--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2557

ทหารเตือน : หยุดสร้างสถานการณ์ !!?

ทบ.เตือนสถานการณ์ความรุนแรง กระทบความมั่นคงประเทศ จี้ฝ่ายความมั่นคงเร่งคลี่คลายสถานการณ์ ปาบึ้ม"ขบวนสุเทพ"เจ็บ36 ค้นตึกร้างอาวุธสงครามอื้อ

สถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ซึ่งกำลังปฏิบัติการปิดกรุงเทพฯ ตึงเครียดมากขึ้น เมื่อถูกคนร้ายปาระเบิดใส่ขบวนของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.ขณะออกเดินรณรงค์ชักชวนประชาชนให้เข้าร่วมชุมนุมในย่านเศรษฐกิจของกทม.

การปิดกรุงเทพฯของกปปส.เป็นไปตามที่หลายฝ่ายกังวลว่าจะนำไปสู่ความรุนแรงมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากมีการใช้อาวุธและระเบิดต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 13 ม.ค. ซึ่งเป็นวัน "ปิดกรุงเทพฯ"

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เตือนกลุ่มผู้ชุมนุม เพราะเกรงว่าจะมีมือที่สามสร้างความปั่นป่วน ขณะที่ทหารออกแถลงหลังเหตุการณ์ ว่าขณะนี้สถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น กำลังเป็นอันตรายต่อความมั่นคง โดยกล่าวเตือนให้ผู้ก่อสถานการณ์ยุติความรุนแรง

สำหรับ การเดินขบวนของกลุ่มกปปส. วานนี้ (17 ม.ค.) ก่อนเกิดเหตุปาระเบิด นายสุเทพ ตั้งขบวนตั้งแต่ช่วงเช้าที่เวทีสวนลุมพินี จากนั้นเดินบนถนนพระรามที่ 4 เลี้ยวซ้ายเข้าถนนสุรวงศ์ เลี้ยวขวาเข้าถนนนเรศ เลี้ยวซ้ายเข้าถนนสี่พระยา ก่อนเลี้ยวขวาเข้าถนนมหานคร และเลี้ยวขวาอีกครั้งเพื่อกลับมายังถนนพระรามที่ 4 จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าถนนบรรทัดทอง มุ่งหน้าแยกเจริญผล

ทั้งนี้ เมื่อหัวขบวนซึ่งมีรถติดตั้งเครื่องขยายเสียงนำหน้า เคลื่อนไปใกล้แยกเจริญผล ห่างอีกไม่กี่สิบเมตร ได้มีเสียงคล้ายระเบิดดังขึ้นข้างกำแพงสังกะสีของอาคารร้างริมถนน มีสะเก็ดระเบิดกระจายทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายสิบคน บรรยากาศเป็นไปอย่างโกลาหล โดยขณะนั้นนายสุเทพเดินตามมาห่างๆ ประมาณ 100 เมตร

จากการตรวจสอบพบว่าเป็นเสียงดังที่เกิดจากระเบิดซึ่งคาดว่าปาลงมาจากอาคารร้าง แรงระเบิดทำให้รถกระบะยี่ห้ออีซูซุ รุ่นดีแม็กซ์ สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน ตฉ 3679 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นรถติดตั้งเครื่องขยายเสียงนำขบวน ได้รับความเสียหาย ถัดจากนั้นไม่นาน เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และหน่วยกู้ภัยได้รุดเข้าไปลำเลียงผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล

จังหวะที่เพิ่งเกิดเหตุระเบิดนั้น นายสุเทพได้เดินผ่านอาคารร้างไปอย่างรวดเร็ว และการ์ดได้นำตัวนายสุเทพออกจากพื้นที่ชุมนุมทันที

ทุบรั้วสังกะสีค้นตึกร้างล่ามือบึ้ม

ต่อมามีการระดมการ์ดนับร้อยคนเข้าทุบทำลายรั้วสังกะสี เพื่อเข้าไปค้นในอาคารร้างและหาตัวผู้ก่อเหตุ แต่ไม่พบ ระหว่างนั้นมีเสียงคล้ายเสียงปืนดังขึ้นเป็นระยะๆ ช่วงนั้นมี พ.อ.นพสิทธิ์ สิทธิพงศ์โสภณ รองผู้บังคับการกรมทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์ นำกำลังสารวัตรทหารเข้าไปตรวจที่เกิดเหตุ เช่นเดียวกับ พล.ต.ต.วัลลภ ประทุมเมือง ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 (ผบก.น.6) ก็ได้รุดไปยังจุดเกิดเหตุด้วย

ต่อมา การ์ดที่เข้าไปตรวจสอบบนอาคารร้าง พบเหล็กลักษณะคล้ายกระเดื่องระเบิด มีตัวเลขสลักว่า "48 -88 Y3Pr m-2" จึงได้มอบให้ฝ่ายทหารนำไปตรวจสอบ โดยอ้างว่าไม่ไว้วางใจตำรวจ ทั้งนี้มีเจ้าหน้าที่หน่วยสรรพาวุธทหารบก ชุดทำลายวัตถุระเบิด (อีโอดี) เข้าเก็บหลักฐานด้วย

พบอาวุธอื้อในตึกร้างไม่ไกลจุดบึ้ม

ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง วินหน้าปากซอยจุฬาลงกรณ์ 4 ที่อยู่ใกล้ตึกร้าง กล่าวว่า ขณะนั่งอยู่ที่วิน ได้ยินเสียงดังคล้ายระเบิด 1 ครั้ง พร้อมกับเสียงฝีเท้าคนวิ่งอยู่ในตึกร้าง โดยวิ่งไปทางซอยจุฬาลงกรณ์ 6 พอหันไปดูอีกทางก็เห็นกลุ่มผู้ชุมนุมพากันแตกฮือ

เวลา 15.00 น. เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบอาคารร้างใกล้เคียงซอยจุฬาลงกรณ์ 6 พบอาวุธสงครามและกระสุนปืนจำนวนหนึ่งซุกอยู่ในถุงคล้ายย่าม มีทั้งปืนเอ็ม 16 เครื่องกระสุน วิทยุสื่อสาร 4 เครื่อง หมวกแก๊ปสีแดง ปักตัวอักษรว่า "ชุดปฏิบัติการจู่โจม" ทั้งนี้ห้องในอาคารร้างดังกล่าวลักษณะมีผู้อยู่อาศัย มีการแขวนเสื้อผ้า มีอุปกรณ์ไฟฟ้า ตู้เย็น หม้อหุงข้าว และสภาพห้องน้ำยังสามารถใช้การได้

ยอดเจ็บพุ่ง 36 ราย-สาหัส 1

ข้อมูลจากศูนย์เอราวัณ รายงานยอดผู้บาดเจ็บจากเหตุระเบิดบนถนนบรรทัดทอง ณ เวลา 16.30 น.วานนี้ รวม 36 คน เป็นชาย 26 คน หญิง 10 คน ส่งรักษาตัวที่โรงพยาบาลรามาธิบดี 12 คน โรงพยาบาลหัวเฉียว 12 คน โรงพยาบาลกลาง 3 คน โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ 9 คน ในจำนวนนี้อาการสาหัส 1 คน คือ นายประคอง ชูจันทร์ รักษาตัวที่โรงพยาบาลรามาฯ

นางจำเนียร ทองช่วย อายุ 60 ปี ชาว อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง ซึ่งเข้าร่วมชุมนุมกับ กปปส. กล่าวว่า มาร่วมกิจกรรมชัตดาวน์กรุงเทพฯกับสามี คือ นายจินตรัตน์ ทองช่วย อายุ 45 ปี แต่เมื่อเช้ารู้สึกไม่สบาย จึงไม่ได้ร่วมเดินไปกับขบวน ปล่อยให้สามีไปกับกลุ่มผู้ชุมนุม และหลังเกิดเหตุกระเบิด ปรากฏว่าสามีถูกสะเก็ดระเบิดได้รับบาดเจ็บด้วย ตอนนี้อยู่ในห้องไอ.ซี.ยู

"สาทิตย์"เชื่อเหตุป่วนรอบม็อบจะถี่ขึ้น

นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย แกนนำ กปปส. อดีต สส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นปราศรัยที่เวทีสี่แยกปทุมวันว่า ขอตั้งคำถามไปยังตำรวจ สน.ปทุมวัน ว่าทำไมจึงปล่อยให้มีคนร้ายนำระเบิดไปขว้างใส่ผู้ชุมนุมได้ เพราะมีการตั้งด่านตรวจของเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ จึงขอเรียกร้องให้ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอรส.) รวมไปถึงรัฐบาล แสดงความรับผิดชอบต่อการบาดเจ็บของประชาชนด้วย

"ผมเชื่อว่าจากนี้ไปจะมีเหตุป่วนเพิ่มมากขึ้น โดยอาจจะเน้นไปที่ด่านตรวจรอบพื้นที่การชุมนุมในลักษณะของการก่อกวนมากกว่าการบุกเข้าพื้นที่" นายสาทิตย์ กล่าว

จี้นายกฯ-ผบ.ตร.รับผิดชอบ

นายสาธิต ปิตุเตชะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า เหตุรุนแรงเกิดขึ้นทุกวัน ฉะนั้น พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้องแสดงความรับผิดชอบ

"ผมอาจจะต้องไปพบ ผบ.ตร. เพื่อสอบถามว่าพยานหลักฐานของตำรวจที่เก็บได้จากจุดเกิดเหตุรุนแรงต่างๆ นั้น สามารถขยายผลทำอะไรบ้าง เพราะหากไม่กระตือรือร้น หรือไม่ดำเนินการ ก็เข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่" นายสาธิต ระบุ

แดงระดมรถตู้-จยย.ป่วน กปปส.แจ้งวัฒนะ

อีกจุดหนึ่งที่สถานการณ์ตึงเครียด คือ การชุมนุมของ กปปส.ที่เวทีถนนแจ้งวัฒนะ ใกล้กับศูนย์ราชการฯ โดยเมื่อเวลา 11.00 น.วานนี้ บริเวณคลองประปาถึงซอยแจ้งวัฒนะ14 มีกลุ่มคนเสื้อแดงขี่รถจักรยานยนต์และรถตู้ พร้อมรถขยายเสียง พยายามเข้าไปประท้วงกลุ่ม กปปส.เพื่อให้ยุติการชุมนุมปิดถนน เนื่องจากทำให้ประชาชนทั่วไป และผู้ประกอบการรถตู้เดือดร้อน จังหวะที่กำลังชุลมุนนั้น มีเสียงปืนดังขึ้นห่างจากแนวการ์ด กปปส.ประมาณ 100 เมตร ทำให้ทั้งฝ่ายคนเสื้อแดงและการ์ดกปปส.ฮือขึ้นทั้งสองฝ่าย

ต่อมากำลังทหารที่อยู่ใกล้จุดเกิดเหตุได้นำกำลังเข้าควบคุมสถานการณ์ และตั้งบังเกอร์บนเกาะกลางถนนเพื่อป้องกันไม่ให้มีการปะทะจากทั้งสองฝ่าย

เวลาประมาณ 12.00 น.สถานการณ์กำลังคลี่คลาย กลับเกิดเสียงดังคล้ายประทัดมาจากฝั่งถนนที่มุ่งหน้าไปปากเกร็ด ทำให้การ์ดสั่งผู้ชุมนุมและนักข่าวหลบเข้าหลังบังเกอร์ ขณะที่ กปปส.กลุ่มสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ได้นำรถขยายเสียงพร้อมมวลชนจำนวนหนึ่งเข้าสมทบกับผู้ชุมนุมที่แจ้งวัฒนะซึ่งมีจำนวนบางตากว่าทุกวัน กระทั่งหลวงปู่พุทธะอิสระ ซึ่งรับผิดชอบดูแลผู้ชุมนุมที่เวทีแจ้งวัฒนะ ประกาศนำมวลชนกลับเวที ไม่ไปทำกิจกรรมร่วมกับแกนนำ กปปส.กลุ่มอื่น เพื่อความปลอดภัย พร้อมยืนยันว่า กปปส.ไม่ได้ปิดถนน แต่เปิดเส้นทางให้รถสัญจรผ่านได้ตลอดทั้งวัน

ผบ.ตร.รายงานนายกฯห่วงมือที่3

หลังเหตุการณ์ระเบิดกลุ่มกปปส. พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้เดินทางเข้าพบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ที่สำนักปลัดกระทรวงกลาโหม ถนนแจ้งวัฒนะ โดยกล่าวว่า มารายงานเหตุระเบิดที่บริเวณถนนบรรทัดทอง

ผบ.ตร. ยืนยันว่าตำรวจไม่เกี่ยวข้องแน่นอน เพราะเจ้าหน้าที่ต้องทำหน้าที่ดูแลพี่น้องประชาชนเพื่อให้ปลอดภัยและต้องบังคับใช้กฎหมาย สิ่งที่ห่วงใยมากที่สุดคือมักมีมือที่สามเข้ามาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์อยู่เสมอ ที่มาก่อเหตุจึงต้องมีมาตรการตั้งจุดตรวจค้นอาวุธ และเพิ่มความเข้มข้นมากขึ้นในช่วงหลังนี้ ที่มีการพบอาวุธ ระเบิดและปืน

