์ มีการจัดการแบบนี้ๆ แล้วต้องสอดคล้องกับโครงสร้างรากเหง้าของสังคม ซึ่งสังคมเรามีการแบ่งลำดับชั้นเป็นพีระมิด แบบว่าข้างบนมีน้อยมาก ส่วนตรงกลางพอมี แต่ว่าส่วนใหญ่จะอยู่ข้างล่างกัน สังคมแบบนี้ไม่ค่อยได้พัฒนาระบบประชาธิปไตย เราถึงได้ล้มลุกคลุกคลาน การรัฐประหารตลอดทำให้เราต้องมีการสร้างกฎกติกากันใหม่โดยตลอด คือ มีรัฐธรรมนูญบ่อยครั้ง แต่ละครั้งมันไม่มีความต่อเนื่อง แล้วรัฐธรรมนูญที่มีความชอบธรรม มีความครบวงจร มีระบบโครงสร้างที่สอดคล้อง คานอำนาจ สร้างเสถียรภาพให้แก่รัฐบาล สร้างการตรวจสอบให้แก่ฝ่ายการเมือง ไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับไหนที่ดีเท่ารัฐธรรมนูญ 2540”

อย่าลืมว่ารัฐธรรมนูญ 2540 ใช้เวลา 5 ปี และมีโจทย์ที่ชัดเจน ซึ่งโจทย์ก็คือ “พฤษภาทมิฬ” คือว่าข้อสรุปวงจรอุบาทว์การเมืองไทย ทำให้มีรัฐธรรมนูญ มีการเลือกตั้ง มีคณะรัฐมนตรี นักการเมืองเข้ามาทุจริตคอร์รัปชั่น เสียความชอบธรรม ทำให้ทหารเข้ามายึดอำนาจ ในที่สุดแล้วมีการลุอำนาจ เป็นวงจรอย่างนี้ไปเรื่อยๆ คือ มีรัฐธรรมนูญ มีการเลือกตั้ง มีคอร์รัปชั่น ยึดอำนาจมีรัฐธรรมนูญ เป็นวงจรอุบาทว์

“รัฐธรรมนูญไม่ใช่ตัวกุญแจที่จะนำไปสู่ประชาธิปไตย ซึ่งระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงต้องใช้เวลาที่มาจากการเรียนรู้ ทำไปเรียนรู้ไป แล้วเรื่องรัฐธรรมนูญ กฎกติกาต้องมีความต่อเนื่องและมีการพิสูจน์ตัวมันเอง การที่มีรัฐประหารบ่อยๆ ทำให้มันลัดวงจรตลอด กระบวนการเรียนรู้ กระบวนการสร้างสถาบันการเมือง กระบวนการสร้างที่เป็นระบอบประชาธิปไตยจะไม่ต่อเนื่อง ไม่เติบโต ไม่พัฒนา เพราะว่าต้องเริ่มใหม่อยู่ทุกครั้งอยู่ตลอด นี่เป็นปัญหาเหมือนกัน คือรัฐประหารในตัวเอง เป็นการบ่อนทำลายการสร้างสถาบันประชาธิปไตยในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นสภา พรรคการเมือง หรือองค์กรอิสระต่างๆ”

ด้าน “จรัล ดิษฐาอภิชัย” อดีตคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ย้ำหัวตะปูว่า วิกฤติการเมืองไทยที่ดำรงมา 6 ปี เริ่มมาจากการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ที่ขับไล่รัฐบาลทักษิณ ตั้งแต่ปลายปี 2548 ตามด้วยการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 การสถาปนาระบอบเผด็จการของ คมช. การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2550 และการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 จบลงด้วยการแบ่งแยกสังคมและการเมืองเป็นคนเสื้อแดงและคนเสื้อเหลือง ระหว่างฝ่ายอำมาตยาธิปไตยและฝ่ายประชาธิปไตยอย่างถาวร อย่างไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์

ทั้งนี้ เพื่อให้เข้าใจวิกฤติการเมือง จะต้องเริ่มจากการรับรู้ลักษณะพิเศษของรัฐบาลทักษิณที่มีลักษณะเด่นๆ 2 ประการ คือ ประการแรก เป็นรัฐบาลเข้มแข็ง นายกรัฐมนตรีเข้มแข็ง ประการที่ 2 มีนายกรัฐมนตรีที่ประชาชนชื่นชอบมากที่สุด ซึ่งเป็นสภาพทางการเมืองที่ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย ยิ่งเมื่อประชาชนไทยได้รับผลประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมจากการบริหารของรัฐบาลทักษิณ คนไทยเริ่มมีประสบการณ์การทำงานของรัฐบาลที่มีประสิทธิผลและรวดเร็ว ประชาชนค่อยๆ หายจากความยากจน และช่วยให้พวกเขาได้มีปากมีเสียง มีศักดิ์ศรีตามสิทธิที่พึงมีในระบอบประชาธิปไตย เห็นข้าราชการมีหน้าที่รับใช้ประชาชน ไม่ใช่ทำหน้าที่อย่างอื่น สถาบันข้าราชการซึ่งเคยเป็น “ชนชั้นสูง” ของประเทศจึงเริ่มอ่อนแอลง

อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ ชี้ว่า...รัฐประหารครั้งนี้ไม่เพียงแต่ล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน หากยังหยุดกระบวนสร้างสรรค์ประชาธิปไตย และฉุดประเทศไทยให้ย้อนหลังกลับไปอีกหลายสิบปี รัฐประหารครั้งนี้จึงส่งผลร้ายแรงมากกว่าการนองเลือดเสียอีก

ในแง่การปกครอง 2 สัปดาห์หลังจากรัฐประหาร คณะรัฐประหารประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว สถาปนาระบอบเผด็จการทหาร โดยตั้งรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งไม่ได้เป็นตัวแทนของประชาชน หากเป็นตัวแทนคณะทหาร ชนชั้นนำ และกลุ่มแนวร่วมต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ รวมทั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญที่สมาชิกมาจากการแต่งตั้งของหัวหน้าคณะรัฐประหาร เมื่อร่างรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้น รัฐบาลทหารจัดให้มีการลงประชามติรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2550 ภายใต้กฎอัยการศึกเกือบครึ่งประเทศที่ควบคุมโดยรัฐธรรมนูญ 2550 ประกาศใช้เมื่อ 24 สิงหาคม 2550 แต่ 2 เดือนก่อนหน้านี้ คณะตุลาการรัฐธรรมนูญที่แต่งตั้งโดยคณะรัฐประหารมีคำสั่งให้ยุบพรรคไทยรักไทยและตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรค 111 คน เป็นเวลา 5 ปี

รัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีเป้าหมายทางการเมืองหลักๆ คือ ทำให้อำนาจของนักการเมืองที่ผ่านการเลือกตั้งโดยประชาชนอ่อนแอลง เสริมสร้างอำนาจรัฐและข้าราชการ ประเทศไทยจึงกลับไปสู่การปกครองโดยอำมาตย์และไม่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง สมาชิกวุฒิสภาครึ่งหนึ่งมาจากการสรรหา คือการแต่งตั้ง มีบทบัญญัติที่จำกัดและห้ามนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งบริหารประเทศนานัปการ ทั้งให้อำนาจองค์กรอิสระโดยเฉพาะ กกต., ป.ป.ช. และศาลรัฐธรรมนูญ มีอำนาจมากกว่าคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา คือศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจยุบพรรคการเมือง ถอดถอนนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีและสมาชิกรัฐสภาได้ นำไปสู่ “รัฐประหารโดยตุลาการ” ในเวลาต่อมา

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

ศาลสั่งคดีเสื้อแดงไม่มีชายชุดดำ ไม่ยิง M-79. !!?

ศาลจึงมีคำสั่งว่า ผู้ตายชื่อนายพัน คำกอง ตายที่หน้าสำนักงานขายคอนโดมิเนียมชื่อไอดีโอ คอนโดฯ ถนนราชปรารภ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2553 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง

เหตุและพฤติการณ์ที่ตายเกิดจากการถูกลูกกระสุนปืนขนาด.223 (5.56 mm.) จากอาวุธปืนที่ใช้ในราชการสงคราม ที่เจ้าพนักงานทหารร่วมกันยิงไปที่รถยนต์ตู้ หมายเลขทะเบียน ฮค 8516 กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีนายสมร ไหมทอง เป็นผู้ขับ แล้วลูกกระสุนปืนไปถูกผู้ตายถึงแก่ความตายในขณะเจ้าพนักงานกำลังปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบ ปิดล้อมพื้นที่ควบคุมตามคำสั่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)

...หลังเหตุการณ์สงบลง มีเจ้าพนักงานทหารหลายนายถืออาวุธปืนเอ็ม 16 เดินไปดูที่รถยนต์ตู้ ไม่มีลักษณะของความเกรงกลัวหรือระวังตัวว่าจะถูกคนร้ายลอบยิงหรือทำร้าย ทั้งๆที่ฝ่ายเจ้าพนักงานทหารอ้างว่ามีการถูกระดมยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่ก่อนเกิดเหตุ

...ขณะเกิดเหตุบริเวณดังกล่าวไม่มีประชาชนผู้ชุมนุม ไม่มีผู้ใดเห็นชายชุดดำที่มีอาวุธปืน มีเพียงผู้สื่อข่าวจากสำนักพิมพ์ต่างๆและเจ้าพนักงานทหารเท่านั้น นอกจากนี้ ร้อยเอกเกริกเกียรติ...เบิกความว่า บริเวณที่เกิดเหตุไม่มีชายชุดดำ และช่วงเกิดเหตุไม่มีใครกล้าเข้ามา...

