--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2557

อึ้งคำตอบ : อานันท์ ปันยารชุน.



ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ นายอานันท์ ปันยารชุน นายกกรรมการ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)และอดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังจากการประชุมผู้ถือหุ้นของธนาคารไทยพาณิชย์ ถึงทางออกของสถานการณ์การเมืองขณะนี้ว่า การเมืองเป็นเรื่องที่คาดเดายากไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะส่งผลกระทบทำให้เศรษฐกิจซบเซา แต่เชื่อว่ารัฐบาลรักษาการจะสามารถประคองเศรษฐกิจได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าไม่มีรัฐบาลที่สามารถดำเนินนโยบายได้ตามปกติ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจก็ช้าลงและทำให้เหนื่อย

ส่วนกรณีที่มีการเสนอทางออกให้มีนายกรัฐมนตรีที่มาจากการแต่งตั้ง เพื่อเข้ามาปฏิรูปประเทศก่อนมีการเลือกตั้งใหม่นั้น นายอานันท์กล่าวว่า ไม่อยากออกความเห็น แต่เห็นว่านายกรัฐมนตรีคนกลางในความหมายที่แท้จริงแล้วต้องไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้เปิดเผยรายชื่อบุคคลสำคัญที่คาดว่าจะได้รับการทาบทามได้รับตำแหน่งนายรัฐมนตรีคนกลาง นายอานันท์ กล่าวว่า เรื่องนี้ ใครเป็นคนพูด ถ้าณัฐวุฒิพูด ก็ให้ไปถามณัฐวุฒิ เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามว่า มีการทาบทามนายอานันท์ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง จะรับตำแหน่งหรือไม่ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นเรื่องอนาคต ผมไม่พูดเรื่องถ้า... จะพูดแต่เฉพาะเรื่องจริงเท่านั้น

ที่มา.มติชน
------------------------------------

วันพุธที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2557

เจาะหลักฐานเด็ด ป.ป.ช. อ้าง หมัดน็อค จำนำข้าว..!!?

ชัดเจนแล้วว่า ที่ประชุม “ป.ป.ช.” มีมติออกมา ไม่รับข้อเสนอ “นายกรัฐมนตรี” ในฐานะ “ผู้ถูกร้อง” ที่จะให้มีการสอบพยานเพิ่มเติมจำนวน 11 คน โดยจะเปิดโอกาสให้เพียงแค่ 3 คนเท่านั้น ที่ “ป.ป.ช.” พอใจจะเปิดโอกาสให้ชี้แจง

ในส่วนของ “ป.ป.ช.” นั้นมี “พยาน” ที่ “กรรมการ ป.ป.ช” หมายหมั้นปั้นมือมานานว่าจะสามารถให้ข้อมูลเป็นหลักฐานได้ แม้ที่ผ่านมาจะไม่ยอมเปิดเผยให้ทราบว่ามีใครอยู่บ้าง แต่ก็พอจะอ่านออกว่า “ผู้นำฝ่ายค้าน-ส.ส.ฝ่ายค้าน-ผู้สมัครรับการสรรหาเป็น ป.ป.ช.ที่ต้องการจะสร้างผลงาน” ต่างมีชื่อกันอยู่ครบ!!!
แต่ที่ “ป.ป.ช.” มั่นใจว่า สามารถเอาชนะ “โครงการจำนำข้าว”ได้แน่ๆ ภายหลัง “รวมสำนวน” กรณี “การยื่นถอดถอนนายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง”และ “กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีเหตุอันควรสงสัยว่าท่านได้ปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าว โดยเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทางราชการตามที่มีอำนาจหน้าที่” เข้าด้วยกันเสร็ตสรรพเรียบร้อย ก็คือ การที่ “ป.ป.ช.” อ้างว่า นายกรัฐมนตรีเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทางราชการตามที่มีอำนาจหน้าที่” ภายหลังจาก “ป.ป.ช.” มีหนังสือเสนอแนะให้รัฐบาลยกเลิกโครงการรับจำนำข้าว เนื่องจากเกรงว่าจะทำให้เกิดปัญหาต่างๆตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีการทุจริต !!
หากอ่านเผินๆอาจจะทำให้มองได้ว่า “รัฐบาล” ไม่ได้สนใจในคำแนะนำ-ข้อเสนอของ ป.ป.ช.หรืออย่างไร ถึงได้ทู่ซี้ดำเนิน “โครงการรับจำนำข้าว” ไม่เชื่อในข้อเสนอของ “องค์กรอิสระ” ที่อุตส่าห์เสนอหน้าเข้ามาแทรกแซง ด้าน “นโยบาย” ของ “ฝ่ายบริหาร”
แต่ในข้อเท็จจริงเมื่อตรวจสอบจะพบว่า หนังสือที่ ป.ป.ช.อ้างว่าได้ส่งข้อเสนอแนะโครงการรับจำนำข้าวให้กับ “นายกรัฐมนตรี” จะพบว่า “ป.ป.ช.” ใช้เวลาเพียง 20 กว่าวันเท่านั้นในการ “ตัดสินถูก-ผิด” พร้อมแนะนำให้ยกเลิกโครงการรับจำนำข้าว ???
โดยจากการตรวจสอบพบว่า “ป.ป.ช.” ได้มี “หนังสือ ด่วนมากที่ ปช 0003/0118 ลงวันที่ 7 ตุลาคม 2554” ถึงนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยืนยันข้อเสนอแนะของ ป.ป.ช. ในการแก้ไขปัญหาการทุจริตจากการแทรกแซงตลาดข้าวด้วยวิธีการรับจำนำในยังรัฐบาล พร้อมข้อเสนอแนะให้รัฐบาลยกเลิกโครงการรับจำนำข้าวเปลือกและนำระบบการประกันความเสี่ยงด้านราคาข้าวมาดำเนินการแทน
ซึ่งเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับเงื่อนเวลาต่างๆ ที่ “รัฐบาล” เข้ามารับหน้าที่ในการบริหารประเทศ หลังการเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม 2554 จะพบว่า “รัฐบาล” ได้มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันที่ 23 สิงหาคม 2554 จากนั้น “คณะรัฐมนตรี” ได้มีมติอนุมัติให้ดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/2555 เมื่อ “วันที่ 13 กันยายน 2554” ซึ่งเป็นการเริ่มต้นโครงการรับจำนำข้าว ปี 2554/2554 ระยะเวลาโครงการวันที่ 7 ตุลาคม 2554-29 กุมภาพันธ์ 2555 ส่วนภาคใต้ 1 กุมภาพันธ์ – 31 กรกฎาคม 2555
แต่ที่ถือว่าเป็น “วันกดปุ่มเริ่มโครงการรับจำนำข้าวตามนโยบายหาเสียง” จริงๆ ก็คือ “วันที่ 7 ตุลาคม 2554”
ซึ่งเท่ากับว่า “ป.ป.ช.” ใช้เวลา เพียง 45 วัน (23 สิงหาคม -7 ตุลาคม 2554 )นับจากวันที่รัฐบาลเข้ามารับหน้าที่บริหารประเทศวันแรก ในการตัดสินว่า “ควรยกเลิกโครงการรับจำนำข้าว” !
และ “ป.ป.ช.” ใช้เวลาเพียง 24 วัน (13 กันยายน-7 ตุลาคม 2554) ในการติดตามการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าว และพิสูจน์ว่าจะมีการทุจริตในการดำเนินโครงการ !!
และที่สำคัญคือ “ป.ป.ช.” ใช้เวลาเพียงไม่ถึง 1 วัน (7 ตุลาคม 2554 ) ในการพิพากษาว่า “โครงการรับจำนำข้าว” จะมีการ “ทุจริต” เกิดขึ้นและจะต้อง “ยกเลิกโครงการ” เพียงสถานเดียว


แม้ “ป.ป.ช.” จะมีหนังสือถึง “รัฐบาล” อีกครั้ง คือ “หนังสือที่ ปช 0003/0189 ลงวันที่ 30 เมษายน 2555” เพื่อเตือนเกี่ยวกับ “โครงการรับจำนำข้าว” พร้อมข้อเสนอแนะ อีกครั้ง
แต่หนังสือฉบับที่ 2 ของ “ป.ป.ช.” ดังกล่าว จะสามารถเชื่อถือได้แค่ไหน อย่างไร ??
ในเมื่อ “หนังสือฉบับแรก” ที่ “ป.ป.ช.” ส่งมา ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มโครงการรับจำนำข้าว … ได้แสดงให้เห็นถึง “ทิศทาง” ความเชื่อของ “ป.ป.ช.” แล้วว่า “โครงการรับจำนำข้าว” มีการ “ทุจริต”

เพราะเห็น “ธง” ทิวปลิวไสว … ตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่ !!!

ที่มา.พระนครสาส์น
-----------------------------------------------------

วันอังคารที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2557

ผบ.เหล่าทัพ นัดถกปิดเกม !!?

โดย.ศรุติ ศรุตา

สถานการณ์การเมืองต้นเดือนเมษายน เมื่อดูปัจจัยทางการเมืองแล้ว ดูจะร้อนยิ่งกว่าอุณหภูมิช่วงก่อนวันสงกรานต์กันเลยทีเดียว

ถึงแม้ว่า รักษาการนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะเดินทางไปชี้แจงต่อ ป.ป.ช. คดีปล่อยให้โครงการรับจำนำข้าวเดินต่อไปไม่ฟังเสียงเตือน แล้วเกิดความเสียหายต่อบ้านเมือง นั่นคือจุดเริ่มต้นของสถานการณ์ร้อน ที่อาจนำไปสู่ความรุนแรงได้ทุกขณะ

เดิมทีนั้นมีกระแสข่าวว่า รักษาการนายกฯ ยิ่งลักษณ์จะไม่เดินทางไปชี้แจงต่อ ป.ป.ช.ด้วยตนเอง ทำให้มีกระแสข่าวด้วยเช่นกันว่า หากไม่ไปชี้แจงด้วยตนเอง ป.ป.ช.จะ "ลุยไฟ" สรุปสำนวนแล้วชี้มูลคดีไม่เกินวันที่ 5 เมษายน แต่เมื่อมีการเดินทางไปชี้แจงแล้วก็เร็วไปที่ ป.ป.ช.จะรวบหัวรวบหางเอาในวันนั้น

แต่ในยุคนี้ อะไรมันก็เกิดขึ้นได้เสมอ ดูเอาแค่ตอนสรุปคดีแล้วมีชื่อรักษาการนายกฯ ยิ่งลักษณ์ โผล่มาเป็นผู้ถูกร้องในคดีจำนำข้าว หลังจากนั้นเพียงแค่ 2 สัปดาห์ ก็เรียกให้มารับทราบข้อกล่าวหาแล้ว