รองโฆษกทบ.เตือน"โกตี๋"หยุดป่วน

พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก ชี้แจงถึงสถานการณ์การชุมนุมว่า ขณะนี้มีการกระทำรุนแรงทั้งกลางวันและกลางคืนบ่อยครั้ง สร้างความสูญเสียให้กับทั้งประชาชน ผู้ชุมนุม และเจ้าหน้าที่รัฐ ส่อให้เห็นถึงการกระทำที่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงอย่างมาก ดังนั้นเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงทุกหน่วยงานจะต้องให้ความสนใจ ทั้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือน ตำรวจ และทหาร จะต้องคลี่คลายสถานการณ์ให้ได้โดยเร็ว และสืบหาให้ชัดแจ้งว่าเป็นการกระทำของใคร ฝ่ายใด เพราะเหตุการณ์ลักษณะเช่นนี้มีผลกระทบในวงกว้างต่อทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ

พ.อ.วินชัย กล่าวว่า กรณีพฤติกรรมของแกนนำฝ่ายตรงข้ามผู้ชุมนุม กปปส.บางราย ที่ข่มขู่เจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนให้เกิดความหวาดกลัว ทหารคงรับไม่ได้ ขอเตือนว่าทุกฝ่ายควรเคารพกฎหมาย โดยเฉพาะกรณีมีกลุ่มคนบางกลุ่มได้รวมตัวกันกดดันผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ด้วยการยื่นหนังสือพร้อมประกาศว่า หากการชุมนุมของ กปปส.ไม่ยุติภายใน 3 วัน จะนำพรรคพวกมาดำเนินการ ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงและกองทัพบกคงต้องตั้งคำถามถึงเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำผิดกฎหมายในข้อใดบ้าง และเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบ รวมทั้งคนไทยทุกคนคงไม่เห็นด้วยกับการกระทำลักษณะนี้

กปปส.ปิดหน่วยราชการอีกหลายแห่ง

วันเดียวกัน ผู้ชุมนุม กปปส.ยังเดินทางไปปิดส่วนราชการอีกหลายแห่ง เช่น กระทรวงวัฒนธรรม อาคารธนาลงกรณ์ ย่านปิ่นเกล้า, องค์การค้าของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) หรือองค์การค้าคุรุสภาเดิม ถนนลาดพร้าว เนื่องจากเห็นว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชุดที่แล้วได้ว่าจ้างให้พิมพ์บัตรเลือกตั้งทั้งๆ ที่ไม่มีประสบการณ์ และมีปัญหาเรื่องพิมพ์บัตรเกินจำนวน

ส่วนเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) นำโดย นายอุทัย ยอดมณี และ นายนิติธร ล้ำเหลือ สองแกนนำนั้น ได้นำมวลชนไปปิดล้อมธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) เพื่อให้เจ้าหน้าที่ด้านในหยุดทำงานและเดินออกมาร่วมชัตดาวน์กรุงเทพฯ เป็นเวลา 1 ชั่วโมง

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
---------------------------------------

วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2557

ความรุนแรง ไม่ใช่ทางออก !!

การชัตดาวน์กรุงเทพฯ ของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส. ภายใต้การนำของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ มีแนวโน้มที่จะยืดเยื้อออกไปอีกและยังไม่รู้ว่าจะจบลงเมื่อไหร่

แม้ช่วง 1-2 วันแรกของแผนปฏิบัติการชัตดาวน์กรุงเทพฯ ที่มีประชาชนจากทั่วทุกสารทิศเข้าร่วมชุมนุมอย่างมากมายล้นหลามในทุก ๆ จุดจะผ่านพ้นไปได้โดยปราศจากความรุนแรง แต่จากสถานการณ์ที่ไม่มีใครสามารถคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าได้ รวมทั้งจากความตึงเครียดของทั้ง 2 ฝ่ายที่อาจเกิดการกระทบกระทั่ง และกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวที่ทำให้เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นได้

ตลอดระยะเวลากว่า 40 ปี ประเทศไทยเคยมีประสบการณ์และมีบทเรียนที่เจ็บปวดจากความรุนแรงมาแล้วหลายครั้ง ไล่เรียงมาตั้งแต่ 14 ตุลาคม 2516 วันมหาวิปโยค หรือการจลาจลทางการเมือง 16 ตุลาคม 2519 เรื่อยเลยมาถึงพฤษภาฯทมิฬเมื่อปี 2535 และล่าสุดพฤษภาคม 2553 ที่ราชประสงค์



สำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้ หลาย ๆ ฝ่ายต่างมีความกังวลว่า ด้วยความเปราะบางของสถานการณ์อาจจะนำพาไปสู่ความสูญเสียที่ไม่มีใครอยากให้เกิด ไม่มีใครอยากเห็นเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเหมือนฝันร้ายเหมือนเมื่อในอดีตที่ผ่านมา

เพราะอย่างน้อยที่สุด ช่วงตลอด 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ก็มีสัญญาณความรุนแรงเกิดขึ้นหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการยิงแนวร่วม กปปส.ที่แจ้งวัฒนะ หรือการยิงถล่มร้านกาแฟหน้าพรรคประชาธิปัตย์ หรือก่อนจะถึงวันชัตดาวน์ก็เกิดเหตุปะทะกันจนถึงเลือดตกยางออก และไม่เพียงเฉพาะในกรุงเทพฯเท่านั้น ต่างจังหวัดก็มีเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันนี้เป็นระยะ ๆ โดยเฉพาะจังหวัดที่เป็นพื้นที่ของคนเสื้อแดง

ลำพังการตั้งจุดสกัดตรวจค้นอาวุธเพิ่ม ตามคำสั่งของ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่เป็นห่วงว่ามือที่ 3 จะฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์

อาจจะช่วยลดการข่มขู่หรือยั่วยุฝ่ายตรงกันข้ามได้บ้าง แต่ก็มิอาจจะสัมฤทธิผลได้เต็มร้อยนัก หรือแม้กระทั่งฟากฝั่งของ กปปส.ที่ย้ำอยู่เสมอว่า เป็นการชุมนุมประท้วงด้วยสันติวิธี อหิงสา และปราศจากอาวุธ ก็ยังไม่ใช่คำตอบของการไม่ใช้ความรุนแรงเสียเลยทีเดียว เพราะการดูแลควบคุมคนหมู่มากในที่ชุมนุมหลายๆ จุดนั้นทำได้ยาก

ทั้งรัฐบาลภายใต้การนำของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีรักษาการ และม็อบ กปปส.ที่มีนายสุเทพเป็นแกนนำต่างคงรู้อยู่แก่ใจดีว่าเหตุการณ์ที่กำลังเดินไปข้างหน้า เหตุการณ์ที่กำลังพัฒนาขึ้นมีความสุ่มเสี่ยงที่อาจจะเกิดความรุนแรงขึ้นได้ทุกเมื่อ

หากทั้งรัฐบาลและ กปปส.ต่างยังคงจะเดินหน้าไปสู่เป้าหมาย "ชัยชนะ" ที่ตนได้วางไว้ โดยมองข้ามคำว่า "สันติวิธี" และยังมีทิฐิยึดความคิดของตัวเองเป็นที่ตั้ง ก็คงไม่ต่างจากกำลังเดินหน้าเข้าหาความรุนแรง

แม้ทั้ง 2 ฝ่ายจะเดินมาไกลมากแล้ว แต่ก็ยังไม่สายเกินไปที่จะหันหลังกลับมาคุยกัน เจรจากันเพื่อหาทางออกให้กับประเทศโดยไม่ใช้ความรุนแรง

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////

จีทูจี ลวงโลก !!?

ผ่าปมร้อน!เขย่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ ขายข้าว "จีทูจี" ลวงโลก งบ-สต็อกข้าวเสียหาย

คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แจ้งข้อหาทุจริตกับอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กับพวกรวมทั้งสิ้น 17 คน จากกรณีที่อ้างว่ามีการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ "จีทูจี" แต่ป.ป.ช.มีหลักฐานตามข้อกล่าวหาว่า "ไม่จริง" แต่กลับเป็นการเวียนข้าวมาขายในประเทศ โดยทำเป็นขบวนการทั้งจากบริษัทเอกชนในประเทศและเอกชนในจีน

กระทรวงพาณิชย์ อ้างว่าได้ระบายข้าว แบบ "จีทูจี" จำนวน 7.32 ล้านตัน กับรัฐบาลจีน แต่ปรากฏว่าเป็นการซื้อขายกับ"บริษัทผี" ของคนไทยและของจีน โดยมีการซื้อชื่อบริษัทเพื่อมาทำสัญญา

บริษัทจีนที่ว่านี้ชื่อ GSSG IMP AND EXP.CORP ตั้งอยู่ที่นครกวางเจา สาธารณรัฐประชาชนจีน

ตามเอกสารมอบอำนาจของบริษัท ปรากฏว่าผู้มีอำนาจได้ลงนามมอบอำนาจให้กับบุคคลคนหนึ่ง โดยมีภูมิลำเนาอยู่ที่จ.พิจิตร ให้มีอำนาจทำการแทนในการซื้อขายข้าวตามสัญญา "จีทูจี" จำนวน 5 ล้านตัน

แต่จากการตรวจสอบพบว่า ผู้มีอำนาจของบริษัทดังกล่าวกลับเป็น"ผู้ช่วยส.ส.พรรคเพื่อไทย"

ส่วนบุคคลที่รับมอบอำนาจให้ทำการแทน และอยู่ที่ จ.พิจิตร คนในพื้นที่เรียกว่า "เสี่ยโจ"

"เสี่ยโจ" เป็นคนของบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด ซึ่งเคยถูกป.ป.ช.ตรวจสอบพบว่ามีส่วนในการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวเมื่อปี 2546-2547 ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยมีพฤติกรรมนำข้าวเก่ามาเวียนเทียนเข้าโครงการรับจำนำ

นอกจากนั้น บริษัท เพรซิเดนท์ฯ ยังมีความเกี่ยวข้องกับบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ที่เข้าประมูลข้าวของรัฐบาล หลังจากเมื่อปี 2547 บุคคลสำคัญใน บริษัทเพรซิเดนท์ฯ ได้ไปจดทะเบียนตั้ง บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด

"สยามอินดิก้า" กับ "เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง" ไม่ต่างกับเป็นนิติบุคคลเดียว

แต่ทำไม ไม่ซื้อข้าวในนามบริษัทจีน แต่กลับทำสัญญาแบบ "จีทูจี"

คำตอบ ก็คือ เพราะต้องการเลี่ยงการประมูลที่มีราคาสูง

ซื้อแบบ"จีทูจี" จะได้ข้าวกระสอบละประมาณ 300 บาท ในขณะที่ราคาข้าวในตลาดในช่วงนั้น อยู่ที่กระสอบละ 1,500-1,555 บาท

หากรัฐบาลขายด้วยวิธีนี้ทั้งหมด 7.32 ล้านตัน จะมีค่าส่วนต่างราคาถึง 2 หมื่นล้านบาท

ยิ่งกว่านั้น เมื่อมีการตรวจสอบบันทึกการเบิกข้าวของกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ พบว่ามีการอำพรางชื่อบริษัทที่จะส่งมอบข้าว โดยในใบบันทึกช่วงต้น พบมีการบันทึกชื่อบริษัทรับข้าวว่า "สยามเอริก้า" แต่ช่วงท้ายของบันทึก เจ้าหน้าที่กลับพิมพ์ว่า "สยามอินดิก้า"

เมื่อดูบัญชีออมทรัพย์ของกรมการค้าต่างประเทศ ซึ่งเป็นบัญชีข้าวของรัฐบาล ก็ยิ่งมีข้อพิรุธ

ข้อมูลในช่วงวันที่ 28 ก.ย.-15 ต.ค. ที่รัฐบาลบอกว่ามีการขายข้าว แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ พบว่ามีการถอนเงินจากธนาคารใหญ่ในหลายลักษณะ ทั้ง "แคชเชียร์เช็ค" และ "การโอนเงิน"

ยกตัวอย่างเช่น เงินชำระค่าข้าว บัญชีกรมการค้าต่างประเทศ เลขที่ 385-0-09504-5 บัญชีออมทรัพย์ ธนาคารกรุงไทย พบว่ามาจากแคชเชียร์เช็ค ของธนาคารใหญ่ 4 แห่ง คือ ธนาคารกสิกรไทย กรุงเทพ กรุงไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ และเชื่อมโยงแคชเชียร์เช็ค 2 ใบ คือธนาคารกสิกรไทย ลงวันที่ 11 ต.ค. 2555 มูลค่า 527,117,625 บาท และแคชเชียร์เช็ค กสิกรไทย ลงวันที่ 11 ต.ค. 55 มูลค่า 177,000,000.00 บาท ซื้อโดยคนของบริษัทสยามอินดิก้าและพบว่าเช็คของบุคคลผู้นี้ ได้รับเงินโอนมาจากคนของสยามอินดิก้า

หากเป็นการค้าแบบ "จีทูจี" จะต้องมีการเปิด "แอล/ซี" แต่กลับไม่พบว่ามีการเปิด "แอล/ซี" แสดงว่าไม่มีการค้าข้าวให้ต่างประเทศจริง

จากการตรวจสอบบัญชีเงินหมุนเวียนจากธนาคารใหญ่ เช่น มีการโอนเงินรวม 72 รายการจากธนาคารใหญ่ 4 แห่งในประเทศไทย รวมมูลค่า 4,960 ล้านบาท และมีการถอนเงินออกจากบัญชีกรมการค้าต่างประเทศ 2 ครั้ง รวมเป็นเงิน 4,200 ล้านบาท

เมื่อไม่มีการค้าข้าวแบบ"จีทูจี"จริง แล้วข้าวไปไหน

คำตอบก็คือถูกขายให้กับโรงสีและจำหน่ายในประเทศ ดังจะเห็นได้จากราคาข้าวสารในประเทศแทบไม่ขยับ และ ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากมีข้าวระบายออกสู่ตลาดตลอดเวลา เท่ากับว่าผู้ที่"แอบระบายข้าว"ในนาม"จีทูจี" มีต้นทุนที่ถูกกว่า จึงกดราคาเพื่อเร่งขายข้าวออกมาสู่ตลาด

ผลขาดทุนจึงเกิดกับรัฐบาล ขณะที่ผลกำไรจาก"ส่วนต่าง"ราคาตกกับเอกชนที่ร่วมขบวนการ จึงเป็นที่มาว่าเหตุใดคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดถูกกล่าวจากป.ป.ช.ว่า "ทุจริต"

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
------------------------------------------------

วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2557

ไทยแลนด์ แดนถูกสาป !!