นี่คือข้อความบางช่วงบางตอนที่ถือเป็นไฮไลท์ในการตัดสินชี้สาเหตุการเสียชีวิตของนายพัน คำกอง อาชีพขับแท็กซี่ แนวร่วมของคนเสื้อแดงที่มาร่วมชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภาคืนอำนาจให้แก่ประชาชน

คำสั่งของศาลชัดเจนว่า

1.นายพัน คำกอง ตายจากการยิงของทหาร

2.ไม่มีชายชุดดำ

3.ไม่มีการยิงเอ็ม 79 ใส่เจ้าหน้าที่ขณะกระชับพื้นที่ในบริเวณที่เกิดเหตุ

4.ไม่มีผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุ

5.อาวุธที่ทหารใช้เป็นปืนที่ใช้ในราชการสงคราม และปืนที่ส่งมาให้ตรวจพิสูจน์ได้ถูกเปลี่ยนแปลงสภาพไปแล้ว

หลังจากกรณีของนายพัน คำกอง แล้วศาลจะทยอยชี้สาเหตุการตายของผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงออกมาอีกหลายกรณีที่อยู่ระหว่างการไต่สวนข้อเท็จจริง ซึ่งบางกรณีใกล้เสร็จสิ้นแล้ว

ทั้งหมดที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ส่งให้ตำรวจทำสำนวนชันสูตรพลิกศพใหม่เพื่อเข้าสู่กระบวนการไต่สวนของศาลมีทั้งสิ้น 36 ศพ ที่ดีเอสไอชี้ว่าน่าจะเกิดจากฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐ

ทุกคดีน่าจะรู้ผลภายในสิ้นปี 2555 นี้

และเมื่อก้าวขึ้นสู่ศักราชใหม่ในปี 2556 ประวัติหน้าใหม่ของการเสียชีวิต 98 ศพ บาดเจ็บอีกกว่า 2,000 คน ในการชุมนุมของประชาชนเมื่อปี 2553 และประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการเมืองไทยจะถูกเปิดขึ้นและเขียนบันทึกลงไปใหม่

เป็นบันทึกที่เป็นข้อสรุปทางคดี ผ่านการพิจารณาของศาล ไม่ใช่บันทึกที่เขียนจากผู้ถืออำนาจรัฐ ที่ปั่นเรื่องขึ้นมาใส่ร้ายประชาชนเหมือนอย่างที่ผ่านมา

นายพัน คำกอง มีภรรยาชื่อนางหนูชิต คำกอง มีลูก 4 คน หลังการเสียชีวิตของสามีซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัว นางหนูชิตตัดสินใจพาลูกๆกลับไปใช้ชีวิตเป็นเกษตรกรทำนาที่บ้านเกิดจังหวัดยโสธร

“ดีใจที่ผลการไต่สวนออกมาเช่นนี้ และหวังว่าคดีนี้ซึ่งเป็นคดีไต่สวนการตายคดีแรกจะเป็นมาตรฐานให้กับคดีอื่นๆด้วย”

เป็นถ้อยคำจากนางหนูชิต ที่ไม่ลืมทวงถามความยุติธรรมให้กับผู้เสียชีวิตรายอื่นหลังทราบผลการตัดสินของศาล

เมื่อศาลชี้ออกมาอย่างนี้ ขั้นตอนต่อไปพนักงานสอบสวนจะต้องแจ้งข้อกล่าวหา “ฆ่าคนตาย” กับผู้ก่อเหตุ ซึ่งก็คือเจ้าหน้าที่รัฐ

แต่เรื่องนี้มีข้อกฎหมายอาญา มาตรา 70 เกี่ยวข้อง ดังนั้น ทหารที่ปฏิบัติภารกิจในวันเกิดเหตุถือเป็นการทำตามคำสั่ง จึงอาจไม่ต้องรับผิดตามมาตรา 70

เข้าตำรารู้สาเหตุการตาย รู้คนทำให้ตาย แต่เอาผิดไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ในระดับสั่งการอาจต้องหนาวๆร้อนๆกับคำสั่งศาลในคดีนี้ และอีกหลายคดีที่จะตามมา เพราะมีญาติผู้เสียชีวิตไปร้องทุกข์กล่าวโทษกับพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับผู้ออกคำสั่งใน ศอฉ. ที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตและบาดเจ็บ

คดีนี้ต้องตั้งสำนวนสอบสวนแยกออกไปต่างหาก แนวทางการสอบสวนจะดูที่เจตนาในการออกคำสั่งว่ามีเจตนาหรือเป้าประสงค์ที่ก่อให้เกิดการเสียชีวิตตามบทบัญญัติกฎหมายอาญา มาตรา 59 หรือไม่

หากเล็งเห็นเจตนาก็จะถูกตั้งข้อกล่าวหาฆ่าคนตายโดยเจตนา ส่งสำนวนให้อัยการฟ้องศาลต่อไป

แน่นอนว่าผู้ที่ต้องรับผิดชอบคือผู้มีอำนาจสั่งการสูงสุดใน ศอฉ.ซึ่งก็คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการ ศอฉ.

และไม่ใช่เพียงกรณีของนายคำพัน คำกอง เท่านั้น แต่ยังมีสำนวนคดีพยายามฆ่า และฆ่าคนตายโดยเจตนาอีกกว่า 2,000 คดี ตามจำนวนผู้บาดเจ็บ เสียชีวิต ที่รอให้นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ และผู้เกี่ยวข้องต้องพิสูจน์ตัวเองในชั้นศาล

ความจริงกำลังไล่ล่า ใครทำอะไรไว้ต้องรับผิดชอบ

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555

บทสรุป คอป.ชายชุดดำ-กระสุนจริง !!?

หลังทำงานมากว่า 2 ปี คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) จะสรุปรายงานผลการสอบสวนหาข้อเท็จจริงเหตุรุนแรงทางการเมืองเมื่อปี 2553 ฉบับสุดท้าย ซึ่งเป็นฉบับสมบูรณ์ออกมาวันนี้ (17 ก.ย.)

ก่อนหน้านี้ คอป. นำเสนอรายงานและข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลมาแล้ว 2 ครั้ง
ครั้งแรกเสนอเมื่อทำงานครบ 6 เดือนต่อรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่ข้อเสนอหลายอย่างที่มุ่งหวังช่วยลดความขัดแย้ง ส่งเสริมความเป็นธรรมในสังคม ถูกเมินเฉยไม่นำไปปฏิบัติ

ตั้งขึ้นมากับมือแต่ไม่รับผลการศึกษาไปดำเนินการจนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในทางลบ

ฉบับที่สอง รายงานต่อรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลังการเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้ว ครั้งนี้รัฐบาลนำไปปฏิบัติ แต่ก็ถูกกระแหนะกระแหนว่าเลือกทำเฉพาะข้อเสนอที่เป็นคุณกับคนเสื้อแดง

หนำซ้ำยังขยายผลข้อเสนอของ คอป. มากเกินกว่าความจำเป็นเพื่อช่วยเหลือคนเสื้อแดงที่มีคดีความติดตัว

มุ่งหวังขยายผลเพื่อลบล้างความผิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แกนนำตัวจริงของคนเสื้อแดง

รายงานของ คอป. ชิ้นสุดท้ายนี้มี 516 หน้า แบ่งเป็น 5 ส่วน ส่วนสำคัญที่ทุกคนอยากรู้น่าจะอยู่ในส่วนที่ 2 ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับชายชุดดำ กระสุนจริง และการเผาอาคารสถานที่ต่างๆ

ในประเด็นเรื่อง “ชายชุดดำ” กับการใช้ “กระสุนจริง” สลายการชุมนุมของประชาชน อันเป็นเหตุให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายนั้น

ประเด็นชายชุดดำ คอป. สรุปว่ามีอยู่จริง

โดยได้รับความร่วมมือจากกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน

“คนชุดดำมีความสัมพันธ์กับ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง โดยคนชุดดำมีเป้าหมายปลุกเร้าให้เกิดการตอบโต้จากรัฐ เข้าไปเพื่อสร้างสถานการณ์ แต่ขณะเดียวกันการเสียชีวิตของเสธ.แดงถูกยิงออกมาจากตึกที่เจ้าหน้าที่รัฐได้เข้าไปยึดครองได้เกือบ 1 เดือนแล้วก่อนหน้านั้น วิถีกระสุนจึงมาจากตึกที่เจ้าหน้าที่รัฐคุมอยู่”

นี่คือบทสรุปจาก คอป.

ส่วนประเด็นการใช้กระสุนจริง คอป. สรุปว่า จุดพลิกผันเกิดหลังจากการเสียชีวิตของ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม อดีตรองเสนาธิการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ที่จบชีวิตที่สี่แยกคอกวัวระหว่างนำกำลังพลไปขอคืนพื้นที่จากผู้ชุมนุม ทำให้สถานการณ์เปลี่ยน

เพราะหลังจากนั้นรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกคำสั่งให้ใช้กระสุนจริงได้

อีกบทสรุปที่น่าสนใจในรายการฉบับนี้ของ คอป. คือ เรื่องการเสียชีวิต 6 ศพในวัดปทุมวนาราม

คอป. ระบุชัดว่า วิถีกระสุนที่ยิงปลิดชีพทั้ง 6 คนมาจากฝั่งบนรางรถไฟฟ้าที่มีเจ้าหน้าที่รัฐประจำการอยู่ ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตทั้ง 6 ศพ

สำหรับประเด็นการเผาเซ็นทรัลเวิลด์ คอป. ฟันธงว่าไม่ใช่ฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐ

นอกจากรายงานข้อเท็จริงที่ คอป. ไปสืบเสาะมาได้จากการสอบถามบุคคลต่างๆ ในท้ายรายงานยังมีข้อเสนอแนะแนวทางสร้างความปรองดอง ด้วยการนิรโทษกรรมที่ คอป. เห็นว่าการออก พ.ร.บ.ปรองดองยังต้องอาศัยเวลาที่เหมาะสม การมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย และมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการเยียวยา รวมถึงการป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงขึ้นอีกในอนาคต

นี่เป็นสรุปจากการทำงานกว่า 2 ปีของ คอป.