ความจริงการทำหน้าที่ของ ป.ป.ช.จะไม่มีปัญหาอะไรเลย หากว่า ไม่มี "มวลชนคนเสื้อแดง" ที่เป็นฝ่ายที่อยู่เคียงข้างกับรักษาการนายกฯ ยิ่งลักษณ์ นัดหมายการชุมนุมใหญ่ในวันเสาร์ที่ 5 เมษายน

เช่นเดียวกับ กลุ่ม กปปส.ที่มี สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นแกนนำ ก็นัดแกนนำ กปปส.จากทั่วประเทศมาชุมนุมกันที่สวนลุมพินีด้วย ซึ่งก็แน่นอนว่า เมื่อแกนนำ กปปส.จากทั่วประเทศมาทั้งที ก็คงจะไม่มาแต่เพียงคนเดียวแน่ ย่อมต้องมีมวลชนติดสอยห้อยตามมาด้วย

หน่วยงานด้านความมั่นคงประเมินแล้วว่า ลำพังการเดินทางมาชุมนุมของมวลชนคนละขั้ว ก็สุ่มเสี่ยงที่จะเกิดการเผชิญหน้ากันอยู่แล้ว แต่หาก ป.ป.ช.ชี้มูลผิด และรักษาการนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ก็ต้องหยุดการปฏิบัติหน้าที่ "ความรุนแรง" น่าจะเกิดขึ้นแน่ๆ

มีการประสานงานกับกลุ่ม กปปส.ให้หลีกเลี่ยงการปะทะ หรือการเผชิญหน้ากับกลุ่มมวลชนคนเสื้อแดง

ถ้ามีปัญหาจริง แล้ว กปปส.อยู่ในที่ตั้งที่สวนลุมพินีไม่ได้ ก็ให้สลายการชุมนุมเพื่อรักษาชีวิตมวลชน

โดยเฉพาะกรณีเกิดการจลาจลขึ้นมา

จากนั้นกองทัพก็คงจะต้องรอดูหัวจิตหัวใจของ ศอ.รส.ว่าจะเอายังไง หากเกิดจลาจลกันขึ้นมาจริงๆ และดูทรงแล้วบานปลายจนอาจควบคุมหรือพูดคุยกันดีๆ ไม่ได้ ศอ.รส.จะทำอย่างไร

คำตอบจาก ศอ.รส.จะเอาอย่างไรไม่อาจรับรู้ได้ เพราะจะต้องรอให้เหตุการณ์เกิดขึ้นก่อน แต่สำหรับกองทัพนั้น หากเห็นว่า ศอ.รส. "เอาไม่อยู่" แล้ว ก็คงจะเลี่ยงไม่ได้ที่จะประกาศกฎอัยการศึก เพื่อเปิดทางให้ทหารออกมาควบคุมสถานการณ์

ก่อนที่จะไปสู่เหตุการณ์นั้น กระแสข่าวว่า ผบ.เหล่าทัพได้นัดหารือกันในวันสองวันนี้ เพื่อหาบทสรุปให้เร็วที่สุด ก่อนที่สถานการณ์จะบานปลายไปจนถึงการใช้ความรุนแรงของมวลชนทั้งสองฝ่าย

เพราะชัดเจนแล้วว่า ความ "แรง" ของ กปปส.นั้น ลดระดับลงมาแล้ว เช่นเดียวกับท่าทีของรักษาการนายกฯ ยิ่งลักษณ์

จากที่เคยบอกว่า ต้องลาออกสถานเดียว ต้องนายกฯ คนกลาง ต้องเลื่อนวันเลือกตั้งออกไป ให้ปฏิรูปการเมืองก่อน ก็ลดระดับไปอยู่ในจุดที่เรียกว่า พูดคุยกันได้ ภายใต้ "ตุ๊กตาทางออก" ที่ผู้คน 2-3 กลุ่ม ได้บทสรุปมาแล้ว

ในส่วนของรักษาการนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ก็เริ่มมีท่าทีที่พร้อมรับทุกข้อเสนอ แม้กระทั่ง "ยอมเสียสละ" เพียงแต่ที่ผ่านมามักจะมีเสียงลึกลับกระซิบว่า "ทำแบบนั้นไม่ได้ แบบนี้ไม่ได้"

ส่วนเมื่อพูดถึงคดีความของตนซุ่มเสียงที่ออกมา จึงเทไปในทางที่ว่า "ต้องให้ความเป็นธรรม"

ปัญหามันก็เลยค้างคากันมาจนถึงวันนี้ !

แต่เมื่อสถานการณ์เดินมาจนถึงวันที่คดีความเกิดขึ้นแล้วจริง มองเห็นแนวโน้มความรุนแรงว่าจะเกิดขึ้นจริง และมองเห็นท่าทีของ ผบ.เหล่าทัพแล้วเช่นกันว่า "พร้อมเอาจริง" หนทางเดินของรักษาการนายกฯ ยิ่งลักษณ์ จึงถูกจำกัดให้เดินลำบากมากยิ่งขึ้น

ถึงแม้เสียงเชียร์ให้สู้จะดังกระหึ่ม แต่คำถามของเหล่าทัพก็ดังก้องอยู่ในหัว

เพราะมันไม่ใช่การถามเพียงแค่ครั้งเดียว แต่เป็นทุกครั้งที่ได้มีโอกาสพบปะกัน !

ต่างกันก็แค่หนักเบา แล้วแต่โอกาสเท่านั้น

น่าสนใจว่า หากวันสองวันนี้มีการประชุมถกสถานการณ์บ้านเมืองขึ้นจริง จะเป็นการพูดคุยครั้งสุดท้ายก่อนที่สถานการณ์การเมืองจะเข้าสู่ภาวะปกติหรือไม่

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
-------------------------------------------

วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2557

ศาลยกฟ้อง พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม..!!?

กรณีอุ้มฆ่ามูฮัมหมัด อัลรูไวรี่ นักธุรกิจซาอุดิอาระเบีย ผ่านไป 24 ปีวันนี้ศาลยกฟ้อง "พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม" และพวก 5 คน โดยศาลพิเคราะห์ว่าคดีนี้เป็นคดีอุกฉกรรจ์ พยานหลักฐานต้องชัดเจน แต่คดีกลับมีแต่พยานบอกเล่า ไม่น่าเชื่อถือ ไม่มีน้ำหนัก จึงให้ยกฟ้อง ขณะที่ญาติรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม เตรียมแถลงข่าวร่วมกับสถานทูตซาอุดิอาระเบียบ่ายนี้



มูฮัมหมัด อัลรูไวรี่ นักธุรกิจชาวซาอุดิอาระเบียที่ถูกสังหาร (แฟ้มภาพ)

ศาลอาญามีคำพิพากษายกฟ้อง พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม อดีตจเรตำรวจ พ.ต.อ.สรรักษ์ หรือสมชาย จูสนิท ผกก. สภ.สบเมย จว.แม่ฮ่องสอน พ.ต.อ.ประภาส ปิยะมงคล ผกก.สภ.น้ำขุ่น จว.อุบลราชธานี พ.ต.ท.สุรเดช อุดมดี และจ.ส.ต.ประสงค์ ทอรั้ง จำเลยที่ 1- 5 ในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 ยื่นฟ้องฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น เป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาฯ และเพื่อปกปิดการกระทำความผิดของตน และเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาฯ จากกรณีอุ้มฆ่า นายมูฮัมหมัด อัลรูไวรี่ นักธุรกิจชาวซาอุดิอาระเบีย และพระญาติกษัตริย์ซาอุดิอาระเบีย

โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์ ไม่มีผู้ใดเบิกความยืนยันได้ว่า จำเลยทั้ง 5 คน ทำร้ายร่างกาย และสังหารนายอัลรูไวรี่ อีกทั้งไม่ชัดเจนว่า แหวนที่พันตำรวจโทสุวิชชัย แก้วผลึก พยานในคดีอ้างว่า เป็นของนายอัลรูไวลี่ เป็นของจริงหรือไม่ เนื่องจากมารดาและเพื่อนสนิทของนายอัลรูไวลี่ ไม่สามารถยืนยันได้ อีกทั้งหาก พันตำรวจโทสุวิชชัย ได้แหวนมาจริงตั้งแต่ปี 2546 เหตุใดจึงไม่นำให้ผู้บังคับบัญชา แต่กลับนำแหวนไปดัดแปลงสภาพ และจัดพิธีทางศาสนา ทั้งที่ไม่เกี่ยวข้องกับนายอัลรูไวลี่แต่อย่างใด เหมือนเป็นการสร้างพยานหลักฐานขึ้นใหม่ ซึ่งคดีนี้ถือเป็นคดีอุกฉกรรจ์ พยานหลักฐานต้องชัดเจน แต่คดีนี้มีแต่พยานบอกเล่า ไม่น่าเชื่อถือ ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า จำเลยกระทำผิดจริง จึงพิพากษายกฟ้อง ทั้งนี้ตามรายงานของสำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์

ด้านนายอาทิก อัลรูไวลี่ น้องชายของนายโมฮัมเหม็ด กล่าวภายหลังศาลมีคำสั่งว่า รู้สึกผิดหวัง ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม หลังจากนี้ญาติและเจ้าหน้าสถานทูตซาอุดิอาระเบียประจำประเทศไทย จะร่วมกันแถลงข่าว ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล ในเวลา 13.00 น.

สำหรับคดีดังกล่าวอัยการฟ้องร้อง พล.ต.ท.สมคิด และพวกรวม 5 คนเมื่อเดือนมกราคม 2540 หรือเมื่อ 17 ปีก่อน ภายหลังการหายตัวไปของนายมูฮัมหมัด อัลรูไวรี่ นักธุรกิจชาวซาอุดิอาระเบีย และพระญาติกษัตริย์ซาอุิอาระเบีย เมื่อปี 2533 หรือเมื่อ 24 ปีที่แล้ว ก่อนที่ในวันนี้ศาลจะมีคำพิพากษายกฟ้องดังกล่าว

ก่อนหน้านี้ทูตซาอุดิอาระเบียแสดงความกังวลเพราะมีการเปลี่ยนตัวผู้พิพากษา

ก่อนหน้านี้ สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์ รายงานว่า เมื่อวันที่ 28 มี.ค. นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า อุปทูตซาอุดิอาระเบียประจำประเทศไทย ได้พบหารือกับอธิบดีกรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกา เกี่ยวกับคดีฆาตกรรมนายมูฮัมหมัด อัลลูไวรี่ นักธุรกิจและพระญาติกษัตริย์ซาอุดิอาระเบีย โดยแสดงความกังวลการเปลี่ยนผู้พิพากษาในคดี ก่อนที่จะอ่านคำพิพากษาในวันที่ 31 มีนาคมนี้ เพียงหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งทำให้ฝ่ายซาอุดิอาระเบียมองว่า อาจเป็นความพยายามของฝ่ายจำเลยในการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ซึ่งรัฐบาลและราชวงศ์ระดับสูงของซาอุดิอาระเบีย หวังที่จะเห็นความยุติธรรมในคดีนี้ และคณะกรรมการติดตามคดีของซาอุดิอาระเบีย และครอบครัวนายอัลลูไวรี่ จะเดินทางมาฟังคำพิพากษาในวันที่ 31 มีนาคมนี้ ด้วยตนเอง

นายสุรพงษ์ ยังยืนยันว่ารัฐบาลได้ดูแลการดำเนินคดีอย่างเต็มที่แล้ว ซึ่งที่ผ่านมาได้แต่งตั้งให้ตนเองเป็นประธานคณะกรรมการติดตาม และกำกับดูแลการดำเนินคดีพิเศษ ที่เกี่ยวข้องกับซาอุดิอาระเบีย ซึ่งได้เร่งรัดให้คดีต่างๆ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และหวังว่าผลการตัดสินนจะจะเป็นก้าวสำคัญ ที่นำไปสู่การรื้อฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างไทยและซาอุดิอาระเบียให้ดีขึ้นได้

ที่มา.ประชาไท
-------------------------------------------------


เมื่อ ทักษิณ อยากจะ บอยคอต..!!?