ทำไมประเทศชาติต้องถูกต้อนเข้าสู่มุมอับ ทำไมต้องเจอกับทางตัน เพียงเพราะการแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ของขั้วการเมือง

ประเทศไทยที่เคยมีบทบาทสำคัญระดับ 1 ใน 3 แถวหน้าอาเซียน กลายเป็นประเทศเจ้าปัญหา ที่การพัฒนาในทุกๆด้านหยุกชะงัก แม้แต่กระทั่งเรื่องการศึกษา ที่กลายเป็นประเทศล้าหลังที่สุดในกลุ่มอาเซียนไปแล้ว ตามผลสำรวจของ เวิลด์ อีโคโนมิค ฟอรั่ม ที่ระบุว่าการศึกษาของไทยอยู่อันดับที่ 8 ใน

กลุ่มอาเซียน จากการศึกษาวิจัยทั้งหมด 8 ประเทศ โดยยกเว้นลาวและพม่า
คนไทยมีความสุข และมีความภาคภูมิใจมากใช่มั้ยที่อยู่ในสภาพแบบนี้

คนไทยในวันนี้ที่แบ่งแยกแตกขั้ว เกลียดชังกันอย่างรุนแรง ได้ฉุกใจคิดบ้างหรือไม่ว่า ประเทศไทยถึงทางตันแล้วจริงๆอย่างนั้นหรือ

ยังจำเรื่องเล่าขำๆเชิงเสียดสีประชดประชัน ที่แต่งกันเป็นเรื่องเป็นราวของนิทานสอนใจกันได้บ้างหรือไม่ ที่ว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เมื่อครั้งที่พระเจ้าสร้างโลก ทรงมีถุงหนังใบใหญ่เอาไว้ใส่ ของวิเศษต่างๆ ทรงเริ่มต้นด้วยการสร้างมหาสมุทร ทั้ง 7 แล้ววางของวิเศษทั้งของดีและของไม่ดีคู่กันเพื่อไม่ให้ประเทศหนึ่งประเทศใดสมบูรณ์ไปกว่าประเทศ อื่นๆ เช่นเอาเทือกเขาร็อกกี้ น้ำตกไนแองการ่า วางไว้ ให้อเมริกา แต่ก็เอาทะเลทรายอริโซน่า กับพายุทอนาโดวางไว้ด้วย เอาป่าอเมซอนวางไว้ให้บราซิล ก็เอาไข้ป่าวางไว้ให้ด้วย เอาขั้วแม่เหล็กโลก วางไว้ให้ แคนาดา แต่ก็ทรงเอาความหนาวเย็นวางไว้ให้ เอาเทือกเขาหิมาลัยให้ธิเบตกับเนปาล เพื่อเป็นปราการกั้นข้าศึก แต่ก็เอาความเบาบางของอากาศและความแห้งแล้งไว้ให้ ทรงเอาความร้อนแห้งแล้งแห่งทะเลทรายให้ประเทศในตะวันออกกลาง แต่ก็เอาน้ำมันดิบวางไว้ให้ด้วย ดังนั้นทุกประเทศจะได้ของคู่กันแบบนี้ ทั้งหมดจึงไม่มีประเทศใดน้อยหน้ากว่ากัน
แต่พระเจ้าลืมประเทศรูป ขวานเล็กๆ ทางแหลมอินโดจีน ทรงสะพายถุงวิเศษ แล้วก้าวข้ามเขาหิมาลัยไป แต่ปากถุงเกิดเปิดบรรดาข้าวของที่ดีๆที่เตรียมเอาไว้ให้ประเทศ อื่นๆ เช่น ชายหาดสวยๆ ผืนดินอุดมสมบูรณ์ ศิลปะวัฒนธรรมดีๆ อาหารอร่อยที่สุดในโลก ดอกไม้ ผลไม้ ชายทะเล ก็เทไปกองรวมกันที่ประเทศไทยหมด

ว๊า.. แย่แล้ว พระเจ้า ทรงคิด ประเทศนี้ท่าทางต้องเจริญกว่าประเทศอื่นๆทั้งหมดแน่นอน พระเจ้าจึงมองหาภัยธรรมชาติที่จะมาถ่วงดุล แต่สายเสียแล้ว เพราะทรงเอาภูเขาไฟ กับแผ่นดินไหวให้ญี่ปุ่นไปแล้ว
ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ ประเทศอื่นๆ จะมาประท้วงได้ว่าไม่ยุติธรรม

แล้วจะมีภัยธรรมชาติอันใดหนอที่ จะทำให้ประเทศไทยไม่เจริญกว่า ประเทศอื่นๆได้ เมื่อทรงคิดได้เพื่อเป็นการป้องกันประเทศอันสมบูรณ์ที่สุดในโลกนี้ไม่ให้ล้ำไปกว่าที่อื่นๆ พระเจ้าก็เลยสร้างคนไทยขึ้นมา
ถ้ามีคนไทยอยู่ล่ะก็ ต่อให้สมบูรณ์แค่ไหนไทยก็ไม่มีวันเจริญ เพราะไม่สามัคคีกัน ...
เป็นนิทานเสียดสีที่หวังให้ขำๆ แต่ลึกๆแล้วทำให้จุกและเจ็บปวดอย่างมาก

หรือว่าวันนี้นิทานเสียดสีเรื่องนี้จะเป็นความจริง ประเทศไทยจึงต้องเผชิญชะตากรรมจากความแตกแยกสามัคคีกันอย่างรุนแรง

สิ่งที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ และม็อบภายใต้การนำ ทำมาทั้งหมดในวันนี้ไม่ใช่สิ่งใหม่ เป็นสิ่งที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำม็อบพันธมิตรเคยทำมาก่อนในการโค่นล้มรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร แล้วก็ทำให้เกิดม็อบคนเสื้อแดงขึ้น แล้วก็ตามมาด้วยม็อบสุเทพ อนาคตก็ไม่พ้นวงจรจะต้องมีม็อบเสื้อแดงอีก หากม็อบสุเทพโค่นล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สำเร็จ จากนั้นก็จะมีม็อบหน้าใหม่ภายใต้การชักใยของพรรคการเมืองเกิดขึ้นมาโค่นล้มอีก

หรือคนไทยมีความสุขจริงๆ กับการเกิดวงจรอุบาทว์ทางการเมือง ที่โค่นกันไปโค่นกันมาไม่จบไม่สิ้น คนไทยยุคนี้มีความสุขและไม่ละอายแก่ใจกันเลยจริงๆหรือที่จะทิ้งมรดกบาปแห่งการต่อสู้แย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์การเมือง เป็นวงจรอุบาทว์นี้ให้แก่ลูกหลายไทย

วงจรอุบาทว์ที่เกิดจากน้ำมือของนักการเมือง 2 ขั้ว ที่ต่างก็ล้วนรู้จักหน้าค่าตากันมานาน รู้สันดานรู้กำพืด รู้พฤติกรรมกันดียิ่งกว่าไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ หรือเพราะรู้เช่นเห็นชาติกันมากไป จึงต้องต่อสู้แย่งชิงกันจนกว่าจะพินาศไปข้างหนึ่ง โดยไม่สนใจว่าประเทศชาติจะเสียหายสักเพียงใด

โดยไม่สนใจว่าจะทำให้พ่อแม่ที่คนไทยรักและหวงแหน สถาบันที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งแผ่นดิน จะต้องมาอึดอัดลำบากใจกับการที่ลูกๆทะเลาะเบาะแว้งกันอย่างไม่สิ้นไม่สุดเสียที
เราจะต้องทนให้นักการเมือง 2 กลุ่มผลัดกันทำร้ายทำลายประเทศไปอย่างนี้หรือ

จะต้องทนการโกหกพกลม ว่าทุกอย่างที่ทำนั้นเพื่อประชาชนคนไทย เพื่อปฏิรูปให้คนไทยได้รับในสิ่งที่ดีกว่า แต่เอาเข้าจริงๆกลับเป็นเพียงต้องการสนองตัณหาตัวเอง โดยไม่ได้สนใจกับความรู้สึกที่แท้จริงของคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศเลยสักนิด

เพียงเพื่อบรรลุเป้าหมายการโค่นล้มทำลายกันและกัน ต่อให้สร้างความเกลียดชัง สร้างความแตกแยกจนก่อเกิดความฉิบหายต่างๆมากมายกับประเทศชาติก็ยังทำกันได้หน้าตาเฉย แถมยังปั่นหัวให้กลายเป็นคนไทย 2 กลุ่ม 2 ขั้ว ที่เกลียดชังกัน พร้อมห้ำหั่นกันโดยไม่มีเหตุโกรธเคืองหรือรู้จักกันมาก่อนเลย
เราจะยอมให้บรรดาแกนนำแต่ละฝ่ายแต่ละกลุ่ม ปั่นหัวเล่นเป็นจิ้งหรีดอย่างในเวลานี้หรือ เรามีความสุขที่จะเห็นประเทศชาติตกอยู่ในสภาพเช่นนี้จริงๆใช่ไหม?

วันนี้เชื่อกันจริงๆหรือว่านักการเมืองไม่ว่าหน้าไหนทั้งนั้นทำเพื่อประชาชนจริงๆ ไม่ใช่ว่าเห็นประชาชนเป็นเพียงแค่เครื่องมือของตนเองเท่านั้น

ที่ประกาศก้องว่าต้องการชัยชนะ จะต้องสู้ให้ชนะให้ได้ ถามกันบ้างหรือไม่ว่าเป็นชัยชนะของใคร ชัยชนะของบรรดาเหล่าแกนนำ หรือชัยชนะของประเทศชาติ

สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ของประเทศชาติเสียหายขนาดนี้ สถาบันต่างๆตกอยู่ในกระแสวังวนของความเกลียดชังขนาดนี้ ยังมีหน้ามาปาวๆว่าเป็นแกนนำที่ทำเพื่อประเทศชาติอยู่อีกหรือ ไม่ละอายบ้างเลยหรือ

ถามจริง... สภาพเช่นนี้ คนไทยมีความสุขจริงๆใช่มั้ย

ไม่คิดรวมพลังบริสุทธิ์ ตะเพิดนักการเมืองทั้ง 2 ขั้วให้ยุติบทบาท เพื่อคืนความสุขสงบให้ประชาติกันบ้างหรือ

ที่มา.บางกอกทูเดย์
-------------------------------------

วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2557

ปิดโอกาสเจรจา มีแต่สงครามกลางเมือง !!