จะว่าไปแล้วก็เป็นแค่รายงานผลจากการเชิญฝ่ายต่างๆมาเล่าเหตุการณ์ แล้วนำมาประมวลเพื่อนำเสนอต่อสังคม

ส่วนข้อเสนอที่เป็นทางออกของการแก้ปัญหาดูเหมือนว่าไม่มีนวัตกรรมใหม่จาก คอป. เพราะล้วนเป็นแนวทางที่พูดกันมาตลอดตั้งแต่หลังรัฐประหารปี 2549 ด้วยซ้ำ

จะว่าเสียเวลา เสียงบประมาณเปล่าก็คงไม่ใช่ซะทีเดียว

อย่างน้อยก็ได้รายงานออกมา 1 ชุด

ส่วนจะนำไปใช้อะไรต่อเพื่อแก้ปัญหาให้ประเทศชาติได้หรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

แต่เชื่อว่ารายงานของ คอป. จะมีการหยิบยกในส่วนที่เป็นประโยชน์ของแต่ละฝ่ายไปใช้ประกอบการสู้คดีความที่ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลกันอยู่

หลังจากนี้ต้องรอดูผลการสอบสวนของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ยังไม่มีรายงานความคืบหน้าออกมา

แน่นอนว่าผลการสอบสวนของทั้ง 2 องค์กรนี้จะมีผลต่อการชี้ถูกชี้ผิด

มีผลต่อคดีความมากกว่ารายงานของ คอป. ที่นำเสนอแบบผิดทั้งคู่ ให้เจ๊าๆกันไปเพื่อเริ่มต้นใหม่

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
*************************************************************************************

เมื่อความจริง กำลังไล่ล่า..วาทกรรมตอแหล !!?

โดย : วัฒนา อ่อนกำปัง

คดีนายพัน คำกอง อายุ 43 ปี อาชีพขับรถแท็กซี่ ที่พนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาลให้ไต่สวนสาเหตุการเสียชีวิต เนื่องจากเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งถูกยิงบริเวณถนนราชปรารภ และพยานทั้งหมดยืนยันตรงกันว่าทหารเป็นฝ่ายยิงผู้เสียชีวิต เพราะพื้นที่บริเวณนั้นอยู่ในความดูแลของทหารเพียงฝ่ายเดียวนั้น ถือเป็นคดีแรกที่ศาลจะมีคำสั่งไต่สวนสาเหตุการเสียชีวิตตามกฎหมายในวันจันทร์ที่ 17 กันยายนนี้ ไม่ว่าคำสั่งจะระบุเช่นใด ขั้นตอนหลังจากนี้จะเป็นหน้าที่ของคณะพนักงานสอบสวนรับไม้ต่อ เพื่อทำสำนวนการสอบสวนดำเนินคดีให้เสร็จสิ้น

นายโชคชัย อ่างแก้ว ทนายความคดีนายพัน ระบุเป้าหมายการไต่สวนครั้งนี้ว่า ต้องการให้ศาลเชื่อว่าบริเวณที่นายพันถูกยิงเสียชีวิตไม่มีประชาชนหรือ “ชายชุดดำ” ตามที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขณะนั้นกล่าวอ้าง มีเพียงทหารตั้งกำลังสกัดกั้นไม่ให้ผู้ชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เข้าไปยังสี่แยกราชประสงค์ นายพันจึงถูกยิงจากทหาร

คดีนายพันที่ศาลจะมีคำสั่งคดีจึงมีความสำคัญอย่างมากกับการสั่งสลายการชุมนุม นปช. เดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ที่มีผู้เสียชีวิต 98 คน และบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 คน ซึ่งนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้หารือกับ พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน และได้ข้อสรุปว่าจะแยกสำนวนการสอบสวนคดีฆาตกรรมเป็นรายคดี โดยแบ่งตามสถานที่เกิดเหตุและผู้เสียชีวิตออกเป็นแต่ละสำนวน โดยยึดหลักการกระทำผิดต่างกรรมต่างวาระ

“ถ้าจุดเดียวกันมีผู้เสียชีวิตหลายคน จึงเชื่อได้ว่าผู้ทำให้เสียชีวิตต้องเป็นกลุ่มเดียวกัน จึงเห็นควรรวมคดีเป็น 1 สำนวน เช่น กรณีการเสียชีวิต 6 ศพในวัดปทุมวนารามวรวิหาร และดำเนินคดีฆาตกรรมกับผู้กระทำให้เสียชีวิต โดยแจ้งข้อกล่าวหาฆ่าคนตายกับผู้ก่อเหตุ แต่เรื่องดังกล่าวมีข้อกฎหมายอาญา มาตรา 70 เกี่ยวข้อง ทหารที่ปฏิบัติภารกิจในครั้งนั้นเป็นการทำตามคำสั่งจึงอาจไม่ต้องรับผิดตามมาตรา 70”

แจ้งข้อหาผู้สั่งการสูงสุด

นายธาริตยังระบุว่า เรื่องที่เกี่ยวข้องกับ “บุค คลสั่งการ” หรือ “ผู้ออกคำสั่ง” ซึ่งมีการร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับผู้ออกคำสั่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บและเสียชีวิตนั้น พนักงานสอบสวนจะแยกเป็นอีก 1 คดี โดยจะพิจารณาเรื่องของเจตนาในการกระทำให้เสียชีวิตตามกฎ หมายอาญา มาตรา 59 ซึ่งต้องวิเคราะห์ว่าเป็นเจตานาเล็งเห็นผลหรือไม่ เพื่อจะนำไปสู่การแจ้งข้อกล่าวหาฆ่าคนตายโดยเจตนากับผู้สั่งการสูงสุดต่อไปคือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการ ศอฉ. ซึ่งทุกอย่างจะเป็นไปตามพยานหลักฐาน

นายธาริตชี้แจงว่า ที่ผ่านมามีผู้ร้องมายังดีเอสไอว่าได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม ซึ่งมีทั้งได้รับบาดเจ็บและบาดเจ็บสาหัสกว่า 2,000 ราย พนักงานสอบสวนจะแยกสำนวนเป็นรายคดีเช่นกัน หากนับตามรายชื่อผู้บาดเจ็บประ มาณ 2,000 สำนวนคดี ถ้าคำสั่งศาลระบุว่าสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิตเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ พนักงานสอบสวนก็แจ้งข้อกล่าวหาพยายามฆ่ากับผู้เกี่ยวข้องทั้ง 2,000 สำนวน หากการตายเกิดต่างสถานที่และวันเวลา แต่เท่าที่ทราบบางสถานที่มีผู้เสียชีวิตพร้อมกันหลายคนก็ใช้หลักเดียวกันกับการดำเนินคดีฆาตกรรม คือรวมสำนวนคดี

4 มาตราเอาผิดคดีฆาตกรรม

นายธาริตในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบ สวน ยังอธิบายข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการดำ เนินคดีและแนวทางการทำงานของพนักงานสอบสวน หลังศาลมีคำสั่งวันที่ 17 กันยายนว่า จะอธิบายเป็นเพียงข้อเท็จจริงตามตัวบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคดี เพราะต้องการให้ประชาชนเข้าใจในข้อกฎหมายที่พนักงานสอบสวนต้องใช้พิจารณาในการดำเนินคดี ไม่ใช่การชี้นำแนวทางการสอบสวนแต่อย่างใด

แต่คำสั่งไต่สวนคดีนายพันของศาลจะมีความสำคัญอย่างยิ่งกับการดำเนินคดีของพนักงานสอบสวน ซึ่งคำสั่งดังกล่าวเป็นไปตามกฎหมายอาญา มาตรา 150 ที่ระบุว่า ศาลจะต้องระบุว่า ผู้ตายคือใคร ตายที่ไหน เมื่อใด เหตุและพฤติการณ์ที่ตาย โดยเฉพาะถ้ามีคนทำร้ายให้ตาย ศาลต้องระบุว่าใครเป็นผู้ทำร้ายให้ตายเท่าที่จะทราบได้ ถือเป็นรายละเอียดที่ระบุไว้ในกฎหมาย ซึ่งสำนวนของพนักงานสอบสวนและอัยการที่ส่งให้ศาลไต่สวนคือ เจ้าหน้าที่รัฐทำให้ตาย

ดังนั้น ถ้าหากศาลเห็นพ้องตามอัยการและมีคำสั่งดังกล่าว ตามกฎหมายอาญา มาตรา 150 ระบุให้ศาลทำคำสั่งส่งไปยังพนักงานอัยการเพื่อส่งให้พนักงานสอบสวนดำเนินการต่อ ประกอบด้วย อัยการ ดีเอสไอ และตำรวจ เมื่อพนักงานสอบสวนตั้งเป็นสำนวนคดีฆาตกรรม จะมีข้อกฎหมายอาญาที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 4 มาตราคือ มาตรา 288 ความผิดฐานฆ่าคนอื่นให้ถึงแก่ความตาย กฎหมายกำหนดว่า ผู้ใดฆ่าผู้อื่นต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 15-20 ปี

ส่วนข้อเท็จจริงในพฤติการณ์จะมีมาตรา 84 มาเกี่ยวข้องกับความรับผิดของผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิด ที่ระบุว่า ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิด ไม่ว่าด้วยการใช้บังคับขู่เค็ญ หรือจ้างวาน หรือยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีการอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด

มาตรา 59 เกี่ยวกับเจตนา ระบุว่า บุคคลที่ต้องรับผิดทางอาญาก็ต่อเมื่อต้องกระทำโดยเจตนา แต่กฎหมายระบุว่ากระทำโดยเจตนามี 2 อย่างคือ 1.รู้สำนึกโดยการกระทำ และขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผล และ 2.เล็งเห็นผลต่อการกระทำนั้น

และมาตรา 70 ระบุว่า ผู้ใดกระทำตามคำสั่งของเจ้าพนักงาน แม้คำสั่งนั้นจะไม่ชอบด้วยกฎ หมาย แต่ผู้กระทำมีหน้าที่หรือเชื่อโดยบริสุทธิ์ว่ามีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม มิต้องรับโทษ

ประเด็นสำคัญจึงอยู่ที่การสอบสวน “ผู้สั่งการสูงสุด” ที่พนักงานสอบสวนต้องไล่ลำดับจากผู้สั่งการสูงสุดจนถึงพลทหาร ตามมาตรา 70 เจ้าพนักงานที่ออกคำสั่งระดับสูงสุดคือ นายอภิสิทธิ์กับนายสุเทพ ซึ่งมีการร้องทุกข์กล่าวโทษทั้งสองจากญาติผู้เสียชีวิตให้ดำเนินคดีในฐานะ “ผู้สั่งการสูงสุด” ทั้งการสอบสวนก็ระบุว่าเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ภายใต้คำสั่งการของ ศอฉ. ซึ่งผู้ที่รับผิดชอบสูงสุดคือ นายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการ ศอฉ.