ไม่มีคำปฏิเสธหลังปรากฏข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้เป็น “ศูนย์กลางอำนาจ” ทางการเมืองในพรรคเพื่อไทย “สไกป์” เข้ามาระหว่างการประชุมคณะกรรมการกิจการพรรคที่มี สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้มีศักดิ์เป็น “น้องเขย” ของตัวเองเป็นประธาน

ข่าวระบุว่าช่วงหนึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวกับที่ประชุมว่า หากการเลือกตั้งครั้งต่อไปพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง ก็ไม่อยากให้พรรคเพื่อไทยต้องลงเลือกตั้งอีก เพราะนอกจากจะไม่มีคู่แข่งแล้ว เชื่อว่าการเลือกตั้งจะถูกขัดขวางเหมือนกับการเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ. ที่ผ่านมา

ข่าวระบุว่า ข้อเสนอแนะดังกล่าว ที่ประชุมส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะเห็นด้วยเท่าไหร่นัก เพราะต่างมองว่าที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยยืนยันในหลักการรักษาประชาธิปไตยผ่านการเลือกตั้งมา พร้อมมองสถานการณ์ไกลออกไปว่า แม้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีรักษาการจะถูก “ชี้มูล” จาก ป.ป.ช. ในคดีโครงการรับจำนำข้าวแต่ก็ยังมีรองนายกรัฐมนตรีรักษาการทำหน้าที่ต่อไปได้อยู่ โดยรัฐบาลรักษาการจะพ้นไปก็ต่อเมื่อมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่

รัฐบาลชุดใหม่ที่ว่านี้ พรรคเพื่อไทยน่าจะหมายถึงรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเท่านั้น

หลังปรากฏข่าวดังกล่าวออกไม่มีคำชี้แจงจากแกนนำพรรคเพื่อไทย มีแต่เพียง จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทยในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ชี้แจงเพียงว่า พรรคเพื่อไทยไม่ใช่ “ตัวปัญหา”

แม้ในการประชุมของ 53 พรรคการเมืองเมื่อวันที่ 28 มี.ค. ที่ผ่านมาจะมีมติให้ กกต. เร่งจัดการเลือกตั้ง “รอบใหม่” ให้เกิดขึ้น แต่หากดูจากสถานการณ์การเมืองที่กำลังดำเนินอยู่ก็เป็นเรื่องยากที่จะเกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้นี้ เพราะหากจัดการเลือกตั้งไปท่ามกลางความไม่พร้อมและเกิดเหตุการณ์ที่นำมาซึ่งความวุ่นวาย วิธีการแก้ไขปัญหาทางการเมืองผ่านกระบวนการเลือกตั้งจะถูก “ปิดตาย” ลงทันที

น่าคิดว่าทำไม พ.ต.ท.ทักษิณ จึงเสนอแนวคิด “บอยคอต” การเลือกตั้ง หากพรรคประชาธิปัตย์ “บอยคอต” การเลือกตั้งเป็นครั้งที่ 2

ต้องไม่ลืมว่า วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ ยังไม่มีคำตอบให้กับสังคมว่าจะลงสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่ ซึ่งมีความหมายทั้งลงสมัครและไม่ลงสมัคร แต่ที่พรรคประชาธิปัตย์ ต้องใช้เวลาในการตัดสินใจเพราะรอ “เงื่อนไข” สำคัญทางการเมืองซึ่งก็คือ “คดีความ” ใน ป.ป.ช. เพราะจากข้อมูลหลักฐานพรรคประชาธิปัตย์เชื่อว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะถูกชี้มูลและโครงการรับจำนำข้าวจะกลายเป็น “จุดถดถอย”สำคัญของพรรคเพื่อไทย ที่สำคัญหากมีการระบุถึงพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งเป็น “ข้อรังเกียจ” ที่สังคมไทยส่วนใหญ่ไม่ยอมรับ เมื่อนั้นพรรคประชาธิปัตย์ก็สามารถ “ตัดสินใจ” ทางการเมืองได้

ข้อเสนอที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุออกมาน่าจะมาจาก “หลักคิด” ที่ว่าแม้ ป.ป.ช. จะชี้มูลหรือจะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในกรณีการโยกย้าย ถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการ สมช.ที่มี ส.ว. ไปยื่นเรื่องให้วินิจฉัย เพราะมองว่าเป็นการกระทำที่ “ต้องห้าม” ตามรัฐธรรมนูญก็ตาม ปัญหาเหล่านั้นก็ไม่น่าจะทำให้ “อำนาจ” ทางการเมืองเปลี่ยนมือจากรัฐบาลรักษาการได้

ข้อเสนอของ พ.ต.ท.ทักษิณ ช่างสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของ นปช. ซึ่งก็คือมวลชนของพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะท่าทีของ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช. ที่ออกมา “ตีระนาด” ถึงชื่อนายกรัฐมนตรีคนกลาง ซึ่ง กปปส. ที่นำโดย สุเทพ เทือกสุบรรณ หมายมั่นปั้นมือจะให้เกิดขึ้น

“เป้าหมาย” ของการออกในครั้งนี้น่าจะอยู่ที่การกระพือให้เกิดกระแส “ไม่เอา” นายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งถึงตอนนี้ก็น่าจะชัดเจนว่า หาก “อำนาจ” ทางการเมืองหลุดจากมือพรรคเพื่อไทยด้วยวิธีการที่ไม่ได้เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย มวลชนของ นปช. ก็พร้อมที่จะออกมา “ต่อต้าน” ซึ่งเมื่อสถานการณ์ถึงจุดนั้นก็มี “ทางเลือก” เพียงแค่ 2 ทาง ทางหนึ่งคือ ทุกฝ่ายเดินหน้าเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง กับอีกทางคือ ให้ทหารทำการรัฐประหาร ยึดอำนาจ

กรณีทหารทำการ “รัฐประหาร” ไม่น่าจะใช่ทางออกของสังคมไทย เพราะบทเรียนที่ผ่านมาสอนให้รู้ว่า ใช่แต่ปัญหาทางการเมืองเท่านั้นที่ต้องจัดการ ปัญหาทางเศรษฐกิจก็จะเป็นปัญหายิ่งกว่า

เมื่อสถานการณ์ “บีบ” ไปจนถึงจุดนั้น ก็เป็นเรื่องที่น่าคิดว่า กปปส. จะเดินหน้าทางการเมืองต่อไปอย่างไร การปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง ยังเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการหรือไม่หรือ สุดท้ายทุกฝ่ายต้องหันหน้ามาเจรจากันโดยทั้งหมดน่าจะจบลงที่การเลือกตั้งสถานเดียว

น.ส.ยิ่งลักษณ์ พูดไว้ก่อนหน้านี้ไม่นานนักว่า “พร้อม” ที่จะ “ตาย” คาสนามประชาธิปไตย ซึ่งนั่นก็หมายความว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ พร้อมที่จะสู้จนถึงที่สุดแม้จะยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าจะลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งต่อไปหรือไม่

ในมุมของทหารโดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. พูดมาตลอดว่า อยากให้ทุกฝ่ายเคารพกติกา เคารพกระบวนการยุติธรรม เพื่อทำให้บ้านเมืองสงบ

หากต้องการที่จะชนะทางการเมืองกับ พ.ต.ท.ทักษิณว่ากันว่ามีวิธีเดียวคือต้องทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และเครือข่ายของระบอบทักษิณ “พ่ายแพ้” ในการเลือกตั้งเท่านั้น เพื่อที่จะไม่สามารถ “อ้าง” ได้ว่ามาจากการสนับสนุนของประชาชนคนส่วนใหญ่

จึงน่าเชื่อว่าที่สุดแล้วไม่ช้าก็เร็ว การเลือกตั้งก็น่าจะเป็น “วิธีการ” คลี่คลายสถานการณ์ที่ดีที่สุด แต่ในสถานการณ์ที่ทุกฝ่ายกำลังใช้ “กลศึก” เพื่อชิงความได้เปรียบทางการเมืองซึ่งกันและกันและกำลังที่จะพัฒนาจนนำไปสู่ความรุนแรงนั้น การเลือกตั้งไม่น่าจะใช่ “คำตอบ” ในเวลานี้

สถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้จึงอยู่ในสภาวะที่เรียกว่า “วัดความอึด” กันทั้งสองฝ่าย.

ที่มา.เดลินิวส์
//////////////////////////////////////////////

นายกฯ คนกลาง !!?