สถานการณ์การเมืองไทยกำลังถึงจุดที่เรียกได้ว่า "ไร้ทางออก" ขยับไปทางไหนก็ยาก และดูจะสายเกินไป

ฝ่ายรัฐบาลจะตัดสินใจเลื่อนเลือกตั้ง ก็กลัวเสียหน้า เสียอำนาจต่อรอง และกลัวผิดกฎหมาย ทำผิดรัฐธรรมนูญ ถูกยื่นสอยจนหมดอนาคตทางการเมือง

ฝ่าย กกต.จะแสดงจุดยืนชัดๆ ให้เลื่อนเลือกตั้ง ก็กลัวถูกกล่าวหาดำเนินคดีในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ มีหน้าที่จัดการเลือกตั้ง กลับเสนอเลื่อนเลือกตั้ง ครั้นจะลาออก ก็จะยิ่งเข้าทางพวกจ้องเล่นงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่มากขึ้น

ฝ่าย กปปส.ก็ตั้งเงื่อนไขของตนเองไว้สูงลิบ ทั้งรัฐบาลรักษาการลาออก เลื่อนเลือกตั้ง ตั้งสภาประชาชนปฏิรูปประเทศ โดยไม่มีความชัดเจนเรื่องกระบวนการคัดเลือกตัวบุคคลเข้าเป็นสภาประชาชนฯที่ทุกฝ่ายยอมรับ

ด้านกองทัพ ก็ได้แต่ให้สัมภาษณ์เชิงขู่ให้หนังสือพิมพ์เอาไปพาดหัวข่าวรายวัน แต่ยังมองไม่เห็นหนทางที่จะคลี่คลายวิกฤติได้

อะไรๆ จึงดูเหมือน "ติดล็อก" ไปหมด

พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า ให้สัมภาษณ์กับ "กรุงเทพธุรกิจ" โดยยอมรับอย่างปลงๆ กับสถานการณ์ว่า สถานการณ์ขณะนี้ "โอกาสจบยากขึ้นเรื่อยๆ โอกาสเจรจาไม่มีเลย ส่วนโอกาสเกิดสงครามกลางเมืองมีมากกว่า"

ในมุมมองของ พล.อ.เอกชัย เขาอธิบายว่า หากสถานการณ์เดินหน้าสู่การปฏิวัติรัฐประหาร ไม่ว่าจะรูปแบบใด โอกาสเกิดสงครามกลางเมืองยิ่งมากขึ้น โดยการปฏิวัตินั้น เป็นไปได้ 3 แบบ คือ

1.ปฏิวัติโดยทหาร ย่อมถูกต่อต้านและตอบโต้จากมวลชนคนเสื้อแดงอย่างกว้างขวาง ซึ่งน่าจะเกิดสงครามกลางเมืองแน่

2.ปฏิวัติโดยประชาชน (กลุ่มนายสุเทพ) ถ้าทำสำเร็จก็จะถูกต่อต้านจากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยและอาจบานปลายกลายเป็นความรุนแรงได้เช่นกัน

3.ปฏิวัติโดยรัฐบาลเอง

"การปฏิวัติรูปแบบที่ 3 นี้มีความเป็นไปได้อยู่เหมือนกัน แต่รัฐบาลต้องเกลี้ยกล่อมคนเสื้อแดงไม่ยอม เพราะการปฏิวัติจะทำให้รัฐบาลได้ประโยชน์ เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันกับองค์กรอิสระที่มีอยู่ ทำให้รัฐบาลไม่สามารถก้าวเดินต่อไปได้แล้ว เรียกว่าถึงทางตันแล้ว ไม่ว่าจะมีการเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ.หรือไม่ เพราะหากเลือกตั้งได้ ก็ตั้งรัฐบาลไม่ได้อยู่ดี ซ้ำยังมีสมาชิกรัฐสภาอีกกว่า 300 คน รอถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด และต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่อีก"

พล.อ.เอกชัย บอกอีกว่า การปฏิวัติยังสามารถเกิดได้ทุกเมื่อ เพราะทุกครั้งที่มีการปฏิวัติ ก็จะมีการออกกฎหมายนิรโทษกรรม การปฏิวัติจึงทำได้อย่างปลอดภัย หากปฏิวัติแล้วถูกประหารชีวิตทุกกรณี ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ ก็คงไม่มีใครกล้าทำ

"สถานการณ์มาถึงจุดนี้ ทุกฝ่ายต้องการให้เกิดสุญญากาศ ฝ่าย กปปส.ประกาศตลอดว่าต้องการสุญญากาศจากการที่นายกฯลาออกจากรักษาการ แล้วเขาจะตั้งสภาประชาชน ส่วนรัฐบาลก็ต้องการสุญญากาศเหมือนกัน เพราะรัฐธรรมนูญนี้ทำให้รัฐบาลทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว"

"ฉะนั้นความเสี่ยงเรื่องความรุนแรงยังคงมีอยู่ และสิ่งที่เกิดขึ้นแทบทุกวันคือความรุนแรงประปราย ปาประทัดใส่การ์ดและสถานที่ชุมนุม เพราะมีทั้งคนพอใจและไม่พอใจ ซึ่งเสี่ยงที่จะลุกลามได้ทุกเมื่อ และเมื่อความรุนแรงเกิด หากทหารออกมาปฏิวัติ สถานการณ์ก็จะพลิกไปสู่สุญญากาศอีกแบบหนึ่ง"

พล.อ.เอกชัย กล่าวด้วยว่า ทางออกทุกทางออก ถึงนาทีนี้ไม่ง่ายอย่างที่คิด แม้กระทั่งการทำรัฐประหาร เพราะฝ่ายรัฐบาลก็มีมวลชนคอยต่อต้าน ตอบโต้ แต่หากรัฐบาลทำเอง ก็จะมีมวลชนอีกฝ่ายไม่ยอม เช่นเดียวกับที่ กปปส.ประกาศจะจับตัวนายกฯ ก็ทำไม่ได้ง่ายๆ เหมือนกัน แม้จะทำได้ แต่ถามว่ามวลชนอีกมากมายจะยอมหรือ ฉะนั้นทางออกทุกทางจึงเหมือนถูกปิด

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
----------------------------------

วันอังคารที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2557

ธ.ก.ส.ปฏิเสธนำเงินฝาก ปชช. อุ้มจำนำข้าว !!?

มติของคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เมื่อวันที่ 25 ธันวาคมที่ผ่านมา ที่ให้นำ "สภาพคล่อง" ของธนาคาร จำนวน 55,000 ล้านบาท มาใช้สำรองจ่ายให้กับชาวนาที่นำใบประทวนมาขอรับเงินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกปี 2556/2557 (นาปี) สะท้อนนัยสำคัญของโครงการจำนำข้าวของรัฐบาลได้เดินทางมาถึงจุดสุดท้าย

อย่างที่นักวิชาการ/นักธุรกิจ และผู้คนในวงการค้าข้าว ได้แสดงความเห็นทักท้วงความล้มเหลวและเต็มไปด้วยการทุจริตของโครงการประชานิยมของพรรคเพื่อไทยมาตั้งแต่ต้น

ผลจากการดำเนินการ 3 ฤดูการผลิต (2554/2555-2555/2556 และ 2556/2557) ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถยกระดับราคาข้าวเปลือกของชาวนาได้อย่างยั่งยืนแล้ว การหาเงินมาหมุนในโครงการกลับกลายเป็นเรื่องยากลำบากและเป็นภาวะการกู้ยืมที่ผูกพันกับการสร้างหนี้จำนวนมหาศาลของรัฐบาลชุดนี้ตามไปด้วย

ยิ่งเมื่อโครงการดำเนินมาถึงช่วงท้ายๆ ตั้งแต่การรับจำนำข้าวรอบ 2 ของปี 2555/2556 ต่อเนื่องมาถึงปี 2556/2557 "หายนะ" ที่ปฏิเสธไม่ได้ของโครงการก็คือ กระทรวงพาณิชย์ไม่สามารถระบายข้าวสารในสต๊อกมากกว่า 15-20 ล้านตันออกไปได้

ประกอบกับต้นทุนการรับจำนำข้าวเปลือกที่สูงผิดปกติ ก็ได้สร้างความพิกลพิการให้กับระบบการค้าข้าวของผู้ส่งออกในตลาดโลก เบื้องต้นราคาข้าวขาวไทยไม่สามารถแข่งขันได้กับราคาข้าวเวียดนาม แต่เมื่อปริมาณสต๊อกที่เพิ่มพูนขึ้นจนเกินความสามารถในการระบายข้าว ซึ่งแน่นอนจะต้องประสบกับภาวะขาดทุนจากการขายข้าวอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน (นักวิชาการประมาณการเบื้องต้นไม่ต่ำกว่า 300,000 ล้านบาท กับงบประมาณที่ถูกถลุงไป)

และเป็นที่รับรู้กันในหมู่โบรกเกอร์ค้าข้าวโลก กลับก่อให้เกิดปรากฏการณ์กดราคาข้าวไทย "ต่ำกว่า" ราคาข้าวเวียดนามเป็นครั้งแรกในฤดูกาลนี้ ส่งผลให้ราคาข้าวขาวในตลาดโลกตกต่ำลงมาอย่างน่าใจหาย



กลายเป็นประเด็นสำคัญผสมไปกับการ "ทุจริต" ในการระบายข้าวแบบ G to G จนกระทรวงพาณิชย์ไม่สามารถขายข้าวนำเงินมาให้ ธ.ก.ส.ใช้หมุนเวียนรับจำนำข้าวเปลือกจากชาวนาได้ ท่ามกลางภาวะทางการเมืองที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยกำลังเข้าตาจนถูกประชาชนส่วนใหญ่ในกรุงเทพฯ "ขับไล่" จนต้องประกาศยุบสภา นำไปสู่การเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557

จึงเป็นโค้งสุดท้ายให้ผู้คนในรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง, นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย หรือ นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ต้องออกมาไล่บี้ ธ.ก.ส. ให้นำสภาพคล่องของธนาคารออกมาจ่ายเงินจำนำข้าว "ส่วนใหญ่" ให้กับชาวนาก่อนที่ "เสียง" จากชาวนาจะแปรเปลี่ยนไปเป็นการขับไล่รัฐบาลต้อนรับการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง

โครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาลส่อภาวะจะ "ไปไม่รอด" มาตั้งแต่ปลายช่วงของการรับจำนำข้าวเปลือกปี 2555/2556 เมื่อคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวชุดของ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ ได้รายงานผลการดำเนินโครงการเบื้องต้น ประสบการขาดทุนสูงถึง 250,000 ล้านบาท ประกอบกับกระทรวงพาณิชย์ในช่วงรอยต่อระหว่าง นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ ซึ่งกำลังถูก ป.ป.ช.สอบสวนการทุจริตการขายข้าวแบบ G to G อยู่ในปัจจุบัน กับนายนิวัฒน์ธำรง ไม่สามารถระบายข้าวตามแผนที่แจ้งให้ที่ประชุม ครม.รับทราบได้

แต่ความจำเป็นในทางการเมืองที่ต้องอาศัยฐานเสียงของชาวนาตามโครงการประชานิยมทั่วประเทศ "บังคับ" ให้รัฐบาลต้องดำเนินการรับจำนำข้าวปี 2556/2557 ต่อไป

ทำให้ ครม.ต้องอนุมัติตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) พิจารณาแหล่งเงินที่จะใช้หมุนเวียนในการรับจำนำแบบ "เลื่อนลอย" โดยกำหนดวงเงินรับจำนำข้าวไว้จำนวน 270,000 ล้านบาท

เงินจำนวนนี้มีที่มาจาก 3 แหล่งตามที่สำนักงบประมาณรายงาน คือ 1) เงินทุนที่กระทรวงการคลังจัดหาให้แก่ ธ.ก.ส. ตาม พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 2) เงินจากการระบายข้าวของกระทรวงพาณิชย์ระบุ "ตามความจำเป็นและเหมาะสม" เปิดทางไว้ว่า อาจไม่มีวงเงินจากการระบายข้าวเข้ามาให้ ธ.ก.ส.ตามแผน และ 3) เงินทุนของ ธ.ก.ส.เอง

เมื่อพิจารณาจากแหล่งเงินหมุนเวียนทั้ง 3 แหล่งจะพบว่า นอกเหนือจากกระทรวงพาณิชย์จะ "ล้มเหลว" ไม่สามารถระบายข้าวตามแผนที่กำหนดไว้ได้แล้ว ผลของการยุบสภายังทำให้กระทรวงการคลังไม่สามารถค้ำประกันเงินกู้ที่จะต้องจัดหาให้กับ ธ.ก.ส.ใช้ในโครงการรับจำนำข้าวปี 2556/2557 ได้ทันตามที่กำหนด (รอการพิจารณาจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง)

ประกอบกับมติ ครม.เดิมในวันที่ 2 ตุลาคม 2556 ได้เขียนไว้ว่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2556 กระทรวงพาณิชย์ต้องดำเนินการให้มีการใช้เงินกรอบวงเงินหมุนเวียนของโครงการรับจำนำข้าวเปลือก (ปี 2554/2555 กับ 2555/2556) ไม่เกินจำนวน 500,000 ล้านบาท โดยเป็นเงินทุนของ ธ.ก.ส. 90,000 ล้านบาท กับเงินกู้ที่กระทรวงการคลังจัดหามาให้อีก 410,000 ล้านบาท



ประเด็นสำคัญของมติ ครม.ข้างต้นก็คือ การสร้างวินัยทางการเงิน ไม่ให้โครงการรับจำนำข้าวก่อหนี้ผูกพันรัฐบาลเกินไปกว่า 500,000 ล้านบาท ซึ่งจะกระทบกับฐานะทางการคลังจากการกู้ยืมเกินจำนวนของรัฐบาลได้

ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลกำลังทำอยู่ในขณะนี้ก็คือ พยายามดิ้นรนหาเงินมาจ่ายให้กับชาวนาตามใบประทวนที่ ธ.ก.ส.ออกไปแล้ว ไม่ต่ำกว่า 9,976,871 ตัน (ตัวเลขกรมการค้าภายใน ณ วันที่ 8 มกราคม 2557) ให้ได้ โดยมองข้ามวินัยทางการเงินการคลังที่จะต้องใช้เงินในโครงการไม่เกินจำนวน 500,000 ล้านบาท

ที่สำคัญก็คือ นอกเหนือจากข้าวที่ออกใบประทวนไปแล้ว ยังมีข้าวเปลือกรอเข้าโครงการรับจำนำอีกไม่ต่ำกว่า 6 ล้านตัน (สิ้นสุดโครงการวันที่ 29 ก.พ. 2557) ที่ยังไม่รู้ว่า จะนำเงินจากไหนมาจ่ายให้กับชาวนา

ในเมื่อกู้เงินใหม่ก็ยังไม่ได้ เงินจากการระบายข้าวก็ยังไม่มีเข้ามา ทางเดียวที่เหลืออยู่ก็คือ การบีบบังคับให้ ธ.ก.ส. นำสภาพคล่องของธนาคาร จำนวน 55,000 ล้านบาท ออกมาจ่ายเงินจำนำข้าวให้ชาวนาไปพลางก่อน

เพียงแต่คราวนี้คำขู่ "ผมจะกลับมาอีกหลังการเลือกตั้ง" ก่อให้เกิดการต่อต้านจากพนักงานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ ธ.ก.ส.อย่างกว้างขวาง จน นายสมศักดิ์ กังธีระวัฒน์ รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ต้องออกมายืนยันว่า