ประเด็นที่ต้องจับตามองคือ การออกคำสั่ง ไม่มีคำสั่งโดยตรงให้ออกไป “ฆ่าประชาชน” แต่มีคำสั่ง ศอฉ. ให้ใช้ “อาวุธ” เพื่อขอคืนพื้นที่และกระชับพื้นที่ แม้จะกำหนดให้ใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก พนักงานสอบสวนต้องนำมาวิเคราะห์ข้อเท็จจริงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเป็นการสั่งที่มีเจตนาเล็งเห็นผลตามมาตรา 59 หรือไม่ แต่ทั้งนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพก็ยืนยันว่าไม่เคยมีคำสั่งให้ทำร้ายหรือฆ่าคน

ปริศนาชายชุดดำ?

อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่กลายเป็นการตอบโต้ทางการเมือง นอกจากกรณีที่ นพ.เหวง โตจิราการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย แกนนำ นปช. เรียกร้องให้ดีเอสไอเรียกสอบพลซุ่มยิงเพิ่ม เพราะมีเอกสาร ศอฉ. แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพลซุ่มยิงจำนวน 39 คน และไม่เชื่อว่าจะใช้กระสุนยางแล้ว คือกรณี “ชายชุดดำ” หรือ “ไอ้โม่งชุดดำ” ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ได้ออกมาแถลงพร้อมหลักฐานว่ามีกองกำลังชุดดำที่สนับสนุน นปช. จริง

โดยนายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล (เสธ.แดง) อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก เคยออกมายอมรับว่ามีกองกำลังติดอาวุธอยู่จริง และชายชุดดำที่โดนจับก็ยอมรับว่าเป็นผู้ก่อเหตุที่บริเวณแยกคอกวัว ซึ่งเรื่องนี้อยู่ในกระบวนการชั้นศาลหมดแล้ว แต่ นพ.เหวงตอบกลับว่าให้เป็นหน้าที่ของกระบวนการยุติธรรมตรวจสอบ แต่ยืนยันว่า เสธ.แดงกับกลุ่มคนเสื้อแดงไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ทั้งยังเคยสั่งให้จับเสธ.แดงถึง 2 ครั้ง

โดยเฉพาะกรณีนายมานพ ชาญช่างทอง คนเก็บของเก่าขาย ซึ่งนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้แถลงข่าวเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ตอบโต้ “ข่าวสด” ที่ว่านายชวนนท์มั่ว ยืนยันว่านายมานพเป็น “ชายชุดดำ” โดยอ้างคำแถลง ของนายธาริตเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2554 ว่ามีหลักฐานว่านายมานพเป็น “ชายชุดดำ” ที่ยิงปืนใส่ทหารและประชาชนบนถนนดินสอ และวันที่ 21 มกราคม ดีเอสไอนำไปฝากขังต่อศาล 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม-1 กุมภาพันธ์ 2554 เท่ากับว่าขณะนี้นายมานพยังเป็นผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายอยู่

ชีวิตจริง “ซาเล้งชุดดำ”

ขณะที่ “ข่าวสด” ได้สัมภาษณ์และนำภาพนายมานพที่ปัจจุบันพักอยู่ที่ อ.บางบัวทอง จ.นนท บุรี กับภรรยาและลูกรวม 4 คน ภายในบ้านโทรมๆที่ปลูกขึ้นเอง ใช้ไม้เก่าจากแผ่นป้ายโฆษณาทำเป็นฝาบ้าน และสังกะสีเก่าๆที่เก็บได้มามุงหลังคา นอกจากนี้ยังเลี้ยงเป็ดและปลูกผักไว้กินเอง จนชาวบ้านใกล้เคียงส่วนใหญ่สงสาร มักนำอาหารและขนมมาให้เป็นประจำ

นายมานพกล่าวว่า ร่วมชุมนุมกับ นปช. ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2553 เนื่องจากเห็นว่าประ ชาชนถูกกลุ่มอำมาตย์ปล้นประชาธิปไตยไป จึงต้องการไปทวงคืนกลับมา โดยตนทำหน้าที่เป็นการ์ดอาสาช่วยดูแลความปลอดภัยให้พี่น้องเสื้อแดงที่มาชุมนุม เข้าเวรยามช่วงเที่ยงคืนถึงเช้า และทุกวันจะมีหน้าที่ซื้อหนังสือพิมพ์ให้แกนนำ นปช. เวลาที่เหลือจะเดินเก็บขวดน้ำ กระป๋องน้ำอัดลมในพื้นที่ชุมนุมเพื่อนำไปขายหารายได้ จนวันที่ 10 เมษายน 2553 ที่มีการโยนแก๊สน้ำตาจากเฮลิคอปเตอร์ และช่วงเย็นเริ่มมีเสียงปืนดังขึ้น

นายมานพเล่าว่า ขณะนั้นทราบมาว่ามีกำลังทหารนำรถถังและรถหุ้มเกราะมาปิดล้อมพื้นที่ด้านโรงเรียนสตรีวิทยาและแยกคอกวัว แกนนำประกาศบนเวทีขอกำลัง 5,000 คน ไปช่วยผู้ชุมนุมที่คอกวัว จึงเดินทางไปช่วย และใช้เวลาเดินทางนานมาก เนื่องจากทหารปิดถนนหลายสาย กว่าจะไปถึงก็เที่ยงคืนกว่า และเสียงปืนก็เงียบลง เห็นกลุ่มทหารกว่า 30 นาย พร้อมอาวุธปืนตกอยู่ในวงล้อมของผู้ชุมนุมบริเวณโรงเรียนสตรีวิทยา จึงประสานกับแกนนำ นปช. ว่าจะเอาอย่างไรกับทหารกลุ่มนี้ หากปล่อยไว้คงจะเป็นอันตราย จากนั้นเข้าไปพูดกับนายทหารผู้คุมกำลังเพื่อขอปลดอาวุธทั้งหมด และจะพาออกไปอย่างปลอดภัย อาวุธที่ปลดไปเป็นปืนทราโว 4 กระบอก และเอ็ม 16 แต่ก่อนจะนำไปมอบให้แกนนำ นปช. ที่เวทีผ่านฟ้าฯ ระหว่างทางมีช่างภาพหลายคนเข้ามาถ่ายรูปจนถูกกล่าวหาเป็น “ชายชุดดำ” และจำเลยในคดีก่อการร้าย เพราะวันเกิดเหตุใส่เสื้อดำและสวมไอ้โม่งดำจริง เนื่องจากเห็นคนอื่นใส่แล้วเท่ดี และตนเป็นคนหัวล้านจึงใส่บ้าง ส่วนที่ใส่ถุงมือก็เพื่อไว้จับกระป๋องแก๊สน้ำตาที่ทหารโยนใส่ผู้ชุมนุม และยืนยันว่าตนเองยิงปืนไม่เป็น

หลังถูกจับต้องอยู่ในคุกหลายเดือน จนกระทั่งมีผู้ใหญ่นำเงิน 600,000 บาท มาช่วยประกันตัวออกมา ทุกวันนี้ยังเก็บขยะขาย มีรายได้เฉลี่ย 2-3 วันประมาณ 300 บาท

ความจริงไล่ล่าวาทกรรมตอแหล

กรณี “ชายชุดดำ” จึงมีจริง แต่จะเป็น “ไอ้โม่งชุดดำ” ที่เป็น “ผู้ก่อการร้าย” หรือ “ชายชุดลายพราง” ที่ใช้ปืนซุ่มยิงนกยิงใส่ผู้ชุมนุมนั้น วันนี้ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน ไม่ว่าจะจากการสอบสวนของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) หรือดีเอสไอ ซึ่ง พ.ต.อ.ประเวศน์ยอมรับว่าเป็นเงื่อนปมที่ยังไม่ปรากฏหลักฐานว่าใครถูก “ชายชุดดำ” ยิงบาดเจ็บหรือเสียชีวิต มีเพียงคลิปภาพที่ถนนราชดำเนินและบ่อนไก่เท่านั้น จึงพยายามหาหลักฐานว่า “ชายชุดดำ” ที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มเจ้าหน้าที่ และทำร้ายเจ้าหน้าที่เป็นใคร

ขณะที่มีคลิปทหารจำนวนมากวิ่งผ่านกล้อง และมี “ทหารใส่ชุดพลเรือน” คนหนึ่งถือปืนวิ่งผ่านไป แต่ ศอฉ. กลับใช้วาทกรรมตอแหลบิดเบือน ว่าเป็นภาพทหารชุดยิงคุ้มครองเพื่อนำคนเจ็บออกจากพื้นที่ ส่วนทหารที่ใส่ชุดพลเรือนถือปืนเอ็ม 16 เป็นเพียงแค่ “เด็กส่งอาหาร” ให้กองกำลังในจุดต่างๆซึ่งอันตราย จึงมีความจำเป็นต้องใส่ชุดพลเรือน ให้กลมกลืนกับบุคคลทั่วไปเพื่อความปลอดภัย

จึงไม่แปลกที่วันนี้นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพก็ยังใช้ปริศนา “ชายชุดดำ” มาโจมตีคนเสื้อแดงว่าเป็นคนที่ยิงทั้งเจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุม แม้การไต่สวน คดี 98 ศพ พยานจะยืนยันว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ก็ตาม ไม่ใช่เฉพาะนายพัน แต่ยังมีกรณี 6 ศพในวัดปทุมวนาราม กรณีนายฮิโรยูกิ มูราโมโต ช่างภาพสำนักข่าวรอยเตอร์ส ชาวญี่ปุ่น หรือกรณี นายฟาบิโอ โบเลงกี ช่างภาพอิสระ ชาวอิตาลี

ปรากฏการณ์นอนตาย “ตาสว่าง”