ในช่วงที่กระแสความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรงและยังไม่สามารถที่จะคาดเดาเหตุการณ์ในอนาคตได้ ทั้งทางออกของความขัดแย้ง จุดสิ้นสุดของปัญหาทางการเมือง แม้กระทั่งวิถีทางตามระบอบประชาธิปไตย อย่างการเลือกตั้งที่ผ่านมา ก็ยังไม่สามารถหาข้อสรุปหรือยุติปัญหาลงได้ ประเด็นความขัดแย้งมีหลายประเด็นหลายคู่ซ่อนไว้ด้วยกัน แต่ปรากฏเด่นชัดเหลือเพียงประเด็นเดียว คือการต่อสู้ระหว่างปีกประชาธิปไตยและปีกที่ไม่เอาประชาธิปไตย

เมื่อความขัดแย้งที่ควรหาข้อสรุปบนวิถีทางประชาธิปไตยที่คนบางกลุ่มไม่เห็นด้วย กระนั้นเองก็ได้สร้างกระแสการหา ระบอบคนดี คนเก่ง คนมีความสามารถเข้ามาบริหารจัดการพัฒนาให้ประเทศชาติได้ย้อนกลับมาอีกครั้ง วิธีการนั้นคือการหานายกคนกลาง อาจะไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด เพราะที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์การเมืองไทยก็เคยมีนายก นายกคนกลางมาแล้ว และในครั้งนี้ ได้ถูกพูดถึงอย่างต่อเนื่องจากกลุ่มคนบางกลุ่มในสังคมว่าบุคคลใดเหมาะสมจะเข้ามาเป็นนายกคนกลางในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองรอบนี้

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2557 สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต เผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนจำนวน 1,118 คน ระหว่างวันที่ 26-28 มีนาคม 2557 เกี่ยวกับกระแสข่าวการจะเสนอให้มีนายกรัฐมนตรีคนกลาง พบว่าประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 47.47 ระบุว่า เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่อาจช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งในปัจจุบันได้

ขณะที่ รองลงมา ร้อยละ 22.90 ระบุว่า นายกรัฐมนตรีควรมาจากการเลือกตั้ง เคารพการตัดสินใจของประชาชน และอันดับ 3 ร้อยละ 12.12 คิดว่าเรื่องนายกฯ คนกลาง อาจเป็นเพียงข่าวลือหรือต้องการสร้างกระแสทางการเมืองเท่านั้น

ส่วนคำถามว่าจากสถานการณ์ปัจจุบัน ประชาชนคิดว่าจำเป็นหรือไม่ที่จะมีนายกฯ คนกลาง พบว่า ร้อยละ 36.23 ระบุว่า จำเป็น เพราะอาจช่วยให้สถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลาย ประเทศชาติเดินต่อไปได้ ร้อยละ 32.85 ระบุ ไม่แน่ใจ เพราะต้องดูก่อนใครจะเข้ามาเป็นนายกฯ คนกลาง และที่เหลืออีกร้อยละ 30.92 ระบุว่า ไม่จำเป็น เพราะถึงจะมีนายกฯ คนกลางบ้านเมืองก็ยังวุ่นวาย ต่างฝ่ายต่างแย่งผลประโยชน์ นายกรัฐมนตรีจึงควรมาจากการเลือกตั้ง

และสำหรับความเห็นว่าใครสมควรจะเป็นนายกฯ คนกลางบ้างนั้น ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 40.55 เลือก นายอานันท์ ปันยารชุน


ซึ่งผลสำรวจในครั้งนี้ได้สะท้อนให้เห็นอะไรบางอย่างของวิธีคิดภายใต้ความเชื่อระบอบคนดี คนเก่ง คนมีความสามารถ ว่ายังดำรงมีอยู่ในสังคมไทย กรอบคิดเหล่านี้คือการพร้อมและยอมสูญเสียหลักการอะไรบางอย่างที่สำคัญมากในการปกครองระบอบประชาธิปไตยไปด้วย การได้มาของนายกคนกลางที่คิดว่าเป็นคนดี เหมาะสมเข้ามาบริหารประเทศ ซึ่งไม่จำเป็นต้องผ่านการเลือกตั้งหรือเป็นไปในมติของคนส่วนใหญ่ของประเทศ

คนยังเชื่อมั่นว่านายกคนกลาง สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งมากกว่านายกรัฐมนตรีควรมาจากการเลือกตั้ง หากมองแบบนักเศรษฐศาสตร์ การเปิดโอกาสให้นายก มาจากคนนอกได้อาจทำให้ปัญหาตัวแทนหรือ Principle-Agent Problem มากยิ่งขึ้นอีก

ปัญหาตัวแทนเป็นปัญหาที่เกิดจากความไม่สมบูรณ์ของข้อมูลข่าวสาร ซึ่งอาจเปรียบเทียบกับตัวอย่างของเจ้าของบริษัท (principle) ที่จ้างผู้จัดการ (agent) เข้ามาบริหารบริษัท ด้วยเหตุที่เจ้าของบริษัทไม่สามารถทราบข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับการบริหารงานของผู้จัดการได้ ทำให้การบริหารจัดการบริษัทของผู้จัดการอาจจะไม่เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของเจ้าของบริษัท แต่อาจจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้จัดการเสียเอง

การที่นายกฯ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่กลับให้ ส.ส.ซึ่งเป็นตัวแทนทำหน้าที่เลือกนายกฯ จากใครก็ได้ อาจไม่สะท้อนความต้องการของประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศ เพราะก่อนเลือกตั้งประชาชนไม่ทราบข้อมูลเลยว่า ตัวแทนของเขาจะเลือกใครมาเป็นนายกฯ เท่ากับว่าตัวแทนสามารถใช้อำนาจอย่างอิสระ ไม่ได้ยึดโยงกับความต้องการของประชาชน

นอกจากนี้ นายกฯ ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งย่อมมีแรงจูงใจในการทำเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน น้อยกว่านายกฯที่มาจากการเลือกตั้ง เพราะนายกฯ ที่มาจากการเลือกตั้งต้องพยายามที่จะบริหารประเทศเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนให้มากที่สุด เพราะมีแรงจูงใจว่า จะต้องนำพรรคของตนกลับมาบริหารประเทศอีกในการเลือกตั้งครั้งต่อไป การเลือกตั้งจึงเป็นกลไกที่ทำให้นายกฯมีความรับผิดชอบต่อประชาชนได้มากกว่า

ซึ่งพื้นฐานที่สำคัญของระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอีกอย่างหนึ่งคือ(Accubility) การตรวจสอบ ไม่ว่าใครจะเป็นคนดีหรือไม่ดี ทุกคนต้องสามารถตรวจสอบได้ แต่จากบทเรียนและประสบการณ์ที่ผ่านมาของนายกพระราชทานภายใต้ความเชื่อคนดีคนเก่ง ไม่โกงนั้น พื้นฐานการเข้าถึงหรือการตรวจสอบนั้นเป็นไปได้ยากมาก

ซึ่งหากยกตัวอย่างนายกคนกลางที่ผ่านมาอย่าง นายอานันท์ ปันยารชุน ที่เคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2 สมัย( 2535) ซึ่งไม่เคยผ่านการเลือกตั้งตามกระบวนการประชาธิปไตยแต่อย่างใด แต่ก้าวขึ้นมาเพราะความบังเอิญของเหตุการณ์ทางการเมืองที่กำลังประสบปัญหาไร้ข้อยุติ ภายใต้ทุนทางสังคมที่สูงเป็นถึง ลูกของมหาอำมาตย์ตรีพระยาปรีชานุสาสน์ จบการศึกษาในวิชากฎหมายจากมหาลัยชื่อดังในเมืองผู้ดีอังกฤษ และประสบการณ์ทำงานด้านการทูตความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างมากมาย แถมยังเคยได้ รับฉายาว่า “ผู้ดีรัตนโกสินทร์” ซึ่งป็นบุคคลที่พูดเรื่อง ความโปร่งใส เป็นห่วงเป็นใยเรื่องการทุจริตคอรัปชั่นมาโดยตลอด

ในสมัยนายกฯอานันท์ฯ(2535) ได้มีการขายหุ้นของโรงกลั่นไทยออยล์ ให้กับเอกชนที่ชื่อเกษม จาติกวณิช เป็นเงิน 8,000ล้านบาท โดยในการจ่ายเงินเป็นลักษณะเช็คเปล่าใบเดียว ในขณะที่มีบุคคลอื่น เช่น นายวัฒนา อัศวเหม ซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ และเป็นพ่อค้าส่งน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ออกมาฉะแหลกรัฐบาลนายอานันท์ ปันยารชุน โดยให้เหตุผลว่าการขายโรงกลั่นน้ำมันครั้งนี้ไม่โปร่งใส และราคาขาย 8,000 กว่าล้านบาทนั้น เป็นราคาที่ถูกเกินไป ซึ่งนายวัฒนาเองก็พร้อมที่จะซื้อในราคา 15,000 ล้านบาท แต่รัฐบาลกลับไม่เปิดประมูล นั้นหมายถึงการขายสมบัติชาติในราคาถูก การกระทำครั้งนี้ของรัฐบาลอานันท์ ปันยารชุน จึงไม่โปร่งใส ขัดกับหลักการ และเหตุผลที่เอื้อประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างสิ้นเชิง


และก็ยังมีข้อพิพาทผลประโยชน์ทับซ้อนในสมัยที่รัฐบาลอานันท์ ปันยารชุน ได้ออกกฎหมายอนุญาตให้ภาคเอกชนมีสิทธิเข้ามาลงทุนในกิจการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยที่ตนดำรงตำแหน่งเป็นประธานบริษัทสหยูเนี่ยน

ที่มา.Siam Intelligence Unit
///////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2557

ค้านปฏิรูปตำรวจ สังกัด ผวจ. ...!!?

กลุ่มนักวิชาการด้านยุติธรรม แนะปฏิรูปคน-จิตสำนึกมากกว่ากฎหมาย "วสิษฐ"ค้านปฏิรูปตำรวจสังกัด ผู้ว่าราชการจังหวัด เหตุเปลืองงบประมาณ

คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้จัดงานวิชาการรำลึกศาสตรจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ ครั้งที่19 เรื่อง การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของไทย โดยมีวิทยากร ได้แก่ นายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.), พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ, นายกิตติพงศ์ กิตติยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม, นายภัทรศักดิ์ วรรณแสง เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม และ นายณรงค์ ใจกล้าหาญ คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

โดยพล.ต.อ.วสิษฐ กล่าวว่า การปฏิรูปตำรวจเคยมีความพยายามดำเนินการมาแล้วหลายครั้งแต่ไม่ประสบความสำเร็จ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะทัศนคติของผู้พิจารณาและกลั่นกรองร่างกฎหมายที่ไม่ตรงกันของผู้เสนอร่างกฎหมาย ทั้งนี้ในสมัยที่ตนร่วมทำงานกับคณะกรรมการพัฒนางานตำรวจ ได้ยกร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ตำรวจ โดยมีสาระสำคัญเพื่อปรับรูปแบบของการบริหารงานตำรวจ ให้มีการกระจายอำนาจไปสู่ระดับจังหวัด แทนการผูกขาดอยู่ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และผบ.ตร. เพียงอย่างเดียว และได้ยกร่าง พ.ร.บ.คณะกรรมกาารอิสระเพื่อตรวจสอบงานตำรวจ เพื่อให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย แต่พบว่าไม่ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาเนื่องจากผู้พิจารณาไม่มีความรู้ความเข้าใจ เมื่อมีการยุบสภา ร่างกฎหมายดังกล่าวก็ยุติการพิจารณา ตนมองด้วยว่าในระบบงานตำรวจมีสิ่งทีต้องเร่งปรับปรุง คือ การพัฒนาบุคลากรของตำรวจในสายงานสอบสวน ที่จำเป็นต้องใช้องค์ความรู้ด้านกฎหมายอย่างแท้จริง เพื่อไม่ให้มีความผิดพลาดในการลงโทษ โดยตนเคยเสนอให้นำโรงเรียนนายร้อยออกนอกระบบและยกให้เป็นสถาบันวิชาการโดยเฉพาะแต่ไม่ได้รับการพิจารณา และสิ่งที่ต้องพิจารณาแก้ไจ คือการรับงานที่ไม่ใช่หน้าที่ของตำรวจมาดำเนินการ เช่น การตรวจคนเข้าเมือง, การแพทย์