"ธ.ก.ส.จะดำเนินการจ่ายเงินตามใบประทวนเฉพาะเงินงบประมาณที่ได้รับการอนุมัติตามกรอบเดิม (51,550 ล้านบาท-ไม่เกินไปกว่ากรอบวงเงินตามมติ ครม. วันที่ 2 ตุลาคม 2556 จำนวน 500,000 ล้านบาท) กับเงินที่ได้รับจากการระบายข้าวของกระทรวงพาณิชย์เท่านั้น ถ้าจะมีการจ่ายเงินเพิ่มเติมจากกรอบนี้ รัฐบาลจะต้องจัดหาเงินมาให้กับ ธ.ก.ส. โดยธนาคารจะไม่นำเงินฝากของลูกค้ามาใช้จ่ายจำนำข้าวอย่างเด็ดขาด"

ปิดประตูการนำสภาพคล่องจากเงินฝากประชาชนมาใช้ จนกว่ารัฐบาลจะมีแหล่งเงินทุนเพิ่มเติม เล่มเกมยืดยื้อดื้อแพ่งกับอำนาจของรัฐมนตรีรักษาการต่อไป


ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
-------------------------------------

เศรษฐกิจ ปี 57

โดย. วีรพงษ์ รามางกูร

ก่อนสิ้นปี 2556 หน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการคลัง ธปท. หรือสภาพัฒน์ ต่างก็เสนอตัวเลขพยากรณ์อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยตั้งอยู่บนสมมติฐานอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกว่า สหรัฐอเมริกาคงจะอยู่ในภาวะทรงตัวหรือดีขึ้นเล็กน้อย ส่วนยุโรปคงจะยังย่ำแย่ต่อไป ญี่ปุ่นไม่ค่อยแน่นักว่าจะยังคงรักษาภาวะการฟื้นตัวของตนได้แค่ไหน

หลังจากการเปลี่ยนนโยบายการเงิน หลังจากปลดผู้ว่าการธนาคารกลาง ส่วนจีนประกาศชัดเจนว่าจะลดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของตนลง

ในขณะเดียวกัน ภาวะการเงินของโลกก็คาดการณ์กันว่าธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาน่าจะลดการเพิ่มปริมาณเงิน หรือที่เรียกอย่างโก้ว่า การผ่อนคลายทางด้านปริมาณ หรือ คิวอี ลงจนเลิกไปในที่สุด

การที่ชาวโลกคาดการณ์ว่ามาตรการคิวอีจะลดลงก็เป็นผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งขึ้นมาเรื่อยๆ จาก 28 บาทมาเป็น 33 บาทในเวลาไม่ถึงปี และอาจจะแข็งค่าต่อเนื่องไปอีกเมื่อเทียบกับเงินบาท เมื่อเงินบาทอ่อนค่าลงก็น่าจะเป็นผลดีต่อการส่งออกสินค้าและบริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกและการท่องเที่ยวที่หลุดจากเป้าหมด

มีความเคลื่อนไหวในเอเชีย กล่าวคือ จีนประกาศว่า ตนมีนโยบายให้มีการใช้เงินหยวนเป็นสื่อกลางในการค้าขายและการลงทุนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย แต่จะทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป

กล่าวคือ จีนมีนโยบายที่จะทำให้เงินหยวนเป็นเงินตราระหว่างประเทศ หรือ Internationalized มากยิ่งขึ้น โดยจะให้เงินหยวนมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น แม้จะไม่บอกว่าเป็นสัดส่วนเท่าใดในการชำระหนี้ระหว่างประเทศ แต่ก็คงคาดกันว่าไม่น้อยกว่าเงินยูโร และคงมากกว่าเงินเยนมาก

เพราะญี่ปุ่นประกาศอยู่เสมอมาตั้งแต่ทศวรรษ 1960 แล้วว่าญี่ปุ่นไม่มีความปรารถนาที่จะให้เงินเยนเป็นเงินตราระหว่างประเทศ

ถ้าดูทิศทางการเคลื่อนย้ายเงินทุน ไม่ว่าจะเป็นเงินลงทุนโดยตรงหรือ FDI ที่จะมาสร้างโรงงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและปริมาณการผลิตสินค้าและบริการเพื่อส่งออก เนื่องจากในภูมิภาคนี้คุณภาพของแรงงานไทยดีที่สุด แม้ว่าเวียดนามกำลังตามมาติดๆ ค่าแรงในเมืองจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนแซงหน้าประเทศไทยไปแล้ว

จีนจึงต้องมุ่งไปสู่อุตสาหกรรมที่ประหยัดแรงงาน แล้วสั่งสินค้าชิ้นส่วนจากต่างประเทศมากยิ่งขึ้น โดยมุ่งสร้างการใช้จ่ายของคนจีนในประเทศให้มากขึ้น

รวมทั้งอนุญาตให้มณฑลและท้องถิ่นมีอำนาจในการตัดสินใจลงทุนมากขึ้น โดยปล่อยให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ ไม่ยอมลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อลดความกดดันในเรื่องเงินเฟ้อ เพราะนโยบายเศรษฐกิจมหภาคของจีนเป็นไปอย่างเป็นระบบชัดเจนและสอดคล้องกัน โดยประกาศว่านโยบายเช่นนี้จะทำให้จีนมีการนำเข้ามากยิ่งขึ้น ลดการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดลง

แม้อัตราการเพิ่มของรายได้ประชาชาติของจีนจะลดลง แต่สัดส่วนของการนำเข้าของจีนจะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อการส่งออกของประเทศในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี ซึ่งจะเปิดสมบูรณ์ขึ้นในต้นปี 2558 และในบรรดาประเทศอาเซียนด้วยกัน ไทยน่าจะได้ประโยชน์มากที่สุดในแง่ที่ตั้ง

ส่วนการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่มาลงทุนในตลาดทุนของเราตลอดปีนี้หรือปีต่อไป คงเป็นการขายหุ้นและตราสารทางการเงิน ทำให้ราคาหุ้น ราคาพันธบัตร และตราสารทางการเงินต่าง ๆ น่าจะลดลงอย่างต่อเนื่องต่อไป ค่าเงินบาทก็คงจะอ่อนค่าลงต่อไป จาก 33 บาท อาจไปถึง 35 บาทก็ได้ พร้อมกับดอกเบี้ยจะยิ่งถีบตัวสูงขึ้นเพราะเงินไหลออก

แต่การคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2557 และอาจจะรวมไปถึงปี 2558 กลับไม่สดใส เมื่อเทียบกับประเทศในประชาคมอาเซียนด้วยกัน เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ จะยกเว้นก็แต่ประเทศอินโดนีเซีย

ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะผู้คนดูไม่ออกว่าการเมืองของเราจะผันแปรไปอย่างไร ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว แต่ส่วนใหญ่จะมองไปในทางลบมากกว่า พวกเรากันเองก็มีความรู้สึกอย่างนั้น ถ้าไม่หลอกตัวเอง

ในระยะสั้นภายในปี 2557 นี้ อาจจะมีปฏิวัติรัฐประหารตามที่ผู้ชุมนุมและนายทหารนอกราชการ 2-3 คนต้องการ หลังการปฏิวัติรัฐประหาร รัฐบาลที่คณะรัฐประหารแต่งตั้งขึ้นมาจะอยู่ได้นานแค่ไหน

6 เดือน ปีหนึ่ง แล้วมีการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่สภานิติบัญญัติที่คณะปฏิวัติแต่งตั้งขึ้น แล้วพรรคประชาธิปัตย์ก็ยังแพ้การเลือกตั้งอีก

จะทำอย่างไร เพราะประชาชนภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง ยังไม่ยอมเลือกพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเขียนรัฐธรรมนูญอย่างไร จะปฏิรูปการเมืองอย่างไร กองทัพจะยื่นมือเข้ามาช่วยอย่างไร

ถ้ามีฝ่าย "คนเสื้อแดง" จากต่างจังหวัดยกเข้ามาชุมนุมเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในปี 2553 จะทำอย่างไร จะต้องกระชับพื้นที่ หรือขอพื้นที่คืนอย่างที่เคยทำมาอีกหรือไม่

มหาอำนาจที่เป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคง อันได้แก่ สหรัฐ รัสเซีย อังกฤษ ฝรั่งเศส และจีน จะว่าอย่างไร หรือจะคิดว่า "ยูเอ็นไม่ใช่พ่อ" อย่างที่เคยคิดได้หรือไม่ เพราะครั้งนี้ประเทศเหล่านี้รวมทั้งประเทศอื่นอีก 50 ประเทศ ประกาศสนับสนุนระบอบประชาธิปไตย สนับสนุนให้มีการเลือกตั้ง ถ้าเกิดมีปฏิวัติรัฐประหาร ปฏิกิริยาของเขาที่แสดงผ่านออกมาทางองค์การค้าระหว่างประเทศ ผ่านทางองค์กรสิทธิมนุษยชน และอื่นๆ จะเป็นอย่างไร

ในขณะที่ตะวันตก รวมทั้งจีนและอาเซียนสามารถกดดันให้พม่าเดินหน้าไปสู่ระบบ แก้ไขรัฐธรรมนูญของเขาให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น แล้วจะยอมให้ประเทศไทยหันกลับไปแทนที่พม่าได้อย่างไร

แต่ถ้ากองทัพไม่กล้าทำการปฏิวัติ ไม่กล้าทำการรัฐประหาร แล้วประกาศตน "เป็นกลาง" ซึ่งไม่มีกองทัพที่ไหนในประเทศที่เจริญแล้วเขาทำกัน แล้วความขัดแย้งระหว่างคนกรุงเทพฯ กับคนต่างจังหวัดที่กำลังเผชิญหน้ากันอยู่อย่างนี้จะทำอย่างไร ถ้าการเลือกตั้งทั่วไปจัดขึ้นไม่ได้ หรือจัดขึ้นได้อย่างทุลักทุเล แล้วศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าเป็นโมฆะอีกจนรัฐบาลเพื่อไทยทนไม่ไหวถอนตัวออกไป อะไรจะเกิดขึ้น

มีการจัดตั้ง "สภาประชาชน" ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าจะมีใครที่ "มวลมหาประชาชน" ไว้ใจแต่งตั้งขึ้นบ้าง แล้วสภาประชาชนแต่งตั้ง "นายกรัฐมนตรีคนกลาง" ซึ่งไม่เชื่อว่ามี ราษฎรอาวุโสคนหนึ่งก็หายหน้าไปนานแล้ว อีกคนก็ประกาศถอย เพราะเสนอความคิดที่เป็นนามธรรมสวยหรู ได้รับการยกย่องจากสื่อมวลชน แต่ยังไม่เคยมีอะไรออกมาเป็นรูปธรรม

ใช้เงินไปถึง 2,000 ล้านบาทศึกษาหาทาง "ปฏิรูป" การเมืองของประเทศ จนป่านนี้ก็ไม่มีใครเคยอ่านผลงานที่มีราคาถึง 2,000 ล้านบาทอีกที ตกลงก็ยังไม่รู้ว่าใครจะรับเป็นประธาน "สภาประชาชน" ใครจะเป็น "คนดี" มีความเป็นกลาง ไม่เลือกข้าง ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี จนเกิดความมั่นใจทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัว ทำให้ตลาดหุ้นฟื้นตัวได้

ในระยะยาว ขณะนี้เกิด "ทฤษฎี" จำนวนมากมายหลายทฤษฎีที่พยายามอธิบายเหตุการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในเมืองไทยว่าเป็นความขัดแย้งทางโครงสร้าง

มีทั้งที่พูดกันได้อย่างเปิดเผยและไม่สามารถพูดได้อย่างเปิดเผย แต่ก็คุยซุบซิบกันในวงการสภากาแฟ

ในขณะที่สื่อมวลชนไทยเลือกข้างไปแล้ว

คงไม่มีใครไม่ถูกบังคับให้เลือกข้าง ถ้ายังเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา แต่สื่อมวลชนต่างประเทศที่เป็นภาษาอังกฤษกลับเสนอข้อมูลและความคิดเห็นได้อย่างเสรีกว่า เพราะไม่ต้อง "เซ็นเซอร์" ตัวเองอย่างที่สื่อมวลชนไทยส่วนน้อยที่เลือกอีกข้างต้องทำ

คนที่อ่านภาษาอังกฤษได้และต้องการอ่าน ต้องการเปิดหูเปิดตาตัวเองก็สามารถหาอ่านได้ ไม่ยากเย็นอะไร เพราะทุกวันนี้ในโลกออนไลน์มีราคาถูกกว่าหนังสือพิมพ์หรือซื้อหนังสือทั้งเล่ม คนต่างจังหวัดทุกวันนี้ลูกหลานที่อ่านภาษาอังกฤษได้ก็มีอยู่

ทุกหมู่บ้าน มิได้ผูกขาดอยู่แต่ชนชั้นนำในกรุงเทพฯเท่านั้น ถ้าความขัดแย้งเชิงโครงสร้างอย่างนี้มีอยู่ อุบัติเหตุทางการเมืองเกิดขึ้นได้เสมอ

"อุบัติเหตุทางการเมือง" อาจจะถูกสร้างขึ้นโดยซีไอเอ โดยเคจีบี หรือโดยมหาอำนาจใดก็ได้ ถ้าเขาเห็นว่าถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแพ้แล้วจะเป็นอันตรายต่อผลประโยชน์ของชาติเขา

ถ้าเชื่อว่า ปัจจัยทางการเมืองเป็นปัจจัยสำคัญ การคาดการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทยทั้งระยะสั้นและปานกลางและระยะยาวจะอาศัยแต่เพียงปัจจัยทางเศรษฐกิจทั้งนอกและในประเทศไม่ได้ ต้องอาศัยการวิเคราะห์ทางการเมืองเข้ามาเป็นส่วนประกอบด้วย

แต่การคาดการณ์เหตุการณ์ทางการเมืองระยะสั้นทำได้ยาก เพราะขึ้นอยู่กับคนที่กุมชะตาบ้านเมืองทั้ง 2 ฝ่ายที่มีเพียง 4-5 คน อย่างมากก็ไม่เกิน 10 คน

ในระยะยาวน่าจะคาดการณ์อะไรได้บ้าง

แต่ปัจจัยต่างๆ ก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ถ้า "ดุลแห่งความกลัว" หรือ "Balance of Terror" ที่ ดร.เฮนรี่ คริสซิงเกอร์ เคยเสนอไว้เกิดเปลี่ยนไป อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ

การพยากรณ์เศรษฐกิจจึงทำไม่ได้ในระยะต่อไปนี้

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
---------------------------------

วันจันทร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2557

8ปี วิกฤติการเมืองไทย !!?