ปริศนา “ชายชุดดำ” จึงเป็นตัวแปรสำคัญในคดี 98 ศพที่อาจพลิกไปทางไหนก็ได้ เพราะมีหลักฐานทั้งภาพถ่าย วิดีโอ และข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศว่ามี “ชายชุดดำ” จริง แต่จะเป็นของฝ่ายใด หรือของทั้งสองฝ่าย หรือเป็นแค่ “คนสวมชุดดำ” ก็ตาม ทั้งนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพก็นำวาทกรรม “ชายชุดดำ” มาใช้เป็น “ความชอบธรรม” ในการขอคืนพื้นที่และกระชับวงล้อม

แม้วันนี้ “ชายชุดดำ” ยังไร้ร่องรอย ปรากฏเพียง “ชายชุดดำซาเล้งเก็บขยะ” ที่กลายเป็น “ชายชุดดำซาเล้งอำมหิต”?, “ชายชุดดำยิงหนังสติ๊ก”, “ชายชุดดำยิงบั้งไฟ” และมีแนวโน้มจะเป็นเหมือน “ผังล้มเจ้า” ที่กลายเป็น “ผังกำมะ ลอ” ที่ดึง “เบื้องสูง” มาใช้ทำลายฝ่ายตรงข้าม แต่กลับไม่มีใครเอาผิด “ผู้สั่งการสูงสุด” ได้

“ความคาดหวัง” จากครอบครัวผู้เสียชีวิต 98 ศพ รวมทั้งผู้บาดเจ็บเกือบ 2,000 คน ที่เชื่อว่าในที่สุดเมื่อความจริงค่อยๆปรากฏจะสามารถเอาตัว “คนผิด” ที่ “สั่งฆ่า” ประชาชน เจ้าหน้าที่ และผู้บริสุทธิ์นั้น นับว่าเป็น “ความคาดหวัง” ที่ยากจะเกิดขึ้นได้ เพราะเมื่อเทียบเคียงกับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ไม่ว่าเหตุการณ์ 14 ตุลา, 6 ตุลา หรือช่วงพฤษภาทมิฬนั้น ไม่เคยมีเหตุการณ์ใดสามารถสาวถึงผู้บงการ หรือหาคนที่กระทำความผิดได้เลย

ประเทศไทย ณ วันนี้จึงมิอาจคาดหวัง “คำพิพากษา” ใดๆได้จากกระบวนการยุติธรรมไทยภายใต้อำนาจที่ไม่ปรกติ

อาจมีเพียง “คำพิพากษาจากสังคม” และ “ความจริง” เท่านั้นที่กำลังไล่ล่า “ฆาตกรมือเปื้อนเลือด” ท่ามกลางโศกนาฏกรรมระหว่างประชา ชน “ผู้บริสุทธิ์ที่ นอนตายตาสว่าง” กับ “ฆาตกรตอ แหลที่นอนหลับ ตาไม่ลง” เท่านั้น!

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

โรคประหลาดคล้ายเอดส์ แต่ไม่ใช่เอดส์ !!?

โดย ศ.พญ.ยุพิน ศุพุทธมงคล

เมื่อเร็วๆนี้มีข่าวที่ทำให้ผู้คนตื่นตระหนกกับโรคประหลาดที่มีอาการคล้ายเอดส์ และยังหาสาเหตุไม่พบ เพื่อให้เข้าใจถึงโรคดังกล่าว เรามีความรู้มาฝาก

โรคประหลาดคล้ายเอดส์ที่ยังไม่มีชื่อเรียกนี้เป็นโรคที่ไม่ได้ติดเชื้อเอชไอวี พบมานับ 10 ปี เกิดจากภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ทำให้มีอาการป่วยจากโรคติดเชื้อฉวยโอกาสชนิดต่างๆ เช่น การติดเชื้อแบคทีเรียกลุ่มมัยโคแบคทีเรีย การติดเชื้อราที่มีอาการรุนแรง เป็นต้น ผู้ป่วยจะมีอาการไข้เรื้อรัง ต่อมน้ำเหลืองอักเสบหลายแห่ง ร่วมกับปอดอักเสบ ฝีตามอวัยวะต่างๆ รวมทั้งผิวหนังอักเสบเป็นหนอง

โรคดังกล่าวไม่ใช่โรคติดต่อ พบไม่บ่อย และไม่รู้สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันผิดปรกติเหมือนอย่างโรคเอดส์ที่รู้ว่าเกิดจากการติดเชื้อไวรัสภูมิคุ้มกันบกพร่อง และไม่ได้เกิดจากการรับการรักษาด้วยยากดภูมิคุ้มกันต่างๆ โรคนี้พบมากในชาวเอเชีย รวมทั้งคนไทย มักเกิดในผู้ใหญ่อายุเฉลี่ย 40-50 ปี

การรักษาผู้ป่วยในปัจจุบันเป็นการรักษาโรคติดเชื้อฉวยโอกาสด้วยยาต้านจุลชีพ ผู้ป่วยอาจมีการดำเนินโรคแตกต่างกัน การรักษาขณะนี้ทำให้โรคติดเชื้อฉวยโอกาสสงบ แต่อาจมีการกำเริบหรือพบการติดเชื้อฉวยโอกาสอื่นๆเป็นครั้งคราว

ขณะนี้คณะผู้วิจัยซึ่งเป็นแพทย์โรคติดเชื้อจากคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยต่างๆในประเทศไทย ได้แก่ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล รวมถึงคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับคณะผู้วิจัยจากสถาบันสุขภาพอเมริกา ทำการวิจัยพบว่าผู้ป่วยกลุ่มนี้มีการสร้างสารแอนติบอดีต่อสารอินเตอร์เฟอรอนแกมมา ทำให้ภูมิคุ้มกันซึ่งใช้ป้องกันการติดเชื้อฉวยโอกาสต่างๆดังกล่าวผิดปรกติ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการป่วยจากการติดเชื้อฉวยโอกาสเหล่านั้น ซึ่งขั้นต่อไปคณะผู้วิจัยกำลังวิจัยเพื่อให้รู้สาเหตุการก่อโรค เพื่อจะได้วางแผนการรักษาโรคนี้ให้หายขาด

ดังนั้น หากมีอาการดังกล่าวข้างต้นควรมารับการตรวจตามขั้นตอนจากแพทย์โรคติดเชื้อ เพราะการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง แม้ไม่หายขาดแต่ผู้ป่วยสามารถดำเนินชีวิตได้ตามปรกติ

ข่าวประชาสัมพันธ์

คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ขอเชิญเข้าร่วมกิจกรรมภาคประชาชนในงานประชุมวิชาการเฉลิมพระเกียรติ 150 ปี พระราชสมภพสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวีฯ ระหว่างวันที่ 17-21 กันยายน 2555 พบกับการเสวนา การบริการและให้คำปรึกษาปัญหาสุขภาพ ตรวจความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือด และสอนตรวจเต้านมด้วยตนเอง ณ โถงอาคาร 100 ปี สมเด็จพระศรีนครินทร์ สอบถามข้อมูลและสำรองที่นั่งได้ที่งานสร้างเสริมสุขภาพ โทร.0-2419-8802 และ 0-2419-9981-83

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2555

เลขาฯชูวิทย์ โดนสาวเสียสติ ฟันยับ เย็บ17เข็ม !!?

ผกก.สภ.หาดใหญ่ เผย หญิงเสียสติ คลั่ง คว้ามีดพร้าไล่ฟันหัวเลขาฯ "ชูวิทย์" เลือดอาบ บนโรงพักหาดใหญ่ ขณะ นำคณะลุยบ่อนหาดใหญ่ ล่าสุด เย็บ 17 เข็ม

พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ผกก.สภ.หาดใหญ่ เปิดเผยกับ สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น.ว่า ได้มีหญิงเสียสติใช้มีดพร้าไล่ฟัน คณะกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายสมชาย โล่สถาพรพิพิธ เป็นประธาน กมธ. และมี นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ร่วมคณะด้วย เหตุเกิดบนสถานีตำรวจภูธรหาดใหญ่ จ.สงขลา ทำให้เลขาฯ ส่วนตัวของ นายชูวิทย์ ถูกฟันเป็นแผลฉกรรจ์เย็บหลายเข็ม จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า หญิงคนดังกล่าว มีอายุประมาณ 30 - 35 ปี ถูกจับตั้งแต่ช่วงเช้า เนื่องจากไปแย่งปืนจากตำรวจท่องเที่ยวหาดใหญ่ และนำตัวมาดำเนินคดีที่โรงพัก คลุ้มคลั่งขู่จะฆ่าตัวตาย และปีนขึ้นไปบนแท้งค์น้ำของโรงพัก จะกระโดดลงมา เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถเกลี้ยกล่อมได้อีกครั้ง แต่พอเห็นคณะของกรรมาธิการตำรวจ ที่เดินทางมาจากการประชุมเรื่องบ่อนการพนันในพื้นที่ ก็ตรงใช้มีดพร้า ที่ไม่ทราบว่านำมาจากไหน ฟันเข้าอย่างจังดังกล่าว ซึ่งดูจากรูปการแล้ว ไม่ได้ตั้งใจจะฟัน นายชูวิทย์ เป็นการฟันแบบไร้ทิศทาง จนถูกศีรษะเลขาฯ ล่าสุดก็นำตัวไปสงบสติอารมณ์พร้อมแจ้งข้อหาในห้องขังแล้ว