"สำหรับแนวคิดการปฏิรูปตำรวจที่พูดกันว่าจะให้ตำรวจไปสังกัดกับผู้ว่าราชการจังหวัด หรือ เป็นตำรวจท้องถิ่น นั้นผมมองว่าเป็นการปฏิรูปที่ปลายทาง และมองว่ามีความจำเป็นที่ต้องมีตำรวจแห่งชาติ เพราะหากให้ตำรวจไปขึ้นอยู่กับส่วนจังหวัด อาจจะเกิดความสิ้นเปลืองในงบประมาณของชาติได้ อาทิ ปัจจุบันมีห้องแล็บในส่วนกลาง หากให้ตำรวจสังกัดจังหวัดออาจต้องมีสร้างห้องแล็บตามจังหวัด, เครื่องแบบของเจ้าหน้าที่ อย่างไรก็ตามในหลายประเทศที่มีตำรวจท้องถิ่นก็มีแนวคิดไม่ต้องการ เช่น ประเทศออสเตรเลีย" พล.ต.อ.วสิษฐ กล่าว

ด้านนายคณิต กล่าวว่าหลักการปกครองที่ดีต้องใช้หลักนิติศาสตร์มาดำเนินการแทนการยึดเฉพาะหลักรัฐศาสตร์ เพราะหลักนิติศาสตร์ถือเป็นกระบวนการที่ให้และสร้างความเป็นธรรมกับสังคม แต่หากกระบวนการยุติธรรมไม่ดีก็ต้องเลิก หากคนไม่ดีอยู่ในกระบวนการต้องจัดการคน ทั้งนี้ตนมองว่าในกระบวนการยุติธรรมของประเทศหากพิจารณาและตัดสินเรื่องใด แล้วมีคนไม่รับในคำตัดสิน เชื่อว่าสังคมจะไม่สงบสุขแน่นอน อย่างไรก็ตามกระบวนการยุติธรรมของไทยมีหลายประเภท อาทิ ทางปกครอง, ทางแรงงาน, รัฐธรรมนูญ ซึ่งตามหลักแล้วกระบวนการยุติธรรมต้องดำเนินการให้รวดเร็วและเป็นธรรม ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นในกระบวนการทั้งจากการรู้หรือไม่รู้นั้น โดยตนมองว่าส่วนหนึ่งมาจากการเรียนการสอนของสถาบันคือสอนให้จำ แทนการสอนแบบให้คิดแบบเป็นลำดับ เช่น การออกหมายจับ ตามลำดับต้องพิจารณาว่าการกระทำนั้นผิดกฎหมายหรือไม่ ไม่ใช่อาศัยความรู้สึก และต้องมีพยานหลักฐาน จากนั้นพิจารณาว่าจำเป็นต้องออกหมายจับหรือไม่ โดยส่วนตัวมองว่าในประเด็นการออกหมายจับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษนั้นไม่เป็นไปตามหลัก

"การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ต่อประเด็นการแก้ไขกฎหมายนั้น ผมว่าแท้จริงแล้วข้อกฎหมายมีปัญหาน้อยมาก หากเราพิจารณาและสร้างความเข้าใจในข้อกฎหมายให้ดี" นายคณิต กล่าว

ขณะที่นายกิตติพงษ์ กล่าวว่าหัวใจของการการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม คือ คน และจิตสำนึก เพราะหากมีกฎหมายดีอย่างไร แต่คนขาดจิตสำนึก ไม่เข้าใจในระบบยุติธรรม ทำให้เกิดคนทีืตีความหมายของกฎหมายแบบศรีธนญชัย และทำให้การปฏิรูปเป็นไปได้อยาก เช่น กระบวนการคุ้มครองสิทธิ์ของบุคคล อาจจะถูกละเมิดและไม่ปฏิบัติตามกฎหมายได้ โดยเฉพาะการอุ้มหาย นอกจากนั้นตนมองว่าการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมต้องพิจารณในหลายส่วนร่วมร่วมกัน เช่น การปฏิรูปหลักนิติธรรม ที่เกี่ยวเนื่องกับการคุ้มครองสิทธิ์, การจัดสรรทรัพยากร และการบังคับใช้กฎหมาต้องยึดหลักเสมอภาค ตรวจสอบได้ และต้องให้ความเป็นธรรม นอกจากนั้นต้องคำนึงถึงหลักประชาธิปไตยและหลักธรรมาภิบาล

"การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมอ อย่ามองแค่มุมกฎหมาย แต่ต้องมีความเชื่อมโยงกับส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพราะหลีกกฎหมายและหลักนิติธรรม ถือเป็นหลักของพื้นฐานสังคมสงบสุข และหลักประชาธิปไตย หากกฎหมายไม่ดี ก็จะทำให้สังคมไม่สงบสุขและประชาธิปไตยก็จะไม่เกิด ส่วนการปฏิรูปที่ภาคสังคมให้ความสนใจ คือ การปรับอำนาจของฝ่ายการเมือง หากเพิ่มการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมให้เป็นส่วนหนึ่งเชื่อว่าจะทำให้การปฏิรูปประเทศมีความสมบูรณ์" นายกิตติพงษ์ กล่าว

ส่วนนายภัทรศักดิ์ กล่าวยอมรับว่ากระบวนการยุติธรรมทั้งระบบมีปัญหา ทั้งเรื่องความโปร่งใส, การถูกแทรกแซงจากอำนาจนอกระบบ, การเลือกปฏิบัติ, การขาดการตรวจสอบ, การคุกคามศาลจากบุคคลภายนอก นอกจากนั้นยังพบด้วยว่ากระบวนการยุติธรรมมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก และมีบทบัญญัติแทรกแซงการใช้ดุลยพินิจศาล เช่น การขายซีดีเถื่อน ที่กำหนดโทษให้ปรับเป็นเงินหลักแสน และมีโทษจำคุก ดังนั้นควรมีการพิจารณาแก้ไขกฎหมายให้เหมาะสม และที่สำคัญกฎหมายบางฉบับมีความล้าสมัยควรพิจารณายกเลิก

กระบวนการยุติธรรม ต้องมองการทำงานตั้งแต่ต้นทาง คือ คน ในฐานะที่มาเป็นพยาน ที่ต้องตระหนักในการมีส่วนร่วม อย่ามองเฉพาะในส่วนการพิจารณาของศาลที่เป็นปลายทาง กระบวนการยุติธรรมเหมือนระบบสายพาน หากในจุดใดจุดหนึ่งของสายพานมีความไม่ดี เชื่อว่าปลายทางของสายพานย่อมเกิดผลไม่ดีด้วย

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
----------------------------------------

วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2557

เศรษฐศาสตร์การเมือง: พรรคเพื่อไทยต้องปฏิเสธตุลาการรัฐประหาร

เศรษฐศาสตร์การเมือง: พรรคเพื่อไทยต้องปฏิเสธตุลาการรัฐประหาร: ตีพิมพ์ครั้งแรกใน “โลกวันนี้วันสุข” ฉบับวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2557 คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2557 ที่ให้การเลือกตั้ง...

ป้องกันและปราบปราม การทุจริตคอร์รัปชั่น !!?

โดย สร อักษรสกุล

ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี เคยกล่าวไว้ในทำนองว่า "ประเทศไทย หากปราศจากการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง ถนนทุกสายสามารถปูได้ด้วยทองคำ"

นั่น แสดงให้เห็นว่า เงินทองที่ถูกทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง จากทั้งข้าราชการชั่ว นักการเมืองเลว และผู้ที่มีส่วนในการใช้เงินที่เก็บมาจากภาษีของประชาชน มีจำนวนมหาศาล

ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เสียชีวิตไปนานกว่า 15 ปีแล้ว แต่ปัญหาการทุจริต ฉ้อราษฎร์ บังหลวง หรือที่หลายคนมักเรียกทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า "คอร์รัปชั่น" (Corruption) ในประเทศไทย ยังไม่มีทีท่าจะลดลงแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำกลับเพิ่มมากขึ้นไปอีก เห็นได้จากการจัดลำดับประเทศที่มีการคอร์รัปชั่นน้อยและมากขึ้นตามลำดับ ขององค์กรเพื่อความโปร่งใส หรือ Transparency International-IT ที่จัดลำดับความโปร่งใสของประเทศไทย ปรากฏว่าลำดับยัง คงที่ หรือ เพิ่มขึ้น

นั่นหมายความว่าปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นในประเทศไทยไม่ได้ลดลง

ปี 2554 องค์กร IT จัดให้ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 80 ของประเทศที่มีความโปร่งใสน้อย จากจำนวน 183 ประเทศทั่วโลก ประเทศไทยได้คะแนนเพียง 3.4จากคะแนนเต็ม 10 ขณะที่ประเทศสิงคโปร์เพื่อนบ้านของไทยได้ 9.2 จากคะแนนเต็ม 10

กว่า 10 ปีก่อน เรามักได้ยินเรื่อง การชักเปอร์เซ็นต์ ของนักการเมืองที่เข้ามาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่าง ๆ จากโครงการที่บริษัทเอกชนชนะการประมูลจากกระทรวงนั้น ๆ จำนวน 15% ของงบประมาณโครงการ แต่ต่อมาเปอร์เซ็นต์ที่นักการเมืองเจ้ากระทรวงให้ลูกน้องคนสนิทไปแจ้งกับบริษัทที่ชนะการประมูลโครงการเพื่อหักเปอร์เซ็นต์ เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนปัจจุบันนี้การชักเปอร์เซ็นต์สูงถึง 30% ซึ่งแน่นอนว่าพฤติกรรมดังกล่าวนี้ทำให้นักการเมืองดี ๆ (ที่มีอยู่ไม่มากนักในบ้านเรา) พลอยเสียชื่อเสียงไปด้วย

ข้าราชการหลายระดับ ตั้งแต่ระดับสูงสุด เช่น ปลัดกระทรวง จนถึงระดับล่างบางคน ยังคงหาช่องทางที่จะหารายได้พิเศษ โดยการเรียกร้องเงินทองจากประชาชนที่มาใช้บริการและต้องการความสะดวก ความรวดเร็ว ประชาชนบางคนจึงยอมจ่าย เงินพิเศษ หรือ เงินใต้โต๊ะ ให้กับเจ้าหน้าที่เหล่านั้น ซึ่งแรก ๆ มักเรียกว่า "กินตามน้ำ" เพราะผู้ที่มาใช้บริการเสนอให้เอง เนื่องจากต้องการความสะดวก