8 ปีวิกฤติการเมืองไทย ไร้ทางออกความขัดแย้ง ก่อตัวสมัยรัฐบาล"ทักษิณ" คนเสื้อเหลืองต้าน"ทุนสามานย์" แดงงัดวาทกรรรม"อำมาตย์-ไพร่"

การชุมนุมขับไล่รัฐบาลของกลุ่มประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.) ถือเป็นวิกฤติการเมืองครั้งที่ 3 ในรอบ 8 ปี

หากย้อนกลับไปดูการเคลื่อนไหวทางการเมือง จนนำไปสู่ "วิกฤติ" จะเห็นว่าเริ่มก่อตัวมาตั้งแต่ปลายสมัยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อาจกล่าวได้ว่าเป็นผลต่อเนื่องของความขัดแย้งอันยาวนานเกือบ 10 ปี

เมื่อครั้งนั้น เกิดการชุมนุมครั้งใหญ่ของประชาชนต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ จนก่อตัวเป็น "กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" หรือเรียกกันว่า "คนเสื้อเหลือง"

กลุ่มพันธมิตรฯ ต่อต้าน สิ่งที่เรียกว่า "ทุนสามานย์" ซึ่งหมายถึง กลุ่มทุนเข้ามาใช้อำนาจทางการเมืองแสวงหาผลประโยชน์ให้ตนเองและพวกพ้อง อีกทั้งมีการใช้อำนาจทางการเมืองในระบบรัฐสภาแบบ "เบ็ดเสร็จ"

การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ นำไปสู่การรัฐประหารในเดือนก.ย. 2549

แต่การรัฐประหารครั้งนี้ ผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ มองว่าเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาและความขัดแย้งในสังคมในช่วงต่อมา

หลังจากรัฐประหารมีการแต่งตั้งรัฐบาลรักษาการ เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยมีพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งในรัฐบาลชุดนี้ มีการฟ้องดำเนินคดีรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในข้อหาทุจริตคอร์รัปชันหลายคดี

หลังจากการเลือกตั้งครั้งใหญ่ ก็ปรากฏว่าพรรคพลังประชาชน ที่เปลี่ยนชื่อหลังถูกยุบพรรคเพื่อไทย ได้รับชัยชนะการเลือกตั้ง จากนั้น นายสมัคร สุนทรเวช ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี

แต่แล้ว นายสมัคร ก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้พ้นจากตำแหน่งจากรายการ "ชิมไป บ่นไป" และ ต่อมา นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ในที่สุด นายสมชายก็เจอกับคดียุบพรรคการเมือง จึงต้องพ้นจากตำแหน่ง

หลังจากนั้น ก็เกิดการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองของสมาชิกพรรคพลังประชาชน "บางกลุ่ม" ย้ายขั้วไปร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี

แต่แล้ว รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ ก็ต้องเผชิญกับการต่อต้านจากอีกฝ่าย เมื่อมีการชูวาทกรรม "อำมาตย์-ไพร่" และจัดตั้งกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ทำการประท้วง "รัฐบาลในค่ายทหาร" โดยการยึดพื้นที่สำคัญกลางเมืองย่านราชประสงค์และบริเวณราชดำเนิน

ก่อนทหารเข้าสลายการชุมนุมในปี 2553 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 90 คน และบาดเจ็บนับพัน

จากนั้น รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ ประกาศยุบสภาเพื่อเปิดให้มีการเลือกตั้งใหม่ หวังยุติความขัดแย้งทางการเมือง

การเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคเพื่อไทย ที่เปลี่ยนมาจากพรรคพลังประชาชน ได้รับชัยชนะอีกครั้ง จากเสียงสนับสนุนจากประชาชน "รากหญ้า" โดยได้รับชัยชนะในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับการสนับสนุนในภาคใต้ และพื้นที่ส่วนใหญ่ของกรุงเทพมหานคร

นักวิชาการประเมินจากเสียงสนับสนุน ระบุว่า คนระดับล่าง หรือ "รากหญ้า" สนับสนุนพรรคเพื่อไทย ขณะที่คนชั้นกลางและชั้นสูงในเมือง สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์

หลังเลือกตั้ง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี

แต่จากความขัดแย้งภายใต้วาทกรรม "อำมาตย์-ไพร่" ทำให้รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ เผชิญกับแรงกดดันอย่างหนัก เนื่องจากยังมีกลุ่มผู้สนับสนุนในนาม "คนเสื้อแดง" ยังเคลื่อนไหวภายใต้วาทกรรมดังกล่าว

แต่จุดที่เป็นวิกฤติการเมืองของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ เมื่อพยายามผลักดันพระราชกำหนดนิรโทษกรรม ฉบับ "เหมาเข่ง" ทำให้เกิดกระแสความไม่พอใจเกิดขึ้นและขยายตัวออกไปอย่างรวดเร็ว

แม้แต่ "คนเสื้อแดง" ก็ออกมาต่อต้าน

การชุมนุมของประชาชนที่ไม่พอใจรัฐบาล และ "นักการเมือง" เริ่มก่อตัวขึ้น ในที่สุด ได้จัดตั้งเป็นกลุ่มกปปส. จากเริ่มแรก พรรคประชาธิปัตย์ ได้จัดเวทีต่อต้าน แต่ประชาชนทั่วไปกลับให้การสนับสนุนอย่างรวดเร็ว ซึ่งหากเทียบกับการจัดชุมนุมในอดีต ถือว่าการชุมนุมของกลุ่มกปปส.ก่อตัวอย่างรวดเร็ว เพียงแค่หนึ่งสัปดาห์

การชุมนุมเรียกร้องของกลุ่มกปปส.เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ที่ต้องการให้ "ปฏิรูป" มาก่อน "การเลือกตั้ง"

การเมืองนับจากนี้นับว่าเป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ เพราะว่ากลุ่ม กปปส. เป็นคนอีกหนึ่งกลุ่ม ทั้งที่สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มคนชั้นกลาง ขณะที่รัฐบาล มีฐานมวลชนอย่างหนาแน่นในต่างจังหวัด รวมทั้งคนกรุงเทพฯ อีกไม่น้อย

เป็นความขัดแย้งครั้งใหญ่ และเกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองใหญ่ ซึ่งยังมองไม่เห็นว่าจะยุติลงอย่างไร

แม้ทุกฝ่ายยืนยันยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
-------------------------------------

วันเสาร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2557

จุดเทียน จุดติด !!?

โดย. สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน

มีข้อเปรียบเทียบการโค่นล้มนายกฯ 3 คนก่อนหน้านี้ อันได้แก่ ทักษิณ ชินวัตร ในปี 2549 สมัคร สุนทรเวช ในปี 2551 และสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในปลายปี 2551

ไล่เรียงมาจนถึงนายกฯคนปัจจุบันคือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งกำลังอยู่ในภาวะต่อสู้กันอยู่อย่างถึงพริกถึงขิง

โดยมีคำถามว่า ยิ่งลักษณ์จะต้องโดนล้มแบบเดียวกันหรือไม่

ย้อนไปมองกรณีทักษิณ จะพบว่าโดนเขย่าอำนาจ ด้วยการจัดม็อบเคลื่อนไหวต่อต้านแบบยืดเยื้อยาวนาน ก่อนลงเอยด้วยการถูกทหารก่อการรัฐประหาร เมื่อ 19 กันยายน 2549

จากนั้นพรรคไทยรักไทยกลายมาเป็นพรรคเพื่อไทย มีนายสมัคร สุนทรเวช ขึ้นมาเป็นนายกฯ แล้วก็โดนม็อบ ก่อนลงเอยด้วยดาบองค์กรอิสระ

สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ขึ้นเป็นนายกฯคนถัดมา และก็ถูกม็อบต่อต้าน ก่อนเชือดด้วยดาบองค์กรอิสระอีก

ขณะที่นายกฯยิ่งลักษณ์ กำลังถูกกระบวนการม็อบเคลื่อนไหวขับโค่นเช่นเดียวกัน

แต่นายกฯยิ่งลักษณ์คงจะสรุปบทเรียนจากรุ่นพี่ทั้งสามมาแล้ว นั่นคือ เล่นบทถอยในทุกๆ ด้าน ประคองตัวเองด้วยหลักกฎหมาย หลักรัฐธรรมนูญ และหลักประชาธิปไตย

สุดท้ายใช้วิธียุบสภา คืนอำนาจให้กับประชาชนทั้งประเทศ

ดังนั้น วันนี้กระแสการขับโค่นยิ่งลักษณ์ จึงไม่ง่ายดายเหมือน 3 นายกฯก่อน

เพราะการคืนอำนาจให้ประชาชน 48 ล้านคน เพื่อตัดสินใจทางการเมืองในวันที่ 2 ก.พ.นั้น ทำให้ประชาชนที่เชื่อในประชาธิปไตย และหวงแหนสิทธิในวันเลือกตั้ง ได้พร้อมใจกันร่วมสนับสนุนให้ยิ่งลักษณ์ประคองตัวต่อไปได้

เพื่อรักษาประชาธิปไตยและการเลือกตั้ง

ทั้ง 3 นายกฯก่อนหน้านี้ โดนม็อบเหมือนกันกับยิ่งลักษณ์ แต่คนแรกลงเอยด้วยถูกรัฐประหาร อีก 2 โดนองค์กรอิสระน็อก

วันนี้ ยิ่งลักษณ์เผชิญม็อบไล่ แต่ก็มีแนวร่วม เป็นพลังฝ่ายประชาธิปไตย ที่ไม่ยอมให้ใครมายึดสิทธิเลือกตั้งไป

วันนี้ ดาบองค์กรอิสระ ยังไม่มีทีท่าจะเป็นจุดจบของยิ่งลักษณ์

เหลืออย่างเดียวที่สังคมกำลังจับตาอย่างมากคือ การรัฐประหาร

ที่น่าคิดคือ ผู้นำทหารไม่ยอมปฏิเสธว่าจะไม่มี

นักวิเคราะห์การเมืองเชื่อว่า เมื่อม็อบยกระดับจะชัตดาวน์กรุงเทพฯ ก่อวิกฤตต่อประเทศขั้นสูงสุด ก็คือ การเชื้อเชิญทหารอย่างเปิดกว้างสุดสุด ไม่ต่างจากการวิ่งไปเปิดประตูค่ายทหาร ให้เคลื่อนรถถังออกมา

แต่มีปัจจัยที่ใครจะคิดทำอะไรในวันนี้ต้องตระหนักให้ดี ให้ถี่ถ้วน ไม่ง่ายเหมือนยุคทักษิณ

สมัยนั้นยังไม่มีพลังเสื้อแดง ซึ่งวันนี้ประกาศรวมตัวกันแล้วในทุกจังหวัดทั้งภาคเหนือและภาคอีสาน

สมัยทักษิณขาดความชอบธรรมทางการเมือง จนไม่เปิดช่องให้พลังประชาธิปไตยที่เป็นกลางเข้ามาสนับสนุน

แต่ยุคยิ่งลักษณ์มีแล้ว

คนใส่แว่นดำชูป้ายให้เคารพเสียงประชาชนระบาดไปทั่ว ปกป้องสิทธิในการเลือกตั้ง

คนใส่เสื้อขาว ปล่อยลูกโป่งขาว รวมพลคนไปเลือกตั้ง

กลุ่ม′พอกันที หยุดการชุมนุมที่สร้างเงื่อนไขไปสู่ความรุนแรง เปิดใจไปเลือกตั้ง แสดงออกด้วยการจุดเทียน

จุดมาแล้วหลายครั้ง และลุกลามขยายวงไปทั่วประเทศแล้ว เรียกว่าการจุดเทียน จุดติดแล้ว

ใครกำลังจะทำอะไร คิดกันให้มากๆ หน่อย

ที่มา:มติชนรายวัน
------------------------------------------

วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2557

พอกันที VS Shut Down.