คืบหน้า ฟันเลขาฯชูวิทย์ เย็บ 17 เข็ม

เกิดเหตุหญิงสติไม่สมประกอบ ใช้มีดพร้าฟัน นายเทพทัต บุญพัฒนานนท์ อายุ 29 ปี เลขาฯของ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ได้รับบาดเจ็บถูกฟันเข้าที่บริเวณศีรษะเป็นแผลฉกรรจ์ ถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลหาดใหญ่ โดยแพทย์ต้องเย็บถึง 17 เข็ม เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากที่ คณะกรรมาธิการตำรวจ รวมทั้ง นายชูวิทย์ เดินทางมาประชุมที่ สภ.หาดใหญ่ เพื่อติดตามเรื่องบ่อนการพนันและซ่องที่ได้เปิดเผยคลิปไปก่อนหน้านี้ หลังจากประชุมเสร็จ และคณะได้ออกจากห้องประชุมมายืนรอขึ้นรถอยู่ที่หน้าศูนย์จราจร สภ.หาดใหญ่ มีหญิงสาวสติไม่สมประกอบ ถือมีดพร้าเข้ามาไล่ฟันคณะของ นายชูวิทย์ และถูก นายเทพทัต ได้รับบาดเจ็บ ส่วนหญิงสาวที่ก่อเหตุขณะนี้ตำรวจได้ควบคุมตัวไว้แล้ว และกำลังอยู่ระหว่างการสอบสวนว่ามีสติไม่สมประกอบจริงหรือไม่ ความคืบหน้าจะรายงานให้ทราบต่อไป

ตร. เผย สาวฟันหัวเลขาฯชูวิทย์ สติไม่สมประกอบจริง

ความคืบหน้าสาวสติไม่ดี ก่อเหตุฟันศีรษะเลขาฯ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ขณะเดินทางมากับคณะกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ผกก.สภ.หาดใหญ่ เปิดเผยว่า สำหรับ น.ส.คำหล้า มั่งมี อายุ 27 ปี ที่ก่อเหตุนั้น หลังจากที่ตำรวจได้ส่งตัวไปยังโรงพยาบาลหาดใหญ่ ให้แพทย์จิตเวชตรวจเช็กอาการทางประสาท ซึ่งได้รับการยืนยันจากแพทย์ ว่า น.ส.คำหล้า มีอาการทางประสาทจริงพร้อมกับออกหนังสือยืนยันก่อนที่จะส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวชสงขลาราชนครินทร์ โดยช่วงเช้านางสาวคำหล้า ได้เดินเข้ามาใน สภ.หาดใหญ่ และพยายามก่อเหตุแย่งปืนตำรวจ เจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวให้สงบสติอารมณ์ แต่ปรากฏว่าจากนั้น ก็ได้แอบปืนขึ้นไปอยู่บนแทงค์น้ำหลังโรงพัก พยายามกระโดดลงมาฆ่าตัวตาย ซึ่งตำรวจช่วยกันเจรจาเกลี้ยกล่อมจนยอมลงมา

พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยืนยันว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำของหญิงที่มีอาการทางประสาทจริงๆ ไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง หรือเกี่ยวกับเรื่องที่ นายชูวิทย์ เดินทางลงมาติดตามเรื่องขบวนการค้ากามในเมืองหาดใหญ่ และบ่อนการพนันที่ด่านนอก แต่อย่างใด

เฉลิมบอกเลขาชูวิทย์ถูกฟันศีรษะไม่เกี่ยวกม.

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้รับรายงานกรณีเลขาฯของ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครักประเทศไทย ถูกฟันศีรษะที่ สภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา แล้ว และเรื่องนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินคดีตามกฎหมาย และนำตัวหญิงคนดังกล่าวไปตรวจร่างกายอีกครั้ง ซึ่งก็เห็นว่า มีอาการผิดปกติตั้งแต่ช่วงเช้า ก่อนที่จะก่อเหตุ ทั้งนี้ โดยส่วนตัวยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการเมืองแน่นอน

"ได้ยินมา ในบ่ายที่มาก่อเหตุวันนี้ก็ผิดปกติ ไม่มี เรื่องการเมืองอะไร" ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว

อย่างไรก็ตาม ตนไม่ขอเข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่หาก นายชูวิทย์ ร้องขออยากให้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจัดกำลังไปคุ้มครอง ก็สามารถทำเรื่องเข้ามาได้ ส่วนกรณีที่ตนเอง อาจจะเลิกรับตำแหน่งหลักทางการเมืองนั้น เป็นเพราะว่า หากรัฐบาลชุดนี้ ทำงานครบวาระ 4 ปี ตนเองก็จะอายุครบ 68 ปี ซึ่งก็คงจะมากพอแล้วกับการทำงานด้านการเมือง แต่ก็คิดว่าจะยังไปช่วยปราศรัยหาเสียงอยู่บ้าง ทั้งนี้คาดว่า น่าจะไปดูแลกิจการท่าเรือของลูกชาย ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา

ที่มา.INN news
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

พลังเสื้อแดง คานเผด็จการ !!?

ท่านพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์พูดเมื่อไม่นานนี้ว่า จุดยืนสำคัญ ของพรรคคือการต่อต้านอำนาจเผด็จการทหารทุกรูปแบบที่ทำลายระบอบประชาธิปไตย เมืองไทยเรื่อยมา และนั่นคือผลงานในอดีตที่ประชาชนให้การต้อนรับด้วยความศรัทธา มายาวนาน

แต่แล้วศรัทธาประชาชนที่มีต่อพรรคนี้ ก็เสื่อมคลายลงนับแต่เกิดรัฐประหารครั้งล่าสุดปี 2549 โดยแกนนำและสมาชิกจำนวนหนึ่ง “แอบลอกคราบ” กลมกลืนไปกับมวลชนเสื้อเหลืองที่มีแผนยั่วยุให้ทหารตัดสินใจยึดอำนาจจากระบอบประชาธิปไตย

ทั้งๆ ที่กระแส “ทักษิณฟีเวอร์” ขณะนั้นถดถอยถึงจุด “เจียนอยู่เจียนไป” รอมร่ออยู่แล้ว

แม้ภาพที่ปรากฏพรรคไทยรักไทยครั้งสุดท้ายก่อนปฏิวัติ ชนะเลือกตั้งเกินครึ่ง สภา เป็นรัฐบาลพรรคเดียวในประวัติศาสตร์การเมืองไทย...แต่ก็เป็นภาพ “มายาคติ” ที่ครอบงำความคิดพรรคเก่าแก่ ซึ่งควรมีจุดยืนโดดเด่นของตัวเองอย่างมั่นคงมายาวนาน แม้จะสู้คู่แข่งไม่ได้ แต่หากมี “จิตสำนึกประชาธิปไตยที่แท้จริง” ก็ต้องยืนหยัดต่อสู้กับ “เผด็จการรัฐสภา” อย่างทระนง

เพราะที่สุดแล้ว ถ้าฝ่ายรัฐบาลเป็น “เผด็จการรัฐสภา” จริง...วันหนึ่งที่ถึงซึ่ง “ฟางเส้นสุดท้าย” พลังประชาชนก็จะลุกฮือขึ้นมาขับไล่ “อำนาจอยุติธรรม” เอง โดยพรรคประชาธิปัตย์ไม่ต้องออกแรงเปลี่ยนจุดยืนแต่อย่างใด แต่นักการเมืองที่เป็นฝ่ายค้านมานานจนอดรนต่อสภาวะที่เป็นอยู่ไม่ไหว จึงคิดเอาเองว่าขืนปล่อยเป็นฝ่ายค้านเนิ่นนานต่อไปอีก มีหวังพรรคทักษิณ “กินเมือง” เป็นแม่นมั่น ก็เลย “คิดสั้น” ยุส่งให้เกิดการยึดอำนาจเสียให้รู้แล้วรู้รอด

คิดว่ายังไงๆ ถ้าเกิดการต่อต้านทหารเผด็จการ ทหารต่างหากล่ะที่เสียหาย หาใช่ พวก “บ่างช่างยุ” ไม่นับเป็นกุศโลบายที่แสนเนียน และใช้กลยุทธ์ “ยืมดาบทหารฆ่าศัตรู” ที่เหนือชั้น สุดบรรยายแต่ด้วยอาราม “ย่ามใจ” คิดว่าคนทั่วไปโง่ “อ่านเกมไม่ออก” ก็เลยแสดงธาตุแท้ “เกลียดปลาไหล กินน้ำแกง” หันไปแสดงบท “รักงูเห่า” และ “กอดเผด็จการ” ต่อหน้าธารกำนัล ถึงขั้น “ตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร”

ภาพรังเกียจเผด็จการ และชูประชาธิปไตยในอดีตจึงเสมือน “แก้ผ้าล่อนจ้อน” ประจานตัวเองเพราะความโลภหวังกุมอำนาจรัฐเสียเองอย่างไม่สง่างาม ไม่ประทับใจชาวบ้านเอาเสียเลยเมื่อเจือสมกับได้อำนาจรัฐ ไม่รู้จักขีดจำกัดแห่งการใช้อำนาจ เมื่อเกิดกรณีม็อบ ประท้วงแล้วก็ยังลุแก่อำนาจ กล้าคิดใช้กำลังทหารล้อมปราบจนประชาชนต้องเสียชีวิต ร่วมร้อยศพและบาดเจ็บนับพัน กลับไร้สำนึกแห่งจิตวิญญาณนักการเมืองที่ศรัทธาระบอบประชาธิปไตยมันจึงกลับตาลปัตรเป็น รัฐบาลมือเปื้อนเลือด จารึกในประวัติศาสตร์การเมืองที่ไม่อาจลบเลือนได้กลายเป็นมวลชนคนเสื้อแดง เข้ากุมสภาพ “นักสู้ผู้ต้านเผด็จการ และทวงหา ความยุติธรรม” แทนที่จุดยืนเดิมของพรรคประชาธิปัตย์โดยอัตโนมัติ

และวันนี้ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มวลชนคนเสื้อแดงจึงได้เวลารวมพลังรำลึก ครบรอบ 2 ปีแห่งการต่อสู้ของพวกเขาอย่างแข็งแกร่ง เด็ดเดี่ยว และภาคภูมิใจที่ได้สละเลือดและชีวิต...เพื่อจะบอกให้ฝ่ายเผด็จการ หรือพวกที่ลืมตัว “ใช้เผด็จการเป็นเครื่องมือเข่นฆ่าประชาชน” ได้รู้ว่า พลังมวลชนยังเข้มแข็งและพร้อมผนึกกำลังเป็นอำนาจที่เข้มข้นเพื่อ “ต้านอำนาจเผด็จการทุกรูปแบบ” ต่อไป

หากคนเสื้อแดงสามารถดำรงพลังมวลชนคานอำนาจเผด็จการได้เป็นเอกภาพยิ่งใหญ่เพื่อปกปักรักษาประชาธิปไตยยืนระยะได้ยาวนาน รวมทั้ง “ต้านอำนาจนอกระบบ” ที่แอบบ่อนทำลายประชาธิปไตยให้ฝ่อไปเรื่อยๆ อย่างน้อยระบอบประชาธิปไตยจะได้มีโอกาสฟื้นฟูเดินหน้าพัฒนาไปเสียที... อย่างมากก็อาจลบล้างสมองของทหารที่ยังติดยึดกับอำนาจเบ็ดเสร็จได้เข้าใจและเข้าถึง ระบอบที่เป็นอิสระเสรีของประชาชนโดยรวมเสียบ้างไม่ใช่รำคาญอะไรนิด ก็คิดแต่จะเอาปืนมายึดอำนาจประชาชนร่ำไป!