ความรวดเร็วมากขึ้น ต่อ ๆ มากลายเป็น"กินทวนน้ำ" คือเจ้าหน้าที่จะเรียกจากผู้ที่มาใช้บริการเอง จนกลายเป็นนิสัย

ประเทศ สิงคโปร์ หนึ่งในสมาชิกกลุ่ม ASEAN ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีการทุจริตคอร์รัปชั่นน้อยที่สุดในเอเชียนั้น รัฐบาลของเขาตั้งเงินเดือนให้ข้าราชการค่อนข้างสูง รวมทั้งมีสวัสดิการที่ดี นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์มีเงินเดือนสูงมาก สูงกว่าเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ และสูงกว่าประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ซึ่งเรื่องนี้มีคนถามว่าหากให้เงินเดือนข้าราชการไทยสูง ๆ อย่างสิงคโปร์ ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นในเมืองไทยจะลดลงหรือไม่ ตอบได้เลย ว่าการคอร์รัปชั่นในเมืองไทยจะยังคงมีเหมือนเดิม เพราะบริบทและค่านิยมของสังคมสิงคโปร์กับสังคมไทยไม่เหมือนกัน

การแก้ปัญหาการฉ้อราษฎร์ บังหลวง หรือการทุจริตคอร์รัปชั่นในประเทศไทย คนที่คิดจะแก้ปัญหาจะต้องรู้จักพฤติกรรมของคนไทยด้วยกันให้ดีพอ เนื่องจากคน ไทยส่วนมากยังยกย่องเชิดชูคนที่มีฐานะ โดยเพียงดูจากภายนอกเช่น มีบ้านใหญ่โต มีรถยนต์หรูราคาแพง เท่านั้น แต่ไม่สนใจที่มาของรายได้ของคนเหล่านั้น ว่าได้มาโดยสุจริต ถูกต้อง หรือคดโกงมา นอกจากนั้นคนไทยอีกจำนวนไม่น้อยที่ปากว่าเขา แต่พอตนเองมีโอกาสก็กระทำ (คอร์รัปชั่น) เช่นกัน

เข้าทำนอง "ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง"

หาก คนไทยส่วนมากยังคงยกย่อง เชิดชู คนที่มีฐานะทางสังคม โดยไม่สนใจที่มาของรายได้ ที่อาจได้มาโดยมิชอบ รวมทั้งคนไทยจำนวนไม่น้อยยังเป็นพวก "วัตถุนิยม" (Materialism) จึงยากที่จะแก้ปัญหาการฉ้อราษฎร์ บังหลวง หรือการทุจริตคอร์รัปชั่นในบ้านเมืองลงได้ ซึ่งผิดกับบางประเทศ เช่น ประเทศแถบสแกนดิเนเวีย ที่มีปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นน้อยมาก เนื่องจากประชาชนในประเทศเหล่านี้ส่วนมากมีค่านิยมไม่ยกย่องคนที่มีฐานะร่ำรวย รวมทั้งคน

ที่มีฐานะดีในประเทศของเขาก็ไม่แสดงตัวโอ้อวด และหากทราบว่าใครที่มีประวัติการคอร์รัปชั่น สังคมของเขาจะไม่ยอมรับและไม่คบค้าสมาคมด้วย (Social Sanction) ซึ่งการลงโทษทางสังคมเช่นนี้ถือเป็นการลงโทษที่รุนแรง ทำให้คนคนนั้นแทบจะอยู่ในสังคมของเขาอย่างยากลำบาก เพราะคนรอบข้างไม่มีใครอยากคบค้าสมาคมด้วย

ประเทศบางประเทศที่ไม่ไกล จากไทยนักอย่างเกาหลีใต้ อดีตประธานาธิบดี โรห์ แต วูได้กระโดดหน้าผาฆ่าตัวตายเมื่อหลายปีก่อน เมื่อทราบว่าภรรยาของตนมีส่วนในการรับสินบนและทุจริตคอร์รัปชั่น ขณะที่ตนยังเป็นประธานาธิบดีอยู่ ซึ่งในประเทศไทยของเรารับรองไม่มีเรื่องอย่างนี้แน่นอน

เพราะสังคมไทยไม่ค่อยประณามคนที่ทุจริตคอร์รัปชั่น ไม่ว่าทั้งทางตรงหรือทางอ้อม ตรงกันข้าม โดยเฉพาะคนที่รู้จักกันกับผู้ที่กระทำการทุจริตคอร์รัปชั่น มักให้อภัยและให้ความช่วยเหลือคนที่ถูกกล่าวหาว่าคอร์รัปชั่นด้วย

ตัวอย่าง ที่ไม่ดีเหล่านี้ เด็ก เยาวชน และนักศึกษาในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ต่างรับรู้ รับทราบจนกลับกลายมาเป็นค่านิยมที่ไม่ถูกต้อง บางคนมีทัศนคติว่า คนที่ทุจริตคอร์รัปชั่นเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้นไม่เป็นไร ขอให้มีผลงาน ถือเป็นทัศนคติที่อันตรายอย่างยิ่งต่อการแก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น

ในบ้านเมืองเรา ซึ่งในปัจจุบันนี้ประเทศไทยถือว่ามีการทุจริตคอร์รัปชั่นมาก และแทบจะทุกระดับ ดังที่เป็นข่าวตามสื่ออยู่เนือง ๆ

การ ทุจริตคอร์รัปชั่นระบาดไปทุกวงการ ไม่ว่าจะระดับกระทรวง กรม กอง จังหวัด และในองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งมีทั้ง "กินตามน้ำ" และ "กินทวนน้ำ" ที่เลวร้ายคือคนไทยจำนวนไม่น้อยกลับยอมรับและยกย่องคนที่ทุจริตคอร์รัปชั่น เพียงเพราะเห็นว่าคนคนนั้นมีเงินทองและทรัพย์สินมาก

แล้วเราจะทำอย่างไร เพื่อให้การป้องกันและปราบปรามการทุจริตในบ้านเราได้ผลอย่างจริงจัง ซึ่งผู้เขียนขอเสนอไว้ 2 แนวทาง ดังนี้

การแก้ปัญหาระยะสั้น ด้วยการลงโทษอย่างจริงจังต่อผู้ที่ทุจริตคอร์รัปชั่น และ ควรให้รวดเร็วกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ (จะด้วยการแก้กฎหมายให้ไม่มีการหมดอายุความของคดีการทุจริตคอร์รัปชั่น หรือด้วยวิธีการอื่น) นอกจากนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการประมูลงานจากภาครัฐ ควรมีการพบปะกับรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง เพื่อตกลงที่จะไม่มีการหักเปอร์เซ็นต์

เพื่อ ให้ราคาโครงการถูกลงมาจากราคากลางได้อีก โดยมีสื่อมวลชนเป็นสื่อกลาง ดังที่รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมคนปัจจุบัน (นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์) ได้กระทำกับผู้แทนขององค์การต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น และสภาหอการค้าฯเมื่อไม่นานมานี้ เพราะกระทรวงคมนาคมเป็นกระทรวงที่มีงบประมาณโครงการปรับปรุงโครงสร้างพื้น ฐาน (Infrastructure) ค่อนข้างสูง

การแก้ปัญหาระยะยาว การปลูกฝังเด็กและเยาวชนให้มีความคิด ค่านิยม และมีทัศนคติว่า การทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นสิ่ง

ที่เลวร้าย เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของประเทศชาติ รวมทั้งการไม่ยอมรับคนรวย คนที่มีฐานะดี แต่มีพฤติกรรมที่ไม่โปร่งใส ตัวอย่าง เช่น นักการเมืองในบ้านเราบางคนที่ก่อนเข้ามาเล่นการเมือง ก่อนเป็นรัฐมนตรี มีฐานะธรรมดามาก แต่หลังจากนั้นไม่นานกลับมีฐานะมั่งคั่ง ร่ำรวย อย่างนี้สันนิษฐานได้ว่า คนคนนั้นมีรายได้ที่ไม่สุจริตระหว่างที่เข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งการไม่ยอมรับทางสังคม (Social Sanction) ในบ้านเรา ในอนาคตอาจได้ผลเช่นเดียวกับประเทศในยุโรป และอาจทำให้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นในเมืองไทยลดลงได้

ข้อสำคัญ คนไทย ข้าราชการไทย รัฐบาลไทย เหนืออื่นใด สังคมไทย จะต้องรณรงค์และเอาจริงกับการขจัดการทุจริตคอร์รัปชั่นทุกรูปแบบ ให้หมดสิ้นไปจากเมืองไทย

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
--------------------------------------------

มติ 53 พรรคการเมือง ให้จัดการเลือกตั้งใหม่ !!?

ที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ อำเภอสามพราน ได้มีการแถลงมติการประชุม 53 พรรคการเมือง เพื่อแก้ปัญหาการจัดการเลือกตั้ง นายโภคิน พลกุล กรรมการยุทธศาสตร์ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า จากการที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยที่ 5/2557 ทุกพรรคการเมืองก็ได้มีความห่วงใยต่อสถานการณ์บ้านเมือง และอยากให้ระบอบประชาธิปไตยเดินหน้าไปได้ และเกิดสันติสุขโดยใช้กระบวนการเลือกตั้งในการแก้ปัญหา

โดยตัวแทนพรรคทั้งหมดที่ได้มาร่วมประชุมเห็นว่า ควรมีการจัดการเลือกตั้งใหม่โดยเร่งด่วน เป็นหน้าที่ของทั้งรัฐบาล กกต. และพรรคการเมืองทุกพรรคที่จะร่วมปรึกษาหารือกัน ที่ประชุมในวันนี้เห็นว่า ควรจะได้มีการออก พ.ร.ฎ.เพิ่มเติม จาก พ.ร.ฎ.เลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ให้มีการจัดการเลือกตั้งภายใน 45-60 วัน นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัย หรือมีการประกาศคำวินิจฉัยนั้นในพระราชกิจจานุเบกษา

สำหรับปัญหาของการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นแล้วนั้นที่เห็นชัด คือ ค่าใช้จ่ายของผู้สมัครก็ดีของพรรคก็ดี หรือค่าใช้จ่ายในส่วนของการจัดการเลือกตั้ง ก็จะต้องมาปรึกษาหารือกันว่าจะรับผิดชอบกันอย่างไร รวมทั้งการแสดงค่าใช้จ่ายของพรรคและผู้สมัคร หากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญแล้วการแสดงค่าใช้จ่ายนั้นจะแสดงอย่างไร จากนั้น คือเรื่องการดำเนินคดีกับผู้ที่ขัดขวางการเลือกตั้ง เพราะจากคำร้องของผู้ตรวจการฯหรือศาลรัฐธรรมนูญที่การเลือกตั้งเกิดปัญหานั้น เพราะมีผู้ที่ไปขัดขวางการเลือกตั้ง ดังนั้นตรงนี้ กกต.จะดำเนินการต่อไปอย่างไรให้เป็นรูปธรรมไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหาในการเลือกตั้งครั้งต่อไปอีก