บรรยากาศการเมืองไทยขณะนี้ เข้าใกล้จุดตึงเครียดมากขึ้นทุกที โดยเฉพาะจุดตึงเครียดในวันที่ 13 มกราคม กับคำประกาศ Shut Down กรุงเทพฯ ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ

จะปิดกรุงเทพฯนานนับเดือน หรือนานจนกว่าจะได้รับชัยชนะตามที่ต้องการ
แรงกระเพื่อมในสังคมจึงเกิดขึ้นในที่สุด แม้แต่กับกลุ่มคนที่เคยถูกเรียกขานว่าเป็นไทยอดทน หรือว่าไทยเฉย

มันเกินเลยคำว่า สงบ สันติ อหิงสา และอารยะขัดขืน จนข้าเส้นความชอบธรรมไปแล้ว
ว่ากันว่านายเสรี วงศ์มณฑา ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการเขียนสคริปต์ต่างๆให้นายสุเทพ ตลอดจนเขียนพิมพ์เขียวสภาประชาชน เขียนวาทกรรมทางการเมืองให้นายสุเทพ รวมทั้ง คำว่า ปิดกรุงเทพฯ หรือ Shut Down กรุงเทพฯ กำลังพลาดจากการเขียนสคริปต์ครั้งนี้

เพราะกลายเป็นสคริปต์ที่ไปกระตุ้นความวิตกกังวล ความไม่สบายใจให้เกิดขึ้นกับสังคมคนหมู่มาก จนถูกมองว่าเป็นพฤติกรรมข่มขู่คุกคามทางการเมือง เพื่อมุ่งหวังเอาชนะให้ได้โดยไม่สนใจความรู้สึกของคนส่วนใหญ่

พลาดหรือไม่พลาด ก็คงเป็นเรื่องที่สุดแท้แต่จะเป็นมุมมองของฝ่ายใด เพราะในบรรยากาศของการแบ่งแยกแตกขั้ว ที่ลุกโชนไปด้วยไฟแห่งความเกลียดชังที่ถูกสุมรุมเร้าอยู่ตลอดเวลานั้น
เหตุผล และข้อเท็จจริง กลายเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจและรับไม่ได้ของแต่ละฝ่าย

พฤติกรรมนักการเมืองที่ไม่มีใครเลวหรือชั่วน้อยกว่าใครเลยในความเป็นจริง กลับถูกความนิยมเฉพาะกาลเวลายกย่องให้เป็นผู้นำ เป็นแกนนำ โดยที่ความเลวร้ายที่ผ่านมาในอดีต ถูกมองข้ามและไม่พูดถึง
ฉะนั้นวิกฤตสังคมจึงใกล้เข้ามาในทุกขณะจิต และแม้แต่การเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ ก็จะไม่ใช่สรุปบทสุดท้ายของทางออก เพราะฝ่ายที่ต่อต้านการเลือกตั้งไม่ว่าอย่างไรก็ต้องต่อต้านและไม่ยอมรับอยู่ดี
ผลจากความวิตก และความกังวลในสถานการณ์เฉพาะหน้าเรื่อง ปิดกรุงเทพฯในวันที่ 13 มกราคม จึงทำให้เริ่มเห็นปรากฏการณ์ของการรับไม่ได้ที่จะมีการปิดกรุงเทพฯเกิดขึ้นมาแล้ว

โดยในช่วงเย็นของวันที่ 3 มกราคม ที่ลานหน้าหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เขตปทุมวัน ได้มีกิจกรรม “จุดเทียนเขียนสันติภาพ” จัดขึ้นโดยแฟนเพจเฟซบุ๊ก พอกันที!ž หยุดการชุมนุมที่สร้างเงื่อนไขไปสู่ความรุนแรง

ภายในงานมีกิจกรรมเขียนโพสต์อิต แสดงความในใจ ต่อสถานการณ์ทางการเมือง มีเวทีเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมปราศรัย คนละ 5 นาที ซึ่งมีผู้ร่วมกิจกรรมให้หลายคนให้ความสนใจ

มีการแจกเทียนให้ผู้ชุมนุมคนละ 1 เล่ม และร่วมกันแปรอักษรภาพมนุษย์ เป็นรูปเครื่องหมายสันติภาพ และจุดเทียน พร้อมร่วมกันอ่านแถลงการณ์ หยุดการณ์ชุมนุมที่สร้างเงื่อนไขไปสู่ความรุนแรง และตะโกนคำว่า พอกันที เอาเลือกตั้ง ไม่เอาเทือกตั้ง อยู่นานหลายนาที ก่อนจะแยกย้ายกันจับกลุ่มแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน

นายกิตติชัย งามชัยพิสิฐ ผู้จัดกิจกรรม กล่าวว่า หลังจากที่เห็นภาพภรรยาของตำรวจที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ปะทะที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง และเห็นการ์ด กปปส.ที่เสียชีวิตในวันต่อมา รู้สึกอัดอั้นตันใจอยู่คนเดียว จึงตั้งแฟนเพจดังกล่าวขึ้นมา เพื่อเป็นพื้นที่แสดงออกสำหรับประชาชนทั่วไปที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมที่จะนำไปสู่เงื่อนไขความรุนแรงจนมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตอีก โดยเรียกร้องให้มีการเดินหน้าเข้าสู่การเลือกตั้งเพื่อปฏิรูปทางการเมือง ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นมาเป็นครั้งที่สองแล้ว ไม่ได้มีใครแกนนำ ไม่คิดจะยกระดับการชุมนุม โดยเชื่อว่าผู้มาร่วมชุมนุมกลุ่มต่างๆ จะพัฒนาไปเองตามความคิดสร้างสรรค์ของผู้เข้าร่วม

ใจความหลักๆของแฟนเพจเฟซบุ๊ก พอกันที!ž หยุดการชุมนุมที่สร้างเงื่อนไขไปสู่ความรุนแรง เขียนเอาไว้ว่า...
เปิดใจ ไปเลือกตั้ง

พอกันที! หยุดการชุมนุมที่สร้างเงื่อนไขไปสู่ความรุนแรง!... เรา คนธรรมดาที่ไม่เอาความรุนแรงทุกรูปแบบ... เรา อดทนเคารพสิทธิชุมนุมของพวกท่านมวลมหาประชาชน... เรา เฝ้าดู ทนฟังคำประกาศชัยชนะของพวกท่านครั้งแล้วครั้งเล่า... เรา เฝ้านับวันที่จะได้ใช้สิทธิใช้เสียงเพียงหนึ่งเดียวที่เรามีอยู่ในมือเปล่า

เส้นความอดทนของเราขาดผึง ทันทีที่เสียงปืนดังขึ้นนัดแรกพรากชีวิตคนคนหนึ่งไปจากครอบครัวญาติพี่น้องของเขา

สมรภูมิเลือดที่รามคำแหง สนามไทย-ญี่ปุ่นดินแดง จนล่าสุด เหตุการณ์รุมทำร้ายกันที่ถนนวิภาวดี อีกกี่ศพถึงจะพอ!

พวกท่านเรียกร้องในสิ่งที่ไม่มีวันได้ไป นั่นคือหัวใจรักประชาธิปไตยของคนอีกมากมายมหาศาลที่ไม่ก้มหัวศิโรราบให้พวกท่าน

ประเทศไทยไม่ใช่ของพวกท่านมวลมหาประชาชน พอกันที!!!

ความรุนแรงผลักเราออกมา ความรุนแรงที่เกิดจากการสร้างเงื่อนไขของเหล่าแกนนำเราออกมาและจะไม่มีวันกลับไป ตราบที่พวกท่านยังไม่เลิกใส่ร้ายป้ายสี บิดเบือนความจริง ปลุกปั่นยุยง เกลียดชังทำร้ายคนที่เห็นต่างจากพวกท่าน

หยุดได้แล้ว หยุดปั่นหัวกันจนคลุ้มคลั่ง อย่าให้มีศพต่อไปอีกเลย
ออกมาจากพื้นที่แห่งความเกลียดชัง อย่าให้ชีวิตมีค่าของพวกท่านกลายเป็นเพียงเบี้ยบนเกมกระดานของแกนนำ

พอกันที!!! เหล่าผู้มีอำนาจ มีอาวุธ และสื่อในมือ หรือพวกท่านหวังเพียงชัยชนะบนซากศพของผู้อื่น ผู้ชุมนุมคัดค้านที่อยู่ใน กปปส. และเครือข่ายก็เป็นพลเมืองเช่นกัน

การเหมารวม บิดเบือนและป้ายสี ไม่อาจเปลี่ยนแปรหัวใจที่ใฝ่ฝันถึงสิ่งดีงามของพวกเขาได้ รังแต่จะกระพือความผิดหวัง และความโกรธมากขึ้นเท่านั้น หยุดสร้างสถานการณ์และข่าวสารเพื่อความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรงเกินเหตุต่อผู้ชุมนุม
พอกันที!!!

ถนนทุกสายต้องมุ่งสู่การเลือกตั้ง 2 กุมภา 57 เท่านั้น

นายกิตติชัย งามชัยพิสิษฐ์ ยืนยันว่า กิจกรรมจุดเทียนเขียนสันติภาพ จัดขึ้นเพื่อ

1.เปิดพื้นที่ให้คนได้แสดงความเห็น อาทิ ญาติของผู้เสียชีวิตจากการชุมนุมที่ผ่านมา
2.ให้หยุดการชุมนุมที่สร้างเงื่อนไขไปสู่ความรุนแรง ไม่ได้แปลว่าไม่ให้หยุดชุมนุม ชุมนุมได้ แต่ต้องไม่สร้างเงื่อนไขนี้

สำหรับการชุมนุมของ กปปส. มองได้ว่านำไปสู่ความรุนแรง ทั้ง 2 ระดับ คือ 1. เรื่องข้อเสนออย่างการเลื่อนเลือกตั้ง ก็จะนำไปสู่การที่คนอีกกลุ่มไม่พอใจและต้องออกมาอีก 2.ทางกายภาพ มีวาจาทีนำไปสู่ความเกลียดชังค่อนข้างเยอะ การบุกสถานที่ต่างๆ ซึ่งรัฐต้องทำหน้าที่ ต้องป้องกันไว้อยู่แล้ว ซึ่งถ้าชุมนุมอยู่กับที่อย่างสงบก็ไม่อะไร อย่างการบุกสถานที่เลือกตั้ง ละเมิดสิทธิคนทั้งประเทศนี้แน่นอน”นายกิตติชัยระบุ ดังนั้นใน วันศุกร์ที่ 10 มกราคมนี้ ทางกลุ่มนี้ก็จะมีการจัดกิจกรรมอีกขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ในบริเวณที่เดิมคือ หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร เวลา 18.00-21.00 น. มีกิจกรรมจุดเทียน และเปิดโอกาสให้ทุกคนได้ปราศรัยคนละไม่เกิน 5 นาที

จากนั้นที่หน้าเพจเฟซบุ๊ก Jessada Denduangboripant ของ ผศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการโพสต์ข้อความดังนี้
ชาวจุฬาฯ (เสียงส่วนน้อย) - พอกันที !

เอากำหนดการคร่าวๆ ก่อนนะครับ ขอเชิญชาวจุฬาฯ (เสียงส่วนน้อย) รักสันติ-สนับสนุนการเลือกตั้ง นัดเจอกันที่ลานพระรูป 2 รัชกาล ตอน 5 โมงเย็นวันศุกร์ที่ 10 ก่อนที่จะเดินไปร่วมกิจกรรมกับกลุ่ม "พอกันที! หยุดการชุมนุมที่สร้างเงื่อนไขไปสู่ความรุนแรง" ที่ลานหอศิลป์ กทม. ข้างมาบุญครอง นัดกันใส่เสื้อชมพู มีไฟฉายหรือโคมตะเกียงไฟฟ้าไปด้วย (ถ้าใช้เทียน ต้องมีกระดาษรอง) ทำป้ายผ้าป้ายกระดาษได้ตามความเหมาะสมที่ใช้ภาษาสุภาพ และไม่ยั่วยุฝ่ายใดครับ

ปล. ใครว่างก็มาเจอกันครับ จะใส่เสื้อสีอะไรก็ได้ แต่ถ้าใส่สีมหาลัยหรือหน่วยงานของตัวเอง ก็ดีครับ
แน่นอนว่าเจตนารมณ์ที่กลุ่ม“พอกันที” ประกาศเอาไว้บนแฟนเพจเฟซบุ๊ก หากไม่ใช่ว่าบ้านเมืองอยู่ในบรรยากาศความขัดแย้งแตกแยกแบ่งขั้วจนถึงระดับเกลียดชังกันไปแล้ว ก็คงจะได้รับคำชมเป็นแน่
แต่เพราะสังคมแบ่งขั้วอย่างชัดเจน เจตนารมณ์ที่บอกว่า เปิดใจ ไปเลือกตั้ง กับ ถนนทุกสายต้องมุ่งสู่การเลือกตั้ง 2 กุมภา 57 เท่านั้น จึงถูกโจมตีในทันทีจากขั้วที่เกลียดชังระบอบทักษิณ ว่านี่คือ พวกที่เข้าข้างการเลือกตั้ง

นี่คือการรวมตัวกันของคนเสื้อแดง ที่ใช้การเปลี่ยนสีเสื้อ แล้วอ้างคำว่า “ประชาธิปไตย” เพื่อหนุนให้ระบอบทักษิณผ่านการเลือกตั้งกลับเข้ามายึดครองประเทศอีกครั้ง

แถมยังมีบางคนเย้ยหยันว่าคนกลุ่มนี้มีเพียงแค่หลักร้อยเท่านั้น สู้มวลมหาประชาชนไม่ได้
ทั้งๆที่จริงๆแล้วปัญหาไม่ได้อยู่ที่จำนวนคน เช่นเดียวกับที่นายสุเทพพยายามอ้างตัวเลขมวลชนหลักล้านคนมาโดยตลอดนั่นแหละ เพราะเรื่องนี้จริงๆเป็นเรื่องที่สะท้อนให้เห็นว่าเริ่มมีคนอดรนทนต่อสถานการณ์ไม่ได้แล้ว

คนกลุ่มนี้อาจจะดูเหมือนว่ายังเป็นเสียงข้างน้อยในเวลานี้ แต่ทั้งนายสุเทพ รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้เคยกล่าวอ้างถึงความสำคัญของเสียงข้างน้อยมาก่อนแล้วไม่ใช่หรือว่า เป็นเสียงที่พึงจะต้องรับฟัง เพราะเป็นเสียงสะท้อนจากประชาชนเช่นกัน

วันนี้นายสุเทพ จะลืมคำพูดตัวเอง ไม่รับฟังเสียงข้างน้อยที่ไม่ได้เลือกข้างใครเลยหรือ

หวังที่จะเห็นการปฏิรูปประเทศไทย ผ่านกระบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมาย และให้ความสำคัญกับทุกๆกลุ่ม ไม่ใช่การใช้อำนาจบาดใหญ่ ใช้อำนาจอนาธิปไตยในทุกรูปแบบ

และยังยืนยันว่า ถึงเวลาที่ต้องล้างเผ่าพันธุ์นักการเมืองชั่วในทุกๆขั้วการเมือง ไม่เช่นนั้นปัญหาไม่มีวันจบ ตราบเท่าที่ตัณหาการเมืองในการแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมืองยังไม่สิ้นสุด

ที่มา.บางกอกทูเดย์
----------------------------------

ทักษิณ ปฏิรูป !!?