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

มันมากับน้ำ หลอนผวา ปชป.รอเติมเชื้อร้าย !!?

ประชาชนยังผวาน้ำท่วมเมื่อปลายปี ที่แล้วอยู่ไม่หาย ทั้งๆ ที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยเริ่มบริหารประเทศตั้งแต่ 25 สิงหาคม 2554 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แทบไม่ได้เริ่มต้นทำงานตามนโยบายหาเสียง เอาแต่ทุ่มเทแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากับน้ำท่วม “เอาอยู่ค่ะ...” น.ส.ยิ่งลักษณ์ เริ่มเป็น นายกรัฐมนตรีหมาดๆ ให้ความเชื่อมั่นกับประชาชนที่กำลังแตกตื่นกับน้ำที่ไหลมาจ่ออยู่ริมรั้วบ้านอย่างหวั่นวิตกขึ้นต้นปี 2555 วิกฤติน้ำท่วมผ่านพ้น อย่างทุลักทุเล น้ำทิ้งร่องรอยความเสียหาย มหาศาลไว้หลายพื้นที่สำคัญๆ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ตั้งงบประมาณ 1.2 แสนล้านบาทฟื้นฟูประเทศ ครั้งใหญ่ โดยส่วนใหญ่เป็นการจัดเตรียมป้องกัน น้ำท่วมปี 2555 และในอนาคต เป้าหมายหลักๆ อยู่ที่ลดปริมาณน้ำท่วมให้น้อยลงกว่าปี 2554 นั่นหมายถึงน้ำยังท่วมอยู่ แต่ไม่มากมายถึงขั้นเกิดอาการหลอนหวั่นผวา หรือประชาชนแตกตื่นกันยกใหญ่ซ้ำสอง

รัฐบาลวางยุทธศาสตร์ผจญกับน้ำท่วม ใน 4 กรณีสำคัญ คือ 1.น้ำต้องมีที่อยู่ 2.น้ำ ต้องมีที่ไป 3.การป้องกันพื้นที่สำคัญ และ 4.เตือนภัย กล่าวเฉพาะคือ รัฐบาลพยายามจัดการ ควบคุมทางไหลของน้ำ ตั้งแต่ต้นทางจาก ภาคเหนือมาสู่พื้นที่ภาคกลาง แล้วผ่าน กทม. ปลายทางน้ำไหลเพื่อไปออกทะเล กระบวนการ จัดการทั้งหมดนี้อยู่ที่วิธีการขุดลอกคูคลอง สร้างผนังกั้น ซึ่งไม่ยากเย็นเกินกว่าวิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์ของมนุษย์จะกระทำเลยเหมือนกับง่าย แต่มนุษย์ยากที่จะเอา ชนะธรรมชาติได้ เพราะธรรมชาติมีชีวิต สามารถปรับเปลี่ยนไปตามกับสิ่งแวดล้อมได้เสมอ

> เตรียมพร้อมรับมือ

ก่อนถึงฤดูมรสุมน้ำหลากปี 2555 มาถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ สั่งการไปยังจังหวัดภาคเหนือพื้นที่ต้นน้ำให้เตรียมพร้อมรับมือน้ำให้เสร็จในเดือนมิถุนายน จังหวัดกลางน้ำต้องเสร็จเดือนกรกฎาคม และจังหวัดปลาย น้ำควรเรียบร้อยในเดือนสิงหาคม

เมื่อทุกอย่างเข้ารูปเข้ารอยค่อนข้างแน่ใจว่า “เอาอยู่ค่ะ” การทดสอบระบบทางน้ำไหลตาม “เส้นทางต้น-กลาง-ปลาย” จึงเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ เอาอยู่จริงๆ เพราะผล ทดสอบออกมา “ราบรื่น น่าพอใจ และรัฐบาลป่าวประกาศน้ำไม่ท่วม (อีกแล้ว) แน่” น.ส.ยิ่งลักษณ์ ฉีกยิ้มอารมณ์ดีกับแผน ป้องกันน้ำท่วมอันเอกอุมาช่วยเติมแต่งสร้าง หน้าตารัฐบาลให้ดูดี มีกึ๋น มากฝีมือ ราวกับ ปัดข้อกล่าวหา “นายกรัฐมนตรีละอ่อน ไร้ประสบการณ์” จนแทบไม่เหลืออาการวอกแวกจากพรรคประชาธิปัตย์ได้แทบราบคาบ

ย่อมสมควรดีใจออกนอกหน้าอยู่ เพราะรัฐบาลได้ทุ่มเททำงานมาตลอดปีด้วย งบประมาณมหาศาลที่ทุ่มไปกับการขุดลอก คูคลอง สร้างผนังกั้นน้ำ กำหนดแผน ปล่อยน้ำในปริมาณการไหลที่ “คน” สามารถ ควบคุมจัดระบบการไหลของน้ำทั้ง “ต้น-กลาง-ปลาย” ให้ไหลเป็นระเบียบไม่มีแตกแถวมนุษย์ยังควบคุมเอาชนะธรรมชาติด้วยระบบการจัดการแบบวิทยาศาสตร์อย่างได้ผล...ช่างน่าสนใจ แต่เมื่อล่องมรสุมหอบเอาฝนห่าใหญ่ พัดผ่าน ฝนตกหนักต่อเนื่องมาตั้งแต่วันที่ 6 กันยายนที่ผ่านมา ถนนในกรุงเทพฯ บางสายเจิ่งนองด้วยน้ำในอึดใจไม่เพียงเท่านั้น เมืองใหญ่ๆ ตามเส้น ทางน้ำผ่าน ทั้งต้น-กลาง-ปลาย น้ำทะลักผนังกั้นน้ำไหลท่วมเป็นปกติ พร้อมๆ กับพัดเอางบประมาณที่ทุ่มเทไปแทบไม่มีความหมาย ธรรมชาติยังอยู่เหนือการควบคุม และ ปรับเปลี่ยนวิถีออกนอกคอก หนีระบบการจัดการของมนุษย์อยู่เป็นประจำรัฐบาลนิ่งอีกแล้ว ยิ้มหน้าบานเป็นกระด้งหุบลง น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังไม่ฟูมฟายสักแอะ

> “เอาอยู่”...ไม่ได้โม้!!!

วลี “เอาอยู่ค่ะ” ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ หลุดปากเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้ประชาชน ผจญน้ำท่วมเมื่อปี 2554 ได้มั่นใจ และวลีนี้ พรรคประชาธิปัตย์หยิบมาขยายผลต่อสาธารณะจนมีสีสันการเสียดสี ประชด-ประชัน นายกรัฐมนตรีหุ่นเชิด ไร้ประสบการณ์ทำงานการเมืองระดับชาติ

เมื่อถึงฤดูน้ำหลากในปี 2555 ลมมรสุมพัดกระหน่ำฝนตกมาอย่างหนักตั้งแต่ 6 กันยายน ระบบควบคุมน้ำไหลยังไม่พร้อม กับการทุ่มเทเงินเป็นแสนล้านบาท ปริมาณ น้ำสะสมมากขึ้นจนไหลออกนอกคูคลองและ ผนังกั้นมาท่วมพื้นที่นา ทะลักสู่ย่านเศรษฐกิจ และบ้านเรือนประชาชนอย่างหนักเมื่อวันที่ 9 กันยายน

ฝนห่าใหญ่กับน้ำท่วมในพื้นที่สำคัญของจังหวัดพิษณุโลกและสุโขทัย ช่างเป็นใจ ให้พรรคประชาธิปัตย์เยาะเย้ยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ อย่างสนุกครื้นเครง ฉากหลังรายการวิจารณ์ การเมือง “สายล่อฟ้า” ของสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมสีฟ้ายี่ห้อ “บลูสกาย” ขึ้นข้อความใหม่ ตัวใหญ่โดดเด่นว่า “ดีแต่โม้”

ไม่ผิดแน่ “ดีแต่โม้” คงเป็นวลีประชด-ประชันทางการชิ้นใหม่ที่มีความหมายเย้ยหยั่นการทำงานแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาลที่ออกข่าวคุยโต โอ้อวดว่า “เอาอยู่ค่ะ” สามารถควบคุมน้ำท่วมปี 2555 ได้ผล ประชาชนอย่าผวา โปรดรับทราบด้วยความเชื่อมั่น แต่ความจริงแล้ว ผลงานรัฐบาลแก้ปัญหาน้ำท่วม กลับกลายเป็นน้ำลายการเมือง เยิ้มท่วมปาก ราวกับนักการเมืองขี้โม้อะไรประมาณนั้น เพราะปริมาณน้ำเริ่มท่วมหนัก และมีแนวโน้มหนักขึ้น ย่อมเป็นรูปธรรมได้ ชัดเจนเหนือการอธิบายสนับสนุนเคียงข้างได้

สื่อโหมประโคมการรายการอย่าง ตื่นเต้น น้ำท่วมจังหวัดน่าน อุตรดิตถ์ จนประชาชนเก็บข้าวของหนี เมืองลำปาง นครสวรรค์เกิดการแตกตื่น แล้วไหลมาสร้างความ ลำบากให้เมืองพิษณุโลกและสุโขทัยในระดับ สูงเป็นเมตร เส้นทางคมนาคมถูกน้ำตัดขาด แล้วทะลักท่วมบ้านในจังหวัดพิจิตรเป็นหย่อมๆ