นอกจากนี้ ปัญหาที่เราห่วงมาก คือ เมื่อดูจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก็เห็นว่าการยุบสภายังคงดำรงอยู่รัฐบาลย่อมมีอำนาจจำกัดตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ แต่ในส่วนของพรรคการเมืองและผู้สมัครรับเลือกตั้งรวมถึงสมาชิกพรรคทั้งหลาย เนื่องจากไม่มี พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง มากำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปใหม่ ทุกท่านยังสามรถดำเนินกิจกรรมตามปกติ คือ ถือว่าไม่อยู่ในช่วงของการเลือกตั้งใช่หรือไม่ ถ้าใช่ก็จะได้ดำเนินการต่าง ๆ ให้ถูกต้องต่อไป

นายโภคินกล่าวต่อว่า สิ่งที่จะต้องแก้ไขในวันต่อไปในวันข้างหน้า เมื่อจะมีการจัดการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ คือ ทาง กกต.จะรับสมัคร หรือทำให้มีการลงคะแนนในทุกหน่วยเลือกตั้งให้ลุล่วง เรียบร้อย ได้อย่างไร ต่อมาคือ การประกาศผลการเลือกตั้งนั้น กกต.ต้องมีความชัดเจนมากครั้งที่ผ่านมา และจะป้องกันการขัดขวางการเลือกตั้งได้อย่างไร เพราะที่ผ่านมามีปัญหาจนนำไปสู่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และหากทำไม่ได้ เราจะมีการหารือกันว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป คงไม่ใช่ให้เกิดประเด็นที่ว่าการเลือกตั้งไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญตลอดไป

ถามว่า ส่วนใหญ่เป็นคำถามที่จะต้องถามความชัดเจนจาก กกต.ใช่หรือไม่ นายโภคินกล่าวว่า ใช่ ส่วนใหญ่จะเป็นเช่นนั้น เพราะเราอาจจะเข้าใจว่าเป็นแบบนี้ แต่เมื่อปัญหาเกิดขึ้นอาจจะเกิดความเข้าใจที่แตกต่างกัน

ถามว่า ได้มีการพูดคุยกันถึงวันเลือกตั้งครั้งต่อไปหรือไม่ว่าช่วงเวลาใดเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม นายโภคินกล่าวว่า เราบอกตอนต้นของการประชุมว่า นับตั้งแต่วันที่ศาลมีคำวินิจฉัยในพระราชกิจจาฯแล้ว ก็ให้จัดการเลือกตั้งภายใน 45-60 วัน ส่วนวันที่เหมาะสมทุกฝ่ายคงจะต้องไปหารือกันอีกครั้ง

ที่มา : มติชนออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////

เชือด จำนำข้าว !!?

ตอนนั้นนายจำลองโต๊ะทองเป็นผู้จัดการแบงก์ธ.ก.ส. นักข่าวรุมถามกันหนักว่าดีหรือเวิร์กแน่หรือเพราะเป็นสิ่งใหม่ก็ได้รับคำยืนยันว่าโดยหลักการแล้วดีมากๆ แต่ผลที่ออกมาในปีแรกไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าไหร่นักเพราะเจอปัญหาเรื่องที่ชาวนาต้องขนข้าวจากที่อื่นมาที่อยุธยา

ในปีการผลิต 2529 / 2530 รัฐบาลจึงปรับเปลี่ยนวิธีการให้ธ.ก.ส. รับจำนำข้าวเปลือกที่ชาวนาเก็บไว้ในยุ้งฉางได้จึงได้รับการตอบรับอย่างดีทำให้รัฐบาลต่อๆ มาเดินแนวนี้ตลอดกระทั่งปีการผลิต 2542 / 2543 รัฐบาลมีมติให้อคส. เช่าคลังสินค้าเอกชนเพื่อรับจำนำข้าวจากชาวนาทำให้โครงการรับจำนำข้าวเป็นที่ชื่นชอบของชาวนาและแบงก์ธ.ก.ส. เองไล่มาตั้งแต่ยุคนายจำลองต่อมาเป็นนายสุวรรณไ ตรผล แล้วเป็นนายทวีศักดิ์ ทังสุพานิช นายมนัส ใจมั่น และ นายพิทยา พลนาถธราดล ผู้จัดการคนต่อๆ มา ก็ล้วนทำเรื่องรับจำนำข้าวมาตลอดทำให้แบงก์ธ.ก.ส. มีรายได้จากโครงการนี้มาตลอดด้วยเช่นกัน

กระทั่งปีการผลิต 2544 / 2545  รัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรกำหนดราคารับจำนำสูงกว่าราคาตลาดกับเพิ่มปริมาณรับจำนำและให้โรงสีเอกชนเข้ามาเป็นกลไกสำคัญในกระบวนการรับจำนำนอกเหนือจากธ.ก.ส. และยังกำหนดให้มีการรับจำนำใบประทวนฯโดยให้ชาวนานำข้าวเปลือกไปจำนำกับโรงสีโดยมีอตก. และอคส. เป็นผู้ออกใบประทวนแล้วสามารถนำใบประทวนมาขึ้นเงินกับธ.ก.ส. ได้ตามราคารับจำนำที่ประกาศไว้

ในปีการผลิต 2546 / 2547 และ  2547 / 2548  รัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ได้กำหนดปริมาณการรับจำนำข้าวสูงถึง 9 ล้านตันหรือประมาณ 1 ใน 3 ของผลผลิตข้าวทั้งประเทศโดยกำหนดราคารับจำนำสูงกว่าราคาตลาดข้าวเปลือกหอมมะลิ  ตันละ 10,000 บาท ข้าวเปลือกหอมจังหวัดตันละ  8,000 บาทส่งผลให้มีชาวนาเข้าร่วมโครงการเพิ่มขึ้น

ปีการผลิต 2546 / 2547 มีเข้าร่วมโครงการสูงถึง 2.7 ล้านตัน ปีการผลิต 2547 / 2548 เพิ่มขึ้นเป็น  9.4 ล้านตัน และปีการผลิต 2548 / 2549 เพิ่มขึ้นเป็น  9.5 ล้านตันเมื่อครบกำหนดไถ่ถอนปรากฎว่ามีข้าวหลุดจำนำตกเป็นของรัฐในปีการผลิต 2548 /2549ประมาณ 3 ล้านตันเศษ

จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้การเลือกตั้งสมัยที่ 2 พรรคไทยรักไทยกวาดเก้าอี้ส.ส.ได้มากถึง 377 เก้าอี้
หลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 รัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้ปรับลดราคารับจำนำ

ลงมาให้ใกล้เคียงราคาตลาดอีกทั้งยังลดปริมาณรับจำนำลงเหลือ 8 ล้านตันต่อมาปี 2551 ยุครัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ราคาข้าวในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นเป็นตันละ 15,000  บาท ชาวนาจึงเรียกร้องให้รัฐบาลปรับราคารับจำนำข้าวให้สูงขึ้นใกล้เคียงกับราคาตลาดรัฐบาลมีมติให้รับจำนำข้าวเปลือกความชื้นไม่เกิน 15% จากเดิมตันละ 7,100 บาทเป็นตันละ 14,000 บาท

โครงการจำนำข้าวมาถูกยกเลิกไปในยุครัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ประกาศใช้นโยบายประกันรายได้แทนการรับจำนำ

เมื่อพรรคเพื่อไทยได้กลับเข้ามาบริหารประเทศอีกครั้งภายใต้รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นโยบายรับจำนำข้าวซึ่งเป็น 1 ในนโยบายหาเสียงจึงถูกผลักดันอีกครั้งและกลายเป็นนโยบายที่นำไปสู่เรื่องราวทางการเมืองมากมายจนถึงขั้นถูกป.ป.ช.  จ้องชี้ป็นชี้ตายนายกฯ ยิ่งลักษณ์อยู่ในขณะนี้

แต่หากถามว่านโยบายรับจำนำข้าวดีหรือไม่บอกได้เลยว่าโดยหลักการถือว่าดีได้ประโยชน์กับชาวนาจึงทำให้ชาวนาชื่นชอบถ้าไม่ดีจริงคงไม่อยู่ยาวมาตั้งแต่ปี 2528 ซึ่งมาถึงวันนี้ก็ปาเข้าไป 29 ปีแล้ว

เพียงแต่ว่ายุคที่จำนำข้าวบูมสมัยพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกฯนั้นเพราะพ.ต.ท.ทักษิณ มีการผ่าตัดระบบราชการมีอำนาจต่อรองทางการเมืองสูงแถมรัฐมนตรีในยุคนั้นก็เฟ้นหามือดีๆ เข้ามามีนายสมคิด จาตุศรีพิพักษ์ เป็นรองนายกฯ เป็นรัฐมนตรีพาณิชย์ สมัยรัฐบาลนายสมัคร ก็มีการเอานายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ซึ่งเป็นมือขายระดับเซียนของโตโยต้ามาเป็นรัฐมนตรีพาณิชย์ ทำให้เมื่อรับจำนำข้าวมาแล้วสามารถที่จะขายออกไปได้ในขณะที่ไม่ได้มีเรื่องฉาวเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชั่น

แต่ในยุครัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ต้องยอมรับความจริงว่า นายกฯยิ่งลักษณ์ ยังมีบารมีไม่เท่ากับอดีตนายกฯ ทักษิณ ในขณะที่มือทำงานด้านเศรษฐกิจก็ได้แค่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง มาเป็นรองนายกฯ ควบเก้าอี้รัฐมนตรีพาณิชย์ผลงานก็อย่างที่เห็นๆ ค้าขายไม่เป็นจนต้องลุกออกไปควบรัฐมนตรีคลังแทนส่วนเก้าอี้รัฐมนตรีพาณิชย์ก็กลายเป็นนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ ซึ่งถูกมองว่า มาจากสายของนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ก็กลายเป็นเป้ามาตั้งแต่ตอนนั้นและกลายเป็นคนที่ถูกป.ป.ช. ลงมติเชือดพร้อมกับคนรอบๆ กาย

นี่คือ ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดของมือบริหารโครงการรับจำนำข้าวที่วันนี้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ต้องทบทวนบทเรียน และต้องยอมรับความจริงว่าความตั้งใจดีตั้งใจทุ่มเททำงานอย่างหนักของนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียวนั้น ไม่พอแต่จะต้องมีทีมที่ทำงานได้ดี
และปราศจากเรื่องทุจริตด้วย