โดย.พญาไม้

แน่นอนว่า..สุเทพ เทือกสุบรรณ..จะไม่มีวันประสบความสำเร็จอย่างที่เป็นอยู่ในวันนี้..ถ้า..ทักษิณ ชินวัตร..ปฏิรูปตนเอง ซะก่อน

ทำไม..แม้จะมีมากมายที่กลายเป็นบทเรียน..แต่ ทักษิณ ก็ยังเป็นทักษิณ..เขายังยึดโยงอยู่กับการเป็นผู้ออกคำสั่ง..แสดงตนเป็นช้างเท้าหน้า.

ทักษิณ..เริงร่าอยู่กับการเป็นผู้ให้ ทั้งๆ ที่รู้ว่า..จะมีศัตรูมากมายเกิดขึ้นหลังจากการให้ในแต่ละครั้ง
ทักษิณ..สนุกสนานอยู่กับการแต่งตั้งโยกย้ายโดยลำพัง..ทั้งๆ ที่เขาประกาศในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการของเขาจะไม่มีการเรียกร้องเอาทรัพย์สินเงินทอง..แต่เขาลืมไปว่า..มันเกินความสามารถที่จะควบคุมดูแล..

ภายใต้กลไกอันเป็นเผด็จการนั้น..คือการสูญเสียมวลชนส่วนใหญ่..

ทักษิณ..เก่งกาจปราดเปรื่องในหลายๆ เรื่องราว..แต่เขาอาจจะลืมหลักวิชาง่ายๆ ที่ว่า..ที่ใดมีแรงยกที่นั่นก็มีแรงต้าน..และมันจะเป็นปฏิภาคต่อกัน..เติบโตไปในทิศทางตรงกันข้ามแต่ไม่ห่างกันในเรื่องจำนวน..
นั่นอธิบายได้ว่า..เมื่อทักษิณมีคนเสื้อแดงเป็นเรือนแสนหนุนเนื่อง..เขาก็จะมีคนไม่ชอบเสื้อแดงเป็นเรือนแสนเช่นกันอยู่ฟากตรงกันข้าม..

นั่นคือประชาชนของ สุเทพ เทือกสุบรรณ..ทันทีที่เขาประกาศสงครามกับทักษิณ..เช่นกันกับคนไม่ชอบเสื้อเหลือง..ในคราวของ สนธิ ลิ้มทองกุล..

เพื่อป้องกันโรคฝีดาษ...นักวิทยาศาสตร์เพาะเชื้อแล้วส่งเข้าไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันไว้ต่อสู้..ทักษิณ ชินวัตร..ก็ต้องสร้างประชาธิปไตยในพรรคเพื่อไทยก่อนแล้วถึงจะสร้างประชาธิปไตยให้กับประเทศ

ทักษิณ..ต้องไปเรียนรู้..การนำจากข้างหลัง..เรียนรู้สงครามจากสนามทราย..
ทักษิณ..ต้องเรียนรู้ว่า..อุปสรรคอันยิ่งใหญ่ในการบังคับบัญชานั้น..คือการบังคับคนในครอบครัวเดียวกันและอันตรายที่อันตรายที่สุด..คือ..ความรักความหลง..

ถ้าสิทธัตถะ..เลือกที่จะเป็นกษัตริย์..ท่านจะเป็นกษัตริย์ที่ชนะทั่ว 4 คาบสมุทร..แต่เพราะท่านเอาชนะตนเองได้..ท่านจึงกลายเป็น..ศาสดา..ของคนทั้งโลก..

ชนะตนเองไม่ได้..ก็ไม่ชนะใครทั้งนั้น

ที่มา.บางกอกทูเดย์
/////////////////////////////////////////

3 เงื่อนไข ทหารเคลื่อน !!?

ถึงนาทีนี้หลายคนหลายฝ่ายดูจะเชื่อไปแล้วว่าการรัฐประหารอีกครั้งหนึ่งของการเมืองไทยจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ไม่สัปดาห์นี้ก็สัปดาห์หน้า...

แต่ปัญหาคือ ความเชื่อนั้นมีโอกาสเป็นความจริงได้แค่ไหน อย่างไร

หากเริ่มจากการถอดรหัสเรื่อง "อีกากับวัว" ที่ ผบ.ทบ.นำมาพูดระหว่างการให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. ทำนองว่า "ถ้าวัวมีแผล อีกาก็จะมาจิกหลังทุกวัน ถ้าไม่มีแผลก็ไม่มีอีกา ถ้าไม่มีเงื่อนไขก็ไม่มีเรื่อง" แหล่งข่าวจากหน่วยงานด้านความมั่นคง ระบุว่า ตัวชี้ขาดสถานการณ์ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้ใหญ่เพียง 3 คน 3 ฝ่าย ได้แก่ 1.ฝ่ายที่ยืนยันว่าปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งหมายถึงรัฐบาล 2.ฝ่ายที่เป็นเครื่องมือของฝ่ายแรก หมายถึงกองทัพ และ 3.ฝ่ายที่ไม่ยอมอะไรเลย หมายถึง กปปส.

"เมื่อฝ่ายที่ 2 ซึ่งเป็นเครื่องมือของฝ่ายแรก อยู่ๆ มาพูดว่าถ้ามีจลาจลเกิดขึ้นแล้วมีคนตาย รัฐบาลต้องรับผิดชอบ การพูดแบบนี้แปลว่าอะไร"

แหล่งข่าวอธิบายว่า จากข้อมูลการข่าว ปฏิบัติการชัตดาวน์กรุงเทพฯ ในวันที่ 13 ม.ค. จะมีการปิดพื้นที่สำคัญๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสี่แยกศูนย์กลางของ กทม.รวม 7 จุด ใช้คนที่ระดมมาจาก 7 จังหวัดภาคใต้ จังหวัดละ 5 พันคน รวมเป็น 3.5 หมื่นคน กลุ่มนี้เป็นตัวยืนคุมพื้นที่แต่ละจุดตลอดการชัตดาวน์

ผลที่จะเกิดขึ้นมีอยู่ 3 ระดับ คือ

หนึ่ง ช่วง 1-2 วันแรก เป็นช่วง "ชะงักงัน" ประชาชนออกจากบ้านได้ แต่อาจกลับบ้านไม่ได้ ไปทำงานไม่ได้ ทำให้ทุกอย่างหยุดชะงัก

สอง ช่วงวันที่ 3-4 เป็นช่วง "ความวุ่นวาย" เกิดความสับสนว่าจะไปทำงานดีหรือไม่ การเดินทางจะทำอย่างไร รถราจะวิ่งอย่างไร คนที่อยู่ในพื้นที่ที่ถูกปิดล้อมเริ่มมีความหวาดกลัว จะไปซื้อของ หาอาหารรับประทานได้หรือไม่ ส่วนผู้ชุมนุมที่ไปยึดพื้นที่ก็ต้องทำธุระส่วนตัว ต้องอาบน้ำ ต้องเข้าห้องน้ำ ต้องหาของกิน จะใช้ที่ไหน สถานที่ของเอกชนจะยอมให้ใช้หรือไม่ ความวุ่นวายจะเริ่มเกิดขึ้น

สาม นานกว่า 4 วัน เป็นช่วง "จลาจล" คนไปทำงานไม่ได้ แท็กซี่หากินไม่ได้ จะเริ่มปะทะกันเป็นจุดๆ สถานการณ์บานปลายสู่ความรุนแรง

"เมื่อถึงตรงนั้นก็ต้องดูว่าเจ้าหน้าที่จะรับมืออย่างไร นปช.จะเอาอย่างไร แต่จู่ๆ มีคนบอกว่าปะทะเมื่อไรรัฐบาลรับผิดชอบ ซึ่งจริงๆ กองทัพก็อ่านซีนาริโอ (ฉากทัศน์) ได้อยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น การพูดอย่างนี้จึงตีความเป็นอื่นไม่ได้"

ขณะที่แหล่งข่าวระดับสูงจากหน่วยงานด้านการข่าว ระบุว่า โอกาสของการรัฐประหารมีความเป็นไปได้ แต่ไม่สูง เพราะกองทัพวางบทบาทตัวเองเป็น stabilizer คือผู้รักษาเสถียรภาพของประเทศ

"ถอดรหัสสิ่งที่ ผบ.ทบ.พูด มี 2 ประเด็นสำคัญ คือ 1.ปรามชายชุดดำ เพื่อให้ผู้ที่รู้เห็นหยุดการนำชายชุดดำเข้ามาใช้ในพื้นที่เขตเมือง โดยเฉพาะกระทำต่อผู้ชุมนุม เพราะกองทัพมีข้อมูลชัดเจนว่ามีชายชุดดำก่อกวนการชุมนุมของ กปปส. มีการขนอาวุธเข้ามา และทำงานกันอย่างเป็นระบบ อาจมีบุคคลที่มีอำนาจรู้เห็นด้วย"

"2.ปรามตำรวจไม่ให้กระทำรุนแรงกับผู้ชุมนุมมากเกินไป เนื่องจากเห็นภาพเมื่อวันที่ 26 ธ.ค.2556 ที่ศูนย์เยาวชนไทย-ญี่ปุ่นดินแดง (ที่มีการปะทะกันระหว่างตำรวจกับผู้ชุมนุม) และมีการปลุกกระแสความรู้สึกกันในหมู่เจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างน่าวิตก"

แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า ท่าทีของ ผบ.ทบ.เมื่อวันที่ 7 ม.ค. คือการปรามไม่ให้สถานการณ์บานปลาย เพราะในส่วนของคนเสื้อแดงนั้น เชื่อว่ารัฐบาลจะไม่นำมาเผชิญหน้า แต่จะจัดชุมนุมในพื้นที่อื่นที่ไม่ใช่กรุงเทพฯเพื่อแสดงพลัง อย่างไรก็ดี หากทุกอย่างพลิกผัน เกิดการเผชิญหน้าและมีความรุนแรง ก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องทำรัฐประหาร แต่ไม่ใช่แผนการที่เตรียมจะทำอยู่แล้ว

ส่วนการประเมินสถานการณ์ชัตดาวน์กรุงเทพฯนั้น แหล่งข่าวคาดการณ์ว่า สถานการณ์จะไม่ยืดเยื้อเกิน 7 วัน โดยสิ่งที่ผู้ชุมนุมต้องการคือปิดถนน ไม่ใช่ยึดสถานที่ จุดเน้นอยู่ที่ศูนย์ราชการฯ ถนนแจ้งวัฒนะ จะมีการปิดถนนด้านนอกไม่ให้ข้าราชการเข้าไปทำงาน กับ 2.สถานที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)

"พื้นที่ที่จะใช้ประชุม ครม.จนถึงขณะนี้เหลือไม่กี่แห่งแล้ว และหลังๆ ต้องใช้สถานที่ของตำรวจ ทหาร สถานที่ที่เตรียมใช้ประชุม ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่มีโอกาสถูกปิดล้อมง่าย และใกล้สถานที่ชุมนุมวันที่ 13 ม.ค. (แยกปทุมวันและราชประสงค์) อีกที่หนึ่งคือกองบัญชาการกองทัพอากาศ แม้จะใช้ได้แต่ก็เสี่ยง โอกาสที่จะถูกปฏิวัติเงียบมีสูง คำถามคือรัฐบาลกล้าหรือไม่ ฉะนั้นรัฐบาลอาจไม่ใช้พื้นที่ทหารแท้ๆ เช่น สโมสรทหารบก กองบัญชาการกองทัพไทย แต่ก็เสี่ยงถูกม็อบปิดล้อมอยู่ดี"

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
==========================