นอกจากนี้ ประชาชนจังหวัดอ่างทอง เริ่มออกอาการผวาน้ำเจ้าพระยาเริ่มล้นตลิ่ง เข้าท่วมบ้าน และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ถึงกับออกประกาศเตือนประชาชนริมตลิ่งให้เฝ้าระวังน้ำล้นตลอด 24 ชั่วโมง ผลกระทบจากวิกฤติน้ำท่วมส่อแววเป็นเหมือนปี 2554 และเริ่มมาตั้งแต่ “ต้น-กลาง ยันปลายน้ำ” เอาเสียด้วย คนทุกจังหวัดริมทางน้ำไหลในปริมาณมากๆ ย่อมออกอาการผวาแตกตื่นเป็นธรรมดา โดยเฉพาะคน กทม.ซึ่งเป็นปลายน้ำยากที่จะหลีกเลี่ยงได้เช่นกัน

ภาพถนนในที่สูงและทางด่วนกลายเป็น พื้นที่จอดรถหนีน้ำท่วมเต็มพรึบเมื่อปี 2554 ยังเป็นการสะท้อนวิกฤติหนักหน่วง ปริมาณ น้ำในปี 2555 อาจมีแนวโน้มให้ภาพเจ็บปวด เช่นนี้กลับคืนมาอีกครั้ง แน่ละ การคาดการณ์แนวโน้มที่มีชุด ความคิดแบบปี 2554 ย่อมไม่ใช่การประชด-ประชันเกินจริง และไม่ได้โม้สร้างความแตกตื่นซ้ำเติมประสาทประชาชนเข้าไปแบบล่องลอยตามจิตนาการเกมการเมืองเดิมๆ และซ้ำซาก

> มันผุดมากับน้ำแล้ว

ความจริงประชาชนเริ่มแตกตื่นกับน้ำท่วมอีกแล้ว พลังอาการหลอนผวาย่อมไม่เกิดผลดีทางการเมืองกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และพรรคเพื่อไทยแน่ วลีเอาอยู่หรือความมั่นใจในการจัดการควบคุมได้ อาจไม่ทำให้รัฐบาลเอาตัวรอดและได้รับความเห็นใจจาก ประชาชนอีกแล้วเป็นธรรมดาการเมืองปัจจุบันถูกแบ่ง ข้างชัดเจน แยกเป็นฝ่ายแดงกับอยู่ข้างสีเหลือง แบ่งกำลังใจให้รัฐบาลจนหมดตัวกลับหันมาสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์

ในสังคมแบ่งฝ่ายมากพวกเช่นนี้ ชุดข้อมูลของฝ่ายใดย่อมอยู่ในระบบความคิดของมวลชนฝ่ายนั้น ดังนั้น สังคมจึงไร้การไตร่ตรอง เพราะมุ่งมั่นเอาชนะกันเป็นธงคำตอบทางการเมือง...สิ่งนี้ถูกก่อรูปขึ้นในสังคมเปลี่ยนผ่านและสะท้อนถึงศูนย์กลางอำนาจเริ่มแผ่ว ผู้คนจึงโกลาหลขาดหลักเหตุผลมายึดมั่น

เมื่อถูกซ้ำเติมด้วยวิกฤติน้ำท่วมซ้ำซากเข้าไปอีก ความผิดหวังกับรัฐบาลย่อม สูงขึ้น การทดสอบระบบไหลของน้ำเมื่อ 5 กันยายน ซึ่งเป็นผลงานทางการเมืองครั้งสำคัญคงหมดมนต์ขลังสะกดให้ประชาชนมา สนับสนุนอีกแล้ว แนวโน้มเริ่มบ่งบอกเช่นนี้ ดังนั้น อาการหลอนผวาจากวิกฤติน้ำท่วม ถูกพรรคประชาธิปัตย์เริ่มผลักมาเป็นเกมการเมืองอย่างมีน้ำหนัก ไม่ได้เป็นรองรัฐบาลยิ่งลักษณ์อีกแล้ว ซ้ำร้ายพรรคประชาธิปัตย์ค่อยผุดชุดข้อมูลการทุจริตในงบประมาณน้ำท่วมจำนวน 1.2 แสนล้านบาท ย่อมกลายเป็นอาวุธเชือดรัฐบาลทาง การเมืองอย่างได้ผล และประชาชนคงตั้งใจ เอียงหูฟังอย่างตื่นเต้นคล้อยตาม

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ เริ่มออกลายเข้าไปผสมส่วนกับปริมาณน้ำท่วมแล้ว เขาผุดข้อมูล เปิดปมโกงกินงบประมาณแก้ปัญหาน้ำท่วม ทางภาคเหนือออกมาเรียกน้อยย่อย การโกงที่เป็นชุดข้อมูลไว้ “เตรียมซักฟอกรัฐบาล” ถูกปล่อยมาเบื้องต้น โดยนายนิพิฏฐ์อ้างว่า มีการหักหัวคิวกว่าครึ่งใน รูปแบบการซอยสัญญาเลี่ยงงานรับเหมาถึง 200 ล้านบาทเพื่อไปแบ่งจ่ายเป็นค่าหัวคิวทางการเมืองและราชการมากถึง 30% นี่เป็นเพียงชุดข้อมูลเรียกน้ำย่อย จาก พื้นที่การทุจริตในงบประมาณแก้ไขน้ำท่วมทางต้นน้ำภาคเหนือ แล้วสนับประสาอะไรกับพื้นที่กลางน้ำและปลายน้ำจะไม่มีการกินนอกกินใน เอาเป็นว่า การโกงงบประมาณน้ำท่วม กำลังไหลกลายเป็นข้อมูลของพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อน้ำยิ่งท่วมประชาชนยังหลอนผวาอยู่ การบริหารจัดการที่ผิดพลาด ย่อมเชื่อมประสานกับการสร้างเกมรุกทาง การเมืองของพรรคประชาธิปัตย์อย่างได้ผล

> เข้าทาง ปชป. หลอนผวา

ในยุทธการทดสอบน้ำไหลเมื่อ 5 กันยายนนั้น รัฐบาลฉีกยิ้มหน้าบานกับผลงาน อันราบรื่น พรรคประชาธิปัตย์ออกอาการซึมๆ ทางการเมืองที่ตกเป็นรอง ปล่อยให้รัฐบาลออกเกมรุกจนแทบถูกน้ำไหลพัดออก ทะเลไปไกลสุดตา แต่เพียงไม่กี่วัน มรสุมหอบฝนมาห่าใหญ่ น้ำเริ่มท่วมตั้งแต่ต้น-กลาง-ปลายทาง อย่าง กทม.คงไม่รอด พรรคประชาธิปัตย์ได้น้ำท่วมแล้วกลับฟื้น มีพลังทางการเมืองอย่างเหลือเชื่อ

ขณะนี้ในประเด็น “เกม” แล้ว พรรค ประชาธิปัตย์ยกชั้นจากฝ่ายรับทางการเมือง มาเคียงคู่ แบบหายใจรดคอรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ให้อึดอัด นับจากนี้ พรรคประชาธิปัตย์พูด ประชาชนย่อมรอฟัง และเมื่อเติมเชื้อร้ายการโกงด้านอื่นๆ ของรัฐบาล ย่อมทำให้ลด ทอนความน่าเชื่อถือของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้อย่างระทึกและหวั่นไหว คงจำกันได้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ดำเนินกลยุทธ์ทางการเมืองทุกช่วงสถานการณ์ ไม่ว่าอยู่ในฐานะรัฐบาลหรือเป็นฝ่าย ค้าน บทบาทที่พรรคนี้ถนัดคือ สร้างความเลวร้ายให้ฝ่ายตรงข้ามเสมอ เพราะคำนึงถึง เป้าหมายชนะเป็นสิ่งสูงสุด ดังนั้น พรรคนี้จึงเต็มไปด้วยชุดความคิด “วิธีการอะไรก็ได้ ขอให้ชนะ ย่อมเป็นคุณธรรมทางการเมือง ทั้งสิ้น”

แนวโน้มการสร้างเรื่องร้ายๆ เข้ากัน ได้ดีกับประชาชนที่ “อินกับละครน้ำเน่า” ดังนั้นการลดทอนผลงานรัฐบาลในทุกกรณี ทั้งเปิดปมสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ เป็นเนื้องานที่จะสร้างให้รุนแรงยิ่งขึ้นได้ไม่ยากหรือขยายผล “ทุจริตนโยบายจำนำข้าว” ยังเป็นประเด็นต่อเนื่องที่พรรคประชาธิปัตย์เตรียมพร้อมผุดขึ้นมาได้ทุกเมื่อ ประกอบกับพรรคประชาธิปัตย์ถนัดการประติดประต่อ ผสมส่วนการทุจริตเข้าสู่การโยกย้ายข้าราชการได้อย่างมึนๆ รวมความแล้ว หากปัดคุณธรรมทางการเมืองแบบ ประชาธิปไตยสากลออกไปแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่กับพรรคประชาธิปัตย์คือ ความมึนราว กับหน้ามืดได้ชัยชนะทางการเมืองในอนาคตสิ่งเหล่านี้ ล้วนไหลมากับน้ำ จนพรรค ประชาธิปัตย์มีพลังฟื้นขึ้นมาผุดเกมการเมือง ทำลายล้างตามบทถนัด ในส่วนรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ไม่มีทางเลี่ยงต้องถูกชุดข้อมูลโกงคอยหลอกหลอนให้ผวาแตกตื่นเป็นแน่สมรภูมิ “ซักฟอก” งวดนี้ หากประเมิน เพียงเกมล้วนๆ คอการเมืองซาดิสต์คงสมใจ แน่ กับเชื้อร้ายที่ไหลปะปนมากับวิกฤติน้ำท่วมปี 2555 มนุษย์เอาชนะธรรมชาติได้ยากลำบาก แต่ห้ำหั่นเอาชนะกันทางการเมือง เป็นการง่ายได้เสมอ

ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++