หากคนทำมือไม่ถึงหรือหากมีลูกเกรงใจและที่สำคัญหากมีคนจ้องเข้ามากอบโกยผลประโยชน์แม้เป็นโครงการที่ดีเป็นโครงการที่มีประโยชน์กับชาวนาก็สั่นสะเทือนได้และมีสภาพอย่างที่โดนกระหน่ำในขณะนี้จากทั้งป.ป.ช. และจากการเมืองขั้วตรงข้าม

วันนี้โครงการรับจำนำข้าวจึงโดนยำเละพรรคประชาธิปัตย์ดาหน้าขุดคุ้ยเรื่องนี้อย่างเอาเป็นเอาตายจะเพื่อแลกหมัดกับที่ถูกตรวจสอบเรื่องทุจริตไทยเข้มแข็งสารพัดโครงการแลกหมัดกับที่ถูกสอบทุจริตการระบายข้าวจากโครงการประกันราคาข้าวหรืออะไรก็สุดแล้วแต่ที่แน่ๆคือสามารถทำได้ผลเพราะโครงการรับจำนำข้าวมีปัญหาเรื่องทุจริตจนป.ป.ช.กระโดดเข้าใส่จริงๆ

ข้อมูลที่ป.ป.ช. มีนั้นถ้าฟังจากปากคำของนายวิชา มหาคุณ กรรมการป.ป.ช. ก็ชัดเจนว่ามาจากการขุดคุ้ยของประชาธิปัตย์แล้วป.ป.ช.มารับลูกต่อจนเพลินชนิดที่ลืมคดีทุจริตระบายข้าวของประชาธิปัตย์ไปเลยคดีค้างอยู่ 2-3 ปีไม่มีความคืบหน้า

ดังนั้นปัญหาเรื่องโครงการรับจำนำข้าวในวันนี้จึงอยู่ที่ว่าจะแก้ข้อครหาเรื่องทุจริตได้อย่างไรเพราะจากการสืบค้นบรรดาตัวละครต่างๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องล้วนเป็นประเด็นให้ประชาธิปัตย์กัดติดและป.ป.ช. จ้องฟันได้จริงๆ

นายบุญทรงนั้นโดนเชือดแน่นอนแล้วเพราะมีการใช้ข้อมูลเกี่ยวกับพ.ต.นพ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ ซึ่งเป็นเลขานุการรัฐมนตรีพาณิชย์ทั้งในยุคของนายบุญทรงและในยุคของนายกิตติรัตน์เอามาเป็นตัวจิ๊กซอว์ที่ทำให้ถูกเล่นเต็มๆโดยพยายามโยงพ.ต.นพ.วีระวุฒิ เชื่อมต่อกับ “เสี่ยเปี๋ยง” หรือนายอภิชาติ จันทร์สกุลพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เพรสซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด ที่เกี่ยวพันกับโครงการรับจำนำข้าวมาตลอดกระทั่งมีคดีล้มละลายไปแล้วแต่ก็ยังเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทใหม่คือ บริษัทสยามอินดิก้า ที่เข้ามาผงาดในโครงการรับจำนำข้าวยุครัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์

โดยสยามอินดิก้าถูกมองว่า แปลงร่างมาจากเพรสซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง เพราะกรรมการและผู้ถือหุ้นหลายคนในสยามอินดิก้า เคยเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นในเพรสซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง มาก่อนแถมตอนที่เพรสซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง ย่ำแย่สยามอินดิก้า ก็เคยเข้าไปช่วยเพิ่มทุนให้มาแล้ว

ยิ่งข้อมูลป.ป.ช. กรณีการขายข้าวจำนวน 7.32 ล้านตัน ให้กับบริษัทต่างประเทศในรูปแบบรัฐต่อรัฐหรือจีทูจีโดยบริษัทจากจีนชื่อ “GSSG IMP AND EXPORT CORP” อยู่ที่เมืองกวางเจา เข้ามาทำสัญญาค้าข้าวกับกรมการค้าต่างประเทศ 5 ล้านตัน แต่ปรากฏว่า ผู้ที่มีอำนาจของบริษัทคือนายรัฐนิธ โสติกุล และมอบอำนาจให้นายนิมล รักดี ชาวบางมูลนาก จ.พิจิตร เป็นผู้ดำเนินการแทน

มีการโยงว่านายนิมล รักดี หรือในวงการเรียกว่า “เสี่ยโจว” นั้นเป็นมือขวา “เสี่ยเปี๋ยง” หรือนายอภิชาติ แล้วก็โยงนายอภิชาติว่า มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพ.ต.นพ.วีระวุฒิ โดยอาศัยหลักฐานว่าอดีตภรรยาของพ.ต.นพ.วีระวุฒิ เคยครอบครองรถยนต์โฟล์กตู้คันหนึ่งซึ่งบังเอิญเคยเป็นของบริษัทสยามอินดิก้ามาก่อน

จากนั้นก็พาดพิงต่อไปถึงเรื่องที่ว่าพ.ต.นพ.วีระวุฒิ เคยเป็นกรรมการบริษัท สยามรักษ์ จำกัด 1 ในเอกชน 3 รายที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้จำหน่ายข้าวถุงในโครงการระบายข้าวจากการรับจำนำ
  แถมเสี่ยเปี๋ยงจากที่บริษัทเพรสซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง เป็นหนี้ธนาคาร 8 แห่งเป็นเงินกว่า 12,000 ล้านบาท จนถูกคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดถูกยื่นฟ้องล้มละลายจู่ๆ มาตอนนี้ก็กลับรวยขึ้นมาถึงขนาดที่ต้องการขยายเขตพื้นที่บ้านในซอยนาคนิวาส ย่านลาดพร้าว ก็ควักเงินซื้อบ้านข้างๆโดยหลังหนึ่งจ่ายไป 350 ล้านบาท ส่วนอีกหลังหนึ่ง 80 ล้านบาทได้อย่างหน้าตาเฉย

แน่นอนว่าพ.ต.นพ.วีระวุฒิ ที่ถูกเชื่อมโยงในฐานะกุญแจสำคัญเพราะเป็นเลขารัฐมนตรีพาณิชย์และรู้จักกับเสี่ยเปี๋ยงก็ได้ออกมาปฏิเสธและตอบโต้ตลอดยืนกรานว่าถูกเล่นงานทางการเมืองข้อมูลต่างๆ ที่ถูกนำขึ้นมาอ้างก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากการโยกย้ายผู้บริหารในอคส. แล้วเกิดความไม่พอใจ

ปัญหาก็คือ วันนี้ ป.ป.ช. เชื่อข้อมูลเหล่านี้และพยายามที่จะใช้ข้อมูลเหล่านี้โยงไปให้ถึงนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ในฐานะผู้นำรัฐบาลและประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ว่าจะต้องรับผิดชอบ

ซึ่งนั่นหมายถึงการเชือดเหมาเข่งในคราวเดียวไปเลย
ส่วนจะมองข้ามช็อตว่า จะทำให้เกิดสุญญากาศการเมืองและนำมาซึ่งนายกฯ มาตรา7 หรือไม่นั้น
ป.ป.ช. รู้ดีกว่าใครเพื่อนว่าในใจคิดอย่างไร

อยู่ที่วิชา มหาคุณ จะกล้ายอมรับตรงๆ หรือไม่เท่านั้นเอง

ที่มา.บางกอกทูเดย์
/////////////////////////////////////////////////////

เหนือคำพรรณนา..!!?

โดย.พญาไม้

เหมือนการแข่งขันชกมวย..หรือการแข่งขันกีฬาทุกชนิดหากคู่ต่อสู้ปฏิเสธการต่อสู้..ผู้ยืนอยู่และพร้อมสำหรับการต่อสู้ก็คือผู้ชนะ

การเลือกตั้งไม่น่าจะแตกต่างไปจากนี้..

เมื่อมีพระบรมราชโองการให้มีการเลือกตั้ง..เพื่อให้ประชาชนเลือกผู้แทนราษฏร์ของเขาขึ้นมาเพื่อไปจัดตั้งรัฐบาลหาตัวนายกรัฐมนตรี..

ก็เป็นหน้าที่ของรัฐ..ที่จะต้องจัดการให้เป็นไปตามที่กฏหมายกำหนด
ก็เป็นหน้าที่ของ..กรรมการการเลือกตั้งที่จะต้องทำให้ภาระหน้าที่อันเป็นที่มาของคณะกรรมการการเลือกตั้งสำเรน็จลุล่วงไป

ไม่ใช่หน้าที่ของผู้สมัครเข้ารับการเลือกตั้ง..

พรรคการเมือง..ที่ไม่ส่งผู้สมัครเข้ารับการเลือกตั้ง..ก็เท่ากับท่านปฏิเสธพระบรมราชโองการและยินยอมโดยสมัครใจ..ที่จะไม่เข้าไปมีส่วนร่วม..

มีแต่พรรคการเมืองอันธพาลเท่านั้น..ที่ปฏิเสธการเลือกตั้งและพยายามบีบบังคับให้การเลือกตั้งให้เป้นไปตามที่พวกตนประสงค์..

หน้าที่ของกรรมการการเลือกตั้งที่จะต้องพิจารณาว่า..ขบวนการขัดขวางการเลือกตั้งนั้น..มาจากที่ใด..และหากนำสืบได้ว่า..ผู้ขัดขวางการเลือกตั้งก็คือพรรคการเมืองที่ไม่ส่งคนลงสมัครเข้ารับการเลือกตั้ง..หรือเคยเป็นหรือเป็นสมาชิกพรรคการเมืองนั้นก่อนหน้า..

อำนาจตามที่มีอยู่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง..ย่อมจะต้องพิพากษาให้กับผู้ขัดขวางหรือพรรคการเมืองที่ไม่ส่งผู้สมัครเข้ารับการเลือกตั้ง..

ไม่ว่าจะสั่งยุบพรรคห้ามทำกิจกรรมทางการเมืองแบบมีกำหนดเวลา..หรือโทษอื่นใดตามที่กฏหมายให้อำนาจไว้..

แต่ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง..จะทำไม่ได้อย่างเด็ดขาดก็คือการสนับสนุนพรรคที่ปฏิเสธการเลือกตั้งอันเป็นพระบรมราชโองการ..หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อให้การเลือกตั้งนั้นเป็นโมฆะ..

หากว่า..พรรคเพื่อไทย..จะปฏิเสธการเลือกตั้งและกระทำการอย่างเดียวกับที่พรรคการเมืองบางพรรคทำหรือนำสืบได้ว่าการขัดขวางดังกล่าวมาจากพฤติกรรมของคนเคยสังกัดพรรคดังกล่าว

ก็เชื่อว่า..การเลือกตั้งคงไม่เป็นโมฆะและพรรคเพื่อไทยจะได้รับโทษถึงขั่นยุบพรรค..ก็เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบนแผ่นดินใด..หายนะก็กำลังบังเกิดขึ้นบนแผ่นดินนั้น

ที่มา.บางกอกทูเดย์
--------------------------------------------------